Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
๘. รูปิยสิกฺขาปทวณฺณนา
8. Rūpiyasikkhāpadavaṇṇanā
๕๘๓-๔. อฎฺฐเม สุวณฺณมยกหาปเณน กหาปโณปิ รชเต เอว สงฺคยฺหตีติ อาห ‘‘โสวณฺณมโย วา’’ติฯ รูปิยมโย วาติ รชเตน รูปํ สมุฎฺฐเปตฺวา กตกหาปโณฯ ปากติโก นาม เอตรหิ ปกติกหาปโณฯ
583-4. Aṭṭhame suvaṇṇamayakahāpaṇena kahāpaṇopi rajate eva saṅgayhatīti āha ‘‘sovaṇṇamayo vā’’ti. Rūpiyamayo vāti rajatena rūpaṃ samuṭṭhapetvā katakahāpaṇo. Pākatiko nāma etarahi pakatikahāpaṇo.
อิเจฺจตํ สพฺพมฺปีติ สิกฺขาปเทน, วิภเงฺคน จ วุตฺตํ สพฺพมฺปิ นิทเสฺสติฯ ตสฺส จตุพฺพิธํ นิสฺสคฺคิยวตฺถูติ อิมินาว สมฺพโนฺธ, น ปน อนนฺตเรน ‘‘รชต’’นฺติ ปเทนฯ อิทานิ ตํ จตุพฺพิธํ นิสฺสคฺคิยวตฺถุํ สรูปโต ทเสฺสโนฺต ‘‘รชต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ เหฎฺฐา รชตมาสโกว วุโตฺต, น เกวลํ รชตํ, ตถาปิ สิกฺขาปเท ‘‘ชาตรูปรชต’’นฺติ ปเทเนว วุตฺตนฺติ ตมฺปิ ทเสฺสตุํ ‘‘รชต’’นฺติ อิทํ วิสุํ วุตฺตํฯ ปทภาชเน ปน มาติกาปเทเนว สิทฺธตฺตา ตํ อวตฺวา เตน สห สงฺคยฺหมานเมว ทเสฺสตุํ ‘‘รชตํ นาม กหาปโณ’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ชาตรูปมาสโกติ สุวณฺณมยกหาปโณฯ วุตฺตปฺปเภโทติ ‘‘รูปิยมโย วา ปากติโก วา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปเภโทฯ ปโฎว ปฎโก, วตฺถํฯ ทุกฺกฎเมวาติ ปฎิคฺคาหกเสฺสว ปฎิคฺคหณปจฺจยา ทุกฺกฎํ, ปริโภเค ปน ปญฺจสหธมฺมิเกหิ ปฎิคฺคหิตานํ ธญฺญวิรหิตมุตฺตาทีนํ การณา อุปฺปนฺนปจฺจยํ ปริภุญฺชนฺตานํ สเพฺพสมฺปิ ทุกฺกฎเมวฯ เกจิ ปน ‘‘ธญฺญมฺปิ ปญฺจสหธมฺมิเกหิ ปฎิคฺคหิตํ มุตฺตาทิเขตฺตาทิ วิย สเพฺพสมฺปิ ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติ, เกวลํ สงฺฆิกภูมิยํ กปฺปิยโวหาเรน จ อุปฺปนฺนสฺส ธญฺญสฺส วิจารณเมว สนฺธาย ‘ตเสฺสเวตํ อกปฺปิย’นฺติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ
Iccetaṃ sabbampīti sikkhāpadena, vibhaṅgena ca vuttaṃ sabbampi nidasseti. Tassa catubbidhaṃ nissaggiyavatthūti imināva sambandho, na pana anantarena ‘‘rajata’’nti padena. Idāni taṃ catubbidhaṃ nissaggiyavatthuṃ sarūpato dassento ‘‘rajata’’ntiādimāha. Tattha kiñcāpi heṭṭhā rajatamāsakova vutto, na kevalaṃ rajataṃ, tathāpi sikkhāpade ‘‘jātarūparajata’’nti padeneva vuttanti tampi dassetuṃ ‘‘rajata’’nti idaṃ visuṃ vuttaṃ. Padabhājane pana mātikāpadeneva siddhattā taṃ avatvā tena saha saṅgayhamānameva dassetuṃ ‘‘rajataṃ nāma kahāpaṇo’’tiādi vuttanti veditabbaṃ. Jātarūpamāsakoti suvaṇṇamayakahāpaṇo. Vuttappabhedoti ‘‘rūpiyamayo vā pākatiko vā’’tiādinā vuttappabhedo. Paṭova paṭako, vatthaṃ. Dukkaṭamevāti paṭiggāhakasseva paṭiggahaṇapaccayā dukkaṭaṃ, paribhoge pana pañcasahadhammikehi paṭiggahitānaṃ dhaññavirahitamuttādīnaṃ kāraṇā uppannapaccayaṃ paribhuñjantānaṃ sabbesampi dukkaṭameva. Keci pana ‘‘dhaññampi pañcasahadhammikehi paṭiggahitaṃ muttādikhettādi viya sabbesampi paribhuñjituṃ na vaṭṭati, kevalaṃ saṅghikabhūmiyaṃ kappiyavohārena ca uppannassa dhaññassa vicāraṇameva sandhāya ‘tassevetaṃ akappiya’nti vutta’’nti vadanti.
เอโก สตํ วา สหสฺสํ วาติอาทิ รูปิเย เหฎฺฐิมโกฎิยา ปวตฺตนาการํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ, น ปน ‘‘เอวํ ปฎิปชฺชิตพฺพเมวา’’ติ ทเสฺสตุํฯ ‘‘อิธ นิกฺขิปาหี’’ติ วุเตฺต อุคฺคณฺหาปนํ โหตีติ อาห ‘‘อิธ นิกฺขิปาหีติ น วตฺตพฺพ’’นฺติฯ กปฺปิยญฺจ…เป.… โหตีติ ยสฺมา อสาทิตตฺตา ตโต อุปฺปนฺนปจฺจยา วฎฺฎนฺติ, ตสฺมา กปฺปิยํ นิสฺสาย ฐิตํฯ ยสฺมา ปน ทุพฺพิจารณาย สติ ตโต อุปฺปนฺนมฺปิ น กปฺปติ, ตสฺมา อกปฺปิยํ นิสฺสาย ฐิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Eko sataṃ vā sahassaṃ vātiādi rūpiye heṭṭhimakoṭiyā pavattanākāraṃ dassetuṃ vuttaṃ, na pana ‘‘evaṃ paṭipajjitabbamevā’’ti dassetuṃ. ‘‘Idha nikkhipāhī’’ti vutte uggaṇhāpanaṃ hotīti āha ‘‘idha nikkhipāhīti na vattabba’’nti. Kappiyañca…pe… hotīti yasmā asāditattā tato uppannapaccayā vaṭṭanti, tasmā kappiyaṃ nissāya ṭhitaṃ. Yasmā pana dubbicāraṇāya sati tato uppannampi na kappati, tasmā akappiyaṃ nissāya ṭhitanti veditabbaṃ.
