Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๖. รุรุมิคราชจริยาวณฺณนา
6. Rurumigarājacariyāvaṇṇanā
๔๘. ฉเฎฺฐ สุตตฺตกนกสนฺนิโภติ ยถา สุฎฺฐุ อปคตสพฺพกาฬโก โหติ, เอวํ อคฺคิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา สุตตฺตกนกสนฺนิโภฯ มิคราชา รุรุ นามาติ ชาติสิเทฺธน นาเมน รุรุ นาม มิคราชา, ชาติโต รุรุ, มิคานญฺจ ราชาติ อโตฺถฯ ปรมสีลสมาหิโตติ อุตฺตมสีลสมาหิโต, วิสุทฺธสีโล เจว สมาหิตจิโตฺต จ, วิสุทฺธสีเล วา สมฺมา อาหิตจิโตฺตติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
48. Chaṭṭhe sutattakanakasannibhoti yathā suṭṭhu apagatasabbakāḷako hoti, evaṃ aggimhi pakkhipitvā sutattakanakasannibho. Migarājā ruru nāmāti jātisiddhena nāmena ruru nāma migarājā, jātito ruru, migānañca rājāti attho. Paramasīlasamāhitoti uttamasīlasamāhito, visuddhasīlo ceva samāhitacitto ca, visuddhasīle vā sammā āhitacittoti evamettha attho veditabbo.
ตทา โพธิสโตฺต รุรุมิคโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ ตสฺส สรีรจฺฉวิ สุฎฺฐุ ตาเปตฺวา มชฺชิตกญฺจนปฎฺฎวโณฺณ อโหสิ, หตฺถปาทา ลาขารสปริกมฺมกตา วิย, นงฺคุฎฺฐํ จมรีนงฺคุฎฺฐํ วิย, สิงฺคานิ รชตทามวณฺณานิ อกฺขีนิ สุมชฺชิตมณิคุฬิกา วิย, มุขํ โอทหิตฺวา ฐปิตรตฺตกมฺพลเคณฺฑุกา วิยฯ โส ชนสํสคฺคํ ปหาย วิเวกวาสํ วสิตุกาโม ปริวารํ ฉเฑฺฑตฺวา เอกโกว คงฺคานิวตฺตเน รมณีเย สาลมิสฺสเก สุปุปฺผิตปวเน วสติฯ เตน วุตฺตํ –
Tadā bodhisatto rurumigayoniyaṃ nibbatti. Tassa sarīracchavi suṭṭhu tāpetvā majjitakañcanapaṭṭavaṇṇo ahosi, hatthapādā lākhārasaparikammakatā viya, naṅguṭṭhaṃ camarīnaṅguṭṭhaṃ viya, siṅgāni rajatadāmavaṇṇāni akkhīni sumajjitamaṇiguḷikā viya, mukhaṃ odahitvā ṭhapitarattakambalageṇḍukā viya. So janasaṃsaggaṃ pahāya vivekavāsaṃ vasitukāmo parivāraṃ chaḍḍetvā ekakova gaṅgānivattane ramaṇīye sālamissake supupphitapavane vasati. Tena vuttaṃ –
๔๙.
49.
‘‘รเมฺม ปเทเส รมณีเย, วิวิเตฺต อมนุสฺสเก;
‘‘Ramme padese ramaṇīye, vivitte amanussake;
ตตฺถ วาสํ อุปคญฺฉิํ, คงฺคากูเล มโนรเม’’ติฯ
Tattha vāsaṃ upagañchiṃ, gaṅgākūle manorame’’ti.
ตตฺถ รเมฺม ปเทเสติ มุตฺตาตลสทิสวาลุกาจุณฺณปณฺฑเรหิ ภูมิภาเคหิ สินิทฺธหริตติณสญฺจริเตหิ วนตฺถเลหิ จิตฺตตฺถรเณหิ วิย นานาวณฺณวิจิเตฺตหิ สิลาตเลหิ มณิกฺขนฺธนิมฺมลสลิเลหิ ชลาสเยหิ จ สมนฺนาคตตฺตา เยภุเยฺยน จ อินฺทโคปกวณฺณาย รตฺตาย สุขสมฺผสฺสาย ติณชาติยา สญฺฉนฺนตฺตา รเมฺม อรญฺญปฺปเทเสฯ รมฺมณีเยติ ปุปฺผผลปลฺลวาลงฺกตวิปุลสาขาวินเทฺธหิ นานาวิธทิชคณูปกูชิเตหิ วิวิธตรุลตาวนวิราชิเตหิ เยภุเยฺยน อมฺพสาลวนสณฺฑมณฺฑิเตหิ วนคหเนหิ อุปโสภิตตฺตา ตตฺถ ปวิฎฺฐสฺส ชนสฺส รติชนนเฎฺฐน รมณีเยฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ รุรุมิคราชชาตเก –
Tattha ramme padeseti muttātalasadisavālukācuṇṇapaṇḍarehi bhūmibhāgehi siniddhaharitatiṇasañcaritehi vanatthalehi cittattharaṇehi viya nānāvaṇṇavicittehi silātalehi maṇikkhandhanimmalasalilehi jalāsayehi ca samannāgatattā yebhuyyena ca indagopakavaṇṇāya rattāya sukhasamphassāya tiṇajātiyā sañchannattā ramme araññappadese. Rammaṇīyeti pupphaphalapallavālaṅkatavipulasākhāvinaddhehi nānāvidhadijagaṇūpakūjitehi vividhatarulatāvanavirājitehi yebhuyyena ambasālavanasaṇḍamaṇḍitehi vanagahanehi upasobhitattā tattha paviṭṭhassa janassa ratijananaṭṭhena ramaṇīye. Vuttampi cetaṃ rurumigarājajātake –
‘‘เอตสฺมิํ วนสณฺฑสฺมิํ, อมฺพา สาลา จ ปุปฺผิตา;
‘‘Etasmiṃ vanasaṇḍasmiṃ, ambā sālā ca pupphitā;
อินฺทโคปกสญฺฉโนฺน, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๑๙);
Indagopakasañchanno, ettheso tiṭṭhate migo’’ti. (jā. 1.13.119);
วิวิเตฺตติ ชนวาสวิรเหน สุเญฺญฯ อมนุสฺสเกติ สญฺจรณมนุสฺสานมฺปิ ตตฺถ อภาเวน มนุสฺสรหิเต ฯ มโนรเมติ ยถาวุตฺตคุณสมฺปตฺติยา วิเสสโต ปวิเวกกามานํ มโน รเมตีติ มโนรเมฯ
Vivitteti janavāsavirahena suññe. Amanussaketi sañcaraṇamanussānampi tattha abhāvena manussarahite . Manorameti yathāvuttaguṇasampattiyā visesato pavivekakāmānaṃ mano rametīti manorame.
