Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā |
๕. สพฺพมตฺถีติกถาวณฺณนา
5. Sabbamatthītikathāvaṇṇanā
๑. วาทยุตฺติวณฺณนา
1. Vādayuttivaṇṇanā
๒๘๒. สพฺพํ อตฺถีติ เอตฺถ ยสฺมา ปจฺจุปฺปนฺนํ วิย อตีตานาคตมฺปิ ธรมานสภาวนฺติ ปรวาทิโน ลทฺธิ, ตสฺมา สพฺพนฺติ กาลวิภาคโต อตีตาทิเภทํ สพฺพํฯ โส ปน ‘‘ยมฺปิ นตฺถิ, ตมฺปิ อตฺถี’’ติ กาลวิมุตฺตสฺส วเสน อนุโยโค, ตํ อติปฺปสงฺคทสฺสนวเสน ปรวาทิปฎิญฺญาย โทสาโรปนํฯ นยทสฺสนํ วา อตีตานาคตานํ นตฺถิภาวสฺสฯ อตฺถีติ ปน อยํ อตฺถิภาโว ยสฺมา เทสกาลาการธเมฺมหิ วินา น โหติ, ตสฺมา ตํ ตาว เตหิ สทฺธิํ โยเชตฺวา อนุโยคํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพตฺถ สพฺพมตฺถี’’ติอาทินา ปาฬิ ปวตฺตาฯ ตตฺถ ยทิปิ สพฺพตฺถาติ อิทํ สามญฺญวจนํ, ตํ ปน ยสฺมา วิเสสนิวิฎฺฐํ โหติ, ปรโต จ สเพฺพสูติ ธมฺมา วิภาคโต วุจฺจนฺติ, ตสฺมา โอฬาริกสฺส ปากฎสฺส รูปธมฺมสมุทายสฺส วเสน อตฺถํ ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ ‘‘สพฺพตฺถาติ สพฺพสฺมิํ สรีเร’’ติ วุตฺตํ, นิทสฺสนมตฺตํ วา เอตํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา จ กาณาทกาปิเลหิ ปฎิญฺญายมานา อากาสกาลาทิสตฺตปกติปุริสา วิย ปรวาทินา ปฎิญฺญายมานํ สพฺพํ สพฺพพฺยาปีติ อาปนฺนเมว โหตีติฯ ‘‘สพฺพตฺถ สรีเร’’ติ จ ‘‘ติเล เตล’’นฺติ วิย พฺยาปเน ภุมฺมนฺติ สรีรปริยาปเนฺนน สเพฺพน ภวิตพฺพนฺติ วุตฺตํ ‘‘สิรสิ ปาทา…เป.… อโตฺถ’’ติฯ
282. Sabbaṃatthīti ettha yasmā paccuppannaṃ viya atītānāgatampi dharamānasabhāvanti paravādino laddhi, tasmā sabbanti kālavibhāgato atītādibhedaṃ sabbaṃ. So pana ‘‘yampi natthi, tampi atthī’’ti kālavimuttassa vasena anuyogo, taṃ atippasaṅgadassanavasena paravādipaṭiññāya dosāropanaṃ. Nayadassanaṃ vā atītānāgatānaṃ natthibhāvassa. Atthīti pana ayaṃ atthibhāvo yasmā desakālākāradhammehi vinā na hoti, tasmā taṃ tāva tehi saddhiṃ yojetvā anuyogaṃ dassetuṃ ‘‘sabbattha sabbamatthī’’tiādinā pāḷi pavattā. Tattha yadipi sabbatthāti idaṃ sāmaññavacanaṃ, taṃ pana yasmā visesaniviṭṭhaṃ hoti, parato ca sabbesūti dhammā vibhāgato vuccanti, tasmā oḷārikassa pākaṭassa rūpadhammasamudāyassa vasena atthaṃ dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbatthāti sabbasmiṃ sarīre’’ti vuttaṃ, nidassanamattaṃ vā etaṃ daṭṭhabbaṃ. Tathā ca kāṇādakāpilehi paṭiññāyamānā ākāsakālādisattapakatipurisā viya paravādinā paṭiññāyamānaṃ sabbaṃ sabbabyāpīti āpannameva hotīti. ‘‘Sabbattha sarīre’’ti ca ‘‘tile tela’’nti viya byāpane bhummanti sarīrapariyāpannena sabbena bhavitabbanti vuttaṃ ‘‘sirasi pādā…pe… attho’’ti.
สพฺพสฺมิํ กาเล สพฺพมตฺถีติ โยชนาฯ เอตสฺมิํ ปเกฺขเยวสฺส อญฺญวาโท ปริทีปิโต สิยา ‘‘ยํ อตฺถิ, อเตฺถว ตํ, ยํ นตฺถิ, นเตฺถว ตํ, อสโต นตฺถิ สมฺภโว, สโต นตฺถิ วินาโส’’ติฯ เอวํ สเพฺพนากาเรน สพฺพํ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ สพฺพํ อตฺถีติ อโตฺถติ สมฺพโนฺธฯ อิเมหิ ปน ปเกฺขหิ ‘‘สพฺพํ สพฺพสภาวํ, อเนกสตฺตินิจิตาภาวา อสโต นตฺถิ สมฺภโว’’ติ วาโท ปริทีปิโต สิยาฯ โยครหิตนฺติ เกนจิ ยุตฺตายุตฺตลกฺขณสํโยครหิตํฯ ตํ ปน เอกสภาวนฺติ สํโยครหิตํ นาม อตฺถโต เอกสภาวํ, เอกธโมฺมติ อโตฺถฯ เอเตน เทววาทีนํ พฺรหฺมทสฺสนํ อเตฺถวาติวาโท ปริทีปิโต สิยาฯ อตฺถีติ ปุจฺฉตีติ ยทิ สพฺพมตฺถีติ ตว วาโท, ยถาวุตฺตาย มม ทิฎฺฐิยา สมฺมาทิฎฺฐิภาโว อตฺถีติ เอกเนฺตน ตยา สมฺปฎิจฺฉิตโพฺพ, ตสฺมา ‘‘กิํ โส อตฺถี’’ติ ปุจฺฉตีติ อโตฺถฯ
Sabbasmiṃ kāle sabbamatthīti yojanā. Etasmiṃ pakkheyevassa aññavādo paridīpito siyā ‘‘yaṃ atthi, attheva taṃ, yaṃ natthi, nattheva taṃ, asato natthi sambhavo, sato natthi vināso’’ti. Evaṃ sabbenākārena sabbaṃ sabbesu dhammesu sabbaṃ atthīti atthoti sambandho. Imehi pana pakkhehi ‘‘sabbaṃ sabbasabhāvaṃ, anekasattinicitābhāvā asato natthi sambhavo’’ti vādo paridīpito siyā. Yogarahitanti kenaci yuttāyuttalakkhaṇasaṃyogarahitaṃ. Taṃ pana ekasabhāvanti saṃyogarahitaṃ nāma atthato ekasabhāvaṃ, ekadhammoti attho. Etena devavādīnaṃ brahmadassanaṃ atthevātivādo paridīpito siyā. Atthīti pucchatīti yadi sabbamatthīti tava vādo, yathāvuttāya mama diṭṭhiyā sammādiṭṭhibhāvo atthīti ekantena tayā sampaṭicchitabbo, tasmā ‘‘kiṃ so atthī’’ti pucchatīti attho.
วาทยุตฺติวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vādayuttivaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. กาลสํสนฺทนกถาวณฺณนา
2. Kālasaṃsandanakathāvaṇṇanā
๒๘๕. อตีตา …เป.… กริตฺวาติ เอตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – อตีตํ อนาคตนฺติ รูปสฺส อิมํ วิเสสํ, เอวํ วิเสสํ วา รูปํ อคฺคเหตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนตาวิเสสวิสิฎฺฐรูปเมว อปฺปิยํ ปจฺจุปฺปนฺนรูปภาวานํ สมานาธิกรณตฺตา เอตสฺมิํเยว วิสเย อเปฺปตพฺพํ, วจีโคจรํ ปาเปตพฺพํ สติปิ เนสํ วิเสสนวิเสสิตพฺพตาสงฺขาเต วิภาเค ตถาปิ อวิภชิตพฺพํ กตฺวาติฯ ยสฺมา ปน ปาฬิยํ ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ วา รูปนฺติ วา’’ติ ปจฺจุปฺปนฺนรูปสเทฺทหิ ตทตฺถสฺส วตฺตพฺพากาโร อิติสเทฺทหิ ทสฺสิโต, ตสฺมา ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนสเทฺทน…เป.… วุตฺตํ โหตี’’ติ อาหฯ รูปปญฺญตฺตีติ รูปายตนปญฺญตฺติฯ สา หิ สภาวธมฺมุปาทานา ตชฺชาปญฺญตฺติฯ เตเนวาห ‘‘สภาวปริจฺฉิเนฺน ปวตฺตา วิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ รูปสมูหํ อุปาทายาติ ตํตํอตฺตปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตานํ อภาววิภาวนากาเรน ปวตฺตมานานํ รูปธมฺมานํ สมูหํ อุปาทายฯ อุปาทานุปาทานมฺปิ หิ อุปาทานเมวาติฯ ตสฺมาติ สมูหุปาทายาธีนตาย อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาวโตฯ วิคมาวตฺตพฺพตาติ วิคมสฺส วตฺถภาวาปคมสฺส อวตฺตพฺพตาฯ น หิ โอทาตตาวิคเมน อวตฺถํ โหติฯ น ปน ยุตฺตา รูปภาวสฺส วิคมาวตฺตพฺพตาติ โยชนาฯ รูปภาโวติ จ รูปายตนสภาโว จกฺขุวิญฺญาณสฺส โคจรภาโวฯ น หิ ตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนภาววิคเม วิคมาวตฺตพฺพตา ยุตฺตาฯ
285. Atītā…pe… karitvāti etthāyaṃ saṅkhepattho – atītaṃ anāgatanti rūpassa imaṃ visesaṃ, evaṃ visesaṃ vā rūpaṃ aggahetvā paccuppannatāvisesavisiṭṭharūpameva appiyaṃ paccuppannarūpabhāvānaṃ samānādhikaraṇattā etasmiṃyeva visaye appetabbaṃ, vacīgocaraṃ pāpetabbaṃ satipi nesaṃ visesanavisesitabbatāsaṅkhāte vibhāge tathāpi avibhajitabbaṃ katvāti. Yasmā pana pāḷiyaṃ ‘‘paccuppannanti vā rūpanti vā’’ti paccuppannarūpasaddehi tadatthassa vattabbākāro itisaddehi dassito, tasmā ‘‘paccuppannasaddena…pe… vuttaṃ hotī’’ti āha. Rūpapaññattīti rūpāyatanapaññatti. Sā hi sabhāvadhammupādānā tajjāpaññatti. Tenevāha ‘‘sabhāvaparicchinne pavattā vijjamānapaññattī’’ti. Rūpasamūhaṃ upādāyāti taṃtaṃattapaññattiyā upādānabhūtānaṃ abhāvavibhāvanākārena pavattamānānaṃ rūpadhammānaṃ samūhaṃ upādāya. Upādānupādānampi hi upādānamevāti. Tasmāti samūhupādāyādhīnatāya avijjamānapaññattibhāvato. Vigamāvattabbatāti vigamassa vatthabhāvāpagamassa avattabbatā. Na hi odātatāvigamena avatthaṃ hoti. Na pana yuttā rūpabhāvassa vigamāvattabbatāti yojanā. Rūpabhāvoti ca rūpāyatanasabhāvo cakkhuviññāṇassa gocarabhāvo. Na hi tassa paccuppannabhāvavigame vigamāvattabbatā yuttā.
กาลสํสนฺทนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kālasaṃsandanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
วจนโสธนวณฺณนา
Vacanasodhanavaṇṇanā
๒๘๘. อนาคตํ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ วาติ เอตฺถ วา-สโทฺท อนิยมโตฺถ ยถา ‘‘ขทิเร วา พนฺธิตพฺพํ ปลาเส วา’’ติฯ ตสฺมา ‘‘หุตฺวา โหตี’’ติ เอตฺถ โหติ-สโทฺท อนาคตปจฺจุปฺปเนฺนสุ ยํ กิญฺจิ ปธานํ กตฺวา สมฺพนฺธํ ลภตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนาคตํ…เป.… ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปจฺจุปฺปนฺนํ โหนฺตนฺติ ปจฺจุปฺปนฺนํ ชายมานํ ปจฺจุปฺปนฺนภาวํ ลภนฺตํฯ เตนาห ‘‘ตเญฺญว อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ ลทฺธิวเสนา’’ติฯ ตมฺปิ หุตฺวา โหตีติ ยํ อนาคตํ หุตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนภาวปฺปตฺติยา ‘‘หุตฺวา โหตี’’ติ วุตฺตํ, กิํ ตทปิ ปุน หุตฺวา โหตีติ ปุจฺฉติฯ ตพฺภาวาวิคมโตติ ปจฺจุปฺปนฺนภาวโต หุตฺวาโหติภาวานุปคมโตฯ ปจฺจุปฺปนฺนาภาวโตติ ปจฺจุปฺปนฺนตาย อภาวโตฯ
288. Anāgataṃ vā paccuppannaṃ vāti ettha vā-saddo aniyamattho yathā ‘‘khadire vā bandhitabbaṃ palāse vā’’ti. Tasmā ‘‘hutvā hotī’’ti ettha hoti-saddo anāgatapaccuppannesu yaṃ kiñci padhānaṃ katvā sambandhaṃ labhatīti dassento ‘‘anāgataṃ…pe… daṭṭhabba’’nti āha. Tattha paccuppannaṃ hontanti paccuppannaṃ jāyamānaṃ paccuppannabhāvaṃ labhantaṃ. Tenāha ‘‘taññeva anāgataṃ taṃ paccuppannanti laddhivasenā’’ti. Tampi hutvā hotīti yaṃ anāgataṃ hutvā paccuppannabhāvappattiyā ‘‘hutvā hotī’’ti vuttaṃ, kiṃ tadapi puna hutvā hotīti pucchati. Tabbhāvāvigamatoti paccuppannabhāvato hutvāhotibhāvānupagamato. Paccuppannābhāvatoti paccuppannatāya abhāvato.
วจนํ อรหตีติ อิมินา วจนมเตฺต น โกจิ โทโสติ ทเสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยทิปิ ตสฺส ปุน หุตฺวา ภูตสฺส ปุน หุตฺวาโหติภาโว นตฺถิ, ปุนปฺปุนํ ญาเปตพฺพตาย ปน ทุติยํ ตโต ปรมฺปิ ตถา วตฺตพฺพตํ อรหตีติ ‘‘อามนฺตา’’ติ ปฎิชานาตีติฯ ธเมฺมติ สภาวธเมฺมฯ ตปฺปฎิเกฺขปโต อธเมฺม อภาวธเมฺมฯ เตนาห ‘‘สสวิสาเณ’’ติฯ
Vacanaṃarahatīti iminā vacanamatte na koci dosoti dasseti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yadipi tassa puna hutvā bhūtassa puna hutvāhotibhāvo natthi, punappunaṃ ñāpetabbatāya pana dutiyaṃ tato parampi tathā vattabbataṃ arahatīti ‘‘āmantā’’ti paṭijānātīti. Dhammeti sabhāvadhamme. Tappaṭikkhepato adhamme abhāvadhamme. Tenāha ‘‘sasavisāṇe’’ti.
