Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนา

    2. Sabbāsavasuttavaṇṇanā

    ๑๔. เอวํ เม สุตํ…เป.… สาวตฺถิยนฺติ สพฺพาสวสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนา – สาวตฺถีติ สวตฺถสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐานภูตา นครี, ยถา กากนฺที มากนฺที โกสมฺพีติ เอวํ ตาว อกฺขรจินฺตกาฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ภณนฺติ ‘‘ยํกิญฺจิ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ สพฺพเมตฺถ อตฺถีติ สาวตฺถีฯ สตฺถสมาโยเค จ กิํ ภณฺฑมตฺถีติ ปุจฺฉิเต สพฺพมตฺถี’’ติ วจนมุปาทาย สาวตฺถีฯ

    14.Evaṃme sutaṃ…pe… sāvatthiyanti sabbāsavasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā – sāvatthīti savatthassa isino nivāsaṭṭhānabhūtā nagarī, yathā kākandī mākandī kosambīti evaṃ tāva akkharacintakā. Aṭṭhakathācariyā pana bhaṇanti ‘‘yaṃkiñci manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ sabbamettha atthīti sāvatthī. Satthasamāyoge ca kiṃ bhaṇḍamatthīti pucchite sabbamatthī’’ti vacanamupādāya sāvatthī.

    ‘‘สพฺพทา สพฺพูปกรณํ, สาวตฺถิยํ สโมหิตํ;

    ‘‘Sabbadā sabbūpakaraṇaṃ, sāvatthiyaṃ samohitaṃ;

    ตสฺมา สพฺพมุปาทาย, สาวตฺถีติ ปวุจฺจติฯ

    Tasmā sabbamupādāya, sāvatthīti pavuccati.

    โกสลานํ ปุรํ รมฺมํ, ทสฺสเนยฺยํ มโนรมํ;

    Kosalānaṃ puraṃ rammaṃ, dassaneyyaṃ manoramaṃ;

    ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ, อนฺนปานสมายุตํฯ

    Dasahi saddehi avivittaṃ, annapānasamāyutaṃ.

    วุทฺธิํ เวปุลฺลตํ ปตฺตํ, อิทฺธํ ผีตํ มโนรมํ;

    Vuddhiṃ vepullataṃ pattaṃ, iddhaṃ phītaṃ manoramaṃ;

    อฬกมนฺทาว เทวานํ, สาวตฺถิปุรมุตฺตม’’นฺติฯ

    Aḷakamandāva devānaṃ, sāvatthipuramuttama’’nti.

    ตสฺสํ สาวตฺถิยํฯ เชตวเนติ เอตฺถ อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชนํ ชินาตีติ เชโต, รญฺญา วา อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชเน ชิเต ชาโตติ เชโต, มงฺคลกมฺยตาย วา ตสฺส เอวํนามเมว กตนฺติ เชโต, เชตสฺส วนํ เชตวนํฯ ตญฺหิ เชเตน ราชกุมาเรน โรปิตํ สํวทฺธิตํ ปริปาลิตํ, โส จ ตสฺส สามี อโหสิฯ ตสฺมา เชตวนนฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ เชตวเนฯ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ เอตฺถ สุทโตฺต นาม โส คหปติ มาตาปิตูหิ กตนามวเสนฯ สพฺพกามสมิทฺธิตาย ปน วิคตมลมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปิณฺฑมทาสิ, เตน อนาถปิณฺฑิโกติ สงฺขํ คโตฯ อารมนฺติ เอตฺถ ปาณิโน วิเสเสน วา ปพฺพชิตาติ อาราโม, ตสฺส ปุปฺผผลาทิโสภาย นาติทูรนจฺจาสนฺนตาทิปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยา จ ตโต ตโต อาคมฺม รมนฺติ อภิรมนฺติ อนุกฺกณฺฐิตา หุตฺวา นิวสนฺตีติ อโตฺถฯ วุตฺตปฺปการาย วา สมฺปตฺติยา ตตฺถ ตตฺถ คเตปิ อตฺตโน อพฺภนฺตรํเยว อาเนตฺวา รเมตีติ อาราโมฯ โส หิ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา เชตสฺส ราชกุมารสฺส หตฺถโต อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ โกฎิสนฺถเรน กีณิตฺวา อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ เสนาสนานิ การาเปตฺวา อฎฺฐารสหิ หิรญฺญโกฎีหิ วิหารมหํ นิฎฺฐาเปตฺวา เอวํ จตุปญฺญาสหิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส นิยฺยาทิโตฯ ตสฺมา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม

    Tassaṃ sāvatthiyaṃ. Jetavaneti ettha attano paccatthikajanaṃ jinātīti jeto, raññā vā attano paccatthikajane jite jātoti jeto, maṅgalakamyatāya vā tassa evaṃnāmameva katanti jeto, jetassa vanaṃ jetavanaṃ. Tañhi jetena rājakumārena ropitaṃ saṃvaddhitaṃ paripālitaṃ, so ca tassa sāmī ahosi. Tasmā jetavananti vuccati, tasmiṃ jetavane. Anāthapiṇḍikassa ārāmeti ettha sudatto nāma so gahapati mātāpitūhi katanāmavasena. Sabbakāmasamiddhitāya pana vigatamalamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ anāthānaṃ piṇḍamadāsi, tena anāthapiṇḍikoti saṅkhaṃ gato. Āramanti ettha pāṇino visesena vā pabbajitāti ārāmo, tassa pupphaphalādisobhāya nātidūranaccāsannatādipañcavidhasenāsanaṅgasampattiyā ca tato tato āgamma ramanti abhiramanti anukkaṇṭhitā hutvā nivasantīti attho. Vuttappakārāya vā sampattiyā tattha tattha gatepi attano abbhantaraṃyeva ānetvā rametīti ārāmo. So hi anāthapiṇḍikena gahapatinā jetassa rājakumārassa hatthato aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi koṭisantharena kīṇitvā aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi senāsanāni kārāpetvā aṭṭhārasahi hiraññakoṭīhi vihāramahaṃ niṭṭhāpetvā evaṃ catupaññāsahiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa saṅghassa niyyādito. Tasmā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāmo’’ti vuccati. Tasmiṃ anāthapiṇḍikassa ārāme.

    เอตฺถ จ ‘‘เชตวเน’’ติ วจนํ ปุริมสามิปริกิตฺตนํฯ ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ ปจฺฉิมสามิปริกิตฺตนํฯ กิเมเตสํ ปริกิตฺตเน ปโยชนนฺติฯ ปุญฺญกามานํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนํฯ ตตฺร หิ ทฺวารโกฎฺฐกปาสาทมาปเน ภูมิวิกฺกยลทฺธา อฎฺฐารส หิรญฺญโกฎิโย อเนกโกฎิอคฺฆนกา รุกฺขา จ เชตสฺส ปริจฺจาโค, จตุปญฺญาส โกฎิโย อนาถปิณฺฑิกสฺสฯ อิติ เตสํ ปริกิตฺตเนน เอวํ ปุญฺญกามา ปุญฺญานิ กโรนฺตีติ ทเสฺสโนฺต อายสฺมา อานโนฺท อเญฺญปิ ปุญฺญกาเม เตสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเน นิโยเชติฯ

    Ettha ca ‘‘jetavane’’ti vacanaṃ purimasāmiparikittanaṃ. ‘‘Anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti pacchimasāmiparikittanaṃ. Kimetesaṃ parikittane payojananti. Puññakāmānaṃ diṭṭhānugatiāpajjanaṃ. Tatra hi dvārakoṭṭhakapāsādamāpane bhūmivikkayaladdhā aṭṭhārasa hiraññakoṭiyo anekakoṭiagghanakā rukkhā ca jetassa pariccāgo, catupaññāsa koṭiyo anāthapiṇḍikassa. Iti tesaṃ parikittanena evaṃ puññakāmā puññāni karontīti dassento āyasmā ānando aññepi puññakāme tesaṃ diṭṭhānugatiāpajjane niyojeti.

    สพฺพาสวสํวรปริยายํ โว, ภิกฺขเวติ กสฺมา อิทํ สุตฺตมภาสิ? เตสํ ภิกฺขูนํ อุปกฺกิเลสวิโสธนํ อาทิํ กตฺวา อาสวกฺขยาย ปฎิปตฺติทสฺสนตฺถํฯ ตตฺถ สพฺพาสวสํวรปริยายนฺติ สเพฺพสํ อาสวานํ สํวรการณํ สํวรภูตํ การณํ, เยน การเณน เต สํวริตา ปิทหิตา หุตฺวา อนุปฺปาทนิโรธสงฺขาตํ ขยํ คจฺฉนฺติ ปหียนฺติ นปฺปวตฺตนฺติ, ตํ การณนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ อาสวนฺตีติ อาสวา, จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปิ สนฺทนฺติ ปวตฺตนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุํ โอกาสโต ยาว ภวคฺคํ สวนฺตีติ วา อาสวา, เอเต ธเมฺม เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺต กริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อโนฺตกรณโตฺถ หิ อยํ อากาโรฯ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทโย อาสวา, อาสวา วิยาติปิ อาสวาฯ โลกสฺมิญฺหิ จิรปาริวาสิกา มทิราทโย อาสวาติ วุจฺจนฺติฯ ยทิ จ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน อาสวา, เอเตเยว ภวิตุมรหนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ อาสวาฯ ปุริมานิ เจตฺถ นิพฺพจนานิ ยตฺถ กิเลสา อาสวาติ อาคจฺฉนฺติ, ตตฺถ ยุชฺชนฺติ, ปจฺฉิมํ กเมฺมปิฯ น เกวลญฺจ กมฺมกิเลสาเยว อาสวา, อปิจ โข นานปฺปการกา อุปฺปทฺทวาปิฯ สุเตฺตสุ หิ ‘‘นาหํ, จุนฺท, ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) เอตฺถ วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ

    Sabbāsavasaṃvarapariyāyaṃ vo, bhikkhaveti kasmā idaṃ suttamabhāsi? Tesaṃ bhikkhūnaṃ upakkilesavisodhanaṃ ādiṃ katvā āsavakkhayāya paṭipattidassanatthaṃ. Tattha sabbāsavasaṃvarapariyāyanti sabbesaṃ āsavānaṃ saṃvarakāraṇaṃ saṃvarabhūtaṃ kāraṇaṃ, yena kāraṇena te saṃvaritā pidahitā hutvā anuppādanirodhasaṅkhātaṃ khayaṃ gacchanti pahīyanti nappavattanti, taṃ kāraṇanti attho. Tattha āsavantīti āsavā, cakkhutopi…pe… manatopi sandanti pavattantīti vuttaṃ hoti. Dhammato yāva gotrabhuṃ okāsato yāva bhavaggaṃ savantīti vā āsavā, ete dhamme etañca okāsaṃ anto karitvā pavattantīti attho. Antokaraṇattho hi ayaṃ ākāro. Cirapārivāsiyaṭṭhena madirādayo āsavā, āsavā viyātipi āsavā. Lokasmiñhi cirapārivāsikā madirādayo āsavāti vuccanti. Yadi ca cirapārivāsiyaṭṭhena āsavā, eteyeva bhavitumarahanti. Vuttañhetaṃ ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ito pubbe avijjā nāhosī’’tiādi (a. ni. 10.61). Āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi āsavā. Purimāni cettha nibbacanāni yattha kilesā āsavāti āgacchanti, tattha yujjanti, pacchimaṃ kammepi. Na kevalañca kammakilesāyeva āsavā, apica kho nānappakārakā uppaddavāpi. Suttesu hi ‘‘nāhaṃ, cunda, diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti (dī. ni. 3.182) ettha vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖); –

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36); –

    เอตฺถ เตภูมกญฺจ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙) เอตฺถ ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา จ นานปฺปการา อุปทฺทวาฯ เต ปเนเต อาสวา ยตฺถ ยถา อาคตา, ตตฺถ ตถา เวทิตพฺพาฯ

    Ettha tebhūmakañca kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā. ‘‘Diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39) ettha parūpavādavippaṭisāravadhabandhādayo ceva apāyadukkhabhūtā ca nānappakārā upaddavā. Te panete āsavā yattha yathā āgatā, tattha tathā veditabbā.

    เอเต หิ วินเย ตาว ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ เทฺวธา อาคตาฯ สฬายตเน ‘‘ตโยเม อาวุโส อาสวา, กามาสโว ภวาสโว อวิชฺชาสโว’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) ติธา อาคตาฯ อเญฺญสุ จ สุตฺตเนฺตสุ อภิธเมฺม จ เตเยว ทิฎฺฐาสเวน สห จตุธา อาคตาฯ นิเพฺพธิกปริยาเย – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา นิรยคามินิยา, อตฺถิ อาสวา ติรจฺฉานโยนิคามินิยา, อตฺถิ อาสวา เปตฺติวิสยคามินิยา, อตฺถิ อาสวา มนุสฺสโลกคามินิยา, อตฺถิ อาสวา เทวโลกคามินิยา’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) ปญฺจธา อาคตาฯ ฉกฺกนิปาเต – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวรา ปหาตพฺพา’’ติอาทินา นเยน ฉธา อาคตาฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต เตเยว ทสฺสนาปหาตเพฺพหิ สทฺธิํ สตฺตธา อาคตาติฯ อยํ ตาว อาสวปเท วจนโตฺถ เจว ปเภโท จฯ

    Ete hi vinaye tāva ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti dvedhā āgatā. Saḷāyatane ‘‘tayome āvuso āsavā, kāmāsavo bhavāsavo avijjāsavo’’ti (a. ni. 6.63) tidhā āgatā. Aññesu ca suttantesu abhidhamme ca teyeva diṭṭhāsavena saha catudhā āgatā. Nibbedhikapariyāye – ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā nirayagāminiyā, atthi āsavā tiracchānayonigāminiyā, atthi āsavā pettivisayagāminiyā, atthi āsavā manussalokagāminiyā, atthi āsavā devalokagāminiyā’’ti (a. ni. 6.63) pañcadhā āgatā. Chakkanipāte – ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā saṃvarā pahātabbā’’tiādinā nayena chadhā āgatā. Imasmiṃ pana sutte teyeva dassanāpahātabbehi saddhiṃ sattadhā āgatāti. Ayaṃ tāva āsavapade vacanattho ceva pabhedo ca.

    สํวรปเท ปน สํวรยตีติ สํวโร, ปิทหติ นิวาเรติ ปวตฺติตุํ น เทตีติ อโตฺถฯ ตถา หิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทิวา ปฎิสลฺลียเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ (ปารา. ๗๗), ‘‘โสตานํ สํวรํพฺรอูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๑) จ อาทีสุ ปิธานเฎฺฐน สํวรมาหฯ สฺวายํ สํวโร ปญฺจวิโธ โหติ สีลสํวโร สติญาณ ขนฺติ วีริยสํวโรติฯ ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อยํ สีลสํวโรฯ ปาติโมกฺขสีลญฺหิ เอตฺถ สํวโรติ วุตฺตํฯ ‘‘จกฺขุนฺทฺริเย สํวรมาปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๑๓) สติสํวโรฯ สติ เหตฺถ สํวโรติ วุตฺตาฯ ‘‘โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ อยํ ญาณสํวโรฯ ญาณเญฺหตฺถ ปิธียเรติ อิมินา ปิธานเฎฺฐน สํวโรติ วุตฺตํฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส…เป.…, อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๔-๒๖) ปน นเยน อิเธว ขนฺติวีริยสํวรา อาคตาฯ เตสญฺจ ‘‘สพฺพาสวสํวรปริยาย’’นฺติ อิมินา อุเทฺทเสน สงฺคหิตตฺตา สํวรภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Saṃvarapade pana saṃvarayatīti saṃvaro, pidahati nivāreti pavattituṃ na detīti attho. Tathā hi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, divā paṭisallīyantena dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitu’’nti (pārā. 77), ‘‘sotānaṃ saṃvaraṃbraūmi, paññāyete pidhīyare’’ti (su. ni. 1041) ca ādīsu pidhānaṭṭhena saṃvaramāha. Svāyaṃ saṃvaro pañcavidho hoti sīlasaṃvaro satiñāṇa khanti vīriyasaṃvaroti. Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto’’ti (vibha. 511) ayaṃ sīlasaṃvaro. Pātimokkhasīlañhi ettha saṃvaroti vuttaṃ. ‘‘Cakkhundriye saṃvaramāpajjatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.213) satisaṃvaro. Sati hettha saṃvaroti vuttā. ‘‘Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi, paññāyete pidhīyare’’ti ayaṃ ñāṇasaṃvaro. Ñāṇañhettha pidhīyareti iminā pidhānaṭṭhena saṃvaroti vuttaṃ. ‘‘Khamo hoti sītassa…pe…, uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā (ma. ni. 1.24-26) pana nayena idheva khantivīriyasaṃvarā āgatā. Tesañca ‘‘sabbāsavasaṃvarapariyāya’’nti iminā uddesena saṅgahitattā saṃvarabhāvo veditabbo.

    อปิจ ปญฺจวิโธปิ อยํ สํวโร อิธ อาคโตเยว, ตตฺถ ขนฺติวีริยสํวรา ตาว วุตฺตาเยวฯ ‘‘โส ตญฺจ อนาสนํ ตญฺจ อโคจร’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๕) อยํ ปเนตฺถ สีลสํวโรฯ ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๒) อยํ สติสํวโรฯ สพฺพตฺถ ปฎิสงฺขา ญาณสํวโรฯ อคฺคหิตคฺคหเณน ปน ทสฺสนํ ปฎิเสวนา ภาวนา จ ญาณสํวโรฯ ปริยายนฺติ เอเตน ธมฺมาติ ปริยาโย, อุปฺปตฺติํ นิโรธํ วา คจฺฉนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺตาวตา ‘‘สพฺพาสวสํวรปริยาย’’นฺติ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ วุตฺตํ โหติฯ

    Apica pañcavidhopi ayaṃ saṃvaro idha āgatoyeva, tattha khantivīriyasaṃvarā tāva vuttāyeva. ‘‘So tañca anāsanaṃ tañca agocara’’nti (ma. ni. 1.25) ayaṃ panettha sīlasaṃvaro. ‘‘Paṭisaṅkhā yoniso cakkhundriyasaṃvarasaṃvuto’’ti (ma. ni. 1.22) ayaṃ satisaṃvaro. Sabbattha paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaro. Aggahitaggahaṇena pana dassanaṃ paṭisevanā bhāvanā ca ñāṇasaṃvaro. Pariyāyanti etena dhammāti pariyāyo, uppattiṃ nirodhaṃ vā gacchantīti vuttaṃ hoti. Ettāvatā ‘‘sabbāsavasaṃvarapariyāya’’nti ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ vuttaṃ hoti.

    ๑๕. อิทานิ ชานโต อหนฺติอาทีสุ ชานโตติ ชานนฺตสฺสฯ ปสฺสโตติ ปสฺสนฺตสฺสฯ เทฺวปิ ปทานิ เอกตฺถานิ, พฺยญฺชนเมว นานํฯ เอวํ สเนฺตปิ ชานโตติ ญาณลกฺขณํ อุปาทาย ปุคฺคลํ นิทฺทิสติ, ชานนลกฺขณญฺหิ ญาณํฯ ปสฺสโตติ ญาณปฺปภาวํ อุปาทาย, ปสฺสนปฺปภาวญฺหิ ญาณํฯ ญาณสมงฺคี ปุคฺคโล จกฺขุมา วิย จกฺขุนา รูปานิ ญาเณน วิวเฎ ธเมฺม ปสฺสติฯ อปิจ โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตุํ ชานโต, อโยนิโสมนสิกาโร ยถา น อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปสฺสโตติ อยเมตฺถ สาโรฯ เกจิ ปนาจริยา พหู ปปเญฺจ ภณนฺติ, เต อิมสฺมิํ อเตฺถ น ยุชฺชนฺติฯ

    15. Idāni jānato ahantiādīsu jānatoti jānantassa. Passatoti passantassa. Dvepi padāni ekatthāni, byañjanameva nānaṃ. Evaṃ santepi jānatoti ñāṇalakkhaṇaṃ upādāya puggalaṃ niddisati, jānanalakkhaṇañhi ñāṇaṃ. Passatoti ñāṇappabhāvaṃ upādāya, passanappabhāvañhi ñāṇaṃ. Ñāṇasamaṅgī puggalo cakkhumā viya cakkhunā rūpāni ñāṇena vivaṭe dhamme passati. Apica yonisomanasikāraṃ uppādetuṃ jānato, ayonisomanasikāro yathā na uppajjati, evaṃ passatoti ayamettha sāro. Keci panācariyā bahū papañce bhaṇanti, te imasmiṃ atthe na yujjanti.

    อาสวานํ ขยนฺติ อาสวปฺปหานํ อาสวานํ อจฺจนฺตกฺขยสมุปฺปาทํ ขีณาการํ นตฺถิภาวนฺติ อยเมว หิ อิมสฺมิญฺจ สุเตฺต, ‘‘อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) จ อาสวกฺขยโตฺถฯ อญฺญตฺถ ปน มคฺคผลนิพฺพานานิปิ อาสวกฺขโยติ วุจฺจนฺติฯ ตถา หิ –

    Āsavānaṃkhayanti āsavappahānaṃ āsavānaṃ accantakkhayasamuppādaṃ khīṇākāraṃ natthibhāvanti ayameva hi imasmiñca sutte, ‘‘āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimutti’’ntiādīsu (ma. ni. 1.438) ca āsavakkhayattho. Aññattha pana maggaphalanibbānānipi āsavakkhayoti vuccanti. Tathā hi –

    ‘‘เสขสฺส สิกฺขมานสฺส, อุชุมคฺคานุสาริโน;

    ‘‘Sekhassa sikkhamānassa, ujumaggānusārino;

    ขยสฺมิํ ปฐมํ ญาณํ, ตโต อญฺญา อนนฺตรา’’ติฯ (อิติวุ. ๖๒) –

    Khayasmiṃ paṭhamaṃ ñāṇaṃ, tato aññā anantarā’’ti. (itivu. 62) –

    อาทีสุ มโคฺค อาสวกฺขโยติ วุโตฺต,

    Ādīsu maggo āsavakkhayoti vutto,

    ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) ผลํฯ

    ‘‘Āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’tiādīsu (ma. ni. 1.438) phalaṃ.