๕๐. อถ อุปริคงฺคายาติ เอตฺถ อถาติ อธิกาเร นิปาโต, เตน มยิ ตตฺถ ตถา วสเนฺต อิทํ อธิการนฺตรํ อุปฺปนฺนนฺติ ทีเปติฯ อุปริคงฺคายาติ คงฺคาย นทิยา อุปริโสเตฯ ธนิเกหิ ปริปีฬิโตติ อิณํ คเหตฺวา ตํ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต อิณายิเกหิ โจทิยมาโนฯ
50.Atha uparigaṅgāyāti ettha athāti adhikāre nipāto, tena mayi tattha tathā vasante idaṃ adhikārantaraṃ uppannanti dīpeti. Uparigaṅgāyāti gaṅgāya nadiyā uparisote. Dhanikehi paripīḷitoti iṇaṃ gahetvā taṃ dātuṃ asakkonto iṇāyikehi codiyamāno.
เอโก กิร พาราณสิเสฎฺฐิ อตฺตโน ปุตฺตํ ‘‘อยํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหโนฺต กิลมิสฺสตี’’ติ กิญฺจิ สิปฺปํ น อุคฺคณฺหาเปสิฯ คีตวาทิตนจฺจขาทนโภชนโต อุทฺธํ น กิญฺจิ อญฺญาสิฯ ตํ วยปฺปตฺตํ ปติรูเปน ทาเรน สํโยเชตฺวา ธนํ นิยฺยาเตตฺวา มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ โส เตสํ อจฺจเยน อิตฺถิธุตฺตสุราธุตฺตาทิปริวุโต นานาพฺยสนมุเขหิ สพฺพํ ธนํ วิทฺธํเสตฺวา ตตฺถ ตตฺถ อิณํ อาทาย ตมฺปิ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต ธนิเกหิ โจทิยมาโน ‘‘กิํ มยฺหํ ชีวิเตน, เตเนวมฺหิ อตฺตภาเวน อโญฺญ วิย ชาโต, มรณํ เม เสโยฺย’’ติ จิเนฺตตฺวา อิณายิเก อาห – ‘‘ตุมฺหากํ อิณปณฺณานิ คเหตฺวา อาคจฺฉถ, คงฺคาตีเร เม นิหิตํ กุลสนฺตกํ ธนํ อตฺถิ, ตํ โว ทสฺสามี’’ติฯ เต เตน สทฺธิํ อคมํสุฯ โส ‘‘อิธ ธนํ, เอตฺถ ธน’’นฺติ นิธิฎฺฐานํ อาจิกฺขโนฺต วิย ‘‘เอวํ เม อิณโมโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ ปลายิตฺวา คงฺคายํ ปติฯ โส จณฺฑโสเตน วุยฺหโนฺต การุญฺญรวํ รวิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ อุปริคงฺคายา’’ติอาทิฯ
Eko kira bārāṇasiseṭṭhi attano puttaṃ ‘‘ayaṃ sippaṃ uggaṇhanto kilamissatī’’ti kiñci sippaṃ na uggaṇhāpesi. Gītavāditanaccakhādanabhojanato uddhaṃ na kiñci aññāsi. Taṃ vayappattaṃ patirūpena dārena saṃyojetvā dhanaṃ niyyātetvā mātāpitaro kālamakaṃsu. So tesaṃ accayena itthidhuttasurādhuttādiparivuto nānābyasanamukhehi sabbaṃ dhanaṃ viddhaṃsetvā tattha tattha iṇaṃ ādāya tampi dātuṃ asakkonto dhanikehi codiyamāno ‘‘kiṃ mayhaṃ jīvitena, tenevamhi attabhāvena añño viya jāto, maraṇaṃ me seyyo’’ti cintetvā iṇāyike āha – ‘‘tumhākaṃ iṇapaṇṇāni gahetvā āgacchatha, gaṅgātīre me nihitaṃ kulasantakaṃ dhanaṃ atthi, taṃ vo dassāmī’’ti. Te tena saddhiṃ agamaṃsu. So ‘‘idha dhanaṃ, ettha dhana’’nti nidhiṭṭhānaṃ ācikkhanto viya ‘‘evaṃ me iṇamokkho bhavissatī’’ti palāyitvā gaṅgāyaṃ pati. So caṇḍasotena vuyhanto kāruññaravaṃ ravi. Tena vuttaṃ ‘‘atha uparigaṅgāyā’’tiādi.
ตตฺถ ชีวามิ วา มรามิ วาติ อิมสฺมิํ คงฺคาโสเต ปติโต ชีวามิ วา มรามิ วา, ชีวิตํ วา เม เอตฺถ โหตุ มรณํ วา, อุภยถาปิ อิณายิกปีฬา น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha jīvāmi vā marāmi vāti imasmiṃ gaṅgāsote patito jīvāmi vā marāmi vā, jīvitaṃ vā me ettha hotu maraṇaṃ vā, ubhayathāpi iṇāyikapīḷā na hotīti adhippāyo.