‘‘น เตน กิญฺจิ กปฺปิยภณฺฑํ เจตาปิต’’นฺติ อิมินา เจตาปิตํ เจ, นตฺถิ ปริโภคูปาโย อุคฺคเหตฺวา อนิสฺสฎฺฐรูปิเยน เจตาปิตตฺตาฯ อีทิสญฺหิ สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสชฺชนํ กตฺวาว ฉเฑฺฑตฺวา ปาจิตฺติยํ เทเสตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ เกจิ ปน ‘‘ยสฺมา นิสฺสคฺคิยวตฺถุํ ปฎิคฺคเหตฺวาปิ เจตาปิตํ กปฺปิยภณฺฑํ สเงฺฆ นิสฺสฎฺฐํ กปฺปิยการเกหิ นิสฺสฎฺฐรูปิยํ ปริวเตฺตตฺวา อานีตกปฺปิยภณฺฑสทิสํ โหติ, ตสฺมา วินาว อุปายํ ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติ, ตํ ปตฺตจตุกฺกาทิกถาย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๙) น สเมติฯ ตตฺถ รูปิเยน ปริวตฺติตปตฺตสฺส อปริโภโคว ทสฺสิโต, น นิสฺสชฺชนวิธานนฺติฯ อุปนิเกฺขปํ ฐเปตฺวาติ กปฺปิยการเกหิ วฑฺฒิยา ปโยชนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อกปฺปิยนฺติ เตน วตฺถุนา คหิตตฺตา วุตฺตํฯ
‘‘Na tena kiñci kappiyabhaṇḍaṃ cetāpita’’nti iminā cetāpitaṃ ce, natthi paribhogūpāyo uggahetvā anissaṭṭharūpiyena cetāpitattā. Īdisañhi saṅghamajjhe nissajjanaṃ katvāva chaḍḍetvā pācittiyaṃ desetabbanti dasseti. Keci pana ‘‘yasmā nissaggiyavatthuṃ paṭiggahetvāpi cetāpitaṃ kappiyabhaṇḍaṃ saṅghe nissaṭṭhaṃ kappiyakārakehi nissaṭṭharūpiyaṃ parivattetvā ānītakappiyabhaṇḍasadisaṃ hoti, tasmā vināva upāyaṃ bhājetvā paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti vadanti, taṃ pattacatukkādikathāya (pārā. aṭṭha. 2.589) na sameti. Tattha rūpiyena parivattitapattassa aparibhogova dassito, na nissajjanavidhānanti. Upanikkhepaṃ ṭhapetvāti kappiyakārakehi vaḍḍhiyā payojanaṃ sandhāya vuttaṃ. Akappiyanti tena vatthunā gahitattā vuttaṃ.
๕๘๕. ‘‘ปติโตกาสํ อสมนฺนาหรเนฺตนา’’ติ อิทํ นิรเปกฺขภาวทสฺสนปรนฺติ เวทิตพฺพํฯ อสนฺตสมฺภาวนายาติ ปริยายาทินา อภูตาโรจนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เถยฺยปริโภโคติ ปจฺจยสามินา ภควตา อนนุญฺญาตตฺตา วุตฺตํฯ อิณปริโภโคติ ภควตา อนุญฺญาตมฺปิ กตฺตพฺพํ อกตฺวา ปริภุญฺชนโต วุตฺตํ, เตน จ ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลํ วิปชฺชตีติ ทเสฺสติฯ ปริโภเค ปริโภเคติ กายโต โมเจตฺวา โมเจตฺวา ปริโภเคฯ ปจฺฉิมยาเมสุ ปจฺจเวกฺขิตพฺพนฺติ โยชนาฯ อิณปริโภคฎฺฐาเน ติฎฺฐตีติ เอตฺถ ‘‘หิโยฺย ยํ มยา จีวรํ ปริภุตฺต’’นฺติอาทินาปิ อตีตปจฺจเวกฺขณา วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ปริโภเค ปริโภเคติ อุทกปตนฎฺฐานโต อโนฺตปเวสเนสุ, นิสีทนสยเนสุ จฯ สติปจฺจยตา วฎฺฎตีติ ปจฺจเวกฺขณสติยา ปจฺจยตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ปฎิคฺคหเณ จ ปริโภเค จ ปจฺจเวกฺขณาสติ อวสฺสํ ลทฺธพฺพาติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘สติํ กตฺวา’’ติอาทิฯ เกจิ ปน ‘‘สติปจฺจยตา ปจฺจเย สติ เภสชฺชปริโภคสฺส การเณ สตี’’ติ เอวมฺปิ อตฺถํ วทนฺติ, เตสมฺปิ ปจฺจเย สตีติ ปจฺจยสพฺภาวสลฺลกฺขเณ สตีติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพ ปจฺจยสพฺภาวมเตฺตน สีลสฺส อสุชฺฌนโตฯ ‘‘ปริโภเค อกโรนฺตเสฺสว อาปตฺตี’’ติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวรสีลสฺส เภโท ทสฺสิโต, น ปจฺจยสนฺนิสฺสฺสิสีลสฺส, ตสฺส อตีตปจฺจเวกฺขณาย วิสุชฺฌนโตฯ เอตสฺมิํ, ปน เสสปจฺจเยสุ จ อิณปริโภคาทิวจเนน ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลเสฺสว เภโทติ เอวมิเมสํ นานากรณํ เวทิตพฺพํฯ
585.‘‘Patitokāsaṃ asamannāharantenā’’ti idaṃ nirapekkhabhāvadassanaparanti veditabbaṃ. Asantasambhāvanāyāti pariyāyādinā abhūtārocanaṃ sandhāya vuttaṃ. Theyyaparibhogoti paccayasāminā bhagavatā ananuññātattā vuttaṃ. Iṇaparibhogoti bhagavatā anuññātampi kattabbaṃ akatvā paribhuñjanato vuttaṃ, tena ca paccayasannissitasīlaṃ vipajjatīti dasseti. Paribhoge paribhogeti kāyato mocetvā mocetvā paribhoge. Pacchimayāmesu paccavekkhitabbanti yojanā. Iṇaparibhogaṭṭhāne tiṭṭhatīti ettha ‘‘hiyyo yaṃ mayā cīvaraṃ paribhutta’’ntiādināpi atītapaccavekkhaṇā vaṭṭatīti vadanti. Paribhoge paribhogeti udakapatanaṭṭhānato antopavesanesu, nisīdanasayanesu ca. Satipaccayatā vaṭṭatīti paccavekkhaṇasatiyā paccayattaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Paṭiggahaṇe ca paribhoge ca paccavekkhaṇāsati avassaṃ laddhabbāti dasseti. Tenāha ‘‘satiṃ katvā’’tiādi. Keci pana ‘‘satipaccayatā paccaye sati bhesajjaparibhogassa kāraṇe satī’’ti evampi atthaṃ vadanti, tesampi paccaye satīti paccayasabbhāvasallakkhaṇe satīti evamattho gahetabbo paccayasabbhāvamattena sīlassa asujjhanato. ‘‘Paribhoge akarontasseva āpattī’’ti iminā pātimokkhasaṃvarasīlassa bhedo dassito, na paccayasannisssisīlassa, tassa atītapaccavekkhaṇāya visujjhanato. Etasmiṃ, pana sesapaccayesu ca iṇaparibhogādivacanena paccayasannissitasīlasseva bhedoti evamimesaṃ nānākaraṇaṃ veditabbaṃ.