    ‘‘ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส, นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน;

    ‘‘Paravajjānupassissa, niccaṃ ujjhānasaññino;

    อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ, อารา โส อาสวกฺขยา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๕๓) –

    Āsavā tassa vaḍḍhanti, ārā so āsavakkhayā’’ti. (dha. pa. 253) –

    อาทีสุ นิพฺพานํ ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วุตฺตํฯ

    Ādīsu nibbānaṃ ‘‘āsavakkhayo’’ti vuttaṃ.

    โน อชานโต โน อปสฺสโตติ โย ปน น ชานาติ น ปสฺสติ, ตสฺส โน วทามีติ อโตฺถฯ เอเตน เย อชานโต อปสฺสโตปิ สํวราทีหิเยว สุทฺธิํ วทนฺติ, เต ปฎิกฺขิตฺตา โหนฺติฯ ปุริเมน วา ปททฺวเยน อุปาโย วุโตฺต, อิมินา อนุปายปฎิเสโธฯ สเงฺขเปน เจตฺถ ญาณํ อาสวสํวรปริยาโยติ ทสฺสิตํ โหติฯ

    No ajānato no apassatoti yo pana na jānāti na passati, tassa no vadāmīti attho. Etena ye ajānato apassatopi saṃvarādīhiyeva suddhiṃ vadanti, te paṭikkhittā honti. Purimena vā padadvayena upāyo vutto, iminā anupāyapaṭisedho. Saṅkhepena cettha ñāṇaṃ āsavasaṃvarapariyāyoti dassitaṃ hoti.

    อิทานิ ยํ ชานโต อาสวานํ ขโย โหติ, ตํ ทเสฺสตุกาโม กิญฺจ, ภิกฺขเว, ชานโตติ ปุจฺฉํ อารภิ, ตตฺถ ชานนา พหุวิธาฯ ทพฺพชาติโก เอว หิ โกจิ ภิกฺขุ ฉตฺตํ กาตุํ ชานาติ, โกจิ จีวราทีนํ อญฺญตรํ, ตสฺส อีทิสานิ กมฺมานิ วตฺตสีเส ฐตฺวา กโรนฺตสฺส สา ชานนา มคฺคผลานํ ปทฎฺฐานํ น โหตีติ น วตฺตพฺพาฯ โย ปน สาสเน ปพฺพชิตฺวา เวชฺชกมฺมาทีนิ กาตุํ ชานาติ, ตเสฺสวํ ชานโต อาสวา วฑฺฒนฺติเยว, ตสฺมา ยํ ชานโต ปสฺสโต จ อาสวานํ ขโย โหติ, ตเทว ทเสฺสโนฺต อาห โยนิโส จ มนสิการํ อโยนิโส จ มนสิการนฺติฯ

    Idāni yaṃ jānato āsavānaṃ khayo hoti, taṃ dassetukāmo kiñca, bhikkhave, jānatoti pucchaṃ ārabhi, tattha jānanā bahuvidhā. Dabbajātiko eva hi koci bhikkhu chattaṃ kātuṃ jānāti, koci cīvarādīnaṃ aññataraṃ, tassa īdisāni kammāni vattasīse ṭhatvā karontassa sā jānanā maggaphalānaṃ padaṭṭhānaṃ na hotīti na vattabbā. Yo pana sāsane pabbajitvā vejjakammādīni kātuṃ jānāti, tassevaṃ jānato āsavā vaḍḍhantiyeva, tasmā yaṃ jānato passato ca āsavānaṃ khayo hoti, tadeva dassento āha yoniso ca manasikāraṃ ayoniso ca manasikāranti.

    ตตฺถ โยนิโส มนสิกาโร นาม อุปายมนสิกาโร ปถมนสิกาโร, อนิจฺจาทีสุ อนิจฺจนฺติ อาทินา เอว นเยน สจฺจานุโลมิเกน วา จิตฺตสฺส อาวฎฺฎนา อนฺวาวฎฺฎนา อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโร, อยํ วุจฺจติ โยนิโส มนสิกาโรติฯ

    Tattha yoniso manasikāro nāma upāyamanasikāro pathamanasikāro, aniccādīsu aniccanti ādinā eva nayena saccānulomikena vā cittassa āvaṭṭanā anvāvaṭṭanā ābhogo samannāhāro manasikāro, ayaṃ vuccati yoniso manasikāroti.

    อโยนิโส มนสิกาโรติ อนุปายมนสิกาโร อุปฺปถมนสิกาโรฯ อนิเจฺจ นิจฺจนฺติ ทุเกฺข สุขนฺติ อนตฺตนิ อตฺตาติ อสุเภ สุภนฺติ อโยนิโส มนสิกาโร อุปฺปถมนสิกาโรฯ สจฺจปฺปฎิกุเลน วา จิตฺตสฺส อาวฎฺฎนา อนฺวาวฎฺฎนา อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโร, อยํ วุจฺจติ อโยนิโส มนสิกาโรติฯ เอวํ โยนิโส มนสิการํ อุปฺปาเทตุํ ชานโต, อโยนิโส มนสิกาโร จ ยถา น อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปสฺสโต อาสวานํ ขโย โหติฯ

    Ayoniso manasikāroti anupāyamanasikāro uppathamanasikāro. Anicce niccanti dukkhe sukhanti anattani attāti asubhe subhanti ayoniso manasikāro uppathamanasikāro. Saccappaṭikulena vā cittassa āvaṭṭanā anvāvaṭṭanā ābhogo samannāhāro manasikāro, ayaṃ vuccati ayoniso manasikāroti. Evaṃ yoniso manasikāraṃ uppādetuṃ jānato, ayoniso manasikāro ca yathā na uppajjati, evaṃ passato āsavānaṃ khayo hoti.

    อิทานิ อิมเสฺสวตฺถสฺส ยุตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห อโยนิโส, ภิกฺขเว…เป.… ปหียนฺตีติฯ เตน กิํ วุตฺตํ โหติ, ยสฺมา อโยนิโส มนสิกโรโต อาสวา อุปฺปชฺชนฺติ, โยนิโส มนสิกโรโต ปหียนฺติ, ตสฺมา ชานิตพฺพํ โยนิโส มนสิการํ อุปฺปาเทตุํ ชานโต, อโยนิโส มนสิกาโร จ ยถา น อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปสฺสโต อาสวานํ ขโย โหตีติ, อยํ ตาเวตฺถ สเงฺขปวณฺณนาฯ

    Idāni imassevatthassa yuttiṃ dassento āha ayoniso, bhikkhave…pe… pahīyantīti. Tena kiṃ vuttaṃ hoti, yasmā ayoniso manasikaroto āsavā uppajjanti, yoniso manasikaroto pahīyanti, tasmā jānitabbaṃ yoniso manasikāraṃ uppādetuṃ jānato, ayoniso manasikāro ca yathā na uppajjati, evaṃ passato āsavānaṃ khayo hotīti, ayaṃ tāvettha saṅkhepavaṇṇanā.

    อยํ ปน วิตฺถาโร – ตตฺถ ‘‘โยนิโส อโยนิโส’’ติ อิเมหิ ตาว ทฺวีหิ ปเทหิ อาพทฺธํ โหติ อุปริ สกลสุตฺตํฯ วฎฺฎวิวฎฺฎวเสน หิ อุปริ สกลสุตฺตํ วุตฺตํฯ อโยนิโส มนสิการมูลกญฺจ วฎฺฎํ, โยนิโส มนสิการมูลกญฺจ วิวฎฺฎํฯ กถํ? อโยนิโส มนสิกาโร หิ วฑฺฒมาโน เทฺว ธเมฺม ปริปูเรติ อวิชฺชญฺจ ภวตณฺหญฺจฯ อวิชฺชาย จ สติ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา…เป.… ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ ตณฺหาย สติ ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ…เป.… สมุทโย โหตี’’ติฯ เอวํ อยํ อโยนิโส มนสิการพหุโล ปุคฺคโล วาตเวคาภิฆาเตน วิปฺปนฎฺฐนาวา วิย คงฺคาวเฎฺฎ ปติตโคกุลํ วิย จกฺกยเนฺต ยุตฺตพลิพโทฺท วิย จ ปุนปฺปุนํ ภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาเสสุ อาวฎฺฎปริวฎฺฎํ กโรติ, เอวํ ตาว อโยนิโส มนสิการมูลกํ วฎฺฎํฯ

    Ayaṃ pana vitthāro – tattha ‘‘yoniso ayoniso’’ti imehi tāva dvīhi padehi ābaddhaṃ hoti upari sakalasuttaṃ. Vaṭṭavivaṭṭavasena hi upari sakalasuttaṃ vuttaṃ. Ayoniso manasikāramūlakañca vaṭṭaṃ, yoniso manasikāramūlakañca vivaṭṭaṃ. Kathaṃ? Ayoniso manasikāro hi vaḍḍhamāno dve dhamme paripūreti avijjañca bhavataṇhañca. Avijjāya ca sati ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā…pe… dukkhakkhandhassa samudayo hoti. Taṇhāya sati taṇhāpaccayā upādānaṃ…pe… samudayo hotī’’ti. Evaṃ ayaṃ ayoniso manasikārabahulo puggalo vātavegābhighātena vippanaṭṭhanāvā viya gaṅgāvaṭṭe patitagokulaṃ viya cakkayante yuttabalibaddo viya ca punappunaṃ bhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsesu āvaṭṭaparivaṭṭaṃ karoti, evaṃ tāva ayoniso manasikāramūlakaṃ vaṭṭaṃ.

    โยนิโส มนสิกาโร ปน วฑฺฒมาโน – ‘‘โยนิโส มนสิการสมฺปนฺนเสฺสตํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺขํ, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๕) วจนโต สมฺมาทิฎฺฐิปมุขํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ปริปูเรติฯ ยา จ สมฺมาทิฎฺฐิ, สา วิชฺชาติ ตสฺส วิชฺชุปฺปาทา อวิชฺชานิโรโธ, ‘‘อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ…เป.… เอวํ เอตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหตี’’ติ (มหาว. ๑) เอวํ โยนิโส มนสิการมูลกํ วิวฎฺฎํ เวทิตพฺพํฯ เอวํ อิเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิ อาพทฺธํ โหติ อุปริ สกลสุตฺตํฯ

    Yoniso manasikāro pana vaḍḍhamāno – ‘‘yoniso manasikārasampannassetaṃ, bhikkhave, bhikkhuno pāṭikaṅkhaṃ, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvessati, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkarissatī’’ti (saṃ. ni. 5.55) vacanato sammādiṭṭhipamukhaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ paripūreti. Yā ca sammādiṭṭhi, sā vijjāti tassa vijjuppādā avijjānirodho, ‘‘avijjānirodhā saṅkhāranirodho…pe… evaṃ etassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hotī’’ti (mahāva. 1) evaṃ yoniso manasikāramūlakaṃ vivaṭṭaṃ veditabbaṃ. Evaṃ imehi dvīhi padehi ābaddhaṃ hoti upari sakalasuttaṃ.

    เอวํ อาพเทฺธ เจตฺถ ยสฺมา ปุเพฺพ อาสวปฺปหานํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อุปฺปตฺติ วุจฺจมานา น ยุชฺชติฯ น หิ ปหีนา ปุน อุปฺปชฺชนฺติฯ อุปฺปนฺนานํ ปน ปหานํ ยุชฺชติ, ตสฺมา อุเทฺทสปฎิโลมโตปิ ‘‘อโยนิโส, ภิกฺขเว, มนสิกโรโต’’ติอาทิมาหฯ

    Evaṃ ābaddhe cettha yasmā pubbe āsavappahānaṃ dassetvā pacchā uppatti vuccamānā na yujjati. Na hi pahīnā puna uppajjanti. Uppannānaṃ pana pahānaṃ yujjati, tasmā uddesapaṭilomatopi ‘‘ayoniso, bhikkhave, manasikaroto’’tiādimāha.

    ตตฺถ อโยนิโส มนสิกโรโตติ วุตฺตปฺปการํ อโยนิโส มนสิการํ อุปฺปาทยโตฯ อนุปฺปนฺนา เจว อาสวา อุปฺปชฺชนฺตีติ เอตฺถ เย ปุเพฺพ อปฺปฎิลทฺธปุพฺพํ จีวราทิํ วา ปจฺจยํ อุปฎฺฐากสทฺธิวิหาริกอเนฺตวาสิกานํ วา อญฺญตรํ มนุญฺญํ วตฺถุํ ปฎิลภิตฺวา, ตํ สุภํ สุขนฺติ อโยนิโส มนสิกโรโต, อญฺญตรญฺญตรํ วา ปน อนนุภูตปุพฺพํ อารมฺมณํ ยถา วา ตถา วา อโยนิโส มนสิกโรโต อาสวา อุปฺปชฺชนฺติ, เต อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺตีติ เวทิตพฺพา, อญฺญถา หิ อนมตเคฺค สํสาเร อนุปฺปนฺนา นาม อาสวา น สนฺติฯ อนุภูตปุเพฺพปิ จ วตฺถุมฺหิ อารมฺมเณ วา ยสฺส ปกติสุทฺธิยา วา อุเทฺทสปริปุจฺฉาปริยตฺตินวกมฺมโยนิโสมนสิการานํ วา อญฺญตรวเสน ปุเพฺพ อนุปฺปชฺชิตฺวา ปจฺฉา ตาทิเสน ปจฺจเยน สหสา อุปฺปชฺชนฺติ, อิเมปิ อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เตสุเยว ปน วตฺถารมฺมเณสุ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปนฺนา ปวฑฺฒนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ อิโต อญฺญถา หิ ปฐมุปฺปนฺนานํ วฑฺฒิ นาม นตฺถิฯ

    Tattha ayoniso manasikarototi vuttappakāraṃ ayoniso manasikāraṃ uppādayato. Anuppannā ceva āsavā uppajjantīti ettha ye pubbe appaṭiladdhapubbaṃ cīvarādiṃ vā paccayaṃ upaṭṭhākasaddhivihārikaantevāsikānaṃ vā aññataraṃ manuññaṃ vatthuṃ paṭilabhitvā, taṃ subhaṃ sukhanti ayoniso manasikaroto, aññataraññataraṃ vā pana ananubhūtapubbaṃ ārammaṇaṃ yathā vā tathā vā ayoniso manasikaroto āsavā uppajjanti, te anuppannā uppajjantīti veditabbā, aññathā hi anamatagge saṃsāre anuppannā nāma āsavā na santi. Anubhūtapubbepi ca vatthumhi ārammaṇe vā yassa pakatisuddhiyā vā uddesaparipucchāpariyattinavakammayonisomanasikārānaṃ vā aññataravasena pubbe anuppajjitvā pacchā tādisena paccayena sahasā uppajjanti, imepi anuppannā uppajjantīti veditabbā. Tesuyeva pana vatthārammaṇesu punappunaṃ uppajjamānā uppannā pavaḍḍhantīti vuccanti. Ito aññathā hi paṭhamuppannānaṃ vaḍḍhi nāma natthi.

    โยนิโส จ โข, ภิกฺขเวติ เอตฺถ ปน ยสฺส ปกติสุทฺธิยา วา เสยฺยถาปิ อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส ภทฺทาย จ กาปิลานิยา, อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ วา การเณหิ อาสวา นุปฺปชฺชนฺติ, โส จ ชานาติ ‘‘น โข เม อาสวา มเคฺคน สมุคฺฆาตํ คตา, หนฺท เนสํ สมุคฺฆาตาย ปฎิปชฺชามี’’ติฯ ตโต มคฺคภาวนาย สเพฺพ สมุคฺฆาเตติฯ ตสฺส เต อาสวา อนุปฺปนฺนา น อุปฺปชฺชนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ ยสฺส ปน การกเสฺสว สโต สติสโมฺมเสน สหสา อาสวา อุปฺปชฺชนฺติ, ตโต สํเวคมาปชฺชิตฺวา โยนิโส ปทหโนฺต เต อาสเว สมุจฺฉินฺทติ, ตสฺส อุปฺปนฺนา ปหียนฺตีติ วุจฺจนฺติ มณฺฑลารามวาสีมหาติสฺสภูตเตฺถรสฺส วิยฯ โส กิร ตสฺมิํเยว วิหาเร อุเทฺทสํ คณฺหาติ, อถสฺส คาเม ปิณฺฑาย จรโต วิสภาคารมฺมเณ กิเลโส อุปฺปชฺชิ, โส ตํ วิปสฺสนาย วิกฺขเมฺภตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ ตสฺส สุปินเนฺตปิ ตํ อารมฺมณํ น อุปฎฺฐาสิฯ โส ‘‘อยํ กิเลโส วฑฺฒิตฺวา อปายสํวตฺตนิโก โหตี’’ติ สํเวคํ ชเนตฺวา อาจริยํ อาปุจฺฉิตฺวา วิหารา นิกฺขมฺม มหาสงฺฆรกฺขิตเตฺถรสฺส สนฺติเก ราคปฎิปกฺขํ อสุภกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คุมฺพนฺตรํ ปวิสิตฺวา ปํสุกูลจีวรํ สนฺถริตฺวา นิสชฺช อนาคามิมเคฺคน ปญฺจกามคุณิกราคํ ฉินฺทิตฺวา อุฎฺฐาย อาจริยํ วนฺทิตฺวา ปุนทิวเส อุเทฺทสมคฺคํ ปาปุณิฯ เย ปน วตฺตมานุปฺปนฺนา, เตสํ ปฎิปตฺติยา ปหานํ นาม นตฺถิฯ

    Yonisoca kho, bhikkhaveti ettha pana yassa pakatisuddhiyā vā seyyathāpi āyasmato mahākassapassa bhaddāya ca kāpilāniyā, uddesaparipucchādīhi vā kāraṇehi āsavā nuppajjanti, so ca jānāti ‘‘na kho me āsavā maggena samugghātaṃ gatā, handa nesaṃ samugghātāya paṭipajjāmī’’ti. Tato maggabhāvanāya sabbe samugghāteti. Tassa te āsavā anuppannā na uppajjantīti vuccanti. Yassa pana kārakasseva sato satisammosena sahasā āsavā uppajjanti, tato saṃvegamāpajjitvā yoniso padahanto te āsave samucchindati, tassa uppannā pahīyantīti vuccanti maṇḍalārāmavāsīmahātissabhūtattherassa viya. So kira tasmiṃyeva vihāre uddesaṃ gaṇhāti, athassa gāme piṇḍāya carato visabhāgārammaṇe kileso uppajji, so taṃ vipassanāya vikkhambhetvā vihāraṃ agamāsi. Tassa supinantepi taṃ ārammaṇaṃ na upaṭṭhāsi. So ‘‘ayaṃ kileso vaḍḍhitvā apāyasaṃvattaniko hotī’’ti saṃvegaṃ janetvā ācariyaṃ āpucchitvā vihārā nikkhamma mahāsaṅgharakkhitattherassa santike rāgapaṭipakkhaṃ asubhakammaṭṭhānaṃ gahetvā gumbantaraṃ pavisitvā paṃsukūlacīvaraṃ santharitvā nisajja anāgāmimaggena pañcakāmaguṇikarāgaṃ chinditvā uṭṭhāya ācariyaṃ vanditvā punadivase uddesamaggaṃ pāpuṇi. Ye pana vattamānuppannā, tesaṃ paṭipattiyā pahānaṃ nāma natthi.

    ๑๖. อิทานิ ‘‘อุปฺปนฺนา จ อาสวา ปหียนฺตี’’ติ อิทเมว ปทํ คเหตฺวา เย เต อาสวา ปหียนฺติ, เตสํ นานปฺปการโต อญฺญมฺปิ ปหานการณํ อาวิกาตุํ เทสนํ วิตฺถาเรโนฺต อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพาติอาทิมาห ยถา ตํ เทสนาปเภทกุสโล ธมฺมราชาฯ ตตฺถ ทสฺสนา ปหาตพฺพาติ ทสฺสเนน ปหาตพฺพาฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    16. Idāni ‘‘uppannā ca āsavā pahīyantī’’ti idameva padaṃ gahetvā ye te āsavā pahīyanti, tesaṃ nānappakārato aññampi pahānakāraṇaṃ āvikātuṃ desanaṃ vitthārento atthi, bhikkhave, āsavā dassanā pahātabbātiādimāha yathā taṃ desanāpabhedakusalo dhammarājā. Tattha dassanā pahātabbāti dassanena pahātabbā. Esa nayo sabbattha.

    ทสฺสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Dassanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๑๗. อิทานิ ตานิ ปทานิ อนุปุพฺพโต พฺยากาตุกาโม ‘‘กตเม จ, ภิกฺขเว, อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพา’’ติ ปุจฺฉํ กตฺวา มูลปริยายวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ มนสิกรณีเย ธเมฺม นปฺปชานาตีติ อาวชฺชิตเพฺพ สมนฺนาหริตเพฺพ ธเมฺม น ปชานาติฯ อมนสิกรณีเยติ ตพฺพิปรีเตฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ ยสฺมา ปน อิเม ธมฺมา มนสิกรณียา, อิเม อมนสิกรณียาติ ธมฺมโต นิยโม นตฺถิ, อาการโต ปน อตฺถิฯ เยนา อากาเรน มนสิกริยมานา อกุสลุปฺปตฺติปทฎฺฐานา โหนฺติ, เตนากาเรน น มนสิกาตพฺพาฯ เยน กุสลุปฺปตฺติปทฎฺฐานา โหนฺติ, เตนากาเรน มนสิกาตพฺพาฯ ตสฺมา ‘‘ย’สฺส, ภิกฺขเว, ธเมฺม มนสิกโรโต อนุปฺปโนฺน วา กามาสโว’’ติอาทิมาหฯ

    17. Idāni tāni padāni anupubbato byākātukāmo ‘‘katame ca, bhikkhave, āsavā dassanā pahātabbā’’ti pucchaṃ katvā mūlapariyāyavaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva ‘‘idha, bhikkhave, assutavā puthujjano’’ti puggalādhiṭṭhānaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha manasikaraṇīye dhamme nappajānātīti āvajjitabbe samannāharitabbe dhamme na pajānāti. Amanasikaraṇīyeti tabbiparīte. Esa nayo sesapadesupi. Yasmā pana ime dhammā manasikaraṇīyā, ime amanasikaraṇīyāti dhammato niyamo natthi, ākārato pana atthi. Yenā ākārena manasikariyamānā akusaluppattipadaṭṭhānā honti, tenākārena na manasikātabbā. Yena kusaluppattipadaṭṭhānā honti, tenākārena manasikātabbā. Tasmā ‘‘ya’ssa, bhikkhave, dhamme manasikaroto anuppanno vā kāmāsavo’’tiādimāha.

    ตตฺถ ย’สฺสาติ เย อสฺส อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺสฯ มนสิกโรโตติ อาวชฺชยโต สมนฺนาหรนฺตสฺสฯ อนุปฺปโนฺน วา กามาสโวติ เอตฺถ สมุจฺจยโตฺถ วาสโทฺท, น วิกปฺปโตฺถฯ ตสฺมา ยถา ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อิติวุ. ๙๐) วุเตฺต อปทา จ ทฺวิปทา จาติ อโตฺถ, ยถา จ ‘‘ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๒) วุเตฺต ภูตานญฺจ สมฺภเวสีนญฺจาติ อโตฺถ, ยถา จ ‘‘อคฺคิโต วา อุทกโต วา มิถุเภทโต วา’’ติ (อุทา. ๗๖) วุเตฺต อคฺคิโต จ อุทกโต จ มิถุเภทโต จาติ อโตฺถ, เอวมิธาปิ อนุปฺปโนฺน จ กามาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ กามาสโว ปวฑฺฒตีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ เสเสสุฯ

    Tattha ya’ssāti ye assa assutavato puthujjanassa. Manasikarototi āvajjayato samannāharantassa. Anuppanno vā kāmāsavoti ettha samuccayattho vāsaddo, na vikappattho. Tasmā yathā ‘‘yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā dvipadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (itivu. 90) vutte apadā ca dvipadā cāti attho, yathā ca ‘‘bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāyā’’ti (ma. ni. 1.402) vutte bhūtānañca sambhavesīnañcāti attho, yathā ca ‘‘aggito vā udakato vā mithubhedato vā’’ti (udā. 76) vutte aggito ca udakato ca mithubhedato cāti attho, evamidhāpi anuppanno ca kāmāsavo uppajjati, uppanno ca kāmāsavo pavaḍḍhatīti attho daṭṭhabbo. Evaṃ sesesu.

    เอตฺถ จ กามาสโวติ ปญฺจกามคุณิโก ราโคฯ ภวาสโวติ รุปารูปภเว ฉนฺทราโค, ฌานนิกนฺติ จ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิสหคตาฯ เอวํ ทิฎฺฐาสโวปิ ภวาสเว เอว สโมธานํ คจฺฉติฯ อวิชฺชาสโวติ จตูสุ สเจฺจสุ อญฺญาณํฯ ตตฺถ กามคุเณ อสฺสาทโต มนสิกโรโต อนุปฺปโนฺน จ กามาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ ปวฑฺฒติฯ มหคฺคตธเมฺม อสฺสาทโต มนสิกโรโต อนุปฺปโนฺน จ ภวาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ ปวฑฺฒติฯ ตีสุ ภูมีสุ ธเมฺม จตุวิปลฺลาสปทฎฺฐานภาเวน มนสิกโรโต อนุปฺปโนฺน จ อวิชฺชาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ ปวฑฺฒตีติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตนยปจฺจนีกโต สุกฺกปโกฺข วิตฺถาเรตโพฺพฯ

    Ettha ca kāmāsavoti pañcakāmaguṇiko rāgo. Bhavāsavoti rupārūpabhave chandarāgo, jhānanikanti ca sassatucchedadiṭṭhisahagatā. Evaṃ diṭṭhāsavopi bhavāsave eva samodhānaṃ gacchati. Avijjāsavoti catūsu saccesu aññāṇaṃ. Tattha kāmaguṇe assādato manasikaroto anuppanno ca kāmāsavo uppajjati, uppanno ca pavaḍḍhati. Mahaggatadhamme assādato manasikaroto anuppanno ca bhavāsavo uppajjati, uppanno ca pavaḍḍhati. Tīsu bhūmīsu dhamme catuvipallāsapadaṭṭhānabhāvena manasikaroto anuppanno ca avijjāsavo uppajjati, uppanno ca pavaḍḍhatīti veditabbo. Vuttanayapaccanīkato sukkapakkho vitthāretabbo.

    กสฺมา ปน ตโย เอว อาสวา อิธ วุตฺตาติฯ วิโมกฺขปฎิปกฺขโตฯ อปฺปณิหิตวิโมกฺขปฎิปโกฺข หิ กามาสโว,ฯ อนิมิตฺตสุญฺญตวิโมกฺขปฎิปกฺขา อิตเรฯ ตสฺมา อิเม ตโย อาสเว อุปฺปาเทนฺตา ติณฺณํ วิโมกฺขานํ อภาคิโน โหนฺติ, อนุปฺปาเทนฺตา ภาคิโนติ เอตมตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ตโย เอว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ทิฎฺฐาสโวปิ วา เอตฺถ วุโตฺต เยวาติ วณฺณิตเมตํฯ

    Kasmā pana tayo eva āsavā idha vuttāti. Vimokkhapaṭipakkhato. Appaṇihitavimokkhapaṭipakkho hi kāmāsavo,. Animittasuññatavimokkhapaṭipakkhā itare. Tasmā ime tayo āsave uppādentā tiṇṇaṃ vimokkhānaṃ abhāgino honti, anuppādentā bhāginoti etamatthaṃ dassentena tayo eva vuttāti veditabbā. Diṭṭhāsavopi vā ettha vutto yevāti vaṇṇitametaṃ.

    ตสฺส อมนสิกรณียานํ ธมฺมานํ มนสิการาติ มนสิการเหตุ, ยสฺมา เต ธเมฺม มนสิ กโรติ, ตสฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย ทุติยปเทปิฯ ‘‘อนุปฺปนฺนา เจว อาสวา อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา จ อาสวา ปวฑฺฒนฺตี’’ติ เหฎฺฐา วุตฺตอาสวานํเยว อเภทโต นิคมนเมตํฯ

    Tassaamanasikaraṇīyānaṃ dhammānaṃ manasikārāti manasikārahetu, yasmā te dhamme manasi karoti, tasmāti vuttaṃ hoti. Esa nayo dutiyapadepi. ‘‘Anuppannā ceva āsavā uppajjanti, uppannā ca āsavā pavaḍḍhantī’’ti heṭṭhā vuttaāsavānaṃyeva abhedato nigamanametaṃ.

    ๑๘. เอตฺตาวตา โย อยํ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ทสฺสนา ปหาตเพฺพ อาสเว นิทฺทิสิตุํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน วุโตฺต, โส ยสฺมา ‘‘อโยนิโส, ภิกฺขเว, มนสิกโรโต อนุปฺปนฺนา เจว อาสวา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ สามญฺญโต วุตฺตานํ อโยนิโส มนสิการปจฺจยานํ กามาสวาทีนมฺปิ อธิฎฺฐานํ, ตสฺมา เตปิ อาสเว เตเนว ปุคฺคเลน ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทสฺสนา ปหาตเพฺพ อาสเว ทเสฺสโนฺต โส เอวํ อโยนิโส มนสิ กโรติ, อโหสิํ นุ โข อหนฺติอาทิมาหฯ วิจิกิจฺฉาสีเสน เจตฺถ ทิฎฺฐาสวมฺปิ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ

    18. Ettāvatā yo ayaṃ puggalādhiṭṭhānāya desanāya dassanā pahātabbe āsave niddisituṃ assutavā puthujjano vutto, so yasmā ‘‘ayoniso, bhikkhave, manasikaroto anuppannā ceva āsavā uppajjantī’’ti evaṃ sāmaññato vuttānaṃ ayoniso manasikārapaccayānaṃ kāmāsavādīnampi adhiṭṭhānaṃ, tasmā tepi āsave teneva puggalena dassetvā idāni dassanā pahātabbe āsave dassento so evaṃ ayoniso manasi karoti, ahosiṃ nu kho ahantiādimāha. Vicikicchāsīsena cettha diṭṭhāsavampi dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi.

    ตสฺสโตฺถ, ยสฺส เต อิมินา วุตฺตนเยน อาสวา อุปฺปชฺชนฺติ, โส ปุถุชฺชโน, โย จายํ ‘‘อสฺสุตวา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต, โส ปุถุชฺชโน เอวํ อโยนิโส อนุปาเยน อุปฺปเถน มนสิ กโรติฯ กถํ? อโหสิํ นุ โข…เป.…โส กุหิํ คามี ภวิสฺสตีติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ, โส เอวํ อโยนิโส มนสิ กโรติ, ยถาสฺส ‘‘อหํ อโหสิํ นุ โข’’ติอาทินา นเยน วุตฺตา โสฬสวิธาปิ วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชตีติฯ

    Tassattho, yassa te iminā vuttanayena āsavā uppajjanti, so puthujjano, yo cāyaṃ ‘‘assutavā’’tiādinā nayena vutto, so puthujjano evaṃ ayoniso anupāyena uppathena manasi karoti. Kathaṃ? Ahosiṃ nu kho…pe…so kuhiṃ gāmī bhavissatīti. Kiṃ vuttaṃ hoti, so evaṃ ayoniso manasi karoti, yathāssa ‘‘ahaṃ ahosiṃ nu kho’’tiādinā nayena vuttā soḷasavidhāpi vicikicchā uppajjatīti.

    ตตฺถ อโหสิํ นุ โข นนุ โขติ สสฺสตาการญฺจ อธิจฺจสมุปฺปตฺติอาการญฺจ นิสฺสาย อตีเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ กิํ การณนฺติ น วตฺตพฺพํฯ อุมฺมตฺตโก วิย หิ พาลปุถุชฺชโน ยถา วา ตถา วา ปวตฺตติฯ อปิจ อโยนิโส มนสิกาโรเยเวตฺถ การณํฯ เอวํ อโยนิโส มนสิการสฺส ปน กิํ การณนฺติฯ เสฺวว ปุถุชฺชนภาโว อริยานํ อทสฺสนาทีนิ วาฯ นนุ จ ปุถุชฺชโนปิ โยนิโส มนสิ กโรตีติฯ โก วา เอวมาห น มนสิ กโรตีติฯ น ปน ตตฺถ ปุถุชฺชนภาโว การณํ , สทฺธมฺมสฺสวนกลฺยาณมิตฺตาทีนิ ตตฺถ การณานิฯ น หิ มจฺฉมํสาทีนิ อตฺตโน อตฺตโน ปกติยา สุคนฺธานิ, อภิสงฺขารปจฺจยา ปน สุคนฺธานิปิ โหนฺติฯ

    Tattha ahosiṃ nu kho nanu khoti sassatākārañca adhiccasamuppattiākārañca nissāya atīte attano vijjamānataṃ avijjamānatañca kaṅkhati. Kiṃ kāraṇanti na vattabbaṃ. Ummattako viya hi bālaputhujjano yathā vā tathā vā pavattati. Apica ayoniso manasikāroyevettha kāraṇaṃ. Evaṃ ayoniso manasikārassa pana kiṃ kāraṇanti. Sveva puthujjanabhāvo ariyānaṃ adassanādīni vā. Nanu ca puthujjanopi yoniso manasi karotīti. Ko vā evamāha na manasi karotīti. Na pana tattha puthujjanabhāvo kāraṇaṃ , saddhammassavanakalyāṇamittādīni tattha kāraṇāni. Na hi macchamaṃsādīni attano attano pakatiyā sugandhāni, abhisaṅkhārapaccayā pana sugandhānipi honti.

    กิํ นุ โข อโหสินฺติ ชาติลิงฺคูปปตฺติโย นิสฺสาย ขตฺติโย นุ โข อโหสิํ, พฺราหฺมณเวสฺสสุทฺทคหฎฺฐปพฺพชิตเทวมนุสฺสานํ อญฺญตโรติ กงฺขติฯ

    Kiṃnu kho ahosinti jātiliṅgūpapattiyo nissāya khattiyo nu kho ahosiṃ, brāhmaṇavessasuddagahaṭṭhapabbajitadevamanussānaṃ aññataroti kaṅkhati.

    กถํ นุ โขติ สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ทีโฆ นุ โข อโหสิํ, รสฺสโอทาตกณฺหปฺปมาณิกอปฺปมาณิกาทีนํ อญฺญตโรติ กงฺขติฯ เกจิ ปน อิสฺสรนิมฺมานาทิํ นิสฺสาย เกน นุ โข การเณน อโหสินฺติ เหตุโต กงฺขตีติ วทนฺติฯ

    Kathaṃ nu khoti saṇṭhānākāraṃ nissāya dīgho nu kho ahosiṃ, rassaodātakaṇhappamāṇikaappamāṇikādīnaṃ aññataroti kaṅkhati. Keci pana issaranimmānādiṃ nissāya kena nu kho kāraṇena ahosinti hetuto kaṅkhatīti vadanti.

    กิํ หุตฺวา กิํ อโหสินฺติ ชาติอาทีนิ นิสฺสาย ขตฺติโย หุตฺวา นุ โข พฺราหฺมโณ อโหสิํ…เป.… เทโว หุตฺวา มนุโสฺสติ อตฺตโน ปรมฺปรํ กงฺขติฯ สพฺพเตฺถว ปน อทฺธานนฺติ กาลาธิวจนเมตํฯ

    Kiṃ hutvā kiṃ ahosinti jātiādīni nissāya khattiyo hutvā nu kho brāhmaṇo ahosiṃ…pe… devo hutvā manussoti attano paramparaṃ kaṅkhati. Sabbattheva pana addhānanti kālādhivacanametaṃ.

    ภวิสฺสามิ นุ โข นนุ โขติ สสฺสตาการญฺจ อุเจฺฉทาการญฺจ นิสฺสาย อนาคเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ

    Bhavissāminu kho nanu khoti sassatākārañca ucchedākārañca nissāya anāgate attano vijjamānataṃ avijjamānatañca kaṅkhati. Sesamettha vuttanayameva.

    เอตรหิ วา ปจฺจุปฺปนฺนมทฺธานนฺติ อิทานิ วา ปฎิสนฺธิํ อาทิํ กตฺวา จุติปริยนฺตํ สพฺพมฺปิ วตฺตมานกาลํ คเหตฺวาฯ อชฺฌตฺตํ กถํกถี โหตีติ อตฺตโน ขเนฺธสุ วิจิกิโจฺฉ โหติฯ อหํ นุ โขสฺมีติ อตฺตโน อตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ยุตฺตํ ปเนตนฺติ? ยุตฺตํ อยุตฺตนฺติ กา เอตฺถ จินฺตาฯ อปิเจตฺถ อิทํ วตฺถุมฺปิ อุทาหรนฺติฯ จูฬมาตาย กิร ปุโตฺต มุโณฺฑ, มหามาตาย ปุโตฺต อมุโณฺฑ, ตํ ปุตฺตํ มุเณฺฑสุํฯ โส อุฎฺฐาย อหํ นุ โข จูฬมาตาย ปุโตฺตติ จิเนฺตสิฯ เอวํ อหํ นุ โขสฺมีติ กงฺขา โหติฯ

    Etarahi vā paccuppannamaddhānanti idāni vā paṭisandhiṃ ādiṃ katvā cutipariyantaṃ sabbampi vattamānakālaṃ gahetvā. Ajjhattaṃ kathaṃkathī hotīti attano khandhesu vicikiccho hoti. Ahaṃ nu khosmīti attano atthibhāvaṃ kaṅkhati. Yuttaṃ panetanti? Yuttaṃ ayuttanti kā ettha cintā. Apicettha idaṃ vatthumpi udāharanti. Cūḷamātāya kira putto muṇḍo, mahāmātāya putto amuṇḍo, taṃ puttaṃ muṇḍesuṃ. So uṭṭhāya ahaṃ nu kho cūḷamātāya puttoti cintesi. Evaṃ ahaṃ nu khosmīti kaṅkhā hoti.

    โน นุ โขสฺมีติ อตฺตโน นตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ตตฺราปิ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร มเจฺฉ คณฺหโนฺต อุทเก จิรฎฺฐาเนน สีติภูตํ อตฺตโน อูรุํ มโจฺฉติ จิเนฺตตฺวา ปหริฯ อปโร สุสานปเสฺส เขตฺตํ รกฺขโนฺต ภีโต สงฺกุฎิโต สยิฯ โส ปฎิพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน ชณฺณุกานิ เทฺว ยกฺขาติ จิเนฺตตฺวา ปหริฯ เอวํ โน นุ โขสฺมีติ กงฺขติฯ

    No nu khosmīti attano natthibhāvaṃ kaṅkhati. Tatrāpi idaṃ vatthu – eko kira macche gaṇhanto udake ciraṭṭhānena sītibhūtaṃ attano ūruṃ macchoti cintetvā pahari. Aparo susānapasse khettaṃ rakkhanto bhīto saṅkuṭito sayi. So paṭibujjhitvā attano jaṇṇukāni dve yakkhāti cintetvā pahari. Evaṃ no nu khosmīti kaṅkhati.

    กิํ นุ โขสฺมีติ ขตฺติโยว สมาโน อตฺตโน ขตฺติยภาวํ กงฺขติฯ เอส นโย เสเสสุฯ เทโว ปน สมาโน เทวภาวํ อชานโนฺต นาม นตฺถิฯ โสปิ ปน ‘‘อหํ รูปี นุ โข อรูปี นุ โข’’ติอาทินา นเยน กงฺขติฯ ขตฺติยาทโย กสฺมา น ชานนฺตีติ เจฯ อปจฺจกฺขา เตสํ ตตฺถ ตตฺถ กุเล อุปฺปตฺติฯ คหฎฺฐาปิ จ โปตฺถลิกาทโย ปพฺพชิตสญฺญิโนฯ ปพฺพชิตาปิ ‘‘กุปฺปํ นุ โข เม กมฺม’’นฺติอาทินา นเยน คหฎฺฐสญฺญิโนฯ มนุสฺสาปิ จ ราชาโน วิย อตฺตนิ เทวสญฺญิโน โหนฺติฯ

    Kiṃ nu khosmīti khattiyova samāno attano khattiyabhāvaṃ kaṅkhati. Esa nayo sesesu. Devo pana samāno devabhāvaṃ ajānanto nāma natthi. Sopi pana ‘‘ahaṃ rūpī nu kho arūpī nu kho’’tiādinā nayena kaṅkhati. Khattiyādayo kasmā na jānantīti ce. Apaccakkhā tesaṃ tattha tattha kule uppatti. Gahaṭṭhāpi ca potthalikādayo pabbajitasaññino. Pabbajitāpi ‘‘kuppaṃ nu kho me kamma’’ntiādinā nayena gahaṭṭhasaññino. Manussāpi ca rājāno viya attani devasaññino honti.

    กถํ นุ โขสฺมีติ วุตฺตนยเมวฯ เกวลเญฺจตฺถ อพฺภนฺตเร ชีโว นาม อตฺถีติ คเหตฺวา ตสฺส สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ทีโฆ นุ โขสฺมิ, รสฺสจตุรํสฉฬํสอฎฺฐํสโสฬสํสาทีนํ อญฺญตรปฺปกาโรติ กงฺขโนฺต กถํ นุ โขสฺมีติ กงฺขตีติ เวทิตโพฺพฯ สรีรสณฺฐานํ ปน ปจฺจุปฺปนฺนํ อชานโนฺต นาม นตฺถิฯ

    Kathaṃ nu khosmīti vuttanayameva. Kevalañcettha abbhantare jīvo nāma atthīti gahetvā tassa saṇṭhānākāraṃ nissāya dīgho nu khosmi, rassacaturaṃsachaḷaṃsaaṭṭhaṃsasoḷasaṃsādīnaṃ aññatarappakāroti kaṅkhanto kathaṃ nu khosmīti kaṅkhatīti veditabbo. Sarīrasaṇṭhānaṃ pana paccuppannaṃ ajānanto nāma natthi.

    กุโต อาคโต, โส กุหิํ คามี ภวิสฺสตีติ อตฺตภาวสฺส อาคติคติฎฺฐานํ กงฺขติฯ

    Kutoāgato, so kuhiṃ gāmī bhavissatīti attabhāvassa āgatigatiṭṭhānaṃ kaṅkhati.

    ๑๙. เอวํ โสฬสปฺปเภทํ วิจิกิจฺฉํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยํ อิมินา วิจิกิจฺฉาสีเสน ทิฎฺฐาสวํ ทเสฺสตุํ อยํ เทสนา อารทฺธาฯ ตํ ทเสฺสโนฺต ตสฺส เอวํ อโยนิโส มนสิกโรโต ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตสฺส ปุคฺคลสฺส ยถา อยํ วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, เอวํ อโยนิโส มนสิกโรโต ตเสฺสว สวิจิกิจฺฉสฺส อโยนิโส มนสิการสฺส ถามคตตฺตา ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนํ อญฺญตรา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ สพฺพปเทสุ วาสโทฺท วิกปฺปโตฺถ, เอวํ วา เอวํ วา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตีติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺถิ เม อตฺตาติ เจตฺถ สสฺสตทิฎฺฐิ สพฺพกาเลสุ อตฺตโน อตฺถิตํ คณฺหาติฯ สจฺจโต เถตโตติ ภูตโต จ ถิรโต จ, ‘‘อิทํ สจฺจ’’นฺติ ภูตโต สุฎฺฐุ ทฬฺหภาเวนาติ วุตฺตํ โหติฯ นตฺถิ เม อตฺตาติ อยํ ปน อุเจฺฉททิฎฺฐิ, สโต สตฺตสฺส ตตฺถ ตตฺถ วิภวคฺคหณโตฯ อถ วา ปุริมาปิ ตีสุ กาเลสุ อตฺถีติ คหณโต สสฺสตทิฎฺฐิ, ปจฺจุปฺปนฺนเมว อตฺถีติ คณฺหโนฺต อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ ปจฺฉิมาปิ อตีตานาคเตสุ นตฺถีติ คหณโต ภสฺมนฺตาหุติโยติ คหิตทิฎฺฐิกานํ วิย, อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ อตีเต เอว นตฺถีติ คณฺหโนฺต อธิจฺจสมุปฺปตฺติกเสฺสว สสฺสตทิฎฺฐิฯ

    19. Evaṃ soḷasappabhedaṃ vicikicchaṃ dassetvā idāni yaṃ iminā vicikicchāsīsena diṭṭhāsavaṃ dassetuṃ ayaṃ desanā āraddhā. Taṃ dassento tassa evaṃ ayoniso manasikaroto channaṃ diṭṭhīnantiādimāha. Tattha tassa puggalassa yathā ayaṃ vicikicchā uppajjati, evaṃ ayoniso manasikaroto tasseva savicikicchassa ayoniso manasikārassa thāmagatattā channaṃ diṭṭhīnaṃ aññatarā diṭṭhi uppajjatīti vuttaṃ hoti. Tattha sabbapadesu vāsaddo vikappattho, evaṃ vā evaṃ vā diṭṭhi uppajjatīti vuttaṃ hoti. Atthi me attāti cettha sassatadiṭṭhi sabbakālesu attano atthitaṃ gaṇhāti. Saccato thetatoti bhūtato ca thirato ca, ‘‘idaṃ sacca’’nti bhūtato suṭṭhu daḷhabhāvenāti vuttaṃ hoti. Natthi me attāti ayaṃ pana ucchedadiṭṭhi, sato sattassa tattha tattha vibhavaggahaṇato. Atha vā purimāpi tīsu kālesu atthīti gahaṇato sassatadiṭṭhi, paccuppannameva atthīti gaṇhanto ucchedadiṭṭhi. Pacchimāpi atītānāgatesu natthīti gahaṇato bhasmantāhutiyoti gahitadiṭṭhikānaṃ viya, ucchedadiṭṭhi. Atīte eva natthīti gaṇhanto adhiccasamuppattikasseva sassatadiṭṭhi.