๕๑. มเชฺฌ คงฺคาย คจฺฉตีติ โส ปุริโส รตฺตินฺทิวํ คงฺคาย วุยฺหมาโน ชีวิตเปมสฺส วิชฺชมานตฺตา มรณํ อปฺปโตฺต มรณภยตชฺชิโต หุตฺวา กรุณํ รวํ รวโนฺต คงฺคาย มเชฺฌ มโหทเกน คจฺฉติฯ
51.Majjhe gaṅgāyagacchatīti so puriso rattindivaṃ gaṅgāya vuyhamāno jīvitapemassa vijjamānattā maraṇaṃ appatto maraṇabhayatajjito hutvā karuṇaṃ ravaṃ ravanto gaṅgāya majjhe mahodakena gacchati.
๕๒. อถ มหาปุริโส อฑฺฒรตฺตสมเย ตสฺส ตํ กรุณํ ปริเทวนฺตสฺส ปริเทวิตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘มนุสฺสสโทฺท สูยติ, มา มยิ อิธ ธรเนฺต มรตุ, ชีวิตมสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สยนคุมฺพา วุฎฺฐาย นทีตีรํ คนฺตฺวา ‘‘อโมฺภ ปุริส, มา ภายิ, ชีวิตํ เต ทสฺสามี’’ติ วตฺวา อสฺสาเสตฺวา โสตํ ฉินฺทโนฺต คนฺตฺวา ตํ ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา ตีรํ ปาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ เนตฺวา ปริสฺสมํ วิโนเทตฺวา ผลาผลานิ ทตฺวา ทฺวีหตีหจฺจเยน ตํ อาห – ‘‘อโมฺภ ปุริส , อหํ ตํ พาราณสิคามิมคฺคํ ปาเปสฺสามิ, ตฺวํ ‘อสุกฎฺฐาเน นาม กญฺจนมิโค วสตี’ติ มา กสฺสจิ อาโรเจหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, สามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ มหาสโตฺต ตํ อตฺตโน ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา พาราณสิมเคฺค โอตาเรตฺวา นิวตฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตสฺสาหํ สทฺทํ สุตฺวาน, กรุณํ ปริเทวโต’’ติอาทิฯ
52. Atha mahāpuriso aḍḍharattasamaye tassa taṃ karuṇaṃ paridevantassa paridevitasaddaṃ sutvā ‘‘manussasaddo sūyati, mā mayi idha dharante maratu, jīvitamassa dassāmī’’ti cintetvā sayanagumbā vuṭṭhāya nadītīraṃ gantvā ‘‘ambho purisa, mā bhāyi, jīvitaṃ te dassāmī’’ti vatvā assāsetvā sotaṃ chindanto gantvā taṃ piṭṭhiyaṃ āropetvā tīraṃ pāpetvā attano vasanaṭṭhānaṃ netvā parissamaṃ vinodetvā phalāphalāni datvā dvīhatīhaccayena taṃ āha – ‘‘ambho purisa , ahaṃ taṃ bārāṇasigāmimaggaṃ pāpessāmi, tvaṃ ‘asukaṭṭhāne nāma kañcanamigo vasatī’ti mā kassaci ārocehī’’ti. So ‘‘sādhu, sāmī’’ti sampaṭicchi. Mahāsatto taṃ attano piṭṭhiṃ āropetvā bārāṇasimagge otāretvā nivatti. Tena vuttaṃ – ‘‘tassāhaṃ saddaṃ sutvāna, karuṇaṃ paridevato’’tiādi.
ตตฺถ โกสิ ตฺวํ นโรติ ตฺวํ โก มนุโสฺส อสิ, กุโต อิธ วุยฺหมาโน อาคโตสีติ อโตฺถฯ
Tattha kosi tvaṃ naroti tvaṃ ko manusso asi, kuto idha vuyhamāno āgatosīti attho.
๕๓. อตฺตโน กรณนฺติ อตฺตโน กิริยํฯ ธนิเกหิ ภีโตติ อิณายิเกหิ อุพฺพิโคฺคฯ ตสิโตติ อุตฺรโสฺตฯ
53.Attanokaraṇanti attano kiriyaṃ. Dhanikehi bhītoti iṇāyikehi ubbiggo. Tasitoti utrasto.
๕๔. ตสฺส กตฺวาน การุญฺญํ, จชิตฺวา มม ชีวิตนฺติ การุญฺญํ กตฺวา มหากรุณาย สมุสฺสาหิโต มม ชีวิตํ ตสฺส ปุริสสฺส ปริจฺจชิตฺวาฯ ปวิสิตฺวา นีหริํ ตสฺสาติ นทิํ ปวิสิตฺวา โสตํ ฉินฺทโนฺต อุชุกเมว คนฺตฺวา มม ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา ตโต ตํ นีหริํฯ ตสฺสาติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํฯ ‘‘ตตฺถา’’ติปิ ปาฬิ, ตตฺถ นทิยนฺติ อโตฺถฯ อนฺธการมฺหิ รตฺติยาติ รตฺติยา อนฺธการสมเย, กาฬปกฺขรตฺติยนฺติ อโตฺถฯ
54.Tassa katvāna kāruññaṃ, cajitvā mama jīvitanti kāruññaṃ katvā mahākaruṇāya samussāhito mama jīvitaṃ tassa purisassa pariccajitvā. Pavisitvā nīhariṃ tassāti nadiṃ pavisitvā sotaṃ chindanto ujukameva gantvā mama piṭṭhiṃ āropetvā tato taṃ nīhariṃ. Tassāti upayogatthe sāmivacanaṃ. ‘‘Tatthā’’tipi pāḷi, tattha nadiyanti attho. Andhakāramhi rattiyāti rattiyā andhakārasamaye, kāḷapakkharattiyanti attho.
๕๕. อสฺสตฺถกาลมญฺญายาติ ปริสฺสมํ อปเนตฺวา ผลาผลานิ ทตฺวา ทฺวีหตีหจฺจเยน กิลมถสฺส วิคตกาลํ ชานิตฺวาฯ เอกํ ตํ วรํ ยาจามีติ อหํ ตํ เอกํ วรํ ยาจามิ, มยฺหํ เอกํ วรํ เทหีติ อโตฺถฯ กิํ ตํ วรนฺติ เจ? อาห – มา มํ กสฺสจิ ปาวทาติ ‘‘อสุกฎฺฐาเน สุวณฺณมิโค วสตี’’ติ กสฺสจิ รโญฺญ วา ราชมหามตฺตสฺส วา มํ มา ปาวทฯ
55.Assatthakālamaññāyāti parissamaṃ apanetvā phalāphalāni datvā dvīhatīhaccayena kilamathassa vigatakālaṃ jānitvā. Ekaṃ taṃ varaṃ yācāmīti ahaṃ taṃ ekaṃ varaṃ yācāmi, mayhaṃ ekaṃ varaṃ dehīti attho. Kiṃ taṃ varanti ce? Āha – mā maṃ kassaci pāvadāti ‘‘asukaṭṭhāne suvaṇṇamigo vasatī’’ti kassaci rañño vā rājamahāmattassa vā maṃ mā pāvada.
อถ ตสฺมิํ ปุริเส พาราณสิํ ปวิฎฺฐทิวเสเยว โส ราชา ‘‘อหํ, เทว, สุวณฺณวณฺณํ มิคํ มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺตํ สุปิเนน อทฺทสํ, อหญฺหิ สจฺจสุปินา, อทฺธา โส วิชฺชติ, ตสฺมา กญฺจนมิคสฺส ธมฺมํ โสตุกามา ลภิสฺสามิ เจ ชีวิสฺสามิ, โน เจ เม ชีวิตํ นตฺถี’’ติ อคฺคมเหสิยา วุโตฺต ตํ อสฺสาเสตฺวา ‘‘สเจ มนุสฺสโลเก อตฺถิ, ลภิสฺสสี’’ติ วตฺวา พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สุวณฺณมิคา นาม โหนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, เทว, โหนฺตี’’ติ สุตฺวา สหสฺสตฺถวิกํ สุวณฺณจโงฺกฎเก ฐเปตฺวา ตํ หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา นคเร เภริํ จราเปสิ – ‘‘โย สุวณฺณมิคํ อาจิกฺขิสฺสติ, ตสฺส หตฺถินา สทฺธิํ อิมํ ทสฺสามี’’ติฯ ตโต อุตฺตริมฺปิ ทาตุกาโม หุตฺวา –
Atha tasmiṃ purise bārāṇasiṃ paviṭṭhadivaseyeva so rājā ‘‘ahaṃ, deva, suvaṇṇavaṇṇaṃ migaṃ mayhaṃ dhammaṃ desentaṃ supinena addasaṃ, ahañhi saccasupinā, addhā so vijjati, tasmā kañcanamigassa dhammaṃ sotukāmā labhissāmi ce jīvissāmi, no ce me jīvitaṃ natthī’’ti aggamahesiyā vutto taṃ assāsetvā ‘‘sace manussaloke atthi, labhissasī’’ti vatvā brāhmaṇe pakkosāpetvā ‘‘suvaṇṇamigā nāma hontī’’ti pucchitvā ‘‘āma, deva, hontī’’ti sutvā sahassatthavikaṃ suvaṇṇacaṅkoṭake ṭhapetvā taṃ hatthikkhandhaṃ āropetvā nagare bheriṃ carāpesi – ‘‘yo suvaṇṇamigaṃ ācikkhissati, tassa hatthinā saddhiṃ imaṃ dassāmī’’ti. Tato uttarimpi dātukāmo hutvā –
‘‘ตสฺส คามวรํ ทมฺมิ, นาริโย จ อลงฺกตา;
‘‘Tassa gāmavaraṃ dammi, nāriyo ca alaṅkatā;
โย เมตํ มิคมกฺขาติ, มิคานํ มิคมุตฺตม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๑๗) –
Yo metaṃ migamakkhāti, migānaṃ migamuttama’’nti. (jā. 1.13.117) –
คาถํ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปตฺวา สกลนคเร วาจาเปสิฯ อถ โส เสฎฺฐิปุโตฺต ตํ คาถํ สุตฺวา ราชปุริสานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘รโญฺญ เอวรูปํ มิคํ อาจิกฺขิสฺสามิ, มํ ราชานํ ทเสฺสถา’’ติ อาหฯ ราชปุริสา ตํ รโญฺญ สนฺติกํ เนตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘สจฺจํ, โภ, อทฺทสา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘สจฺจํ, เทว, มยา สทฺธิํ อาคจฺฉตุ, อหํ ตํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ อาหฯ ราชา ตเมว ปุริสํ มคฺคเทสกํ กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ ฐานํ คนฺตฺวา เตน มิตฺตทุพฺภินา ปุริเสน ทสฺสิตํ ปเทสํ อาวุธหเตฺถ ปุริเส สมนฺตโตว ปริวาเรตฺวา ‘‘อุกฺกุฎฺฐิํ กโรถา’’ติ วตฺวา สยํ กติปเยหิ ชเนหิ สทฺธิํ เอกมเนฺต อฎฺฐาสิฯ โสปิ ปุริโส อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต สทฺทํ สุตฺวา ‘‘มหโต พลกายสฺส สโทฺท, อทฺธา ตมฺหา เม ปุริสา ภเยน อุปฺปเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ ญตฺวา อุฎฺฐาย สกลปริสํ โอโลเกตฺวา ‘‘รโญฺญ ฐิตฎฺฐาเนเยว เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ ราชาภิมุโข ปายาสิฯ ราชา ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นาคพโล อวตฺถรโนฺต อาคเจฺฉยฺยา’’ติ สรํ สนฺนยฺหิตฺวา ‘‘อิมํ มิคํ สนฺตาเสตฺวา สเจ ปลายติ, วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ โพธิสตฺตาภิมุโข อโหสิฯ มหาสโตฺต –
Gāthaṃ suvaṇṇapaṭṭe likhāpetvā sakalanagare vācāpesi. Atha so seṭṭhiputto taṃ gāthaṃ sutvā rājapurisānaṃ santikaṃ gantvā ‘‘rañño evarūpaṃ migaṃ ācikkhissāmi, maṃ rājānaṃ dassethā’’ti āha. Rājapurisā taṃ rañño santikaṃ netvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘saccaṃ, bho, addasā’’ti pucchi. So ‘‘saccaṃ, deva, mayā saddhiṃ āgacchatu, ahaṃ taṃ dassessāmī’’ti āha. Rājā tameva purisaṃ maggadesakaṃ katvā mahantena parivārena taṃ ṭhānaṃ gantvā tena mittadubbhinā purisena dassitaṃ padesaṃ āvudhahatthe purise samantatova parivāretvā ‘‘ukkuṭṭhiṃ karothā’’ti vatvā sayaṃ katipayehi janehi saddhiṃ ekamante aṭṭhāsi. Sopi puriso avidūre aṭṭhāsi. Mahāsatto saddaṃ sutvā ‘‘mahato balakāyassa saddo, addhā tamhā me purisā bhayena uppannena bhavitabba’’nti ñatvā uṭṭhāya sakalaparisaṃ oloketvā ‘‘rañño ṭhitaṭṭhāneyeva me sotthi bhavissatī’’ti rājābhimukho pāyāsi. Rājā taṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘nāgabalo avattharanto āgaccheyyā’’ti saraṃ sannayhitvā ‘‘imaṃ migaṃ santāsetvā sace palāyati, vijjhitvā dubbalaṃ katvā gaṇhissāmī’’ti bodhisattābhimukho ahosi. Mahāsatto –
‘‘อาคเมหิ มหาราช, มา มํ วิชฺฌิ รเถสภ;
‘‘Āgamehi mahārāja, mā maṃ vijjhi rathesabha;
โก นุ เต อิทมกฺขาสิ, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๒๑) –
Ko nu te idamakkhāsi, ettheso tiṭṭhate migo’’ti. (jā. 1.13.121) –
คาถํ อภาสิฯ ราชา ตสฺส มธุรกถาย พชฺฌิตฺวา สรํ ปฎิสํหริตฺวา คารเวน อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺตปิ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา มธุรปฎิสนฺถารํ อกาสิฯ มหาชโนปิ สพฺพาวุธานิ อปเนตฺวา อาคนฺตฺวา ราชานํ ปริวาเรสิฯ เตน วุตฺตํ –
Gāthaṃ abhāsi. Rājā tassa madhurakathāya bajjhitvā saraṃ paṭisaṃharitvā gāravena aṭṭhāsi. Mahāsattopi rājānaṃ upasaṅkamitvā madhurapaṭisanthāraṃ akāsi. Mahājanopi sabbāvudhāni apanetvā āgantvā rājānaṃ parivāresi. Tena vuttaṃ –
๕๖.
56.
‘‘นครํ คนฺตฺวาน อาจิกฺขิ, ปุจฺฉิโต ธนเหตุโก;
‘‘Nagaraṃ gantvāna ācikkhi, pucchito dhanahetuko;
ราชานํ โส คเหตฺวาน, อุปคญฺฉิ มมนฺติก’’นฺติฯ
Rājānaṃ so gahetvāna, upagañchi mamantika’’nti.
ตสฺสโตฺถ – โย มิตฺตทุพฺภี ปาปปุริโส ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา ตถา มยา ปาณสํสยโต โมจิโต พาราณสินครํ คนฺตฺวา อตฺตนา ลทฺธพฺพธนนิมิตฺตํ รโญฺญ มํ อาจิกฺขิ, อาจิกฺขิตฺวา โส รโญฺญ คาหาเปตุํ มคฺคเทสโก หุตฺวา ราชานํ คเหตฺวา มม สนฺติกมุปาคมีติฯ
Tassattho – yo mittadubbhī pāpapuriso jīvitaṃ pariccajitvā tathā mayā pāṇasaṃsayato mocito bārāṇasinagaraṃ gantvā attanā laddhabbadhananimittaṃ rañño maṃ ācikkhi, ācikkhitvā so rañño gāhāpetuṃ maggadesako hutvā rājānaṃ gahetvā mama santikamupāgamīti.
มหาสโตฺต สุวณฺณกิงฺกิณิกํ จาเลโนฺต วิย มธุรสฺสเรน ราชานํ ปุน ปุจฺฉิ – ‘‘โก นุ เต อิทมกฺขาสิ, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ โส ปาปปุริโส โถกํ ปฎิกฺกมิตฺวา โสตปเถ อฎฺฐาสิ ฯ ราชา ‘‘อิมินา เม ตฺวํ ทสฺสิโต’’ติ ตํ ปุริสํ นิทฺทิสิฯ ตโต โพธิสโตฺต –
Mahāsatto suvaṇṇakiṅkiṇikaṃ cālento viya madhurassarena rājānaṃ puna pucchi – ‘‘ko nu te idamakkhāsi, ettheso tiṭṭhate migo’’ti. Tasmiṃ khaṇe so pāpapuriso thokaṃ paṭikkamitvā sotapathe aṭṭhāsi . Rājā ‘‘iminā me tvaṃ dassito’’ti taṃ purisaṃ niddisi. Tato bodhisatto –
‘‘สจฺจํ กิเรว มาหํสุ, นรา เอกจฺจิยา อิธ;
‘‘Saccaṃ kireva māhaṃsu, narā ekacciyā idha;
กฎฺฐํ นิปฺลวิตํ เสโยฺย, น เตฺวเวกจฺจิโย นโร’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๒๓) –
Kaṭṭhaṃ niplavitaṃ seyyo, na tvevekacciyo naro’’ti. (jā. 1.13.123) –
คาถมาหฯ ตํ สุตฺวา ราชา สํเวคชาโต –
Gāthamāha. Taṃ sutvā rājā saṃvegajāto –
‘‘กิํ นุ รุรุ ครหสิ มิคานํ, กิํ ปกฺขีนํ กิํ ปน มานุสานํ;
‘‘Kiṃ nu ruru garahasi migānaṃ, kiṃ pakkhīnaṃ kiṃ pana mānusānaṃ;
ภยญฺหิ มํ วินฺทตินปฺปรูปํ, สุตฺวาน ตํ มานุสิํ ภาสมาน’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๒๔) –
Bhayañhi maṃ vindatinapparūpaṃ, sutvāna taṃ mānusiṃ bhāsamāna’’nti. (jā. 1.13.124) –
คาถมาหฯ ตโต มหาปุริโส ‘‘มหาราช, น มิคํ น ปกฺขิํ ครหามิ, มนุสฺสํ ปน ครหามี’’ติ ทเสฺสโนฺต –
Gāthamāha. Tato mahāpuriso ‘‘mahārāja, na migaṃ na pakkhiṃ garahāmi, manussaṃ pana garahāmī’’ti dassento –
‘‘ยมุทฺธริํ วาหเน วุยฺหมานํ, มโหทเก สลิเล สีฆโสเต;
‘‘Yamuddhariṃ vāhane vuyhamānaṃ, mahodake salile sīghasote;
ตโตนิทานํ ภยมาคตํ มม, ทุโกฺข หเว ราช อสพฺภิ สงฺคโม’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๒๕) –
Tatonidānaṃ bhayamāgataṃ mama, dukkho have rāja asabbhi saṅgamo’’ti. (jā. 1.13.125) –
อาหฯ
Āha.
ตตฺถ นิปฺลวิตนฺติ อุทฺธริตํ, เอกจฺจิโยติ เอกโจฺจ มิตฺตทุพฺภี ปาปปุริโส อุทเก ปตโนฺตปิ อุตฺตาริโต นเตฺวว เสโยฺยฯ กฎฺฐญฺหิ นานปฺปกาเรน อุปการาย สํวตฺตติ, มิตฺตทุพฺภี ปน วินาสาย, ตสฺมา ตโต กฎฺฐเมว วรตรนฺติฯ มิคานนฺติ รุรุมิคราช, มิคานํ กิํ อญฺญตรํ ครหสิ, อุทาหุ ปกฺขีนํ มนุสฺสานนฺติ ปุจฺฉติฯ ภยญฺหิ มํ วินฺทตินปฺปรูปนฺติ มหนฺตํ ภยํ มํ ปฎิลภติ, อตฺตโน สนฺตกํ วิย กโรตีติ อโตฺถฯ
Tattha niplavitanti uddharitaṃ, ekacciyoti ekacco mittadubbhī pāpapuriso udake patantopi uttārito natveva seyyo. Kaṭṭhañhi nānappakārena upakārāya saṃvattati, mittadubbhī pana vināsāya, tasmā tato kaṭṭhameva varataranti. Migānanti rurumigarāja, migānaṃ kiṃ aññataraṃ garahasi, udāhu pakkhīnaṃ manussānanti pucchati. Bhayañhi maṃ vindatinapparūpanti mahantaṃ bhayaṃ maṃ paṭilabhati, attano santakaṃ viya karotīti attho.
วาหเนติ ปติตปติเต วหิตุํ สมเตฺถ คงฺคาวเหฯ มโหทเก สลิเลติ มโหทกีภูเต สลิเลฯ อุภเยนาปิ คงฺคาวหสฺส พหูทกตํ ทเสฺสติฯ ตโต นิทานนฺติ, มหาราช, โย มยฺหํ ตยา ทสฺสิโต ปุริโส, เอโส มยา คงฺคาย วุยฺหมาโน อฑฺฒรตฺตสมเย กรุณํ ปริเทวโนฺต ตโต อุตฺตาริโต, ตโตนิทานํ อิทํ มยฺหํ ภยมาคตํ, อสปฺปุริเสหิ สมาคโม นาม ทุโกฺขติฯ
Vāhaneti patitapatite vahituṃ samatthe gaṅgāvahe. Mahodakesalileti mahodakībhūte salile. Ubhayenāpi gaṅgāvahassa bahūdakataṃ dasseti. Tato nidānanti, mahārāja, yo mayhaṃ tayā dassito puriso, eso mayā gaṅgāya vuyhamāno aḍḍharattasamaye karuṇaṃ paridevanto tato uttārito, tatonidānaṃ idaṃ mayhaṃ bhayamāgataṃ, asappurisehi samāgamo nāma dukkhoti.
ตํ สุตฺวา ราชา ตสฺส กุชฺฌิตฺวา ‘‘เอวํ พหูปการสฺส นาม คุณํ น ชานาติ, ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ, วิชฺฌิตฺวา นํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสามี’’ติ สรํ สนฺนยฺหิฯ เตน วุตฺตํ –
Taṃ sutvā rājā tassa kujjhitvā ‘‘evaṃ bahūpakārassa nāma guṇaṃ na jānāti, dukkhaṃ uppādeti, vijjhitvā naṃ jīvitakkhayaṃ pāpessāmī’’ti saraṃ sannayhi. Tena vuttaṃ –
๕๗.
57.
‘‘ยาวตา กรณํ สพฺพํ, รโญฺญ อาโรจิตํ มยา;
‘‘Yāvatā karaṇaṃ sabbaṃ, rañño ārocitaṃ mayā;
ราชา สุตฺวาน วจนํ, อุสุํ ตสฺส ปกปฺปยิ;
Rājā sutvāna vacanaṃ, usuṃ tassa pakappayi;
อิเธว ฆาตยิสฺสามิ, มิตฺตทุพฺภิํ อนริย’’นฺติฯ
Idheva ghātayissāmi, mittadubbhiṃ anariya’’nti.
ตตฺถ ยาวตา กรณนฺติ ยํ ตสฺส มยา กตํ อุปการกรณํ, ตํ สพฺพํฯ ปกปฺปยีติ สนฺนยฺหิฯ มิตฺตทุพฺภินฺติ อตฺตโน มิเตฺตสุ อุปการีสุ ทุพฺภนสีลํฯ
Tattha yāvatā karaṇanti yaṃ tassa mayā kataṃ upakārakaraṇaṃ, taṃ sabbaṃ. Pakappayīti sannayhi. Mittadubbhinti attano mittesu upakārīsu dubbhanasīlaṃ.
ตโต มหาสโตฺต ‘‘เอส พาโล มํ นิสฺสาย มา นสฺสี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มหาราช, วโธ นาเมส พาลสฺส วา ปณฺฑิตสฺส วา น สาธูหิ ปสํสิโต, อญฺญทตฺถุ ครหิโต เอว, ตสฺมา มา อิมํ ฆาเตหิ, อยํ ยถารุจิ คจฺฉตุ, ยเญฺจว ตสฺส ‘ทสฺสามี’ติ ตยา ปฎิญฺญาตํ, ตมฺปิ อหาเปตฺวาว เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘อหญฺจ เต ยํ อิจฺฉิตํ, ตํ กริสฺสามิ, อตฺตานํ ตุยฺหํ ทมฺมี’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –
Tato mahāsatto ‘‘esa bālo maṃ nissāya mā nassī’’ti cintetvā ‘‘mahārāja, vadho nāmesa bālassa vā paṇḍitassa vā na sādhūhi pasaṃsito, aññadatthu garahito eva, tasmā mā imaṃ ghātehi, ayaṃ yathāruci gacchatu, yañceva tassa ‘dassāmī’ti tayā paṭiññātaṃ, tampi ahāpetvāva dehī’’ti āha. ‘‘Ahañca te yaṃ icchitaṃ, taṃ karissāmi, attānaṃ tuyhaṃ dammī’’ti āha. Tena vuttaṃ –
๕๘.
58.
‘‘ตมหํ อนุรกฺขโนฺต, นิมฺมินิํ มม อตฺตนา;
‘‘Tamahaṃ anurakkhanto, nimminiṃ mama attanā;
ติฎฺฐเตโส มหาราช, กามกาโร ภวามิ เต’’ติฯ
Tiṭṭhateso mahārāja, kāmakāro bhavāmi te’’ti.
ตตฺถ นิมฺมินินฺติ ตํ มิตฺตทุพฺภิํ ปาปปุคฺคลํ อนุรกฺขโนฺต มม อตฺตโน อตฺตภาเวน ตํ ปริวเตฺตสิํ , อตฺตานํ รโญฺญ นิยฺยาเตตฺวา ราชหตฺถโต ปตฺตํ ตสฺส มรณํ นิวาเรสินฺติ อโตฺถฯ ติฎฺฐเตโสติอาทิ วินิมยาการทสฺสนํ ฯ
Tattha nimmininti taṃ mittadubbhiṃ pāpapuggalaṃ anurakkhanto mama attano attabhāvena taṃ parivattesiṃ , attānaṃ rañño niyyātetvā rājahatthato pattaṃ tassa maraṇaṃ nivāresinti attho. Tiṭṭhatesotiādi vinimayākāradassanaṃ .
๕๙. อิทานิ ยทตฺถํ โส อตฺตวินิมโย กโต, ตํ ทเสฺสตุํ โอสานคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ตทา มํ นิสฺสาย ตํ มิตฺตทุพฺภิํ ปุริสํ ตสฺมิํ รเญฺญ ชีวิตา โวโรเปตุกาเม อหํ อตฺตานํ รโญฺญ ปริจฺจชโนฺต มม สีลเมว อนุรกฺขิํ, ชีวิตํ ปน นารกฺขิํฯ ยํ ปนาหเมว อตฺตโน ชีวิตนิรเปกฺขํ สีลวา อาสิํ, ตํ สมฺมาสโมฺพธิยา เอว การณาติฯ
59. Idāni yadatthaṃ so attavinimayo kato, taṃ dassetuṃ osānagāthamāha. Tassattho – tadā maṃ nissāya taṃ mittadubbhiṃ purisaṃ tasmiṃ raññe jīvitā voropetukāme ahaṃ attānaṃ rañño pariccajanto mama sīlameva anurakkhiṃ, jīvitaṃ pana nārakkhiṃ. Yaṃ panāhameva attano jīvitanirapekkhaṃ sīlavā āsiṃ, taṃ sammāsambodhiyā eva kāraṇāti.
อถ ราชา โพธิสเตฺตน อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา ตสฺส ปุริสสฺส มรเณ นิวาเรเนฺต ตุฎฺฐมานโส ‘‘คจฺฉ, โภ, มิคราชสฺส อนุคฺคเหน มม หตฺถโต มรณา มุโตฺต’’ติ วตฺวา ยถาปฎิญฺญาย ตญฺจสฺส ธนํ ทาเปสิฯ มหาสตฺตสฺส ยถารุจิยาว อนุชานิตฺวา ตํ นครํ เนตฺวา นครญฺจ โพธิสตฺตญฺจ อลงฺการาเปตฺวา เทวิยา ธมฺมํ เทสาเปสิฯ มหาสโตฺต เทวิํ อาทิํ กตฺวา รโญฺญ จ ราชปริสาย จ มธุราย มนุสฺสภาสาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ราชานํ ทสหิ ราชธเมฺมหิ โอวทิตฺวา มหาชนํ อนุสาสิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มิคคณปริวุโต วาสํ กเปฺปสิฯ ราชาปิ มหาสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สพฺพสตฺตานํ อภยํ ทตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สุคติปรายโน อโหสิฯ
Atha rājā bodhisattena attano jīvitaṃ pariccajitvā tassa purisassa maraṇe nivārente tuṭṭhamānaso ‘‘gaccha, bho, migarājassa anuggahena mama hatthato maraṇā mutto’’ti vatvā yathāpaṭiññāya tañcassa dhanaṃ dāpesi. Mahāsattassa yathāruciyāva anujānitvā taṃ nagaraṃ netvā nagarañca bodhisattañca alaṅkārāpetvā deviyā dhammaṃ desāpesi. Mahāsatto deviṃ ādiṃ katvā rañño ca rājaparisāya ca madhurāya manussabhāsāya dhammaṃ desetvā rājānaṃ dasahi rājadhammehi ovaditvā mahājanaṃ anusāsitvā araññaṃ pavisitvā migagaṇaparivuto vāsaṃ kappesi. Rājāpi mahāsattassa ovāde ṭhatvā sabbasattānaṃ abhayaṃ datvā dānādīni puññāni katvā sugatiparāyano ahosi.
ตทา เสฎฺฐิปุโตฺต เทวทโตฺต อโหสิ, ราชา อานโนฺท, รุรุมิคราชา โลกนาโถฯ
Tadā seṭṭhiputto devadatto ahosi, rājā ānando, rurumigarājā lokanātho.
ตสฺส อิธาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ยถารหํ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา อิธาปิ ปวิเวการามตาย ชนสํสคฺคํ อนิจฺฉโต ยูถํ ปหาย เอกกวิหาโร, อฑฺฒรตฺตสมเย นทิยา วุยฺหมานสฺส กรุณํ ปริเทวนฺตสฺส ปุริสสฺส อฎฺฎสฺสรํ สุตฺวา สยิตฎฺฐานโต วุฎฺฐาย นทีตีรํ คนฺตฺวา มหาคงฺคาย มหติ อุทโกเฆ วตฺตมาเน อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา โอตริตฺวา โสตํ ปจฺฉินฺทิตฺวา ตํ ปุริสํ อตฺตโน ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา ตีรํ ปาเปตฺวา สมสฺสาเสตฺวา ผลาผลาทีนิ ทตฺวา ปริสฺสมวิโนทนํ, ปุน ตํ อตฺตโน ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา อรญฺญโต นีหริตฺวา มหามเคฺค โอตารณํ, สรํ สนฺนยฺหิตฺวา วิชฺฌิสฺสามีติ อภิมุเข ฐิตสฺส รโญฺญ นิพฺภเยน หุตฺวา ปฎิมุขเมว คนฺตฺวา ปฐมตรํ มนุสฺสภาสาย อาลปิตฺวา มธุรปฎิสนฺถารกรณํ, มิตฺตทุพฺภี ปาปปุริสํ หนฺตุกามํ ราชานํ ธมฺมกถํ กตฺวา ปุนปิ อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา มรณโต ปโมจนํ, ตสฺส จ รโญฺญ ยถาปฎิญฺญํ ธนทาปนํ, รญฺญา อตฺตโน วเร ทียมาเน เตน สพฺพสตฺตานํ อภยทาปนํ, ราชานญฺจ เทวิญฺจ ปมุขํ กตฺวา มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา ทานาทีสุ ปุเญฺญสุ เตสํ ปติฎฺฐาปนํ, ลทฺธาภยานํ มิคานํ โอวาทํ ทตฺวา มนุสฺสานํ สสฺสขาทนโต นิวารณํ, ปณฺณสญฺญาย จ ตสฺส ยาวชฺชกาลา ถาวรกรณนฺติ เอวมาทโย มหาสตฺตสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ
Tassa idhāpi heṭṭhā vuttanayeneva yathārahaṃ sesapāramiyo niddhāretabbā. Tathā idhāpi pavivekārāmatāya janasaṃsaggaṃ anicchato yūthaṃ pahāya ekakavihāro, aḍḍharattasamaye nadiyā vuyhamānassa karuṇaṃ paridevantassa purisassa aṭṭassaraṃ sutvā sayitaṭṭhānato vuṭṭhāya nadītīraṃ gantvā mahāgaṅgāya mahati udakoghe vattamāne attano jīvitaṃ pariccajitvā otaritvā sotaṃ pacchinditvā taṃ purisaṃ attano piṭṭhiyaṃ āropetvā tīraṃ pāpetvā samassāsetvā phalāphalādīni datvā parissamavinodanaṃ, puna taṃ attano piṭṭhiṃ āropetvā araññato nīharitvā mahāmagge otāraṇaṃ, saraṃ sannayhitvā vijjhissāmīti abhimukhe ṭhitassa rañño nibbhayena hutvā paṭimukhameva gantvā paṭhamataraṃ manussabhāsāya ālapitvā madhurapaṭisanthārakaraṇaṃ, mittadubbhī pāpapurisaṃ hantukāmaṃ rājānaṃ dhammakathaṃ katvā punapi attano jīvitaṃ pariccajitvā maraṇato pamocanaṃ, tassa ca rañño yathāpaṭiññaṃ dhanadāpanaṃ, raññā attano vare dīyamāne tena sabbasattānaṃ abhayadāpanaṃ, rājānañca deviñca pamukhaṃ katvā mahājanassa dhammaṃ desetvā dānādīsu puññesu tesaṃ patiṭṭhāpanaṃ, laddhābhayānaṃ migānaṃ ovādaṃ datvā manussānaṃ sassakhādanato nivāraṇaṃ, paṇṇasaññāya ca tassa yāvajjakālā thāvarakaraṇanti evamādayo mahāsattassa guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.
รุรุมิคราชจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rurumigarājacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๖. รุรุราชจริยา • 6. Rururājacariyā