Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๗๒-๗๓. สพฺพญฺญุตญฺญาณนิเทฺทสวณฺณนา
72-73. Sabbaññutaññāṇaniddesavaṇṇanā
๑๑๙. สพฺพญฺญุตญฺญาณนิเทฺทเส กตมํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณนฺติ ปุจฺฉิตฺวา เตน สมคติกตฺตา เตเนว สห อนาวรณญาณํ นิทฺทิฎฺฐํฯ น หิ อนาวรณญาณํ ธมฺมโต วิสุํ อตฺถิ, เอกเมว เหตํ ญาณํ อาการเภทโต เทฺวธา วุจฺจติ สทฺธินฺทฺริยสทฺธาพลาทีนิ วิยฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว หิ นตฺถิ เอตสฺส อาวรณนฺติ, เกนจิ ธเมฺมน, ปุคฺคเลน วา อาวรณํ กาตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อนาวรณนฺติ วุจฺจติ อาวชฺชนปฎิพทฺธตฺตา สพฺพธมฺมานํฯ อเญฺญ ปน อาวชฺชิตฺวาปิ น ชานนฺติฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘มโนวิญฺญาณํ วิย สพฺพารมฺมณิกตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ฯ ตํเยว ญาณํ อินฺทวชิรํ วิย วิสเยสุ อปฺปฎิหตตฺตา อนาวรณญาณํฯ อนุปุพฺพสพฺพญฺญุตาปฎิเกฺขโป สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, สกิํสพฺพญฺญุตาปฎิเกฺขโป อนาวรณญาณํ, ภควา สพฺพญฺญุตญฺญาณปฎิลาเภนปิ สพฺพญฺญูติ วุจฺจติ, น จ อนุปุพฺพสพฺพญฺญูฯ อนาวรณญาณปฎิลาเภนปิ สพฺพญฺญูติ วุจฺจติ, น จ สกิํสพฺพญฺญู’’ติฯ
119. Sabbaññutaññāṇaniddese katamaṃ tathāgatassa sabbaññutaññāṇanti pucchitvā tena samagatikattā teneva saha anāvaraṇañāṇaṃ niddiṭṭhaṃ. Na hi anāvaraṇañāṇaṃ dhammato visuṃ atthi, ekameva hetaṃ ñāṇaṃ ākārabhedato dvedhā vuccati saddhindriyasaddhābalādīni viya. Sabbaññutaññāṇameva hi natthi etassa āvaraṇanti, kenaci dhammena, puggalena vā āvaraṇaṃ kātuṃ asakkuṇeyyatāya anāvaraṇanti vuccati āvajjanapaṭibaddhattā sabbadhammānaṃ. Aññe pana āvajjitvāpi na jānanti. Keci panāhu ‘‘manoviññāṇaṃ viya sabbārammaṇikattā sabbaññutaññāṇaṃ . Taṃyeva ñāṇaṃ indavajiraṃ viya visayesu appaṭihatattā anāvaraṇañāṇaṃ. Anupubbasabbaññutāpaṭikkhepo sabbaññutaññāṇaṃ, sakiṃsabbaññutāpaṭikkhepo anāvaraṇañāṇaṃ, bhagavā sabbaññutaññāṇapaṭilābhenapi sabbaññūti vuccati, na ca anupubbasabbaññū. Anāvaraṇañāṇapaṭilābhenapi sabbaññūti vuccati, na ca sakiṃsabbaññū’’ti.
สพฺพํ สงฺขตมสงฺขตํ อนวเสสํ ชานาตีติ เอตฺถ สพฺพนฺติ ชาติวเสน สพฺพธมฺมานํ นิเสฺสสปริยาทานํฯ อนวเสสนฺติ เอเกกเสฺสว ธมฺมสฺส สพฺพาการวเสน นิเสฺสสปริยาทานํฯ สงฺขตมสงฺขตนฺติ ทฺวิธา ปเภททสฺสนํฯ สงฺขตญฺหิ เอโก ปเภโท, อสงฺขตํ เอโก ปเภโทฯ ปจฺจเยหิ สงฺคมฺม กตนฺติ สงฺขตํฯ ขนฺธปญฺจกํฯ ตถา น สงฺขตนฺติ อสงฺขตํฯ นิพฺพานํฯ สงฺขตํ อนิจฺจทุกฺขานตฺตาทีหิ อากาเรหิ อนวเสสํ ชานาติ, อสงฺขตํ สุญฺญตานิมิตฺตอปฺปณิหิตาทีหิ อากาเรหิ อนวเสสํ ชานาติฯ นตฺถิ เอตสฺส สงฺขตสฺส อสงฺขตสฺส จ อวเสโสติ อนวเสสํฯ สงฺขตํ อสงฺขตญฺจฯ อเนกเภทาปิ ปญฺญตฺติ ปจฺจเยหิ อกตตฺตา อสงฺขตปกฺขํ ภชติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺหิ สพฺพาปิ ปญฺญตฺติโย อเนกเภทโต ชานาติฯ อถ วา สพฺพนฺติ สพฺพธมฺมคฺคหณํฯ อนวเสสนฺติ นิปฺปเทสคฺคหณํฯ ตตฺถ อาวรณํ นตฺถีติ ตตฺถ ตสฺมิํ อนวเสเส สงฺขตาสงฺขเต นิสฺสงฺคตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อาวรณํ นตฺถีติ ตเทว สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อนาวรณญาณํ นามาติ อโตฺถฯ
Sabbaṃ saṅkhatamasaṅkhataṃ anavasesaṃ jānātīti ettha sabbanti jātivasena sabbadhammānaṃ nissesapariyādānaṃ. Anavasesanti ekekasseva dhammassa sabbākāravasena nissesapariyādānaṃ. Saṅkhatamasaṅkhatanti dvidhā pabhedadassanaṃ. Saṅkhatañhi eko pabhedo, asaṅkhataṃ eko pabhedo. Paccayehi saṅgamma katanti saṅkhataṃ. Khandhapañcakaṃ. Tathā na saṅkhatanti asaṅkhataṃ. Nibbānaṃ. Saṅkhataṃ aniccadukkhānattādīhi ākārehi anavasesaṃ jānāti, asaṅkhataṃ suññatānimittaappaṇihitādīhi ākārehi anavasesaṃ jānāti. Natthi etassa saṅkhatassa asaṅkhatassa ca avasesoti anavasesaṃ. Saṅkhataṃ asaṅkhatañca. Anekabhedāpi paññatti paccayehi akatattā asaṅkhatapakkhaṃ bhajati. Sabbaññutaññāṇañhi sabbāpi paññattiyo anekabhedato jānāti. Atha vā sabbanti sabbadhammaggahaṇaṃ. Anavasesanti nippadesaggahaṇaṃ. Tattha āvaraṇaṃ natthīti tattha tasmiṃ anavasese saṅkhatāsaṅkhate nissaṅgattā sabbaññutaññāṇassa āvaraṇaṃ natthīti tadeva sabbaññutaññāṇaṃ anāvaraṇañāṇaṃ nāmāti attho.
๑๒๐. อิทานิ อเนกวิสยเภทโต ทเสฺสตุํ อตีตนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ กาลเภทโต ทสฺสิตํ, จกฺขุ เจว รูปา จาติอาทิ วตฺถารมฺมณเภทโตฯ เอวํ ตํ สพฺพนฺติ เตสํ จกฺขุรูปานํ อนวเสสปริยาทานํฯ เอวํ เสเสสุฯ ยาวตาติ อนวเสสปริยาทานํฯ อนิจฺจฎฺฐนฺติอาทิ สามญฺญลกฺขณเภทโต ทสฺสิตํฯ อนิจฺจฎฺฐนฺติ จ อนิจฺจาการํฯ ปจฺจตฺตเตฺถ วา อุปโยควจนํฯ เอส นโย เอทิเสสุฯ รูปสฺสาติอาทิ ขนฺธเภทโต ทสฺสิตํฯ จกฺขุสฺส…เป.… ชรามรณสฺสาติ เหฎฺฐา วุตฺตเปยฺยาลนเยน โยเชตพฺพํฯ อภิญฺญายาติอาทีสุ เหฎฺฐา วุตฺตญาณาเนวฯ อภิญฺญฎฺฐนฺติ อภิชานนสภาวํฯ เอส นโย เอทิเสสุฯ ขนฺธานํ ขนฺธฎฺฐนฺติอาทิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ กุสเล ธเมฺมติอาทิ กุสลตฺติกวเสน เภโทฯ กามาวจเร ธเมฺมติอาทิ จตุภูมกวเสนฯ อุภยตฺถาปิ ‘‘สเพฺพ ชานาตี’’ติ พหุวจนปาโฐ สุนฺทโรฯ เอกวจนโสเต ปติตตฺตา ปน โปตฺถเกสุ เอกวจเนน ลิขิตํฯ ทุกฺขสฺสาติอาทิ จุทฺทสนฺนํ พุทฺธญาณานํ วิสยเภโทฯ อินฺทฺริยปโรปริยเตฺต ญาณนฺติอาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ วตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ กสฺมา น วุตฺตนฺติ เจ? วุจฺจมานสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณตฺตาฯ วิสยเภทโต หิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณ วุจฺจมาเน ตํ ญาณํ น วตฺตพฺพํ โหติ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส วิสโย โหติเยวฯ