    อตฺตนาว อตฺตานํ สญฺชานามีติ สญฺญากฺขนฺธสีเสน ขเนฺธ อตฺตาติ คเหตฺวา สญฺญาย อวเสสกฺขเนฺธ สญฺชานโต อิมินา อตฺตนา อิมํ อตฺตานํ สญฺชานามีติ โหติฯ อตฺตนาว อนตฺตานนฺติ สญฺญากฺขนฺธํเยว อตฺตาติ คเหตฺวา, อิตเร จตฺตาโรปิ อนตฺตาติ คเหตฺวา สญฺญาย เตสํ ชานโต เอวํ โหติ ฯ อนตฺตนาว อตฺตานนฺติ สญฺญากฺขนฺธํ อนตฺตาติฯ อิตเร จตฺตาโร อตฺตาติ คเหตฺวา สญฺญาย เตสํ ชานโต เอวํ โหติ, สพฺพาปิ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิโยวฯ

    Attanāva attānaṃ sañjānāmīti saññākkhandhasīsena khandhe attāti gahetvā saññāya avasesakkhandhe sañjānato iminā attanā imaṃ attānaṃ sañjānāmīti hoti. Attanāva anattānanti saññākkhandhaṃyeva attāti gahetvā, itare cattāropi anattāti gahetvā saññāya tesaṃ jānato evaṃ hoti . Anattanāva attānanti saññākkhandhaṃ anattāti. Itare cattāro attāti gahetvā saññāya tesaṃ jānato evaṃ hoti, sabbāpi sassatucchedadiṭṭhiyova.

    วโท เวเทโยฺยติอาทโย ปน สสฺสตทิฎฺฐิยา เอว อภินิเวสาการาฯ ตตฺถ วทตีติ วโท, วจีกมฺมสฺส การโกติ วุตฺตํ โหติฯ เวทยตีติ เวเทโยฺย, ชานาติ อนุภวติ จาติ วุตฺตํ โหติฯ กิํ เวเทตีติ, ตตฺร ตตฺร กลฺยาณปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฎิสํเวเทติฯ ตตฺร ตตฺราติ เตสุ เตสุ โยนิคติฎฺฐิตินิวาสนิกาเยสุ อารมฺมเณสุ วาฯ นิโจฺจติ อุปฺปาทวยรหิโตฯ ธุโวติ ถิโร สารภูโตฯ สสฺสโตติ สพฺพกาลิโกฯ อวิปริณามธโมฺมติ อตฺตโน ปกติภาวํ อวิชหนธโมฺม, กกณฺฎโก วิย นานปฺปการตํ นาปชฺชติฯ สสฺสติสมนฺติ จนฺทสูริยสมุทฺทมหาปถวีปพฺพตา โลกโวหาเรน สสฺสติโยติ วุจฺจนฺติฯ สสฺสตีหิ สมํ สสฺสติสมํฯ ยาว สสฺสติโย ติฎฺฐนฺติ, ตาว ตเถว ฐสฺสตีติ คณฺหโต เอวํทิฎฺฐิ โหติฯ

    Vado vedeyyotiādayo pana sassatadiṭṭhiyā eva abhinivesākārā. Tattha vadatīti vado, vacīkammassa kārakoti vuttaṃ hoti. Vedayatīti vedeyyo, jānāti anubhavati cāti vuttaṃ hoti. Kiṃ vedetīti, tatra tatra kalyāṇapāpakānaṃ kammānaṃ vipākaṃ paṭisaṃvedeti. Tatra tatrāti tesu tesu yonigatiṭṭhitinivāsanikāyesu ārammaṇesu vā. Niccoti uppādavayarahito. Dhuvoti thiro sārabhūto. Sassatoti sabbakāliko. Avipariṇāmadhammoti attano pakatibhāvaṃ avijahanadhammo, kakaṇṭako viya nānappakārataṃ nāpajjati. Sassatisamanti candasūriyasamuddamahāpathavīpabbatā lokavohārena sassatiyoti vuccanti. Sassatīhi samaṃ sassatisamaṃ. Yāva sassatiyo tiṭṭhanti, tāva tatheva ṭhassatīti gaṇhato evaṃdiṭṭhi hoti.

    อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิคตนฺติอาทีสุฯ อิทนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพสฺส ปจฺจกฺขนิทสฺสนํฯ ทิฎฺฐิคตสมฺพเนฺธน จ อิทนฺติ วุตฺตํ, น ทิฎฺฐิสมฺพเนฺธนฯ เอตฺถ จ ทิฎฺฐิเยว ทิฎฺฐิคตํ, คูถคตํ วิยฯ ทิฎฺฐีสุ วา คตมิทํ ทสฺสนํ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิอโนฺตคธตฺตาติปิ ทิฎฺฐิคตํฯ ทิฎฺฐิยา วา คตํ ทิฎฺฐิคตํฯ อิทญฺหิ อตฺถิ เม อตฺตาติอาทิ ทิฎฺฐิยา คมนมตฺตเมว, นเตฺถตฺถ อตฺตา วา นิโจฺจ วา โกจีติ วุตฺตํ โหติฯ สา จายํ ทิฎฺฐิ ทุนฺนิคฺคมนเฎฺฐน คหนํฯ ทุรติกฺกมเฎฺฐน สปฺปฎิภยเฎฺฐน จ กนฺตาโร, ทุพฺภิกฺขกนฺตารวาฬกนฺตาราทโย วิยฯ สมฺมาทิฎฺฐิยา วินิวิชฺฌนเฎฺฐน วิโลมนเฎฺฐน วา วิสูกํฯ กทาจิ สสฺสตสฺส, กทาจิ อุเจฺฉทสฺส คหณโต วิรูปํ ผนฺทิตนฺติ วิปฺผนฺทิตํฯ พนฺธนเฎฺฐน สํโยชนํฯ เตนาห ‘‘ทิฎฺฐิคหนํ…เป.… ทิฎฺฐิสํโยชน’’นฺติฯ อิทานิสฺส ตเมว พนฺธนตฺถํ ทเสฺสโนฺต ทิฎฺฐิสํโยชนสํยุโตฺตติอาทิมาหฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถฯ อิมินา ทิฎฺฐิสํโยชเนน สํยุโตฺต ปุถุชฺชโน เอเตหิ ชาติอาทีหิ น ปริมุจฺจตีติฯ กิํ วา พหุนา, สกลวฎฺฎทุกฺขโตปิ น มุจฺจตีติฯ

    Idaṃ vuccati, bhikkhave, diṭṭhigatantiādīsu. Idanti idāni vattabbassa paccakkhanidassanaṃ. Diṭṭhigatasambandhena ca idanti vuttaṃ, na diṭṭhisambandhena. Ettha ca diṭṭhiyeva diṭṭhigataṃ, gūthagataṃ viya. Diṭṭhīsu vā gatamidaṃ dassanaṃ dvāsaṭṭhidiṭṭhiantogadhattātipi diṭṭhigataṃ. Diṭṭhiyā vā gataṃ diṭṭhigataṃ. Idañhi atthi me attātiādi diṭṭhiyā gamanamattameva, natthettha attā vā nicco vā kocīti vuttaṃ hoti. Sā cāyaṃ diṭṭhi dunniggamanaṭṭhena gahanaṃ. Duratikkamaṭṭhena sappaṭibhayaṭṭhena ca kantāro, dubbhikkhakantāravāḷakantārādayo viya. Sammādiṭṭhiyā vinivijjhanaṭṭhena vilomanaṭṭhena vā visūkaṃ. Kadāci sassatassa, kadāci ucchedassa gahaṇato virūpaṃ phanditanti vipphanditaṃ. Bandhanaṭṭhena saṃyojanaṃ. Tenāha ‘‘diṭṭhigahanaṃ…pe… diṭṭhisaṃyojana’’nti. Idānissa tameva bandhanatthaṃ dassento diṭṭhisaṃyojanasaṃyuttotiādimāha. Tassāyaṃ saṅkhepattho. Iminā diṭṭhisaṃyojanena saṃyutto puthujjano etehi jātiādīhi na parimuccatīti. Kiṃ vā bahunā, sakalavaṭṭadukkhatopi na muccatīti.

    ๒๐. เอวํ ฉปฺปเภทํ ทิฎฺฐาสวํ ทเสฺสตฺวา ยสฺมา สีลพฺพตปรามาโส กามาสวาทิวจเนเนว ทสฺสิโต โหติฯ กามสุขตฺถญฺหิ ภวสุขภววิสุทฺธิอตฺถญฺจ อวิชฺชาย อภิภูตา อิโต พหิทฺธา สมณพฺราหฺมณา สีลพฺพตานิ ปรามสนฺติ, ตสฺมา ตํ อทเสฺสตฺวา ทิฎฺฐิคฺคหเณน วา ตสฺส คหิตตฺตาปิ ตํ อทเสฺสตฺวาว อิทานิ โย ปุคฺคโล ทสฺสนา ปหาตเพฺพ อาสเว ปชหติ, ตํ ทเสฺสตฺวา เตสํ อาสวานํ ปหานํ ทเสฺสตุํ ปุเพฺพ วา อโยนิโส มนสิกโรโต ปุถุชฺชนสฺส เตสํ อุปฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตพฺพิปรีตสฺส ปหานํ ทเสฺสตุํ สุตวา จ โข, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ

    20. Evaṃ chappabhedaṃ diṭṭhāsavaṃ dassetvā yasmā sīlabbataparāmāso kāmāsavādivacaneneva dassito hoti. Kāmasukhatthañhi bhavasukhabhavavisuddhiatthañca avijjāya abhibhūtā ito bahiddhā samaṇabrāhmaṇā sīlabbatāni parāmasanti, tasmā taṃ adassetvā diṭṭhiggahaṇena vā tassa gahitattāpi taṃ adassetvāva idāni yo puggalo dassanā pahātabbe āsave pajahati, taṃ dassetvā tesaṃ āsavānaṃ pahānaṃ dassetuṃ pubbe vā ayoniso manasikaroto puthujjanassa tesaṃ uppattiṃ dassetvā idāni tabbiparītassa pahānaṃ dassetuṃ sutavā ca kho, bhikkhavetiādimāha.

    ตสฺสโตฺถ, ยาว ‘‘โส อิทํ ทุกฺข’’นฺติ อาคจฺฉติ, ตาว เหฎฺฐา วุตฺตนเยน จ วุตฺตปจฺจนีกโต จ เวทิตโพฺพฯ ปจฺจนีกโต จ สพฺพากาเรน อริยธมฺมสฺส อโกวิทาวินีตปจฺจนีกโต อยํ ‘‘สุตวา อริยสาวโก อริยธมฺมสฺส โกวิโท อริยธเมฺม สุวินีโต’’ติ เวทิตโพฺพฯ อปิจ โข สิขาปตฺตวิปสฺสนโต ปภุติ ยาว โคตฺรภุ, ตาว ตทนุรูเปน อเตฺถน อยํ อริยสาวโกติ เวทิตโพฺพฯ

    Tassattho, yāva ‘‘so idaṃ dukkha’’nti āgacchati, tāva heṭṭhā vuttanayena ca vuttapaccanīkato ca veditabbo. Paccanīkato ca sabbākārena ariyadhammassa akovidāvinītapaccanīkato ayaṃ ‘‘sutavā ariyasāvako ariyadhammassa kovido ariyadhamme suvinīto’’ti veditabbo. Apica kho sikhāpattavipassanato pabhuti yāva gotrabhu, tāva tadanurūpena atthena ayaṃ ariyasāvakoti veditabbo.

    ๒๑. ‘‘โส อิทํ ทุกฺขนฺติ โยนิโส มนสิ กโรตี’’ติอาทีสุ ปน อยํ อตฺถวิภาวนา, โส จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานิโก อริยสาวโก ตณฺหาวชฺชา เตภูมกา ขนฺธา ทุกฺขํ, ตณฺหา ทุกฺขสมุทโย, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรโธ, นิโรธสมฺปาปโก มโคฺคติ เอวํ ปุเพฺพว อาจริยสนฺติเก อุคฺคหิตจตุสจฺจกมฺมฎฺฐาโน อปเรน สมเยน วิปสฺสนามคฺคํ สมารุโฬฺห สมาโน เต เตภูมเก ขเนฺธ อิทํ ทุกฺขนฺติ โยนิโส มนสิ กโรติ, อุปาเยน ปเถน สมนฺนาหรติ เจว วิปสฺสติ จฯ เอตฺถ หิ ยาว โสตาปตฺติมโคฺค, ตาว มนสิการสีเสเนว วิปสฺสนา วุตฺตาฯ ยา ปนายํ ตเสฺสว ทุกฺขสฺส สมุฎฺฐาปิกา ปภาวิกา ตณฺหา, อยํ สมุทโยติ โยนิโส มนสิ กโรติฯ ยสฺมา ปน ทุกฺขญฺจ สมุทโย จ อิทํ ฐานํ ปตฺวา นิรุชฺฌนฺติ นปฺปวตฺตนฺติ, ตสฺมา ยทิทํ นิพฺพานํ นาม, อยํ ทุกฺขนิโรโธติ โยนิโส มนสิ กโรติฯ นิโรธสมฺปาปกํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ โยนิโส มนสิ กโรติ, อุปาเยน ปเถน สมนฺนาหรติ เจว วิปสฺสติ จฯ

    21. ‘‘So idaṃ dukkhanti yoniso manasi karotī’’tiādīsu pana ayaṃ atthavibhāvanā, so catusaccakammaṭṭhāniko ariyasāvako taṇhāvajjā tebhūmakā khandhā dukkhaṃ, taṇhā dukkhasamudayo, ubhinnaṃ appavatti nirodho, nirodhasampāpako maggoti evaṃ pubbeva ācariyasantike uggahitacatusaccakammaṭṭhāno aparena samayena vipassanāmaggaṃ samāruḷho samāno te tebhūmake khandhe idaṃ dukkhanti yoniso manasi karoti, upāyena pathena samannāharati ceva vipassati ca. Ettha hi yāva sotāpattimaggo, tāva manasikārasīseneva vipassanā vuttā. Yā panāyaṃ tasseva dukkhassa samuṭṭhāpikā pabhāvikā taṇhā, ayaṃ samudayoti yoniso manasi karoti. Yasmā pana dukkhañca samudayo ca idaṃ ṭhānaṃ patvā nirujjhanti nappavattanti, tasmā yadidaṃ nibbānaṃ nāma, ayaṃ dukkhanirodhoti yoniso manasi karoti. Nirodhasampāpakaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti yoniso manasi karoti, upāyena pathena samannāharati ceva vipassati ca.

    ตตฺรายํ อุปาโย, อภินิเวโส นาม วเฎฺฎ โหติ, วิวเฎฺฎ นตฺถิฯ ตสฺมา ‘‘อยํ อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ, อาโปธาตู’’ติอาทินา นเยน สกสนฺตติยํ จตฺตาริ ภูตานิ ตทนุสาเรน อุปาทารูปานิ จ ปริคฺคเหตฺวา อยํ รูปกฺขโนฺธติ ววตฺถเปติฯ ตํ ววตฺถาปยโต อุปฺปเนฺน ตทารมฺมเณ จิตฺตเจตสิเก ธเมฺม อิเม จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธาติ ววตฺถเปติฯ ตโต อิเม ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขนฺติ ววตฺถเปติฯ เต ปน สเงฺขปโต นามญฺจ รูปญฺจาติ เทฺว ภาคาเยว โหนฺติฯ อิทญฺจ นามรูปํ สเหตุ สปฺปจฺจยํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส อยํ เหตุ อยํ ปจฺจโยติ อวิชฺชาภวตณฺหากมฺมาหาราทิเก เหตุปจฺจเย ววตฺถเปติฯ ตโต เตสํ ปจฺจยานญฺจ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณํ ววตฺถเปตฺวา อิเม ธมฺมา อหุตฺวา โหนฺตีติ อนิจฺจลกฺขณํ อาโรเปติ, อุทยพฺพยปีฬิตตฺตา ทุกฺขาติ ทุกฺขลกฺขณํ อาโรเปติฯ อวสวตฺตนโต อนตฺตาติ อนตฺตลกฺขณํ อาโรเปติฯ เอวํ ตีณิ ลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา ปฎิปาฎิยา วิปสฺสนํ ปวเตฺตโนฺต โสตาปตฺติมคฺคํ ปาปุณาติฯ

    Tatrāyaṃ upāyo, abhiniveso nāma vaṭṭe hoti, vivaṭṭe natthi. Tasmā ‘‘ayaṃ atthi imasmiṃ kāye pathavīdhātu, āpodhātū’’tiādinā nayena sakasantatiyaṃ cattāri bhūtāni tadanusārena upādārūpāni ca pariggahetvā ayaṃ rūpakkhandhoti vavatthapeti. Taṃ vavatthāpayato uppanne tadārammaṇe cittacetasike dhamme ime cattāro arūpakkhandhāti vavatthapeti. Tato ime pañcakkhandhā dukkhanti vavatthapeti. Te pana saṅkhepato nāmañca rūpañcāti dve bhāgāyeva honti. Idañca nāmarūpaṃ sahetu sappaccayaṃ uppajjati. Tassa ayaṃ hetu ayaṃ paccayoti avijjābhavataṇhākammāhārādike hetupaccaye vavatthapeti. Tato tesaṃ paccayānañca paccayuppannadhammānañca yāthāvasarasalakkhaṇaṃ vavatthapetvā ime dhammā ahutvā hontīti aniccalakkhaṇaṃ āropeti, udayabbayapīḷitattā dukkhāti dukkhalakkhaṇaṃ āropeti. Avasavattanato anattāti anattalakkhaṇaṃ āropeti. Evaṃ tīṇi lakkhaṇāni āropetvā paṭipāṭiyā vipassanaṃ pavattento sotāpattimaggaṃ pāpuṇāti.

    ตสฺมิํ ขเณ จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฎิเวเธเนว ปฎิวิชฺฌติ, เอกาภิสมเยน อภิสเมติฯ ทุกฺขํ ปริญฺญาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ, สมุทยํ ปหานปฎิเวเธน, นิโรธํ สจฺฉิกิริยาปฎิเวเธน, มคฺคํ ภาวนาปฎิเวเธนฯ ทุกฺขญฺจ ปริญฺญาภิสมเยน อภิสเมติ…เป.… มคฺคํ ภาวนาภิสมเยน อภิสเมติ, โน จ โข อญฺญมเญฺญน ญาเณนฯ เอกญาเณเนว หิ เอส นิโรธํ อารมฺมณโต, เสสานิ กิจฺจโต ปฎิวิชฺฌติ เจว อภิสเมติ จฯ น หิสฺส ตสฺมิํ สมเย เอวํ โหติ – ‘‘อหํ ทุกฺขํ ปริชานามี’’ติ วา…เป.… ‘‘มคฺคํ ภาเวมี’’ติ วาฯ อปิจ ขฺวสฺส อารมฺมณํ กตฺวา ปฎิเวธวเสน นิโรธํ สจฺฉิกโรโต เอวํ ตํ ญาณํ ทุกฺขปริญฺญากิจฺจมฺปิ สมุทยปหานกิจฺจมฺปิ มคฺคภาวนากิจฺจมฺปิ กโรติเยวฯ ตเสฺสวํ อุปาเยน โยนิโส มนสิกโรโต ตีณิ สํโยชนานิ ปหียนฺติ, วีสติวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิ, อฎฺฐวตฺถุกา วิจิกิจฺฉา, ‘‘สีเลน สุทฺธิ วเตน สุทฺธี’’ติ สีลพฺพตานํ ปรามสนโต สีลพฺพตปรามาโสติฯ ตตฺถ จตูสุ อาสเวสุ สกฺกายทิฎฺฐิสีลพฺพตปรามาสา ทิฎฺฐาสเวน สงฺคหิตตฺตา อาสวา เจว สํโยชนา จฯ วิจิกิจฺฉา สํโยชนเมว, น อาสโว ฯ ‘‘ทสฺสนา ปหาตพฺพา อาสวา’’ติ เอตฺถ ปริยาปนฺนตฺตา ปน อาสวาติฯ

    Tasmiṃ khaṇe cattāri saccāni ekapaṭivedheneva paṭivijjhati, ekābhisamayena abhisameti. Dukkhaṃ pariññāpaṭivedhena paṭivijjhati, samudayaṃ pahānapaṭivedhena, nirodhaṃ sacchikiriyāpaṭivedhena, maggaṃ bhāvanāpaṭivedhena. Dukkhañca pariññābhisamayena abhisameti…pe… maggaṃ bhāvanābhisamayena abhisameti, no ca kho aññamaññena ñāṇena. Ekañāṇeneva hi esa nirodhaṃ ārammaṇato, sesāni kiccato paṭivijjhati ceva abhisameti ca. Na hissa tasmiṃ samaye evaṃ hoti – ‘‘ahaṃ dukkhaṃ parijānāmī’’ti vā…pe… ‘‘maggaṃ bhāvemī’’ti vā. Apica khvassa ārammaṇaṃ katvā paṭivedhavasena nirodhaṃ sacchikaroto evaṃ taṃ ñāṇaṃ dukkhapariññākiccampi samudayapahānakiccampi maggabhāvanākiccampi karotiyeva. Tassevaṃ upāyena yoniso manasikaroto tīṇi saṃyojanāni pahīyanti, vīsativatthukā sakkāyadiṭṭhi, aṭṭhavatthukā vicikicchā, ‘‘sīlena suddhi vatena suddhī’’ti sīlabbatānaṃ parāmasanato sīlabbataparāmāsoti. Tattha catūsu āsavesu sakkāyadiṭṭhisīlabbataparāmāsā diṭṭhāsavena saṅgahitattā āsavā ceva saṃyojanā ca. Vicikicchā saṃyojanameva, na āsavo . ‘‘Dassanā pahātabbā āsavā’’ti ettha pariyāpannattā pana āsavāti.