ปฎิกฺขิตฺตนเยนาติ ‘‘หุตฺวา โหติ, หุตฺวา โหตี’’ติ เอตฺถ ปุเพฺพ ยเทตํ ตยา ‘‘อนาคตํ หุตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ วทตา ‘‘ตํเยว อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ ลทฺธิวเสน ‘‘อนาคตํ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ วา หุตฺวา โหตี’’ติ วุตฺตํ, ‘‘กิํ เต ตมฺปิ หุตฺวา โหตี’’ติ ปุจฺฉิเต โย ปรวาทินา หุตฺวา ภูตสฺส ปุน หุตฺวาอภาวโต ‘‘น เหวา’’ติ ปฎิเกฺขโป กโต, เตน ปฎิกฺขิตฺตนเยนฯ สฺวายํ ยเทว รูปาทิ อนาคตํ, ตเทว ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ สติปิ อตฺถาเภเท อนาคตปจฺจุปฺปนฺนนฺติ ปน อเตฺถว กาลเภโทติ ตํกาลเภทวิโรธาย ปฎิเกฺขโป ปวโตฺตติ อาห ‘‘ปฎิกฺขิตฺตนเยนาติ กาลนานเตฺตนา’’ติฯ เตน หิ โส อยญฺจ ปฎิเกฺขโป นีโต ปวตฺติโตติฯ ปฎิญฺญาตนเยนาติ อิทมฺปิ ยถาวุตฺตปฎิเกฺขปานนฺตรํ ยํ ปฎิญฺญาตํ, ตํ สนฺธายาหฯ ยถา หิ สา ปฎิญฺญา อตฺถาเภเทน นีตา ปวตฺติตา, ตถายมฺปิฯ เตเนวาห ‘‘อตฺถานานเตฺตนา’’ติ, อนาคตาทิปฺปเภทาย กาลปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตสฺส อตฺถสฺส อเภเทนาติ อโตฺถฯ ยถา อุปาทานภูตรูปาทิอตฺถาเภเทปิ เตสํ ขณตฺตยานาวตฺติ ตํสมงฺคิตา อนาคตปจฺจุปฺปนฺนภาวาวตฺติตา, ตถา ตตฺถ วุจฺจมานา หุตฺวาโหติภาวา ยถากฺกมํ ปุริมปจฺฉิเมสุ ปวตฺติตา ปุริมปจฺฉิมกิริยาติ กตฺวาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อตฺถานานตฺตํ…เป.… ปฎิชานาตี’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘อตฺถานานตฺตเมว หี’’ติอาทินา ตเมว อตฺถํ สมเตฺถติฯ ยถา ปน ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’’นฺติ ปฎิชานนฺตสฺส ชีโวว สรีรํ, สรีรเมว ชีโวติ ชีวสรีรานํ อนญฺญตฺตํ อาปชฺชติ, เอวํ ‘‘ตเญฺญว อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ จ ปฎิชานนฺตสฺส อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ อนญฺญตฺตํ อาปนฺนนฺติ ปจฺจุปฺปนฺนานาคเตสุ วุตฺตา โหติภาวหุตฺวาภาวา อนาคตปจฺจุปฺปเนฺนสุปิ อาปเชฺชยฺยุนฺติ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘เอวํ สเนฺต อนาคตมฺปิ หุตฺวาโหติ นาม, ปจฺจุปฺปนฺนมฺปิ หุตฺวาโหติเยว นามา’’ติฯ
Paṭikkhittanayenāti ‘‘hutvā hoti, hutvā hotī’’ti ettha pubbe yadetaṃ tayā ‘‘anāgataṃ hutvā paccuppannaṃ hotī’’ti vadatā ‘‘taṃyeva anāgataṃ taṃ paccuppanna’’nti laddhivasena ‘‘anāgataṃ vā paccuppannaṃ vā hutvā hotī’’ti vuttaṃ, ‘‘kiṃ te tampi hutvā hotī’’ti pucchite yo paravādinā hutvā bhūtassa puna hutvāabhāvato ‘‘na hevā’’ti paṭikkhepo kato, tena paṭikkhittanayena. Svāyaṃ yadeva rūpādi anāgataṃ, tadeva paccuppannanti satipi atthābhede anāgatapaccuppannanti pana attheva kālabhedoti taṃkālabhedavirodhāya paṭikkhepo pavattoti āha ‘‘paṭikkhittanayenāti kālanānattenā’’ti. Tena hi so ayañca paṭikkhepo nīto pavattitoti. Paṭiññātanayenāti idampi yathāvuttapaṭikkhepānantaraṃ yaṃ paṭiññātaṃ, taṃ sandhāyāha. Yathā hi sā paṭiññā atthābhedena nītā pavattitā, tathāyampi. Tenevāha ‘‘atthānānattenā’’ti, anāgatādippabhedāya kālapaññattiyā upādānabhūtassa atthassa abhedenāti attho. Yathā upādānabhūtarūpādiatthābhedepi tesaṃ khaṇattayānāvatti taṃsamaṅgitā anāgatapaccuppannabhāvāvattitā, tathā tattha vuccamānā hutvāhotibhāvā yathākkamaṃ purimapacchimesu pavattitā purimapacchimakiriyāti katvāti imamatthaṃ dassento ‘‘atthānānattaṃ…pe… paṭijānātī’’ti vatvā puna ‘‘atthānānattameva hī’’tiādinā tameva atthaṃ samattheti. Yathā pana ‘‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’’nti paṭijānantassa jīvova sarīraṃ, sarīrameva jīvoti jīvasarīrānaṃ anaññattaṃ āpajjati, evaṃ ‘‘taññeva anāgataṃ taṃ paccuppanna’’nti ca paṭijānantassa anāgatapaccuppannānaṃ anaññattaṃ āpannanti paccuppannānāgatesu vuttā hotibhāvahutvābhāvā anāgatapaccuppannesupi āpajjeyyunti vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘evaṃ sante anāgatampi hutvāhoti nāma, paccuppannampi hutvāhotiyeva nāmā’’ti.
อนุญฺญาตปญฺหสฺสาติ ‘‘ตเญฺญว อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ? อามนฺตา’’ติ เอวํ อตฺถานานตฺตํ สนฺธาย อนุญฺญาตสฺส อตฺถสฺสฯ ญาตุํ อิจฺฉิโต หิ อโตฺถ ปโญฺหฯ โทโส วุโตฺตติ อนาคตํ หุตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนภูตสฺส ปุน อนาคตํ หุตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนภาวาปตฺติสงฺขาโต โทโส วุโตฺต ปุริมนเย ฯ ปจฺฉิมนเย ปน อนาคตปจฺจุปฺปเนฺนสุ เอเกกสฺส หุตฺวาโหติภาวาปตฺติสงฺขาโต โทโส วุโตฺตติ อโตฺถฯ ปฎิกฺขิตฺตปญฺหนฺติ ‘‘ตํเยว อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ? น เหวํ วตฺตเพฺพ’’ติ เอวํ กาลนานตฺตํ สนฺธาย ปฎิกฺขิตฺตปญฺหํฯ เตนาติ อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ โหติหุตฺวาภาวปฎิเกฺขเปนฯ โจเทตีติ อนาคตํ เตน โหติ นาม, ปจฺจุปฺปนฺนํ เตน หุตฺวา นาม, อุภยมฺปิ อนญฺญตฺตา อุภยสภาวนฺติ โจเทติฯ เอตฺถาติ ‘‘หุตฺวา โหตี’’ติ เอตสฺมิํ ปเญฺห กถํ โหติ โทโสติ โจเทตีติฯ ‘‘ตเสฺสวา’’ติ ปริหรติฯ กถํ กตฺวา โจทนา, กถญฺจ กตฺวา ปริหาโร? อนุชานนปฎิเกฺขปานํ ภินฺนวิสยตาย โจทนา, อตฺถาเภทกาลเภทวิสยตฺตา อภินฺนาธารตาย เตสํ ปริหาโรฯ ตเสฺสวาติ หิ ปรวาทิโน เอวาติ อโตฺถฯ
Anuññātapañhassāti ‘‘taññeva anāgataṃ taṃ paccuppannanti? Āmantā’’ti evaṃ atthānānattaṃ sandhāya anuññātassa atthassa. Ñātuṃ icchito hi attho pañho. Doso vuttoti anāgataṃ hutvā paccuppannabhūtassa puna anāgataṃ hutvā paccuppannabhāvāpattisaṅkhāto doso vutto purimanaye . Pacchimanaye pana anāgatapaccuppannesu ekekassa hutvāhotibhāvāpattisaṅkhāto doso vuttoti attho. Paṭikkhittapañhanti ‘‘taṃyeva anāgataṃ taṃ paccuppannanti? Na hevaṃ vattabbe’’ti evaṃ kālanānattaṃ sandhāya paṭikkhittapañhaṃ. Tenāti anāgatapaccuppannānaṃ hotihutvābhāvapaṭikkhepena. Codetīti anāgataṃ tena hoti nāma, paccuppannaṃ tena hutvā nāma, ubhayampi anaññattā ubhayasabhāvanti codeti. Etthāti ‘‘hutvā hotī’’ti etasmiṃ pañhe kathaṃ hoti dosoti codetīti. ‘‘Tassevā’’ti pariharati. Kathaṃ katvā codanā, kathañca katvā parihāro? Anujānanapaṭikkhepānaṃ bhinnavisayatāya codanā, atthābhedakālabhedavisayattā abhinnādhāratāya tesaṃ parihāro. Tassevāti hi paravādino evāti attho.
ตทุภยํ คเหตฺวาติ ‘‘ตํ อนาคตํ ตํ ปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ อุภยํ เอกชฺฌํ คเหตฺวาฯ เอเกกนฺติ เตสุ เอเกกํฯ เอเกกเมวาติ อุภยํ เอกชฺฌํ อคฺคเหตฺวา เอเกกเมว วิสุํ วิสุํ อิมสฺมิํ ปเกฺข ตถา น ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ เอส นโยติ อติเทสํ กตฺวา สํขิตฺตตฺตา ตํ ทุพฺพิเญฺญยฺยนฺติ ‘‘อนาคตสฺส หี’’ติอาทินา วิวรติฯ ปฎิชานิตพฺพํ สิยา อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ยถากฺกมํ โหติหุตฺวาภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ยเทตํ ตยา’’ติอาทินา ปวโตฺต สํวณฺณนานโย ปุริมนโย, ตตฺถ หิ ‘‘ยทิ เต อนาคตํ หุตฺวา’’ติอาทินา หุตฺวาโหติภาโว โจทิโตฯ ‘‘อปโร นโย’’ติอาทิโก ทุติยนโยฯ ตตฺถ หิ ‘‘อนาคตสฺส…เป.… หุตฺวาโหติเยว นามา’’ติ อนาคตาทีสุ เอเกกสฺส หุตฺวาโหตินามตา โจทิตาฯ
Tadubhayaṃ gahetvāti ‘‘taṃ anāgataṃ taṃ paccuppanna’’nti ubhayaṃ ekajjhaṃ gahetvā. Ekekanti tesu ekekaṃ. Ekekamevāti ubhayaṃ ekajjhaṃ aggahetvā ekekameva visuṃ visuṃ imasmiṃ pakkhe tathā na yuttanti attho. Esa nayoti atidesaṃ katvā saṃkhittattā taṃ dubbiññeyyanti ‘‘anāgatassa hī’’tiādinā vivarati. Paṭijānitabbaṃ siyā anāgatapaccuppannānaṃ yathākkamaṃ hotihutvābhāvatoti adhippāyo. ‘‘Yadetaṃ tayā’’tiādinā pavatto saṃvaṇṇanānayo purimanayo, tattha hi ‘‘yadi te anāgataṃ hutvā’’tiādinā hutvāhotibhāvo codito. ‘‘Aparo nayo’’tiādiko dutiyanayo. Tattha hi ‘‘anāgatassa…pe… hutvāhotiyeva nāmā’’ti anāgatādīsu ekekassa hutvāhotināmatā coditā.
วจนโสธนวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vacanasodhanavaṇṇanā niṭṭhitā.
อตีตญาณาทิกถาวณฺณนา
Atītañāṇādikathāvaṇṇanā
๒๙๐. กถํ วุจฺจตีติ กสฺมา วุตฺตํฯ เตนาติ หิ อิมินา ทุติยปุจฺฉาย ‘‘อตีตํ ญาณ’’นฺติ อิทํ ปจฺจามฎฺฐํ, ตญฺจ ปจฺจุปฺปนฺนํ ญาณํ, อตีตธมฺมารมฺมณตาย อตีตนฺติ วุตฺตํฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุน ปุโฎฺฐ อตีตารมฺมณํ ปจฺจุปฺปนฺนํ ญาณ’’นฺติอาทิฯ
290. Kathaṃvuccatīti kasmā vuttaṃ. Tenāti hi iminā dutiyapucchāya ‘‘atītaṃ ñāṇa’’nti idaṃ paccāmaṭṭhaṃ, tañca paccuppannaṃ ñāṇaṃ, atītadhammārammaṇatāya atītanti vuttaṃ. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘puna puṭṭho atītārammaṇaṃ paccuppannaṃ ñāṇa’’ntiādi.
อตีตญาณาทิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Atītañāṇādikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อรหนฺตาทิกถาวณฺณนา
Arahantādikathāvaṇṇanā
๒๙๑. ‘‘อรหํ ขีณาสโว’’ติอาทินา สุตฺตวิโรโธ ปากโฎติ อิทเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘ยุตฺติวิโรโธ…เป.… ทฎฺฐโพฺพ’’ติ อาหฯ ตตฺถ อนานตฺตนฺติ อวิเสโสฯ เอวมาทิโกติ อาทิ-สเทฺทน กตกิจฺจตาภาโว อโนหิตภารตาติ เอวมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
291. ‘‘Arahaṃ khīṇāsavo’’tiādinā suttavirodho pākaṭoti idameva dassento ‘‘yuttivirodho…pe… daṭṭhabbo’’ti āha. Tattha anānattanti aviseso. Evamādikoti ādi-saddena katakiccatābhāvo anohitabhāratāti evamādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.
อรหนฺตาทิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Arahantādikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ปทโสธนกถาวณฺณนา
Padasodhanakathāvaṇṇanā
๒๙๕. โย อตีตสทฺทาภิเธโยฺย อโตฺถ, โส อตฺถิสทฺทาภิเธโยฺยติ เทฺวปิ สมานาธิกรณตฺถาติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อตีตอตฺถิสทฺทานํ เอกตฺถตฺตา’’ติ, น, อตีตสทฺทาภิเธยฺยเสฺสว อตฺถิสทฺทาภิเธยฺยตฺตาฯ เตนาห ‘‘อตฺถิสทฺทตฺถสฺส จ นฺวาตีตภาวโต’’ติฯ เตน กิํ สิทฺธนฺติ อาห ‘‘อตีตํ นฺวาตีตํ, นฺวาตีตญฺจ อตีตํ โหตี’’ติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยทิ ตว มเตน อตีตํ อตฺถิ, อตฺถิ จ นฺวาตีตนฺติ อตีตญฺจ โน อตีตํ สิยา, ตถา อตฺถิ โน อตีตํ อตีตญฺจ โน อตีตํ อตีตํ สิยาติ, ยถา ‘‘อตีตํ อตฺถี’’ติ เอตฺถ อตีตเมว อตฺถีติ นายํ นิยโม คเหตโพฺพ อนตีตสฺสปิ อตฺถิภาวสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘อตฺถิ สิยา อตีตํ, สิยา นฺวาตีต’’นฺติฯ เยน หิ อากาเรน อตีตสฺส อตฺถิภาโว ปรวาทินา อิจฺฉิโต, เตนากาเรน อนตีตสฺส อนาคตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนสฺส จ โส อิจฺฉิโตฯ เกน ปน อากาเรน อิจฺฉิโตติ ? สงฺขตากาเรนฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เตนาตีตํ นฺวาตีตํ, นฺวาตีตํ อตีต’’นฺติฯ ตสฺมา อตีตํ อตฺถิเยวาติ เอวเมตฺถ นิยโม คเหตโพฺพฯ อตฺถิภาเว หิ อตีตํ นิยมิตํ, น อตีเต อตฺถิภาโว นิยมิโต, ‘‘น ปน นิพฺพานํ อตฺถี’’ติ เอตฺถ ปน นิพฺพานเมว อตฺถีติ อยมฺปิ นิยโม สมฺภวตีติ โส เอว คเหตโพฺพฯ ยทิปิ หิ นิพฺพานํ ปรมตฺถโต อตฺถิภาวํ อุปาทาย อุตฺตรปทาวธารณํ ลพฺภติ ตทญฺญสฺสปิ อภาวโต, ตถาปิ อสงฺขตากาเรน อญฺญสฺส อนุปลพฺภนโต ตถา นิพฺพานเมว อตฺถีติ ปุริมปทาวธารเณ อเตฺถ คยฺหมาเน ‘‘อตฺถิ สิยา นิพฺพานํ, สิยา โน นิพฺพาน’’นฺติ โจทนา อโนกาสาฯ อตีตาทีสุ ปน ปุริมปทาวธารณํ ปรวาทินา น คหิตนฺติ นเตฺถตฺถ อติปฺปสโงฺคฯ อคฺคหณญฺจสฺส ปาฬิโต เอว วิญฺญายติฯ เอวเมตฺถ อตีตาทีนํ อตฺถิตํ วทนฺตสฺส ปรวาทิเสฺสวายํ อิฎฺฐวิฆาตโทสาปตฺติ, น ปน นิพฺพานสฺส อตฺถิตํ วทนฺตสฺส สกวาทิสฺสาติฯ ปฎิปาทนา ปติฎฺฐาปนา เวทิตพฺพาฯ
295. Yo atītasaddābhidheyyo attho, so atthisaddābhidheyyoti dvepi samānādhikaraṇatthāti katvā vuttaṃ ‘‘atītaatthisaddānaṃ ekatthattā’’ti, na, atītasaddābhidheyyasseva atthisaddābhidheyyattā. Tenāha ‘‘atthisaddatthassa ca nvātītabhāvato’’ti. Tena kiṃ siddhanti āha ‘‘atītaṃ nvātītaṃ, nvātītañca atītaṃ hotī’’ti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yadi tava matena atītaṃ atthi, atthi ca nvātītanti atītañca no atītaṃ siyā, tathā atthi no atītaṃ atītañca no atītaṃ atītaṃ siyāti, yathā ‘‘atītaṃ atthī’’ti ettha atītameva atthīti nāyaṃ niyamo gahetabbo anatītassapi atthibhāvassa icchitattā. Tenevāha ‘‘atthi siyā atītaṃ, siyā nvātīta’’nti. Yena hi ākārena atītassa atthibhāvo paravādinā icchito, tenākārena anatītassa anāgatassa paccuppannassa ca so icchito. Kena pana ākārena icchitoti ? Saṅkhatākārena. Tena vuttaṃ ‘‘tenātītaṃ nvātītaṃ, nvātītaṃ atīta’’nti. Tasmā atītaṃ atthiyevāti evamettha niyamo gahetabbo. Atthibhāve hi atītaṃ niyamitaṃ, na atīte atthibhāvo niyamito, ‘‘na pana nibbānaṃ atthī’’ti ettha pana nibbānameva atthīti ayampi niyamo sambhavatīti so eva gahetabbo. Yadipi hi nibbānaṃ paramatthato atthibhāvaṃ upādāya uttarapadāvadhāraṇaṃ labbhati tadaññassapi abhāvato, tathāpi asaṅkhatākārena aññassa anupalabbhanato tathā nibbānameva atthīti purimapadāvadhāraṇe atthe gayhamāne ‘‘atthi siyā nibbānaṃ, siyā no nibbāna’’nti codanā anokāsā. Atītādīsu pana purimapadāvadhāraṇaṃ paravādinā na gahitanti natthettha atippasaṅgo. Aggahaṇañcassa pāḷito eva viññāyati. Evamettha atītādīnaṃ atthitaṃ vadantassa paravādissevāyaṃ iṭṭhavighātadosāpatti, na pana nibbānassa atthitaṃ vadantassa sakavādissāti. Paṭipādanā patiṭṭhāpanā veditabbā.
เอตฺถาห ‘‘อตีตํ อตฺถี’’ติอาทินา กิํ ปนายํ อตีตานาคตานํ ปรมตฺถโต อตฺถิภาโว อธิเปฺปโต, อุทาหุ น ปรมตฺถโตฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว ปรมตฺถโต, สพฺพกาลํ อตฺถิภาวโต สงฺขารานํ สสฺสตภาโว อาปชฺชติ, น จ ตํ ยุตฺตํ อาคมวิโรธโต ยุตฺติวิโรธโต จฯ อถ น ปรมตฺถโต, ‘‘สพฺพมตฺถี’’ติอาทิกา โจทนา นิรตฺถิกา สิยา, น นิรตฺถิกาฯ โส หิ ปรวาที ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคต’’นฺติอาทินา อตีตานาคตานมฺปิ ขนฺธภาวสฺส วุตฺตตฺตา อสติ จ อตีเต กุสลากุสลสฺส กมฺมสฺส อายติํ ผลํ กถํ ภเวยฺย, ตตฺถ จ ปุเพฺพนิวาสญาณาทิ อนาคเต จ อนาคตํสญาณาทิ กถํ ปวเตฺตยฺย, ตสฺมา อเตฺถว ปรมตฺถโต อตีตานาคตนฺติ ยํ ปฎิชานาติ, ตํ สนฺธาย อยํ กตาติฯ เอกเนฺตน เจตํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ เยปิ ‘‘สพฺพํ อตฺถี’’ติ วทนฺติ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ, เต สพฺพตฺถิวาทาติฯ
Etthāha ‘‘atītaṃ atthī’’tiādinā kiṃ panāyaṃ atītānāgatānaṃ paramatthato atthibhāvo adhippeto, udāhu na paramatthato. Kiñcettha – yadi tāva paramatthato, sabbakālaṃ atthibhāvato saṅkhārānaṃ sassatabhāvo āpajjati, na ca taṃ yuttaṃ āgamavirodhato yuttivirodhato ca. Atha na paramatthato, ‘‘sabbamatthī’’tiādikā codanā niratthikā siyā, na niratthikā. So hi paravādī ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgata’’ntiādinā atītānāgatānampi khandhabhāvassa vuttattā asati ca atīte kusalākusalassa kammassa āyatiṃ phalaṃ kathaṃ bhaveyya, tattha ca pubbenivāsañāṇādi anāgate ca anāgataṃsañāṇādi kathaṃ pavatteyya, tasmā attheva paramatthato atītānāgatanti yaṃ paṭijānāti, taṃ sandhāya ayaṃ katāti. Ekantena cetaṃ sampaṭicchitabbaṃ. Yepi ‘‘sabbaṃ atthī’’ti vadanti atītaṃ anāgataṃ paccuppannañca, te sabbatthivādāti.