เอวํ ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลสฺส วิสุทฺธิํ ทเสฺสตฺวา เตเนว ปสเงฺคน สพฺพาปิ วิสุทฺธิโย ทเสฺสตุํ ‘‘จตุพฺพิธา หิ สุทฺธี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุชฺฌติ เทสนาทีหิ, โสธียตีติ วา สุทฺธิ, จตุพฺพิธสีลํฯ เตนาห ‘‘เทสนาย สุชฺฌนโต’’ติอาทิฯ เอตฺถ เทสนาคฺคหเณน วุฎฺฐานมฺปิ ฉินฺนมูลานํ อภิกฺขุตาปฎิญฺญาปิ สงฺคหิตาฯ ฉินฺนมูลานมฺปิ หิ ปาราชิกาปตฺติวุฎฺฐาเนน เหฎฺฐา ปริรกฺขิตํ ภิกฺขุสีลํ วิสุทฺธํ นาม โหติ, เตน เตสํ มคฺคปฎิลาโภปิ สมฺปชฺชติฯ
Evaṃ paccayasannissitasīlassa visuddhiṃ dassetvā teneva pasaṅgena sabbāpi visuddhiyo dassetuṃ ‘‘catubbidhā hi suddhī’’tiādimāha. Tattha sujjhati desanādīhi, sodhīyatīti vā suddhi, catubbidhasīlaṃ. Tenāha ‘‘desanāya sujjhanato’’tiādi. Ettha desanāggahaṇena vuṭṭhānampi chinnamūlānaṃ abhikkhutāpaṭiññāpi saṅgahitā. Chinnamūlānampi hi pārājikāpattivuṭṭhānena heṭṭhā parirakkhitaṃ bhikkhusīlaṃ visuddhaṃ nāma hoti, tena tesaṃ maggapaṭilābhopi sampajjati.
ทาตพฺพเฎฺฐน ทายํ, ตํ อาทิยนฺตีติ ทายาทาฯ สตฺตนฺนํ เสกฺขานนฺติ เอตฺถ กลฺยาณปุถุชฺชนาปิ สงฺคหิตา เตสํ อาณณฺยปริโภคสฺส ทายชฺชปริโภเค สงฺคหิตตฺตาติ เวทิตพฺพํ ฯ ธมฺมทายาทสุตฺตนฺติ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสทายาทา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๙) ปวตฺตํ สุตฺตํฯ ตตฺถ มา เม อามิสทายาทาติ เอวํ เม-สทฺทํ อาเนตฺวา อโตฺถ คเหตโพฺพฯ เอวญฺหิ ตถา วุตฺตตฺถสาธกํ โหติฯ
Dātabbaṭṭhena dāyaṃ, taṃ ādiyantīti dāyādā. Sattannaṃ sekkhānanti ettha kalyāṇaputhujjanāpi saṅgahitā tesaṃ āṇaṇyaparibhogassa dāyajjaparibhoge saṅgahitattāti veditabbaṃ . Dhammadāyādasuttanti ‘‘dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha, mā āmisadāyādā’’tiādinā (ma. ni. 1.29) pavattaṃ suttaṃ. Tattha mā me āmisadāyādāti evaṃ me-saddaṃ ānetvā attho gahetabbo. Evañhi tathā vuttatthasādhakaṃ hoti.
ลชฺชินา สทฺธิํ ปริโภโคติ ธมฺมามิสวเสน มิสฺสภาโวฯ อลชฺชินา สทฺธินฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ‘‘อาทิโต ปฎฺฐาย หิ อลชฺชี นาม นตฺถี’’ติ อิมินา ทิฎฺฐทิเฎฺฐสุ อาสงฺกา นาม น กาตพฺพา, ทิฎฺฐสุตาทิการเณ สติ เอว กาตพฺพาติ ทเสฺสติฯ อตฺตโน ภารภูตา สทฺธิวิหาริกาทโยฯ สเจ น โอรมตีติ อคติคมเนน ธมฺมามิสปริโภคโต น โอรมติฯ ‘‘อาปตฺติ นาม นตฺถี’’ติ อิทํ อลชฺชีนํ ธเมฺมน อุปฺปนฺนปจฺจยํ, ธมฺมกมฺมญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ เตสมฺปิ หิ กุลทูสนาทิสมุปฺปนฺนปจฺจยํ ปริภุญฺชนฺตานํ, วคฺคกมฺมาทิํ กโรนฺตานญฺจ อาปตฺติ เอวฯ
Lajjinā saddhiṃ paribhogoti dhammāmisavasena missabhāvo. Alajjinā saddhinti etthāpi eseva nayo. ‘‘Ādito paṭṭhāya hi alajjī nāma natthī’’ti iminā diṭṭhadiṭṭhesu āsaṅkā nāma na kātabbā, diṭṭhasutādikāraṇe sati eva kātabbāti dasseti. Attano bhārabhūtā saddhivihārikādayo. Sace na oramatīti agatigamanena dhammāmisaparibhogato na oramati. ‘‘Āpatti nāma natthī’’ti idaṃ alajjīnaṃ dhammena uppannapaccayaṃ, dhammakammañca sandhāya vuttaṃ. Tesampi hi kuladūsanādisamuppannapaccayaṃ paribhuñjantānaṃ, vaggakammādiṃ karontānañca āpatti eva.