    ‘‘อิเม วุจฺจนฺติ…เป.… ปหาตพฺพา’’ติ อิเม สกฺกายทิฎฺฐิอาทโย ทสฺสนา ปหาตพฺพา นาม อาสวาติ ทเสฺสโนฺต อาหฯ อถ วา ยา อยํ ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนํ อญฺญตรา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตีติ เอวํ สรูเปเนว สกฺกายทิฎฺฐิ วิภตฺตาฯ ตํ สนฺธายาห ‘‘อิเม วุจฺจนฺติ, ภิกฺขเว’’ติฯ สา จ ยสฺมา สหชาตปหาเนกเฎฺฐหิ สทฺธิํ ปหียติฯ ทิฎฺฐาสเว หิ ปหียมาเน ตํสหชาโต จตูสุ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตจิเตฺตสุ กามาสโวปิ อวิชฺชาสโวปิ ปหียติ ฯ ปหาเนกโฎฺฐ ปน จตูสุ ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺตสุ นาคสุปณฺณาทิสมิทฺธิปตฺถนาวเสน อุปฺปชฺชมาโน ภวาสโวฯ เตเนว สมฺปยุโตฺต อวิชฺชาสโวปิ, ทฺวีสุ โทมนสฺสจิเตฺตสุ ปาณาติปาตาทินิพฺพตฺตโก อวิชฺชาสโวปิ, ตถา วิจิกิจฺฉาจิตฺตสมฺปยุโตฺต อวิชฺชาสโวปีติ เอวํ สพฺพถาปิ อวเสสา ตโยปิ อาสวา ปหียนฺติฯ ตสฺมา พหุวจนนิเทฺทโส กโตติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอส โปราณานํ อธิปฺปาโยฯ

    ‘‘Ime vuccanti…pe… pahātabbā’’ti ime sakkāyadiṭṭhiādayo dassanā pahātabbā nāma āsavāti dassento āha. Atha vā yā ayaṃ channaṃ diṭṭhīnaṃ aññatarā diṭṭhi uppajjatīti evaṃ sarūpeneva sakkāyadiṭṭhi vibhattā. Taṃ sandhāyāha ‘‘ime vuccanti, bhikkhave’’ti. Sā ca yasmā sahajātapahānekaṭṭhehi saddhiṃ pahīyati. Diṭṭhāsave hi pahīyamāne taṃsahajāto catūsu diṭṭhisampayuttacittesu kāmāsavopi avijjāsavopi pahīyati . Pahānekaṭṭho pana catūsu diṭṭhivippayuttesu nāgasupaṇṇādisamiddhipatthanāvasena uppajjamāno bhavāsavo. Teneva sampayutto avijjāsavopi, dvīsu domanassacittesu pāṇātipātādinibbattako avijjāsavopi, tathā vicikicchācittasampayutto avijjāsavopīti evaṃ sabbathāpi avasesā tayopi āsavā pahīyanti. Tasmā bahuvacananiddeso katoti evamettha attho veditabbo. Esa porāṇānaṃ adhippāyo.

    ทสฺสนา ปหาตพฺพาติ ทสฺสนํ นาม โสตาปตฺติมโคฺค, เตน ปหาตพฺพาติ อโตฺถฯ กสฺมา โสตาปตฺติมโคฺค ทสฺสนํ? ปฐมํ นิพฺพานทสฺสนโตฯ นนุ โคตฺรภุ ปฐมตรํ ปสฺสตีติ? โน น ปสฺสติฯ ทิสฺวา กตฺตพฺพกิจฺจํ ปน น กโรติ สํโยชนานํ อปฺปหานโตฯ ตสฺมา ปสฺสตีติ น วตฺตโพฺพฯ ยตฺถ กตฺถจิ ราชานํ ทิสฺวาปิ ปณฺณาการํ ทตฺวา กิจฺจนิปฺผตฺติยา อทิฎฺฐตฺตา ‘‘อชฺชาปิ ราชานํ น ปสฺสามี’’ติ วทโนฺต คามวาสี ปุริโส เจตฺถ นิทสฺสนํฯ

    Dassanā pahātabbāti dassanaṃ nāma sotāpattimaggo, tena pahātabbāti attho. Kasmā sotāpattimaggo dassanaṃ? Paṭhamaṃ nibbānadassanato. Nanu gotrabhu paṭhamataraṃ passatīti? No na passati. Disvā kattabbakiccaṃ pana na karoti saṃyojanānaṃ appahānato. Tasmā passatīti na vattabbo. Yattha katthaci rājānaṃ disvāpi paṇṇākāraṃ datvā kiccanipphattiyā adiṭṭhattā ‘‘ajjāpi rājānaṃ na passāmī’’ti vadanto gāmavāsī puriso cettha nidassanaṃ.

    ทสฺสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dassanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สํวราปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Saṃvarāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๒. เอวํ ทสฺสเนน ปหาตเพฺพ อาสเว ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทนนฺตรุทฺทิเฎฺฐ สํวรา ปหาตเพฺพ ทเสฺสตุํ, กตเม จ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวรา ปหาตพฺพาติ อาหฯ เอวํ สพฺพตฺถ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อิโต ปรญฺหิ อตฺถมตฺตเมว วณฺณยิสฺสามฯ

    22. Evaṃ dassanena pahātabbe āsave dassetvā idāni tadanantaruddiṭṭhe saṃvarā pahātabbe dassetuṃ, katame ca, bhikkhave, āsavā saṃvarā pahātabbāti āha. Evaṃ sabbattha sambandho veditabbo. Ito parañhi atthamattameva vaṇṇayissāma.

    นนุ จ ทสฺสเนน ภาวนายาติ อิเมหิ ทฺวีหิ อปฺปหาตโพฺพ อาสโว นาม นตฺถิ, อถ กสฺมา วิสุํ สํวราทีหิ ปหาตเพฺพ ทเสฺสตีติฯ สํวราทีหิ ปุพฺพภาเค วิกฺขมฺภิตา อาสวา จตูหิ มเคฺคหิ สมุคฺฆาตํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา เตสํ มคฺคานํ ปุพฺพภาเค อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ตสฺมา โย จายํ วุโตฺต ปฐโม ทสฺสนมโคฺคเยว, อิทานิ ภาวนานาเมน วุจฺจิสฺสนฺติ ตโย มคฺคา, เตสํ สเพฺพสมฺปิ อยํ ปุพฺพภาคปฎิปทาติ เวทิตพฺพาฯ

    Nanu ca dassanena bhāvanāyāti imehi dvīhi appahātabbo āsavo nāma natthi, atha kasmā visuṃ saṃvarādīhi pahātabbe dassetīti. Saṃvarādīhi pubbabhāge vikkhambhitā āsavā catūhi maggehi samugghātaṃ gacchanti, tasmā tesaṃ maggānaṃ pubbabhāge imehi pañcahākārehi vikkhambhanappahānaṃ dassento evamāha. Tasmā yo cāyaṃ vutto paṭhamo dassanamaggoyeva, idāni bhāvanānāmena vuccissanti tayo maggā, tesaṃ sabbesampi ayaṃ pubbabhāgapaṭipadāti veditabbā.

    ตตฺถ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ ปฎิสงฺขาติ ปฎิสงฺขายฯ ตตฺถายํ สงฺขาสโทฺท ญาณโกฎฺฐาสปญฺญตฺติคณนาสุ ทิสฺสติฯ ‘‘สงฺขาเยกํ ปฎิเสวตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๖๘) หิ ญาเณ ทิสฺสติฯ ‘‘ปปญฺจสญฺญาสงฺขา สมุทาจรนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๑) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สงฺขา สมญฺญา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๓๑๓) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘น สุกรํ สงฺขาตุ’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๒๘) คณนายํฯ อิธ ปน ญาเณ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tattha idhāti imasmiṃ sāsane. Paṭisaṅkhāti paṭisaṅkhāya. Tatthāyaṃ saṅkhāsaddo ñāṇakoṭṭhāsapaññattigaṇanāsu dissati. ‘‘Saṅkhāyekaṃ paṭisevatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.168) hi ñāṇe dissati. ‘‘Papañcasaññāsaṅkhā samudācarantī’’tiādīsu (ma. ni. 1.201) koṭṭhāse. ‘‘Tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ saṅkhā samaññā’’tiādīsu (dha. sa. 1313) paññattiyaṃ. ‘‘Na sukaraṃ saṅkhātu’’ntiādīsu (saṃ. ni. 2.128) gaṇanāyaṃ. Idha pana ñāṇe daṭṭhabbo.

    ปฎิสงฺขา โยนิโสติ หิ อุปาเยน ปเถน ปฎิสงฺขาย ญตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ อสํวเร อาทีนวปฎิสงฺขา โยนิโส ปฎิสงฺขาติ เวทิตพฺพาฯ สา จายํ ‘‘วรํ, ภิกฺขเว, ตตฺตาย อโยสลากาย อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย จกฺขุนฺทฺริยํ สมฺปลิมฎฺฐํ, น เตฺวว จกฺขุวิเญฺญเยฺยสุ รูเปสุ อนุพฺยญฺชนโส นิมิตฺตคฺคาโห’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๔.๒๓๕) อาทิตฺตปริยายนเยน เวทิตพฺพาฯ จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต วิหรตีติ เอตฺถ จกฺขุเมว อินฺทฺริยํ จกฺขุนฺทฺริยํ, สํวรณโต สํวโร, ปิทหนโต ถกนโตติ วุตฺตํ โหติฯ สติยา เอตํ อธิวจนํฯ จกฺขุนฺทฺริเย สํวโร จกฺขุนฺทฺริยสํวโรฯ ติตฺถกาโก อาวาฎกจฺฉโป วนมหิํโสติอาทโย วิยฯ

    Paṭisaṅkhā yonisoti hi upāyena pathena paṭisaṅkhāya ñatvā paccavekkhitvāti attho. Ettha ca asaṃvare ādīnavapaṭisaṅkhā yoniso paṭisaṅkhāti veditabbā. Sā cāyaṃ ‘‘varaṃ, bhikkhave, tattāya ayosalākāya ādittāya sampajjalitāya sajotibhūtāya cakkhundriyaṃ sampalimaṭṭhaṃ, na tveva cakkhuviññeyyesu rūpesu anubyañjanaso nimittaggāho’’tiādinā (saṃ. ni. 4.235) ādittapariyāyanayena veditabbā. Cakkhundriyasaṃvarasaṃvuto viharatīti ettha cakkhumeva indriyaṃ cakkhundriyaṃ, saṃvaraṇato saṃvaro, pidahanato thakanatoti vuttaṃ hoti. Satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Cakkhundriye saṃvaro cakkhundriyasaṃvaro. Titthakāko āvāṭakacchapo vanamahiṃsotiādayo viya.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ จกฺขุนฺทฺริเย สํวโร วา อสํวโร วา นตฺถิฯ น หิ จกฺขุปสาทํ นิสฺสาย สติ วา มุฎฺฐสจฺจํ วา อุปฺปชฺชติฯ อปิจ ยทา รูปารมฺมณํ จกฺขุสฺส อาปาถํ อาคจฺฉติ, ตทา ภวเงฺค ทฺวิกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ, ตโต วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ, ตโต วิปากาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ, ตโต กิริยาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติฯ ตทนนฺตรํ ชวนํ ชวติฯ

    Tattha kiñcāpi cakkhundriye saṃvaro vā asaṃvaro vā natthi. Na hi cakkhupasādaṃ nissāya sati vā muṭṭhasaccaṃ vā uppajjati. Apica yadā rūpārammaṇaṃ cakkhussa āpāthaṃ āgacchati, tadā bhavaṅge dvikkhattuṃ uppajjitvā niruddhe kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati, tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ, tato vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ, tato vipākāhetukamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ, tato kiriyāhetukamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati. Tadanantaraṃ javanaṃ javati.

    ตตฺถปิ เนว ภวงฺคสมเย, น อาวชฺชนาทีนํ อญฺญตรสมเย สํวโร วา อสํวโร วา อตฺถิฯ ชวนกฺขเณ ปน สเจ ทุสฺสีลฺยํ วา มุฎฺฐสจฺจํ วา อญฺญาณํ วา อกฺขนฺติ วา โกสชฺชํ วา อุปฺปชฺชติ, อยํ อสํวโร โหติฯ เอวํ โหโนฺตปิ โส จกฺขุนฺทฺริเย อสํวโรติ วุจฺจติฯ กสฺมา? ตสฺมิญฺหิ สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ยถา กิํ , ยถา นคเร จตูสุ ทฺวาเรสุ อสํวุเตสุ กิญฺจาปิ อโนฺต ฆรโกฎฺฐกคพฺภาทโย สุสํวุตา, ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ อรกฺขิตํ อโคปิตเมว โหติฯ นครทฺวาเรน หิ ปวิสิตฺวา โจรา ยทิจฺฉนฺติ, ตํ กเรยฺยุํ, เอวเมว ชวเน ทุสฺสีลฺยาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ, ตสฺมิํ อสํวเร สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปีติฯ

    Tatthapi neva bhavaṅgasamaye, na āvajjanādīnaṃ aññatarasamaye saṃvaro vā asaṃvaro vā atthi. Javanakkhaṇe pana sace dussīlyaṃ vā muṭṭhasaccaṃ vā aññāṇaṃ vā akkhanti vā kosajjaṃ vā uppajjati, ayaṃ asaṃvaro hoti. Evaṃ hontopi so cakkhundriye asaṃvaroti vuccati. Kasmā? Tasmiñhi sati dvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Yathā kiṃ , yathā nagare catūsu dvāresu asaṃvutesu kiñcāpi anto gharakoṭṭhakagabbhādayo susaṃvutā, tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ arakkhitaṃ agopitameva hoti. Nagaradvārena hi pavisitvā corā yadicchanti, taṃ kareyyuṃ, evameva javane dussīlyādīsu uppannesu, tasmiṃ asaṃvare sati dvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipīti.

    ตสฺมิํ ปน สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ คุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ยถา กิํ? ยถา นครทฺวาเรสุ สุสํวุเตสุ กิญฺจาปิ อโนฺต ฆราทโย อสํวุตา, ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ สุรกฺขิตํ สุโคปิตเมว โหติฯ นครทฺวาเรสุ หิ ปิหิเตสุ โจรานํ ปเวโส นตฺถิ, เอวเมว ชวเน สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ สุคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ตสฺมา ชวนกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโนปิ จกฺขุนฺทฺริเย สํวโรติ วุโตฺตฯ อิธ จายํ สติสํวโร อธิเปฺปโตติ เวทิตโพฺพฯ จกฺขุนฺทฺริยสํวเรน สํวุโต จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต, อุเปโตติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ อิมสฺส วิภเงฺค ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) วุตฺตํฯ ตํ เอกชฺฌํ กตฺวา จกฺขุนฺทฺริยสํวเรน สํวุโตติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tasmiṃ pana sīlādīsu uppannesu dvārampi guttaṃ hoti, bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Yathā kiṃ? Yathā nagaradvāresu susaṃvutesu kiñcāpi anto gharādayo asaṃvutā, tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ surakkhitaṃ sugopitameva hoti. Nagaradvāresu hi pihitesu corānaṃ paveso natthi, evameva javane sīlādīsu uppannesu dvārampi suguttaṃ hoti, bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Tasmā javanakkhaṇe uppajjamānopi cakkhundriye saṃvaroti vutto. Idha cāyaṃ satisaṃvaro adhippetoti veditabbo. Cakkhundriyasaṃvarena saṃvuto cakkhundriyasaṃvarasaṃvuto, upetoti vuttaṃ hoti. Tathā hi, pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti imassa vibhaṅge ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti…pe… samannāgato’’ti (vibha. 511) vuttaṃ. Taṃ ekajjhaṃ katvā cakkhundriyasaṃvarena saṃvutoti evamattho veditabbo.

    อถ วา สํวรีติ สํวุโต, ถเกสิ ปิทหีติ วุตฺตํ โหติฯ จกฺขุนฺทฺริเย สํวรสํวุโต จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต, จกฺขุนฺทฺริยสํวรสญฺญิตํ สติกวาฎํ จกฺขุทฺวาเร, ฆรทฺวาเร กวาฎํ วิย สํวริ ถเกสิ ปิทหีติ วุตฺตํ โหติฯ อยเมว เจตฺถ อโตฺถ สุนฺทรตโรฯ ตถา หิ ‘‘จกฺขุนฺทฺริยสํวรํ อสํวุตสฺส วิหรโต สํวุตสฺส วิหรโต’’ติ เอเตสุ ปเทสุ อยเมว อโตฺถ ทิสฺสติฯ

    Atha vā saṃvarīti saṃvuto, thakesi pidahīti vuttaṃ hoti. Cakkhundriye saṃvarasaṃvuto cakkhundriyasaṃvarasaṃvuto, cakkhundriyasaṃvarasaññitaṃ satikavāṭaṃ cakkhudvāre, gharadvāre kavāṭaṃ viya saṃvari thakesi pidahīti vuttaṃ hoti. Ayameva cettha attho sundarataro. Tathā hi ‘‘cakkhundriyasaṃvaraṃ asaṃvutassa viharato saṃvutassa viharato’’ti etesu padesu ayameva attho dissati.

    วิหรตีติ เอวํ จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต เยน เกนจิ อิริยาปถวิหาเรน วิหรติฯ ยญฺหิสฺสาติอาทิมฺหิ ยํ จกฺขุนฺทฺริยสํวรํ อสฺส ภิกฺขุโน อสํวุตสฺส อถเกตฺวา อปิทหิตฺวา วิหรนฺตสฺสาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา, เย-การสฺส นฺติ อาเทโสฯ หิกาโร จ ปทปูรโณ, เย อสฺสาติ อโตฺถฯ

    Viharatīti evaṃ cakkhundriyasaṃvarasaṃvuto yena kenaci iriyāpathavihārena viharati. Yañhissātiādimhi yaṃ cakkhundriyasaṃvaraṃ assa bhikkhuno asaṃvutassa athaketvā apidahitvā viharantassāti evamattho veditabbo. Atha vā, ye-kārassa yanti ādeso. Hikāro ca padapūraṇo, ye assāti attho.

    อุปฺปเชฺชยฺยุนฺติ นิพฺพเตฺตยฺยุํฯ อาสวา วิฆาตปริฬาหาติ จตฺตาโร อาสวา จ อเญฺญ จ วิฆาตกรา กิเลสปริฬาหา วิปากปริฬาหา จฯ จกฺขุทฺวาเร หิ อิฎฺฐารมฺมณํ อาปาถคตํ กามสฺสาทวเสน อสฺสาทยโต อภินนฺทโต กามาสโว อุปฺปชฺชติ, อีทิสํ อญฺญสฺมิมฺปิ สุคติภเว ลภิสฺสามีติ ภวปตฺถนาย อสฺสาทยโต ภวาสโว อุปฺปชฺชติ, สโตฺตติ วา สตฺตสฺสาติ วา คณฺหนฺตสฺส ทิฎฺฐาสโว อุปฺปชฺชติ, สเพฺพเหว สหชาตํ อญฺญาณํ อวิชฺชาสโวติ จตฺตาโร อาสวา อุปฺปชฺชนฺติฯ เตหิ สมฺปยุตฺตา อปเร กิเลสา วิฆาตปริฬาหา, อายติํ วา เตสํ วิปากาฯ เตปิ หิ อสํวุตเสฺสว วิหรโต อุปฺปเชฺชยฺยุนฺติ วุจฺจนฺติฯ

    Uppajjeyyunti nibbatteyyuṃ. Āsavā vighātapariḷāhāti cattāro āsavā ca aññe ca vighātakarā kilesapariḷāhā vipākapariḷāhā ca. Cakkhudvāre hi iṭṭhārammaṇaṃ āpāthagataṃ kāmassādavasena assādayato abhinandato kāmāsavo uppajjati, īdisaṃ aññasmimpi sugatibhave labhissāmīti bhavapatthanāya assādayato bhavāsavo uppajjati, sattoti vā sattassāti vā gaṇhantassa diṭṭhāsavo uppajjati, sabbeheva sahajātaṃ aññāṇaṃ avijjāsavoti cattāro āsavā uppajjanti. Tehi sampayuttā apare kilesā vighātapariḷāhā, āyatiṃ vā tesaṃ vipākā. Tepi hi asaṃvutasseva viharato uppajjeyyunti vuccanti.

    เอวํส เตติ เอวํ อสฺส เตฯ เอวํ เอเตน อุปาเยน น โหนฺติ, โน อญฺญถาติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย ปฎิสงฺขา โยนิโส โสตินฺทฺริยสํวรสํวุโตติอาทีสุฯ

    Evaṃsa teti evaṃ assa te. Evaṃ etena upāyena na honti, no aññathāti vuttaṃ hoti. Esa nayo paṭisaṅkhā yoniso sotindriyasaṃvarasaṃvutotiādīsu.

    อิเม วุจฺจนฺติ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวรา ปหาตพฺพาติ อิเม ฉสุ ทฺวาเรสุ จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา จตุวีสติ อาสวา สํวเรน ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺติฯ สพฺพเตฺถว เจตฺถ สติสํวโร เอว สํวโรติ เวทิตโพฺพฯ

    Ime vuccanti, bhikkhave, āsavā saṃvarā pahātabbāti ime chasu dvāresu cattāro cattāro katvā catuvīsati āsavā saṃvarena pahātabbāti vuccanti. Sabbattheva cettha satisaṃvaro eva saṃvaroti veditabbo.

    สํวราปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṃvarāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปฎิเสวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Paṭisevanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๓. ปฎิสงฺขา โยนิโส จีวรนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค สีลกถายํ วุตฺตเมวฯ ยญฺหิสฺสาติ ยํ จีวรปิณฺฑปาตาทีสุ วา อญฺญตรํ อสฺสฯ อปฺปฎิเสวโตติ เอวํ โยนิโส อปฺปฎิเสวนฺตสฺสฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลํ ปนิธ อลทฺธํ จีวราทิํ ปตฺถยโต ลทฺธํ วา อสฺสาทยโต กามาสวสฺส อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพาฯ อีทิสํ อญฺญสฺมิมฺปิ สมฺปตฺติภเว สุคติภเว ลภิสฺสามีติ ภวปตฺถนาย อสฺสาทยโต ภวาสวสฺส, อหํ ลภามิ น ลภามีติ วา มยฺหํ วา อิทนฺติ อตฺตสญฺญํ อธิฎฺฐหโต ทิฎฺฐาสวสฺส อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพาฯ สเพฺพเหว ปน สหชาโต อวิชฺชาสโวติ เอวํ จตุนฺนํ อาสวานํ อุปฺปตฺติ วิปากปริฬาหา จ นวเวทนุปฺปาทนโตปิ เวทิตพฺพาฯ

    23.Paṭisaṅkhā yoniso cīvarantiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ visuddhimagge sīlakathāyaṃ vuttameva. Yañhissāti yaṃ cīvarapiṇḍapātādīsu vā aññataraṃ assa. Appaṭisevatoti evaṃ yoniso appaṭisevantassa. Sesaṃ vuttanayameva. Kevalaṃ panidha aladdhaṃ cīvarādiṃ patthayato laddhaṃ vā assādayato kāmāsavassa uppatti veditabbā. Īdisaṃ aññasmimpi sampattibhave sugatibhave labhissāmīti bhavapatthanāya assādayato bhavāsavassa, ahaṃ labhāmi na labhāmīti vā mayhaṃ vā idanti attasaññaṃ adhiṭṭhahato diṭṭhāsavassa uppatti veditabbā. Sabbeheva pana sahajāto avijjāsavoti evaṃ catunnaṃ āsavānaṃ uppatti vipākapariḷāhā ca navavedanuppādanatopi veditabbā.

    อิเม วุจฺจนฺติ, ภิกฺขเว, อาสวา ปฎิเสวนา ปหาตพฺพาติ อิเม เอกเมกสฺมิํ ปจฺจเย จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา โสฬส อาสวา อิมินา ญาณสํวรสงฺขาเตน ปจฺจเวกฺขณปฎิเสวเนน ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺติฯ

    Imevuccanti, bhikkhave, āsavā paṭisevanā pahātabbāti ime ekamekasmiṃ paccaye cattāro cattāro katvā soḷasa āsavā iminā ñāṇasaṃvarasaṅkhātena paccavekkhaṇapaṭisevanena pahātabbāti vuccanti.

    ปฎิเสวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭisevanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อธิวาสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Adhivāsanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๔. ปฎิสงฺขา โยนิโส ขโม โหติ สีตสฺสาติ อุปาเยน ปเถน ปจฺจเวกฺขิตฺวา ขโม โหติ สีตสฺส สีตํ ขมติ สหติ, น อวีรปุริโส วิย อปฺปมตฺตเกนปิ สีเตน จลติ กมฺปติ กมฺมฎฺฐานํ วิชหติฯ อปิจ โข โลมสนาคเตฺถโร วิย อนปฺปเกนาปิ สีเตน ผุโฎฺฐ น จลติ น กมฺปติ, กมฺมฎฺฐานเมว มนสิ กโรติฯ เถโร กิร เจติยปพฺพเต ปิยงฺคุคุหายํ ปธานฆเร วิหรโนฺต อนฺตรฎฺฐเก หิมปาตสมเย โลกนฺตริกนิรเย ปจฺจเวกฺขิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺตว อโพฺภกาเส วีตินาเมสิฯ เอวํ อุณฺหาทีสุปิ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    24.Paṭisaṅkhā yoniso khamo hoti sītassāti upāyena pathena paccavekkhitvā khamo hoti sītassa sītaṃ khamati sahati, na avīrapuriso viya appamattakenapi sītena calati kampati kammaṭṭhānaṃ vijahati. Apica kho lomasanāgatthero viya anappakenāpi sītena phuṭṭho na calati na kampati, kammaṭṭhānameva manasi karoti. Thero kira cetiyapabbate piyaṅguguhāyaṃ padhānaghare viharanto antaraṭṭhake himapātasamaye lokantarikaniraye paccavekkhitvā kammaṭṭhānaṃ avijahantova abbhokāse vītināmesi. Evaṃ uṇhādīsupi atthayojanā veditabbā.

    เกวลญฺหิ โย ภิกฺขุ อธิมตฺตมฺปิ อุณฺหํ สหติ เสฺวว เถโร วิย, อยํ ‘‘ขโม อุณฺหสฺสา’’ติ เวทิตโพฺพฯ เถโร กิร คิมฺหสมเย ปจฺฉาภตฺตํ พหิจงฺกเม นิสีทิฯ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต เสทาปิสฺส กเจฺฉหิ มุจฺจนฺติฯ อถ นํ อเนฺตวาสิโก อาห ‘‘อิธ, ภเนฺต, นิสีทถ, สีตโล โอกาโส’’ติฯ เถโร ‘‘อุณฺหภเยเนวมฺหิ อาวุโส อิธ นิสิโนฺน’’ติ อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิสีทิเยวฯ อุณฺหนฺติ เจตฺถ อคฺคิสนฺตาโปว เวทิตโพฺพฯ สูริยสนฺตาปวเสน ปเนตํ วตฺถุ วุตฺตํฯ

    Kevalañhi yo bhikkhu adhimattampi uṇhaṃ sahati sveva thero viya, ayaṃ ‘‘khamo uṇhassā’’ti veditabbo. Thero kira gimhasamaye pacchābhattaṃ bahicaṅkame nisīdi. Kammaṭṭhānaṃ manasikaronto sedāpissa kacchehi muccanti. Atha naṃ antevāsiko āha ‘‘idha, bhante, nisīdatha, sītalo okāso’’ti. Thero ‘‘uṇhabhayenevamhi āvuso idha nisinno’’ti avīcimahānirayaṃ paccavekkhitvā nisīdiyeva. Uṇhanti cettha aggisantāpova veditabbo. Sūriyasantāpavasena panetaṃ vatthu vuttaṃ.

    โย จ เทฺว ตโย วาเร ภตฺตํ วา ปานียํ วา อลภมาโนปิ อนมตเคฺค สํสาเร อตฺตโน เปตฺติวิสยูปปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อเวเธโนฺต กมฺมฎฺฐานํ น วิชหติเยวฯ อธิมเตฺตหิ ฑํสมกสวาตาตปสมฺผเสฺสหิ ผุโฎฺฐ จาปิ ติรจฺฉานูปปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อเวเธโนฺต กมฺมฎฺฐานํ น วิชหติเยวฯ สรีสปสมฺผเสฺสน ผุโฎฺฐ จาปิ อนมตเคฺค สํสาเร สีหพฺยคฺฆาทิมุเขสุ อเนกวารํ ปริวตฺติตปุพฺพภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อเวเธโนฺต กมฺมฎฺฐานํ น วิชหติเยว ปธานิยเตฺถโร วิยฯ อยํ ‘‘ขโม ชิฆจฺฉาย…เป.… สรีสปสมฺผสฺสาน’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ

    Yo ca dve tayo vāre bhattaṃ vā pānīyaṃ vā alabhamānopi anamatagge saṃsāre attano pettivisayūpapattiṃ paccavekkhitvā avedhento kammaṭṭhānaṃ na vijahatiyeva. Adhimattehi ḍaṃsamakasavātātapasamphassehi phuṭṭho cāpi tiracchānūpapattiṃ paccavekkhitvā avedhento kammaṭṭhānaṃ na vijahatiyeva. Sarīsapasamphassena phuṭṭho cāpi anamatagge saṃsāre sīhabyagghādimukhesu anekavāraṃ parivattitapubbabhāvaṃ paccavekkhitvā avedhento kammaṭṭhānaṃ na vijahatiyeva padhāniyatthero viya. Ayaṃ ‘‘khamo jighacchāya…pe… sarīsapasamphassāna’’nti veditabbo.

    เถรํ กิร ขณฺฑเจลวิหาเร กณิการปธานิยฆเร อริยวํสํ สุณนฺตํ โฆรวิโส สโปฺป ฑํสิฯ เถโร ชานิตฺวาปิ ปสนฺนจิโตฺต นิสิโนฺน ธมฺมํเยว สุณาติฯ วิสเวโค ถโทฺธ อโหสิฯ เถโร อุปสมฺปทมณฺฑลํ อาทิํ กตฺวา สีลํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริสุทฺธสีโลหมสฺมีติ ปีติํ อุปฺปาเทสิฯ สห ปีตุปฺปาทา วิสํ นิวตฺติตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ เถโร ตเตฺถว จิเตฺตกคฺคตํ ลภิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Theraṃ kira khaṇḍacelavihāre kaṇikārapadhāniyaghare ariyavaṃsaṃ suṇantaṃ ghoraviso sappo ḍaṃsi. Thero jānitvāpi pasannacitto nisinno dhammaṃyeva suṇāti. Visavego thaddho ahosi. Thero upasampadamaṇḍalaṃ ādiṃ katvā sīlaṃ paccavekkhitvā parisuddhasīlohamasmīti pītiṃ uppādesi. Saha pītuppādā visaṃ nivattitvā pathaviṃ pāvisi. Thero tattheva cittekaggataṃ labhitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi.

    โย ปน อโกฺกสวเสน ทุรุเตฺต ทุรุตฺตตฺตาเยว จ ทุราคเต อปิ อนฺติมวตฺถุสญฺญิเต วจนปเถ สุตฺวา ขนฺติคุณํเยว ปจฺจเวกฺขิตฺวา น เวธติ ทีฆภาณกอภยเตฺถโร วิยฯ อยํ ‘‘ขโม ทุรุตฺตานํ ทุราคตานํ วจนปถาน’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ

    Yo pana akkosavasena durutte duruttattāyeva ca durāgate api antimavatthusaññite vacanapathe sutvā khantiguṇaṃyeva paccavekkhitvā na vedhati dīghabhāṇakaabhayatthero viya. Ayaṃ ‘‘khamo duruttānaṃ durāgatānaṃ vacanapathāna’’nti veditabbo.

    เถโร กิร ปจฺจยสโนฺตสภาวนารามตาย มหาอริยวํสปฺปฎิปทํ กเถสิ, สโพฺพ มหาคาโม อาคจฺฉติฯ เถรสฺส มหาสกฺกาโร อุปฺปชฺชติฯ ตํ อญฺญตโร มหาเถโร อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ทีฆภาณโก อริยวํสํ กเถมีติ สพฺพรตฺติํ โกลาหลํ กโรสีติอาทีหิ อโกฺกสิฯ อุโภปิ จ อตฺตโน อตฺตโน วิหารํ คจฺฉนฺตา คาวุตมตฺตํ เอกปเถน อคมํสุฯ สกลคาวุตมฺปิ โส ตํ อโกฺกสิเยวฯ ตโต ยตฺถ ทฺวินฺนํ วิหารานํ มโคฺค ภิชฺชติ, ตตฺถ ฐตฺวา ทีฆภาณกเตฺถโร ตํ วนฺทิตฺวา ‘‘เอส, ภเนฺต, ตุมฺหากํ มโคฺค’’ติ อาหฯ โส อสุณโนฺต วิย อคมาสิฯ เถโรปิ วิหารํ คนฺตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา นิสีทิฯ ตเมนํ อเนฺตวาสิโก ‘‘กิํ, ภเนฺต, สกลคาวุตํ ปริภาสนฺตํ น กิญฺจิ อโวจุตฺถา’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘ขนฺติเยว, อาวุโส, มยฺหํ ภาโร, น อกฺขนฺติฯ เอกปทุทฺธาเรปิ กมฺมฎฺฐานวิโยคํ น ปสฺสามี’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ วจนเมว วจนปโถติ เวทิตโพฺพฯ

    Thero kira paccayasantosabhāvanārāmatāya mahāariyavaṃsappaṭipadaṃ kathesi, sabbo mahāgāmo āgacchati. Therassa mahāsakkāro uppajjati. Taṃ aññataro mahāthero adhivāsetuṃ asakkonto dīghabhāṇako ariyavaṃsaṃ kathemīti sabbarattiṃ kolāhalaṃ karosītiādīhi akkosi. Ubhopi ca attano attano vihāraṃ gacchantā gāvutamattaṃ ekapathena agamaṃsu. Sakalagāvutampi so taṃ akkosiyeva. Tato yattha dvinnaṃ vihārānaṃ maggo bhijjati, tattha ṭhatvā dīghabhāṇakatthero taṃ vanditvā ‘‘esa, bhante, tumhākaṃ maggo’’ti āha. So asuṇanto viya agamāsi. Theropi vihāraṃ gantvā pāde pakkhāletvā nisīdi. Tamenaṃ antevāsiko ‘‘kiṃ, bhante, sakalagāvutaṃ paribhāsantaṃ na kiñci avocutthā’’ti āha. Thero ‘‘khantiyeva, āvuso, mayhaṃ bhāro, na akkhanti. Ekapaduddhārepi kammaṭṭhānaviyogaṃ na passāmī’’ti āha. Ettha ca vacanameva vacanapathoti veditabbo.

    โย ปน อุปฺปนฺนา สารีริกา เวทนา ทุกฺขมนเฎฺฐน ทุกฺขา, พหลเฎฺฐน ติพฺพา, ผรุสเฎฺฐน ขรา, ติขิณเฎฺฐน กฎุกา, อสฺสาทวิรหโต อสาตา, มนํ อวฑฺฒนโต อมนาปา, ปาณหรณสมตฺถตาย ปาณหรา อธิวาเสติเยว, น เวธติฯ เอวํ สภาโว โหติ จิตฺตลปพฺพเต ปธานิยเตฺถโร วิยฯ อยํ ‘‘อุปฺปนฺนานํ…เป.… อธิวาสนชาติโก’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Yo pana uppannā sārīrikā vedanā dukkhamanaṭṭhena dukkhā, bahalaṭṭhena tibbā, pharusaṭṭhena kharā, tikhiṇaṭṭhena kaṭukā, assādavirahato asātā, manaṃ avaḍḍhanato amanāpā, pāṇaharaṇasamatthatāya pāṇaharā adhivāsetiyeva, na vedhati. Evaṃ sabhāvo hoti cittalapabbate padhāniyatthero viya. Ayaṃ ‘‘uppannānaṃ…pe… adhivāsanajātiko’’ti veditabbo.

    เถรสฺส กิร รตฺติํ ปธาเนน วีตินาเมตฺวา ฐิตสฺส อุทรวาโต อุปฺปชฺชิฯ โส ตํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต อาวตฺตติ ปริวตฺตติฯ ตเมนํ จงฺกมปเสฺส ฐิโต ปิณฺฑปาติยเตฺถโร อาห ‘‘อาวุโส, ปพฺพชิโต นาม อธิวาสนสีโล โหตี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ อธิวาเสตฺวา นิจฺจโล สยิฯ วาโต นาภิโต ยาว หทยํ ผาเลติฯ เถโร เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสโนฺต มุหุเตฺตน อนาคามี หุตฺวา ปรินิพฺพายีติฯ

    Therassa kira rattiṃ padhānena vītināmetvā ṭhitassa udaravāto uppajji. So taṃ adhivāsetuṃ asakkonto āvattati parivattati. Tamenaṃ caṅkamapasse ṭhito piṇḍapātiyatthero āha ‘‘āvuso, pabbajito nāma adhivāsanasīlo hotī’’ti. So ‘‘sādhu, bhante’’ti adhivāsetvā niccalo sayi. Vāto nābhito yāva hadayaṃ phāleti. Thero vedanaṃ vikkhambhetvā vipassanto muhuttena anāgāmī hutvā parinibbāyīti.

    ยญฺหิสฺสาติ สีตาทีสุ ยํกิญฺจิ เอกธมฺมมฺปิ อสฺสฯ อนธิวาสยโตติ อนธิวาเสนฺตสฺส อกฺขมนฺตสฺสฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อาสวุปฺปตฺติ ปเนตฺถ เอวํ เวทิตพฺพาฯ สีเตน ผุฎฺฐสฺส อุณฺหํ ปตฺถยนฺตสฺส กามาสโว อุปฺปชฺชติ, เอวํ สพฺพตฺถฯ นตฺถิ โน สมฺปตฺติภเว สุคติภเว สีตํ วา อุณฺหํ วาติ ภวํ ปตฺถยนฺตสฺส ภวาสโวฯ มยฺหํ สีตํ อุณฺหนฺติ คาโห ทิฎฺฐาสโวฯ สเพฺพเหว สมฺปยุโตฺต อวิชฺชาสโวติฯ

    Yañhissāti sītādīsu yaṃkiñci ekadhammampi assa. Anadhivāsayatoti anadhivāsentassa akkhamantassa. Sesaṃ vuttanayameva. Āsavuppatti panettha evaṃ veditabbā. Sītena phuṭṭhassa uṇhaṃ patthayantassa kāmāsavo uppajjati, evaṃ sabbattha. Natthi no sampattibhave sugatibhave sītaṃ vā uṇhaṃ vāti bhavaṃ patthayantassa bhavāsavo. Mayhaṃ sītaṃ uṇhanti gāho diṭṭhāsavo. Sabbeheva sampayutto avijjāsavoti.

    ‘‘อิเม วุจฺจนฺติ…เป.… อธิวาสนา ปหาตพฺพา’’ติ อิเม สีตาทีสุ เอกเมกสฺส วเสน จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา อเนเก อาสวา อิมาย ขนฺติสํวรสงฺขาตาย อธิวาสนาย ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อยํ ขนฺติ สีตาทิธเมฺม อธิวาเสติ, อตฺตโน อุปริ อาโรเปตฺวา วาเสติเยวฯ น อสหมานา หุตฺวา นิรสฺสติ, ตสฺมา ‘‘อธิวาสนา’’ติ วุจฺจตีติ เวทิตพฺพาฯ

    ‘‘Ime vuccanti…pe… adhivāsanā pahātabbā’’ti ime sītādīsu ekamekassa vasena cattāro cattāro katvā aneke āsavā imāya khantisaṃvarasaṅkhātāya adhivāsanāya pahātabbāti vuccantīti attho. Ettha ca yasmā ayaṃ khanti sītādidhamme adhivāseti, attano upari āropetvā vāsetiyeva. Na asahamānā hutvā nirassati, tasmā ‘‘adhivāsanā’’ti vuccatīti veditabbā.

    อธิวาสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Adhivāsanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปริวชฺชนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Parivajjanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๕. ปฎิสงฺขา โยนิโส จณฺฑํ หตฺถิํ ปริวเชฺชตีติ อหํ สมโณติ จณฺฑสฺส หตฺถิสฺส อาสเนฺน น ฐาตพฺพํฯ ตโตนิทานญฺหิ มรณมฺปิ สิยา มรณมตฺตมฺปิ ทุกฺขนฺติ เอวํ อุปาเยน ปเถน ปจฺจเยน ปจฺจเวกฺขิตฺวา จณฺฑํ หตฺถิํ ปริวเชฺชติ ปฎิกฺกมติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ จณฺฑนฺติ จ ทุฎฺฐํ, วาฬนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ขาณุนฺติ ขทิรขาณุอาทิํฯ กณฺฎกฎฺฐานนฺติ กณฺฎกานํ ฐานํ, ยตฺถ กณฺฎกา วิชฺชนฺติ, ตํ โอกาสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โสพฺภนฺติ สพฺพโต ปริจฺฉินฺนตฎํฯ ปปาตนฺติ เอกโต ฉินฺนตฎํฯ จนฺทนิกนฺติ อุจฺฉิโฎฺฐทกคพฺภมลาทีนํ ฉฑฺฑนฎฺฐานํฯ โอฬิคลฺลนฺติ เตสํเยว สกทฺทมาทีนํ สนฺทโนกาสํฯ ตํ ชณฺณุมตฺตมฺปิ อสุจิภริตํ โหติ, เทฺวปิ เจตานิ ฐานานิ อมนุสฺสทุฎฺฐานิ โหนฺติฯ ตสฺมา ตานิ วเชฺชตพฺพานิฯ อนาสเนติ เอตฺถ ปน อยุตฺตํ อาสนํ อนาสนํ, ตํ อตฺถโต อนิยตวตฺถุกํ รโหปฎิจฺฉนฺนาสนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อโคจเรติ เอตฺถปิ จ อยุโตฺต โคจโร อโคจโร, โส เวสิยาทิเภทโต ปญฺจวิโธฯ ปาปเก มิเตฺตติ ลามเก ทุสฺสีเล มิตฺตปติรูปเก, อมิเตฺต วาฯ ภชนฺตนฺติ เสวมานํฯ วิญฺญู สพฺรหฺมจารีติ ปณฺฑิตา พุทฺธิสมฺปนฺนา สพฺรหฺมจารโย, ภิกฺขูนเมตํ อธิวจนํฯ เต หิ เอกกมฺมํ เอกุเทฺทโส สมสิกฺขตาติ อิมํ พฺรหฺมํ สมานํ จรนฺติ, ตสฺมา สพฺรหฺมจารีติ วุจฺจนฺติฯ ปาปเกสุ ฐาเนสูติ ลามเกสุ ฐาเนสุฯ โอกเปฺปยฺยุนฺติ สทฺทเหยฺยุํ, อธิมุเจฺจยฺยุํ ‘‘อทฺธา อยมายสฺมา อกาสิ วา กริสฺสติ วา’’ติฯ

    25.Paṭisaṅkhāyoniso caṇḍaṃ hatthiṃ parivajjetīti ahaṃ samaṇoti caṇḍassa hatthissa āsanne na ṭhātabbaṃ. Tatonidānañhi maraṇampi siyā maraṇamattampi dukkhanti evaṃ upāyena pathena paccayena paccavekkhitvā caṇḍaṃ hatthiṃ parivajjeti paṭikkamati. Esa nayo sabbattha. Caṇḍanti ca duṭṭhaṃ, vāḷanti vuttaṃ hoti. Khāṇunti khadirakhāṇuādiṃ. Kaṇṭakaṭṭhānanti kaṇṭakānaṃ ṭhānaṃ, yattha kaṇṭakā vijjanti, taṃ okāsanti vuttaṃ hoti. Sobbhanti sabbato paricchinnataṭaṃ. Papātanti ekato chinnataṭaṃ. Candanikanti ucchiṭṭhodakagabbhamalādīnaṃ chaḍḍanaṭṭhānaṃ. Oḷigallanti tesaṃyeva sakaddamādīnaṃ sandanokāsaṃ. Taṃ jaṇṇumattampi asucibharitaṃ hoti, dvepi cetāni ṭhānāni amanussaduṭṭhāni honti. Tasmā tāni vajjetabbāni. Anāsaneti ettha pana ayuttaṃ āsanaṃ anāsanaṃ, taṃ atthato aniyatavatthukaṃ rahopaṭicchannāsananti veditabbaṃ. Agocareti etthapi ca ayutto gocaro agocaro, so vesiyādibhedato pañcavidho. Pāpake mitteti lāmake dussīle mittapatirūpake, amitte vā. Bhajantanti sevamānaṃ. Viññū sabrahmacārīti paṇḍitā buddhisampannā sabrahmacārayo, bhikkhūnametaṃ adhivacanaṃ. Te hi ekakammaṃ ekuddeso samasikkhatāti imaṃ brahmaṃ samānaṃ caranti, tasmā sabrahmacārīti vuccanti. Pāpakesu ṭhānesūti lāmakesu ṭhānesu. Okappeyyunti saddaheyyuṃ, adhimucceyyuṃ ‘‘addhā ayamāyasmā akāsi vā karissati vā’’ti.