จตุพฺพิธา เจเต เต สพฺพตฺถิวาทาฯ ตตฺถ เกจิ ภาวญฺญตฺติกาฯ เต หิ ‘‘ยถา สุวณฺณภาชนสฺส ภินฺทิตฺวา อญฺญถา กริยมานสฺส สณฺฐานเสฺสว อญฺญถตฺตํ, น วณฺณาทีนํ, ยถา จ ขีรํ ทธิภาเวน ปริณมนฺตํ รสวีริยวิปาเก ปริจฺจชติ, น วณฺณํ, เอวํ ธมฺมาปิ อนาคตทฺธุโน ปจฺจุปฺปนฺนทฺธํ สงฺกมนฺตา อนาคตภาวเมว ชหนฺติ, น อตฺตโน สภาวํฯ ตถา ปจฺจุปฺปนฺนทฺธุโน อตีตทฺธํ สงฺกเม’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ลกฺขณญฺญตฺติกา, เต ปน ‘‘ตีสุ อทฺธาสุ ปวตฺตมาโน ธโมฺม อตีโต อตีตลกฺขณยุโตฺต, อิตรลกฺขเณหิ อยุโตฺตฯ ตถา อนาคโต ปจฺจุปฺปโนฺน จฯ ยถา ปุริโส เอกิสฺสา อิตฺถิยา รโตฺต อญฺญาสุ อรโตฺต’’ติ วทนฺติฯ อเญฺญ อวตฺถญฺญตฺติกา, เต ‘‘ตีสุ อทฺธาสุ ปวตฺตมาโน ธโมฺม ตํ ตํ อวตฺถํ ปตฺวา อโญฺญ อญฺญํ นิทฺทิสียติ อวตฺถนฺตรโต, น สภาวโตฯ ยถา เอกํ อกฺขํ เอกเงฺค นิกฺขิตฺตํ เอกนฺติ วุจฺจติ, สตเงฺค สตนฺติ, สหสฺสเงฺค สหสฺสนฺติ, เอวํสมฺปทมิท’’นฺติฯ อปเร อญฺญถญฺญตฺติกา, เต ปน ‘‘ตีสุ อทฺธาสุ ปวตฺตมาโน ธโมฺม ตํ ตํ อเปกฺขิตฺวา ตทญฺญสภาเวน วุจฺจติฯ ยถา ตํ เอกา อิตฺถี มาตาติ จ วุจฺจติ ธีตา’’ติ จฯ เอวเมเต จตฺตาโร สพฺพตฺถิวาทาฯ
Catubbidhā cete te sabbatthivādā. Tattha keci bhāvaññattikā. Te hi ‘‘yathā suvaṇṇabhājanassa bhinditvā aññathā kariyamānassa saṇṭhānasseva aññathattaṃ, na vaṇṇādīnaṃ, yathā ca khīraṃ dadhibhāvena pariṇamantaṃ rasavīriyavipāke pariccajati, na vaṇṇaṃ, evaṃ dhammāpi anāgataddhuno paccuppannaddhaṃ saṅkamantā anāgatabhāvameva jahanti, na attano sabhāvaṃ. Tathā paccuppannaddhuno atītaddhaṃ saṅkame’’ti vadanti. Keci lakkhaṇaññattikā, te pana ‘‘tīsu addhāsu pavattamāno dhammo atīto atītalakkhaṇayutto, itaralakkhaṇehi ayutto. Tathā anāgato paccuppanno ca. Yathā puriso ekissā itthiyā ratto aññāsu aratto’’ti vadanti. Aññe avatthaññattikā, te ‘‘tīsu addhāsu pavattamāno dhammo taṃ taṃ avatthaṃ patvā añño aññaṃ niddisīyati avatthantarato, na sabhāvato. Yathā ekaṃ akkhaṃ ekaṅge nikkhittaṃ ekanti vuccati, sataṅge satanti, sahassaṅge sahassanti, evaṃsampadamida’’nti. Apare aññathaññattikā, te pana ‘‘tīsu addhāsu pavattamāno dhammo taṃ taṃ apekkhitvā tadaññasabhāvena vuccati. Yathā taṃ ekā itthī mātāti ca vuccati dhītā’’ti ca. Evamete cattāro sabbatthivādā.
เตสุ ปฐโม ปริณามวาทิตาย กาปิลปกฺขิเกสุ ปกฺขิปิตโพฺพติฯ ทุติยสฺสปิ กาลสงฺกโร อาปชฺชติ สพฺพสฺส สพฺพลกฺขณโยคโตฯ จตุตฺถสฺสปิ สงฺกโรวฯ เอกเสฺสว ธมฺมสฺส ปวตฺติกฺขเณ ตโยปิ กาลา สโมธานํ คจฺฉนฺติฯ ปุริมปจฺฉิมกฺขณา หิ อตีตานาคตา, มชฺฌิโม ปจฺจุปฺปโนฺนติฯ ตติยสฺส ปน อวตฺถญฺญตฺติกสฺส นตฺถิ สงฺกโร ธมฺมกิเจฺจน กาลววตฺถานโตฯ ธโมฺม หิ สกิจฺจกฺขเณ ปจฺจุปฺปโนฺน, ตโต ปุเพฺพ อนาคโต, ปจฺฉา อตีโตติฯ
Tesu paṭhamo pariṇāmavāditāya kāpilapakkhikesu pakkhipitabboti. Dutiyassapi kālasaṅkaro āpajjati sabbassa sabbalakkhaṇayogato. Catutthassapi saṅkarova. Ekasseva dhammassa pavattikkhaṇe tayopi kālā samodhānaṃ gacchanti. Purimapacchimakkhaṇā hi atītānāgatā, majjhimo paccuppannoti. Tatiyassa pana avatthaññattikassa natthi saṅkaro dhammakiccena kālavavatthānato. Dhammo hi sakiccakkhaṇe paccuppanno, tato pubbe anāgato, pacchā atītoti.
ตตฺถ ยทิ อตีตมฺปิ ธรมานสภาวตาย อตฺถิ อนาคตมฺปิ, กสฺมา ตํ อตีตนฺติ วุจฺจติ อนาคตนฺติ วา, นนุ วุตฺตํ ‘‘ธมฺมกิเจฺจน กาลววตฺถานโต’’ติฯ ยทิ เอวํ ปจฺจุปฺปนฺนสฺส จกฺขุสฺส กิํ กิจฺจํ, อนวเสสปจฺจยสมวาเย ผลุปฺปาทนํฯ เอวํ สติ อนาคตสฺสปิ จสฺส เตน ภวิตพฺพํ อตฺถิภาวโตติ ลกฺขณสงฺกโร สิยาฯ อิทเญฺจตฺถ วตฺตพฺพํ, เตเนว สภาเวน สโต ธมฺมสฺส กิจฺจํ, กิจฺจกรเณ โก วิพโนฺธ, เยน กทาจิ กโรติ กทาจิ น กโรติ ปจฺจยสมวายภาวโต, กิจฺจสฺส สมวายาภาวโตติ เจ? ตํ น, นิจฺจํ อตฺถิภาวสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ ตโต เอว จ อทฺธุนํ อววตฺถานํฯ ธโมฺม หิ เตเนว สภาเวน วิชฺชมาโน กสฺมา กทาจิ อตีโตติ วุจฺจติ กทาจิ อนาคโตติ กาลสฺส ววตฺถานํ น สิยาฯ โย หิ ธโมฺม อชาโต, โส อนาคโตฯ โย ชาโต น จ นิรุโทฺธ, โส ปจฺจุปฺปโนฺนฯ โย นิรุโทฺธ, โส อตีโตฯ อิทเมเวตฺถ วตฺตพฺพํฯ ยทิ ยถา วตฺตมานํ อตฺถิ , ตถา อตีตํ อนาคตญฺจ อตฺถิ, ตสฺส ตถา สโต อชาตตา นิรุทฺธตา จ เกน โหตีติฯ เตเนว หิ สภาเวน สโต ธมฺมสฺส กถมิทํ สิชฺฌติ อชาโตติ วา นิรุโทฺธติ วาฯ กิํ ตสฺส ปุเพฺพ นาโหสิ, ยสฺส อภาวโต อชาโตติ วุจฺจติ, กิญฺจ ปจฺฉา นตฺถิ, ยสฺส อภาวโต นิรุโทฺธติ วุจฺจติฯ ตสฺมา สพฺพถาปิ อทฺธตฺตยํ น สิชฺฌติ, ยทิ อหุตฺวา สงฺคติ หุตฺวา จ วินสฺสตีติ น สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สงฺขตลกฺขณโยคโต น สสฺสตภาวปฺปสโงฺค’’ติ, ตยิทํ เกวลํ วาจาวตฺถุมตฺตํ อุทยวยาสมฺภวโต, อตฺถิ จ นาม สพฺพทา โส ธโมฺม, น จ นิโจฺจติ กุโตยํ วาจายุตฺติฯ
Tattha yadi atītampi dharamānasabhāvatāya atthi anāgatampi, kasmā taṃ atītanti vuccati anāgatanti vā, nanu vuttaṃ ‘‘dhammakiccena kālavavatthānato’’ti. Yadi evaṃ paccuppannassa cakkhussa kiṃ kiccaṃ, anavasesapaccayasamavāye phaluppādanaṃ. Evaṃ sati anāgatassapi cassa tena bhavitabbaṃ atthibhāvatoti lakkhaṇasaṅkaro siyā. Idañcettha vattabbaṃ, teneva sabhāvena sato dhammassa kiccaṃ, kiccakaraṇe ko vibandho, yena kadāci karoti kadāci na karoti paccayasamavāyabhāvato, kiccassa samavāyābhāvatoti ce? Taṃ na, niccaṃ atthibhāvassa icchitattā. Tato eva ca addhunaṃ avavatthānaṃ. Dhammo hi teneva sabhāvena vijjamāno kasmā kadāci atītoti vuccati kadāci anāgatoti kālassa vavatthānaṃ na siyā. Yo hi dhammo ajāto, so anāgato. Yo jāto na ca niruddho, so paccuppanno. Yo niruddho, so atīto. Idamevettha vattabbaṃ. Yadi yathā vattamānaṃ atthi , tathā atītaṃ anāgatañca atthi, tassa tathā sato ajātatā niruddhatā ca kena hotīti. Teneva hi sabhāvena sato dhammassa kathamidaṃ sijjhati ajātoti vā niruddhoti vā. Kiṃ tassa pubbe nāhosi, yassa abhāvato ajātoti vuccati, kiñca pacchā natthi, yassa abhāvato niruddhoti vuccati. Tasmā sabbathāpi addhattayaṃ na sijjhati, yadi ahutvā saṅgati hutvā ca vinassatīti na sampaṭicchanti. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘saṅkhatalakkhaṇayogato na sassatabhāvappasaṅgo’’ti, tayidaṃ kevalaṃ vācāvatthumattaṃ udayavayāsambhavato, atthi ca nāma sabbadā so dhammo, na ca niccoti kutoyaṃ vācāyutti.
สภาโว สพฺพทา อตฺถิ, นิโจฺจ ธโมฺม น วุจฺจติ;
Sabhāvo sabbadā atthi, nicco dhammo na vuccati;
ธโมฺม สภาวโต นาโญฺญ, อโห ธเมฺมสุ โกสลํฯ
Dhammo sabhāvato nāñño, aho dhammesu kosalaṃ.
ยญฺจ วุตฺตํ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคต’’นฺติอาทินา อตีตานาคตานํ ขนฺธภาวสฺส วุตฺตตฺตา อเตฺถวาติ, วทามฯ อตีตํ ภูตปุพฺพํ, อนาคตํ ยํ สติ ปจฺจเย ภวิสฺสติ, ตทุภยสฺสปิ รุปฺปนาทิสภาวานาติวตฺตนโต รูปกฺขนฺธาทิภาโว วุโตฺตฯ ยถาธมฺมสภาวานาติวตฺตนโต อตีตา ธมฺมา อนาคตา ธมฺมาติ, น ธรมานสภาวตายฯ โก จ เอวมาห ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนํ วิย ตํ อตฺถี’’ติฯ กถํ ปเนตํ อตฺถีติ? อตีตานาคตสภาเวนฯ อิทํ ปน ตเวว อุปฎฺฐิตํ, กถํ ตํ อตีตํ อนาคตญฺจ วุจฺจติ, ยทิ นิจฺจกาลํ อตฺถีติฯ
Yañca vuttaṃ ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgata’’ntiādinā atītānāgatānaṃ khandhabhāvassa vuttattā atthevāti, vadāma. Atītaṃ bhūtapubbaṃ, anāgataṃ yaṃ sati paccaye bhavissati, tadubhayassapi ruppanādisabhāvānātivattanato rūpakkhandhādibhāvo vutto. Yathādhammasabhāvānātivattanato atītā dhammā anāgatā dhammāti, na dharamānasabhāvatāya. Ko ca evamāha ‘‘paccuppannaṃ viya taṃ atthī’’ti. Kathaṃ panetaṃ atthīti? Atītānāgatasabhāvena. Idaṃ pana taveva upaṭṭhitaṃ, kathaṃ taṃ atītaṃ anāgatañca vuccati, yadi niccakālaṃ atthīti.
ยํ ปน ‘‘น ตาว กาลํ กโรติ, ยาว น ตํ ปาปํ พฺยนฺตี โหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๐) สุเตฺต วุตฺตํ, ตํ ยสฺมิญฺจ สนฺตาเน กมฺมํ กตูปจิตํ, ตตฺถ เตนาหิตํ ตํผลุปฺปาทนสมตฺถตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น อตีตสฺส กมฺมสฺส ธรมานสภาวตฺตาฯ ตถา สติ สเกน ภาเวน วิชฺชมานํ กถํ ตํ อตีตํ นาม สิยาฯ อิตฺถเญฺจตํ เอวํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํ, ยํ สงฺขารา อหุตฺวา สมฺภวนฺติ, หุตฺวา ปติเวนฺติ เตสํ อุทยโต ปุเพฺพ วยโต จ ปจฺฉา น กาจิ ฐิติ นาม อตฺถิ, ยโต อตีตานาคตํ อตฺถีติ วุเจฺจยฺยฯ เตน วุตฺตํ –
Yaṃ pana ‘‘na tāva kālaṃ karoti, yāva na taṃ pāpaṃ byantī hotī’’ti (ma. ni. 3.250) sutte vuttaṃ, taṃ yasmiñca santāne kammaṃ katūpacitaṃ, tattha tenāhitaṃ taṃphaluppādanasamatthataṃ sandhāya vuttaṃ, na atītassa kammassa dharamānasabhāvattā. Tathā sati sakena bhāvena vijjamānaṃ kathaṃ taṃ atītaṃ nāma siyā. Itthañcetaṃ evaṃ sampaṭicchitabbaṃ, yaṃ saṅkhārā ahutvā sambhavanti, hutvā pativenti tesaṃ udayato pubbe vayato ca pacchā na kāci ṭhiti nāma atthi, yato atītānāgataṃ atthīti vucceyya. Tena vuttaṃ –
‘‘อนิธานคตา ภคฺคา, ปุโญฺช นตฺถิ อนาคเต;
‘‘Anidhānagatā bhaggā, puñjo natthi anāgate;
อุปฺปนฺนา เยปิ ติฎฺฐนฺติ, อารเคฺค สาสปูปมา’’ติฯ (มหานิ. ๑๐, ๓๙);
Uppannā yepi tiṭṭhanti, āragge sāsapūpamā’’ti. (mahāni. 10, 39);
ยทิ จานาคตํ ปรมตฺถโต สิยา, อหุตฺวา สมฺภวนฺตีติ วตฺตุํ น สกฺกาฯ ปจฺจุปฺปนฺนกาเล อหุตฺวา สมฺภวนฺตีติ เจ? น, ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตฺตา กาลสฺสฯ อถ อตฺตโน สภาเวน อหุตฺวา สมฺภวนฺตีติ, สิทฺธเมตํ อนาคตํ ปรมตฺถโต นตฺถีติฯ ยญฺจ วุตฺตํ ‘‘อสติ อตีเต กุสลากุสลสฺส กมฺมสฺส อายติํ ผลํ กถํ ภเวยฺยา’’ติ, น โข ปเนตฺถ อตีตกมฺมโต ผลุปฺปตฺติ อิจฺฉิตา, อถ โข ตสฺส กตตฺตา ตทาหิตวิเสสโต สนฺตานโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘กามาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ จกฺขุวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ (ธ. ส. ๔๓๑)ฯ ยสฺส ปน อตีตานาคตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ตสฺส ผลํ นิจฺจเมว อตฺถีติ กิํ ตตฺถ กมฺมสฺส สามตฺถิยํฯ อุปฺปาทเน เจ, สิทฺธมิทํ อหุตฺวา ภวตีติฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อสติ อตีตานาคเต กถํ ตตฺถ ญาณํ ปวเตฺตยฺยา’’ติ, ยถา ตํ อาลมฺพณํ, ตํ ตถา อตฺถิ, กถญฺจ ตํ อาลมฺพณํ, อโหสิ ภวิสฺสติ จาติฯ น หิ โกจิ อตีตํ อนุสฺสรโนฺต อตฺถีติ อนุสฺสรติ, อถ โข อโหสีติฯ ยถา ปน วตฺตมานํ อารมฺมณํ อนุภูตํ, ตถา ตํ อตีตํ อนุสฺสรติฯ ยถา จ วตฺตมานํ ภวิสฺสติ, ตถา พุทฺธาทีหิ คยฺหติฯ ยทิ จ ตํ ตเถว อตฺถิ, วตฺตมานเมว ตํ สิยาฯ อถ นตฺถิ, สิทฺธํ ‘‘อสนฺตํ ญาณสฺส อารมฺมณํ โหตี’’ติฯ วิชฺชมานํ วา หิ จิตฺตสญฺญาตํ อวิชฺชมานํ วา อารมฺมณํ เอเตสํ อตฺถีติ อารมฺมณา, จิตฺตเจตสิกา, น วิชฺชมานํเยว อารพฺภ ปวตฺตนโต, ตสฺมา ปจฺจุปฺปนฺนเมว ธรมานสภาวํ น อตีตานาคตนฺติ น ติฎฺฐติ สพฺพตฺถิวาโทฯ เกจิ ปน ‘‘น อตีตาทีนํ อตฺถิตาปฎิญฺญาย สพฺพตฺถิวาทา, อถ โข อายตนสพฺพสฺส อตฺถิตาปฎิญฺญายา’’ติ วทนฺติ, เตสํ มเตน สเพฺพว สาสนิกา สพฺพตฺถิวาทา สิยุนฺติฯ
Yadi cānāgataṃ paramatthato siyā, ahutvā sambhavantīti vattuṃ na sakkā. Paccuppannakāle ahutvā sambhavantīti ce? Na, dhammappavattimattattā kālassa. Atha attano sabhāvena ahutvā sambhavantīti, siddhametaṃ anāgataṃ paramatthato natthīti. Yañca vuttaṃ ‘‘asati atīte kusalākusalassa kammassa āyatiṃ phalaṃ kathaṃ bhaveyyā’’ti, na kho panettha atītakammato phaluppatti icchitā, atha kho tassa katattā tadāhitavisesato santānato. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘kāmāvacarassa kusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ cakkhuviññāṇaṃ uppannaṃ hotī’’ti (dha. sa. 431). Yassa pana atītānāgataṃ paramatthato atthi, tassa phalaṃ niccameva atthīti kiṃ tattha kammassa sāmatthiyaṃ. Uppādane ce, siddhamidaṃ ahutvā bhavatīti. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘asati atītānāgate kathaṃ tattha ñāṇaṃ pavatteyyā’’ti, yathā taṃ ālambaṇaṃ, taṃ tathā atthi, kathañca taṃ ālambaṇaṃ, ahosi bhavissati cāti. Na hi koci atītaṃ anussaranto atthīti anussarati, atha kho ahosīti. Yathā pana vattamānaṃ ārammaṇaṃ anubhūtaṃ, tathā taṃ atītaṃ anussarati. Yathā ca vattamānaṃ bhavissati, tathā buddhādīhi gayhati. Yadi ca taṃ tatheva atthi, vattamānameva taṃ siyā. Atha natthi, siddhaṃ ‘‘asantaṃ ñāṇassa ārammaṇaṃ hotī’’ti. Vijjamānaṃ vā hi cittasaññātaṃ avijjamānaṃ vā ārammaṇaṃ etesaṃ atthīti ārammaṇā, cittacetasikā, na vijjamānaṃyeva ārabbha pavattanato, tasmā paccuppannameva dharamānasabhāvaṃ na atītānāgatanti na tiṭṭhati sabbatthivādo. Keci pana ‘‘na atītādīnaṃ atthitāpaṭiññāya sabbatthivādā, atha kho āyatanasabbassa atthitāpaṭiññāyā’’ti vadanti, tesaṃ matena sabbeva sāsanikā sabbatthivādā siyunti.
ปทโสธนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Padasodhanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
สพฺพมตฺถีติกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sabbamatthītikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / กถาวตฺถุปาฬิ • Kathāvatthupāḷi / ๕. สพฺพมตฺถีติกถา • 5. Sabbamatthītikathā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā / ๕. สพฺพมตฺถีติกถา • 5. Sabbamatthītikathā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā / ๕. สพฺพมตฺถีติกถา • 5. Sabbamatthītikathā