120. Idāni anekavisayabhedato dassetuṃ atītantiādimāha. Tattha atītaṃ anāgataṃ paccuppannanti kālabhedato dassitaṃ, cakkhu ceva rūpā cātiādi vatthārammaṇabhedato. Evaṃ taṃ sabbanti tesaṃ cakkhurūpānaṃ anavasesapariyādānaṃ. Evaṃ sesesu. Yāvatāti anavasesapariyādānaṃ. Aniccaṭṭhantiādi sāmaññalakkhaṇabhedato dassitaṃ. Aniccaṭṭhanti ca aniccākāraṃ. Paccattatthe vā upayogavacanaṃ. Esa nayo edisesu. Rūpassātiādi khandhabhedato dassitaṃ. Cakkhussa…pe… jarāmaraṇassāti heṭṭhā vuttapeyyālanayena yojetabbaṃ. Abhiññāyātiādīsu heṭṭhā vuttañāṇāneva. Abhiññaṭṭhanti abhijānanasabhāvaṃ. Esa nayo edisesu. Khandhānaṃ khandhaṭṭhantiādi heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Kusale dhammetiādi kusalattikavasena bhedo. Kāmāvacare dhammetiādi catubhūmakavasena. Ubhayatthāpi ‘‘sabbe jānātī’’ti bahuvacanapāṭho sundaro. Ekavacanasote patitattā pana potthakesu ekavacanena likhitaṃ. Dukkhassātiādi cuddasannaṃ buddhañāṇānaṃ visayabhedo. Indriyaparopariyatte ñāṇantiādīni cattāri ñāṇāni vatvā sabbaññutaññāṇaṃ kasmā na vuttanti ce? Vuccamānassa sabbaññutaññāṇattā. Visayabhedato hi sabbaññutaññāṇe vuccamāne taṃ ñāṇaṃ na vattabbaṃ hoti, sabbaññutaññāṇaṃ pana sabbaññutaññāṇassa visayo hotiyeva.
ปุน กาฬการามสุตฺตนฺตาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๔) วุตฺตนเยน สพฺพญฺญุตญฺญาณภูมิํ ทเสฺสโนฺต ยาวตา สเทวกสฺส โลกสฺสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สห เทเวหิ สเทวกสฺสฯ สห มาเรน สมารกสฺส ฯ สห พฺรหฺมุนา สพฺรหฺมกสฺส โลกสฺสฯ สห สมณพฺราหฺมเณหิ สสฺสมณพฺราหฺมณิยาฯ สห เทวมนุเสฺสหิ สเทวมนุสฺสาย ปชายฯ ปชาตตฺตา ปชาติ สตฺตโลกสฺส ปริยายวจนเมตํฯ ตตฺถ สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ, สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ, สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณํ, สสฺสมณพฺราหฺมณิวจเนน สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณํ สมิตปาปพาหิตปาปสมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจ, ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํ, สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวเสสมนุสฺสคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ ปเทหิ โอกาสโลโก, ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโก คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Puna kāḷakārāmasuttantādīsu (a. ni. 4.24) vuttanayena sabbaññutaññāṇabhūmiṃ dassento yāvatā sadevakassa lokassātiādimāha. Tattha saha devehi sadevakassa. Saha mārena samārakassa. Saha brahmunā sabrahmakassa lokassa. Saha samaṇabrāhmaṇehi sassamaṇabrāhmaṇiyā. Saha devamanussehi sadevamanussāya pajāya. Pajātattā pajāti sattalokassa pariyāyavacanametaṃ. Tattha sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇaṃ, sassamaṇabrāhmaṇivacanena sāsanassa paccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇaṃ samitapāpabāhitapāpasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañca, pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ, sadevamanussavacanena sammutidevasesamanussaggahaṇaṃ veditabbaṃ. Evamettha tīhi padehi okāsaloko, dvīhi pajāvasena sattaloko gahitoti veditabbo.
อปโร นโย – สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรโลโก คหิโต, สมารกคฺคหเณน ฉกามาวจรเทวโลโก, สพฺรหฺมกคฺคหเณน รูปาวจรพฺรหฺมโลโก, สสฺสมณพฺราหฺมณาทิคฺคหเณน จตุปริสวเสน, สมฺมุติเทเวหิ วา สห มนุสฺสโลโก, อวเสสสตฺตโลโก วาฯ
Aparo nayo – sadevakaggahaṇena arūpāvacaraloko gahito, samārakaggahaṇena chakāmāvacaradevaloko, sabrahmakaggahaṇena rūpāvacarabrahmaloko, sassamaṇabrāhmaṇādiggahaṇena catuparisavasena, sammutidevehi vā saha manussaloko, avasesasattaloko vā.
อปิเจตฺถ สเทวกวจเนน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต สพฺพสฺสปิ โลกสฺส ทิฎฺฐาทิชานนภาวํ สาเธติฯ ตโต เยสํ สิยา ‘‘มาโร มหานุภาโว ฉกามาวจริสฺสโร วสวตฺตี, กิํ ตสฺสาปิ ทิฎฺฐาทิํ ชานาตี’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต ‘‘สมารกสฺสา’’ติ อาหฯ เยสํ ปน สิยา ‘‘พฺรหฺมา มหานุภาโว เอกงฺคุลิยา เอกสฺมิํ จกฺกวาฬสหเสฺส อาโลกํ ผรติ, ทฺวีหิ…เป.… ทสหิ องฺคุลีหิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อาโลกํ ผรติ, อนุตฺตรญฺจ ฌานสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทติ, กิํ ตสฺสาปิ ทิฎฺฐาทิํ ชานาตี’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต ‘‘สพฺรหฺมกสฺสา’’ติ อาหฯ ตโต เยสํ สิยา ‘‘ปุถู สมณพฺราหฺมณา สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกา, กิํ เตสมฺปิ ทิฎฺฐาทิํ ชานาตี’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชายา’’ติ อาหฯ เอวํ อุกฺกฎฺฐานํ ทิฎฺฐาทิชานนภาวํ ปกาเสตฺวา อถ สมฺมุติเทเว อวเสสมนุเสฺส จ อุปาทาย อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน เสสสตฺตโลกสฺส ทิฎฺฐาทิชานนภาวํ ปกาเสติฯ อยเมตฺถ อนุสนฺธิกฺกโมฯ โปราณา ปนาหุ – สเทวกสฺสาติ เทวตาหิ สทฺธิํ อวเสสโลกสฺส ฯ สมารกสฺสาติ มาเรน สทฺธิํ อวเสสโลกสฺสฯ สพฺรหฺมกสฺสาติ พฺรเหฺมหิ สทฺธิํ อวเสสโลกสฺสฯ เอวํ สเพฺพปิ ติภวูปเค สเตฺต ตีหากาเรหิ ตีสุ ปเทสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ทฺวีหากาเรหิ ปริยาทาตุํ สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสายาติ วุตฺตํฯ เอวํ ปญฺจหิ ปเทหิ เตน เตน อากาเรน เตธาตุกเมว ปริยาทินฺนํ โหตีติฯ
Apicettha sadevakavacanena ukkaṭṭhaparicchedato sabbassapi lokassa diṭṭhādijānanabhāvaṃ sādheti. Tato yesaṃ siyā ‘‘māro mahānubhāvo chakāmāvacarissaro vasavattī, kiṃ tassāpi diṭṭhādiṃ jānātī’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto ‘‘samārakassā’’ti āha. Yesaṃ pana siyā ‘‘brahmā mahānubhāvo ekaṅguliyā ekasmiṃ cakkavāḷasahasse ālokaṃ pharati, dvīhi…pe… dasahi aṅgulīhi dasasu cakkavāḷasahassesu ālokaṃ pharati, anuttarañca jhānasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedeti, kiṃ tassāpi diṭṭhādiṃ jānātī’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto ‘‘sabrahmakassā’’ti āha. Tato yesaṃ siyā ‘‘puthū samaṇabrāhmaṇā sāsanassa paccatthikā, kiṃ tesampi diṭṭhādiṃ jānātī’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto ‘‘sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāyā’’ti āha. Evaṃ ukkaṭṭhānaṃ diṭṭhādijānanabhāvaṃ pakāsetvā atha sammutideve avasesamanusse ca upādāya ukkaṭṭhaparicchedavasena sesasattalokassa diṭṭhādijānanabhāvaṃ pakāseti. Ayamettha anusandhikkamo. Porāṇā panāhu – sadevakassāti devatāhi saddhiṃ avasesalokassa . Samārakassāti mārena saddhiṃ avasesalokassa. Sabrahmakassāti brahmehi saddhiṃ avasesalokassa. Evaṃ sabbepi tibhavūpage satte tīhākārehi tīsu padesu pakkhipitvā puna dvīhākārehi pariyādātuṃ sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāyāti vuttaṃ. Evaṃ pañcahi padehi tena tena ākārena tedhātukameva pariyādinnaṃ hotīti.