    ยญฺหิสฺสาติ หตฺถิอาทีสุ ยํกิญฺจิ เอกมฺปิ อสฺสฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อาสวุปฺปตฺติ ปเนตฺถ เอวํ เวทิตพฺพาฯ หตฺถิอาทินิทาเนน ทุเกฺขน ผุฎฺฐสฺส สุขํ ปตฺถยโต กามาสโว อุปฺปชฺชติฯ นตฺถิ โน สมฺปตฺติภเว สุคติภเว อีทิสํ ทุกฺขนฺติ ภวํ ปเตฺถนฺตสฺส ภวาสโวฯ มํ หตฺถี มทฺทติ, มํ อโสฺสติ คาโห ทิฎฺฐาสโวฯ สเพฺพเหว สมฺปยุโตฺต อวิชฺชาสโวติฯ

    Yañhissāti hatthiādīsu yaṃkiñci ekampi assa. Sesaṃ vuttanayameva. Āsavuppatti panettha evaṃ veditabbā. Hatthiādinidānena dukkhena phuṭṭhassa sukhaṃ patthayato kāmāsavo uppajjati. Natthi no sampattibhave sugatibhave īdisaṃ dukkhanti bhavaṃ patthentassa bhavāsavo. Maṃ hatthī maddati, maṃ assoti gāho diṭṭhāsavo. Sabbeheva sampayutto avijjāsavoti.

    อิเม วุจฺจนฺติ…เป.… ปริวชฺชนา ปหาตพฺพาติ อิเม หตฺถิอาทีสุ เอเกกสฺส วเสน จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา อเนเก อาสวา อิมินา สีลสํวรสงฺขาเตน ปริวชฺชเนน ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Ime vuccanti…pe… parivajjanā pahātabbāti ime hatthiādīsu ekekassa vasena cattāro cattāro katvā aneke āsavā iminā sīlasaṃvarasaṅkhātena parivajjanena pahātabbāti vuccantīti veditabbā.

    ปริวชฺชนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Parivajjanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    วิโนทนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Vinodanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๖. ปฎิสงฺขา โยนิโส อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตีติ ‘‘อิติ ปายํ วิตโกฺก อกุสโล, อิติปิ สาวโชฺช, อิติปิ ทุกฺขวิปาโก, โส จ โข อตฺตพฺยาพาธาย สํวตฺตตี’’ติอาทินา นเยน โยนิโส กามวิตเกฺก อาทีนวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ อารมฺมเณ อุปฺปนฺนํ ชาตมภินิพฺพตฺตํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสติ, จิตฺตํ อาโรเปตฺวา น วาเสติ, อพฺภนฺตเร วา น วาเสตีติปิ อโตฺถฯ

    26.Paṭisaṅkhāyoniso uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetīti ‘‘iti pāyaṃ vitakko akusalo, itipi sāvajjo, itipi dukkhavipāko, so ca kho attabyābādhāya saṃvattatī’’tiādinā nayena yoniso kāmavitakke ādīnavaṃ paccavekkhitvā tasmiṃ tasmiṃ ārammaṇe uppannaṃ jātamabhinibbattaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāseti, cittaṃ āropetvā na vāseti, abbhantare vā na vāsetītipi attho.

    อนธิวาเสโนฺต กิํ กโรตีติ? ปชหติ ฉเฑฺฑติฯ

    Anadhivāsento kiṃ karotīti? Pajahati chaḍḍeti.

    กิํ กจวรํ วิย ปิฎเกนาติ? น หิ, อปิจ โข นํ วิโนเทติ ตุทติ วิชฺฌติ นีหรติฯ

    Kiṃ kacavaraṃ viya piṭakenāti? Na hi, apica kho naṃ vinodeti tudati vijjhati nīharati.

    กิํ พลิพทฺทํ วิย ปโตเทนาติ? น หิ, อถ โข นํ พฺยนฺตีกโรติ วิคตนฺตํ กโรติฯ ยถาสฺส อโนฺตปิ นาวสิสฺสติ อนฺตมโส ภงฺคมตฺตมฺปิ, ตถา นํ กโรติฯ

    Kiṃ balibaddaṃ viya patodenāti? Na hi, atha kho naṃ byantīkaroti vigatantaṃ karoti. Yathāssa antopi nāvasissati antamaso bhaṅgamattampi, tathā naṃ karoti.

    กถํ ปน นํ ตถา กโรตีติ? อนภาวํ คเมตีติ อนุ อนุ อภาวํ คเมติ, วิกฺขมฺภนปฺปหาเนน ยถา สุวิกฺขมฺภิโต โหติ, ตถา กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย พฺยาปาทวิหิํสาวิตเกฺกสุ

    Kathaṃ pana naṃ tathā karotīti? Anabhāvaṃ gametīti anu anu abhāvaṃ gameti, vikkhambhanappahānena yathā suvikkhambhito hoti, tathā karotīti vuttaṃ hoti. Esa nayo byāpādavihiṃsāvitakkesu.

    เอตฺถ จ กามวิตโกฺกติ ‘‘โย กามปฎิสํยุโตฺต ตโกฺก วิตโกฺก มิจฺฉาสงฺกโปฺป’’ติ วิภเงฺค (วิภ. ๙๑๐) วุโตฺตฯ เอส นโย อิตเรสุฯ อุปฺปนฺนุปฺปเนฺนติ อุปฺปเนฺน อุปฺปเนฺน, อุปฺปนฺนมเตฺตเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ สกิํ วา อุปฺปเนฺน วิโนเทตฺวา ทุติยวาเร อชฺฌุเปกฺขิตา น โหติ, สตกฺขตฺตุมฺปิ อุปฺปเนฺน อุปฺปเนฺน วิโนเทติเยวฯ ปาปเก อกุสเลติ ลามกเฎฺฐน ปาปเก, อโกสลฺลตาย อกุสเลฯ ธเมฺมติ เตเยว กามวิตกฺกาทโย สเพฺพปิ วา นว มหาวิตเกฺกฯ ตตฺถ ตโย วุตฺตา เอวฯ อวเสสา ‘‘ญาติวิตโกฺก ชนปทวิตโกฺก อมรวิตโกฺก ปรานุทฺทยตาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก ลาภสกฺการสิโลกปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อนวญฺญตฺติปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก’’ติ (มหานิ. ๒๐๗) อิเม ฉฯ

    Ettha ca kāmavitakkoti ‘‘yo kāmapaṭisaṃyutto takko vitakko micchāsaṅkappo’’ti vibhaṅge (vibha. 910) vutto. Esa nayo itaresu. Uppannuppanneti uppanne uppanne, uppannamatteyevāti vuttaṃ hoti. Sakiṃ vā uppanne vinodetvā dutiyavāre ajjhupekkhitā na hoti, satakkhattumpi uppanne uppanne vinodetiyeva. Pāpake akusaleti lāmakaṭṭhena pāpake, akosallatāya akusale. Dhammeti teyeva kāmavitakkādayo sabbepi vā nava mahāvitakke. Tattha tayo vuttā eva. Avasesā ‘‘ñātivitakko janapadavitakko amaravitakko parānuddayatāpaṭisaṃyutto vitakko lābhasakkārasilokapaṭisaṃyutto vitakko anavaññattipaṭisaṃyutto vitakko’’ti (mahāni. 207) ime cha.

    ยญฺหิสฺสาติ เอเตสุ วิตเกฺกสุ ยํกิญฺจิ อสฺส, เสสํ วุตฺตนยเมวฯ กามวิตโกฺก ปเนตฺถ กามาสโว เอวฯ ตพฺพิเสโส ภวาสโวฯ ตํสมฺปยุโตฺต ทิฎฺฐาสโวฯ สพฺพวิตเกฺกสุ อวิชฺชาสโวติ เอวํ อาสวุปฺปตฺติปิ เวทิตพฺพาฯ

    Yañhissāti etesu vitakkesu yaṃkiñci assa, sesaṃ vuttanayameva. Kāmavitakko panettha kāmāsavo eva. Tabbiseso bhavāsavo. Taṃsampayutto diṭṭhāsavo. Sabbavitakkesu avijjāsavoti evaṃ āsavuppattipi veditabbā.

    อิเม วุจฺจนฺติ…เป.… วิโนทนา ปหาตพฺพาติ อิเม กามวิตกฺกาทิวเสน วุตฺตปฺปการา อาสวา อิมินา ตสฺมิํ ตสฺมิํ วิตเกฺก อาทีนวปจฺจเวกฺขณสหิเตน วีริยสํวรสงฺขาเตน วิโนทเนน ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Ime vuccanti…pe… vinodanā pahātabbāti ime kāmavitakkādivasena vuttappakārā āsavā iminā tasmiṃ tasmiṃ vitakke ādīnavapaccavekkhaṇasahitena vīriyasaṃvarasaṅkhātena vinodanena pahātabbāti vuccantīti veditabbā.

    วิโนทนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinodanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ภาวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Bhāvanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๗. ปฎิสงฺขา โยนิโส สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตีติ อภาวนาย อาทีนวํ, ภาวนาย จ อานิสํสํ อุปาเยน ปเถน ปจฺจเวกฺขิตฺวา สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ, เอส นโย สพฺพตฺถฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ อิเม อุปริมคฺคตฺตยสมยสมฺภูตา โลกุตฺตรโพชฺฌงฺคา เอว อธิเปฺปตา, ตถาปิ อาทิกมฺมิกานํ โพชฺฌเงฺคสุ อสโมฺมหตฺถํ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเกน เนสํ นเยน อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามิฯ อิธ ปน โลกิยนยํ ปหาย โลกุตฺตรนโย เอว คเหตโพฺพฯ ตตฺถ สติสโมฺพชฺฌงฺคนฺติอาทินา นเยน วุตฺตานํ สตฺตนฺนํ อาทิปทานํเยว ตาว –

    27.Paṭisaṅkhā yoniso satisambojjhaṅgaṃ bhāvetīti abhāvanāya ādīnavaṃ, bhāvanāya ca ānisaṃsaṃ upāyena pathena paccavekkhitvā satisambojjhaṅgaṃ bhāveti, esa nayo sabbattha. Ettha ca kiñcāpi ime uparimaggattayasamayasambhūtā lokuttarabojjhaṅgā eva adhippetā, tathāpi ādikammikānaṃ bojjhaṅgesu asammohatthaṃ lokiyalokuttaramissakena nesaṃ nayena atthavaṇṇanaṃ karissāmi. Idha pana lokiyanayaṃ pahāya lokuttaranayo eva gahetabbo. Tattha satisambojjhaṅgantiādinā nayena vuttānaṃ sattannaṃ ādipadānaṃyeva tāva –

    อตฺถโต ลกฺขณาทีหิ, กมโต จ วินิจฺฉโย;

    Atthato lakkhaṇādīhi, kamato ca vinicchayo;

    อนูนาธิกโต เจว, วิญฺญาตโพฺพ วิภาวินาฯ

    Anūnādhikato ceva, viññātabbo vibhāvinā.

    ตตฺถ สติสโมฺพชฺฌเงฺค ตาว สรณเฎฺฐน สติฯ สา ปเนสา อุปฎฺฐานลกฺขณา, อปิลาปนลกฺขณา วาฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ ‘‘ยถา, มหาราช, รโญฺญ ภณฺฑาคาริโก รโญฺญ สาปเตยฺยํ อปิลาเปติ, เอตฺตกํ, มหาราช, หิรญฺญํ, เอตฺตกํ สุวณฺณํ, เอตฺตกํ สาปเตยฺยนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช , สติ อุปฺปชฺชมานา กุสลากุสลสาวชฺชานวชฺชหีนปณีตกณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อปิลาเปติฯ อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๓) วิตฺถาโรฯ อปิลาปนรสาฯ กิจฺจวเสเนว หิสฺส เอตํ ลกฺขณํ เถเรน วุตฺตํฯ อสโมฺมสรสา วาฯ โคจราภิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ สติ เอว สโมฺพชฺฌโงฺค สติสโมฺพชฺฌโงฺคฯ ตตฺถ โพธิยา โพธิสฺส วา อโงฺคติ โพชฺฌโงฺคฯ

    Tattha satisambojjhaṅge tāva saraṇaṭṭhena sati. Sā panesā upaṭṭhānalakkhaṇā, apilāpanalakkhaṇā vā. Vuttampi hetaṃ ‘‘yathā, mahārāja, rañño bhaṇḍāgāriko rañño sāpateyyaṃ apilāpeti, ettakaṃ, mahārāja, hiraññaṃ, ettakaṃ suvaṇṇaṃ, ettakaṃ sāpateyyanti, evameva kho, mahārāja , sati uppajjamānā kusalākusalasāvajjānavajjahīnapaṇītakaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme apilāpeti. Ime cattāro satipaṭṭhānā’’ti (mi. pa. 2.1.13) vitthāro. Apilāpanarasā. Kiccavaseneva hissa etaṃ lakkhaṇaṃ therena vuttaṃ. Asammosarasā vā. Gocarābhimukhabhāvapaccupaṭṭhānā. Sati eva sambojjhaṅgo satisambojjhaṅgo. Tattha bodhiyā bodhissa vā aṅgoti bojjhaṅgo.

    กิํ วุตฺตํ โหติ? ยา หิ อยํ ธมฺมสามคฺคี, ยาย โลกิยโลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ อุปฺปชฺชมานาย ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหน-กามสุขตฺตกิลมถานุโยค-อุเจฺฉทสสฺสตาภินิเวสาทีนํ อเนเกสํ อุปทฺทวานํ ปฎิปกฺขภูตาย สติธมฺมวิจยวีริยปีติปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสงฺขาตาย ธมฺมสามคฺคิยา อริยสาวโก พุชฺฌตีติ กตฺวา ‘‘โพธี’’ติ วุจฺจติฯ พุชฺฌตีติ กิเลสสนฺตานนิทฺทาย อุฎฺฐหติ, จตฺตาริ วา อริยสจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติ, นิพฺพานเมว วา สจฺฉิกโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘สตฺต โพชฺฌเงฺค ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ตสฺสา ธมฺมสามคฺคิสงฺขาตาย โพธิยา อโงฺคติปิ โพชฺฌโงฺค, ฌานงฺคมคฺคงฺคาทโย วิยฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti? Yā hi ayaṃ dhammasāmaggī, yāya lokiyalokuttaramaggakkhaṇe uppajjamānāya līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhana-kāmasukhattakilamathānuyoga-ucchedasassatābhinivesādīnaṃ anekesaṃ upaddavānaṃ paṭipakkhabhūtāya satidhammavicayavīriyapītipassaddhisamādhiupekkhāsaṅkhātāya dhammasāmaggiyā ariyasāvako bujjhatīti katvā ‘‘bodhī’’ti vuccati. Bujjhatīti kilesasantānaniddāya uṭṭhahati, cattāri vā ariyasaccāni paṭivijjhati, nibbānameva vā sacchikarotīti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘satta bojjhaṅge bhāvetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho’’ti. Tassā dhammasāmaggisaṅkhātāya bodhiyā aṅgotipi bojjhaṅgo, jhānaṅgamaggaṅgādayo viya.

    โยเปส ยถาวุตฺตปฺปการาย เอตาย ธมฺมสามคฺคิยา พุชฺฌตีติ กตฺวา อริยสาวโก ‘‘โพธี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺส โพธิสฺส อโงฺคติปิ โพชฺฌโงฺค, เสนงฺครถงฺคาทโย วิยฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา ‘‘พุชฺฌนกสฺส ปุคฺคลสฺส องฺคาติ วา โพชฺฌงฺคา’’ติฯ อปิจ ‘‘โพชฺฌงฺคาติ เกนเฎฺฐน โพชฺฌงฺคา? โพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, พุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, อนุพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, ปฎิพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, สมฺพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๓.๑๗) ปฎิสมฺภิทานเยนาปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปสโตฺถ สุนฺทโร วา โพชฺฌโงฺคติ สโมฺพชฺฌโงฺคฯ เอวํ สติ เอว สโมฺพชฺฌโงฺค สติสโมฺพชฺฌโงฺคฯ ตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํฯ เอวํ ตาว เอกสฺส อาทิปทสฺส อตฺถโต ลกฺขณาทีหิ จ วินิจฺฉโย วิญฺญาตโพฺพฯ

    Yopesa yathāvuttappakārāya etāya dhammasāmaggiyā bujjhatīti katvā ariyasāvako ‘‘bodhī’’ti vuccati, tassa bodhissa aṅgotipi bojjhaṅgo, senaṅgarathaṅgādayo viya. Tenāhu aṭṭhakathācariyā ‘‘bujjhanakassa puggalassa aṅgāti vā bojjhaṅgā’’ti. Apica ‘‘bojjhaṅgāti kenaṭṭhena bojjhaṅgā? Bodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgā, bujjhantīti bojjhaṅgā, anubujjhantīti bojjhaṅgā, paṭibujjhantīti bojjhaṅgā, sambujjhantīti bojjhaṅgā’’tiādinā (paṭi. ma. 3.17) paṭisambhidānayenāpi attho veditabbo. Pasattho sundaro vā bojjhaṅgoti sambojjhaṅgo. Evaṃ sati eva sambojjhaṅgo satisambojjhaṅgo. Taṃ satisambojjhaṅgaṃ. Evaṃ tāva ekassa ādipadassa atthato lakkhaṇādīhi ca vinicchayo viññātabbo.

    ทุติยาทีสุ ปน จตุสจฺจธเมฺม วิจินาตีติ ธมฺมวิจโยฯ โส ปน วิจยลกฺขโณ, โอภาสนรโส, อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐาโนฯ วีรภาวโต วิธินา อีรยิตพฺพโต จ วีริยํฯ ตํ ปคฺคหลกฺขณํ , อุปตฺถมฺภนรสํ, อโนสีทนปจฺจุปฎฺฐานํ ฯ ปีณยตีติ ปีติฯ สา ผรณลกฺขณา, ตุฎฺฐิลกฺขณา วา, กายจิตฺตานํ ปีณนรสา, เตสํเยว โอทคฺยปจฺจุปฎฺฐานาฯ กายจิตฺตทรถปสฺสมฺภนโต ปสฺสทฺธิฯ สา อุปสมลกฺขณา, กายจิตฺตทรถนิมฺมทฺทนรสา, อายจิตฺตานํ อปริปฺผนฺทนภูตสีติภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ สมาธานโต สมาธิฯ โส อวิเกฺขปลกฺขโณ, อวิสารลกฺขโณ วา, จิตฺตเจตสิกานํ สมฺปิณฺฑนรโส, จิตฺตฎฺฐิติปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อชฺฌุเปกฺขนโต อุเปกฺขาฯ สา ปฎิสงฺขานลกฺขณา, สมวาหิตลกฺขณา วา, อูนาธิกตานิวารณรสา, ปกฺขปาตุปเจฺฉทรสา วา, มชฺฌตฺตภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ เอวํ เสสปทานมฺปิ อตฺถโต ลกฺขณาทีหิ จ วินิจฺฉโย วิญฺญาตโพฺพฯ

    Dutiyādīsu pana catusaccadhamme vicinātīti dhammavicayo. So pana vicayalakkhaṇo, obhāsanaraso, asammohapaccupaṭṭhāno. Vīrabhāvato vidhinā īrayitabbato ca vīriyaṃ. Taṃ paggahalakkhaṇaṃ , upatthambhanarasaṃ, anosīdanapaccupaṭṭhānaṃ . Pīṇayatīti pīti. Sā pharaṇalakkhaṇā, tuṭṭhilakkhaṇā vā, kāyacittānaṃ pīṇanarasā, tesaṃyeva odagyapaccupaṭṭhānā. Kāyacittadarathapassambhanato passaddhi. Sā upasamalakkhaṇā, kāyacittadarathanimmaddanarasā, āyacittānaṃ aparipphandanabhūtasītibhāvapaccupaṭṭhānā. Samādhānato samādhi. So avikkhepalakkhaṇo, avisāralakkhaṇo vā, cittacetasikānaṃ sampiṇḍanaraso, cittaṭṭhitipaccupaṭṭhāno. Ajjhupekkhanato upekkhā. Sā paṭisaṅkhānalakkhaṇā, samavāhitalakkhaṇā vā, ūnādhikatānivāraṇarasā, pakkhapātupacchedarasā vā, majjhattabhāvapaccupaṭṭhānā. Sesaṃ vuttanayameva. Evaṃ sesapadānampi atthato lakkhaṇādīhi ca vinicchayo viññātabbo.