‘‘ธมฺมิยาธมฺมิยปริโภโค ปจฺจยวเสน เวทิตโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา เหฎฺฐา ลชฺชิปริโภโค ปจฺจยวเสน จ เอกกมฺมาทิวเสน จ วุโตฺต เอวาติ เวทิตพฺพํฯ เตเนว ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทฎฺฐกถายํ โจทกจุทิตกภาเว ฐิตา เทฺว อลชฺชิโน ธมฺมปริโภคมฺปิ สนฺธาย ‘‘เอกสโมฺภคปริโภคา หุตฺวา ชีวถา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๘๕-๓๘๖) วุตฺตา เตสํ อญฺญมญฺญํ ธมฺมามิสปริโภเค วิโรธาภาวาฯ ลชฺชีนเมว หิ อลชฺชินา สห ตทุภยปริโภคา น วฎฺฎนฺตีติฯ
‘‘Dhammiyādhammiyaparibhogo paccayavasena veditabbo’’ti vuttattā heṭṭhā lajjiparibhogo paccayavasena ca ekakammādivasena ca vutto evāti veditabbaṃ. Teneva duṭṭhadosasikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ codakacuditakabhāve ṭhitā dve alajjino dhammaparibhogampi sandhāya ‘‘ekasambhogaparibhogā hutvā jīvathā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.385-386) vuttā tesaṃ aññamaññaṃ dhammāmisaparibhoge virodhābhāvā. Lajjīnameva hi alajjinā saha tadubhayaparibhogā na vaṭṭantīti.
ธมฺมปริโภโคติ ‘‘เอกกมฺมํ เอกุเทฺทโส’’ติอาทินา (ปารา. ๕๕, ๙๒, ๑๗๒) วุตฺตสํวาโส เจว นิสฺสยคฺคหณทานาทิโก สโพฺพ นิรามิสปริโภโค จ เวทิตโพฺพ ฯ ‘‘น โส อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา ลชฺชิโน อลชฺชิปคฺคเห อาปตฺตีติ เวทิตพฺพํฯ อิตโรปีติ ลชฺชีปิฯ ตสฺสาปิ อตฺตานํ ปคฺคณฺหนฺตสฺส อลชฺชิโน, อิมินา จ ลชฺชิโน วณฺณภณนาทิลาภํ ปฎิจฺจ อามิสครุกตาย วา เคหสิตเปเมน วา ตํ อลชฺชิํ ปคฺคณฺหโนฺต ลชฺชี สาสนํ อนฺตรธาเปติ นามาติ ทเสฺสติฯ เอวํ คหฎฺฐาทีสุ อุปตฺถมฺภิโต อลชฺชี พลํ ลภิตฺวา เปสเล อภิภวิตฺวา นจิรเสฺสว สาสนํ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ กโรตีติฯ
Dhammaparibhogoti ‘‘ekakammaṃ ekuddeso’’tiādinā (pārā. 55, 92, 172) vuttasaṃvāso ceva nissayaggahaṇadānādiko sabbo nirāmisaparibhogo ca veditabbo . ‘‘Na so āpattiyā kāretabbo’’ti vuttattā lajjino alajjipaggahe āpattīti veditabbaṃ. Itaropīti lajjīpi. Tassāpi attānaṃ paggaṇhantassa alajjino, iminā ca lajjino vaṇṇabhaṇanādilābhaṃ paṭicca āmisagarukatāya vā gehasitapemena vā taṃ alajjiṃ paggaṇhanto lajjī sāsanaṃ antaradhāpeti nāmāti dasseti. Evaṃ gahaṭṭhādīsu upatthambhito alajjī balaṃ labhitvā pesale abhibhavitvā nacirasseva sāsanaṃ uddhammaṃ ubbinayaṃ karotīti.
‘‘ธมฺมปริโภโคปิ ตตฺถ วฎฺฎตี’’ติ อิมินา อามิสปริโภคโต ธมฺมปริโภโคว ครุโก, ตสฺมา อติวิย อลชฺชิวิเวเกน กาตโพฺพติ ทเสฺสติฯ ‘‘ธมฺมานุคฺคเหน อุคฺคณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา อลชฺชุสฺสนฺนตาย สาสเน โอสกฺกเนฺต, ลชฺชีสุ จ อปฺปโหเนฺตสุ อลชฺชิมฺปิ ปกตตฺตํ คณปูรกํ คเหตฺวา อุปสมฺปทาทิกรเณน เจว เกจิ อลชฺชิโน ธมฺมามิสปริโภเคน สงฺคเหตฺวา เสสาลชฺชิคณสฺส นิคฺคเหน จ สาสนํ ปคฺคณฺหิตุํ วฎฺฎติ เอวฯ
‘‘Dhammaparibhogopi tattha vaṭṭatī’’ti iminā āmisaparibhogato dhammaparibhogova garuko, tasmā ativiya alajjivivekena kātabboti dasseti. ‘‘Dhammānuggahena uggaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti vuttattā alajjussannatāya sāsane osakkante, lajjīsu ca appahontesu alajjimpi pakatattaṃ gaṇapūrakaṃ gahetvā upasampadādikaraṇena ceva keci alajjino dhammāmisaparibhogena saṅgahetvā sesālajjigaṇassa niggahena ca sāsanaṃ paggaṇhituṃ vaṭṭati eva.
