Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๗. สพฺพปริญฺญาสุตฺตวณฺณนา
7. Sabbapariññāsuttavaṇṇanā
๗. สตฺตเม สพฺพนฺติ อนวเสสํฯ อนวเสสวาจโก หิ อยํ สพฺพ-สโทฺทฯ โส เยน เยน สมฺพนฺธํ คจฺฉติ, ตสฺส ตสฺส อนวเสสตํ ทีเปติ; ยถา ‘‘สพฺพํ รูปํ, สพฺพา เวทนา, สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสู’’ติฯ โส ปนายํ สพฺพ-สโทฺท สปฺปเทสนิปฺปเทสวิสยตาย ทุวิโธฯ ตถา เหส สพฺพสพฺพํ, ปเทสสพฺพํ, อายตนสพฺพํ, สกฺกายสพฺพนฺติ จตูสุ วิสเยสุ ทิฎฺฐปฺปโยโคฯ ตตฺถ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถมาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) สพฺพสพฺพสฺมิํ อาคโตฯ ‘‘สเพฺพสํ โว, สาริปุตฺตา, สุภาสิตํ ปริยาเยนา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๔๕) ปเทสสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ, จกฺขุเญฺจว รูปญฺจ…เป.…ฯ มนเญฺจว ธเมฺม จา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓-๒๕) เอตฺถ อายตนสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) สกฺกายสพฺพสฺมิํฯ ตตฺถ สพฺพสพฺพสฺมิํ อาคโต นิปฺปเทสวิสโย, อิตเรสุ ตีสุปิ อาคโต สปฺปเทสวิสโย ฯ อิธ ปน สกฺกายสพฺพสฺมิํ เวทิตโพฺพฯ วิปสฺสนาย อารมฺมณภูตา เตภูมกธมฺมา หิ อิธ ‘‘สพฺพ’’นฺติ อนวเสสโต คหิตาฯ
7. Sattame sabbanti anavasesaṃ. Anavasesavācako hi ayaṃ sabba-saddo. So yena yena sambandhaṃ gacchati, tassa tassa anavasesataṃ dīpeti; yathā ‘‘sabbaṃ rūpaṃ, sabbā vedanā, sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesū’’ti. So panāyaṃ sabba-saddo sappadesanippadesavisayatāya duvidho. Tathā hesa sabbasabbaṃ, padesasabbaṃ, āyatanasabbaṃ, sakkāyasabbanti catūsu visayesu diṭṭhappayogo. Tattha ‘‘sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthamāgacchantī’’tiādīsu (cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) sabbasabbasmiṃ āgato. ‘‘Sabbesaṃ vo, sāriputtā, subhāsitaṃ pariyāyenā’’tiādīsu (ma. ni. 1.345) padesasabbasmiṃ. ‘‘Sabbaṃ vo, bhikkhave, desessāmi, cakkhuñceva rūpañca…pe…. Manañceva dhamme cā’’ti (saṃ. ni. 4.23-25) ettha āyatanasabbasmiṃ. ‘‘Sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desessāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.1) sakkāyasabbasmiṃ. Tattha sabbasabbasmiṃ āgato nippadesavisayo, itaresu tīsupi āgato sappadesavisayo . Idha pana sakkāyasabbasmiṃ veditabbo. Vipassanāya ārammaṇabhūtā tebhūmakadhammā hi idha ‘‘sabba’’nti anavasesato gahitā.
อนภิชานนฺติ ‘‘อิเม ธมฺมา กุสลา, อิเม อกุสลา, อิเม สาวชฺชา, อิเม อนวชฺชา’’ติอาทินา ‘‘อิเม ปญฺจกฺขนฺธา, อิมานิ ทฺวาทสายตนานิ, อิมา อฎฺฐารส ธาตุโย, อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ, อยํ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจ’’นฺติ จ อาทินา สเพฺพ อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม อวิปรีตสภาวโต อนภิชานโนฺต อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน น ชานโนฺตฯ อปริชานนฺติ น ปริชานโนฺตฯ โย หิ สพฺพํ เตภูมกธมฺมชาตํ ปริชานาติ, โส ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติ – ญาตปริญฺญาย, ตีรณปริญฺญาย, ปหานปริญฺญายฯ ตตฺถ กตมา ญาตปริญฺญา? สพฺพํ เตภูมกํ นามรูปํ – ‘‘อิทํ รูปํ, เอตฺตกํ รูปํ, น อิโต ภิโยฺยฯ อิทํ นามํ, เอตฺตกํ นามํ, น อิโต ภิโยฺย’’ติ ภูตปฺปสาทาทิปฺปเภทํ รูปํ, ผสฺสาทิปฺปเภทํ นามญฺจ, ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานโต ววตฺถเปติฯ ตสฺส อวิชฺชาทิกญฺจ ปจฺจยํ ปริคฺคณฺหาติฯ อยํ ญาตปริญฺญาฯ กตมา ตีรณปริญฺญา? เอวํ ญาตํ กตฺวา ตํ สพฺพํ ตีเรติ อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโตติ ทฺวาจตฺตาลีสาย อากาเรหิฯ อยํ ตีรณปริญฺญาฯ กตมา ปหานปริญฺญา? เอวํ ตีรยิตฺวา อคฺคมเคฺคน สพฺพสฺมิํ ฉนฺทราคํ ปชหติฯ อยํ ปหานปริญฺญาฯ
Anabhijānanti ‘‘ime dhammā kusalā, ime akusalā, ime sāvajjā, ime anavajjā’’tiādinā ‘‘ime pañcakkhandhā, imāni dvādasāyatanāni, imā aṭṭhārasa dhātuyo, idaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ, ayaṃ dukkhasamudayo ariyasacca’’nti ca ādinā sabbe abhiññeyye dhamme aviparītasabhāvato anabhijānanto abhivisiṭṭhena ñāṇena na jānanto. Aparijānanti na parijānanto. Yo hi sabbaṃ tebhūmakadhammajātaṃ parijānāti, so tīhi pariññāhi parijānāti – ñātapariññāya, tīraṇapariññāya, pahānapariññāya. Tattha katamā ñātapariññā? Sabbaṃ tebhūmakaṃ nāmarūpaṃ – ‘‘idaṃ rūpaṃ, ettakaṃ rūpaṃ, na ito bhiyyo. Idaṃ nāmaṃ, ettakaṃ nāmaṃ, na ito bhiyyo’’ti bhūtappasādādippabhedaṃ rūpaṃ, phassādippabhedaṃ nāmañca, lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānato vavatthapeti. Tassa avijjādikañca paccayaṃ pariggaṇhāti. Ayaṃ ñātapariññā. Katamā tīraṇapariññā? Evaṃ ñātaṃ katvā taṃ sabbaṃ tīreti aniccato dukkhato rogatoti dvācattālīsāya ākārehi. Ayaṃ tīraṇapariññā. Katamā pahānapariññā? Evaṃ tīrayitvā aggamaggena sabbasmiṃ chandarāgaṃ pajahati. Ayaṃ pahānapariññā.
ทิฎฺฐิวิสุทฺธิกงฺขาวิตรณวิสุทฺธิโยปิ ญาตปริญฺญาฯ มคฺคามคฺคปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิโย กลาปสมฺมสนาทิอนุโลมปริโยสานา วา ปญฺญา ตีรณปริญฺญาฯ อริยมเคฺคน ปชหนํ ปหานปริญฺญาฯ โย สพฺพํ ปริชานาติ, โส อิมาหิ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติฯ อิธ ปน วิราคปฺปหานานํ ปฎิเกฺขปวเสน วิสุํ คหิตตฺตา ญาตปริญฺญาย ตีรณปริญฺญาย จ วเสน ปริชานนา เวทิตพฺพาฯ โย ปเนวํ น ปริชานาติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อปริชาน’’นฺติฯ
Diṭṭhivisuddhikaṅkhāvitaraṇavisuddhiyopi ñātapariññā. Maggāmaggapaṭipadāñāṇadassanavisuddhiyo kalāpasammasanādianulomapariyosānā vā paññā tīraṇapariññā. Ariyamaggena pajahanaṃ pahānapariññā. Yo sabbaṃ parijānāti, so imāhi tīhi pariññāhi parijānāti. Idha pana virāgappahānānaṃ paṭikkhepavasena visuṃ gahitattā ñātapariññāya tīraṇapariññāya ca vasena parijānanā veditabbā. Yo panevaṃ na parijānāti, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘aparijāna’’nti.
ตตฺถ จิตฺตํ อวิราชยนฺติ ตสฺมิํ อภิเญฺญยฺยวิเสเส ปริเญฺญเยฺย อตฺตโน จิตฺตสนฺตานํ น วิราชยํ, น วิรชฺชโนฺต; ยถา ตตฺถ ราโค น โหติ, เอวํ วิราคานุปสฺสนํ น อุปฺปาเทโนฺตติ อโตฺถฯ อปฺปชหนฺติ วิปสฺสนาปญฺญาสหิตาย มคฺคปญฺญาย ตตฺถ ปหาตพฺพยุตฺตกํ กิเลสวฎฺฎํ อนวเสสโต น ปชหโนฺตฯ ยถา เจตํ, เอวํ อภิชานนาทโยปิ มิสฺสกมคฺควเสน เวทิตพฺพาฯ ปุพฺพภาเค หิ นานาจิตฺตวเสน ญาตตีรณปหานปริญฺญาหิ กเมน อภิชานนาทีนิ สมฺปาเทตฺวา มคฺคกาเล เอกกฺขเณเนว กิจฺจวเสน ตํ สพฺพํ นิปฺผาเทนฺตํ เอกเมว ญาณํ ปวตฺตตีติฯ อภโพฺพ ทุกฺขกฺขยายาติ นิพฺพานาย สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส เขปนาย น ภโพฺพ, นาลํ น สมโตฺถติ อโตฺถฯ
Tattha cittaṃ avirājayanti tasmiṃ abhiññeyyavisese pariññeyye attano cittasantānaṃ na virājayaṃ, na virajjanto; yathā tattha rāgo na hoti, evaṃ virāgānupassanaṃ na uppādentoti attho. Appajahanti vipassanāpaññāsahitāya maggapaññāya tattha pahātabbayuttakaṃ kilesavaṭṭaṃ anavasesato na pajahanto. Yathā cetaṃ, evaṃ abhijānanādayopi missakamaggavasena veditabbā. Pubbabhāge hi nānācittavasena ñātatīraṇapahānapariññāhi kamena abhijānanādīni sampādetvā maggakāle ekakkhaṇeneva kiccavasena taṃ sabbaṃ nipphādentaṃ ekameva ñāṇaṃ pavattatīti. Abhabbo dukkhakkhayāyāti nibbānāya sakalassa vaṭṭadukkhassa khepanāya na bhabbo, nālaṃ na samatthoti attho.
สพฺพญฺจ โขติ เอตฺถ จ-สโทฺท พฺยติเรเก, โข-สโทฺท อวธารเณฯ ตทุภเยน อภิชานนาทิโต ลทฺธพฺพํ วิเสสํ ทุกฺขกฺขยสฺส จ เอกนฺตการณํ ทีเปติฯ อภิชานนาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ วุตฺตเมวฯ ตตฺถ ปน ปฎิเกฺขปวเสน วุตฺตํ, อิธ วิธานวเสน เวทิตพฺพํฯ อยเมว วิเสโสฯ อปิจ อภิชานนฺติ อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกสงฺขาตํ สกฺกายสพฺพํ สรูปโต ปจฺจยโต จ ญาณสฺส อภิมุขีกรณวเสน อภิชานโนฺต หุตฺวา อภาวาการาทิปริคฺคเหน ตํ อนิจฺจาทิลกฺขเณหิ ปริจฺฉิชฺชมานวเสน ปริชานโนฺตฯ วิราชยนฺติ สมฺมเทวสฺส อนิจฺจตาทิอวโพเธน อุปฺปนฺนภยาทีนวนิพฺพิทาทิญาณานุภาเวน อตฺตโน จิตฺตํ วิรตฺตํ กโรโนฺต ตตฺถ อณุมตฺตมฺปิ ราคํ อนุปฺปาเทโนฺตฯ ปชหนฺติ วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาสหิตาย มคฺคปญฺญาย สมุทยปกฺขิยํ กิเลสวฎฺฎํ ปชหโนฺต สมุจฺฉินฺทโนฺตฯ ภโพฺพ ทุกฺขกฺขยายาติ เอวํ กิเลสมลปฺปหาเนเนว สพฺพสฺส กมฺมวฎฺฎสฺส ปริกฺขีณตฺตา อนวเสสวิปากวฎฺฎเขปนาย สกลสํสารวฎฺฎทุกฺขปริกฺขยภูตาย วา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ภโพฺพ เอกเนฺตเนตํ ปาปุณิตุนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Sabbañca khoti ettha ca-saddo byatireke, kho-saddo avadhāraṇe. Tadubhayena abhijānanādito laddhabbaṃ visesaṃ dukkhakkhayassa ca ekantakāraṇaṃ dīpeti. Abhijānanādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ vuttameva. Tattha pana paṭikkhepavasena vuttaṃ, idha vidhānavasena veditabbaṃ. Ayameva viseso. Apica abhijānanti upādānakkhandhapañcakasaṅkhātaṃ sakkāyasabbaṃ sarūpato paccayato ca ñāṇassa abhimukhīkaraṇavasena abhijānanto hutvā abhāvākārādipariggahena taṃ aniccādilakkhaṇehi paricchijjamānavasena parijānanto. Virājayanti sammadevassa aniccatādiavabodhena uppannabhayādīnavanibbidādiñāṇānubhāvena attano cittaṃ virattaṃ karonto tattha aṇumattampi rāgaṃ anuppādento. Pajahanti vuṭṭhānagāminivipassanāsahitāya maggapaññāya samudayapakkhiyaṃ kilesavaṭṭaṃ pajahanto samucchindanto. Bhabbo dukkhakkhayāyāti evaṃ kilesamalappahāneneva sabbassa kammavaṭṭassa parikkhīṇattā anavasesavipākavaṭṭakhepanāya sakalasaṃsāravaṭṭadukkhaparikkhayabhūtāya vā anupādisesāya nibbānadhātuyā bhabbo ekantenetaṃ pāpuṇitunti evamettha attho daṭṭhabbo.
โย สพฺพํ สพฺพโต ญตฺวาติ โย ยุตฺตโยโค อารทฺธวิปสฺสโก สพฺพํ เตภูมกธมฺมชาตํ สพฺพโต สพฺพภาเคน กุสลาทิกฺขนฺธาทิวิภาคโต ทุกฺขาทิปีฬนาทิวิภาคโต จฯ อถ วา สพฺพโตติ สพฺพสฺมา กกฺขฬผุสนาทิลกฺขณาทิโต อนิจฺจาทิโต จาติ สพฺพาการโต ชานิตฺวา วิปสฺสนาปุพฺพงฺคเมน มคฺคญาเณน ปฎิวิชฺฌิตฺวา, วิปสฺสนาญาเณเนว วา ชานนเหตุฯ สพฺพเตฺถสุ น รชฺชตีติ สเพฺพสุ อตีตาทิวเสน อเนกเภทภิเนฺนสุ สกฺกายธเมฺมสุ น รชฺชติ, อริยมคฺคาธิคเมน ราคํ น ชเนติฯ อิมินาสฺส ตณฺหาคาหสฺส อภาวํ ทเสฺสโนฺต ตํ นิมิตฺตตฺตา ทิฎฺฐมานคฺคาหานํ ‘‘เอตํ มม เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ อิมสฺส มิจฺฉาคาหตฺตยสฺสปิ อภาวํ ทเสฺสติฯ ส เวติ เอตฺถ ส-อิติ นิปาตมตฺตํฯ เว-ติ พฺยตฺตํ, เอกํเสนาติ วา เอตสฺมิํ อเตฺถ นิปาโตฯ สพฺพปริญฺญาติ สพฺพปริชานนโต, ยถาวุตฺตสฺส สพฺพสฺส อภิสมยวเสน ปริชานนโตฯ โสติ ยถาวุโตฺต โยคาวจโร, อริโย เอว วาฯ สพฺพทุกฺขมุปจฺจคาติ สพฺพํ วฎฺฎทุกฺขํ อจฺจคา อติกฺกมิ, สมติกฺกมีติ อโตฺถฯ
Yo sabbaṃ sabbato ñatvāti yo yuttayogo āraddhavipassako sabbaṃ tebhūmakadhammajātaṃ sabbato sabbabhāgena kusalādikkhandhādivibhāgato dukkhādipīḷanādivibhāgato ca. Atha vā sabbatoti sabbasmā kakkhaḷaphusanādilakkhaṇādito aniccādito cāti sabbākārato jānitvā vipassanāpubbaṅgamena maggañāṇena paṭivijjhitvā, vipassanāñāṇeneva vā jānanahetu. Sabbatthesu na rajjatīti sabbesu atītādivasena anekabhedabhinnesu sakkāyadhammesu na rajjati, ariyamaggādhigamena rāgaṃ na janeti. Imināssa taṇhāgāhassa abhāvaṃ dassento taṃ nimittattā diṭṭhamānaggāhānaṃ ‘‘etaṃ mama esohamasmi, eso me attā’’ti imassa micchāgāhattayassapi abhāvaṃ dasseti. Sa veti ettha sa-iti nipātamattaṃ. Ve-ti byattaṃ, ekaṃsenāti vā etasmiṃ atthe nipāto. Sabbapariññāti sabbaparijānanato, yathāvuttassa sabbassa abhisamayavasena parijānanato. Soti yathāvutto yogāvacaro, ariyo eva vā. Sabbadukkhamupaccagāti sabbaṃ vaṭṭadukkhaṃ accagā atikkami, samatikkamīti attho.
สตฺตมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sattamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๗. สพฺพปริญฺญาสุตฺตํ • 7. Sabbapariññāsuttaṃ