ทิฎฺฐนฺติ รูปายตนํฯ สุตนฺติ สทฺทายตนํฯ มุตนฺติ ปตฺวา คเหตพฺพโต คนฺธายตนํ, รสายตนํ, โผฎฺฐพฺพายตนํฯ วิญฺญาตนฺติ สุขทุกฺขาทิธมฺมารมฺมณํฯ ปตฺตนฺติ ปริเยสิตฺวา วา อปริเยสิตฺวา วา ปตฺตํฯ ปริเยสิตนฺติ ปตฺตํ วา อปฺปตฺตํ วา ปริเยสิตํฯ อนุวิจริตํ มนสาติ จิเตฺตน อนุสญฺจริตํฯ สพฺพํ ชานาตีติ อิมินา เอตํ ทเสฺสติ – ยํ อปริมานาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ‘‘นีลํ ปีต’’นฺติอาทิ (ธ. ส. ๖๑๙) รูปารมฺมณํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม รูปารมฺมณํ ทิสฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโตติ ตํ สพฺพํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ชานาติฯ ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ‘‘เภริสโทฺท, มุทิงฺคสโทฺท’’ติอาทิ สทฺทารมฺมณํ โสตทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, ‘‘มูลคโนฺธ ตจคโนฺธ’’ติอาทิ (ธ. ส. ๖๒๔-๖๒๗) คนฺธารมฺมณํ ฆานทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, ‘‘มูลรโส, ขนฺธรโส’’ติอาทิ (ธ. ส. ๖๒๘-๖๓๑) รสารมฺมณํ ชิวฺหาทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, ‘‘กกฺขฬํ, มุทุก’’นฺติอาทิ (ธ. ส. ๖๔๗-๖๕๐) ปถวีธาตุเตโชธาตุวาโยธาตุเภทํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ กายทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ ผุสิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโตติ ตํ สพฺพํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ชานาติฯ ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส สุขทุกฺขาทิเภทํ ธมฺมารมฺมณํ มโนทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม ธมฺมารมฺมณํ วิชานิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโตติ ตํ สพฺพํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ชานาติฯ อิมสฺส ปน มหาชนสฺส ปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิ, ปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิฯ อปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิ, อปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิฯ สพฺพํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาเณน อปฺปตฺตํ นาม นตฺถีติฯ
Diṭṭhanti rūpāyatanaṃ. Sutanti saddāyatanaṃ. Mutanti patvā gahetabbato gandhāyatanaṃ, rasāyatanaṃ, phoṭṭhabbāyatanaṃ. Viññātanti sukhadukkhādidhammārammaṇaṃ. Pattanti pariyesitvā vā apariyesitvā vā pattaṃ. Pariyesitanti pattaṃ vā appattaṃ vā pariyesitaṃ. Anuvicaritaṃ manasāti cittena anusañcaritaṃ. Sabbaṃ jānātīti iminā etaṃ dasseti – yaṃ aparimānāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa ‘‘nīlaṃ pīta’’ntiādi (dha. sa. 619) rūpārammaṇaṃ cakkhudvāre āpāthaṃ āgacchati, ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma rūpārammaṇaṃ disvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jātoti taṃ sabbaṃ tathāgatassa sabbaññutaññāṇaṃ jānāti. Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa ‘‘bherisaddo, mudiṅgasaddo’’tiādi saddārammaṇaṃ sotadvāre āpāthaṃ āgacchati, ‘‘mūlagandho tacagandho’’tiādi (dha. sa. 624-627) gandhārammaṇaṃ ghānadvāre āpāthaṃ āgacchati, ‘‘mūlaraso, khandharaso’’tiādi (dha. sa. 628-631) rasārammaṇaṃ jivhādvāre āpāthaṃ āgacchati, ‘‘kakkhaḷaṃ, muduka’’ntiādi (dha. sa. 647-650) pathavīdhātutejodhātuvāyodhātubhedaṃ phoṭṭhabbārammaṇaṃ kāyadvāre āpāthaṃ āgacchati, ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma phoṭṭhabbārammaṇaṃ phusitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jātoti taṃ sabbaṃ tathāgatassa sabbaññutaññāṇaṃ jānāti. Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa sukhadukkhādibhedaṃ dhammārammaṇaṃ manodvāre āpāthaṃ āgacchati, ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma dhammārammaṇaṃ vijānitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jātoti taṃ sabbaṃ tathāgatassa sabbaññutaññāṇaṃ jānāti. Imassa pana mahājanassa pariyesitvā appattampi atthi, pariyesitvā pattampi atthi. Apariyesitvā appattampi atthi, apariyesitvā pattampi atthi. Sabbaṃ tathāgatassa sabbaññutaññāṇena appattaṃ nāma natthīti.
๑๒๑. ปุน อปเรน ปริยาเยน สพฺพญฺญุตญฺญาณภาวสาธนตฺถํ น ตสฺสาติ คาถมาหฯ ตตฺถ น ตสฺส อทฺทิฎฺฐมิธตฺถิ กิญฺจีติ ตสฺส ตถาคตสฺส อิธ อิมสฺมิํ เตธาตุเก โลเก, อิมสฺมิํ ปจฺจุปฺปนฺนกาเล วา ปญฺญาจกฺขุนา อทฺทิฎฺฐํ นาม กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ น อตฺถิ น สํวิชฺชติฯ อตฺถีติ อิทํ วตฺตมานกาลิกํ อาขฺยาตปทํฯ อิมินา ปจฺจุปฺปนฺนกาลิกสฺส สพฺพธมฺมสฺส ญาตภาวํ ทเสฺสติฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปเนตฺถ ท-กาโร สํยุโตฺตฯ อโถ อวิญฺญาตนฺติ เอตฺถ อโถอิติ วจโนปาทาเน นิปาโตฯ อวิญฺญาตนฺติ อตีตกาลิกํ อวิญฺญาตํ นาม กิญฺจิ ธมฺมชาตํฯ นาโหสีติ ปาฐเสโสฯ อพฺยยภูตสฺส อตฺถิสทฺทสฺส คหเณ ปาฐเสสํ วินาปิ ยุชฺชติเยวฯ อิมินา อตีตกาลิกสฺส สพฺพธมฺมสฺส ญาตภาวํ ทเสฺสติ ฯ อชานิตพฺพนฺติ อนาคตกาลิกํ อชานิตพฺพํ นาม ธมฺมชาตํ น ภวิสฺสติ, นตฺถิ วาฯ อิมินา อนาคตกาลิกสฺส สพฺพธมฺมสฺส ญาตภาวํ ทเสฺสติฯ ชานนกิริยาวิเสสนมตฺตเมว วา เอตฺถ อ-กาโรฯ สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยนฺติ เอตฺถ ยํ เตกาลิกํ วา กาลวิมุตฺตํ วา เนยฺยํ ชานิตพฺพํ กิญฺจิ ธมฺมชาตํ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ ตถาคโต อภิญฺญาสิ อธิเกน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานิ ปฎิวิชฺฌิฯ เอตฺถ อตฺถิสเทฺทน เตกาลิกสฺส กาลวิมุตฺตสฺส จ คหณา อตฺถิ-สโทฺท อพฺยยภูโตเยว ทฎฺฐโพฺพฯ ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขูติ กาลวเสน โอกาสวเสน จ นิปฺปเทสตฺตา สมนฺตา สพฺพโต ปวตฺตํ ญาณจกฺขุ อสฺสาติ สมนฺตจกฺขุฯ เตน ยถาวุเตฺตน การเณน ตถาคโต สมนฺตจกฺขุ, สพฺพญฺญูติ วุตฺตํ โหติฯ อิมิสฺสา คาถาย ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สาธิตํฯ
121. Puna aparena pariyāyena sabbaññutaññāṇabhāvasādhanatthaṃ na tassāti gāthamāha. Tattha na tassa addiṭṭhamidhatthi kiñcīti tassa tathāgatassa idha imasmiṃ tedhātuke loke, imasmiṃ paccuppannakāle vā paññācakkhunā addiṭṭhaṃ nāma kiñci appamattakampi na atthi na saṃvijjati. Atthīti idaṃ vattamānakālikaṃ ākhyātapadaṃ. Iminā paccuppannakālikassa sabbadhammassa ñātabhāvaṃ dasseti. Gāthābandhasukhatthaṃ panettha da-kāro saṃyutto. Atho aviññātanti ettha athoiti vacanopādāne nipāto. Aviññātanti atītakālikaṃ aviññātaṃ nāma kiñci dhammajātaṃ. Nāhosīti pāṭhaseso. Abyayabhūtassa atthisaddassa gahaṇe pāṭhasesaṃ vināpi yujjatiyeva. Iminā atītakālikassa sabbadhammassa ñātabhāvaṃ dasseti . Ajānitabbanti anāgatakālikaṃ ajānitabbaṃ nāma dhammajātaṃ na bhavissati, natthi vā. Iminā anāgatakālikassa sabbadhammassa ñātabhāvaṃ dasseti. Jānanakiriyāvisesanamattameva vā ettha a-kāro. Sabbaṃ abhiññāsi yadatthi neyyanti ettha yaṃ tekālikaṃ vā kālavimuttaṃ vā neyyaṃ jānitabbaṃ kiñci dhammajātaṃ atthi, taṃ sabbaṃ tathāgato abhiññāsi adhikena sabbaññutaññāṇena jāni paṭivijjhi. Ettha atthisaddena tekālikassa kālavimuttassa ca gahaṇā atthi-saddo abyayabhūtoyeva daṭṭhabbo. Tathāgato tena samantacakkhūti kālavasena okāsavasena ca nippadesattā samantā sabbato pavattaṃ ñāṇacakkhu assāti samantacakkhu. Tena yathāvuttena kāraṇena tathāgato samantacakkhu, sabbaññūti vuttaṃ hoti. Imissā gāthāya puggalādhiṭṭhānāya desanāya sabbaññutaññāṇaṃ sādhitaṃ.
ปุน พุทฺธญาณานํ วิสยวเสน สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ทเสฺสตุกาโม สมนฺตจกฺขูติ เกนเฎฺฐน สมนฺตจกฺขูติอาทิมาหฯ ตตฺถ คาถาย สมนฺตจกฺขูติ วุตฺตปเท ยํ ตํ สมนฺตจกฺขุ, ตํ เกนเฎฺฐน สมนฺตจกฺขูติ อโตฺถฯ อโตฺถ ปนสฺส ยาวตา ทุกฺขสฺส ทุกฺขโฎฺฐติอาทีหิ วุโตฺตเยว โหติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺหิ สมนฺตจกฺขุฯ ยถาห – ‘‘สมนฺตจกฺขุ วุจฺจติ สพฺพญฺญุตญฺญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒)ฯ ตสฺมิํ สพฺพญฺญุตญฺญาณเฎฺฐ วุเตฺต สมนฺตจกฺขุโฎฺฐ วุโตฺตเยว โหตีติฯ พุทฺธเสฺสว ญาณานีติ พุทฺธญาณานิฯ ทุเกฺข ญาณาทีนิปิ หิ สพฺพากาเรน พุทฺธเสฺสว ภควโต ปวตฺตนฺติ, อิตเรสํ ปน เอกเทสมเตฺตเนว ปวตฺตนฺติฯ สาวกสาธารณานีติ ปน เอกเทเสนาปิ อตฺถิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สโพฺพ ญาโตติ สโพฺพ ญาเณน ญาโตฯ อญฺญาโต ทุกฺขโฎฺฐ นตฺถีติ วุตฺตเมว อตฺถํ ปฎิเสเธน วิภาเวติฯ สโพฺพ ทิโฎฺฐติ น เกวลํ ญาตมโตฺตเยว, อถ โข จกฺขุนา ทิโฎฺฐ วิย กโตฯ สโพฺพ วิทิโตติ น เกวลํ ทิฎฺฐมโตฺตเยว, อถ โข ปากโฎฯ สโพฺพ สจฺฉิกโตติ น เกวลํ วิทิโตเยว, อถ โข ตตฺถ ญาณปฎิลาภวเสน ปจฺจกฺขีกโตฯ สโพฺพ ผสฺสิโตติ น เกวลํ สจฺฉิกโตเยว, อถ โข ปุนปฺปุนํ ยถารุจิ สมุทาจารวเสน ผุโฎฺฐติฯ อถ วา ญาโต สภาวลกฺขณวเสนฯ ทิโฎฺฐ สามญฺญลกฺขณวเสนฯ วิทิโต รสวเสนฯ สจฺฉิกโต ปจฺจุปฎฺฐานวเสน ฯ ผสฺสิโต ปทฎฺฐานวเสนฯ อถ วา ญาโต ญาณุปฺปาทวเสนฯ ทิโฎฺฐ จกฺขุปฺปาทวเสนฯ วิทิโต ปญฺญุปฺปาทวเสนฯ สจฺฉิกโต วิชฺชุปฺปาทวเสนฯ ผสฺสิโต อาโลกุปฺปาทวเสนฯ ‘‘ยาวตา ทุกฺขสฺส ทุกฺขโฎฺฐ, สโพฺพ ทิโฎฺฐ, อทิโฎฺฐ ทุกฺขโฎฺฐ นตฺถี’’ติอาทินา นเยน จ ‘‘ยาวตา สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… อนุวิจริตํ มนสา, สพฺพํ ญาตํ, อญฺญาตํ นตฺถี’’ติอาทินา นเยน จ วิตฺถาโร เวทิตโพฺพฯ ปฐมํ วุตฺตคาถา นิคมนวเสน ปุน วุตฺตาฯ ตํนิคมเนเยว หิ กเต ญาณนิคมนมฺปิ กตเมว โหตีติฯ
Puna buddhañāṇānaṃ visayavasena sabbaññutaññāṇaṃ dassetukāmo samantacakkhūti kenaṭṭhena samantacakkhūtiādimāha. Tattha gāthāya samantacakkhūti vuttapade yaṃ taṃ samantacakkhu, taṃ kenaṭṭhena samantacakkhūti attho. Attho panassa yāvatādukkhassa dukkhaṭṭhotiādīhi vuttoyeva hoti. Sabbaññutaññāṇañhi samantacakkhu. Yathāha – ‘‘samantacakkhu vuccati sabbaññutaññāṇa’’nti (cūḷani. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32). Tasmiṃ sabbaññutaññāṇaṭṭhe vutte samantacakkhuṭṭho vuttoyeva hotīti. Buddhasseva ñāṇānīti buddhañāṇāni. Dukkhe ñāṇādīnipi hi sabbākārena buddhasseva bhagavato pavattanti, itaresaṃ pana ekadesamatteneva pavattanti. Sāvakasādhāraṇānīti pana ekadesenāpi atthitaṃ sandhāya vuttaṃ. Sabbo ñātoti sabbo ñāṇena ñāto. Aññāto dukkhaṭṭho natthīti vuttameva atthaṃ paṭisedhena vibhāveti. Sabbo diṭṭhoti na kevalaṃ ñātamattoyeva, atha kho cakkhunā diṭṭho viya kato. Sabbo viditoti na kevalaṃ diṭṭhamattoyeva, atha kho pākaṭo. Sabbo sacchikatoti na kevalaṃ viditoyeva, atha kho tattha ñāṇapaṭilābhavasena paccakkhīkato. Sabbo phassitoti na kevalaṃ sacchikatoyeva, atha kho punappunaṃ yathāruci samudācāravasena phuṭṭhoti. Atha vā ñāto sabhāvalakkhaṇavasena. Diṭṭho sāmaññalakkhaṇavasena. Vidito rasavasena. Sacchikato paccupaṭṭhānavasena . Phassito padaṭṭhānavasena. Atha vā ñāto ñāṇuppādavasena. Diṭṭho cakkhuppādavasena. Vidito paññuppādavasena. Sacchikato vijjuppādavasena. Phassito ālokuppādavasena. ‘‘Yāvatā dukkhassa dukkhaṭṭho, sabbo diṭṭho, adiṭṭho dukkhaṭṭho natthī’’tiādinā nayena ca ‘‘yāvatā sadevakassa lokassa…pe… anuvicaritaṃ manasā, sabbaṃ ñātaṃ, aññātaṃ natthī’’tiādinā nayena ca vitthāro veditabbo. Paṭhamaṃ vuttagāthā nigamanavasena puna vuttā. Taṃnigamaneyeva hi kate ñāṇanigamanampi katameva hotīti.
สพฺพญฺญุตญฺญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sabbaññutaññāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
สทฺธมฺมปฺปกาสินิยา ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถาย
Saddhammappakāsiniyā paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathāya
ญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ñāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๗๒-๗๓. สพฺพญฺญุตญาณนิเทฺทโส • 72-73. Sabbaññutañāṇaniddeso