เกจิ ปน ‘‘โกฎิยํ ฐิโต คโนฺถติ วุตฺตตฺตา คนฺถปริยาปุณนเมว ธมฺมปริโภโค, น เอกกมฺมาทิฯ ตสฺมา อลชฺชีหิปิ สทฺธิํ อุโปสถาทิกํ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ, อาปตฺติ นตฺถี’’ติ วทนฺติ, ตํ น ยุตฺตํ, เอกกมฺมาทีสุ พหูสุ ธมฺมปริโภเคสุ อลชฺชินาปิ สทฺธิํ กตฺตพฺพาวตฺถายุตฺตํ ธมฺมปริโภคํ ทเสฺสตุํ อิธ นิทสฺสนวเสน คนฺถเสฺสว สมุทฺธฎตฺตาฯ น หิ เอกกมฺมาทิโก วิธิ ธมฺมปริโภโค น โหตีติ สกฺกา วตฺตุํ อนามิสตฺตา ธมฺมามิเสสุ อปริยาปนฺนสฺส กสฺสจิ อภาวาฯ เตเนว อฎฺฐสาลินิยํ ธมฺมปฎิสนฺธารกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๓๕๑)‘‘กมฺมฎฺฐานํ กเถตพฺพํ, ธโมฺม วาเจตโพฺพ…เป.… อพฺภานวุฎฺฐานมานตฺตปริวาสา ทาตพฺพา, ปพฺพชฺชารโห ปพฺพาเชตโพฺพ, อุปสมฺปทารโห อุปสมฺปาเทตโพฺพ…เป.… อยํ ธมฺมปฎิสนฺธาโร นามา’’ติ เอวํ สงฺฆกมฺมาทิปิ ธมฺมโกฎฺฐาเส ทสฺสิตํฯ เตสุ ปน ธมฺมโกฎฺฐาเสสุ ยํ คณปูรณาทิวเสน อลชฺชิโน อเปกฺขิตฺวา อุโปสถาทิ วา เตสํ สนฺติกา ธมฺมุคฺคหณนิสฺสยคฺคหณาทิ วา กรียติ, ตํ ธโมฺม เจว ปริโภโค จาติ ธมฺมปริโภโคติ วุจฺจติ, เอตํ ตถารูปปจฺจยํ วินา กาตุํ น วฎฺฎติ, กโรนฺตสฺส อลชฺชิปริโภโค จ โหติ ทุกฺกฎญฺจฯ ยํ ปน อลชฺชิสตํ อนเปกฺขิตฺวา ตชฺชนียาทินิคฺคหกมฺมํ วา ปริวาสาทิอุปการกมฺมํ วา อุคฺคหปริปุจฺฉาทานาทิ วา กรียติ, ตํ ธโมฺม เอว, โน ปริโภโคฯ เอตํ อนุรูปานํ กาตุํ วฎฺฎติ, อามิสทานํ วิย อาปตฺติ นตฺถิฯ นิสฺสยทานมฺปิ เตรสสมฺมุติทานาทิ จ วตฺตปฎิวตฺตสาทิยนาทิปริโภคสฺสาปิ เหตุตฺตา น วฎฺฎติฯ
Keci pana ‘‘koṭiyaṃ ṭhito ganthoti vuttattā ganthapariyāpuṇanameva dhammaparibhogo, na ekakammādi. Tasmā alajjīhipi saddhiṃ uposathādikaṃ kammaṃ kātuṃ vaṭṭati, āpatti natthī’’ti vadanti, taṃ na yuttaṃ, ekakammādīsu bahūsu dhammaparibhogesu alajjināpi saddhiṃ kattabbāvatthāyuttaṃ dhammaparibhogaṃ dassetuṃ idha nidassanavasena ganthasseva samuddhaṭattā. Na hi ekakammādiko vidhi dhammaparibhogo na hotīti sakkā vattuṃ anāmisattā dhammāmisesu apariyāpannassa kassaci abhāvā. Teneva aṭṭhasāliniyaṃ dhammapaṭisandhārakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 1351)‘‘kammaṭṭhānaṃ kathetabbaṃ, dhammo vācetabbo…pe… abbhānavuṭṭhānamānattaparivāsā dātabbā, pabbajjāraho pabbājetabbo, upasampadāraho upasampādetabbo…pe… ayaṃ dhammapaṭisandhāro nāmā’’ti evaṃ saṅghakammādipi dhammakoṭṭhāse dassitaṃ. Tesu pana dhammakoṭṭhāsesu yaṃ gaṇapūraṇādivasena alajjino apekkhitvā uposathādi vā tesaṃ santikā dhammuggahaṇanissayaggahaṇādi vā karīyati, taṃ dhammo ceva paribhogo cāti dhammaparibhogoti vuccati, etaṃ tathārūpapaccayaṃ vinā kātuṃ na vaṭṭati, karontassa alajjiparibhogo ca hoti dukkaṭañca. Yaṃ pana alajjisataṃ anapekkhitvā tajjanīyādiniggahakammaṃ vā parivāsādiupakārakammaṃ vā uggahaparipucchādānādi vā karīyati, taṃ dhammo eva, no paribhogo. Etaṃ anurūpānaṃ kātuṃ vaṭṭati, āmisadānaṃ viya āpatti natthi. Nissayadānampi terasasammutidānādi ca vattapaṭivattasādiyanādiparibhogassāpi hetuttā na vaṭṭati.
โย ปน มหาอลชฺชี อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุ สาสนํ กโรติ, ตสฺส สทฺธิวิหาริกาทีนํ อุปสมฺปทาทิอุปการกมฺมมฺปิ อุคฺคหปริปุจฺฉาทานาทิ จ กาตุํ น วฎฺฎติ, อาปตฺติ เอว โหติ, นิคฺคหกมฺมเมว กาตพฺพํฯ เตเนว อลชฺชิปคฺคโหปิ ปฎิกฺขิโตฺตฯ ธมฺมามิสปริโภควิวชฺชเนนาปิ หิ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคโห อธิเปฺปโต, โส จ เปสลานํ ผาสุวิหารสทฺธมฺมฎฺฐิติวินยานุคฺคหาทิอตฺถาย เอตทตฺถตฺตา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาฯ ตสฺมา ยํ ยํ ทุมฺมงฺกูนํ อุปตฺถมฺภาย เปสลานํ อผาสุวิหาราย สทฺธมฺมปริหานาทิอตฺถาย โหติ, ตํ สพฺพมฺปิ ปริโภโค วา โหตุ อปริโภโค วา กาตุํ น วฎฺฎติ, เอวํ กโรนฺตา สาสนํ อนฺตรธาเปนฺติ, อาปตฺติญฺจ อาปชฺชนฺติฯ ธมฺมามิสปริโภเคสุ เจตฺถ อลชฺชีหิ เอกกมฺมาทิธมฺมปริโภโค เอว เปสลานํ อผาสุวิหารสทฺธมฺมปริหานาทิอตฺถาย โหติ, น ตถา อามิสปริโภโคฯ น หิ อลชฺชีนํ ปจฺจยปริโภคมเตฺตน เปสลานํ อผาสุวิหาราทิ โหติ, ยถาวุตฺตธมฺมปริโภเคน ปน โหติ , ตปฺปริวชฺชเนน จ ผาสุวิหาราทโยฯ ตถา หิ กตสิกฺขาปทวีติกฺกมา อลชฺชิปุคฺคลา อุโปสถาทีสุ ปวิฎฺฐา ‘‘ตุเมฺห กายทฺวาเร, วจีทฺวาเร จ วีติกฺกมํ กโรถา’’ติอาทินา ภิกฺขูหิ วตฺตพฺพา โหนฺติ, ยถา วินยญฺจ อติฎฺฐนฺตา สงฺฆโต พหิกรณาทิวเสน สุฎฺฐุ นิคฺคเหตพฺพา, ตถา อกตฺวา เตหิ สห สํวสนฺตาปิ อลชฺชิโนว โหนฺติ ‘‘เอโกปิ อลชฺชี อลชฺชิสตมฺปิ กโรตี’’ติอาทิวจนโต (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๕)ฯ ยทิ หิ เต เอวํ น นิคฺคหิตา สิยุํ, สเงฺฆ กลหาทิํ วเฑฺฒตฺวา อุโปสถาทิสามคฺคีกมฺมปฎิพาหนาทินา เปสลานํ อผาสุํ กตฺวา กเมน เต เทวทตฺตวชฺชิปุตฺตกาทโย วิย ปริสํ วเฑฺฒตฺวา อตฺตโน วิปฺปฎิปตฺติํ ธมฺมโต วินยโต ทีเปนฺตา สงฺฆเภทาทิมฺปิ กตฺวา นจิรเสฺสว สาสนํ อนฺตรธาเปยฺยุํ, เตสุ ปน สงฺฆโต พหิกรณาทิวเสน นิคฺคหิเตสุ สโพฺพปายํ อุปทฺทโว น โหติฯ วุตฺตญฺหิ –
Yo pana mahāalajjī uddhammaṃ ubbinayaṃ satthu sāsanaṃ karoti, tassa saddhivihārikādīnaṃ upasampadādiupakārakammampi uggahaparipucchādānādi ca kātuṃ na vaṭṭati, āpatti eva hoti, niggahakammameva kātabbaṃ. Teneva alajjipaggahopi paṭikkhitto. Dhammāmisaparibhogavivajjanenāpi hi dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggaho adhippeto, so ca pesalānaṃ phāsuvihārasaddhammaṭṭhitivinayānuggahādiatthāya etadatthattā sikkhāpadapaññattiyā. Tasmā yaṃ yaṃ dummaṅkūnaṃ upatthambhāya pesalānaṃ aphāsuvihārāya saddhammaparihānādiatthāya hoti, taṃ sabbampi paribhogo vā hotu aparibhogo vā kātuṃ na vaṭṭati, evaṃ karontā sāsanaṃ antaradhāpenti, āpattiñca āpajjanti. Dhammāmisaparibhogesu cettha alajjīhi ekakammādidhammaparibhogo eva pesalānaṃ aphāsuvihārasaddhammaparihānādiatthāya hoti, na tathā āmisaparibhogo. Na hi alajjīnaṃ paccayaparibhogamattena pesalānaṃ aphāsuvihārādi hoti, yathāvuttadhammaparibhogena pana hoti , tapparivajjanena ca phāsuvihārādayo. Tathā hi katasikkhāpadavītikkamā alajjipuggalā uposathādīsu paviṭṭhā ‘‘tumhe kāyadvāre, vacīdvāre ca vītikkamaṃ karothā’’tiādinā bhikkhūhi vattabbā honti, yathā vinayañca atiṭṭhantā saṅghato bahikaraṇādivasena suṭṭhu niggahetabbā, tathā akatvā tehi saha saṃvasantāpi alajjinova honti ‘‘ekopi alajjī alajjisatampi karotī’’tiādivacanato (pārā. aṭṭha. 2.585). Yadi hi te evaṃ na niggahitā siyuṃ, saṅghe kalahādiṃ vaḍḍhetvā uposathādisāmaggīkammapaṭibāhanādinā pesalānaṃ aphāsuṃ katvā kamena te devadattavajjiputtakādayo viya parisaṃ vaḍḍhetvā attano vippaṭipattiṃ dhammato vinayato dīpentā saṅghabhedādimpi katvā nacirasseva sāsanaṃ antaradhāpeyyuṃ, tesu pana saṅghato bahikaraṇādivasena niggahitesu sabbopāyaṃ upaddavo na hoti. Vuttañhi –
‘‘ทุสฺสีลปุคฺคเล นิสฺสาย อุโปสโถ น ติฎฺฐติ, ปวารณา น ติฎฺฐติ, สงฺฆกมฺมานิ นปฺปวตฺตนฺติ, สามคฺคี น โหติ…เป.… ทุสฺสีเลสุ ปน นิคฺคหิเตสุ สโพฺพปิ อยํ อุปทฺทโว น โหติ, ตโต เปสลา ภิกฺขู ผาสุ วิหรนฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๓๙)ฯ
‘‘Dussīlapuggale nissāya uposatho na tiṭṭhati, pavāraṇā na tiṭṭhati, saṅghakammāni nappavattanti, sāmaggī na hoti…pe… dussīlesu pana niggahitesu sabbopi ayaṃ upaddavo na hoti, tato pesalā bhikkhū phāsu viharantī’’ti (pārā. aṭṭha. 1.39).
ตสฺมา เอกกมฺมาทิธมฺมปริโภโคว อามิสปริโภคโตปิ อติวิย อลชฺชิวิเวเกน กาตโพฺพ, อาปตฺติกโร จ สทฺธมฺมปริหานิเหตุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ
Tasmā ekakammādidhammaparibhogova āmisaparibhogatopi ativiya alajjivivekena kātabbo, āpattikaro ca saddhammaparihānihetuttāti veditabbaṃ.
อปิจ อุโปสโถ น ติฎฺฐติ, ปวารณา น ติฎฺฐติ, สงฺฆกมฺมานิ นปฺปวตฺตนฺตีติ เอวํ อลชฺชีหิ สทฺธิํ สงฺฆกมฺมากรณสฺส อฎฺฐกถายํ ปกาสิตตฺตาปิ เจตํ สิชฺฌติ, ตถา ปริวตฺตลิงฺคสฺส ภิกฺขุโน ภิกฺขุนุปสฺสยํ คจฺฉนฺตสฺส ปฎิปตฺติกถายํ ‘‘อาราธิกา จ โหนฺติ สงฺคาหิกา ลชฺชินิโย, ตา โกเปตฺวา อญฺญตฺถ น คนฺตพฺพํฯ คจฺฉติ เจ, คามนฺตรนทีปารรตฺติวิปฺปวาสคณโอหียนาปตฺตีหิ น มุจฺจติ…เป.… อลชฺชินิโย โหนฺติ, สงฺคหํ ปน กโรนฺติ, ตาปิ ปริจฺจชิตฺวา อญฺญตฺถ คนฺตุํ ลพฺภตี’’ติ เอวํ อลชฺชินีสุ ทุติยิกาคหณาทีสุ สํวาสาปตฺติปริหาราย นทีปารคมนาทิครุกาปตฺติฎฺฐานานํ อนุญฺญาตตฺตา ตโตปิ อลชฺชิสํวาสาปตฺติ เอว สทฺธมฺมปริหานิเหตุโต ครุกตราติ วิญฺญายติฯ น หิ ลหุกาปตฺติฎฺฐานํ, อนาปตฺติฎฺฐานํ วา ปริหริตุํ ครุกาปตฺติฎฺฐานวีติกฺกมํ อาจริยา อนุชานนฺติ, ตถา อสํวาสปทสฺส อฎฺฐกถายํ ‘‘สเพฺพหิปิ ลชฺชิปุคฺคเลหิ สมํ สิกฺขิตพฺพภาวโต สมสิกฺขาตา นามฯ เอตฺถ ยสฺมา สเพฺพปิ ลชฺชิโน เอเตสุ กมฺมาทีสุ สห วสนฺติ, น เอโกปิ ตโต พหิทฺธา สนฺทิสฺสติ, ตสฺมา ตานิ สพฺพานิปิ คเหตฺวา เอโส สํวาโส นามา’’ติ เอวํ ลชฺชีเหว เอกกมฺมาทิสํวาโส วฎฺฎตีติ ปกาสิโตฯ
Apica uposatho na tiṭṭhati, pavāraṇā na tiṭṭhati, saṅghakammāni nappavattantīti evaṃ alajjīhi saddhiṃ saṅghakammākaraṇassa aṭṭhakathāyaṃ pakāsitattāpi cetaṃ sijjhati, tathā parivattaliṅgassa bhikkhuno bhikkhunupassayaṃ gacchantassa paṭipattikathāyaṃ ‘‘ārādhikā ca honti saṅgāhikā lajjiniyo, tā kopetvā aññattha na gantabbaṃ. Gacchati ce, gāmantaranadīpārarattivippavāsagaṇaohīyanāpattīhi na muccati…pe… alajjiniyo honti, saṅgahaṃ pana karonti, tāpi pariccajitvā aññattha gantuṃ labbhatī’’ti evaṃ alajjinīsu dutiyikāgahaṇādīsu saṃvāsāpattiparihārāya nadīpāragamanādigarukāpattiṭṭhānānaṃ anuññātattā tatopi alajjisaṃvāsāpatti eva saddhammaparihānihetuto garukatarāti viññāyati. Na hi lahukāpattiṭṭhānaṃ, anāpattiṭṭhānaṃ vā pariharituṃ garukāpattiṭṭhānavītikkamaṃ ācariyā anujānanti, tathā asaṃvāsapadassa aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbehipi lajjipuggalehi samaṃ sikkhitabbabhāvato samasikkhātā nāma. Ettha yasmā sabbepi lajjino etesu kammādīsu saha vasanti, na ekopi tato bahiddhā sandissati, tasmā tāni sabbānipi gahetvā eso saṃvāso nāmā’’ti evaṃ lajjīheva ekakammādisaṃvāso vaṭṭatīti pakāsito.
ยทิ เอวํ, กสฺมา อสํวาสิเกสุ อลชฺชี น คณิโตติ? นายํ วิโรโธ, เย คณปูรเก กตฺวา กตํ กมฺมํ กุปฺปติ, เตสํ ปาราชิกาทิอปกตตฺตานเญฺญว อสํวาสิกเตฺต คหิตตฺตาฯ อลชฺชิโน ปน ปกตตฺตภูตาปิ สนฺติ, เต เจ คณปูรณา หุตฺวา กมฺมํ สาเธนฺติ, เกวลํ กตฺวา อคติคมเนน กโรนฺตานํ อาปตฺติกรา โหนฺติ สภาคาปตฺติอาปนฺนา วิย อญฺญมญฺญํฯ ยสฺมา อลชฺชิตญฺจ ลชฺชิตญฺจ ปุถุชฺชนานํ จิตฺตกฺขณปฎิพทฺธํ, น สพฺพกาลิกํฯ สญฺจิจฺจ หิ วีติกฺกมจิเตฺต อุปฺปเนฺน อลชฺชิโน ‘‘น ปุน อีทิสํ กริสฺสามี’’ติ จิเตฺตน ลชฺชิโน จ โหนฺติ, เตสุ จ เย เปสเลหิ โอวทิยมานาปิ น โอรมนฺติ, ปุนปฺปุนํ วีติกฺกมนฺติ, เต เอว อสํวสิตพฺพา, น อิตเร ลชฺชิธเมฺม โอกฺกนฺตตฺตาฯ ตสฺมาปิ อลชฺชิโน อสํวาสิเกสุ อคเณตฺวา ตปฺปริวชฺชนตฺถํ โสเธตฺวาว อุโปสถาทิกรณํ อนุญฺญาตํฯ ตถา หิ ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓๔) อปริสุทฺธาย ปริสาย อุโปสถกรณสฺส อยุตฺตตา ปกาสิตา, ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ โส อาวิกเรยฺย…เป.… ผาสุ โหตี’’ติ (มหาว. ๑๓๔) เอวํ อลชฺชิมฺปิ ลชฺชิธเมฺม ปติฎฺฐาเปตฺวา อุโปสถกรณปฺปกาโร จ วุโตฺต, ‘‘กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา…เป.… ปริสุเทฺธตฺถายสฺมโนฺต’’ติ (ปารา. ๔๔๒, ๔๕๘, ๖๖๒; ปาจิ. ๕๕๑, ๕๗๕, ๖๕๕) จ ปาริสุทฺธิอุโปสเถ ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ ภเนฺต, ปริสุโทฺธติ มํ ธาเรถา’’ติ (มหาว. ๑๖๘) จ เอวํ อุโปสถํ กโรนฺตานํ ปริสุทฺธตา จ ปกาสิตา, วจนมเตฺตน อโนรมนฺตานญฺจ อุโปสถปวอารณฎฺฐปนวิธิ จ วุตฺตา, สพฺพถา ลชฺชิธมฺมํ อโนกฺกมเนฺตหิ สํวาสสฺส อยุตฺตตาย นิสฺสยทานคฺคหณปฎิเกฺขโป, ตชฺชนียาทินิคฺคหกมฺมกรณญฺจ อุเกฺขปนียกมฺมกรเณน สานุวตฺตกปริสสฺส อลชฺชิสฺส อสํวาสิกตฺตปาปนวิธิ จ วุตฺตาฯ ตสฺมา ยถาวุเตฺตหิ สุตฺตนเยหิ, อฎฺฐกถาวจเนหิ จ ปกตเตฺตหิปิ อปกตเตฺตหิปิ สเพฺพหิ อลชฺชีหิ เอกกมฺมาทิสํวาโส น วฎฺฎติ, กโรนฺตานํ อาปตฺติ เอว ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหตฺถาเยว สพฺพสิกฺขาปทานํ ปญฺญตฺตตฺตาติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ เตเนว ทุติยสงฺคีติยํ ปกตตฺตาปิ อลชฺชิโน วชฺชิปุตฺตกา ยสเตฺถราทีหิ มหเนฺตน วายาเมน สงฺฆโต วิโยชิตาฯ น หิ เตสุ ปาราชิกาทิอสํวาสิกา อตฺถิ เตหิ ทีปิตานํ ทสนฺนํ วตฺถูนํ (จูฬว. ๔๕๒) ลหุกาปตฺติวิสยตฺตาฯ
Yadi evaṃ, kasmā asaṃvāsikesu alajjī na gaṇitoti? Nāyaṃ virodho, ye gaṇapūrake katvā kataṃ kammaṃ kuppati, tesaṃ pārājikādiapakatattānaññeva asaṃvāsikatte gahitattā. Alajjino pana pakatattabhūtāpi santi, te ce gaṇapūraṇā hutvā kammaṃ sādhenti, kevalaṃ katvā agatigamanena karontānaṃ āpattikarā honti sabhāgāpattiāpannā viya aññamaññaṃ. Yasmā alajjitañca lajjitañca puthujjanānaṃ cittakkhaṇapaṭibaddhaṃ, na sabbakālikaṃ. Sañcicca hi vītikkamacitte uppanne alajjino ‘‘na puna īdisaṃ karissāmī’’ti cittena lajjino ca honti, tesu ca ye pesalehi ovadiyamānāpi na oramanti, punappunaṃ vītikkamanti, te eva asaṃvasitabbā, na itare lajjidhamme okkantattā. Tasmāpi alajjino asaṃvāsikesu agaṇetvā tapparivajjanatthaṃ sodhetvāva uposathādikaraṇaṃ anuññātaṃ. Tathā hi ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocetha, pātimokkhaṃ uddisissāmī’’tiādinā (mahāva. 134) aparisuddhāya parisāya uposathakaraṇassa ayuttatā pakāsitā, ‘‘yassa siyā āpatti so āvikareyya…pe… phāsu hotī’’ti (mahāva. 134) evaṃ alajjimpi lajjidhamme patiṭṭhāpetvā uposathakaraṇappakāro ca vutto, ‘‘kaccittha parisuddhā…pe… parisuddhetthāyasmanto’’ti (pārā. 442, 458, 662; pāci. 551, 575, 655) ca pārisuddhiuposathe ‘‘parisuddho ahaṃ bhante, parisuddhoti maṃ dhārethā’’ti (mahāva. 168) ca evaṃ uposathaṃ karontānaṃ parisuddhatā ca pakāsitā, vacanamattena anoramantānañca uposathapavaāraṇaṭṭhapanavidhi ca vuttā, sabbathā lajjidhammaṃ anokkamantehi saṃvāsassa ayuttatāya nissayadānaggahaṇapaṭikkhepo, tajjanīyādiniggahakammakaraṇañca ukkhepanīyakammakaraṇena sānuvattakaparisassa alajjissa asaṃvāsikattapāpanavidhi ca vuttā. Tasmā yathāvuttehi suttanayehi, aṭṭhakathāvacanehi ca pakatattehipi apakatattehipi sabbehi alajjīhi ekakammādisaṃvāso na vaṭṭati, karontānaṃ āpatti eva dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahatthāyeva sabbasikkhāpadānaṃ paññattattāti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Teneva dutiyasaṅgītiyaṃ pakatattāpi alajjino vajjiputtakā yasattherādīhi mahantena vāyāmena saṅghato viyojitā. Na hi tesu pārājikādiasaṃvāsikā atthi tehi dīpitānaṃ dasannaṃ vatthūnaṃ (cūḷava. 452) lahukāpattivisayattā.
ตสฺส ปน สนฺติเกติ มหารกฺขิตเตฺถรสฺส สนฺติเกฯ ขรปตฺตนฺติ ขรสงฺขาตํ สุวณฺณปติรูปกํ วตฺถุฯ ทายเกหิ อสติยา ทินฺนํ รูปิยํ เตหิ ปุน สกสญฺญาย คณฺหเนฺต อทาตุํ, นิสฺสคฺคิยวตฺถุํ คณฺหาหีติ ทาตุญฺจ น วฎฺฎตีติ อาห ‘‘ตว โจฬกํ ปสฺสาหี’’ติฯ เอวํ วตฺวาปิ ปน นฎฺฐวตฺถุสฺมิํ วิย นิสฺสชฺชิตพฺพาภาเวปิ อาปตฺติ เทเสตพฺพาวฯ อสติยาปิ หิ ตํ วตฺถุํ วตฺถาทินา สหเตฺถน คเหตฺวา ‘‘อิทํ เทมี’’ติ ทินฺนํ, ตทา ปริจฺจาคสพฺภาวโต ทานเมว โหติ ‘‘อปฺปคฺฆํ ทสฺสามี’’ติ มหคฺฆสฺส ทาเน วิยฯ ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส จ อสติยา ทิยฺยมานเตฺต ญาเตปิ อทินฺนาทานํ น โหติ ทายเกหิ ทินฺนตฺตา, ตสฺมา รูปิยํ นิสฺสคฺคิยเมว โหติฯ เกจิ ปน ‘‘อีทิสํ นาม น โหติ, เตเนว เจตฺถ ‘ตว โจฬกํ ปสฺสา’ติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ โน นกฺขมติ, วีมํสิตพฺพํฯ
Tassa pana santiketi mahārakkhitattherassa santike. Kharapattanti kharasaṅkhātaṃ suvaṇṇapatirūpakaṃ vatthu. Dāyakehi asatiyā dinnaṃ rūpiyaṃ tehi puna sakasaññāya gaṇhante adātuṃ, nissaggiyavatthuṃ gaṇhāhīti dātuñca na vaṭṭatīti āha ‘‘tava coḷakaṃ passāhī’’ti. Evaṃ vatvāpi pana naṭṭhavatthusmiṃ viya nissajjitabbābhāvepi āpatti desetabbāva. Asatiyāpi hi taṃ vatthuṃ vatthādinā sahatthena gahetvā ‘‘idaṃ demī’’ti dinnaṃ, tadā pariccāgasabbhāvato dānameva hoti ‘‘appagghaṃ dassāmī’’ti mahagghassa dāne viya. Paṭiggaṇhantassa ca asatiyā diyyamānatte ñātepi adinnādānaṃ na hoti dāyakehi dinnattā, tasmā rūpiyaṃ nissaggiyameva hoti. Keci pana ‘‘īdisaṃ nāma na hoti, teneva cettha ‘tava coḷakaṃ passā’ti vutta’’nti vadanti, taṃ no nakkhamati, vīmaṃsitabbaṃ.
๕๘๖. เอกปริเจฺฉทานีติ สิยา กิริยตฺตํ, สิยา อกิริยตฺตญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ ชาตรูปรชตภาโว, อตฺตุเทฺทสิกตา, คหณาทีสุ อญฺญตรภาโวติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ
586.Ekaparicchedānīti siyā kiriyattaṃ, siyā akiriyattañca sandhāya vuttaṃ. Jātarūparajatabhāvo, attuddesikatā, gahaṇādīsu aññatarabhāvoti imānettha tīṇi aṅgāni.
รูปิยสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rūpiyasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๘. รูปิยสิกฺขาปทํ • 8. Rūpiyasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๘. รูปิยสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Rūpiyasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๘. รูปิยสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Rūpiyasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๘. รูปิยสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Rūpiyasikkhāpadavaṇṇanā