    กมโตติ เอตฺถ จ ‘‘สติญฺจ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, สพฺพตฺถิกํ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔) วจนโต สเพฺพสํ เสสโพชฺฌงฺคานํ อุปการกตฺตา สติสโมฺพชฺฌโงฺคว ปฐมํ วุโตฺตฯ ตโต ปรํ ‘‘โส ตถา สโต วิหรโนฺต ตํ ธมฺมํ ปญฺญาย ปวิจินตี’’ติอาทินา (วิภ. ๔๖๙) นเยน เสสโพชฺฌงฺคานํ ปุพฺพาปริยวจเน ปโยชนํ สุเตฺตเยว วุตฺตํฯ เอวเมตฺถ กมโตปิ วินิจฺฉโย วิญฺญาตโพฺพฯ

    Kamatoti ettha ca ‘‘satiñca khvāhaṃ, bhikkhave, sabbatthikaṃ vadāmī’’ti (saṃ. ni. 5.234) vacanato sabbesaṃ sesabojjhaṅgānaṃ upakārakattā satisambojjhaṅgova paṭhamaṃ vutto. Tato paraṃ ‘‘so tathā sato viharanto taṃ dhammaṃ paññāya pavicinatī’’tiādinā (vibha. 469) nayena sesabojjhaṅgānaṃ pubbāpariyavacane payojanaṃ sutteyeva vuttaṃ. Evamettha kamatopi vinicchayo viññātabbo.

    อนูนาธิกโตติ กสฺมา ปน ภควตา สเตฺตว โพชฺฌงฺคา วุตฺตา อนูนา อนธิกาติฯ ลีนุทฺธจฺจปฎิปกฺขโต สพฺพตฺถิกโต จฯ เอตฺถ หิ ตโย โพชฺฌงฺคา ลีนสฺส ปฎิปกฺขาฯ ยถาห – ‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย ลีนํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ ตโย อุทฺธจฺจสฺส ปฎิปกฺขาฯ ยถาห – ‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ เอโก ปเนตฺถ สพฺพตฺถิโกฯ ยถาห – ‘‘สติญฺจ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, สพฺพตฺถิกํ วทามี’’ติฯ ‘‘สพฺพตฺถก’’นฺติปิ ปาโฐ, ทฺวินฺนมฺปิ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ เอวํ ลีนุทฺธจฺจปฎิปกฺขโต สพฺพตฺถิกโต จ สเตฺตว โพชฺฌงฺคา วุตฺตา อนูนา อนธิกาติ, เอวเมตฺถ อนูนาธิกโตปิ วินิจฺฉโย วิญฺญาตโพฺพฯ

    Anūnādhikatoti kasmā pana bhagavatā satteva bojjhaṅgā vuttā anūnā anadhikāti. Līnuddhaccapaṭipakkhato sabbatthikato ca. Ettha hi tayo bojjhaṅgā līnassa paṭipakkhā. Yathāha – ‘‘yasmiñca kho, bhikkhave, samaye līnaṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye dhammavicayasambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo vīriyasambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo pītisambojjhaṅgassa bhāvanāyā’’ti (saṃ. ni. 5.234). Tayo uddhaccassa paṭipakkhā. Yathāha – ‘‘yasmiñca kho, bhikkhave, samaye uddhataṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye passaddhisambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo samādhisambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo upekkhāsambojjhaṅgassa bhāvanāyā’’ti (saṃ. ni. 5.234). Eko panettha sabbatthiko. Yathāha – ‘‘satiñca khvāhaṃ, bhikkhave, sabbatthikaṃ vadāmī’’ti. ‘‘Sabbatthaka’’ntipi pāṭho, dvinnampi sabbattha icchitabbanti attho. Evaṃ līnuddhaccapaṭipakkhato sabbatthikato ca satteva bojjhaṅgā vuttā anūnā anadhikāti, evamettha anūnādhikatopi vinicchayo viññātabbo.

    เอวํ ตาว ‘‘สติสโมฺพชฺฌงฺค’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตานํ สตฺตนฺนํ อาทิปทานํเยว อตฺถวณฺณนํ ญตฺวา อิทานิ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตนฺติอาทีสุ เอวํ ญาตพฺพาฯ ภาเวตีติ วเฑฺฒติ, อตฺตโน จิตฺตสนฺตาเน ปุนปฺปุนํ ชเนติ อภินิพฺพเตฺตตีติ อโตฺถฯ วิเวกนิสฺสิตนฺติ วิเวเก นิสฺสิตํฯ วิเวโกติ วิวิตฺตตาฯ สฺวายํ ตทงฺควิเวโก วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธิ นิสฺสรณวิเวโกติ ปญฺจวิโธฯ ตสฺส นานตฺตํ ‘‘อริยธเมฺม อวินีโต’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อยเมว หิ ตตฺถ วินโยติ วุโตฺตฯ เอวํ เอตสฺมิํ ปญฺจวิเธ วิเวเกฯ

    Evaṃ tāva ‘‘satisambojjhaṅga’’ntiādinā nayena vuttānaṃ sattannaṃ ādipadānaṃyeva atthavaṇṇanaṃ ñatvā idāni bhāveti vivekanissitantiādīsu evaṃ ñātabbā. Bhāvetīti vaḍḍheti, attano cittasantāne punappunaṃ janeti abhinibbattetīti attho. Vivekanissitanti viveke nissitaṃ. Vivekoti vivittatā. Svāyaṃ tadaṅgaviveko vikkhambhanasamucchedapaṭippassaddhi nissaraṇavivekoti pañcavidho. Tassa nānattaṃ ‘‘ariyadhamme avinīto’’ti ettha vuttanayeneva veditabbaṃ. Ayameva hi tattha vinayoti vutto. Evaṃ etasmiṃ pañcavidhe viveke.

    วิเวกนิสฺสิตนฺติ ตทงฺควิเวกนิสฺสิตํ สมุเจฺฉทวิเวกนิสฺสิตํ นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตญฺจ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตถา หิ อยํ โพชฺฌงฺคภาวนานุยุโตฺต โยคี วิปสฺสนากฺขเณ กิจฺจโต ตทงฺควิเวกนิสฺสิตํ, อชฺฌาสยโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตํ, มคฺคกาเล ปน กิจฺจโต สมุเจฺฉทวิเวกนิสฺสิตํ, อารมฺมณโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติฯ ปญฺจวิธวิเวกนิสฺสิตนฺติปิ เอเก, เต หิ น เกวลํ พลววิปสฺสนามคฺคผลกฺขเณสุ เอว โพชฺฌเงฺค อุทฺธรนฺติ, วิปสฺสนาปาทกกสิณชฺฌานอานาปานาสุภพฺรหฺมวิหารชฺฌาเนสุปิ อุทฺธรนฺติฯ น จ ปฎิสิทฺธา อฎฺฐกถาจริเยหิฯ ตสฺมา เตสํ มเตน เอเตสํ ฌานานํ ปวตฺติกฺขเณ กิจฺจโต เอว วิกฺขมฺภนวิเวกนิสฺสิตํฯ ยถา จ ‘‘วิปสฺสนากฺขเณ อชฺฌาสยโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิต’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิเวกนิสฺสิตมฺปิ ภาเวตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย วิราคนิสฺสิตาทีสุฯ วิเวกฎฺฐา เอว หิ วิราคาทโยฯ

    Vivekanissitanti tadaṅgavivekanissitaṃ samucchedavivekanissitaṃ nissaraṇavivekanissitañca satisambojjhaṅgaṃ bhāvetīti ayamattho veditabbo. Tathā hi ayaṃ bojjhaṅgabhāvanānuyutto yogī vipassanākkhaṇe kiccato tadaṅgavivekanissitaṃ, ajjhāsayato nissaraṇavivekanissitaṃ, maggakāle pana kiccato samucchedavivekanissitaṃ, ārammaṇato nissaraṇavivekanissitaṃ satisambojjhaṅgaṃ bhāveti. Pañcavidhavivekanissitantipi eke, te hi na kevalaṃ balavavipassanāmaggaphalakkhaṇesu eva bojjhaṅge uddharanti, vipassanāpādakakasiṇajjhānaānāpānāsubhabrahmavihārajjhānesupi uddharanti. Na ca paṭisiddhā aṭṭhakathācariyehi. Tasmā tesaṃ matena etesaṃ jhānānaṃ pavattikkhaṇe kiccato eva vikkhambhanavivekanissitaṃ. Yathā ca ‘‘vipassanākkhaṇe ajjhāsayato nissaraṇavivekanissita’’nti vuttaṃ, evaṃ paṭippassaddhivivekanissitampi bhāvetīti vattuṃ vaṭṭati. Esa nayo virāganissitādīsu. Vivekaṭṭhā eva hi virāgādayo.

    เกวลเญฺหตฺถ โวสฺสโคฺค ทุวิโธ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺค จ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺค จาติฯ ตตฺถ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺคติ วิปสฺสนากฺขเณ จ ตทงฺควเสน, มคฺคกฺขเณ จ สมุเจฺฉทวเสน กิเลสปฺปหานํฯ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺคติ วิปสฺสนากฺขเณ ตนฺนินฺนภาเวน, มคฺคกฺขเณ ปน อารมฺมณกรเณน นิพฺพานปกฺขนฺทนํฯ ตทุภยมฺปิ อิมสฺมิํ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเก อตฺถวณฺณนานเย วฎฺฎติฯ ตถา หิ อยํ สติสโมฺพชฺฌโงฺค ยถาวุเตฺตน ปกาเรน กิเลเส ปริจฺจชติ, นิพฺพานญฺจ ปกฺขนฺทติฯ โวสฺสคฺคปริณามินฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน โวสฺสคฺคตฺตํ ปริณมนฺตํ ปริณตญฺจ ปริปจฺจนฺตํ ปริปกฺกญฺจาติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘อยญฺหิ โพชฺฌงฺคภาวนานุยุโตฺต ภิกฺขุ ยถา สติสโมฺพชฺฌโงฺค กิเลสปริจฺจาคโวสฺสคฺคตฺตํ นิพฺพานปกฺขนฺทนโวสฺสคฺคตฺตญฺจ ปริปจฺจติ, ยถา จ ปริปโกฺก โหติ, ตถา นํ ภาเวตี’’ติฯ เอส นโย เสสโพชฺฌเงฺคสุฯ

    Kevalañhettha vossaggo duvidho pariccāgavossaggo ca pakkhandanavossaggo cāti. Tattha pariccāgavossaggoti vipassanākkhaṇe ca tadaṅgavasena, maggakkhaṇe ca samucchedavasena kilesappahānaṃ. Pakkhandanavossaggoti vipassanākkhaṇe tanninnabhāvena, maggakkhaṇe pana ārammaṇakaraṇena nibbānapakkhandanaṃ. Tadubhayampi imasmiṃ lokiyalokuttaramissake atthavaṇṇanānaye vaṭṭati. Tathā hi ayaṃ satisambojjhaṅgo yathāvuttena pakārena kilese pariccajati, nibbānañca pakkhandati. Vossaggapariṇāminti iminā pana sakalena vacanena vossaggattaṃ pariṇamantaṃ pariṇatañca paripaccantaṃ paripakkañcāti. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘ayañhi bojjhaṅgabhāvanānuyutto bhikkhu yathā satisambojjhaṅgo kilesapariccāgavossaggattaṃ nibbānapakkhandanavossaggattañca paripaccati, yathā ca paripakko hoti, tathā naṃ bhāvetī’’ti. Esa nayo sesabojjhaṅgesu.

    อิธ ปน นิพฺพานํเยว สพฺพสงฺขเตหิ วิวิตฺตตฺตา วิเวโก, สเพฺพสํ วิราคภาวโต วิราโค, นิโรธภาวโต นิโรโธติ วุตฺตํฯ มโคฺค เอว จ โวสฺสคฺคปริณามี, ตสฺมา สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺติยา วิเวกนิสฺสิตํฯ ตถา วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํฯ ตญฺจ โข อริยมคฺคกฺขณุปฺปตฺติยา กิเลสานํ สมุเจฺฉทโต ปริจฺจาคภาเวน จ นิพฺพานปกฺขนฺทนภาเวน จ ปริณตํ ปริปกฺกนฺติ อยเมว อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอส นโย เสสโพชฺฌเงฺคสุฯ

    Idha pana nibbānaṃyeva sabbasaṅkhatehi vivittattā viveko, sabbesaṃ virāgabhāvato virāgo, nirodhabhāvato nirodhoti vuttaṃ. Maggo eva ca vossaggapariṇāmī, tasmā satisambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattiyā vivekanissitaṃ. Tathā virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ. Tañca kho ariyamaggakkhaṇuppattiyā kilesānaṃ samucchedato pariccāgabhāvena ca nibbānapakkhandanabhāvena ca pariṇataṃ paripakkanti ayameva attho daṭṭhabbo. Esa nayo sesabojjhaṅgesu.

    ยญฺหิสฺสาติ เอเตสุ โพชฺฌเงฺคสุ ยํกิญฺจิ อสฺสฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อาสวุปฺปตฺติยํ ปเนตฺถ อิเมสํ อุปริมคฺคตฺตยสมฺปยุตฺตานํ โพชฺฌงฺคานํ อภาวิตตฺตา เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ กามาสโว ภวาสโว อวิชฺชาสโวติ ตโย อาสวา, ภาวยโต เอวํส เต อาสวา น โหนฺตีติ อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ

    Yañhissāti etesu bojjhaṅgesu yaṃkiñci assa. Sesaṃ vuttanayameva. Āsavuppattiyaṃ panettha imesaṃ uparimaggattayasampayuttānaṃ bojjhaṅgānaṃ abhāvitattā ye uppajjeyyuṃ kāmāsavo bhavāsavo avijjāsavoti tayo āsavā, bhāvayato evaṃsa te āsavā na hontīti ayaṃ nayo veditabbo.

    อิเม วุจฺจนฺติ…เป.… ภาวนา ปหาตพฺพาติ อิเม ตโย อาสวา อิมาย มคฺคตฺตยสมฺปยุตฺตาย โพชฺฌงฺคภาวนาย ปหาตพฺพาติ วุจฺจนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Ime vuccanti…pe… bhāvanā pahātabbāti ime tayo āsavā imāya maggattayasampayuttāya bojjhaṅgabhāvanāya pahātabbāti vuccantīti veditabbā.

    ๒๘. อิทานิ อิเมหิ สตฺตหากาเรหิ ปหีนาสวํ ภิกฺขุํ โถเมโนฺต อาสวปฺปหาเน จสฺส อานิสํสํ ทเสฺสโนฺต เอเตเหว จ การเณหิ อาสวปฺปหาเน สตฺตานํ อุสฺสุกฺกํ ชเนโนฺต ยโต โข, ภิกฺขเว…เป.… อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสาติ อาหฯ ตตฺถ ยโต โขติ สามิวจเน โตกาโร, ยสฺส โขติ วุตฺตํ โหติฯ โปราณา ปน ยสฺมิํ กาเลติ วณฺณยนฺติฯ เย อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพาติ เย อาสวา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา, เต ทสฺสเนเนว ปหีนา โหนฺติ, น อปฺปหีเนสุเยว ปหีนสญฺญี โหติฯ เอวํ สพฺพตฺถ วิตฺถาโรฯ

    28. Idāni imehi sattahākārehi pahīnāsavaṃ bhikkhuṃ thomento āsavappahāne cassa ānisaṃsaṃ dassento eteheva ca kāraṇehi āsavappahāne sattānaṃ ussukkaṃ janento yato kho, bhikkhave…pe… antamakāsi dukkhassāti āha. Tattha yato khoti sāmivacane tokāro, yassa khoti vuttaṃ hoti. Porāṇā pana yasmiṃ kāleti vaṇṇayanti. Ye āsavā dassanā pahātabbāti ye āsavā dassanena pahātabbā, te dassaneneva pahīnā honti, na appahīnesuyeva pahīnasaññī hoti. Evaṃ sabbattha vitthāro.

    สพฺพาสวสํวรสํวุโตติ สเพฺพหิ อาสวปิธาเนหิ ปิหิโต, สเพฺพสํ วา อาสวานํ ปิธาเนหิ ปิหิโตฯ อเจฺฉจฺฉิ ตณฺหนฺติ สพฺพมฺปิ ตณฺหํ ฉินฺทิ, สํฉินฺทิ สมุจฺฉินฺทิฯ วิวตฺตยิ สํโยชนนฺติ ทสวิธมฺปิ สํโยชนํ ปริวตฺตยิ นิมฺมลมกาสิฯ สมฺมาติ เหตุนา การเณนฯ มานาภิสมยาติ มานสฺส ทสฺสนาภิสมยา ปหานาภิสมยา จฯ อรหตฺตมโคฺค หิ กิจฺจวเสน มานํ ปสฺสติ, อยมสฺส ทสฺสนาภิสมโยฯ เตน ทิโฎฺฐ ปน โส ตาวเทว ปหียติ ทิฎฺฐวิเสน ทิฎฺฐสตฺตานํ ชีวิตํ วิยฯ อยมสฺส ปหานาภิสมโยฯ

    Sabbāsavasaṃvarasaṃvutoti sabbehi āsavapidhānehi pihito, sabbesaṃ vā āsavānaṃ pidhānehi pihito. Acchecchitaṇhanti sabbampi taṇhaṃ chindi, saṃchindi samucchindi. Vivattayi saṃyojananti dasavidhampi saṃyojanaṃ parivattayi nimmalamakāsi. Sammāti hetunā kāraṇena. Mānābhisamayāti mānassa dassanābhisamayā pahānābhisamayā ca. Arahattamaggo hi kiccavasena mānaṃ passati, ayamassa dassanābhisamayo. Tena diṭṭho pana so tāvadeva pahīyati diṭṭhavisena diṭṭhasattānaṃ jīvitaṃ viya. Ayamassa pahānābhisamayo.

    อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสาติ เอวํ อรหตฺตมเคฺคน สมฺมา มานสฺส ทิฎฺฐตฺตา ปหีนตฺตา จ เย อิเม ‘‘กายพนฺธนสฺส อโนฺต ชีรติ (จูฬว. ๒๗๘)ฯ หริตนฺตํ วา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๔) เอวํ วุตฺตอนฺติมมริยาทโนฺต จ, ‘‘อนฺตมิทํ, ภิกฺขเว, ชีวิกาน’’นฺติ (อิติวุ. ๙๑; สํ. นิ. ๓.๘๐) เอวํ วุตฺตลามกโนฺต จ, ‘‘สกฺกาโย เอโก อโนฺต’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๑) เอวํ วุตฺตโกฎฺฐาสโนฺต จ, ‘‘เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺส สพฺพปจฺจยสงฺขยา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๑) เอวํ วุตฺตโกฎโนฺต จาติ เอวํ จตฺตาโร อนฺตา, เตสุ สพฺพเสฺสว วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตํ จตุตฺถโกฎิสงฺขาตํ อนฺติมโกฎิสงฺขาตํ อนฺตมกาสิ ปริเจฺฉทํ ปริวฎุมํ อกาสิฯ อนฺติมสมุสฺสยมตฺตาวเสสํ ทุกฺขํ อกาสีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Antamakāsi dukkhassāti evaṃ arahattamaggena sammā mānassa diṭṭhattā pahīnattā ca ye ime ‘‘kāyabandhanassa anto jīrati (cūḷava. 278). Haritantaṃ vā’’ti (ma. ni. 1.304) evaṃ vuttaantimamariyādanto ca, ‘‘antamidaṃ, bhikkhave, jīvikāna’’nti (itivu. 91; saṃ. ni. 3.80) evaṃ vuttalāmakanto ca, ‘‘sakkāyo eko anto’’ti (a. ni. 6.61) evaṃ vuttakoṭṭhāsanto ca, ‘‘esevanto dukkhassa sabbapaccayasaṅkhayā’’ti (saṃ. ni. 2.51) evaṃ vuttakoṭanto cāti evaṃ cattāro antā, tesu sabbasseva vaṭṭadukkhassa antaṃ catutthakoṭisaṅkhātaṃ antimakoṭisaṅkhātaṃ antamakāsi paricchedaṃ parivaṭumaṃ akāsi. Antimasamussayamattāvasesaṃ dukkhaṃ akāsīti vuttaṃ hoti.

    อตฺตมนา เต ภิกฺขูติ สกมนา ตุฎฺฐมนา, ปีติโสมนเสฺสหิ วา สมฺปยุตฺตมนา หุตฺวาฯ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติ อิทํ ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาปริโยสานํ ภควโต ภาสิตํ สุกถิตํ สุลปิตํ, เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคตาติ มตฺถเกน สมฺปฎิจฺฉนฺตา อพฺภนุโมทิํสูติฯ

    Attamanā te bhikkhūti sakamanā tuṭṭhamanā, pītisomanassehi vā sampayuttamanā hutvā. Bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti idaṃ dukkhassa antakiriyāpariyosānaṃ bhagavato bhāsitaṃ sukathitaṃ sulapitaṃ, evametaṃ bhagavā evametaṃ sugatāti matthakena sampaṭicchantā abbhanumodiṃsūti.

    เสสเมตฺถ ยํ น วุตฺตํ, ตํ ปุเพฺพ วุตฺตตฺตา จ สุวิเญฺญยฺยตฺตา จ น วุตฺตํฯ ตสฺมา สพฺพํ วุตฺตานุสาเรน อนุปทโส ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ

    Sesamettha yaṃ na vuttaṃ, taṃ pubbe vuttattā ca suviññeyyattā ca na vuttaṃ. Tasmā sabbaṃ vuttānusārena anupadaso paccavekkhitabbaṃ.

    ภาวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhāvanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sabbāsavasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. สพฺพาสวสุตฺตํ • 2. Sabbāsavasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนา • 2. Sabbāsavasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact