Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๘๒] ๙. รุรุมิคราชชาตกวณฺณนา

    [482] 9. Rurumigarājajātakavaṇṇanā

    ตสฺส คามวรํ ทมฺมีติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร ภิกฺขูหิ ‘‘พหูปกาโร เต อาวุโส, เทวทตฺตสตฺถา, ตฺวํ ตถาคตํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชํ ลภิ, ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคณฺหิ, ลาภสกฺการํ ปาปุณี’’ติ วุโตฺต ‘‘อาวุโส, สตฺถารา มม ติณคฺคมโตฺตปิ อุปกาโร น กโต, อหํ สยเมว ปพฺพชิํ, สยํ ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคณฺหิํ, สยํ ลาภสกฺการํ ปาปุณิ’’นฺติ กเถสิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อกตญฺญู อาวุโส, เทวทโตฺต อกตเวที’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, เทวทโตฺต อิทาเนว อกตญฺญู, ปุเพฺพปิ อกตญฺญูเยว, ปุเพฺพเปส มยา ชีวิเต ทิเนฺนปิ มม คุณมตฺตํ น ชานาตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Tassagāmavaraṃ dammīti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. So kira bhikkhūhi ‘‘bahūpakāro te āvuso, devadattasatthā, tvaṃ tathāgataṃ nissāya pabbajjaṃ labhi, tīṇi piṭakāni uggaṇhi, lābhasakkāraṃ pāpuṇī’’ti vutto ‘‘āvuso, satthārā mama tiṇaggamattopi upakāro na kato, ahaṃ sayameva pabbajiṃ, sayaṃ tīṇi piṭakāni uggaṇhiṃ, sayaṃ lābhasakkāraṃ pāpuṇi’’nti kathesi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘akataññū āvuso, devadatto akatavedī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, devadatto idāneva akataññū, pubbepi akataññūyeva, pubbepesa mayā jīvite dinnepi mama guṇamattaṃ na jānātī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต เอโก อสีติโกฎิวิภโว เสฎฺฐิ ปุตฺตํ ลภิตฺวา ‘‘มหาธนโก’’ติสฺส, นามํ กตฺวา ‘‘สิปฺปํ อุคฺคณฺหโนฺต มม ปุโตฺต กิลมิสฺสตี’’ติ น กิญฺจิ สิปฺปํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ โส คีตนจฺจวาทิตขาทนโภชนโต อุทฺธํ น กิญฺจิ อญฺญาสิฯ ตํ วยปฺปตฺตํ ปติรูเปน ทาเรน สํโยเชตฺวา มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ โส เตสํ อจฺจเยน อิตฺถิธุตฺตสุราธุตฺตาทีหิ ปริวุโต นานาพฺยสนมุเขหิ อิณํ อาทาย ตํ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต อิณายิเกหิ โจทิยมาโน จิเนฺตสิ ‘‘กิํ มยฺหํ ชีวิเตน, เอเกนมฺหิ อตฺตภาเวน อโญฺญ วิย ชาโต, มตํ เม เสโยฺย’’ติฯ โส อิณายิเก อาห – ‘‘ตุมฺหากํ อิณปณฺณานิ คเหตฺวา อาคจฺฉถ, คงฺคาตีเร เม นิทหิตํ กุลสนฺตกํ ธนํ อตฺถิ, ตํ โว ทสฺสามี’’ติฯ เต เตน สทฺธิํ อคมํสุฯ โส ‘‘อิธ ธน’’นฺติ นิธิฎฺฐานํ อาจิกฺขโนฺต วิย ‘‘คงฺคายํ ปติตฺวา มริสฺสามี’’ติ ปลายิตฺวา คงฺคายํ ปติฯ โส จณฺฑโสเตน วุยฺหโนฺต การุญฺญรวํ วิรวิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente eko asītikoṭivibhavo seṭṭhi puttaṃ labhitvā ‘‘mahādhanako’’tissa, nāmaṃ katvā ‘‘sippaṃ uggaṇhanto mama putto kilamissatī’’ti na kiñci sippaṃ uggaṇhāpesi. So gītanaccavāditakhādanabhojanato uddhaṃ na kiñci aññāsi. Taṃ vayappattaṃ patirūpena dārena saṃyojetvā mātāpitaro kālamakaṃsu. So tesaṃ accayena itthidhuttasurādhuttādīhi parivuto nānābyasanamukhehi iṇaṃ ādāya taṃ dātuṃ asakkonto iṇāyikehi codiyamāno cintesi ‘‘kiṃ mayhaṃ jīvitena, ekenamhi attabhāvena añño viya jāto, mataṃ me seyyo’’ti. So iṇāyike āha – ‘‘tumhākaṃ iṇapaṇṇāni gahetvā āgacchatha, gaṅgātīre me nidahitaṃ kulasantakaṃ dhanaṃ atthi, taṃ vo dassāmī’’ti. Te tena saddhiṃ agamaṃsu. So ‘‘idha dhana’’nti nidhiṭṭhānaṃ ācikkhanto viya ‘‘gaṅgāyaṃ patitvā marissāmī’’ti palāyitvā gaṅgāyaṃ pati. So caṇḍasotena vuyhanto kāruññaravaṃ viravi.

    ตทา มหาสโตฺต รุรุมิคโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา ปริวารํ ฉเฑฺฑตฺวา เอกโกว คงฺคานิวตฺตเน รมณีเย สาลมิสฺสเก สุปุปฺผิตอมฺพวเน วสติ อุโปสถํ อุปวุตฺถายฯ ตสฺส สรีรจฺฉวิ สุมชฺชิตกญฺจนปฎฺฎวณฺณา อโหสิ, หตฺถปาทา ลาขารสปริกมฺมกตา วิย, นงฺคุฎฺฐํ จามรีนงฺคุฎฺฐํ วิย, สิงฺคานิ รชตทามสทิสานิ, อกฺขีนิ สุมชฺชิตมณิคุฬิกา วิย, มุขํ โอทหิตฺวา ฐปิตรตฺตกมฺพลเคณฺฑุกํ วิยฯ เอวรูปํ ตสฺส รูปํ อโหสิฯ โส อฑฺฒรตฺตสมเย ตสฺส การุญฺญสทฺทํ สุตฺวา ‘‘มนุสฺสสโทฺท สูยติ, มา มยิ ธรเนฺต มรตุ, ชีวิตมสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สยนคุมฺพา อุฎฺฐาย นทีตีรํ คนฺตฺวา ‘‘อโมฺภ ปุริส, มา ภายิ, ชีวิตํ เต ทสฺสามี’’ติ อสฺสาเสตฺวา โสตํ ฉินฺทโนฺต คนฺตฺวา ตํ ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา ตีรํ ปาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ เนตฺวา ผลาผลานิ ทตฺวา ทฺวีหตีหจฺจเยน ‘‘โภ ปุริส, อหํ ตํ อิโต อรญฺญโต นีหริตฺวา พาราณสิมเคฺค ฐเปสฺสามิ, ตฺวํ โสตฺถินา คมิสฺสสิ, อปิจ โข ปน ตฺวํ ‘อสุกฎฺฐาเน นาม กญฺจนมิโค วสตี’ติ ธนการณา มํ รโญฺญ เจว ราชมหามตฺตสฺส จ มา อาจิกฺขาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ สามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Tadā mahāsatto rurumigayoniyaṃ nibbattitvā parivāraṃ chaḍḍetvā ekakova gaṅgānivattane ramaṇīye sālamissake supupphitaambavane vasati uposathaṃ upavutthāya. Tassa sarīracchavi sumajjitakañcanapaṭṭavaṇṇā ahosi, hatthapādā lākhārasaparikammakatā viya, naṅguṭṭhaṃ cāmarīnaṅguṭṭhaṃ viya, siṅgāni rajatadāmasadisāni, akkhīni sumajjitamaṇiguḷikā viya, mukhaṃ odahitvā ṭhapitarattakambalageṇḍukaṃ viya. Evarūpaṃ tassa rūpaṃ ahosi. So aḍḍharattasamaye tassa kāruññasaddaṃ sutvā ‘‘manussasaddo sūyati, mā mayi dharante maratu, jīvitamassa dassāmī’’ti cintetvā sayanagumbā uṭṭhāya nadītīraṃ gantvā ‘‘ambho purisa, mā bhāyi, jīvitaṃ te dassāmī’’ti assāsetvā sotaṃ chindanto gantvā taṃ piṭṭhiyaṃ āropetvā tīraṃ pāpetvā attano vasanaṭṭhānaṃ netvā phalāphalāni datvā dvīhatīhaccayena ‘‘bho purisa, ahaṃ taṃ ito araññato nīharitvā bārāṇasimagge ṭhapessāmi, tvaṃ sotthinā gamissasi, apica kho pana tvaṃ ‘asukaṭṭhāne nāma kañcanamigo vasatī’ti dhanakāraṇā maṃ rañño ceva rājamahāmattassa ca mā ācikkhāhī’’ti āha. So ‘‘sādhu sāmī’’ti sampaṭicchi.

    มหาสโตฺต ตสฺส ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ตํ อตฺตโน ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา พาราณสิมเคฺค โอตาเรตฺวา นิวตฺติฯ ตสฺส พาราณสิปวิสนทิวเสเยว เขมา นาม รโญฺญ อคฺคมเหสี ปจฺจูสกาเล สุปินเนฺต สุวณฺณวณฺณํ มิคํ อตฺตโน ธมฺมํ เทเสนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ เอวรูโป มิโค น ภเวยฺย, นาหํ สุปิเน ปเสฺสยฺยํ, อทฺธา ภวิสฺสติ, รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติฯ สา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มหาราช, อหํ สุวณฺณวณฺณํ มิคํ ปสฺสิตุํ อิจฺฉามิ, สุวณฺณวณฺณมิคสฺส ธมฺมํ โสตุกามามฺหิ, ลภิสฺสามิ เจ, ชีเวยฺยํ, โน เจ, นตฺถิ เม ชีวิต’’นฺติ อาหฯ ราชา ตํ อสฺสาเสตฺวา ‘‘สเจ มนุสฺสโลเก อตฺถิ, ลภิสฺสสี’’ติ วตฺวา พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สุวณฺณวณฺณา มิคา นาม โหนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, เทว, โหนฺตี’’ติ สุตฺวา อลงฺกตหตฺถิกฺขเนฺธ สุวณฺณจโงฺกฎเก สหสฺสถวิกํ ฐเปตฺวา โย สุวณฺณวณฺณํ มิคํ อาจิกฺขิสฺสติ, ตสฺส สทฺธิํ สหสฺสถวิกสุวณฺณจโงฺกฎเกน ตญฺจ หตฺถิํ ตโต จ อุตฺตริ ทาตุกาโม หุตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ คาถํ ลิขาเปตฺวา เอกํ อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอหิ ตาต, มม วจเนน อิมํ คาถํ นครวาสีนํ กเถหี’’ติ อิมสฺมิํ ชาตเก ปฐมํ คาถมาห –

    Mahāsatto tassa paṭiññaṃ gahetvā taṃ attano piṭṭhiyaṃ āropetvā bārāṇasimagge otāretvā nivatti. Tassa bārāṇasipavisanadivaseyeva khemā nāma rañño aggamahesī paccūsakāle supinante suvaṇṇavaṇṇaṃ migaṃ attano dhammaṃ desentaṃ disvā cintesi ‘‘sace evarūpo migo na bhaveyya, nāhaṃ supine passeyyaṃ, addhā bhavissati, rañño ārocessāmī’’ti. Sā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘mahārāja, ahaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ migaṃ passituṃ icchāmi, suvaṇṇavaṇṇamigassa dhammaṃ sotukāmāmhi, labhissāmi ce, jīveyyaṃ, no ce, natthi me jīvita’’nti āha. Rājā taṃ assāsetvā ‘‘sace manussaloke atthi, labhissasī’’ti vatvā brāhmaṇe pakkosāpetvā ‘‘suvaṇṇavaṇṇā migā nāma hontī’’ti pucchitvā ‘‘āma, deva, hontī’’ti sutvā alaṅkatahatthikkhandhe suvaṇṇacaṅkoṭake sahassathavikaṃ ṭhapetvā yo suvaṇṇavaṇṇaṃ migaṃ ācikkhissati, tassa saddhiṃ sahassathavikasuvaṇṇacaṅkoṭakena tañca hatthiṃ tato ca uttari dātukāmo hutvā suvaṇṇapaṭṭe gāthaṃ likhāpetvā ekaṃ amaccaṃ pakkosāpetvā ‘‘ehi tāta, mama vacanena imaṃ gāthaṃ nagaravāsīnaṃ kathehī’’ti imasmiṃ jātake paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๑๗.

    117.

    ‘‘ตสฺส คามวรํ ทมฺมิ, นาริโย จ อลงฺกตา;

    ‘‘Tassa gāmavaraṃ dammi, nāriyo ca alaṅkatā;

    โย เม ตํ มิคมกฺขาติ, มิคานํ มิคมุตฺตม’’นฺติฯ

    Yo me taṃ migamakkhāti, migānaṃ migamuttama’’nti.

    อมโจฺจ สุวณฺณปฎฺฎํ คเหตฺวา สกลนคเร วาจาเปสิฯ อถ โส เสฎฺฐิปุโตฺต พาราณสิํ ปวิสโนฺตว ตํ กถํ สุตฺวา อมจฺจสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ รโญฺญ เอวรูปํ มิคํ อาจิกฺขิสฺสามิ, มํ รโญฺญ ทเสฺสหี’’ติ อาหฯ อมโจฺจ หตฺถิกฺขนฺธโต โอตริตฺวา ตํ รโญฺญ สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘อยํ กิร, เทว, ตํ มิคํ อาจิกฺขิสฺสตี’’ติ ทเสฺสสิฯ ราชา ‘‘สจฺจํ อโมฺภ ปุริสา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘สจฺจํ มหาราช, ตฺวํ เอตํ ยสํ มยฺหํ เทหี’’ติ วทโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Amacco suvaṇṇapaṭṭaṃ gahetvā sakalanagare vācāpesi. Atha so seṭṭhiputto bārāṇasiṃ pavisantova taṃ kathaṃ sutvā amaccassa santikaṃ gantvā ‘‘ahaṃ rañño evarūpaṃ migaṃ ācikkhissāmi, maṃ rañño dassehī’’ti āha. Amacco hatthikkhandhato otaritvā taṃ rañño santikaṃ netvā ‘‘ayaṃ kira, deva, taṃ migaṃ ācikkhissatī’’ti dassesi. Rājā ‘‘saccaṃ ambho purisā’’ti pucchi. So ‘‘saccaṃ mahārāja, tvaṃ etaṃ yasaṃ mayhaṃ dehī’’ti vadanto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๑๘.

    118.

    ‘‘มยฺหํ คามวรํ เทหิ, นาริโย จ อลงฺกตา;

    ‘‘Mayhaṃ gāmavaraṃ dehi, nāriyo ca alaṅkatā;

    อหํ เต มิคมกฺขิสฺสํ, มิคานํ มิคมุตฺตม’’นฺติฯ

    Ahaṃ te migamakkhissaṃ, migānaṃ migamuttama’’nti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ตสฺส มิตฺตทุพฺภิสฺส ตุสฺสิตฺวา ‘‘อโพฺภ กุหิํ โส มิโค วสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน นาม เทวา’’ติ วุเตฺต ตเมว มคฺคเทสกํ กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ ฐานํ อคมาสิฯ อถ นํ โส มิตฺตทุพฺภี ‘‘เสนํ, เทว, สนฺนิสีทาเปหี’’ติ วตฺวา สนฺนิสินฺนาย เสนาย เอโส, เทว, สุวณฺณมิโค เอตสฺมิํ วเน วสตี’’ติ หตฺถํ ปสาเรตฺวา อาจิกฺขโนฺต ตติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā tassa mittadubbhissa tussitvā ‘‘abbho kuhiṃ so migo vasatī’’ti pucchitvā ‘‘asukaṭṭhāne nāma devā’’ti vutte tameva maggadesakaṃ katvā mahantena parivārena taṃ ṭhānaṃ agamāsi. Atha naṃ so mittadubbhī ‘‘senaṃ, deva, sannisīdāpehī’’ti vatvā sannisinnāya senāya eso, deva, suvaṇṇamigo etasmiṃ vane vasatī’’ti hatthaṃ pasāretvā ācikkhanto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๑๙.

    119.

    ‘‘เอตสฺมิํ วนสณฺฑสฺมิํ, อมฺพา สาลา จ ปุปฺผิตา;

    ‘‘Etasmiṃ vanasaṇḍasmiṃ, ambā sālā ca pupphitā;

    อินฺทโคปกสญฺฉนฺนา, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ

    Indagopakasañchannā, ettheso tiṭṭhate migo’’ti.

    ตตฺถ อินฺทโคปกสญฺฉนฺนาติ เอตสฺส วนสณฺฑสฺส ภูมิ อินฺทโคปกวณฺณาย รตฺตาย สุขสมฺผสฺสาย ติณชาติยา สญฺฉนฺนา, สสกุจฺฉิ วิย มุทุกา, เอตฺถ เอตสฺมิํ รมณีเย วนสเณฺฑ เอโส ติฎฺฐตีติ ทเสฺสติฯ

    Tattha indagopakasañchannāti etassa vanasaṇḍassa bhūmi indagopakavaṇṇāya rattāya sukhasamphassāya tiṇajātiyā sañchannā, sasakucchi viya mudukā, ettha etasmiṃ ramaṇīye vanasaṇḍe eso tiṭṭhatīti dasseti.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา อมเจฺจ อาณาเปสิ ‘‘ตสฺส มิคสฺส ปลายิตุํ อทตฺวา ขิปฺปํ อาวุธหเตฺถหิ ปุริเสหิ สทฺธิํ วนสณฺฑํ ปริวาเรถา’’ติฯ เต ตถา กตฺวา อุนฺนทิํสุฯ ราชา กติปเยหิ ชเนหิ สทฺธิํ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ, โสปิสฺส อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต ตํ สทฺทํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มหโนฺต พลกายสโทฺท, ตมฺหา เม ปุริสา ภเยน อุปฺปเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ ฯ โส อุฎฺฐาย สกลปริสํ โอโลเกตฺวา รโญฺญ ฐิตฎฺฐานํ ทิสฺวา ‘‘รโญฺญ ฐิตฎฺฐาเนเยว เม โสตฺถิ ภวิสฺสติ, เอเตฺถว มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ราชาภิมุโข ปายาสิฯ ราชา ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นาคพโล มิโค อวตฺถรโนฺต วิย อาคเจฺฉยฺย, สรํ สนฺนยฺหิตฺวา อิมํ มิคํ สนฺตาเสตฺวา สเจ ปลายติ, วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ ธนุํ อาโรเปตฺวา โพธิสตฺตาภิมุโข อโหสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā amacce āṇāpesi ‘‘tassa migassa palāyituṃ adatvā khippaṃ āvudhahatthehi purisehi saddhiṃ vanasaṇḍaṃ parivārethā’’ti. Te tathā katvā unnadiṃsu. Rājā katipayehi janehi saddhiṃ ekamantaṃ aṭṭhāsi, sopissa avidūre aṭṭhāsi. Mahāsatto taṃ saddaṃ sutvā cintesi ‘‘mahanto balakāyasaddo, tamhā me purisā bhayena uppannena bhavitabba’’nti . So uṭṭhāya sakalaparisaṃ oloketvā rañño ṭhitaṭṭhānaṃ disvā ‘‘rañño ṭhitaṭṭhāneyeva me sotthi bhavissati, ettheva mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā rājābhimukho pāyāsi. Rājā taṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘nāgabalo migo avattharanto viya āgaccheyya, saraṃ sannayhitvā imaṃ migaṃ santāsetvā sace palāyati, vijjhitvā dubbalaṃ katvā gaṇhissāmī’’ti dhanuṃ āropetvā bodhisattābhimukho ahosi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imaṃ gāthādvayamāha –

    ๑๒๐.

    120.

    ‘‘ธนุํ อเทฺวชฺฌํ กตฺวาน, อุสุํ สนฺนยฺหุปาคมิ;

    ‘‘Dhanuṃ advejjhaṃ katvāna, usuṃ sannayhupāgami;

    มิโค จ ทิสฺวา ราชานํ, ทูรโต อชฺฌภาสถฯ

    Migo ca disvā rājānaṃ, dūrato ajjhabhāsatha.

    ๑๒๑.

    121.

    ‘‘อาคเมหิ มหาราช, มา มํ วิชฺฌิ รเถสภ;

    ‘‘Āgamehi mahārāja, mā maṃ vijjhi rathesabha;

    โก นุ เต อิทมกฺขาสิ, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ

    Ko nu te idamakkhāsi, ettheso tiṭṭhate migo’’ti.

    ตตฺถ อเทฺวชฺฌํ กตฺวานาติ ชิยาย จ สเรน จ สทฺธิํ เอกเมว กตฺวาฯ สนฺนยฺหาติ สนฺนยฺหิตฺวาฯ อาคเมหีติ ‘‘ติฎฺฐ, มหาราช, มา มํ วิชฺฌิ, ชีวคฺคาหเมว คณฺหาหี’’ติ มธุราย มนุสฺสวาจาย อภาสิฯ

    Tattha advejjhaṃ katvānāti jiyāya ca sarena ca saddhiṃ ekameva katvā. Sannayhāti sannayhitvā. Āgamehīti ‘‘tiṭṭha, mahārāja, mā maṃ vijjhi, jīvaggāhameva gaṇhāhī’’ti madhurāya manussavācāya abhāsi.

    ราชา ตสฺส มธุรกถาย พนฺธิตฺวา ธนุํ โอตาเรตฺวา คารเวน อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺตปิ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ มหาชโนปิ สพฺพาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา อาคนฺตฺวา ราชานํ ปริวาเรสิฯ ตสฺมิํ ขเณ มหาสโตฺต สุวณฺณกิงฺกิณิกํ จาเลโนฺต วิย มธุเรน สเรน ราชานํ ปุจฺฉิ ‘‘โก นุ เต อิทมกฺขาสิ, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติ? ตสฺมิํ ขเณ ปาปปุริโส โถกํ ปฎิกฺกมิตฺวา โสตปเถว อฎฺฐาสิฯ ราชา ‘‘อิมินา เม ทสฺสิโต’’ติ กเถโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Rājā tassa madhurakathāya bandhitvā dhanuṃ otāretvā gāravena aṭṭhāsi. Mahāsattopi rājānaṃ upasaṅkamitvā madhurapaṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Mahājanopi sabbāvudhāni chaḍḍetvā āgantvā rājānaṃ parivāresi. Tasmiṃ khaṇe mahāsatto suvaṇṇakiṅkiṇikaṃ cālento viya madhurena sarena rājānaṃ pucchi ‘‘ko nu te idamakkhāsi, ettheso tiṭṭhate migo’’ti? Tasmiṃ khaṇe pāpapuriso thokaṃ paṭikkamitvā sotapatheva aṭṭhāsi. Rājā ‘‘iminā me dassito’’ti kathento chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๑๒๒.

    122.

    ‘‘เอส ปาปจโร โปโส, สมฺม ติฎฺฐติ อารกา;

    ‘‘Esa pāpacaro poso, samma tiṭṭhati ārakā;

    โสยํ เม อิทมกฺขาสิ, เอเตฺถโส ติฎฺฐเต มิโค’’ติฯ

    Soyaṃ me idamakkhāsi, ettheso tiṭṭhate migo’’ti.

    ตตฺถ ปาปจโรติ วิสฺสฎฺฐาจาโรฯ

    Tattha pāpacaroti vissaṭṭhācāro.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ตํ มิตฺตทุพฺภิํ ครหิตฺวา รญฺญา สทฺธิํ สลฺลปโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto taṃ mittadubbhiṃ garahitvā raññā saddhiṃ sallapanto sattamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๓.

    123.

    ‘‘สจฺจํ กิเรว มาหํสุ, นรา เอกจฺจิยา อิธ;

    ‘‘Saccaṃ kireva māhaṃsu, narā ekacciyā idha;

    กฎฺฐํ นิปฺลวิตํ เสโยฺย, น เตฺวเวกจฺจิโย นโร’’ติฯ

    Kaṭṭhaṃ niplavitaṃ seyyo, na tvevekacciyo naro’’ti.

    ตตฺถ นิปฺลวิตนฺติ อุตฺตาริตํฯ เอกจฺจิโยติ เอกโจฺจ ปน มิตฺตทุพฺภี ปาปปุคฺคโล อุทเก ปตโนฺตปิ อุตฺตาริโต น เตฺวว เสโยฺยฯ กฎฺฐญฺหิ นานปฺปกาเรน อุปการาย สํวตฺตติ, มิตฺตทุพฺภี ปน ปาปปุคฺคโล วินาสาย, ตสฺมา ตโต กฎฺฐเมว วรตรนฺติ โปราณกปณฺฑิตา กถยิํสุ, มยา ปน เตสํ วจนํ น กตนฺติฯ

    Tattha niplavitanti uttāritaṃ. Ekacciyoti ekacco pana mittadubbhī pāpapuggalo udake patantopi uttārito na tveva seyyo. Kaṭṭhañhi nānappakārena upakārāya saṃvattati, mittadubbhī pana pāpapuggalo vināsāya, tasmā tato kaṭṭhameva varataranti porāṇakapaṇḍitā kathayiṃsu, mayā pana tesaṃ vacanaṃ na katanti.

    ตํ สุตฺวา ราชา อิตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā itaraṃ gāthamāha –

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘กิํ นุ รุรุ ครหสิ มิคานํ, กิํ ปกฺขีนํ กิํ ปน มานุสานํ;

    ‘‘Kiṃ nu ruru garahasi migānaṃ, kiṃ pakkhīnaṃ kiṃ pana mānusānaṃ;

    ภยํ หิ มํ วินฺทตินปฺปรูปํ, สุตฺวาน ตํ มานุสิํ ภาสมาน’’นฺติฯ

    Bhayaṃ hi maṃ vindatinapparūpaṃ, sutvāna taṃ mānusiṃ bhāsamāna’’nti.

    ตตฺถ มิคานนฺติ มิคานมญฺญตรํ ครหสิ, อุทาหุ ปกฺขีนํ, มานุสานนฺติ ปุจฺฉิฯ ภยญฺหิ มํ วินฺทตีติ ภยํ มํ ปฎิลภติ, อหํ อตฺตนิ อนิสฺสโร ภยสนฺตโก วิย โหมิฯ อนปฺปรูปนฺติ มหนฺตํฯ

    Tattha migānanti migānamaññataraṃ garahasi, udāhu pakkhīnaṃ, mānusānanti pucchi. Bhayañhi maṃ vindatīti bhayaṃ maṃ paṭilabhati, ahaṃ attani anissaro bhayasantako viya homi. Anapparūpanti mahantaṃ.

    ตโต มหาสโตฺต ‘‘มหาราช, น มิคํ, น ปกฺขิํ ครหามิ, มนุสฺสํ ปน ครหามี’’ติ ทเสฺสโนฺต นวมํ คาถมาห –

    Tato mahāsatto ‘‘mahārāja, na migaṃ, na pakkhiṃ garahāmi, manussaṃ pana garahāmī’’ti dassento navamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๕.

    125.

    ‘‘ยมุทฺธริํ วาหเน วุยฺหมานํ, มโหทเก สลิเล สีฆโสเต;

    ‘‘Yamuddhariṃ vāhane vuyhamānaṃ, mahodake salile sīghasote;

    ตโตนิทานํ ภยมาคตํ มม, ทุโกฺข หเว ราช อสพฺภิ สงฺคโม’’ติฯ

    Tatonidānaṃ bhayamāgataṃ mama, dukkho have rāja asabbhi saṅgamo’’ti.

    ตตฺถ วาหเนติ ปติตปติเต วหิตุํ สมเตฺถ คงฺคาวเหฯ มโหทเก สลิเลติ มหาอุทเก มหาสลิเลติ อโตฺถฯ อุภเยนาปิ คงฺคาวหเสฺสว พหุอุทกตํ ทเสฺสติฯ ตโตนิทานนฺติ มหาราช, โย มยฺหํ ตยา ทสฺสิโต ปุริโส, เอโส มยา คงฺคาย วุยฺหมาโน อฑฺฒรตฺตสมเย การุญฺญรวํ วิรวโนฺต อุทฺธริโต, ตโตนิทานํ เม อิทมชฺช ภยํ อาคตํ, อสปฺปุริเสหิ สมาคโม นาม ทุโกฺข, มหาราชาติฯ

    Tattha vāhaneti patitapatite vahituṃ samatthe gaṅgāvahe. Mahodake salileti mahāudake mahāsalileti attho. Ubhayenāpi gaṅgāvahasseva bahuudakataṃ dasseti. Tatonidānanti mahārāja, yo mayhaṃ tayā dassito puriso, eso mayā gaṅgāya vuyhamāno aḍḍharattasamaye kāruññaravaṃ viravanto uddharito, tatonidānaṃ me idamajja bhayaṃ āgataṃ, asappurisehi samāgamo nāma dukkho, mahārājāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ตสฺส กุชฺฌิตฺวา ‘‘เอวํ พหูปการสฺส นาม คุณํ น ชานาติ, วิชฺฌิตฺวา นํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสามี’’ติ ทสมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā tassa kujjhitvā ‘‘evaṃ bahūpakārassa nāma guṇaṃ na jānāti, vijjhitvā naṃ jīvitakkhayaṃ pāpessāmī’’ti dasamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๖.

    126.

    ‘‘โสหํ จตุปฺปตฺตมิมํ วิหงฺคมํ, ตนุจฺฉิทํ หทเย โอสฺสชามิ;

    ‘‘Sohaṃ catuppattamimaṃ vihaṅgamaṃ, tanucchidaṃ hadaye ossajāmi;

    หนามิ ตํ มิตฺตทุพฺภิํ อกิจฺจการิํ, โย ตาทิสํ กมฺมกตํ น ชาเน’’ติฯ

    Hanāmi taṃ mittadubbhiṃ akiccakāriṃ, yo tādisaṃ kammakataṃ na jāne’’ti.

    ตตฺถ จตุปฺปตฺตนฺติ จตูหิ วาชปเตฺตหิ สมนฺนาคตํฯ วิหงฺคมนฺติ อากาสคามิํฯ ตนุจฺฉิทนฺติ สรีรฉินฺทนํฯ โอสฺสชามีติ เอตสฺส หทเย วิสฺสเชฺชมิฯ

    Tattha catuppattanti catūhi vājapattehi samannāgataṃ. Vihaṅgamanti ākāsagāmiṃ. Tanucchidanti sarīrachindanaṃ. Ossajāmīti etassa hadaye vissajjemi.

    ตโต มหาสโตฺต ‘‘มา เอส มํ นิสฺสาย นสฺสตู’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกาทสมํ คาถมาห –

    Tato mahāsatto ‘‘mā esa maṃ nissāya nassatū’’ti cintetvā ekādasamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๗.

    127.

    ‘‘ธีรสฺส พาลสฺส หเว ชนินฺท, สโนฺต วธํ นปฺปสํสนฺติ ชาตุ;

    ‘‘Dhīrassa bālassa have janinda, santo vadhaṃ nappasaṃsanti jātu;

    กามํ ฆรํ คจฺฉตุ ปาปธโมฺม, ยญฺจสฺส ภฎฺฐํ ตเทตสฺส เทหิ;

    Kāmaṃ gharaṃ gacchatu pāpadhammo, yañcassa bhaṭṭhaṃ tadetassa dehi;

    อหญฺจ เต กามกโร ภวามี’’ติฯ

    Ahañca te kāmakaro bhavāmī’’ti.

    ตตฺถ กามนฺติ กาเมน ยถารุจิยา อตฺตโน ฆรํ คจฺฉตุฯ ยญฺจสฺส ภฎฺฐํ ตเทตสฺส เทหีติ ยญฺจ ตสฺส ‘‘อิทํ นาม เต ทสฺสามี’’ติ ตยา กถิตํ, ตํ ตสฺส เทหิฯ กามกโรติ อิจฺฉากโร, ยํ อิจฺฉสิ, ตํ กโรหิ, มํสํ วา เม ขาท, กีฬามิคํ วา กโรหิ, สพฺพตฺถ เต อนุกูลวตฺตี ภวิสฺสามีติ อโตฺถฯ

    Tattha kāmanti kāmena yathāruciyā attano gharaṃ gacchatu. Yañcassa bhaṭṭhaṃ tadetassa dehīti yañca tassa ‘‘idaṃ nāma te dassāmī’’ti tayā kathitaṃ, taṃ tassa dehi. Kāmakaroti icchākaro, yaṃ icchasi, taṃ karohi, maṃsaṃ vā me khāda, kīḷāmigaṃ vā karohi, sabbattha te anukūlavattī bhavissāmīti attho.

    ตํ สุตฺวา ราชา ตุฎฺฐมานโส มหาสตฺตสฺส ถุติํ กโรโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā tuṭṭhamānaso mahāsattassa thutiṃ karonto anantaraṃ gāthamāha –

    ๑๒๘.

    128.

    ‘‘อทฺธา รุรู อญฺญตโร สตํ โส, โย ทุพฺภโต มานุสสฺส น ทุพฺภิ;

    ‘‘Addhā rurū aññataro sataṃ so, yo dubbhato mānusassa na dubbhi;

    กามํ ฆรํ คจฺฉตุ ปาปธโมฺม, ยญฺจสฺส ภฎฺฐํ ตเทตสฺส ทมฺมิ;

    Kāmaṃ gharaṃ gacchatu pāpadhammo, yañcassa bhaṭṭhaṃ tadetassa dammi;

    อหญฺจ เต กามจารํ ททามี’’ติฯ

    Ahañca te kāmacāraṃ dadāmī’’ti.

    ตตฺถ สตํ โสติ อทฺธา ตฺวํ สตํ ปณฺฑิตานํ อญฺญตโรฯ กามจารนฺติ อหํ ตว ธมฺมกถาย ปสีทิตฺวา ตุยฺหํ กามจารํ อภยํ ททามิ, อิโต ปฎฺฐาย ตุเมฺห นิพฺภยา ยถารุจิยา วิหรถาติ มหาสตฺตสฺส วรํ อทาสิฯ

    Tattha sataṃ soti addhā tvaṃ sataṃ paṇḍitānaṃ aññataro. Kāmacāranti ahaṃ tava dhammakathāya pasīditvā tuyhaṃ kāmacāraṃ abhayaṃ dadāmi, ito paṭṭhāya tumhe nibbhayā yathāruciyā viharathāti mahāsattassa varaṃ adāsi.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘มหาราช, มนุสฺสา นาม อญฺญํ มุเขน ภาสนฺติ, อญฺญํ กาเยน กโรนฺตี’’ติ ปริคฺคณฺหโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘mahārāja, manussā nāma aññaṃ mukhena bhāsanti, aññaṃ kāyena karontī’’ti pariggaṇhanto dve gāthā abhāsi –

    ๑๒๙.

    129.

    ‘‘สุวิชานํ สิงฺคาลานํ, สกุณานญฺจ วสฺสิตํ;

    ‘‘Suvijānaṃ siṅgālānaṃ, sakuṇānañca vassitaṃ;

    มนุสฺสวสฺสิตํ ราช, ทุพฺพิชานตรํ ตโตฯ

    Manussavassitaṃ rāja, dubbijānataraṃ tato.

    ๑๓๐.

    130.

    ‘‘อปิ เจ มญฺญตี โปโส, ญาติ มิโตฺต สขาติ วา;

    ‘‘Api ce maññatī poso, ñāti mitto sakhāti vā;

    โย ปุเพฺพ สุมโน หุตฺวา, ปจฺฉา สมฺปชฺชเต ทิโส’’ติฯ

    Yo pubbe sumano hutvā, pacchā sampajjate diso’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘มิคราช, มา มํ เอวํ มญฺญิ, อหญฺหิ รชฺชํ ชหโนฺตปิ น ตุยฺหํ ทินฺนวรํ ชหิสฺสํ, สทฺทหถ, มยฺห’’นฺติ วรํ อทาสิฯ มหาสโตฺต ตสฺส สนฺติเก วรํ คณฺหโนฺต อตฺตานํ อาทิํ กตฺวา สพฺพสตฺตานํ อภยทานํ วรํ คณฺหิฯ ราชาปิ ตํ วรํ ทตฺวา โพธิสตฺตํ นครํ เนตฺวา มหาสตฺตญฺจ นครญฺจ อลงฺการาเปตฺวา เทวิยา ธมฺมํ เทสาเปสิฯ มหาสโตฺต เทวิํ อาทิํ กตฺวา รโญฺญ จ ราชปริสาย จ มธุราย มนุสฺสภาสาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ราชานํ ทสหิ ราชธเมฺมหิ โอวทิตฺวา มหาชนํ อนุสาสิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มิคคณปริวุโต วาสํ กเปฺปสิฯ ราชา ‘‘สเพฺพสํ สตฺตานํ อภยํ ทมฺมี’’ติ นคเร เภริํ จราเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มิคปกฺขีนํ โกจิ หตฺถํ ปสาเรตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ มิคคโณ มนุสฺสานํ สสฺสานิ ขาทติ, โกจิ วาเรตุํ น สโกฺกติฯ มหาชโน ราชงฺคณํ คนฺตฺวา อุปโกฺกสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘migarāja, mā maṃ evaṃ maññi, ahañhi rajjaṃ jahantopi na tuyhaṃ dinnavaraṃ jahissaṃ, saddahatha, mayha’’nti varaṃ adāsi. Mahāsatto tassa santike varaṃ gaṇhanto attānaṃ ādiṃ katvā sabbasattānaṃ abhayadānaṃ varaṃ gaṇhi. Rājāpi taṃ varaṃ datvā bodhisattaṃ nagaraṃ netvā mahāsattañca nagarañca alaṅkārāpetvā deviyā dhammaṃ desāpesi. Mahāsatto deviṃ ādiṃ katvā rañño ca rājaparisāya ca madhurāya manussabhāsāya dhammaṃ desetvā rājānaṃ dasahi rājadhammehi ovaditvā mahājanaṃ anusāsitvā araññaṃ pavisitvā migagaṇaparivuto vāsaṃ kappesi. Rājā ‘‘sabbesaṃ sattānaṃ abhayaṃ dammī’’ti nagare bheriṃ carāpesi. Tato paṭṭhāya migapakkhīnaṃ koci hatthaṃ pasāretuṃ samattho nāma nāhosi. Migagaṇo manussānaṃ sassāni khādati, koci vāretuṃ na sakkoti. Mahājano rājaṅgaṇaṃ gantvā upakkosi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imaṃ gāthamāha –

    ๑๓๑.

    131.

    ‘‘สมาคตา ชานปทา, เนคมา จ สมาคตา;

    ‘‘Samāgatā jānapadā, negamā ca samāgatā;

    มิคา สสฺสานิ ขาทนฺติ, ตํ เทโว ปฎิเสธตู’’ติฯ

    Migā sassāni khādanti, taṃ devo paṭisedhatū’’ti.

    ตตฺถ ตํ เทโวติ ตํ มิคคณํ เทโว ปฎิเสธตูติฯ

    Tattha taṃ devoti taṃ migagaṇaṃ devo paṭisedhatūti.

    ตํ สุตฺวา ราชา คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā rājā gāthādvayamāha –

    ๑๓๒.

    132.

    ‘‘กามํ ชนปโท มาสิ, รฎฺฐญฺจาปิ วินสฺสตุ;

    ‘‘Kāmaṃ janapado māsi, raṭṭhañcāpi vinassatu;

    น เตฺววาหํ รุรุํ ทุเพฺภ, ทตฺวา อภยทกฺขิณํฯ

    Na tvevāhaṃ ruruṃ dubbhe, datvā abhayadakkhiṇaṃ.

    ๑๓๓.

    133.

    ‘‘มา เม ชนปโท อาสิ, รฎฺฐญฺจาปิ วินสฺสตุ;

    ‘‘Mā me janapado āsi, raṭṭhañcāpi vinassatu;

    น เตฺววาหํ มิคราชสฺส, วรํ ทตฺวา มุสา ภเณ’’ติฯ

    Na tvevāhaṃ migarājassa, varaṃ datvā musā bhaṇe’’ti.

    ตตฺถ มาสีติ กามํ มยฺหํ ชนปโท มา โหตุฯ รุรุนฺติ น เตฺวว อหํ สุวณฺณวณฺณสฺส รุรุมิคราชสฺส อภยทกฺขิณํ ทตฺวา ทุพฺภิสฺสามีติฯ

    Tattha māsīti kāmaṃ mayhaṃ janapado mā hotu. Rurunti na tveva ahaṃ suvaṇṇavaṇṇassa rurumigarājassa abhayadakkhiṇaṃ datvā dubbhissāmīti.

    มหาชโน รโญฺญ วจนํ สุตฺวา กิญฺจิ วตฺตุํ อวิสหโนฺต ปฎิกฺกมิฯ สา กถา วิตฺถาริกา อโหสิฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต มิคคณํ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย มนุสฺสานํ สสฺสานิ มา ขาทถา’’ติ โอวทิตฺวา ‘‘อตฺตโน เขเตฺตสุ ปณฺณสญฺญํ พนฺธนฺตู’’ติ มนุสฺสานํ โฆสาเปสิฯ เต ตถา พนฺธิํสุ, ตาย สญฺญาย มิคา ยาวชฺชตนา สสฺสานิ น ขาทนฺติฯ

    Mahājano rañño vacanaṃ sutvā kiñci vattuṃ avisahanto paṭikkami. Sā kathā vitthārikā ahosi. Taṃ sutvā mahāsatto migagaṇaṃ sannipātāpetvā ‘‘ito paṭṭhāya manussānaṃ sassāni mā khādathā’’ti ovaditvā ‘‘attano khettesu paṇṇasaññaṃ bandhantū’’ti manussānaṃ ghosāpesi. Te tathā bandhiṃsu, tāya saññāya migā yāvajjatanā sassāni na khādanti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต อกตญฺญูเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา เสฎฺฐิปุโตฺต เทวทโตฺต อโหสิ, ราชา อานโนฺท, รุรุมิคราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto akataññūyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā seṭṭhiputto devadatto ahosi, rājā ānando, rurumigarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    รุรุมิคราชชาตกวณฺณนา นวมาฯ

    Rurumigarājajātakavaṇṇanā navamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๒. รุรุมิคราชชาตกํ • 482. Rurumigarājajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact