Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๒. สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนา

    2. Sabbāsavasuttavaṇṇanā

    ๑๔. อปุพฺพปทวณฺณนาติ อตฺถสํวณฺณนาวเสน เหฎฺฐา อคฺคหิตตาย อปุพฺพสฺส อภินวสฺส ปทสฺส วณฺณนา อตฺถวิภชนาฯ ‘‘หิตฺวา ปุนปฺปุนาคตมตฺถ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ นิวาสฎฺฐานภูตา ภูตปุพฺพนิวาสฎฺฐานภูตา, นิวาสฎฺฐาเน วา ภูตา นิพฺพตฺตา นิวาสฎฺฐานภูตา, ตตฺถ มาปิตาติ อโตฺถฯ ยถา กากนฺที มากนฺที โกสมฺพีติ ยถา กากนฺทสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา นครี กากนฺที, มากนฺทสฺส นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา มากนฺที, กุสมฺพสฺสนิวาสฎฺฐาเน มาปิตา โกสมฺพีติ วุจฺจติ, เอวํ สาวตฺถีติ ทเสฺสติฯ อุปเนตฺวา สมีเป กตฺวา ภุญฺชิตพฺพโต อุปโภโค, สวิญฺญาณกวตฺถุฯ ปริโต สพฺพทา ภุญฺชิตพฺพโต ปริโภโค, นิวาสนปารุปนาทิ อวิญฺญาณกวตฺถุฯ สพฺพเมตฺถ อตฺถีติ นิรุตฺตินเยน สาวตฺถี-สทฺทสิทฺธิมาหฯ สตฺถสมาโยเคติ สตฺถสฺส นคริยา สมาคเม, สเตฺถ ตํ นครํ อุปคเตติ อโตฺถฯ ปุจฺฉิเต สตฺถิกชเนหิฯ

    14.Apubbapadavaṇṇanāti atthasaṃvaṇṇanāvasena heṭṭhā aggahitatāya apubbassa abhinavassa padassa vaṇṇanā atthavibhajanā. ‘‘Hitvā punappunāgatamattha’’nti hi vuttaṃ. Nivāsaṭṭhānabhūtā bhūtapubbanivāsaṭṭhānabhūtā, nivāsaṭṭhāne vā bhūtā nibbattā nivāsaṭṭhānabhūtā, tattha māpitāti attho. Yathā kākandī mākandī kosambīti yathā kākandassa isino nivāsaṭṭhāne māpitā nagarī kākandī, mākandassa nivāsaṭṭhāne māpitā mākandī, kusambassanivāsaṭṭhāne māpitā kosambīti vuccati, evaṃ sāvatthīti dasseti. Upanetvā samīpe katvā bhuñjitabbato upabhogo, saviññāṇakavatthu. Parito sabbadā bhuñjitabbato paribhogo, nivāsanapārupanādi aviññāṇakavatthu. Sabbamettha atthīti niruttinayena sāvatthī-saddasiddhimāha. Satthasamāyogeti satthassa nagariyā samāgame, satthe taṃ nagaraṃ upagateti attho. Pucchite satthikajanehi.

    สโมหิตนฺติ สนฺนิจิตํฯ รมฺมนฺติ อโนฺต พหิ จ ภูมิภาคสมฺปตฺติยา เจว อารามุยฺยานสมฺปตฺติยา จ รมณียํฯ ทสฺสเนยฺยนฺติ วิสิขาสนฺนิเวสสมฺปตฺติยา เจว ปาสาทกูฎาคาราทิสมฺปตฺติยา จ ทสฺสนียํ ปสฺสิตพฺพยุตฺตํฯ อุปโภคปริโภควตฺถุสมฺปตฺติยา เจว นิวาสสุขตาย จ นิพทฺธวาสํ วสนฺตานํ อิตเรสญฺจ สตฺตานํ มนํ รเมตีติ มโนรมํทสหิ สเทฺทหีติ หตฺถิสโทฺท, อสฺส-รถ-เภริ-สงฺข-มุทิงฺค-วีณา-คีต สมฺมตาฬสโทฺท, อสฺนาถ-ปิวถ-ขาทถาติ-สโทฺทติ อิเมหิ ทสหิ สเทฺทหิฯ อวิวิตฺตนฺติ น วิวิตฺตํ, สพฺพกาลํ โฆสิตนฺติ อโตฺถฯ

    Samohitanti sannicitaṃ. Rammanti anto bahi ca bhūmibhāgasampattiyā ceva ārāmuyyānasampattiyā ca ramaṇīyaṃ. Dassaneyyanti visikhāsannivesasampattiyā ceva pāsādakūṭāgārādisampattiyā ca dassanīyaṃ passitabbayuttaṃ. Upabhogaparibhogavatthusampattiyā ceva nivāsasukhatāya ca nibaddhavāsaṃ vasantānaṃ itaresañca sattānaṃ manaṃ rametīti manoramaṃ. Dasahi saddehīti hatthisaddo, assa-ratha-bheri-saṅkha-mudiṅga-vīṇā-gīta sammatāḷasaddo, asnātha-pivatha-khādathāti-saddoti imehi dasahi saddehi. Avivittanti na vivittaṃ, sabbakālaṃ ghositanti attho.

    วุทฺธิํ เวปุลฺลตํ ปตฺตนฺติ ตนฺนิวาสี สตฺตวุทฺธิยา วุทฺธิํ, ตาย ปริวุทฺธิตาเยว วิปุลภาวํ ปตฺตํ, พหุชนํ อากิณฺณมนุสฺสนฺติ อโตฺถฯ วิตฺตูปกรณสมิทฺธิยา อิทฺธํฯ สพฺพกาลํ สุภิกฺขภาเวน ผีตํฯ อนฺตมโส วิฆาสาเท อุปาทาย สเพฺพสํ กปณทฺธิกวนิพฺพกยาจกานมฺปิ อิจฺฉิ ตตฺถนิปฺผตฺติยา มนุญฺญํ ชาตํ, ปเคว อิสฺสริเย ฐิตานนฺติ ทสฺสนตฺถํ ปุน ‘‘มโนรม’’นฺติ วุตฺตํฯ อฬกมนฺทาวาติ อาฎานาฎาทีสุ ทสสุ เวสฺสวณมหาราชสฺส นครีสุ อฬกมนฺทา นาม เอกา นครี, ยา โลเก อฬากา เอว วุจฺจติ ฯ สา ยถา ปุญฺญกมฺมีนํ อาวาสภูตา อารามรามเณยฺยกาทินา โสภคฺคปฺปตฺตา, เอวํ สาวตฺถีปีติ วุตฺตํ ‘‘อฬกมนฺทาวา’’ติฯ เทวานนฺติ เวสฺสวณปกฺขิยานํ จาตุมหาราชิกเทวานํฯ

    Vuddhiṃ vepullataṃ pattanti tannivāsī sattavuddhiyā vuddhiṃ, tāya parivuddhitāyeva vipulabhāvaṃ pattaṃ, bahujanaṃ ākiṇṇamanussanti attho. Vittūpakaraṇasamiddhiyā iddhaṃ. Sabbakālaṃ subhikkhabhāvena phītaṃ. Antamaso vighāsāde upādāya sabbesaṃ kapaṇaddhikavanibbakayācakānampi icchi tatthanipphattiyā manuññaṃ jātaṃ, pageva issariye ṭhitānanti dassanatthaṃ puna ‘‘manorama’’nti vuttaṃ. Aḷakamandāvāti āṭānāṭādīsu dasasu vessavaṇamahārājassa nagarīsu aḷakamandā nāma ekā nagarī, yā loke aḷākā eva vuccati . Sā yathā puññakammīnaṃ āvāsabhūtā ārāmarāmaṇeyyakādinā sobhaggappattā, evaṃ sāvatthīpīti vuttaṃ ‘‘aḷakamandāvā’’ti. Devānanti vessavaṇapakkhiyānaṃ cātumahārājikadevānaṃ.

    ชินาตีติ อิมินา โสต-สโทฺท วิย กตฺตุสาธโน เชต-สโทฺทติ ทเสฺสติฯ รญฺญาติ ปเสนทิโกสลราเชนฯ ราชคตํ ชยํ อาโรเปตฺวา กุมาโร ชิตวาติ เชโตติ วุโตฺตฯ มงฺคลกพฺยตายาติอาทินา ‘‘เชโยฺย’’ติ เอตสฺมิํ อเตฺถ ‘‘เชโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ สพฺพกามสมิทฺธิตายาติ สเพฺพหิ อุปโภคปริโภควตฺถูหิ ผีตภาเวน วิภวสมฺปนฺนตายาติ อโตฺถฯ สมิทฺธาปิ มจฺฉริโน กิญฺจิ น เทนฺตีติ อาห ‘‘วิคตมลมเจฺฉรตายา’’ติ, ราคโทสาทิมลานเญฺจว มจฺฉริยสฺส จ อภาเวนาติ อโตฺถฯ สมิทฺธา อมจฺฉริโนปิ จ กรุณาสทฺธาทิคุณวิรหิตา อตฺตโน สนฺตกํ ปเรสํ น ทเทยฺยุนฺติ อาห ‘‘กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จา’’ติฯ เตนาติ อนาถานํ ปิณฺฑทาเนนฯ สทฺทตฺถโต ปน ทาตพฺพภาเวน สพฺพกาลํ อุปฎฺฐปิโต อนาถานํ ปิโณฺฑ เอตสฺส อตฺถีติ อนาถปิณฺฑิโกปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยาติ ‘‘นาติทูรํ นจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺน’’นฺติ เอกํ องฺคํ, ‘‘ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆส’’นฺติ เอกํ, ‘‘อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺส’’นฺติ เอกํ, ‘‘ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส อปฺปกสิเรน อุปฺปชฺชนฺติ จีวร…เป.… ปริกฺขารา’’ติ เอกํ, ‘‘ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา ภิกฺขู วิหรนฺติ พหุสฺสุตา’’ติ เอกํ, เอวเมเตหิ ปญฺจวิธเสนาสนเงฺคหิ สมฺปนฺนตายฯ ยทิ เชตวนํ ตถํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโมติ อาห ‘‘โส หี’’ติอาทิฯ

    Jinātīti iminā sota-saddo viya kattusādhano jeta-saddoti dasseti. Raññāti pasenadikosalarājena. Rājagataṃ jayaṃ āropetvā kumāro jitavāti jetoti vutto. Maṅgalakabyatāyātiādinā ‘‘jeyyo’’ti etasmiṃ atthe ‘‘jeto’’ti vuttanti dasseti. Sabbakāmasamiddhitāyāti sabbehi upabhogaparibhogavatthūhi phītabhāvena vibhavasampannatāyāti attho. Samiddhāpi maccharino kiñci na dentīti āha ‘‘vigatamalamaccheratāyā’’ti, rāgadosādimalānañceva macchariyassa ca abhāvenāti attho. Samiddhā amaccharinopi ca karuṇāsaddhādiguṇavirahitā attano santakaṃ paresaṃ na dadeyyunti āha ‘‘karuṇādiguṇasamaṅgitāya cā’’ti. Tenāti anāthānaṃ piṇḍadānena. Saddatthato pana dātabbabhāvena sabbakālaṃ upaṭṭhapito anāthānaṃ piṇḍo etassa atthīti anāthapiṇḍiko. Pañcavidhasenāsanaṅgasampattiyāti ‘‘nātidūraṃ naccāsannaṃ gamanāgamanasampanna’’nti ekaṃ aṅgaṃ, ‘‘divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosa’’nti ekaṃ, ‘‘appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassa’’nti ekaṃ, ‘‘tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa appakasirena uppajjanti cīvara…pe… parikkhārā’’ti ekaṃ, ‘‘tasmiṃ kho pana senāsane therā bhikkhū viharanti bahussutā’’ti ekaṃ, evametehi pañcavidhasenāsanaṅgehi sampannatāya. Yadi jetavanaṃ tathaṃ anāthapiṇḍikassa ārāmoti āha ‘‘so hī’’tiādi.

    กีตกาลโต ปฎฺฐาย อนาถปิณฺฑิกเสฺสว ตํ วนํ, อถ กสฺมา อุภินฺนํ ปริกิตฺตนนฺติ อาห ‘‘เชตวเน’’ติอาทิฯ ‘‘ยทิปิ โส ภูมิภาโค โกฎิสนฺถเรน มหาเสฎฺฐินา กีโต, รุกฺขา ปน เชเตน น วิกฺกีตาติ เชตวนนฺติ วตฺตพฺพตํ ลภี’’ติ วทนฺติฯ

    Kītakālato paṭṭhāya anāthapiṇḍikasseva taṃ vanaṃ, atha kasmā ubhinnaṃ parikittananti āha ‘‘jetavane’’tiādi. ‘‘Yadipi so bhūmibhāgo koṭisantharena mahāseṭṭhinā kīto, rukkhā pana jetena na vikkītāti jetavananti vattabbataṃ labhī’’ti vadanti.

    กสฺมา อิทํ สุตฺตมภาสีติ กเถตุกมฺยตาย สุตฺตนิเกฺขปํ ปุจฺฉติฯ สามญฺญโต หิ ภควโต เทสนาการณํ ปากฎเมวาติฯ โก ปนายํ สุตฺตนิเกฺขโปติ? อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐ เอว หิ ภควา อตฺตโน อชฺฌาสเยน อิมํ สุตฺตํ เทเสตีติ อาจริยาฯ ยสฺมา ปเนส ภิกฺขูนํ อุปกฺกิลิฎฺฐจิตฺตตํ วิทิตฺวา ‘‘อิเม ภิกฺขู อิมาย เทสนาย อุปกฺกิเลสวิโสธนํ กตฺวา อาสวกฺขยาย ปฎิปชฺชิสฺสนฺตี’’ติ อยํ เทสนา อารทฺธา, ตสฺมา ปรชฺฌาสโยติ อปเรฯ อุภยมฺปิ ปน ยุตฺตํฯ อตฺตชฺฌาสยาทีนญฺหิ สํสคฺคเภทสฺส สมฺภโว เหฎฺฐา ทสฺสิโตวาติฯ เตสํ ภิกฺขูนนฺติ ตทา ธมฺมปฎิคฺคาหตภิกฺขูนํฯ อุปกฺกิเลสวิโสธนนฺติ สมถวิปสฺสนุปกฺกิเลสโต จิตฺตสฺส วิโสธนํฯ ปฐมญฺหิ ภควา อนุปุพฺพิกถาทินา ปฎิปตฺติยา สํกิเลสํ นีหริตฺวา ปจฺฉา สามุกฺกํสิกํ เทสนํ เทเสติ เขเตฺต ขาณุกณฺฎกคุมฺพาทิเก อวหริตฺวา กสนํ วิย, ตสฺมา กมฺมฎฺฐานเมว อวตฺวา อิมาย อนุปุพฺพิยา เทสนา ปวตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    Kasmā idaṃ suttamabhāsīti kathetukamyatāya suttanikkhepaṃ pucchati. Sāmaññato hi bhagavato desanākāraṇaṃ pākaṭamevāti. Ko panāyaṃ suttanikkhepoti? Attajjhāsayo. Parehi anajjhiṭṭho eva hi bhagavā attano ajjhāsayena imaṃ suttaṃ desetīti ācariyā. Yasmā panesa bhikkhūnaṃ upakkiliṭṭhacittataṃ viditvā ‘‘ime bhikkhū imāya desanāya upakkilesavisodhanaṃ katvā āsavakkhayāya paṭipajjissantī’’ti ayaṃ desanā āraddhā, tasmā parajjhāsayoti apare. Ubhayampi pana yuttaṃ. Attajjhāsayādīnañhi saṃsaggabhedassa sambhavo heṭṭhā dassitovāti. Tesaṃ bhikkhūnanti tadā dhammapaṭiggāhatabhikkhūnaṃ. Upakkilesavisodhananti samathavipassanupakkilesato cittassa visodhanaṃ. Paṭhamañhi bhagavā anupubbikathādinā paṭipattiyā saṃkilesaṃ nīharitvā pacchā sāmukkaṃsikaṃ desanaṃ deseti khette khāṇukaṇṭakagumbādike avaharitvā kasanaṃ viya, tasmā kammaṭṭhānameva avatvā imāya anupubbiyā desanā pavattāti adhippāyo.

    สํวรภูตนฺติ สีลสํวราทิสํวรภูตํ สํวรณสภาวํ การณํ, ตํ ปน อตฺถโต ทสฺสนาทิ เอวาติ เวทิตพฺพํฯ สํวริตาติ ปวตฺติตุํ อปฺปทานวเสน สมฺมา, สพฺพถา วา วาริตาฯ เอวํภูตา จ ยสฺมา ปวตฺติทฺวารปิธาเนน ปิหิตา นาม โหนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘วิทหิตา หุตฺวา’’ติฯ เอวํ อจฺจนฺติกสฺส สํวรสฺส การณภูตํ อนจฺจนฺติกํ สํวรํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อจฺจนฺติกเมว สํวรํ ทเสฺสโนฺต ยสฺมิํ ทสฺสนาทิมฺหิ สติ อุปฺปชฺชนารหา อาสวา น อุปฺปชฺชนฺติ, โส เตสํ อนุปฺปาโท นิโรโธ ขโย ปหานนฺติ จ วุจฺจมาโน อตฺถโต อปฺปวตฺติมตฺตนฺติ ตสฺส จ ทสฺสนาทิ การณนฺติ อาห ‘‘เยน การเณน อนุปฺปาทนิโรธสงฺขาตํ ขยํ คจฺฉนฺติ ปหียนฺติ นปฺปวตฺตนฺติ, ตํ การณนฺติ อโตฺถ’’ติฯ

    Saṃvarabhūtanti sīlasaṃvarādisaṃvarabhūtaṃ saṃvaraṇasabhāvaṃ kāraṇaṃ, taṃ pana atthato dassanādi evāti veditabbaṃ. Saṃvaritāti pavattituṃ appadānavasena sammā, sabbathā vā vāritā. Evaṃbhūtā ca yasmā pavattidvārapidhānena pihitā nāma honti, tasmā vuttaṃ ‘‘vidahitā hutvā’’ti. Evaṃ accantikassa saṃvarassa kāraṇabhūtaṃ anaccantikaṃ saṃvaraṃ dassetvā idāni accantikameva saṃvaraṃ dassento yasmiṃ dassanādimhi sati uppajjanārahā āsavā na uppajjanti, so tesaṃ anuppādo nirodho khayo pahānanti ca vuccamāno atthato appavattimattanti tassa ca dassanādi kāraṇanti āha ‘‘yena kāraṇena anuppādanirodhasaṅkhātaṃ khayaṃ gacchanti pahīyanti nappavattanti, taṃ kāraṇanti attho’’ti.

    จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปีติ (ธ. ส. มูลฎี. ๑๔-๑๙) จกฺขุวิญฺญาณาทิวีถีสุ ตทนุคตมโนวิญฺญาณวีถีสุ จ กิญฺจาปิ กุสลาทีนมฺปิ ปวตฺติ อตฺถิ, กามาสวาทโย เอว ปน วณโต ยูสํ วิย ปคฺฆรณกอสุจิภาเวน สนฺทนฺติ, ตสฺมา เต เอว ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ หิ ปคฺฆรณอสุจิมฺหิ นิรุโฬฺห อาสว-สโทฺทติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุนฺติ ตโต ปรํ มคฺคผเลสุ อปฺปวตฺตนโต วุตฺตํฯ เอเต หิ อารมฺมณวเสน ธเมฺม คจฺฉนฺตา ตโต ปรํ น คจฺฉนฺติฯ นนุ ตโต ปรํ ภวงฺคาทีนิปิ คจฺฉนฺตีติ เจ? น, เตสมฺปิ ปุเพฺพ อาลมฺพิเตสุ โลกิยธเมฺมสุ สาสวภาเวน อโนฺตคธตฺตา ตโต ปรตาภาวโตฯ เอตฺถ จ โคตฺรภุวจเนน โคตฺรภุโวทานผลสมาปตฺติปุเรจาริกปริกมฺมานิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ ปฐมมคฺคปุเรจาริกเมว วา โคตฺรภุ อวธินิทสฺสนภาเวน คหิตํ, ตโต ปรํ ปน มคฺคผลสมานตาย อเญฺญสุ มเคฺคสุ มคฺควีถิยํ สมาปตฺติวีถิยํ นิโรธานนฺตรญฺจ ปวตฺตมาเนสุ ผเลสุ นิพฺพาเน จ อาสวานํ ปวตฺติ นิวาริตาติ เวทิตพฺพํฯ สวนฺตีติ คจฺฉนฺติ, อารมฺมณกรณวเสน ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อวธิอโตฺถ อา-กาโร, อวธิ จ มริยาทาภิวิธิเภทโต ทุวิโธฯ ตตฺถ มริยาทํ กิริยํ พหิ กตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาปาฎลิปุตฺตา วุโฎฺฐ เทโว’’ติฯ อภิวิธิ ปน กิริยํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาภวคฺคา ภควโต ยโส ปวตฺตตี’’ติฯ อภิวิธิอโตฺถ จายํ อา-กาโร อิธ คหิโตติ วุตฺตํ ‘‘อโนฺตกรณโตฺถ’’ติฯ

    Cakkhutopi…pe… manatopīti (dha. sa. mūlaṭī. 14-19) cakkhuviññāṇādivīthīsu tadanugatamanoviññāṇavīthīsu ca kiñcāpi kusalādīnampi pavatti atthi, kāmāsavādayo eva pana vaṇato yūsaṃ viya paggharaṇakaasucibhāvena sandanti, tasmā te eva ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Tattha hi paggharaṇaasucimhi niruḷho āsava-saddoti. Dhammato yāva gotrabhunti tato paraṃ maggaphalesu appavattanato vuttaṃ. Ete hi ārammaṇavasena dhamme gacchantā tato paraṃ na gacchanti. Nanu tato paraṃ bhavaṅgādīnipi gacchantīti ce? Na, tesampi pubbe ālambitesu lokiyadhammesu sāsavabhāvena antogadhattā tato paratābhāvato. Ettha ca gotrabhuvacanena gotrabhuvodānaphalasamāpattipurecārikaparikammāni vuttānīti veditabbāni. Paṭhamamaggapurecārikameva vā gotrabhu avadhinidassanabhāvena gahitaṃ, tato paraṃ pana maggaphalasamānatāya aññesu maggesu maggavīthiyaṃ samāpattivīthiyaṃ nirodhānantarañca pavattamānesu phalesu nibbāne ca āsavānaṃ pavatti nivāritāti veditabbaṃ. Savantīti gacchanti, ārammaṇakaraṇavasena pavattantīti attho. Avadhiattho ā-kāro, avadhi ca mariyādābhividhibhedato duvidho. Tattha mariyādaṃ kiriyaṃ bahi katvā pavattati yathā ‘‘āpāṭaliputtā vuṭṭho devo’’ti. Abhividhi pana kiriyaṃ byāpetvā pavattati yathā ‘‘ābhavaggā bhagavato yaso pavattatī’’ti. Abhividhiattho cāyaṃ ā-kāro idha gahitoti vuttaṃ ‘‘antokaraṇattho’’ti.

    มทิราทโยติ อาทิ-สเทฺทน สินฺธวกาทมฺพริกาโปติกาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ จิรปาริวาสิยโฎฺฐ วิรปริวุตฺถตา ปุราณภาโวฯ อวิชฺชา นาโหสีติอาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวตณฺหายา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒) อิทํ สุตฺตํ สงฺคหิตํฯ อวิชฺชาสวภวาสวานํ จิรปริวุตฺถตาย ทสฺสิตาย ตพฺภาวภาวิโน กามาสวสฺส จิรปริวุตฺถตา ทสฺสิตาว โหติฯ อเญฺญสุ จ ยถาวุเตฺต ธเมฺม โอกาสญฺจ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมาเนสุ มานาทีสุ วิชฺชมาเนสุ อตฺตตฺตนิยาทิคฺคาหวเสน อภิพฺยาปนํ มทกรณวเสน อาสวสทิสตา จ เอเตสํเยว, น อเญฺญสนฺติ เอเตเสฺวว อาสว-สโทฺท นิรุโฬฺหติ ทฎฺฐโพฺพฯ น เจตฺถ ทิฎฺฐาสโว นาคโตติ คเหตพฺพํ ภวตณฺหาย วิย ภวทิฎฺฐิยาปิ ภวาสวคฺคหเณเนว คหิตตฺตาฯ อายตํ อนาทิกาลิกตฺตาฯ ปสวนฺตีติ ผลนฺติฯ น หิ ตํ กิญฺจิ สํสารทุกฺขํ อตฺถิ, ยํ อาสเวหิ วินา อุปฺปเชฺชยฺยฯ ปุริมานิ เจตฺถาติ เอตฺถ เอเตสุ จตูสุ อตฺถวิตเปฺปสุ ปุริมานิ ตีณิฯ ยตฺถาติ เยสุ สุตฺตาภิธมฺมปเทเสสุฯ ตตฺถ ยุชฺชนฺติ กิเลเสสุเยว ยถาวุตฺตสฺส อตฺถตฺตยสฺส สมฺภวโตฯ ปจฺฉิมํ ‘‘อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺตี’’ติ วุตฺตนิพฺพจนํฯ กเมฺมปิ ยุชฺชติ ทุกฺขปฺปสวนสฺส กิเลสกมฺมสาธารณตฺตาฯ

    Madirādayoti ādi-saddena sindhavakādambarikāpotikādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Cirapārivāsiyaṭṭho viraparivutthatā purāṇabhāvo. Avijjā nāhosītiādīti ettha ādi-saddena ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavataṇhāyā’’ti (a. ni. 10.62) idaṃ suttaṃ saṅgahitaṃ. Avijjāsavabhavāsavānaṃ ciraparivutthatāya dassitāya tabbhāvabhāvino kāmāsavassa ciraparivutthatā dassitāva hoti. Aññesu ca yathāvutte dhamme okāsañca ārammaṇaṃ katvā pavattamānesu mānādīsu vijjamānesu attattaniyādiggāhavasena abhibyāpanaṃ madakaraṇavasena āsavasadisatā ca etesaṃyeva, na aññesanti etesveva āsava-saddo niruḷhoti daṭṭhabbo. Na cettha diṭṭhāsavo nāgatoti gahetabbaṃ bhavataṇhāya viya bhavadiṭṭhiyāpi bhavāsavaggahaṇeneva gahitattā. Āyataṃ anādikālikattā. Pasavantīti phalanti. Na hi taṃ kiñci saṃsāradukkhaṃ atthi, yaṃ āsavehi vinā uppajjeyya. Purimāni cetthāti ettha etesu catūsu atthavitappesu purimāni tīṇi. Yatthāti yesu suttābhidhammapadesesu. Tattha yujjanti kilesesuyeva yathāvuttassa atthattayassa sambhavato. Pacchimaṃ ‘‘āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savantī’’ti vuttanibbacanaṃ. Kammepi yujjati dukkhappasavanassa kilesakammasādhāraṇattā.

    ทิฎฺฐธมฺมา วุจฺจนฺติ ปจฺจกฺขภูตา ขนฺธา, ทิฎฺฐธเมฺม ภวา ทิฎฺฐธมฺมิกาวิวาทมูลภูตาติ วิวาทสฺส มูลการณภูตา โกธูปนาห-มกฺข-ปฬาส-อิสฺสา-มจฺฉริย-มายา-สาเฐยฺย-ถมฺภ-สารมฺภ-มานาติมานาฯ

    Diṭṭhadhammā vuccanti paccakkhabhūtā khandhā, diṭṭhadhamme bhavā diṭṭhadhammikā. Vivādamūlabhūtāti vivādassa mūlakāraṇabhūtā kodhūpanāha-makkha-paḷāsa-issā-macchariya-māyā-sāṭheyya-thambha-sārambha-mānātimānā.

    เยน เทวูปปตฺยสฺสาติ เยน กมฺมกิเลสปฺปกาเรน อาสเวน เทเวสุ อุปปตฺติ นิพฺพตฺติ อสฺส มยฺหนฺติ สมฺพโนฺธฯ คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม อากาสจารี อสฺสนฺติ วิภตฺติํ ปริณาเมตฺวา โยเชตพฺพํฯ เอตฺถ จ ยกฺขคนฺธพฺพตาย วินิมุตฺตา สพฺพา เทวคติ เทวคฺคหเณน คหิตาฯ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาติ อกุสลกมฺมโต อวเสสา อกุสลา ธมฺมา อาสวาติ อาคตาติ สมฺพโนฺธฯ

    Yena devūpapatyassāti yena kammakilesappakārena āsavena devesu upapatti nibbatti assa mayhanti sambandho. Gandhabbo vā vihaṅgamo ākāsacārī assanti vibhattiṃ pariṇāmetvā yojetabbaṃ. Ettha ca yakkhagandhabbatāya vinimuttā sabbā devagati devaggahaṇena gahitā. Avasesā ca akusalā dhammāti akusalakammato avasesā akusalā dhammā āsavāti āgatāti sambandho.

    ปฎิฆาตายาติ ปฎิเสธนายฯ ปรูปวา…เป.… อุปทฺทวาติ อิทํ ยทิ ภควา สิกฺขาปทํ น ปญฺญเปยฺย, ตโต อสทฺธมฺมปฺปฎิเสวนอทินฺนาทานปาณาติปาตาทิเหตุ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ ปรูปวาทาทโย ทิฎฺฐธมฺมิกา นานปฺปการา อนตฺถา, เย จ ตนฺนิมิตฺตา เอว นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตสฺส ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณาทิวเสน มหาทุกฺขานุภวาทิปฺปการา อนตฺถา, เต สนฺธาย วุตฺตํฯ เต ปเนเตติ เอเต กามราคาทิกิเลส-เตภูมกกมฺมปรูปวาทาทิอุปทฺทวปฺปการา อาสวาฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ วินยาทิปาฬิปเทเสฯ ยถาติ เยน ทุวิธาทิปฺปกาเรน อเญฺญสุ จ สุตฺตเนฺตสุ อาคตาติ สมฺพโนฺธฯ

    Paṭighātāyāti paṭisedhanāya. Parūpavā…pe… upaddavāti idaṃ yadi bhagavā sikkhāpadaṃ na paññapeyya, tato asaddhammappaṭisevanaadinnādānapāṇātipātādihetu ye uppajjeyyuṃ parūpavādādayo diṭṭhadhammikā nānappakārā anatthā, ye ca tannimittā eva nirayādīsu nibbattassa pañcavidhabandhanakammakāraṇādivasena mahādukkhānubhavādippakārā anatthā, te sandhāya vuttaṃ. Te paneteti ete kāmarāgādikilesa-tebhūmakakammaparūpavādādiupaddavappakārā āsavā. Yatthāti yasmiṃ vinayādipāḷipadese. Yathāti yena duvidhādippakārena aññesu ca suttantesu āgatāti sambandho.

    นิรยํ คเมนฺตีติ นิรยคามินิยาฯ ฉกฺกนิปาเต อาหุเนยฺยสุเตฺตฯ ตตฺถ หิ อาสวา ฉธา อาคตา อาสว-สทฺทาภิเธยฺยสฺส อตฺถสฺส ปเภโทปจาเรน อาสว-ปเท ปเภโทติ วุโตฺต, โกฎฺฐาสโตฺถ วา ปท-สโทฺทติ อาสวปเทติ อาสวปฺปกาเร สทฺทโกฎฺฐาเส อตฺถโกฎฺฐาเส วาติ อโตฺถฯ

    Nirayaṃ gamentīti nirayagāminiyā. Chakkanipāte āhuneyyasutte. Tattha hi āsavā chadhā āgatā āsava-saddābhidheyyassa atthassa pabhedopacārena āsava-pade pabhedoti vutto, koṭṭhāsattho vā pada-saddoti āsavapadeti āsavappakāre saddakoṭṭhāse atthakoṭṭhāse vāti attho.

    ตถา หีติ ตสฺมา สํวรณํ ปิทหนํ ปวตฺติตุํ อปฺปทานํ, เตเนว การเณนาติ อโตฺถฯ สีลาทิสํวเร อธิเปฺปเต ปวตฺติตุํ อปฺปทานวเสน ถกนภาวสามญฺญโต ทฺวารํ สํวริตฺวาติ เคหทฺวารสํวรณมฺปิ อุทาหฎํฯ สีลสํวโรติอาทิ เหฎฺฐา มูลปริยายวณฺณนาย วุตฺตมฺปิ อิมสฺส สุตฺตสฺส อตฺถวณฺณนํ ปริปุณฺณํ กตฺวา วตฺตุกาโม ปุน วทติฯ ยุตฺตํ ตาว สีลสติญาณานํ สํวรโตฺถ ปาฬิยํ ตถา อาคตตฺตา, ขนฺติวีริยานํ ปน กถนฺติ อาห ‘‘เตสญฺจา’’ติอาทิฯ ตสฺสโตฺถ – ยทิปิ ‘‘ขโม โหติ…เป.… สีตสฺส อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินิเทฺทเส ขนฺติวีริยานํ สํวรปริยาโย นาคโต, อุเทฺทเส ปน สพฺพาสวสํวรปริยายนฺติ สํวรปริยาเยน คหิตตฺตา อเตฺถว เตสํ สํวรภาโวติฯ

    Tathāti tasmā saṃvaraṇaṃ pidahanaṃ pavattituṃ appadānaṃ, teneva kāraṇenāti attho. Sīlādisaṃvare adhippete pavattituṃ appadānavasena thakanabhāvasāmaññato dvāraṃ saṃvaritvāti gehadvārasaṃvaraṇampi udāhaṭaṃ. Sīlasaṃvarotiādi heṭṭhā mūlapariyāyavaṇṇanāya vuttampi imassa suttassa atthavaṇṇanaṃ paripuṇṇaṃ katvā vattukāmo puna vadati. Yuttaṃ tāva sīlasatiñāṇānaṃ saṃvarattho pāḷiyaṃ tathā āgatattā, khantivīriyānaṃ pana kathanti āha ‘‘tesañcā’’tiādi. Tassattho – yadipi ‘‘khamo hoti…pe… sītassa uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādiniddese khantivīriyānaṃ saṃvarapariyāyo nāgato, uddese pana sabbāsavasaṃvarapariyāyanti saṃvarapariyāyena gahitattā attheva tesaṃ saṃvarabhāvoti.

    ปุเพฺพ สีลสติญาณานํ ปาฐนฺตเรน สํวรภาโว ทสฺสิโตติ อิทานิ ตํ อิมินาปิ สุเตฺตน คหิตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ขนฺติวีริยสํวรา วุตฺตาเยว ‘‘ขโม โหติ สีตสฺสา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๔) ปาฬิยา ทสฺสนวเสนฯ ‘‘ตญฺจ อนาสนํ, ตญฺจ อโคจร’’นฺติ อยํ ปเนตฺถ สีลสํวโรติ ตญฺจ ‘‘ยถารูเป’’ติอาทินา วุตฺตํ อยุตฺตํ อนิยตวตฺถุกํ รโห ปฎิจฺฉนฺนาสนํ, ตญฺจ ยถาวุตฺตํ อยุตฺตํ เวสิยาทิโคจรํ, ‘‘ปฎิสงฺขาโยนิโส ปริวเชฺชตี’’ติ อาคตํ ยํ ปริวชฺชนํ, อยํ ปน เอตฺถ เอตสฺมิํ สุเตฺต อาคโต สีลสํวโรติ อโตฺถฯ อนาสนปริวชฺชเนน หิ อนาจารปริวชฺชนํ วุตฺตํ, อนาจาราโคจรปริวชฺชนํ จาริตฺตสีลตายสีลสํวโรฯ ตถา หิ ภควตา ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรตี’’ติ (วิภ. ๕๐๘) สีลสํวรวิภชเน อาจารโคจรสมฺปตฺติํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘อตฺถิ อนาจาโร, อตฺถิ อโคจโร’’ติอาทินา (วิภ. ๕๑๓, ๕๑๔) อนาจาราโคจรา วิภชิตฺวา ทสฺสิตาฯ อิทญฺจ เอกเทเสน สมุทายนิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ สมุทฺทปพฺพตนิทสฺสนํ วิยฯ

    Pubbe sīlasatiñāṇānaṃ pāṭhantarena saṃvarabhāvo dassitoti idāni taṃ imināpi suttena gahitabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ. Khantivīriyasaṃvarā vuttāyeva ‘‘khamo hoti sītassā’’tiādinā (ma. ni. 1.14) pāḷiyā dassanavasena. ‘‘Tañca anāsanaṃ, tañca agocara’’nti ayaṃ panettha sīlasaṃvaroti tañca ‘‘yathārūpe’’tiādinā vuttaṃ ayuttaṃ aniyatavatthukaṃ raho paṭicchannāsanaṃ, tañca yathāvuttaṃ ayuttaṃ vesiyādigocaraṃ, ‘‘paṭisaṅkhāyoniso parivajjetī’’ti āgataṃ yaṃ parivajjanaṃ, ayaṃ pana ettha etasmiṃ sutte āgato sīlasaṃvaroti attho. Anāsanaparivajjanena hi anācāraparivajjanaṃ vuttaṃ, anācārāgocaraparivajjanaṃ cārittasīlatāyasīlasaṃvaro. Tathā hi bhagavatā ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharatī’’ti (vibha. 508) sīlasaṃvaravibhajane ācāragocarasampattiṃ dassentena ‘‘atthi anācāro, atthi agocaro’’tiādinā (vibha. 513, 514) anācārāgocarā vibhajitvā dassitā. Idañca ekadesena samudāyanidassanaṃ daṭṭhabbaṃ samuddapabbatanidassanaṃ viya.

    สพฺพตฺถ ปฎิสงฺขา ญาณสํวโรติ เอตฺถ ‘‘โยนิโสมนสิกาโร, ปฎิสงฺขา ญาณสํวโร’’ติ วตฺตพฺพํ ฯ น หิ ทสฺสนปหาตพฺพนิเทฺทเส ปฎิสงฺขาคหณํ อตฺถิ, ‘‘โยนิโส มนสิ กโรตี’’ติ ปน วุตฺตํฯ โยนิโสมนสิกรณมฺปิ อตฺถโต ปฎิสงฺขา ญาณสํวรเมวาติ เอวํ ปน อเตฺถ คยฺหมาเน ยุตฺตเมตํ สิยาฯ เกจิ ปน ‘‘ยตฺถ ยตฺถ ‘อิธ ปฎิสงฺขา โยนิโส’ติ อาคตํ , ตํ สพฺพํ สนฺธาย ‘สพฺพตฺถ ปฎิสงฺขา ญาณสํวโร’ติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ เตสํ มเตน ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ โยนิโส มนสิ กโรตี’’ติอาทิกสฺส ญาณสํวเรน จ อสงฺคโห สิยา, ‘‘ทสฺสนํ ปฎิเสวนา ภาวนา จ ญาณสํวโร’’ติ จ วจนํ วิรุเชฺฌยฺย, ตสฺมา วุตฺตนเยเนเวตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘สพฺพตฺถ ปฎิสงฺขา ญาณสํวโร’’ติ อิมินา สตฺตสุปิ ฐาเนสุ ยํ ญาณํ, โส ญาณสํวโรติ ปริวชฺชนาทิวเสน วุตฺตา สีลาทโย สีลสํวราทโยติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตฯ เอวํ สติ สํวรานํ สงฺกโร วิย โหตีติ เต อสงฺกรโต ทเสฺสตุํ ‘‘อคฺคหิตคฺคหเณนา’’ติ วุตฺตํ ปริวชฺชนวิเสสสํวราธิวาสนวิโนทนานํ สีลสํวราทิภาเวน คหิตตฺตา, ตถา อคฺคหิตานํ คหเณนาติ อโตฺถฯ เต ปน อคฺคหิเต สรูปโต ทเสฺสโนฺต ‘‘ทสฺสนํ ปฎิเสวนา ภาวนา’’ติ อาหฯ

    Sabbattha paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaroti ettha ‘‘yonisomanasikāro, paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaro’’ti vattabbaṃ . Na hi dassanapahātabbaniddese paṭisaṅkhāgahaṇaṃ atthi, ‘‘yoniso manasi karotī’’ti pana vuttaṃ. Yonisomanasikaraṇampi atthato paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaramevāti evaṃ pana atthe gayhamāne yuttametaṃ siyā. Keci pana ‘‘yattha yattha ‘idha paṭisaṅkhā yoniso’ti āgataṃ , taṃ sabbaṃ sandhāya ‘sabbattha paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaro’ti vutta’’nti vadanti. Tesaṃ matena ‘‘idaṃ dukkhanti yoniso manasi karotī’’tiādikassa ñāṇasaṃvarena ca asaṅgaho siyā, ‘‘dassanaṃ paṭisevanā bhāvanā ca ñāṇasaṃvaro’’ti ca vacanaṃ virujjheyya, tasmā vuttanayenevettha attho veditabbo. ‘‘Sabbattha paṭisaṅkhā ñāṇasaṃvaro’’ti iminā sattasupi ṭhānesu yaṃ ñāṇaṃ, so ñāṇasaṃvaroti parivajjanādivasena vuttā sīlādayo sīlasaṃvarādayoti ayamattho dassito. Evaṃ sati saṃvarānaṃ saṅkaro viya hotīti te asaṅkarato dassetuṃ ‘‘aggahitaggahaṇenā’’ti vuttaṃ parivajjanavisesasaṃvarādhivāsanavinodanānaṃ sīlasaṃvarādibhāvena gahitattā, tathā aggahitānaṃ gahaṇenāti attho. Te pana aggahite sarūpato dassento ‘‘dassanaṃ paṭisevanā bhāvanā’’ti āha.

    เอเตน สีลสํวราทินา กรณภูเตน, การณภูเตน วาฯ ธมฺมาติ กุสลากุสลธมฺมาฯ สีลสํวราทินา หิ สหชาตโกฎิยา, อุปนิสฺสยโกฎิยา วา ปจฺจยภูเตน อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา อุปฺปตฺติํ คจฺฉนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ, ตถา อนิรุทฺธา อกุสลา ธมฺมา นิโรธํ คจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺตีติ อโตฺถฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘อนุปฺปนฺนา เจว อาสวา น อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา จ อาสวา ปหียนฺตี’’ติ อกุสลธมฺมานํ อนุปฺปาทปหานานิ เอว วุตฺตานิ, น กุสลธมฺมานํ อุปฺปาทาทโยติ? นยิทเมวํ ทฎฺฐพฺพํ, ‘‘โยนิโส จ โข, ภิกฺขเว, มนสิกโรโต’’ติอาทินา กุสลธมฺมานมฺปิ อุปฺปตฺติ ปกาสิตาว อาสวสํวรณสฺส ปธานภาเวน คหิตตฺตาฯ ตถา หิ ปริโยสาเนปิ ‘‘เย อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพา, เต ทสฺสนา ปหีนา โหนฺตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๘) อาสวปฺปหานเมว ปธานํ กตฺวา นิคมิตํฯ

    Etena sīlasaṃvarādinā karaṇabhūtena, kāraṇabhūtena vā. Dhammāti kusalākusaladhammā. Sīlasaṃvarādinā hi sahajātakoṭiyā, upanissayakoṭiyā vā paccayabhūtena anuppannā kusalā dhammā uppattiṃ gacchanti uppajjanti, tathā aniruddhā akusalā dhammā nirodhaṃ gacchanti nirujjhantīti attho. Pāḷiyaṃ pana ‘‘anuppannā ceva āsavā na uppajjanti, uppannā ca āsavā pahīyantī’’ti akusaladhammānaṃ anuppādapahānāni eva vuttāni, na kusaladhammānaṃ uppādādayoti? Nayidamevaṃ daṭṭhabbaṃ, ‘‘yoniso ca kho, bhikkhave, manasikaroto’’tiādinā kusaladhammānampi uppatti pakāsitāva āsavasaṃvaraṇassa padhānabhāvena gahitattā. Tathā hi pariyosānepi ‘‘ye āsavā dassanā pahātabbā, te dassanā pahīnā hontī’’tiādinā (ma. ni. 1.28) āsavappahānameva padhānaṃ katvā nigamitaṃ.

    ๑๕. ชานโต ปสฺสโตติ เอตฺถ ทสฺสนมฺปิ ปญฺญาจกฺขุนาว ทสฺสนํ อธิเปฺปตํ, น มํสจกฺขุนา ทิพฺพจกฺขุนา วาติ อาห ‘‘เทฺวปิ ปทานิ เอกตฺถานี’’ติฯ เอวํ สเนฺตปีติ ปททฺวยสฺส เอกตฺถเตฺถปิฯ ญาณลกฺขณนฺติ ญาณสฺส สภาวํ, วิสยสฺส ยถาสภาวาวโพธนนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ชานนลกฺขณญฺหิ ญาณ’’นฺติฯ ญาณปฺปภาวนฺติ ญาณานุภาวํ, ญาณกิจฺจํ วิสโยภาสนนฺติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘ญาเณน วิวเฎ ธเมฺม’’ติฯ ‘‘ชานโต ปสฺสโต’’ติ จ ชานนทสฺสนมุเขน ปุคฺคลาธิฎฺฐานา เทสนา ปวตฺตาติ อาห ‘‘ญาณลกฺขณํ ญาณปฺปภาวํ อุปาทาย ปุคฺคลํ นิทฺทิสตี’’ติฯ ชานโต ปสฺสโตติ ‘‘โยนิโส จ มนสิการํ อโยนิโส จ มนสิการ’’นฺติ วกฺขมานตฺตา โยนิโสมนสิการวิสยชานนํ, อโยนิโสมนสิการวิสยทสฺสนํฯ ตญฺจ โข ปน เนสํ อาสวานํ ขยูปายสภาวสฺส อธิเปฺปตตฺตา อุปฺปาทนานุปฺปาทนวเสน น อารมฺมณมเตฺตนาติ อยมโตฺถ ยุโตฺตติ อาห ‘‘โยนิโสมนสิการํ…เป.… อยเมตฺถ สาโร’’ติฯ

    15.Jānato passatoti ettha dassanampi paññācakkhunāva dassanaṃ adhippetaṃ, na maṃsacakkhunā dibbacakkhunā vāti āha ‘‘dvepi padāni ekatthānī’’ti. Evaṃ santepīti padadvayassa ekatthatthepi. Ñāṇalakkhaṇanti ñāṇassa sabhāvaṃ, visayassa yathāsabhāvāvabodhananti attho. Tenāha ‘‘jānanalakkhaṇañhi ñāṇa’’nti. Ñāṇappabhāvanti ñāṇānubhāvaṃ, ñāṇakiccaṃ visayobhāsananti attho. Tenevāha ‘‘ñāṇena vivaṭe dhamme’’ti. ‘‘Jānato passato’’ti ca jānanadassanamukhena puggalādhiṭṭhānā desanā pavattāti āha ‘‘ñāṇalakkhaṇaṃ ñāṇappabhāvaṃ upādāya puggalaṃ niddisatī’’ti. Jānato passatoti ‘‘yoniso ca manasikāraṃ ayoniso ca manasikāra’’nti vakkhamānattā yonisomanasikāravisayajānanaṃ, ayonisomanasikāravisayadassanaṃ. Tañca kho pana nesaṃ āsavānaṃ khayūpāyasabhāvassa adhippetattā uppādanānuppādanavasena na ārammaṇamattenāti ayamattho yuttoti āha ‘‘yonisomanasikāraṃ…pe… ayamettha sāro’’ti.

    ‘‘ชานโต’’ติ วตฺวา ชานนญฺจ อนุสฺสวาการปฎิวิตกฺกมตฺตวเสน น อิธาธิเปฺปตํ, อถ โข รูปาทิ วิย จกฺขุวิญฺญาเณน โยนิโสมนสิการาโยนิโสมนสิกาเร ปจฺจเกฺข กตฺวา เตสํ อุปฺปาทวเสน ทสฺสนนฺติ อิมมตฺถํ วิภาเวตุํ ‘‘ปสฺสโต’’ติ วุตฺตนฺติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อญฺญตฺถาปิ หิ ‘‘เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต (อิติวุ. ๑๐๒), ชานํ ชานาติ ปสฺสํ ปสฺสติ (ม. นิ. ๑.๒๐๓), เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา (ม. นิ. ๑.๔๐๗), อชานตํ อปสฺสต’’นฺติ จ อาทีสุ ญาณกิจฺจสฺส สามญฺญวิเสสทีปนวเสเนตํ ปททฺวยํ อาคตนฺติฯ เกจีติ อภยคิริวาสิสารสมาสาจริยาฯ เต หิ ‘‘สมาธินา ชานโต วิปสฺสนาย ปสฺสโต ชานํ ชานาติ ปสฺสํ ปสฺสติ, เอวํ ชานนา สมโถ, ปสฺสนา วิปสฺสนา’’ติ จ อาทินา ปปเญฺจนฺติฯ เตติ ปปญฺจาฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ ‘‘ชานโต’’ติอาทินยปฺปวเตฺต อิมสฺมิํ สุตฺตปทอเตฺถ นิทฺธาริยมาเนฯ น ยุชฺชนฺติ ชานนทสฺสนานํ โยนิโสมนสิการาโยนิโสมนสิการวิสยภาวสฺส ปาฬิยํ วุตฺตตฺตาฯ

    ‘‘Jānato’’ti vatvā jānanañca anussavākārapaṭivitakkamattavasena na idhādhippetaṃ, atha kho rūpādi viya cakkhuviññāṇena yonisomanasikārāyonisomanasikāre paccakkhe katvā tesaṃ uppādavasena dassananti imamatthaṃ vibhāvetuṃ ‘‘passato’’ti vuttanti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Aññatthāpi hi ‘‘evaṃ jānato evaṃ passato (itivu. 102), jānaṃ jānāti passaṃ passati (ma. ni. 1.203), evaṃ jānantā evaṃ passantā (ma. ni. 1.407), ajānataṃ apassata’’nti ca ādīsu ñāṇakiccassa sāmaññavisesadīpanavasenetaṃ padadvayaṃ āgatanti. Kecīti abhayagirivāsisārasamāsācariyā. Te hi ‘‘samādhinā jānato vipassanāya passato jānaṃ jānāti passaṃ passati, evaṃ jānanā samatho, passanā vipassanā’’ti ca ādinā papañcenti. Teti papañcā. Imasmiṃ attheti ‘‘jānato’’tiādinayappavatte imasmiṃ suttapadaatthe niddhāriyamāne. Na yujjanti jānanadassanānaṃ yonisomanasikārāyonisomanasikāravisayabhāvassa pāḷiyaṃ vuttattā.

    อาสวปฺปหานํ อาสวานํ อจฺจนฺตปฺปหานํฯ โส ปน เนสํ อนุปฺปาโท สเพฺพน สพฺพํ ขีณตา อภาโว เอวาติ อาห ‘‘อาสวานํ อจฺจนฺตขยมสมุปฺปาทํ ขีณาการํ นตฺถิภาว’’นฺติฯ อุชุมคฺคานุสาริโนติ กิเลสวงฺกสฺส กายวงฺกาทีนญฺจ ปหาเนน อุชุภูเต สวิปสฺสเน เหฎฺฐิมมเคฺค อนุสฺสรนฺตสฺสฯ ตเทว หิสฺส สิกฺขนํฯ ขยสฺมิํ ปฐมํ ญาณํตโต อญฺญา อนนฺตราติ ขยสงฺขาเต อคฺคมเคฺค ตปฺปริยาปนฺนเมว ญาณํ ปฐมํ อุปฺปชฺชติ , ตทนนฺตรํ ปน อญฺญํ อรหตฺตนฺติฯ ยทิปิ คาถายํ ‘‘ขยสฺมิํ’’อิเจฺจว วุตฺตํ, สมุเจฺฉทวเสน ปน อาสเวหิ ขีโณตีติ มโคฺค ขโยติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘มโคฺค อาสวกฺขโยติ วุโตฺต’’ติฯ สมโณติ สมิตปาโป อธิเปฺปโตฯ โส ปน ขีณาสโว โหตีติ ‘‘อาสวานํ ขยา’’ติ อิมสฺส ผลปริยายตา วุตฺตา, นิปฺปริยาเยน ปน อาสวกฺขโย มโคฺค, เตน ปตฺตพฺพโต ผลํฯ เอเตเนว นิพฺพานสฺสปิ อาสวกฺขยภาโว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ

    Āsavappahānaṃ āsavānaṃ accantappahānaṃ. So pana nesaṃ anuppādo sabbena sabbaṃ khīṇatā abhāvo evāti āha ‘‘āsavānaṃ accantakhayamasamuppādaṃkhīṇākāraṃ natthibhāva’’nti. Ujumaggānusārinoti kilesavaṅkassa kāyavaṅkādīnañca pahānena ujubhūte savipassane heṭṭhimamagge anussarantassa. Tadeva hissa sikkhanaṃ. Khayasmiṃ paṭhamaṃ ñāṇaṃ. Tato aññā anantarāti khayasaṅkhāte aggamagge tappariyāpannameva ñāṇaṃ paṭhamaṃ uppajjati , tadanantaraṃ pana aññaṃ arahattanti. Yadipi gāthāyaṃ ‘‘khayasmiṃ’’icceva vuttaṃ, samucchedavasena pana āsavehi khīṇotīti maggo khayoti vuccatīti āha ‘‘maggo āsavakkhayoti vutto’’ti. Samaṇoti samitapāpo adhippeto. So pana khīṇāsavo hotīti ‘‘āsavānaṃ khayā’’ti imassa phalapariyāyatā vuttā, nippariyāyena pana āsavakkhayo maggo, tena pattabbato phalaṃ. Eteneva nibbānassapi āsavakkhayabhāvo vuttoti veditabbo.

    ‘‘ชานโต ปสฺสโต’’ติ ชานโต เอว ปสฺสโต เอวาติ เอวเมตฺถ นิยโม อิจฺฉิโต, น อญฺญถา วิเสสาภาวโต อนิฎฺฐสาธนโต จาติ ตสฺส นิยมสฺส ผลํ ทเสฺสตุํ ‘‘โน อชานโต โน อปสฺสโต’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘โย ปน น ชานาติ น ปสฺสติ, ตสฺส เนว วทามีติ อโตฺถ’’ติฯ อิมินา ทูรีกตาโยนิโสมนสิกาโร อิธาธิเปฺปโต, โยนิโสมนสิกาโร จ อาสวกฺขยสฺส เอกนฺติกการณนฺติ ทเสฺสติฯ เอเตนาติ ‘‘โน อชานโต โน อปสฺสโต’’ติ วจเนนฯ เต ปฎิกฺขิตฺตาติ เก ปน เตติ? ‘‘พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘; ม. นิ. ๒.๒๒๘), อเหตู อปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘; ม. นิ. ๒.๒๒๗) เอวมาทิวาทาฯ เตสุ หิ เกจิ อภิชาติสงฺกนฺติมเตฺตน ภวสงฺกนฺติมเตฺตน จ สํสารสุทฺธิํ ปฎิชานนฺติ, อเญฺญ อิสฺสรปชาปติกาลาทิวเสน, ตยิทํ สพฺพํ ‘‘สํสาราทีหี’’ติ เอเตฺถว สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    ‘‘Jānato passato’’ti jānato eva passato evāti evamettha niyamo icchito, na aññathā visesābhāvato aniṭṭhasādhanato cāti tassa niyamassa phalaṃ dassetuṃ ‘‘no ajānato noapassato’’ti vuttanti āha ‘‘yo pana na jānāti na passati, tassa neva vadāmīti attho’’ti. Iminā dūrīkatāyonisomanasikāro idhādhippeto, yonisomanasikāro ca āsavakkhayassa ekantikakāraṇanti dasseti. Etenāti ‘‘no ajānato no apassato’’ti vacanena. Te paṭikkhittāti ke pana teti? ‘‘Bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissanti (dī. ni. 1.168; ma. ni. 2.228), ahetū apaccayā sattā visujjhantī’’ti (dī. ni. 1.168; ma. ni. 2.227) evamādivādā. Tesu hi keci abhijātisaṅkantimattena bhavasaṅkantimattena ca saṃsārasuddhiṃ paṭijānanti, aññe issarapajāpatikālādivasena, tayidaṃ sabbaṃ ‘‘saṃsārādīhī’’ti ettheva saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ.

    ปุริเมน วา ปททฺวเยนาติ ‘‘ชานโต, ปสฺสโต’’ติ อิมินา ปททฺวเยนฯ อุปาโย วุโตฺต ‘‘อาสวกฺขยสฺสา’’ติ อธิการโต วิญฺญายติฯ อิมินาติ ‘‘โน อชานโต, โน อปสฺสโต’’ติ อิมินา ปททฺวเยนฯ อนุปาโย เอว หิ อาสวานํ ขยสฺส ยทิทํ โยนิโส จ อโยนิโส จ มนสิการสฺส อชานนํ อทสฺสนญฺจ, เตน ตถตฺตาย อปฺปฎิปตฺติโต มิจฺฉาปฎิปตฺติโต จฯ นนุ ‘‘ปสฺสโต’’ติ อิมินา อโยนิโสมนสิกาโร ยถา น อุปฺปชฺชติ, เอวํ ทสฺสเน อธิเปฺปเต ปุริเมเนว อนุปายปฎิเสโธ วุโตฺต โหตีติ? น โหติ, อโยนิโสมนสิการานุปฺปาทนสฺสปิ อุปายภาวโต สติพเลน สํวุตจกฺขุนฺทฺริยาทิตา วิย สมฺปชญฺญพเลเนว นิจฺจาทิวเสน อภูตชานนาภาโว โหตีติฯ เตนาห ‘‘สเงฺขเปน…เป.… โหตี’’ติฯ ตตฺถ สเงฺขเปนาติ สมาเสน, อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ วิตฺถารํ อกตฺวาติ อโตฺถฯ ญาณํ…เป.… ทสฺสิตํ โหติ ‘‘ชานโต’’ติอาทินา ญาณเสฺสว คหิตตฺตาฯ ยทิ เอวํ ‘‘สฺวายํ สํวโร’’ติอาทิ กถํ นียตีติ? ญาณสฺส ปธานภาวทสฺสนตฺถํ เอวมยํ เทสนา กตาติ นายํ โทโส, ตถา อญฺญตฺถาปิ ‘‘อริยํ โว ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิํ เทเสสฺสามิ สอุปนิสํ สปริกฺขาร’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๑๓๖) วิตฺถาโรฯ

    Purimena vā padadvayenāti ‘‘jānato, passato’’ti iminā padadvayena. Upāyo vutto ‘‘āsavakkhayassā’’ti adhikārato viññāyati. Imināti ‘‘no ajānato, no apassato’’ti iminā padadvayena. Anupāyo eva hi āsavānaṃ khayassa yadidaṃ yoniso ca ayoniso ca manasikārassa ajānanaṃ adassanañca, tena tathattāya appaṭipattito micchāpaṭipattito ca. Nanu ‘‘passato’’ti iminā ayonisomanasikāro yathā na uppajjati, evaṃ dassane adhippete purimeneva anupāyapaṭisedho vutto hotīti? Na hoti, ayonisomanasikārānuppādanassapi upāyabhāvato satibalena saṃvutacakkhundriyāditā viya sampajaññabaleneva niccādivasena abhūtajānanābhāvo hotīti. Tenāha ‘‘saṅkhepena…pe… hotī’’ti. Tattha saṅkhepenāti samāsena, anvayato byatirekato ca vitthāraṃ akatvāti attho. Ñāṇaṃ…pe… dassitaṃ hoti ‘‘jānato’’tiādinā ñāṇasseva gahitattā. Yadi evaṃ ‘‘svāyaṃ saṃvaro’’tiādi kathaṃ nīyatīti? Ñāṇassa padhānabhāvadassanatthaṃ evamayaṃ desanā katāti nāyaṃ doso, tathā aññatthāpi ‘‘ariyaṃ vo bhikkhave sammāsamādhiṃ desessāmi saupanisaṃ saparikkhāra’’nti (ma. ni. 3.136) vitthāro.

    ทพฺพชาติโกติ ทพฺพรูโปฯ โส หิ ทฺรโพฺยติ วุจฺจติ ‘‘ทฺรพฺยํ วินสฺสติ นาทฺรพฺย’’นฺติอาทีสุฯ ทพฺพชาติโก วา สารสภาโว, สารุปฺปสีลาจาโรติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘น โข ทพฺพ ทพฺพา เอวํ นิเพฺพเฐนฺตี’’ติ (ปารา. ๓๘๔, ๓๙๑; จูฬว. ๑๙๓)ฯ วตฺตสีเส ฐตฺวาติ วตฺตํ อุตฺตมงฺคํ, ธุรํ วา กตฺวาฯ โย หิ ปริสุทฺธาชีโว กาตุํ อชานนฺตานํ สพฺรหฺมจารีนํ, อตฺตโน วา วาตาตปาทิปฎิพาหนตฺถํ ฉตฺตาทีนิ กโรติ, โส วตฺตสีเส ฐตฺวา กโรติ นามฯ ปทฎฺฐานํ น โหตีติ น วตฺตพฺพา นาถกรณธมฺมภาเวน อุปนิสฺสยภาวโตฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ยานิ ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิจฺจกรณียานิ, ตตฺถ ทโกฺข โหตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๔๙๗)ฯ

    Dabbajātikoti dabbarūpo. So hi drabyoti vuccati ‘‘drabyaṃ vinassati nādrabya’’ntiādīsu. Dabbajātiko vā sārasabhāvo, sāruppasīlācāroti attho. Yathāha ‘‘na kho dabba dabbā evaṃ nibbeṭhentī’’ti (pārā. 384, 391; cūḷava. 193). Vattasīse ṭhatvāti vattaṃ uttamaṅgaṃ, dhuraṃ vā katvā. Yo hi parisuddhājīvo kātuṃ ajānantānaṃ sabrahmacārīnaṃ, attano vā vātātapādipaṭibāhanatthaṃ chattādīni karoti, so vattasīse ṭhatvā karoti nāma. Padaṭṭhānaṃ na hotīti na vattabbā nāthakaraṇadhammabhāvena upanissayabhāvato. Vuttañhi ‘‘yāni tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiccakaraṇīyāni, tattha dakkho hotī’’tiādi (ma. ni. 1.497).

    อุปายมนสิกาโรติ กุสลธมฺมปฺปวตฺติยา การณภูโต มนสิกาโรฯ ปถมนสิกาโรติ ตสฺสา เอว มคฺคภูโต มนสิกาโรฯ อนิจฺจาทีสุ อนิจฺจนฺติอาทินาติ อนิจฺจทุกฺขอสุภอนตฺตสภาเวสุ ธเมฺมสุ ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อสุภํ อนตฺตา’’ติอาทินา เอว นเยน, อวิปรีตสภาเวนาติ อโตฺถฯ สจฺจานุโลมิเกน วาติ สจฺจาภิสมยสฺส อนุโลมวเสนฯ จิตฺตสฺส อาวฎฺฎนาติอาทินา อาวฎฺฎนาย ปจฺจยภูตา ตโต ปุริมุปฺปนฺนา มโนทฺวาริกา กุสลชวนปฺปวตฺติ ผลโวหาเรน ตถา วุตฺตาฯ ตสฺสา หิ วเสน สา กุสลุปฺปตฺติยา อุปนิสฺสโย โหติฯ อาวชฺชนา หิ ภวงฺคจิตฺตํ อาวฎฺฎยตีติ อาวฎฺฎนาฯ อนุ อนุ อาวเฎฺฎตีติ อนฺวาวฎฺฎนาฯ ภวงฺคารมฺมณโต อญฺญํ อาภุชตีติ อาโภโคฯ สมนฺนาหรตีติ สมนฺนาหาโรฯ ตเทวารมฺมณํ อตฺตานํ อนุพนฺธิตฺวา อุปฺปชฺชมานํ มนสิ กโรติ ฐเปตีติ มนสิกาโรอยํ วุจฺจตีติ อยํ อุปายปถมนสิการลกฺขโณ โยนิโสมนสิกาโร นาม วุจฺจติ, ยสฺส วเสน ปุคฺคโล ทุกฺขาทีนิ สจฺจานิ อาวชฺชิตุํ สโกฺกติ ฯ อโยนิโสมนสิกาเร สจฺจปฎิกูเลนาติ สจฺจาภิสมยสฺส อนนุโลมวเสนฯ เสสํ โยนิโสมนสิกาเร วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพํฯ

    Upāyamanasikāroti kusaladhammappavattiyā kāraṇabhūto manasikāro. Pathamanasikāroti tassā eva maggabhūto manasikāro. Aniccādīsu aniccantiādināti aniccadukkhaasubhaanattasabhāvesu dhammesu ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ asubhaṃ anattā’’tiādinā eva nayena, aviparītasabhāvenāti attho. Saccānulomikena vāti saccābhisamayassa anulomavasena. Cittassa āvaṭṭanātiādinā āvaṭṭanāya paccayabhūtā tato purimuppannā manodvārikā kusalajavanappavatti phalavohārena tathā vuttā. Tassā hi vasena sā kusaluppattiyā upanissayo hoti. Āvajjanā hi bhavaṅgacittaṃ āvaṭṭayatīti āvaṭṭanā. Anu anu āvaṭṭetīti anvāvaṭṭanā. Bhavaṅgārammaṇato aññaṃ ābhujatīti ābhogo. Samannāharatīti samannāhāro. Tadevārammaṇaṃ attānaṃ anubandhitvā uppajjamānaṃ manasi karoti ṭhapetīti manasikāro. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ upāyapathamanasikāralakkhaṇo yonisomanasikāro nāma vuccati, yassa vasena puggalo dukkhādīni saccāni āvajjituṃ sakkoti . Ayonisomanasikāre saccapaṭikūlenāti saccābhisamayassa ananulomavasena. Sesaṃ yonisomanasikāre vuttavipariyāyena veditabbaṃ.

    ยุตฺตินฺติ อุปปตฺติสาธนยุตฺติํ, เหตุนฺติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘ยสฺมา’’ติอาทิฯ เอตฺถาติ ‘‘อโยนิโส ภิกฺขเว…เป.… ปหียนฺตี’’ติ เอตสฺมิํ ปาเฐฯ ตตฺถาติ วาโกฺยปญฺญาสนํฯ กสฺมา ปเนตฺถ อยมุเทฺทสนิเทฺทโส ปริวโตฺตติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘โยนิโส’’ติอาทิฯ ตตฺถ มนสิการปทํ ทฺวินฺนํ สาธารณนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘โยนิโส อโยนิโสติ อิเมหิ ตาว ทฺวีหิ ปเทหี’’ติ วุตฺตํฯ โยนิโสติ หิ โยนิโสมนสิกาโร, อโยนิโสติ จ อโยนิโสมนสิกาโร ตตฺถ อนุวตฺตนโต วกฺขมานตฺตา จฯ สติปิ อนตฺถุปฺปตฺติสามเญฺญ ภวาทีสุ ปุคฺคลสฺส พหุลิสามญฺญํ ทเสฺสตฺวา ตํ ปริวตฺติตฺวา วิเสสทสฺสนตฺตํ นาวาทิ อุปมาตฺตยคฺคหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ จกฺกยนฺตํ อาหฎฆฎียนฺตนฺติ วทนฺติฯ

    Yuttinti upapattisādhanayuttiṃ, hetunti attho. Tenevāha ‘‘yasmā’’tiādi. Etthāti ‘‘ayoniso bhikkhave…pe… pahīyantī’’ti etasmiṃ pāṭhe. Tatthāti vākyopaññāsanaṃ. Kasmā panettha ayamuddesaniddeso parivattoti codanaṃ sandhāyāha ‘‘yoniso’’tiādi. Tattha manasikārapadaṃ dvinnaṃ sādhāraṇanti adhippāyena ‘‘yoniso ayonisoti imehi tāva dvīhi padehī’’ti vuttaṃ. Yonisoti hi yonisomanasikāro, ayonisoti ca ayonisomanasikāro tattha anuvattanato vakkhamānattā ca. Satipi anatthuppattisāmaññe bhavādīsu puggalassa bahulisāmaññaṃ dassetvā taṃ parivattitvā visesadassanattaṃ nāvādi upamāttayaggahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Cakkayantaṃ āhaṭaghaṭīyantanti vadanti.

    อนุปฺปนฺนาติ อนิพฺพตฺตาฯ อารมฺมณวิเสสวเสน ตสฺส อนุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา, น รูปารมฺมณาทิอารมฺมณสามเญฺญน, นาปิ อาสววเสนฯ เตนาห ‘‘อนนุภูตปุพฺพํ อารมฺมณํ…เป.… อญฺญถา หิ อนมตเคฺค สํสาเร อนุปฺปนฺนา นาม อาสวา น สนฺตี’’ติฯ วตฺถุนฺติ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกปฺปเภทํ อาสวุปฺปตฺติการณํฯ อารมฺมณํ อารมฺมณปจฺจยภูตรูปาทีนิ ฯ อิทานิ อาสววเสนปิ อนุปฺปนฺนปริยาโย ลพฺภตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุภูตปุเพฺพปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปกติสุทฺธิยาติ ปุพฺพจริยโต กิเลสทูรีภาวสิทฺธาย สุทฺธิปกติตายฯ ปาฬิยา อุทฺทิสนํ อุเทฺทโส, อตฺถกถนํ ปริปุจฺฉาฯ อชฺฌยนํ ปริยตฺติ, จีวรสิพฺพาทิ นวกมฺมํ, สมถวิปสฺสนานุโยโค โยนิโสมนสิกาโรตาทิเสนาติ ยาทิเสน ‘‘มนุญฺญวตฺถู’’ติมนสิการาทินา กามาสวาทโย สมฺภเวยฺยุํ, ตาทิเสนฯ อาสวานํ วฑฺฒิ นาม ปริยุฎฺฐานติพฺพตาย เวทิตพฺพา, สา จ อภิณฺหุปฺปตฺติยา พหุลีการโตติ เต ลทฺธาเสวนา พหุลภาวํ ปตฺตา มทฺทนฺตา ผรนฺตา ฉาเทนฺตา อนฺธาการํ กโรนฺตา อปราปรํ อุปฺปชฺชมานา เอกสนฺตานนเยน ‘‘อุปฺปนฺนา ปวฑฺฒนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปนฺนา ปวฑฺฒนฺตีติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ อิโต อญฺญถาติ อิโต อปราปรุปฺปนฺนานํ เอกตฺตคฺคหณโต อญฺญถา วฑฺฒิ นาม นตฺถิ ขณิกภาวโตฯ

    Anuppannāti anibbattā. Ārammaṇavisesavasena tassa anuppatti veditabbā, na rūpārammaṇādiārammaṇasāmaññena, nāpi āsavavasena. Tenāha ‘‘ananubhūtapubbaṃ ārammaṇaṃ…pe… aññathā hi anamatagge saṃsāre anuppannā nāma āsavā na santī’’ti. Vatthunti saviññāṇakāviññāṇakappabhedaṃ āsavuppattikāraṇaṃ. Ārammaṇaṃ ārammaṇapaccayabhūtarūpādīni . Idāni āsavavasenapi anuppannapariyāyo labbhatīti dassetuṃ ‘‘anubhūtapubbepī’’tiādi vuttaṃ. Pakatisuddhiyāti pubbacariyato kilesadūrībhāvasiddhāya suddhipakatitāya. Pāḷiyā uddisanaṃ uddeso, atthakathanaṃ paripucchā. Ajjhayanaṃ pariyatti, cīvarasibbādi navakammaṃ, samathavipassanānuyogo yonisomanasikāro. Tādisenāti yādisena ‘‘manuññavatthū’’timanasikārādinā kāmāsavādayo sambhaveyyuṃ, tādisena. Āsavānaṃ vaḍḍhi nāma pariyuṭṭhānatibbatāya veditabbā, sā ca abhiṇhuppattiyā bahulīkāratoti te laddhāsevanā bahulabhāvaṃ pattā maddantā pharantā chādentā andhākāraṃ karontā aparāparaṃ uppajjamānā ekasantānanayena ‘‘uppannā pavaḍḍhantī’’ti vuccanti. Tena vuttaṃ ‘‘punappunaṃ uppajjamānā uppannā pavaḍḍhantīti vuccantī’’ti. Ito aññathāti ito aparāparuppannānaṃ ekattaggahaṇato aññathā vaḍḍhi nāma natthi khaṇikabhāvato.

    โส จ ชานาตีติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหาภาวมาหฯ การกเสฺสวาติ ยุตฺตโยคเสฺสวฯ ยสฺส ปนาติอาทินา อนุเทฺทสิกํ กตฺวา วุตฺตมตฺถํ ปุราตนสฺส ปุริสาติสยสฺส ปฎิปตฺติทสฺสเนน ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘มณฺฑลารามวาสีมหาติสฺสภูตเตฺถรสฺส วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตญฺหิ สพฺรหฺมจารีนํ อายติํ ตถาปฎิปตฺติการณํ โหติ, ยโต เอทิสํ วตฺถุ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ เยวาติ มณฺฑลาราเมเยวฯ อาจริยํ อาปุจฺฉิตฺวาติ อตฺตโน อุเทฺทสาจริยํ กมฺมฎฺฐานคฺคหณตฺถํ คนฺตุํ อาปุจฺฉิตฺวาฯ อาจริยํ วนฺทิตฺวาติ กมฺมฎฺฐานทายกํ มหารกฺขิตเตฺถรํ วนฺทิตฺวาฯ อุเทฺทสมคฺคนฺติ ยถาอารทฺธํ อุเทฺทสปพนฺธํฯ ตทา กิร มุขปาเฐเนว พหู เอกชฺฌํ อุทฺทิสาเปตฺวา มโนสชฺฌายวเสน ธมฺมํ สชฺฌายนฺติฯ ตตฺถายํ เถโร ปญฺญวนฺตตาย อุเทฺทสํ คณฺหนฺตานํ ภิกฺขูนํ โธรโยฺห, โส ‘‘อิทานาหํ อนาคามี, กิํ มยฺหํ อุเทฺทเสนา’’ติ สโงฺกจํ อนาปชฺชิตฺวา ทุติยทิวเส อุเทฺทสกาเล อาจริยํ อุปสงฺกมิฯ ‘‘อุปฺปนฺนา ปหียนฺตี’’ติ เอตฺถ อุปฺปนฺนสทิสา ‘‘อุปฺปนฺนา’’ติ วุตฺตา, น ปจฺจุปฺปนฺนาฯ น หิ ปจฺจุปฺปเนฺนสุ อาสเวสุ มเคฺคน ปหานํ สมฺภวตีติ อาห ‘‘เย ปน…เป.… นตฺถี’’ติฯ วตฺตมานุปฺปนฺนา ขณตฺตยสมงฺคิโนฯ เตสํ ปฎิปตฺติยา ปหานํ นตฺถิ อุปฺปชฺชนารหานํ ปจฺจยฆาเตน อนุปฺปาทนเมว ตาย ปหานนฺติฯ

    So ca jānātīti dhammuddhaccaviggahābhāvamāha. Kārakassevāti yuttayogasseva. Yassa panātiādinā anuddesikaṃ katvā vuttamatthaṃ purātanassa purisātisayassa paṭipattidassanena pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘maṇḍalārāmavāsīmahātissabhūtattherassa viyā’’tiādi vuttaṃ. Tañhi sabrahmacārīnaṃ āyatiṃ tathāpaṭipattikāraṇaṃ hoti, yato edisaṃ vatthu vuccati. Tasmiṃ yevāti maṇḍalārāmeyeva. Ācariyaṃ āpucchitvāti attano uddesācariyaṃ kammaṭṭhānaggahaṇatthaṃ gantuṃ āpucchitvā. Ācariyaṃ vanditvāti kammaṭṭhānadāyakaṃ mahārakkhitattheraṃ vanditvā. Uddesamagganti yathāāraddhaṃ uddesapabandhaṃ. Tadā kira mukhapāṭheneva bahū ekajjhaṃ uddisāpetvā manosajjhāyavasena dhammaṃ sajjhāyanti. Tatthāyaṃ thero paññavantatāya uddesaṃ gaṇhantānaṃ bhikkhūnaṃ dhorayho, so ‘‘idānāhaṃ anāgāmī, kiṃ mayhaṃ uddesenā’’ti saṅkocaṃ anāpajjitvā dutiyadivase uddesakāle ācariyaṃ upasaṅkami. ‘‘Uppannā pahīyantī’’ti ettha uppannasadisā ‘‘uppannā’’ti vuttā, na paccuppannā. Na hi paccuppannesu āsavesu maggena pahānaṃ sambhavatīti āha ‘‘ye pana…pe… natthī’’ti. Vattamānuppannā khaṇattayasamaṅgino. Tesaṃ paṭipattiyā pahānaṃ natthi uppajjanārahānaṃ paccayaghātena anuppādanameva tāya pahānanti.

    ๑๖. ยทิ เอวํ ทุติยปทํ กิมตฺถิยนฺติ? ปททฺวยคฺคหณํ อาสวานํ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนภาวสมฺภวทสฺสนตฺถเญฺจว ปหายกวิภาเคน ปหาตพฺพวิภาคทสฺสนตฺถญฺจฯ เตนาห ‘‘อิทเมว ปทํ คเหตฺวา’’ติฯ อญฺญมฺปีติ ญาณโต อญฺญมฺปิ สติสํวราทิํฯ ทสฺสนาติ อิทํ เหตุมฺหิ นิสฺสกฺกวจนนฺติ ทสฺสเนนาติ เหตุมฺหิ กรณวจเนน ตทตฺถํ วิวรติฯ เอส นโยติ ตเมวตฺถํ อติทิสติฯ ทสฺสเนนาติ โสตาปตฺติมเคฺคนฯ โส หิ ปฐมํ นิพฺพานทสฺสนโต ‘‘ทสฺสน’’นฺติ วุจฺจติฯ ยทิปิ ตํ โคตฺรภุ ปฐมตรํ ปสฺสติ, ทิสฺวา ปน กตฺตพฺพกิจฺจสฺส กิเลสปฺปหานสฺส อกรณโต น ตํ ทสฺสนนฺติ วุจฺจติฯ อาวชฺชนฎฺฐานิยญฺหิ ตํ ญาณํ มคฺคสฺส, นิพฺพานารมฺมณตฺตสามเญฺญน เจตํ วุตฺตํ, น นิพฺพานปฎิวิชฺฌเนน, ตสฺมา ธมฺมจกฺขุ ปุนปฺปุนํ นิพฺพตฺตเนน ภาวนํ อปฺปตฺตํ ทสฺสนํ นาม, ธมฺมจกฺขุญฺจ ปริญฺญาทิกิจฺจกรณวเสน จตุสจฺจธมฺมทสฺสนํ ตทภิสมโยติ นุเตฺถตฺถ โคตฺรภุสฺส ทสฺสนภาวปฺปตฺติ ฯ อยญฺจ วิจาโร ปรโต อฎฺฐกถายเมว (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒) อาคมิสฺสติฯ สพฺพตฺถาติ ‘‘สํวรา ปหาตพฺพา’’ติอาทีสุฯ สํวราติ สํวเรน, ‘‘สํวโร’’ติ เจตฺถ สติสํวโร เวทิตโพฺพฯ ปฎิเสวติ เอเตนาติ ปฎิเสวนํ, ปจฺจเยสุ อิทมตฺถิกตาญาณํฯ อธิวาเสติ ขมติ เอตายาติ อธิวาสนา, สีตาทีนํ ขมนากาเรน ปวโตฺต อโทโส, ตปฺปธานา วา จตฺตาโร กุสลกฺขนฺธาฯ ปริวเชฺชติ เอเตนาติ ปริวชฺชนํ, วาฬมิคาทีนํ ปริหรณวเสน ปวตฺตา เจตนา, ตถาปวตฺตา วา จตฺตาโร กุสลกฺขนฺธาฯ กามวิตกฺกาทิเก วิโนเทติ วิตุทติ เอเตนาติ วิโนทนํ, กุสลวีริยํฯ ปฐมมเคฺคน ทิเฎฺฐ จตุสจฺจธเมฺม ภาวนาวเสน อุปฺปชฺชนโต ภาวนา, เสสมคฺคตฺตยํฯ น หิ ตํ อทิฎฺฐปุพฺพํ กิญฺจิ ปสฺสติ, เอวํ ทสฺสนาทีนํ วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    16. Yadi evaṃ dutiyapadaṃ kimatthiyanti? Padadvayaggahaṇaṃ āsavānaṃ uppannānuppannabhāvasambhavadassanatthañceva pahāyakavibhāgena pahātabbavibhāgadassanatthañca. Tenāha ‘‘idameva padaṃ gahetvā’’ti. Aññampīti ñāṇato aññampi satisaṃvarādiṃ. Dassanāti idaṃ hetumhi nissakkavacananti dassanenāti hetumhi karaṇavacanena tadatthaṃ vivarati. Esa nayoti tamevatthaṃ atidisati. Dassanenāti sotāpattimaggena. So hi paṭhamaṃ nibbānadassanato ‘‘dassana’’nti vuccati. Yadipi taṃ gotrabhu paṭhamataraṃ passati, disvā pana kattabbakiccassa kilesappahānassa akaraṇato na taṃ dassananti vuccati. Āvajjanaṭṭhāniyañhi taṃ ñāṇaṃ maggassa, nibbānārammaṇattasāmaññena cetaṃ vuttaṃ, na nibbānapaṭivijjhanena, tasmā dhammacakkhu punappunaṃ nibbattanena bhāvanaṃ appattaṃ dassanaṃ nāma, dhammacakkhuñca pariññādikiccakaraṇavasena catusaccadhammadassanaṃ tadabhisamayoti nutthettha gotrabhussa dassanabhāvappatti . Ayañca vicāro parato aṭṭhakathāyameva (ma. ni. aṭṭha. 1.22) āgamissati. Sabbatthāti ‘‘saṃvarā pahātabbā’’tiādīsu. Saṃvarāti saṃvarena, ‘‘saṃvaro’’ti cettha satisaṃvaro veditabbo. Paṭisevati etenāti paṭisevanaṃ, paccayesu idamatthikatāñāṇaṃ. Adhivāseti khamati etāyāti adhivāsanā, sītādīnaṃ khamanākārena pavatto adoso, tappadhānā vā cattāro kusalakkhandhā. Parivajjeti etenāti parivajjanaṃ, vāḷamigādīnaṃ pariharaṇavasena pavattā cetanā, tathāpavattā vā cattāro kusalakkhandhā. Kāmavitakkādike vinodeti vitudati etenāti vinodanaṃ, kusalavīriyaṃ. Paṭhamamaggena diṭṭhe catusaccadhamme bhāvanāvasena uppajjanato bhāvanā, sesamaggattayaṃ. Na hi taṃ adiṭṭhapubbaṃ kiñci passati, evaṃ dassanādīnaṃ vacanattho veditabbo.

    ทสฺสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Dassanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๑๗. กุสลากุสลธเมฺมหิ อาลมฺพิยมานาปิ อารมฺมณธมฺมา อาวชฺชนมุเขเนว ตพฺภาวํ คจฺฉนฺตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘มนสิกรณีเย’’ติ ปทสฺส ‘‘อาวชฺชิตเพฺพ’’ติ อตฺถมาหฯ หิตสุขาวหภาเวน มนสิกรณํ อรหนฺตีติ มนสิกรณียา, ตปฺปฎิปกฺขโต อมนสิกรณียาติ อาห ‘‘อมนสิกรณีเยติ ตพฺพิปรีเต’’ติฯ เสสปเทสูติ ‘‘มนสิกรณีเย ธเมฺม อปฺปชานโนฺต’’ติอาทีสุฯ ยสฺมา กุสลธเมฺมสุปิ สุภสุขนิจฺจาทิวเสน มนสิกาโร อสฺสาทนาทิเหตุตาย สาวโชฺช อหิตทุกฺขาวโห อกุสลธเมฺมสุปิ อนิจฺจาทิวเสน มนสิกาโร นิพฺพิทาทิเหตุตาย อนวโชฺช หิตสุขาวโห, ตสฺมา ‘‘ธมฺมโต นิยโม นตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘อาการโต ปน อตฺถี’’ติ อาหฯ

    17. Kusalākusaladhammehi ālambiyamānāpi ārammaṇadhammā āvajjanamukheneva tabbhāvaṃ gacchantīti dassento ‘‘manasikaraṇīye’’ti padassa ‘‘āvajjitabbe’’ti atthamāha. Hitasukhāvahabhāvena manasikaraṇaṃ arahantīti manasikaraṇīyā, tappaṭipakkhato amanasikaraṇīyāti āha ‘‘amanasikaraṇīyeti tabbiparīte’’ti. Sesapadesūti ‘‘manasikaraṇīye dhamme appajānanto’’tiādīsu. Yasmā kusaladhammesupi subhasukhaniccādivasena manasikāro assādanādihetutāya sāvajjo ahitadukkhāvaho akusaladhammesupi aniccādivasena manasikāro nibbidādihetutāya anavajjo hitasukhāvaho, tasmā ‘‘dhammato niyamo natthī’’ti vatvā ‘‘ākārato pana atthī’’ti āha.

    วา-สโทฺท เยภุเยฺยน ‘‘มมํ วา หิ ภิกฺขเว (ที. นิ. ๑.๕, ๖), เทโว วา ภวิสฺสามิ เทวญฺญตโร วา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๘๖; ม. นิ. ๒.๗๙, ๘๐) วิกปฺปโตฺถ ทิโฎฺฐ, น สมุจฺจยโตฺถติ ตตฺถ สมุจฺจยเตฺถ ปโยคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวญฺจ กตฺวา สมุจฺจยตฺถทีปกํ ปเนตํ สุตฺตปทํ สมุทาหฎํฯ

    Vā-saddo yebhuyyena ‘‘mamaṃ vā hi bhikkhave (dī. ni. 1.5, 6), devo vā bhavissāmi devaññataro vā’’tiādīsu (ma. ni. 1.186; ma. ni. 2.79, 80) vikappattho diṭṭho, na samuccayatthoti tattha samuccayatthe payogaṃ dassetuṃ ‘‘yathā’’tiādi vuttaṃ. Evañca katvā samuccayatthadīpakaṃ panetaṃ suttapadaṃ samudāhaṭaṃ.

    กามาสโวติ ปญฺจกามคุณสงฺขาเต กาเม อาสโว กามาสโวฯ เตนาห ‘‘ปญฺจกามคุณิโก ราโค’’ติฯ ภวาสวํ ปน ฐเปตฺวา สโพฺพ โลโภ กามาสโวติ ยุตฺตํ สิยาฯ รูปารูปภเวติ กมฺมุปปตฺติเภทโต ทุวิเธปิ รูปารูปภเว ฉนฺทราโคฯ ฌานนิกนฺตีติ ฌานสฺสาโทฯ ‘‘สุนฺทรมิทํ ฐานํ นิจฺจํ ธุว’’นฺติอาทินา อสฺสาเทนฺตสฺส อุปฺปชฺชมาโน สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิสหคโต ราโค ภเว อาสโวติ ภวาสโวฯ เอวนฺติ สพฺพทิฎฺฐีนํ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิสงฺคหโต ภวาสเวเนว ทิฎฺฐาสโว คหิโต ตํสหคตราคตายาติ อธิปฺปาโยฯ อปเร ปน ‘‘ทิฎฺฐาสโว อวิชฺชาสเวน จ สงฺคหิโต’’ติ วทนฺติฯ เอตฺถ จ ‘‘ภวาสโว จตูสุ ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุตฺตโลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติ (ธ. ส. ๑๔๖๕) วจนโต ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตราคสฺส ภวาสวภาโว วิจาเรตโพฺพ, อถ ‘‘กามสหคตา สญฺญามนสิการา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๓๓๒) วิย อารมฺมณกรณโตฺถ สหคตโตฺถ, เอวํ สติ ภวาสเว ทิฎฺฐาสวสฺส สโมธานคมนํ กตํ น สิยาฯ น หิ ตมฺปโยคตพฺภาวาทิเก อสติ ตํสงฺคโห ยุโตฺต, ตสฺมา ยถาวุตฺตปาฬิํ อนุสาเรน ทิฎฺฐิคตสมฺปยุตฺตโลโภปิ กามาสโวติ ยุตฺตํ สิยาฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกทุกฺขานญฺหิ การณภูตา กามาสวาทโยปิ ทฺวิธา วุตฺตาฯ

    Kāmāsavoti pañcakāmaguṇasaṅkhāte kāme āsavo kāmāsavo. Tenāha ‘‘pañcakāmaguṇiko rāgo’’ti. Bhavāsavaṃ pana ṭhapetvā sabbo lobho kāmāsavoti yuttaṃ siyā. Rūpārūpabhaveti kammupapattibhedato duvidhepi rūpārūpabhave chandarāgo. Jhānanikantīti jhānassādo. ‘‘Sundaramidaṃ ṭhānaṃ niccaṃ dhuva’’ntiādinā assādentassa uppajjamāno sassatucchedadiṭṭhisahagato rāgo bhave āsavoti bhavāsavo. Evanti sabbadiṭṭhīnaṃ sassatucchedadiṭṭhisaṅgahato bhavāsaveneva diṭṭhāsavo gahito taṃsahagatarāgatāyāti adhippāyo. Apare pana ‘‘diṭṭhāsavo avijjāsavena ca saṅgahito’’ti vadanti. Ettha ca ‘‘bhavāsavo catūsu diṭṭhigatavippayuttalobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’’ti (dha. sa. 1465) vacanato diṭṭhisampayuttarāgassa bhavāsavabhāvo vicāretabbo, atha ‘‘kāmasahagatā saññāmanasikārā’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.332) viya ārammaṇakaraṇattho sahagatattho, evaṃ sati bhavāsave diṭṭhāsavassa samodhānagamanaṃ kataṃ na siyā. Na hi tampayogatabbhāvādike asati taṃsaṅgaho yutto, tasmā yathāvuttapāḷiṃ anusārena diṭṭhigatasampayuttalobhopi kāmāsavoti yuttaṃ siyā. Diṭṭhadhammikasamparāyikadukkhānañhi kāraṇabhūtā kāmāsavādayopi dvidhā vuttā.

    อภิธเมฺม (ธ. ส. ๑๑๐๓) จ กามาสวนิเทฺทเส ‘‘กาเมสูติ กามราคทิฎฺฐิราคาทีนํ อารมฺมณภูเตสุ เตภูมเกสุ วตฺถุกาเมสู’’ติ อโตฺถ สมฺภวติฯ ตตฺถ หิ อุปฺปชฺชมานา สา ตณฺหา สพฺพาปิ น กามจฺฉนฺทาทินามํ น ลภตีติฯ ยทิ ปน โลโภ กามาสวภวาสววินิมุโตฺตปิ สิยา, โส ยทา ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุเตฺตสุ จิเตฺตสุ อุปฺปชฺชติ, ตทา เตน สมฺปยุโตฺต อวิชฺชาสโว อาสววิปฺปยุโตฺตติ โทมนสฺสวิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสมฺปยุตฺตสฺส วิย ตสฺสปิ อาสววิปฺปยุตฺตตา วตฺตพฺพา สิยา ‘‘จตูสุ ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุตฺตโลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปโนฺน โมโห สิยา อาสวสมฺปยุโตฺต, สิยา อาสววิปฺปยุโตฺต’’ติฯ ‘‘กามาสโว อฎฺฐสุ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’ติ (ธ. ส. ๑๔๖๕), ‘‘กามาสวํ ปฎิจฺจ ทิฎฺฐาสโว อวิชฺชาสโว’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๓.๑๐๙) จ วจนโต ทิฎฺฐิสหคตราโค กามาสโว น โหตีติ น สกฺกา วตฺตุํฯ กิญฺจ อภิชฺฌากามราคานํ วิเสโส อาสวทฺวยเอกาสวภาโว สิยา, น อภิชฺฌาย จ โนอาสวภาโวติ โนอาสวโลภสฺส สพฺภาโว วิจาเรตโพฺพฯ น หิ อตฺถิ อภิธเมฺม ‘‘อาสโว จ โนอาสโว จ ธมฺมา อาสวสฺส ธมฺมสฺส อาสวสฺส จ โนอาสวสฺส จ ธมฺมสฺส เหตุปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๓.๑๖-๑๗) สตฺตโม นวโม จ ปโญฺหฯ คณนายญฺจ ‘‘เหตุยา สตฺตา’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๓.๔๐) วุตฺตํ, โน ‘‘นวา’’ติฯ ทิฎฺฐิสมฺปยุเตฺต ปน โลเภ โนอาสเว วิชฺชมาเน สตฺตมนวมาปิ ปญฺหา วิสฺสชฺชนํ ลเภยฺยุํ, คณนาย จ ‘‘เหตุยา นวา’’ติ วตฺตพฺพํ สิยา, น ปน วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺต จ โลเภ โนอาสเว วิชฺชมาเน วตฺตพฺพํ วุตฺตเมวฯ ยสฺมา ปน สุตฺตนฺตเทสนา นาม ปริยายกถา, น อภิธมฺมเทสนา วิย นิปฺปริยายกถา, ตสฺมา พลวกามราคเสฺสว กามาสวํ ทเสฺสตุํ ‘‘กามาสโวติ ปญฺจกามคุณิโก ราโค’’ติ วุตฺตํ, ตถา ภวาภินนฺทนนฺติฯ

    Abhidhamme (dha. sa. 1103) ca kāmāsavaniddese ‘‘kāmesūti kāmarāgadiṭṭhirāgādīnaṃ ārammaṇabhūtesu tebhūmakesu vatthukāmesū’’ti attho sambhavati. Tattha hi uppajjamānā sā taṇhā sabbāpi na kāmacchandādināmaṃ na labhatīti. Yadi pana lobho kāmāsavabhavāsavavinimuttopi siyā, so yadā diṭṭhigatavippayuttesu cittesu uppajjati, tadā tena sampayutto avijjāsavo āsavavippayuttoti domanassavicikicchuddhaccasampayuttassa viya tassapi āsavavippayuttatā vattabbā siyā ‘‘catūsu diṭṭhigatavippayuttalobhasahagatacittuppādesu uppanno moho siyā āsavasampayutto, siyā āsavavippayutto’’ti. ‘‘Kāmāsavo aṭṭhasu lobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’ti (dha. sa. 1465), ‘‘kāmāsavaṃ paṭicca diṭṭhāsavo avijjāsavo’’ti (paṭṭhā. 3.3.109) ca vacanato diṭṭhisahagatarāgo kāmāsavo na hotīti na sakkā vattuṃ. Kiñca abhijjhākāmarāgānaṃ viseso āsavadvayaekāsavabhāvo siyā, na abhijjhāya ca noāsavabhāvoti noāsavalobhassa sabbhāvo vicāretabbo. Na hi atthi abhidhamme ‘‘āsavo ca noāsavo ca dhammā āsavassa dhammassa āsavassa ca noāsavassa ca dhammassa hetupaccayo’’ti (paṭṭhā. 3.3.16-17) sattamo navamo ca pañho. Gaṇanāyañca ‘‘hetuyā sattā’’ti (paṭṭhā. 3.3.40) vuttaṃ, no ‘‘navā’’ti. Diṭṭhisampayutte pana lobhe noāsave vijjamāne sattamanavamāpi pañhā vissajjanaṃ labheyyuṃ, gaṇanāya ca ‘‘hetuyā navā’’ti vattabbaṃ siyā, na pana vuttaṃ. Diṭṭhivippayutte ca lobhe noāsave vijjamāne vattabbaṃ vuttameva. Yasmā pana suttantadesanā nāma pariyāyakathā, na abhidhammadesanā viya nippariyāyakathā, tasmā balavakāmarāgasseva kāmāsavaṃ dassetuṃ ‘‘kāmāsavoti pañcakāmaguṇiko rāgo’’ti vuttaṃ, tathā bhavābhinandananti.

    สามเญฺญน ภวาสโว ทิฎฺฐาสวํ อโนฺตคธํ กตฺวา อิธ ตโย เอว อาสวา วุตฺตาติ ตสฺส ตทโนฺตคธตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอวํ ทิฎฺฐาสโว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตถา หิ วกฺขติ ภวาสวสฺส อนิมิตฺตวิโมกฺขปฎิปกฺขตํฯ จตูสุ สเจฺจสุ อญฺญาณนฺติ อิทํ สุตฺตนฺตนยํ นิสฺสาย วุตฺตํฯ สุตฺตนฺตสํวณฺณนา เหสาติ, ตทโนฺตคธตฺตา วา ปุพฺพนฺตาทีนํฯ ยถา อตฺถโต กามาสวาทโย ววตฺถาปิตา, ตถา เนสํ อุปฺปาทวฑฺฒิโย ทเสฺสโนฺต ‘‘กามคุเณ’’ติอาทิมาหฯ อสฺสาทโต มนสิกโรโตติ ‘‘สุภสุขา’’ติอาทินา อสฺสาทนวเสน มนสิ กโรนฺตสฺสฯ จตุวิปลฺลาสปทฎฺฐานภาเวนาติ สุภสญฺญาทีนํ วตฺถุภาเวนฯ วุตฺตนยปจฺจนีกโตติ ‘‘กามา นาเมเต อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’’ติอาทินา กามคุเณสุ อาทีนวทสฺสนปุพฺพกเนกฺขมฺมปฎิปตฺติยา ฉนฺทราคํ วิกฺขมฺภยโต สมุจฺฉินฺทนฺตสฺส จ อนุปฺปโนฺน จ กามาสโว น อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ ปหียติฯ ตถา มหคฺคตธเมฺมสุ เจว สกลเตภูมกธเมฺมสุ จ อาทีนวทสฺสนปุพฺพกอนิจฺจาทิมนสิการวเสน นิสฺสรณปฎิปตฺติยา อนุปฺปนฺนา จ ภวาสวอวิชฺชาสวา น อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา จ ปหียนฺตีติ เอวํ ตณฺหาปเกฺข วุตฺตสฺส นยสฺส ปฎิปกฺขโต สุกฺกปเกฺข วิตฺถาโร เวทิตโพฺพฯ

    Sāmaññena bhavāsavo diṭṭhāsavaṃ antogadhaṃ katvā idha tayo eva āsavā vuttāti tassa tadantogadhataṃ dassetuṃ ‘‘evaṃ diṭṭhāsavo’’tiādi vuttaṃ. Tathā hi vakkhati bhavāsavassa animittavimokkhapaṭipakkhataṃ. Catūsu saccesu aññāṇanti idaṃ suttantanayaṃ nissāya vuttaṃ. Suttantasaṃvaṇṇanā hesāti, tadantogadhattā vā pubbantādīnaṃ. Yathā atthato kāmāsavādayo vavatthāpitā, tathā nesaṃ uppādavaḍḍhiyo dassento ‘‘kāmaguṇe’’tiādimāha. Assādato manasikarototi ‘‘subhasukhā’’tiādinā assādanavasena manasi karontassa. Catuvipallāsapadaṭṭhānabhāvenāti subhasaññādīnaṃ vatthubhāvena. Vuttanayapaccanīkatoti ‘‘kāmā nāmete aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’’tiādinā kāmaguṇesu ādīnavadassanapubbakanekkhammapaṭipattiyā chandarāgaṃ vikkhambhayato samucchindantassa ca anuppanno ca kāmāsavo na uppajjati, uppanno ca pahīyati. Tathā mahaggatadhammesu ceva sakalatebhūmakadhammesu ca ādīnavadassanapubbakaaniccādimanasikāravasena nissaraṇapaṭipattiyā anuppannā ca bhavāsavaavijjāsavā na uppajjanti, uppannā ca pahīyantīti evaṃ taṇhāpakkhe vuttassa nayassa paṭipakkhato sukkapakkhe vitthāro veditabbo.

    ตโย เอวาติ อภิธเมฺม วิย ‘‘จตฺตาโร’’ติ อวตฺวา กสฺมา ตโย เอว อาสวา อิธ อิมิสฺสํ ทสฺสนาปหาตพฺพกถายํ วุตฺตา? ตตฺถ กามาสวสฺส ตณฺหาปณิธิภาวโต อปฺปณิหิตวิโมกฺขปฎิปกฺขตา เวทิตพฺพาฯ ภเวสุ นิจฺจคฺคาหานุสารโต เยภุยฺยโต ภวราคสมฺปตฺติโต ภวาสวสฺส อนิมิตฺตวิโมกฺขปฎิปกฺขตา, ภวทิฎฺฐิยา ปน ภวาสวภาเว วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, อนตฺตสญฺญาย ญาณานุภาวสิทฺธิโต อวิชฺชาสวสฺส สุญฺญตวิโมกฺขปฎิปกฺขตาเอตฺถาติ เอติสฺสํ อาสวกถายํฯ วณฺณิตนฺติ กถิตํฯ อเภทโตติ สามญฺญโตฯ

    Tayo evāti abhidhamme viya ‘‘cattāro’’ti avatvā kasmā tayo eva āsavā idha imissaṃ dassanāpahātabbakathāyaṃ vuttā? Tattha kāmāsavassa taṇhāpaṇidhibhāvato appaṇihitavimokkhapaṭipakkhatā veditabbā. Bhavesu niccaggāhānusārato yebhuyyato bhavarāgasampattito bhavāsavassa animittavimokkhapaṭipakkhatā, bhavadiṭṭhiyā pana bhavāsavabhāve vattabbameva natthi, anattasaññāya ñāṇānubhāvasiddhito avijjāsavassa suññatavimokkhapaṭipakkhatā. Etthāti etissaṃ āsavakathāyaṃ. Vaṇṇitanti kathitaṃ. Abhedatoti sāmaññato.

    ๑๘. กามาสวาทีนนฺติ มนุสฺสโลกเทวโลกคมนียานํ กามาสวาทีนํฯ นิรยาทิคมนียา ปน กามาสวาทโย ‘‘ทสฺสนา ปหาตเพฺพ อาสเว’’ติ เอเตฺถว สมารุฬฺหาฯ อถ วา ยทเคฺคน โส ปุคฺคโลทสฺสนาปหาตพฺพานํ อาสวานํ อธิฎฺฐานํ, ตทเคฺคน กามาสวาทีนมฺปิ อธิฎฺฐานํฯ น หิ สมญฺญาเภเทน วตฺถุเภโท อตฺถีติ ทเสฺสตุํ ‘‘เอตฺตาวตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘สามญฺญโต วุตฺตาน’’นฺติฯ กสฺมา ปเนตฺถ ทสฺสนาปหาตเพฺพสุ อาสเวสุ ทเสฺสตเพฺพสุ ‘‘อโหสิํ นุ โข อห’’นฺติอาทินา วิจิกิจฺฉา ทสฺสิตาติ อาห ‘‘วิจิกิจฺฉาสีเสน เจตฺถา’’ติอาทิฯ เอวนฺติ ยถา โสฬสวตฺถุกา วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, เอวํ อโยนิโสมนสิกาโรติฯ

    18.Kāmāsavādīnanti manussalokadevalokagamanīyānaṃ kāmāsavādīnaṃ. Nirayādigamanīyā pana kāmāsavādayo ‘‘dassanā pahātabbe āsave’’ti ettheva samāruḷhā. Atha vā yadaggena so puggalodassanāpahātabbānaṃ āsavānaṃ adhiṭṭhānaṃ, tadaggena kāmāsavādīnampi adhiṭṭhānaṃ. Na hi samaññābhedena vatthubhedo atthīti dassetuṃ ‘‘ettāvatā’’tiādi vuttaṃ. Tenevāha ‘‘sāmaññato vuttāna’’nti. Kasmā panettha dassanāpahātabbesu āsavesu dassetabbesu ‘‘ahosiṃ nu kho aha’’ntiādinā vicikicchā dassitāti āha ‘‘vicikicchāsīsena cetthā’’tiādi. Evanti yathā soḷasavatthukā vicikicchā uppajjati, evaṃ ayonisomanasikāroti.

    วิชฺชมานตํ อวิชฺชมานตญฺจาติ (สํ. นิ. ฎี. ๒.๒.๒๐) สสฺสตาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธาน’’นฺติ อตีเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ, อธิจฺจสมุปฺปตฺติอาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ยโต ปภุติ อหํ, ตโต ปุเพฺพ น นุ โข อโหสิ’’นฺติ อตีเต อตฺตโน อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ กสฺมา? วิจิกิจฺฉาย อาการทฺวยาวลมฺพนโตฯ ตสฺสา ปน อตีตวตฺถุตาย คหิตตฺตา สสฺสตาธิจฺจสมุปฺปตฺติอาการนิสฺสยตา ทสฺสิตาฯ เอวํ อาสปฺปนปริสปฺปนาปวตฺติกํ กตฺถจิปิ อปฺปฎิวตฺติเหตุภูตํ วิจิกิจฺฉํ กสฺมา อุปฺปาเทตีติ น โจเทตพฺพเมตนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘กิํ การณนฺติ น วตฺตพฺพ’’นฺติฯ เสฺวว ปุถุชฺชนภาโว เอวฯ ยทิ เอวํ ตสฺส อโยนิโสมนสิกาเรเนว ภวิตพฺพนฺติ อาปนฺนนฺติ อาห ‘‘นนุ จ ปุถุชฺชโนปิ โยนิโส มนสิ กโรตี’’ติฯ ตตฺถาติ โยนิโสมนสิกรเณฯ

    Vijjamānataṃ avijjamānatañcāti (saṃ. ni. ṭī. 2.2.20) sassatāsaṅkaṃ nissāya ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhāna’’nti atīte attano vijjamānataṃ, adhiccasamuppattiāsaṅkaṃ nissāya ‘‘yato pabhuti ahaṃ, tato pubbe na nu kho ahosi’’nti atīte attano avijjamānatañca kaṅkhati. Kasmā? Vicikicchāya ākāradvayāvalambanato. Tassā pana atītavatthutāya gahitattā sassatādhiccasamuppattiākāranissayatā dassitā. Evaṃ āsappanaparisappanāpavattikaṃ katthacipi appaṭivattihetubhūtaṃ vicikicchaṃ kasmā uppādetīti na codetabbametanti dassento āha ‘‘kiṃ kāraṇanti na vattabba’’nti. Sveva puthujjanabhāvo eva. Yadi evaṃ tassa ayonisomanasikāreneva bhavitabbanti āpannanti āha ‘‘nanu ca puthujjanopi yoniso manasi karotī’’ti. Tatthāti yonisomanasikaraṇe.

    ชาติลิงฺคูปปตฺติโยติ ขตฺติยพฺราหฺมณาทิชาติํ คหฎฺฐปพฺพชิตาทิลิงฺคํ เทวมนุสฺสาทิอุปปตฺติญฺจฯ นิสฺสายาติ อุปาทายฯ

    Jātiliṅgūpapattiyoti khattiyabrāhmaṇādijātiṃ gahaṭṭhapabbajitādiliṅgaṃ devamanussādiupapattiñca. Nissāyāti upādāya.

    ตสฺมิํ กาเล สตฺตานํ มชฺฌิมปฺปมาณํ, เตน ยุโตฺต ปมาณิโก, ตทภาวโต, ตโต อตีตภาวโต วา อปฺปมาณิโก เวทิตโพฺพฯ เกจีติ สารสมาสาจริยาฯ เต หิ ‘‘กถํ นุ โขติ อิสฺสเรน วา พฺรหฺมุนา วา ปุพฺพกเตน วา อเหตุโต วา นิพฺพโตฺตติ จิเนฺตตี’’ติ อาหุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เหตุโต กงฺขตีติ วทนฺตี’’ติฯ อเหตุโต นิพฺพตฺติกงฺขาปิ หิ เหตุปรามสนเมวาติฯ

    Tasmiṃ kāle sattānaṃ majjhimappamāṇaṃ, tena yutto pamāṇiko, tadabhāvato, tato atītabhāvato vā appamāṇiko veditabbo. Kecīti sārasamāsācariyā. Te hi ‘‘kathaṃ nu khoti issarena vā brahmunā vā pubbakatena vā ahetuto vā nibbattoti cintetī’’ti āhu. Tena vuttaṃ ‘‘hetuto kaṅkhatīti vadantī’’ti. Ahetuto nibbattikaṅkhāpi hi hetuparāmasanamevāti.

    ปรมฺปรนฺติ ปุพฺพาปรปฺปวตฺติํฯ อทฺธานนฺติ กาลาธิวจนํ, ตญฺจ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Paramparanti pubbāparappavattiṃ. Addhānanti kālādhivacanaṃ, tañca bhummatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    วิชฺชมานตํ อวิชฺชมานตญฺจาติ สสฺสตาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ภวิสฺสามิ นุ โข อหมนาคตมทฺธาน’’นฺติ อนาคเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ, อุเจฺฉทาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ยสฺมิญฺจ อตฺตภาเว อหํ, ตโต ปรํ น นุ โข ภวิสฺสามี’’ติ อนาคเต อตฺตโน อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขตีติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ

    Vijjamānataṃ avijjamānatañcāti sassatāsaṅkaṃ nissāya ‘‘bhavissāmi nu kho ahamanāgatamaddhāna’’nti anāgate attano vijjamānataṃ, ucchedāsaṅkaṃ nissāya ‘‘yasmiñca attabhāve ahaṃ, tato paraṃ na nu kho bhavissāmī’’ti anāgate attano avijjamānatañca kaṅkhatīti heṭṭhā vuttanayena yojetabbaṃ.

    ปจฺจุปฺปนฺนมทฺธานนฺติ อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนสฺส อิธาธิเปฺปตตฺตา ‘‘ปฎิสนฺธิํ อาทิํ กตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อิทํ กถํ อิทํ กถ’’นฺติ ปวตฺตนโต กถํกถา, วิจิกิจฺฉา, สา อสฺส อตฺถีติ กถํกถีติ อาห ‘‘วิจิกิโจฺฉ โหตี’’ติฯ กา เอตฺถ จินฺตา, อุมฺมตฺตโก วิย หิ พาลปุถุชฺชโนติ ปฎิกเจฺจว วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ตํ มหามาตาย ปุตฺตํฯ มุเณฺฑสุนฺติ มุเณฺฑน อนิจฺฉนฺตํ ชาครณกาเล น สกฺกาติ สุตฺตํ มุเณฺฑสุํ กุลธมฺมตาย ยถา ตํ เอกเจฺจ กุลตาปสา, ราชภเยนาติ จ วทนฺติฯ

    Paccuppannamaddhānanti addhāpaccuppannassa idhādhippetattā ‘‘paṭisandhiṃ ādiṃ katvā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Idaṃ kathaṃ idaṃ katha’’nti pavattanato kathaṃkathā, vicikicchā, sā assa atthīti kathaṃkathīti āha ‘‘vicikiccho hotī’’ti. Kā ettha cintā, ummattako viya hi bālaputhujjanoti paṭikacceva vuttanti adhippāyo. Taṃ mahāmātāya puttaṃ. Muṇḍesunti muṇḍena anicchantaṃ jāgaraṇakāle na sakkāti suttaṃ muṇḍesuṃ kuladhammatāya yathā taṃ ekacce kulatāpasā, rājabhayenāti ca vadanti.

    สีติภูตนฺติ อิทํ มธุรกภาวปฺปตฺติยา การณวจนํฯ ‘‘เสติภูต’’นฺติปิ ปาโฐ, อุทเก จิรฎฺฐาเนน เสตภาวํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Sītibhūtanti idaṃ madhurakabhāvappattiyā kāraṇavacanaṃ. ‘‘Setibhūta’’ntipi pāṭho, udake ciraṭṭhānena setabhāvaṃ pattanti attho.

    อตฺตโน ขตฺติยภาวํ กงฺขติ กโณฺณ วิย สูตปุตฺตสญฺญีฯ ชาติยา วิภาวิยมานาย ‘‘อห’’นฺติ ตสฺส อตฺตโน ปรามสนํ สนฺธายาห ‘‘เอวญฺหิ สิยา กงฺขา’’ติฯ มนุสฺสาปิ จ ราชาโน วิยาติ มนุสฺสาปิ เกจิ เอกเจฺจ ราชาโน วิยาติ อธิปฺปาโยฯ

    Attano khattiyabhāvaṃ kaṅkhati kaṇṇo viya sūtaputtasaññī. Jātiyā vibhāviyamānāya ‘‘aha’’nti tassa attano parāmasanaṃ sandhāyāha ‘‘evañhi siyā kaṅkhā’’ti. Manussāpi ca rājāno viyāti manussāpi keci ekacce rājāno viyāti adhippāyo.

    วุตฺตนยเมว ‘‘สณฺฐานาการํ นิสฺสายา’’ติอาทินาฯ เอตฺถาติ ‘‘กถํ นุ โขสฺมี’’ติ ปเทฯ อพฺภนฺตเร ชีโวติ ปรปริกปฺปิตํ อนฺตรตฺตานํ วทติฯ โสฬสํสาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สรีร-ปริมาณ-ปริมณฺฑล-องฺคุฎฺฐยวปรมาณุ-ปริมาณตาทิเก สงฺคณฺหาติฯ

    Vuttanayameva ‘‘saṇṭhānākāraṃ nissāyā’’tiādinā. Etthāti ‘‘kathaṃ nu khosmī’’ti pade. Abbhantare jīvoti paraparikappitaṃ antarattānaṃ vadati. Soḷasaṃsādīnanti ādi-saddena sarīra-parimāṇa-parimaṇḍala-aṅguṭṭhayavaparamāṇu-parimāṇatādike saṅgaṇhāti.

    ‘‘สตฺตปญฺญตฺติ ชีววิสยา’’ติ ทิฎฺฐิคติกานํ มติมตฺตํ, ปรมตฺถโต ปน สา อตฺตภาววิสยาวาติ อาห ‘‘อตฺตภาวสฺส อาคติคติฎฺฐาน’’นฺติ, ยตายํ อาคโต, ยตฺถ จ คมิสฺสติ, ตํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ

    ‘‘Sattapaññatti jīvavisayā’’ti diṭṭhigatikānaṃ matimattaṃ, paramatthato pana sā attabhāvavisayāvāti āha ‘‘attabhāvassa āgatigatiṭṭhāna’’nti, yatāyaṃ āgato, yattha ca gamissati, taṃ ṭhānanti attho.

    ๑๙. ยถา อยํ วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชตีติ อยํ วุตฺตปฺปเภทา วิจิกิจฺฉา ยถา อุปฺปชฺชติ, เอวํ อโยนิโส มนสิกโรโตฯ เอเตน วิจิกิจฺฉาย อตฺตาภินิเวสสนฺนิสฺสยตมาหฯ ยถา หิ วิจิกิจฺฉา อตฺตาภินิเวสํ นิสฺสาย ปวตฺตติ, ยโต สา สสฺสตาธิจฺจสมุปฺปตฺติสสฺสตุเจฺฉทาการาวลมฺพินี วุตฺตา, เอวํ อตฺตาภินิเวโสปิ ตํ นิสฺสาย ปวตฺตติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อห’’นฺติอาทินา อโนฺตคธาหํการสฺส กถํกถิภาวสฺส อตฺตคฺคาหสนฺนิสฺสยภาวโตฯ เตเนวาห ‘‘สวิจิกิจฺฉสฺส อโยนิโสมนสิการสฺส ถามคตตฺตา’’ติฯ วิกปฺปโตฺถติ อนิยมโตฺถฯ ‘‘อญฺญตรา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตี’’ติ หิ วุตฺตํฯ สุฎฺฐุ ทฬฺหภาเวนาติ อภินิเวสสฺส อติวิย ถามคตภาเวนฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ภเวฯ ปจฺจุปฺปนฺนเมวาติ อวธารเณน อนาคเต อตฺถิภาวํ นิวเตฺตติ, น อตีเต ตตฺถปิ สติ อตฺถิตาย อุเจฺฉทคฺคาหสฺส สพฺภาวโตฯ อตีเต เอว นตฺถิ, น อนาคเตปีติ อธิปฺปาโยฯ

    19.Yathā ayaṃ vicikicchā uppajjatīti ayaṃ vuttappabhedā vicikicchā yathā uppajjati, evaṃ ayoniso manasikaroto. Etena vicikicchāya attābhinivesasannissayatamāha. Yathā hi vicikicchā attābhinivesaṃ nissāya pavattati, yato sā sassatādhiccasamuppattisassatucchedākārāvalambinī vuttā, evaṃ attābhinivesopi taṃ nissāya pavattati ‘‘ahosiṃ nu kho aha’’ntiādinā antogadhāhaṃkārassa kathaṃkathibhāvassa attaggāhasannissayabhāvato. Tenevāha ‘‘savicikicchassa ayonisomanasikārassa thāmagatattā’’ti. Vikappatthoti aniyamattho. ‘‘Aññatarā diṭṭhi uppajjatī’’ti hi vuttaṃ. Suṭṭhu daḷhabhāvenāti abhinivesassa ativiya thāmagatabhāvena. Tattha tatthāti tasmiṃ bhave. Paccuppannamevāti avadhāraṇena anāgate atthibhāvaṃ nivatteti, na atīte tatthapi sati atthitāya ucchedaggāhassa sabbhāvato. Atīte eva natthi, na anāgatepīti adhippāyo.

    สญฺญากฺขนฺธสีเสนาติ สญฺญากฺขนฺธปมุเขน, สญฺญากฺขนฺธํ ปมุขํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ขเนฺธติ ปญฺจปิ ขเนฺธฯ อตฺตาติ คเหตฺวาติ ‘‘สญฺชานนสภาโว เม อตฺตา’’ติ อภินิวิสฺสฯ ปกาเสตพฺพํ วตฺถุํ วิย, อตฺตานมฺปิ ปกาเสโนฺต ปทีโป วิย, สญฺชานิตพฺพํ นีลาทิอารมฺมณํ วิย อตฺตานมฺปิ สญฺชานาตีติ เอวํทิฎฺฐิโตปิ ทิฎฺฐิคติโต โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อตฺตนาว อตฺตานํ สญฺชานามี’’ติฯ สฺวายมโตฺถ สญฺญํ ตทญฺญตรธเมฺม จ ‘‘อตฺตา อนตฺตา’’ติ จ คหณวเสน โหตีติ วุตฺตํ ‘‘สญฺญากฺขนฺธสีเสนา’’ติอาทิฯ เอตฺถ จ ขนฺธวินิมุโตฺต อตฺตาติ คณฺหโต สสฺสตทิฎฺฐิ, ขนฺธํ ปน ‘‘อตฺตา’’ติ คณฺหโต อุเจฺฉททิฎฺฐีติ อาห ‘‘สพฺพาปิ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิโยวา’’ติฯ

    Saññākkhandhasīsenāti saññākkhandhapamukhena, saññākkhandhaṃ pamukhaṃ katvāti attho. Khandheti pañcapi khandhe. Attāti gahetvāti ‘‘sañjānanasabhāvo me attā’’ti abhinivissa. Pakāsetabbaṃ vatthuṃ viya, attānampi pakāsento padīpo viya, sañjānitabbaṃ nīlādiārammaṇaṃ viya attānampi sañjānātīti evaṃdiṭṭhitopi diṭṭhigatito hotīti vuttaṃ ‘‘attanāva attānaṃ sañjānāmī’’ti. Svāyamattho saññaṃ tadaññataradhamme ca ‘‘attā anattā’’ti ca gahaṇavasena hotīti vuttaṃ ‘‘saññākkhandhasīsenā’’tiādi. Ettha ca khandhavinimutto attāti gaṇhato sassatadiṭṭhi, khandhaṃ pana ‘‘attā’’ti gaṇhato ucchedadiṭṭhīti āha ‘‘sabbāpi sassatucchedadiṭṭhiyovā’’ti.

    อภินิเวสาการาติ วิปริเยสาการาฯ วทตีติ อิมินา การกเวทกสตฺตานํ หิตสุขาวโพธนสมตฺถตํ อตฺตโน ทีเปติฯ เตนาห ‘‘วจีกมฺมสฺส การโก’’ติฯ เวเทตีติ เวทิโย, เวทิโยว เวเทโยฺยฯ อีทิสานญฺหิ ปทานํ พหุลา กตฺตุสาธนตํ สทฺทสตฺถวิทู มญฺญนฺติฯ อุปฺปาทวโต เอกเนฺตเนว วโย อิจฺฉิตโพฺพ, สติ จ อุทยพฺพยเตฺต เนว นิจฺจตาติ ‘‘นิโจฺจ’’ติ วทนฺตสฺส อธิปฺปายํ วิวรโนฺต อาห ‘‘อุปฺปาทวยรหิโต’’ติฯ สารภูโตติ นิจฺจตาย เอว สารภาโวฯ สพฺพกาลิโกติ สพฺพสฺมิํ กาเล วิชฺชมาโนฯ ปกติภาวนฺติ สภาวภูตํ ปกติํ, ‘‘วโท’’ติอาทินา วา วุตฺตํ ปกติสงฺขาตํ สภาวํฯ สสฺสติสมนฺติ สสฺสติยา สมํ สสฺสติสมํ, ถาวรํ นิจฺจกาลนฺติ อโตฺถฯ ตเถว ฐสฺสตีติ เยนากาเรน ปุเพฺพ อฎฺฐาสิ, เอตรหิ ติฎฺฐติ, ตเถว เตนากาเรน อนาคเตปิ ฐสฺสตีติ อโตฺถฯ

    Abhinivesākārāti vipariyesākārā. Vadatīti iminā kārakavedakasattānaṃ hitasukhāvabodhanasamatthataṃ attano dīpeti. Tenāha ‘‘vacīkammassa kārako’’ti. Vedetīti vediyo, vediyova vedeyyo. Īdisānañhi padānaṃ bahulā kattusādhanataṃ saddasatthavidū maññanti. Uppādavato ekanteneva vayo icchitabbo, sati ca udayabbayatte neva niccatāti ‘‘nicco’’ti vadantassa adhippāyaṃ vivaranto āha ‘‘uppādavayarahito’’ti. Sārabhūtoti niccatāya eva sārabhāvo. Sabbakālikoti sabbasmiṃ kāle vijjamāno. Pakatibhāvanti sabhāvabhūtaṃ pakatiṃ, ‘‘vado’’tiādinā vā vuttaṃ pakatisaṅkhātaṃ sabhāvaṃ. Sassatisamanti sassatiyā samaṃ sassatisamaṃ, thāvaraṃ niccakālanti attho. Tatheva ṭhassatīti yenākārena pubbe aṭṭhāsi, etarahi tiṭṭhati, tatheva tenākārena anāgatepi ṭhassatīti attho.

    ปจฺจกฺขนิทสฺสนํ อิทํ-สทฺทสฺส อาสนฺนปจฺจกฺขภาวํ กตฺวาฯ ทิฎฺฐิเยว ทิฎฺฐิคตนฺติ คต-สทฺทสฺส ปทวฑฺฒนมตฺตตํ อาหฯ ทิฎฺฐีสุคตนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐีสุ ปริยาปนฺนนฺติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิอโนฺตคธตฺตา’’ติฯ ทิฎฺฐิยา คมนมตฺตนฺติ ทิฎฺฐิยา คหณมตฺตํฯ ยถา ปน ปพฺพตชลวิทุคฺคานิ ทุนฺนิคฺคมนานิ, เอวํ ทิฎฺฐิคฺคาโหปีติ อาห ‘‘ทุนฺนิคฺคมนเฎฺฐน คหน’’นฺติฯ ตํ นาม อุทกํ, ตํ คเหตฺวา ตํ อติกฺกมิตพฺพโต กนฺตาโร, นิรุทกวนํ, ตํ ปวนนฺติปิ วุจฺจติฯ อโญฺญ ปน อรญฺญปเทโส ทุรติกฺกมนเฎฺฐน กนฺตาโร วิยาติ, เอวํ ทิฎฺฐิปีติ อาห ‘‘ทุรติกฺกมนเฎฺฐนา’’ติอาทิฯ วินิวิชฺฌนํ วิตุทนํฯ วิโลมนํ วิปริณามภาโวฯ อนวฎฺฐิตสภาวตาย วิจลิตํ วิปฺผนฺทิตนฺติ อาห ‘‘กทาจี’’ติอาทิฯ อนฺทุพนฺธนาทิ วิย นิสฺสริตุํ อปฺปทานวเสน อเสริภาวกรณํ พนฺธนโฎฺฐ, กิเลสกมฺมวิปากวฎฺฎานํ ปจฺจยภาเวน ทูรคตมฺปิ อากฑฺฒิตฺวา สํโยชนํ สํโยชนโฎฺฐ, ทิฎฺฐิปิ ตถารูปาติ วุตฺตํ ‘‘ทิฎฺฐิสํโยชน’’นฺติฯ พนฺธนตฺถํ ทเสฺสโนฺต กิจฺจสิทฺธิยาติ อธิปฺปาโยฯ เตเนวาห ‘‘ทิฎฺฐิสํโยชเนน…เป.… มุจฺจตี’’ติฯ ตตฺถ เอเตหีติ อิมินา ชาติอาทิทุกฺขสฺส ปจฺจยภาวมาหฯ ชาติอาทิเก ทุกฺขธเมฺม สรูปโต ทเสฺสตฺวาปิ ‘‘น ปริมุจฺจติ ทุกฺขสฺมา’’ติ วทเนฺตน ภควตา ทิฎฺฐิสํโยชนํ นาม สพฺพานตฺถกรํ มหาสาวชฺชํ สพฺพสฺสปิ ทุกฺขสฺส มูลภูตนฺติ อยมโตฺถ วิภาวิโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘กิํ วา พหุนา, สกลวฎฺฎทุกฺขโตปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Paccakkhanidassanaṃ idaṃ-saddassa āsannapaccakkhabhāvaṃ katvā. Diṭṭhiyeva diṭṭhigatanti gata-saddassa padavaḍḍhanamattataṃ āha. Diṭṭhīsugatanti micchādiṭṭhīsu pariyāpannanti attho. Tenevāha ‘‘dvāsaṭṭhidiṭṭhiantogadhattā’’ti. Diṭṭhiyā gamanamattanti diṭṭhiyā gahaṇamattaṃ. Yathā pana pabbatajalaviduggāni dunniggamanāni, evaṃ diṭṭhiggāhopīti āha ‘‘dunniggamanaṭṭhena gahana’’nti. Taṃ nāma udakaṃ, taṃ gahetvā taṃ atikkamitabbato kantāro, nirudakavanaṃ, taṃ pavanantipi vuccati. Añño pana araññapadeso duratikkamanaṭṭhena kantāro viyāti, evaṃ diṭṭhipīti āha ‘‘duratikkamanaṭṭhenā’’tiādi. Vinivijjhanaṃ vitudanaṃ. Vilomanaṃ vipariṇāmabhāvo. Anavaṭṭhitasabhāvatāya vicalitaṃ vipphanditanti āha ‘‘kadācī’’tiādi. Andubandhanādi viya nissarituṃ appadānavasena aseribhāvakaraṇaṃ bandhanaṭṭho, kilesakammavipākavaṭṭānaṃ paccayabhāvena dūragatampi ākaḍḍhitvā saṃyojanaṃ saṃyojanaṭṭho, diṭṭhipi tathārūpāti vuttaṃ ‘‘diṭṭhisaṃyojana’’nti. Bandhanatthaṃ dassento kiccasiddhiyāti adhippāyo. Tenevāha ‘‘diṭṭhisaṃyojanena…pe… muccatī’’ti. Tattha etehīti iminā jātiādidukkhassa paccayabhāvamāha. Jātiādike dukkhadhamme sarūpato dassetvāpi ‘‘na parimuccati dukkhasmā’’ti vadantena bhagavatā diṭṭhisaṃyojanaṃ nāma sabbānatthakaraṃ mahāsāvajjaṃ sabbassapi dukkhassa mūlabhūtanti ayamattho vibhāvitoti dassetuṃ ‘‘kiṃ vā bahunā, sakalavaṭṭadukkhatopi na muccatī’’ti vuttaṃ.

    ๒๐. นนุ เจตฺถ ทิฎฺฐิสํโยชนทสฺสเนน สีลพฺพตปรามาโสปิ ทเสฺสตโพฺพ, เอวญฺหิ ทสฺสเนน ปหาตพฺพา อาสวา อนวเสสโต ทสฺสิตา โหนฺตีติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘ยสฺมา’’ติอาทิฯ สีลพฺพตปรามาโส กามาสวาทิคฺคหเณเนว คหิโต โหติ กามาสวาทิเหตุกตฺตา ตสฺสฯ อปฺปหีนกามราคาทิโก หิ กามสุขตฺถํ วา ภวสุทฺธตฺถํ วา เอวํ ภววิสุทฺธิ โหตีติ สีลพฺพตานิ ปรามสนฺติ, ‘‘อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา เทโว วา ภวิสฺสามิ เทวญฺญตโร วา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๘๖; ม. นิ. ๒.๗๙), ‘‘ตตฺถ นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธโมฺม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๙), ‘‘สีเลน สุทฺธิ วเตน สุทฺธิ สีลพฺพเตน สุทฺธี’’ติ (ธ. ส. ๑๒๒๒) จ สุเตฺตวุตฺตํ สีลพฺพตํ ปรามสนฺติฯ ตตฺถ ภวสุขภววิสุทฺธิอตฺถนฺติ ภวสุขตฺถญฺจ ภววิสุทฺธิอตฺถญฺจฯ ตสฺส คหิตตฺตาติ สีลพฺพตปรามาสสฺส ทิฎฺฐิคฺคหเณน คหิตตฺตา ยถา ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๒๗๗)ฯ เตสนฺติ ทสฺสนปหาตพฺพานํฯ ทเสฺสตุํ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนายฯ ตพฺพิปรีตสฺสาติ โยนิโสมนสิกโรโต กลฺยาณปุถุชฺชนสฺสฯ

    20. Nanu cettha diṭṭhisaṃyojanadassanena sīlabbataparāmāsopi dassetabbo, evañhi dassanena pahātabbā āsavā anavasesato dassitā hontīti codanaṃ sandhāyāha ‘‘yasmā’’tiādi. Sīlabbataparāmāso kāmāsavādiggahaṇeneva gahito hoti kāmāsavādihetukattā tassa. Appahīnakāmarāgādiko hi kāmasukhatthaṃ vā bhavasuddhatthaṃ vā evaṃ bhavavisuddhi hotīti sīlabbatāni parāmasanti, ‘‘imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā devo vā bhavissāmi devaññataro vā’’ti (ma. ni. 1.186; ma. ni. 2.79), ‘‘tattha nicco dhuvo sassato avipariṇāmadhammo sassatisamaṃ tatheva ṭhassāmī’’ti (ma. ni. 1.19), ‘‘sīlena suddhi vatena suddhi sīlabbatena suddhī’’ti (dha. sa. 1222) ca suttevuttaṃ sīlabbataṃ parāmasanti. Tattha bhavasukhabhavavisuddhiatthanti bhavasukhatthañca bhavavisuddhiatthañca. Tassa gahitattāti sīlabbataparāmāsassa diṭṭhiggahaṇena gahitattā yathā ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādīsu (dha. sa. 277). Tesanti dassanapahātabbānaṃ. Dassetuṃ puggalādhiṭṭhānāya desanāya. Tabbiparītassāti yonisomanasikaroto kalyāṇaputhujjanassa.

    ตสฺสาติ ‘‘สุตวา’’ติอาทิปาฐสฺสฯ ตาวาติ ‘‘สุตวา’’ติ อิโต ปฎฺฐาย ยาว ‘‘โส อิทํ ทุกฺข’’นฺติ ปทํ, ตาว อิมํ ปทํ อวธิํ กตฺวาติ อโตฺถฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยนาติ อริยสปฺปุริส-อริยธมฺม-สปฺปุริสธมฺม-มนสิกรณีย-อมนสิกรณียปทานํ ยถากฺกมํ มูลปริยาเย อิธ คเหตฺวา วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ วุตฺตปจฺจนีกโตติ ‘‘สุตวา อริยสาวโก, อริยานํ ทสฺสาวี, สปฺปุริสานํ ทสฺสาวี’’ติ เอเตสํ ปทานํ สพฺพากาเรน วุตฺตวิปรีตโต อโตฺถ เวทิตโพฺพ, โกวิทวินีตปทานํ ปน น สพฺพปฺปกาเรน วุตฺตวิปรีตโตฯ อรหา หิ นิปฺปริยาเยน อริยธเมฺม โกวิโท อริยธเมฺม สุวินีโต จ นามฯ เตนาห ‘‘ปจฺจนีกโต จ สพฺพากาเรน…เป.… อริยสาวโกติ เวทิตโพฺพ’’ติฯ สงฺขารุเปกฺขาญาณํ สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนาฯ เกจิ ปน ‘‘ภงฺคญาณโต ปฎฺฐาย สิขาปตฺตวิปสฺสนา’’ติ วทนฺติ, ตทยุตฺตํ ฯ ตทนุรูเปน อเตฺถนาติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส อนุรูเปน อริยเฎฺฐน, น ปฎิเวธวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ กลฺยาณปุถุชฺชโน หิ อยํฯ ยถา จสฺส ‘‘โยปิ กลฺยาณปุถุชฺชโน’’ติ อารภิตฺวา ‘‘โสปิ วุจฺจติ สิกฺขตีติ เสโกฺข’’ติ ปริยาเยน เสกฺขสุเตฺต (สํ. นิ. ๕.๑๓) เสกฺขภาโว วุโตฺต, เอวํ อิธ อริยสาวกภาโว วุโตฺตฯ วุฎฺฐานคามินีวิปสฺสนาลกฺขเณหิ เย อริยสปฺปุริสธมฺมวินยสงฺขาตา โพธิปกฺขิยธมฺมา ติโสฺส สิกฺขา เอว วา สมฺภวนฺติ, เตสํ วเสน อิมสฺส อริยสาวกาทิภาโว วุโตฺต ฯ เตนาห ‘‘ตทนุรูเปน อเตฺถนา’’ติฯ อริยสฺส สาวโกติ วา อริยสาวกเตฺถน เอว วุโตฺต ยถา ‘‘อคมา ราชคหํ พุโทฺธ’’ติ (สุ. นิ. ๔๑๐)ฯ สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนาคฺคหณเญฺจตฺถ วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อนิวตฺติปฎิปทายํ ฐิตสฺส คหณตฺถนฺติ ยถาวุตฺตา อตฺถสํวณฺณนา สุฎฺฐุตรํ ยุชฺชเตวฯ

    Tassāti ‘‘sutavā’’tiādipāṭhassa. Tāvāti ‘‘sutavā’’ti ito paṭṭhāya yāva ‘‘so idaṃ dukkha’’nti padaṃ, tāva imaṃ padaṃ avadhiṃ katvāti attho. Heṭṭhā vuttanayenāti ariyasappurisa-ariyadhamma-sappurisadhamma-manasikaraṇīya-amanasikaraṇīyapadānaṃ yathākkamaṃ mūlapariyāye idha gahetvā vuttanayena attho veditabboti sambandho. Vuttapaccanīkatoti ‘‘sutavā ariyasāvako, ariyānaṃ dassāvī, sappurisānaṃ dassāvī’’ti etesaṃ padānaṃ sabbākārena vuttaviparītato attho veditabbo, kovidavinītapadānaṃ pana na sabbappakārena vuttaviparītato. Arahā hi nippariyāyena ariyadhamme kovido ariyadhamme suvinīto ca nāma. Tenāha ‘‘paccanīkato ca sabbākārena…pe… ariyasāvakoti veditabbo’’ti. Saṅkhārupekkhāñāṇaṃ sikhāppattavipassanā. Keci pana ‘‘bhaṅgañāṇato paṭṭhāya sikhāpattavipassanā’’ti vadanti, tadayuttaṃ . Tadanurūpena atthenāti tassa puggalassa anurūpena ariyaṭṭhena, na paṭivedhavasenāti adhippāyo. Kalyāṇaputhujjano hi ayaṃ. Yathā cassa ‘‘yopi kalyāṇaputhujjano’’ti ārabhitvā ‘‘sopi vuccati sikkhatīti sekkho’’ti pariyāyena sekkhasutte (saṃ. ni. 5.13) sekkhabhāvo vutto, evaṃ idha ariyasāvakabhāvo vutto. Vuṭṭhānagāminīvipassanālakkhaṇehi ye ariyasappurisadhammavinayasaṅkhātā bodhipakkhiyadhammā tisso sikkhā eva vā sambhavanti, tesaṃ vasena imassa ariyasāvakādibhāvo vutto . Tenāha ‘‘tadanurūpena atthenā’’ti. Ariyassa sāvakoti vā ariyasāvakatthena eva vutto yathā ‘‘agamā rājagahaṃ buddho’’ti (su. ni. 410). Sikhāppattavipassanāggahaṇañcettha vipassanaṃ ussukkāpetvā anivattipaṭipadāyaṃ ṭhitassa gahaṇatthanti yathāvuttā atthasaṃvaṇṇanā suṭṭhutaraṃ yujjateva.

    ๒๑. ยถา ธาตุมุเขน วิปสฺสนํ อภินิวิโฎฺฐ ธาตุกมฺมฎฺฐานิโก อายตนาทิมุเขน อภินิวิโฎฺฐ อายตนาทิกมฺมฎฺฐานิโก, เอวํ สจฺจมุเขน อภินิวิโฎฺฐติ วุตฺตํ ‘‘จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานิโก’’ติฯ จตุโรฆนิตฺถรณตฺถิเกหิ กาตพฺพโต กมฺมํ, ภาวนาฯ กมฺมเมว วิเสสาธิคมสฺส ฐานํ การณนฺติ, กเมฺม วา ยถาวุตฺตนเฎฺฐน ฐานํ อวฎฺฐานํ ภาวนารโมฺภกมฺมฎฺฐานํ, ตเทว จตุสจฺจมุเขน ปวตฺตํ เอตสฺส อตฺถีติ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานิโกฯ อุภยํ นปฺปวตฺตติ เอตฺถาติ อปฺปวตฺติอุคฺคหิตจตุสจฺจกมฺมฎฺฐาโนติ จ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ ปาฬิโต อตฺถโต จ อุคฺคเหตฺวา มนสิการโยคฺคํ กตฺวา ฐิโตฯ วิปสฺสนามคฺคํ สมารุโฬฺหติ สปฺปจฺจยนามรูปทสฺสเน ปติฎฺฐาย ตเทว นามรูปํ อนิจฺจาทิโต สมฺมสโนฺตฯ สมนฺนาหรตีติ วิปสฺสนาวชฺชนํ สนฺธายาห, ตสฺมา ยถา ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ วิปสฺสนาญาณํ ปวตฺตติ, เอวํ สมนฺนาหรติ อาวชฺชตีติ อโตฺถฯ กถํ ปเนตฺถ ‘‘มนสิ กโรตี’’ติ อิมินา ‘‘วิปสฺสตี’’ติ อยมโตฺถ วุโตฺต โหตีติ อาห ‘‘เอตฺถ…เป.… วุตฺตา’’ติฯ เอตฺถาติ จ อิมสฺมิํ สุเตฺตติ อโตฺถฯ วิปสฺสตีติ จ ยถา อุปริ วิเสสาธิคโม โหติ, เอวํ ญาณจกฺขุนา วิปสฺสติ, โอโลเกตีติ อโตฺถฯ มโคฺคปิ วตฺตโพฺพฯ ปุริมญฺหิ สจฺจทฺวยํ คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสํ, อิตรํ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรํฯ

    21. Yathā dhātumukhena vipassanaṃ abhiniviṭṭho dhātukammaṭṭhāniko āyatanādimukhena abhiniviṭṭho āyatanādikammaṭṭhāniko, evaṃ saccamukhena abhiniviṭṭhoti vuttaṃ ‘‘catusaccakammaṭṭhāniko’’ti. Caturoghanittharaṇatthikehi kātabbato kammaṃ, bhāvanā. Kammameva visesādhigamassa ṭhānaṃ kāraṇanti, kamme vā yathāvuttanaṭṭhena ṭhānaṃ avaṭṭhānaṃ bhāvanārambhokammaṭṭhānaṃ, tadeva catusaccamukhena pavattaṃ etassa atthīti catusaccakammaṭṭhāniko. Ubhayaṃ nappavattati etthāti appavatti. Uggahitacatusaccakammaṭṭhānoti ca catusaccakammaṭṭhānaṃ pāḷito atthato ca uggahetvā manasikārayoggaṃ katvā ṭhito. Vipassanāmaggaṃ samāruḷhoti sappaccayanāmarūpadassane patiṭṭhāya tadeva nāmarūpaṃ aniccādito sammasanto. Samannāharatīti vipassanāvajjanaṃ sandhāyāha, tasmā yathā ‘‘idaṃ dukkha’’nti vipassanāñāṇaṃ pavattati, evaṃ samannāharati āvajjatīti attho. Kathaṃ panettha ‘‘manasi karotī’’ti iminā ‘‘vipassatī’’ti ayamattho vutto hotīti āha ‘‘ettha…pe… vuttā’’ti. Etthāti ca imasmiṃ sutteti attho. Vipassatīti ca yathā upari visesādhigamo hoti, evaṃ ñāṇacakkhunā vipassati, oloketīti attho. Maggopi vattabbo. Purimañhi saccadvayaṃ gambhīrattā duddasaṃ, itaraṃ duddasattā gambhīraṃ.

    อภินิเวโสติ วิปสฺสนาภินิเวโส วิปสฺสนาปฎิปตฺติฯ ตทารมฺมเณติ ตํ รูปกฺขนฺธํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวเตฺตฯ ยาถาวสรสลกฺขณํ ววตฺถเปตฺวาติ อวิปรีตํ อตฺตโน อารมฺมณํ สภาวเจฺฉทนาทิกิจฺจเญฺจว อญฺญาณาทิลกฺขณญฺจ อสงฺกรโต หทเย ฐเปตฺวาฯ อิมินา ปุเพฺพ นามรูปปริเจฺฉเท กเตปิ ธมฺมานํ สลกฺขณววตฺถาปนํ ปจฺจยปริคฺคเหน สุววตฺถาปิตํ นาม โหตีติ ทเสฺสติ ยถา ‘‘ทฺวิกฺขตฺตุํ พทฺธํ สุพทฺธ’’นฺติฯ เอวญฺหิ ญาตปริญฺญาย กิจฺจํ สิทฺธํ นาม โหติฯ ปจฺจยโต ปจฺจยุปฺปนฺนโต จ ววตฺถาปิตตฺตา ปากฎภาเวน สิเทฺธนปิ สิทฺธภาโว ปากโฎ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อหุตฺวา โหนฺตี’’ติฯ อนิจฺจลกฺขณํ อาโรเปตีติ อสโต หิ อุปฺปาเทน ภวิตพฺพํ, น สโต, อุปฺปาทวนฺตโต จ เนสํ เอกเนฺตน อิจฺฉิตพฺพา ปจฺจยายตฺตวุตฺติภาวโต, สติ อุปฺปาเท อวสฺสํภาวี นิโรโธติ นเตฺถว นิจฺจตาวกาโสติฯ สูปฎฺฐิตานิจฺจตาย จ อุทยพฺพยธเมฺมหิ อภิณฺหปฎิปีฬนโต ทุกฺขมนเฎฺฐน ทุกฺขํฯ เตนาห ‘‘อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตฺตา ทุกฺขาติ ทุกฺขลกฺขณํ อาโรเปตี’’ติฯ กตฺถจิปิ สงฺขารคเต ‘‘มา ชีริ มา พฺยาธิยี’’ติ อลพฺภนโต นตฺถิ วสวตฺตนนฺติ อาห ‘‘อวสวตฺตนโต อนตฺตาติ อนตฺตลกฺขณํ อาโรเปตี’’ติฯ ปฎิปาฎิยาติ อุทยพฺพยญาณาทิปรมฺปรายฯ

    Abhinivesoti vipassanābhiniveso vipassanāpaṭipatti. Tadārammaṇeti taṃ rūpakkhandhaṃ ārammaṇaṃ katvā pavatte. Yāthāvasarasalakkhaṇaṃ vavatthapetvāti aviparītaṃ attano ārammaṇaṃ sabhāvacchedanādikiccañceva aññāṇādilakkhaṇañca asaṅkarato hadaye ṭhapetvā. Iminā pubbe nāmarūpaparicchede katepi dhammānaṃ salakkhaṇavavatthāpanaṃ paccayapariggahena suvavatthāpitaṃ nāma hotīti dasseti yathā ‘‘dvikkhattuṃ baddhaṃ subaddha’’nti. Evañhi ñātapariññāya kiccaṃ siddhaṃ nāma hoti. Paccayato paccayuppannato ca vavatthāpitattā pākaṭabhāvena siddhenapi siddhabhāvo pākaṭo hotīti vuttaṃ ‘‘ahutvā hontī’’ti. Aniccalakkhaṇaṃ āropetīti asato hi uppādena bhavitabbaṃ, na sato, uppādavantato ca nesaṃ ekantena icchitabbā paccayāyattavuttibhāvato, sati uppāde avassaṃbhāvī nirodhoti nattheva niccatāvakāsoti. Sūpaṭṭhitāniccatāya ca udayabbayadhammehi abhiṇhapaṭipīḷanato dukkhamanaṭṭhena dukkhaṃ. Tenāha ‘‘udayabbayapaṭipīḷitattā dukkhāti dukkhalakkhaṇaṃ āropetī’’ti. Katthacipi saṅkhāragate ‘‘mā jīri mā byādhiyī’’ti alabbhanato natthi vasavattananti āha ‘‘avasavattanato anattāti anattalakkhaṇaṃ āropetī’’ti. Paṭipāṭiyāti udayabbayañāṇādiparamparāya.

    ตสฺมิํ ขเณติ โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณฯ เอกปฎิเวเธเนวาติ เอกญาเณเนว ปฎิวิชฺฌเนนฯ ปฎิเวโธ ปฎิฆาตาภาเวน วิสเย นิสฺสงฺคจารสงฺขาตํ นิพฺพิชฺฌนํฯ อภิสมโย อวิรชฺฌิตฺวา วิสยสฺส อธิคมสงฺขาโต อวโพโธฯ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ, เอตฺตกํ ทุกฺขํ, น อิโต ภิโยฺย’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ชานนเมว วุตฺตนเยน ปฎิเวโธติ ปริญฺญาปฎิเวโธฯ อยํ ยถา ญาเณ ปวเตฺต ปจฺฉา ทุกฺขสฺส สรูปาทิปริเจฺฉเท สโมฺมโห น โหติ, ตถา ปวตฺติํ คเหตฺวา วุโตฺต, น ปน มคฺคญาณสฺส ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติอาทินาปิ วตฺตนโตฯ เตนาห ‘‘น หิสฺส ตสฺมิํ สมเย’’ติอาทิฯ ปหีนสฺส ปุน อปฺปหาตพฺพตาย ปกฎฺฐํ หานํ จชนํ สมุจฺฉินฺทนํ ปหานํ, ปหานเมว วุตฺตนเยน ปฎิเวโธติ ปหานปฎิเวโธฯ อยมฺปิ เยน กิเลเสน อปฺปหียมาเนน มคฺคภาวนาย น ภวิตพฺพํ, อสติ จ มคฺคภาวนาย โย อุปฺปเชฺชยฺย, ตสฺส กิเลสสฺส ปทฆาตํ กโรนฺตสฺส อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทนฺตสฺส ญาณสฺส ตถาปวตฺติยา ปฎิฆาตาภาเวน นิสฺสงฺคจารํ อุปาทาย เอวํ วุโตฺตฯ สจฺฉิกิริยา ปจฺจกฺขกรณํ, อนุสฺสวาการปริวิตกฺกาทิเก มุญฺจิตฺวา สรูปโต อารมฺมณกรณํ อิทํ ตนฺติ ยถาสภาวโต คหณํ, สา เอว วุตฺตนเยน ปฎิเวโธติ สจฺฉิกิริยาปฎิเวโธฯ อยํ ปน ยสฺส อาวรณสฺส อสมุจฺฉินฺทนโต ญาณํ นิโรธํ อาลมฺพิตุํ น สโกฺกติ, ตสฺส สมุจฺฉินฺทนโต ตํ สรูปโต วิภาวิตเมว ปวตฺตตีติ เอวํ วุโตฺตฯ

    Tasmiṃ khaṇeti sotāpattimaggakkhaṇe. Ekapaṭivedhenevāti ekañāṇeneva paṭivijjhanena. Paṭivedho paṭighātābhāvena visaye nissaṅgacārasaṅkhātaṃ nibbijjhanaṃ. Abhisamayo avirajjhitvā visayassa adhigamasaṅkhāto avabodho. ‘‘Idaṃ dukkhaṃ, ettakaṃ dukkhaṃ, na ito bhiyyo’’ti paricchinditvā jānanameva vuttanayena paṭivedhoti pariññāpaṭivedho. Ayaṃ yathā ñāṇe pavatte pacchā dukkhassa sarūpādiparicchede sammoho na hoti, tathā pavattiṃ gahetvā vutto, na pana maggañāṇassa ‘‘idaṃ dukkha’’ntiādināpi vattanato. Tenāha ‘‘na hissa tasmiṃ samaye’’tiādi. Pahīnassa puna appahātabbatāya pakaṭṭhaṃ hānaṃ cajanaṃ samucchindanaṃ pahānaṃ, pahānameva vuttanayena paṭivedhoti pahānapaṭivedho. Ayampi yena kilesena appahīyamānena maggabhāvanāya na bhavitabbaṃ, asati ca maggabhāvanāya yo uppajjeyya, tassa kilesassa padaghātaṃ karontassa anuppattidhammataṃ āpādentassa ñāṇassa tathāpavattiyā paṭighātābhāvena nissaṅgacāraṃ upādāya evaṃ vutto. Sacchikiriyā paccakkhakaraṇaṃ, anussavākāraparivitakkādike muñcitvā sarūpato ārammaṇakaraṇaṃ idaṃ tanti yathāsabhāvato gahaṇaṃ, sā eva vuttanayena paṭivedhoti sacchikiriyāpaṭivedho. Ayaṃ pana yassa āvaraṇassa asamucchindanato ñāṇaṃ nirodhaṃ ālambituṃ na sakkoti, tassa samucchindanato taṃ sarūpato vibhāvitameva pavattatīti evaṃ vutto.

    ภาวนา อุปฺปาทนา วฑฺฒนา จ, ตตฺถ ปฐมมเคฺค อุปฺปาทนเฎฺฐน, ทุติยาทีสุ วฑฺฒนเฎฺฐน, อุภยตฺถาปิ วา อุภยถาปิ เวทิตพฺพํฯ ปฐมมโคฺคปิ หิ ยถารหํ วุฎฺฐานคามินิยํ ปวตฺตํ ปริชานนาทิํ วเฑฺฒโนฺต ปวโตฺตติ ตตฺถาปิ วฑฺฒนเฎฺฐน ภาวนา สกฺกา วิญฺญาตุํฯ ทุติยาทีสุปิ อปฺปหีนกิเลสปฺปหานโต ปุคฺคลนฺตรสาธนโต อุปฺปาทนเฎฺฐน ภาวนา, สา เอว วุตฺตนเยน ปฎิเวโธติ ภาวนา ปฎิเวโธฯ อยมฺปิ หิ ยถา ญาเณ ปวเตฺต ปจฺฉา มคฺคธมฺมานํ สรูปปริเจฺฉเท สโมฺมโห น โหติ, ตถา ปวตฺติเมว คเหตฺวา วุโตฺต, ติฎฺฐตุ ตาว ยถาธิคตมคฺคธมฺมํ ยถาปวเตฺตสุ ผลธเมฺมสุปิ อยํ ยถาธิคตสจฺจธเมฺมสุ วิย วิคตสโมฺมโหว โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม ปตฺตธโมฺม วิทิตธโมฺม ปริโยคาฬฺหธโมฺม’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๙๙, ๓๕๖; มหาว. ๒๗, ๕๗)ฯ ยโต จสฺส ธมฺมตาสโญฺจทิตา ยถาธิคตสจฺจธมฺมาวลมฺพินิโย มคฺควีถิโต ปรโต มคฺคผลปหีนาวสิฎฺฐกิเลสนิพฺพานานํ ปจฺจเวกฺขณา ปวตฺตนฺติฯ ทุกฺขสจฺจธมฺมา หิ สกฺกายทิฎฺฐิอาทโยฯ อยญฺจ อตฺถวณฺณนา ‘‘ปริญฺญาภิสมเยนา’’ติอาทีสุปิ วิภาเวตพฺพาฯ เอกาภิสมเยน อภิสเมตีติ วุตฺตเมวตฺถํ วิภูตตรํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โน จ โข อญฺญมเญฺญน ญาเณนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Bhāvanā uppādanā vaḍḍhanā ca, tattha paṭhamamagge uppādanaṭṭhena, dutiyādīsu vaḍḍhanaṭṭhena, ubhayatthāpi vā ubhayathāpi veditabbaṃ. Paṭhamamaggopi hi yathārahaṃ vuṭṭhānagāminiyaṃ pavattaṃ parijānanādiṃ vaḍḍhento pavattoti tatthāpi vaḍḍhanaṭṭhena bhāvanā sakkā viññātuṃ. Dutiyādīsupi appahīnakilesappahānato puggalantarasādhanato uppādanaṭṭhena bhāvanā, sā eva vuttanayena paṭivedhoti bhāvanā paṭivedho. Ayampi hi yathā ñāṇe pavatte pacchā maggadhammānaṃ sarūpaparicchede sammoho na hoti, tathā pavattimeva gahetvā vutto, tiṭṭhatu tāva yathādhigatamaggadhammaṃ yathāpavattesu phaladhammesupi ayaṃ yathādhigatasaccadhammesu viya vigatasammohova hoti. Tena vuttaṃ ‘‘diṭṭhadhammo pattadhammo viditadhammo pariyogāḷhadhammo’’ti (dī. ni. 1.299, 356; mahāva. 27, 57). Yato cassa dhammatāsañcoditā yathādhigatasaccadhammāvalambiniyo maggavīthito parato maggaphalapahīnāvasiṭṭhakilesanibbānānaṃ paccavekkhaṇā pavattanti. Dukkhasaccadhammā hi sakkāyadiṭṭhiādayo. Ayañca atthavaṇṇanā ‘‘pariññābhisamayenā’’tiādīsupi vibhāvetabbā. Ekābhisamayena abhisametīti vuttamevatthaṃ vibhūtataraṃ katvā dassetuṃ ‘‘no ca kho aññamaññena ñāṇenā’’tiādi vuttaṃ.

    วิตณฺฑวาที ปนาห ‘‘อริยมคฺคญาณํ จตูสุ สเจฺจสุ นานาภิสมยวเสน กิจฺจกรณํ, น เอกาภิสมยวเสนฯ ตญฺหิ กาเลน ทุกฺขํ ปชานาติ, กาเลน สมุทยํ ปชหติ, กาเลน นิโรธํ สจฺฉิกโรติ, กาเลน มคฺคํ ภาเวติ, อญฺญถา เอกสฺส ญาณสฺส เอกสฺมิํ ขเณ จตุกิจฺจกรณํ น ยุชฺชติฯ น หิทํ กตฺถจิ ทิฎฺฐมฺปิ สุตฺตํ อตฺถี’’ติฯ โส วตฺตโพฺพ – ยทิ อริยมคฺคญาณํ นานาภิสมยวเสน สจฺจานิ อภิสเมติ, น เอกาภิสมยวเสน, เอวํ สเนฺต ปเจฺจกมฺปิ สเจฺจสุ นานกฺขเณเนว ปวเตฺตยฺย, น เอกกฺขเณน, ตถา สติ ทุกฺขาทีนํ เอกเทเสกเทสเมว ปริชานาติ ปชหตีติ อาปชฺชตีติ นานาภิสมเย ปฐมมคฺคาทีหิ ปหาตพฺพานํ สโญฺญชนตฺตยาทีนํ เอกเทเสกเทสปฺปหานํ สิยาติ เอกเทสโสตาปตฺติมคฺคฎฺฐาทิตา, ตโต เอว เอกเทสโสตาปนฺนาทิตา จ อาปชฺชติ อนนฺตรผลตฺตา โลกุตฺตรกุสลานํ, น จ ตํ ยุตฺตํฯ น หิ กาลเภเทน วินา โส เอว โสตาปโนฺน จ อโสตาปโนฺน จาติ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ

    Vitaṇḍavādī panāha ‘‘ariyamaggañāṇaṃ catūsu saccesu nānābhisamayavasena kiccakaraṇaṃ, na ekābhisamayavasena. Tañhi kālena dukkhaṃ pajānāti, kālena samudayaṃ pajahati, kālena nirodhaṃ sacchikaroti, kālena maggaṃ bhāveti, aññathā ekassa ñāṇassa ekasmiṃ khaṇe catukiccakaraṇaṃ na yujjati. Na hidaṃ katthaci diṭṭhampi suttaṃ atthī’’ti. So vattabbo – yadi ariyamaggañāṇaṃ nānābhisamayavasena saccāni abhisameti, na ekābhisamayavasena, evaṃ sante paccekampi saccesu nānakkhaṇeneva pavatteyya, na ekakkhaṇena, tathā sati dukkhādīnaṃ ekadesekadesameva parijānāti pajahatīti āpajjatīti nānābhisamaye paṭhamamaggādīhi pahātabbānaṃ saññojanattayādīnaṃ ekadesekadesappahānaṃ siyāti ekadesasotāpattimaggaṭṭhāditā, tato eva ekadesasotāpannāditā ca āpajjati anantaraphalattā lokuttarakusalānaṃ, na ca taṃ yuttaṃ. Na hi kālabhedena vinā so eva sotāpanno ca asotāpanno cāti sakkā viññātuṃ.

    อปิจายํ นานาภิสมยวาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘มคฺคญาณํ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺตํ กิํ อารมฺมณโต ปฎิวิชฺฌติ, อุทาหุ กิจฺจโต’’ติ? ชานมาโน ‘‘กิจฺจโต’’ติ วเทยฺย, ‘‘กิจฺจโต ปฎิวิชฺฌนฺตสฺส กิํ นานาภิสมเยนา’’ติ วตฺวา ปฎิปาฎิยานิทสฺสเนน สญฺญาเปตโพฺพฯ อถ ‘‘อารมฺมณโต’’ติ วเทยฺย, เอวํ สเนฺต ตสฺส ญาณสฺส วิปสฺสนาญาณสฺส วิย ทุกฺขสมุทยานํ อจฺจนฺตปริญฺญาสมุเจฺฉทา น ยุตฺตา อนิสฺสฎตฺตาฯ ตถา มคฺคทสฺสนํฯ น หิ มโคฺค สยเมว อตฺตานํ อารพฺภ ปวตฺตตีติ ยุตฺตํ, มคฺคนฺตรปริกปฺปนาย ปน อนวฎฺฐานํ อาปชฺชติ, ตสฺมา ตีณิ สจฺจานิ กิจฺจโต, นิโรธํ กิจฺจโต จ อารมฺมณโต จ ปฎิวิชฺฌตีติ เอวํ อสโมฺมหโต ปฎิวิชฺฌนฺตสฺส มคฺคญาณสฺส นเตฺถว นานาภิสมโยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘โย ภิกฺขเว ทุกฺขํ ปสฺสติ, ทุกฺขสมุทยมฺปิ โส ปสฺสตี’’ติอาทิฯ น เจตํ กาลนฺตรทสฺสนํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘โย นุ โข, อาวุโส, ทุกฺขํ ปสฺสติ, ทุกฺขสมุทยมฺปิ …เป.… ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทมฺปิ โส ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๑๐๐) เอกจฺจทสฺสนสมงฺคิโน อญฺญสจฺจทสฺสนสมงฺคิภาววิจารณายํ ตทตฺถสาธนตฺถํ อายสฺมตา ควมฺปติเตฺถเรน อาภตตฺตา, ปเจฺจกญฺจ สจฺจตฺตยทสฺสนสฺส โยชิตตฺตา, อญฺญถา ปุริมทิฎฺฐสฺส ปุน อทสฺสนโต สมุทยาทิทสฺสนมโยชนิยํ สิยาฯ น หิ โลกุตฺตรมโคฺค โลกิยมโคฺค วิย กตการีภาเวน ปวตฺตติ สมุเจฺฉทกตฺตา, ตถา โยชเนน จ สพฺพทสฺสนํ ทสฺสนนฺตรปรมนฺติ ทสฺสนานุปรโม สิยาติ เอวํ อาคมโต ยุตฺติโต จ นานาภิสมโย น ยุชฺชตีติ สญฺญาเปตโพฺพฯ เอวํ เจ สญฺญตฺติํ คจฺฉติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ คจฺฉติ, อภิธเมฺม (กถา. ๒๗๔) โอธิโสกถาย สญฺญาเปตโพฺพติฯ

    Apicāyaṃ nānābhisamayavādī evaṃ pucchitabbo ‘‘maggañāṇaṃ saccāni paṭivijjhantaṃ kiṃ ārammaṇato paṭivijjhati, udāhu kiccato’’ti? Jānamāno ‘‘kiccato’’ti vadeyya, ‘‘kiccato paṭivijjhantassa kiṃ nānābhisamayenā’’ti vatvā paṭipāṭiyānidassanena saññāpetabbo. Atha ‘‘ārammaṇato’’ti vadeyya, evaṃ sante tassa ñāṇassa vipassanāñāṇassa viya dukkhasamudayānaṃ accantapariññāsamucchedā na yuttā anissaṭattā. Tathā maggadassanaṃ. Na hi maggo sayameva attānaṃ ārabbha pavattatīti yuttaṃ, maggantaraparikappanāya pana anavaṭṭhānaṃ āpajjati, tasmā tīṇi saccāni kiccato, nirodhaṃ kiccato ca ārammaṇato ca paṭivijjhatīti evaṃ asammohato paṭivijjhantassa maggañāṇassa nattheva nānābhisamayo. Vuttañhetaṃ ‘‘yo bhikkhave dukkhaṃ passati, dukkhasamudayampi so passatī’’tiādi. Na cetaṃ kālantaradassanaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘yo nu kho, āvuso, dukkhaṃ passati, dukkhasamudayampi …pe… dukkhanirodhagāminipaṭipadampi so passatī’’ti (saṃ. ni. 5.1100) ekaccadassanasamaṅgino aññasaccadassanasamaṅgibhāvavicāraṇāyaṃ tadatthasādhanatthaṃ āyasmatā gavampatittherena ābhatattā, paccekañca saccattayadassanassa yojitattā, aññathā purimadiṭṭhassa puna adassanato samudayādidassanamayojaniyaṃ siyā. Na hi lokuttaramaggo lokiyamaggo viya katakārībhāvena pavattati samucchedakattā, tathā yojanena ca sabbadassanaṃ dassanantaraparamanti dassanānuparamo siyāti evaṃ āgamato yuttito ca nānābhisamayo na yujjatīti saññāpetabbo. Evaṃ ce saññattiṃ gacchati, iccetaṃ kusalaṃ. No ce gacchati, abhidhamme (kathā. 274) odhisokathāya saññāpetabboti.

    นิโรธํ อารมฺมณโตติ นิโรธเมว อารมฺมณโตติ นิยโม คเหตโพฺพ, น อารมฺมณโตวาติฯ เตน นิโรเธ กิจฺจโตปิ ปฎิเวโธ สิโทฺธ โหติฯ ตสฺมิํ สมเยติ สจฺจานํ อภิสมเยฯ วีสติวตฺถุกาติอาทิ ‘‘ตีณิ สโญฺญชนานี’’ติ วุตฺตานํ สรูปทสฺสนํฯ จตูสุ อาสเวสูติ อิทํ อภิธมฺมนเยน วุตฺตํ, น สุตฺตนฺตนเยนฯ น หิ สุเตฺต กตฺถจิ จตฺตาโร อาสวา อาคตา อตฺถิฯ ยทิ วิจิกิจฺฉา น อาสโว, อถ กสฺมา ‘‘สกฺกายทิฎฺฐิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาโส, อิเม วุจฺจนฺติ, ภิกฺขเว, อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ทสฺสนา ปหาตพฺพา’’ติอาทิฯ เอตฺถ ปริยาปนฺนตฺตาติ เอเตน สมฺมาสงฺกปฺปสฺส วิย ปญฺญากฺขเนฺธ กิจฺจสภาคตาย อิธ วิจิกิจฺฉาย อาสวสงฺคโห กโตติ ทเสฺสติฯ

    Nirodhaṃ ārammaṇatoti nirodhameva ārammaṇatoti niyamo gahetabbo, na ārammaṇatovāti. Tena nirodhe kiccatopi paṭivedho siddho hoti. Tasmiṃ samayeti saccānaṃ abhisamaye. Vīsativatthukātiādi ‘‘tīṇi saññojanānī’’ti vuttānaṃ sarūpadassanaṃ. Catūsu āsavesūti idaṃ abhidhammanayena vuttaṃ, na suttantanayena. Na hi sutte katthaci cattāro āsavā āgatā atthi. Yadi vicikicchā na āsavo, atha kasmā ‘‘sakkāyadiṭṭhi vicikicchā sīlabbataparāmāso, ime vuccanti, bhikkhave, āsavā dassanā pahātabbā’’ti vuttanti āha ‘‘dassanā pahātabbā’’tiādi. Ettha pariyāpannattāti etena sammāsaṅkappassa viya paññākkhandhe kiccasabhāgatāya idha vicikicchāya āsavasaṅgaho katoti dasseti.

    สโพฺพ อตฺตคฺคาโห สกฺกายทิฎฺฐิวินิมุโตฺต นตฺถีติ วุตฺตํ ‘‘ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนํ…เป.… วิภตฺตา’’ติฯ สา หิ ทิฎฺฐิ เอกสฺมิํ จิตฺตุปฺปาเท สนฺตาเน จ ฐิตํ เอกฎฺฐํ, ตตฺถ ปฐมํ สหชาเตกฎฺฐํ, อิตรํ ปหาเนกฎฺฐํ, ตทุภยมฺปิ นิทฺธาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ทิฎฺฐาสเวหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพถาปีติ สพฺพปฺปกาเรน, สหชาเตกฎฺฐปหาเนกฎฺฐปฺปกาเรหีติ อโตฺถฯ อวเสสาติ ทิฎฺฐาสวโต อวสิฎฺฐาฯ ตโยปิ อาสวาติ กามาสวภวาสวอวิชฺชาสวาฯ ตถา หิ ปุเพฺพ ‘‘จตูสุ อาสเวสู’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา พหู เอเวตฺถ อาสวา ปหาตพฺพา, ตสฺมา พหุวจนนิเทฺทโส กโต ‘‘อิเม วุจฺจนฺติ, ภิกฺขเว, อาสวา ทสฺสนา ปหาตพฺพา’’ติฯ โปราณานนฺติ อฎฺฐกถาจริยานํ, ‘‘ปุราตนานํ มชฺฌิมภาณกาน’’นฺติ จ วทนฺติฯ

    Sabbo attaggāho sakkāyadiṭṭhivinimutto natthīti vuttaṃ ‘‘channaṃ diṭṭhīnaṃ…pe… vibhattā’’ti. Sā hi diṭṭhi ekasmiṃ cittuppāde santāne ca ṭhitaṃ ekaṭṭhaṃ, tattha paṭhamaṃ sahajātekaṭṭhaṃ, itaraṃ pahānekaṭṭhaṃ, tadubhayampi niddhāretvā dassetuṃ ‘‘diṭṭhāsavehī’’tiādi vuttaṃ. Sabbathāpīti sabbappakārena, sahajātekaṭṭhapahānekaṭṭhappakārehīti attho. Avasesāti diṭṭhāsavato avasiṭṭhā. Tayopi āsavāti kāmāsavabhavāsavaavijjāsavā. Tathā hi pubbe ‘‘catūsu āsavesū’’ti vuttaṃ. Tasmāti yasmā bahū evettha āsavā pahātabbā, tasmā bahuvacananiddeso kato ‘‘ime vuccanti, bhikkhave, āsavā dassanā pahātabbā’’ti. Porāṇānanti aṭṭhakathācariyānaṃ, ‘‘purātanānaṃ majjhimabhāṇakāna’’nti ca vadanti.

    ทสฺสนา ปหาตพฺพาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ

    Dassanā pahātabbātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva.

    ทสฺสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dassanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สํวราปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Saṃvarāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๒. สํวราทีหีติ สํวรปฎิเสวนอธิวาสนปริวชฺชนวิโนทเนหิฯ สเพฺพสมฺปีติ จตุนฺนมฺปิ อริยมคฺคานํฯ อยนฺติ สํวราปหาตพฺพาทิกถา ปุพฺพภาคปฎิปทาติ เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ เหฎฺฐา ‘‘อุปกฺกิเลสวิโสธนํ อาทิํ กตฺวา อาสวกฺขยปฎิปตฺติทสฺสนตฺถ’’นฺติ สุตฺตนฺตเทสนาย ปโยชนํ วุตฺตํฯ น หิ สกฺกา อาทิโต เอว อริยมคฺคํ ภาเวตุํ, อถ โข สมาทินฺนสีโล อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร ‘‘สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๔๘; ม. นิ. ๒.๑๖๘) เอวํ วุตฺตํ จตุราปเสฺสนปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชมาโน สมฺมสนวิธิํ โอตริตฺวา อนุกฺกเมน วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา มคฺคปฎิปาฎิยา อาสเว เขเปติฯ เตนาห ภควา ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหาสมุโทฺท อนุปุพฺพนิโนฺน อนุปุพฺพโปโณ อนุปุพฺพปพฺภาโร, น อายตเกเนว ปปาโต, เอวํ โข, ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย อนุปุพฺพสิกฺขา อนุปุพฺพกิริยา อนุปุพฺพปฎิปทา, น อายตเกเนว อญฺญาปฎิเวโธ’’ติ (อ. นิ. ๘.๒๐; อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕)ฯ

    22.Saṃvarādīhīti saṃvarapaṭisevanaadhivāsanaparivajjanavinodanehi. Sabbesampīti catunnampi ariyamaggānaṃ. Ayanti saṃvarāpahātabbādikathā pubbabhāgapaṭipadāti veditabbā. Tathā hi heṭṭhā ‘‘upakkilesavisodhanaṃ ādiṃ katvā āsavakkhayapaṭipattidassanattha’’nti suttantadesanāya payojanaṃ vuttaṃ. Na hi sakkā ādito eva ariyamaggaṃ bhāvetuṃ, atha kho samādinnasīlo indriyesu guttadvāro ‘‘saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodetī’’ti (dī. ni. 3.348; ma. ni. 2.168) evaṃ vuttaṃ caturāpassenapaṭipattiṃ paṭipajjamāno sammasanavidhiṃ otaritvā anukkamena vipassanaṃ ussukkāpetvā maggapaṭipāṭiyā āsave khepeti. Tenāha bhagavā ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, mahāsamuddo anupubbaninno anupubbapoṇo anupubbapabbhāro, na āyatakeneva papāto, evaṃ kho, bhikkhave, imasmiṃ dhammavinaye anupubbasikkhā anupubbakiriyā anupubbapaṭipadā, na āyatakeneva aññāpaṭivedho’’ti (a. ni. 8.20; udā. 45; cūḷava. 385).

    อิธาติ อยํ อิธ-สโทฺท สพฺพาการโต อินฺทฺริยสํวรสํวุตสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปโน, อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฎิเสธโน จาติ วุตฺตํ ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน’’ติฯ อาทีนวปฎิสงฺขาติ อาทีนวปจฺจเวกฺขณาฯ สมฺปลิมฎฺฐนฺติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๖.๕๘) ฆํสิตํฯ อนุพฺยญฺชนโสติ หตฺถปาทหสิตกถิตวิโลกิตาทิปฺปการภาคโสฯ ตญฺหิ อโยนิโส มนสิกโรโต กิเลสานํ อนุ อนุ พฺยญฺชนโต ‘‘อนุพฺยญฺชน’’นฺติ วุจฺจติฯ นิมิตฺตคฺคาโหติ อิตฺถิปุริสนิมิตฺตาทิกสฺส วา กิเลสวตฺถุภูตสฺส วา นิมิตฺตสฺส คาโหฯ อาทิตฺตปริยายนเยนาติ อาทิตฺตปริยาเย (สํ. นิ. ๔.๒๘; มหาว. ๕๔) อาคตนเยน เวทิตพฺพา อาทีนวปฎิสงฺขาติ โยชนาฯ ยถา อิตฺถิยา อินฺทฺริยนฺติ อิตฺถินฺทฺริยํ, น เอวมิทํ, อิทํ ปน จกฺขุเมว อินฺทฺริยนฺติ จกฺขุนฺทฺริยนฺติติตฺถกาโก วิยาติ ติเตฺถ กาโก ติตฺถกาโก, นทิยา สมติกฺกมนติเตฺถ นิยตฎฺฐิติโกฯ อาวาฎกจฺฉโปติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Idhāti ayaṃ idha-saddo sabbākārato indriyasaṃvarasaṃvutassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpano, aññasāsanassa tathābhāvapaṭisedhano cāti vuttaṃ ‘‘imasmiṃ sāsane’’ti. Ādīnavapaṭisaṅkhāti ādīnavapaccavekkhaṇā. Sampalimaṭṭhanti (a. ni. ṭī. 3.6.58) ghaṃsitaṃ. Anubyañjanasoti hatthapādahasitakathitavilokitādippakārabhāgaso. Tañhi ayoniso manasikaroto kilesānaṃ anu anu byañjanato ‘‘anubyañjana’’nti vuccati. Nimittaggāhoti itthipurisanimittādikassa vā kilesavatthubhūtassa vā nimittassa gāho. Ādittapariyāyanayenāti ādittapariyāye (saṃ. ni. 4.28; mahāva. 54) āgatanayena veditabbā ādīnavapaṭisaṅkhāti yojanā. Yathā itthiyā indriyanti itthindriyaṃ, na evamidaṃ, idaṃ pana cakkhumeva indriyanti cakkhundriyanti. Titthakāko viyāti titthe kāko titthakāko, nadiyā samatikkamanatitthe niyataṭṭhitiko. Āvāṭakacchapotiādīsupi eseva nayo.

    เอวํ ตปฺปฎิพทฺธวุตฺติตาย จกฺขุนฺทฺริเย นิยตฎฺฐาโน สํวโร จกฺขุนฺทฺริยสํวโรฯ มุฎฺฐสฺสจฺจํ สติปฎิปกฺขา อกุสลธมฺมาฯ ยทิปิ อญฺญตฺถ อสเงฺขยฺยมฺปิ ภวงฺคจิตฺตํ นิรนฺตรํ อุปฺปชฺชติ, ปสาทฆฎฺฎนาวชฺชนุปฺปาทานํ ปน อนฺตเร เทฺว เอว ภวงฺคจิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺตีติ อยํ จิตฺตนิยาโมติ อาห ภวเงฺค ‘‘ทฺวิกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ’’ติฯ

    Evaṃ tappaṭibaddhavuttitāya cakkhundriye niyataṭṭhāno saṃvaro cakkhundriyasaṃvaro. Muṭṭhassaccaṃ satipaṭipakkhā akusaladhammā. Yadipi aññattha asaṅkheyyampi bhavaṅgacittaṃ nirantaraṃ uppajjati, pasādaghaṭṭanāvajjanuppādānaṃ pana antare dve eva bhavaṅgacittāni uppajjantīti ayaṃ cittaniyāmoti āha bhavaṅge ‘‘dvikkhattuṃ uppajjitvā niruddhe’’ti.

    ชวนกฺขเณ ปน สเจ ทุสฺสีลฺยํ วาติอาทิ (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๑๕; ธ. ส. มูลฎี. ๑๓๕๒) ปุน อวจนตฺถํ อิเธว สพฺพํ วุตฺตนฺติ ฉสุ ทฺวาเรสุ ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ น หิ ปญฺจทฺวาเร กายวจีทุจฺจริตสงฺขาโต ทุสฺสีลฺยสํวโร อตฺถีติ โส มโนทฺวารวเสน, อิตโร ฉนฺนมฺปิ ทฺวารานํ วเสน โยเชตโพฺพฯ มุฎฺฐสฺสจฺจาทีนญฺหิ สติปฎิปกฺขาทิลกฺขณานํ อกุสลธมฺมานํ สิยา ปญฺจทฺวาเร อุปฺปตฺติ, น เตฺวว กายิกวาจสิกวีติกฺกมภูตสฺส ทุสฺสีลฺยสฺส ตตฺถ อุปฺปตฺติ ปญฺจทฺวาริกชวนานํ อวิญฺญตฺติชนกตฺตาติฯ

    Javanakkhaṇepana sace dussīlyaṃ vātiādi (visuddhi. ṭī. 1.15; dha. sa. mūlaṭī. 1352) puna avacanatthaṃ idheva sabbaṃ vuttanti chasu dvāresu yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Na hi pañcadvāre kāyavacīduccaritasaṅkhāto dussīlyasaṃvaro atthīti so manodvāravasena, itaro channampi dvārānaṃ vasena yojetabbo. Muṭṭhassaccādīnañhi satipaṭipakkhādilakkhaṇānaṃ akusaladhammānaṃ siyā pañcadvāre uppatti, na tveva kāyikavācasikavītikkamabhūtassa dussīlyassa tattha uppatti pañcadvārikajavanānaṃ aviññattijanakattāti.

    ยถา กินฺติ เยน ปกาเรน ชวเน อุปฺปชฺชมาโน อสํวโร ‘‘จกฺขุทฺวาเร อสํวโร’’ติ วุจฺจติ, ตํ นิทสฺสนํ กินฺติ อโตฺถฯ ยถาติอาทินา นครทฺวาเร อสํวเร สติ ตํสมฺพนฺธานํ ฆราทีนํ อสํวุตตา วิย ชวเน อสํวเร สติ ตํสมฺพนฺธานํ ทฺวาราทีนํ อสํวุตตาติ อญฺญาสํวเร อญฺญาสํวุตตาสามญฺญเมว นิทเสฺสติ, น ปุพฺพาปรสามญฺญํ, อโนฺตพหิสามญฺญํ วาฯ สมฺพโนฺธ จ ชวเนน ทฺวาราทีนํ เอกสนฺตติปริยาปนฺนตาย เอว ทฎฺฐโพฺพฯ ปจฺจยภาเวน ปุริมนิปฺผนฺนํ ชวนกาเล อสนฺตมฺปิ ภวงฺคาทิ ผลนิปฺผตฺติยา จกฺขาทิ วิย สนฺตํเยว นามฯ น หิ ธรมานํเยว ‘‘สนฺต’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา สติ ทฺวารภวงฺคาทิเก ปจฺฉา อุปฺปชฺชมานํ ชวนํ พาหิรํ วิย กตฺวา นครทฺวารสมานํ วุตฺตํฯ อิตรญฺจ อโนฺตนครฆราทิสมานํฯ ชวนสฺส หิ ปรมตฺถโต อสติปิ พาหิรภาเว อิตรสฺส จ อพฺภนฺตรภาเว ‘‘ปภสฺสรมิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐ’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๙) อาทิวจนโต อาคนฺตุกภูตสฺส กทาจิ กทาจิ อุปฺปชฺชมานสฺส ชวนสฺส พาหิรภาโว, ตพฺพิธุรสภาวสฺส อิตรสฺส อพฺภนฺตรภาโว จ ปริยายโต เวทิตโพฺพฯ ชวเน วา อสํวเร อุปฺปเนฺน ตโต ปรํ ทฺวารภวงฺคาทีนํ อสํวรเหตุภาวาปตฺติโต นครทฺวารสทิเสน ชวเนน ปวิสิตฺวา ทุสฺสีลฺยาทิโจรานํ ทฺวารภวงฺคาทีสุ มุสนํ กุสลภณฺฑวินาสนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อุปฺปเนฺน หิ อสํวเร ทฺวาราทีนํ ตสฺส เหตุภาโว ปญฺญายติ, โส จ อุปฺปชฺชมาโนเยว ทฺวาราทีนํ สํวรูปนิสฺสยภาวํ ปฎิพาเหโนฺตเยว ปวตฺตตีติ อยเญฺหตฺถ อสํวราทีนํ ปวตฺตินโยฯ ปญฺจทฺวาเร รูปาทิอารมฺมเณ อาปาถคเต ยถาปจฺจยํ อกุสลชวเน อุปฺปชฺชิตฺวา ภวงฺคํ โอติเณฺณ มโนทฺวาริกชวนํ ตํเยว อารมฺมณํ กตฺวา ภวงฺคํ โอตรติ, ปุน ตสฺมิํเยว ทฺวาเร ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติอาทินา วิสยํ ววตฺถเปตฺวา ชวนํ ภวงฺคํ โอตรติ, ปุน วาเร รชฺชนาทิวเสน ชวนํ ชวติ, ปุนปิ ยทิ ตาทิสํ อารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติ, ตํสทิสเมว ปญฺจทฺวาเร รูปาทีสุ ชวนํ อุปฺปชฺชติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เอวเมว ชวเน ทุสฺสีลฺยาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ตสฺมิํ อสํวเร สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺต’’นฺติอาทิฯ อยํ ตาว อสํวรปเกฺข อตฺถวณฺณนาฯ

    Yathā kinti yena pakārena javane uppajjamāno asaṃvaro ‘‘cakkhudvāre asaṃvaro’’ti vuccati, taṃ nidassanaṃ kinti attho. Yathātiādinā nagaradvāre asaṃvare sati taṃsambandhānaṃ gharādīnaṃ asaṃvutatā viya javane asaṃvare sati taṃsambandhānaṃ dvārādīnaṃ asaṃvutatāti aññāsaṃvare aññāsaṃvutatāsāmaññameva nidasseti, na pubbāparasāmaññaṃ, antobahisāmaññaṃ vā. Sambandho ca javanena dvārādīnaṃ ekasantatipariyāpannatāya eva daṭṭhabbo. Paccayabhāvena purimanipphannaṃ javanakāle asantampi bhavaṅgādi phalanipphattiyā cakkhādi viya santaṃyeva nāma. Na hi dharamānaṃyeva ‘‘santa’’nti vuccati, tasmā sati dvārabhavaṅgādike pacchā uppajjamānaṃ javanaṃ bāhiraṃ viya katvā nagaradvārasamānaṃ vuttaṃ. Itarañca antonagaragharādisamānaṃ. Javanassa hi paramatthato asatipi bāhirabhāve itarassa ca abbhantarabhāve ‘‘pabhassaramidaṃ, bhikkhave, cittaṃ, tañca kho āgantukehi upakkilesehi upakkiliṭṭha’’nti (a. ni. 1.49) ādivacanato āgantukabhūtassa kadāci kadāci uppajjamānassa javanassa bāhirabhāvo, tabbidhurasabhāvassa itarassa abbhantarabhāvo ca pariyāyato veditabbo. Javane vā asaṃvare uppanne tato paraṃ dvārabhavaṅgādīnaṃ asaṃvarahetubhāvāpattito nagaradvārasadisena javanena pavisitvā dussīlyādicorānaṃ dvārabhavaṅgādīsu musanaṃ kusalabhaṇḍavināsanaṃ daṭṭhabbaṃ. Uppanne hi asaṃvare dvārādīnaṃ tassa hetubhāvo paññāyati, so ca uppajjamānoyeva dvārādīnaṃ saṃvarūpanissayabhāvaṃ paṭibāhentoyeva pavattatīti ayañhettha asaṃvarādīnaṃ pavattinayo. Pañcadvāre rūpādiārammaṇe āpāthagate yathāpaccayaṃ akusalajavane uppajjitvā bhavaṅgaṃ otiṇṇe manodvārikajavanaṃ taṃyeva ārammaṇaṃ katvā bhavaṅgaṃ otarati, puna tasmiṃyeva dvāre ‘‘itthī puriso’’tiādinā visayaṃ vavatthapetvā javanaṃ bhavaṅgaṃ otarati, puna vāre rajjanādivasena javanaṃ javati, punapi yadi tādisaṃ ārammaṇaṃ āpāthamāgacchati, taṃsadisameva pañcadvāre rūpādīsu javanaṃ uppajjati. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘evameva javane dussīlyādīsu uppannesu tasmiṃ asaṃvare sati dvārampi agutta’’ntiādi. Ayaṃ tāva asaṃvarapakkhe atthavaṇṇanā.

    สํวรปเกฺขปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สํวเรน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล สํวุโตติ วุโตฺตติ อาห ‘‘อุเปโตติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ เอกชฺฌํ กตฺวาติ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติ ปทญฺจ อตฺถโต อภินฺนํ สมานํ กตฺวาฯ อยเมว เจตฺถ อโตฺถ สุนฺทรตโร อุปริปาฬิยา สํสนฺทนโตฯ เตนาห ‘‘ตถาหี’’ติอาทิฯ ยนฺติ อาเทโสติ อิมินา ลิงฺควิปลฺลาเสน สทฺธิํ วจนวิปลฺลาโส กโตติ ทเสฺสติ, นิปาตปทํ วา เอตํ ปจฺจตฺตปุถุวจนตฺถํฯ วิฆาตกราติ จิตฺตวิฆาตกรณา จิตฺตทุกฺขนิพฺพตฺตกา จฯ ยถาวุตฺตกิเลสเหตุกา ทาหานุพนฺธา วิปากา เอว วิปากปริฬาหาฯ ยถา ปเนตฺถ อาสวา อเญฺญ จ วิฆาตกรา กิเลสวิปากปริฬาหา สมฺภวนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จกฺขุทฺวาเรหี’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ เอตฺถ จ สํวรณูปาโย, สํวริตพฺพํ, สํวโร, ยโต โส สํวโร, ยตฺถ สํวโร, ยญฺจ สํวรผลนฺติ อยํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ กถํ? ปฎิสงฺขา โยนิโสติ หิ สํวรณูปาโยฯ จกฺขุนฺทฺริยํ สํวริตพฺพํฯ สํวรคฺคหเณน คหิตา สติ สํวโรฯ อสํวุตสฺสาติ สํวรณาวธิฯ อสํวรโต หิ สํวรณํฯ สํวริตพฺพคฺคหเณน สิโทฺธ อิธ สํวรวิสโยฯ จกฺขุนฺทฺริยญฺหิ สํวรญาณํ รูปารมฺมเณ สํวรียตีติ อวุตฺตสิโทฺธยมโตฺถฯ อาสวตนฺนิมิตฺตกิเลสาทิปริฬาหาภาโว ผลํฯ เอวํ โสตทฺวาราทีสุปิ โยเชตพฺพํฯ สพฺพเตฺถวาติ มโนทฺวาเร ปญฺจทฺวาเร จาติ สพฺพสฺมิํ ทฺวาเรฯ

    Saṃvarapakkhepi imināva nayena attho veditabbo. Saṃvarena samannāgato puggalo saṃvutoti vuttoti āha ‘‘upetoti vuttaṃ hotī’’ti. Ekajjhaṃ katvāti ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’ti padañca atthato abhinnaṃ samānaṃ katvā. Ayameva cettha atthosundarataro uparipāḷiyā saṃsandanato. Tenāha ‘‘tathāhī’’tiādi. Yanti ādesoti iminā liṅgavipallāsena saddhiṃ vacanavipallāso katoti dasseti, nipātapadaṃ vā etaṃ paccattaputhuvacanatthaṃ. Vighātakarāti cittavighātakaraṇā cittadukkhanibbattakā ca. Yathāvuttakilesahetukā dāhānubandhā vipākā eva vipākapariḷāhā. Yathā panettha āsavā aññe ca vighātakarā kilesavipākapariḷāhā sambhavanti, taṃ dassetuṃ ‘‘cakkhudvārehī’’tiādi vuttaṃ, taṃ suviññeyyameva. Ettha ca saṃvaraṇūpāyo, saṃvaritabbaṃ, saṃvaro, yato so saṃvaro, yattha saṃvaro, yañca saṃvaraphalanti ayaṃ vibhāgo veditabbo. Kathaṃ? Paṭisaṅkhā yonisoti hi saṃvaraṇūpāyo. Cakkhundriyaṃ saṃvaritabbaṃ. Saṃvaraggahaṇena gahitā sati saṃvaro. Asaṃvutassāti saṃvaraṇāvadhi. Asaṃvarato hi saṃvaraṇaṃ. Saṃvaritabbaggahaṇena siddho idha saṃvaravisayo. Cakkhundriyañhi saṃvarañāṇaṃ rūpārammaṇe saṃvarīyatīti avuttasiddhoyamattho. Āsavatannimittakilesādipariḷāhābhāvo phalaṃ. Evaṃ sotadvārādīsupi yojetabbaṃ. Sabbatthevāti manodvāre pañcadvāre cāti sabbasmiṃ dvāre.

    สํวราปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṃvarāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปฎิเสวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Paṭisevanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๓. ปฎิสงฺขา โยนิโส จีวรนฺติอาทีสุ ‘‘สีตสฺส ปฎิฆาตายา’’ติอาทินา วุตฺตํ ปจฺจเวกฺขณเมว โยนิโส ปฎิสงฺขาฯ อีทิสนฺติ เอวรูปํ อิฎฺฐารมฺมณํฯ ภวปตฺถนาย อสฺสาทยโตติ ภวปตฺถนามุเขน ภาวิตํ อารมฺมณํ อสฺสาเทนฺตสฺสฯ จีวรนฺติ นิวาสนาทิ ยํ กิญฺจิ จีวรํฯ ปฎิเสวตีติ นิวาสนาทิวเสน ปริภุญฺชติฯ ยาวเทวาติ ปโยชนปริมาณนิยมนํฯ สีตปฎิฆาตาทิเยว หิ โยคิโน จีวรปฎิเสวเน ปโยชนํฯ สีตสฺสาติ ธาตุโกฺขภโต วา อุตุปริณามโต วา อุปฺปนฺนสีตสฺสฯ ปฎิฆาตายาติ ปฎิพาหนตฺถํ ตปฺปจฺจยสฺส วิการสฺส วิโนทนตฺถํฯ อุณฺหสฺสาติ อคฺคิสนฺตาปโต อุปฺปนฺนสฺส อุณฺหสฺสฯ ฑํสาทโย ปากฎาเยวฯ ปุน ยาวเทวาติ นิยตปโยชนปริมาณนิยมนํฯ นิยตญฺหิ ปโยชนํ จีวรปฎิเสวนสฺส หิริโกปีนปฎิจฺฉาทนํ, อิตรํ กทาจิ กทาจิ ฯ หิริโกปีนนฺติ สมฺพาธฎฺฐานํ ฯ ยสฺมิญฺหิ อเงฺค วิวเฎ หิรีกุปฺปติ วินสฺสติ, ตํ หิริยา โกปนโต หิริโกปีนํ, ตสฺส ปฎิจฺฉาทนตฺถํ จีวรํ ปฎิเสวติฯ

    23.Paṭisaṅkhā yoniso cīvarantiādīsu ‘‘sītassa paṭighātāyā’’tiādinā vuttaṃ paccavekkhaṇameva yoniso paṭisaṅkhā. Īdisanti evarūpaṃ iṭṭhārammaṇaṃ. Bhavapatthanāya assādayatoti bhavapatthanāmukhena bhāvitaṃ ārammaṇaṃ assādentassa. Cīvaranti nivāsanādi yaṃ kiñci cīvaraṃ. Paṭisevatīti nivāsanādivasena paribhuñjati. Yāvadevāti payojanaparimāṇaniyamanaṃ. Sītapaṭighātādiyeva hi yogino cīvarapaṭisevane payojanaṃ. Sītassāti dhātukkhobhato vā utupariṇāmato vā uppannasītassa. Paṭighātāyāti paṭibāhanatthaṃ tappaccayassa vikārassa vinodanatthaṃ. Uṇhassāti aggisantāpato uppannassa uṇhassa. Ḍaṃsādayo pākaṭāyeva. Puna yāvadevāti niyatapayojanaparimāṇaniyamanaṃ. Niyatañhi payojanaṃ cīvarapaṭisevanassa hirikopīnapaṭicchādanaṃ, itaraṃ kadāci kadāci . Hirikopīnanti sambādhaṭṭhānaṃ . Yasmiñhi aṅge vivaṭe hirīkuppati vinassati, taṃ hiriyā kopanato hirikopīnaṃ, tassa paṭicchādanatthaṃ cīvaraṃ paṭisevati.

    ปิณฺฑปาตนฺติ ยํ กิญฺจิ อาหารํฯ โส หิ ปิโณฺฑเลฺยน ภิกฺขนาย ปเตฺต ปตนโต ตตฺถ ตตฺถ ลทฺธภิกฺขาปิณฺฑานํ ปาโต สนฺนิปาโตติ ‘‘ปิณฺฑปาโต’’ติ วุจฺจติฯ เนว ทวายาติ น กีฬนายฯ น มทายาติ น พลมทมานมทปุริสมทตฺถํฯ น มณฺฑนายาติ น องฺคปจฺจงฺคานํ ปีณนภาวตฺถํฯ น วิภูสนายาติ น เตสํเยว โสภนตฺถํ, ฉวิสมฺปติอตฺถนฺติ อโตฺถฯ อิมานิ จ ปทานิ ยถากฺกมํ โมห-โทส-สณฺฐาน-วณฺณ-ราคูปนิสฺสย-ปหานตฺถานิ เวทิตพฺพานิฯ ปุริมํ วา ทฺวยํ อตฺตโน อตฺตโน สํกิเลสุปฺปตฺตินิเสธนตฺถํ, อิตรํ ปรสฺสปิฯ จตฺตาริปิ กามสุขลฺลิกานุโยคสฺส ปหานตฺถํ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ กายสฺสาติ รูปกายสฺสฯ ฐิติยา ยาปนายาติ ปพนฺธฎฺฐิตตฺถเญฺจว ปวตฺติยา อวิเจฺฉทนตฺถญฺจ จิรกาลฎฺฐิตตฺถํ ชีวิตินฺทฺริยสฺส ปวตฺตาปนตฺถํฯ วิหิํสูปรติยาติ ชิฆจฺฉาทุกฺขสฺส อุปรมณตฺถํฯ พฺรหฺมจริยานุคฺคหายาติ สาสนมคฺคพฺรหฺมจริยานํ อนุคฺคหตฺถํฯ อิตีติ เอวํ อิมินา อุปาเยนฯ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฎิหงฺขามีติ ปุราณํ อภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนํ ปฎิหนิสฺสามิฯ นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามีติ นวํ ภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามีติฯ ตสฺสา หิ อนุปฺปนฺนาย อนุปฺปชฺชนตฺถเมว อาหารํ ปริภุญฺชติฯ เอตฺถ จ อภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนา นาม ยถาปวตฺตา ชิฆจฺฉานิมิตฺตา เวทนาฯ สา หิ อภุญฺชนฺตสฺส ภิโยฺย ภิโยฺย ปวฑฺฒนวเสน อุปฺปชฺชติ, ภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนาปิ ขุทานิมิตฺตาว องฺคทาหสูลาทิเวทนา อปฺปวตฺตาฯ สา หิ ภุตฺตปจฺจยา อนุปฺปนฺนาว น อุปฺปชฺชิสฺสตีติฯ วิหิํสานิมิตฺตตา เจตาสํ วิหิํสาย วิเสโสฯ

    Piṇḍapātanti yaṃ kiñci āhāraṃ. So hi piṇḍolyena bhikkhanāya patte patanato tattha tattha laddhabhikkhāpiṇḍānaṃ pāto sannipātoti ‘‘piṇḍapāto’’ti vuccati. Neva davāyāti na kīḷanāya. Na madāyāti na balamadamānamadapurisamadatthaṃ. Na maṇḍanāyāti na aṅgapaccaṅgānaṃ pīṇanabhāvatthaṃ. Na vibhūsanāyāti na tesaṃyeva sobhanatthaṃ, chavisampatiatthanti attho. Imāni ca padāni yathākkamaṃ moha-dosa-saṇṭhāna-vaṇṇa-rāgūpanissaya-pahānatthāni veditabbāni. Purimaṃ vā dvayaṃ attano attano saṃkilesuppattinisedhanatthaṃ, itaraṃ parassapi. Cattāripi kāmasukhallikānuyogassa pahānatthaṃ vuttānīti veditabbāni. Kāyassāti rūpakāyassa. Ṭhitiyā yāpanāyāti pabandhaṭṭhitatthañceva pavattiyā avicchedanatthañca cirakālaṭṭhitatthaṃ jīvitindriyassa pavattāpanatthaṃ. Vihiṃsūparatiyāti jighacchādukkhassa uparamaṇatthaṃ. Brahmacariyānuggahāyāti sāsanamaggabrahmacariyānaṃ anuggahatthaṃ. Itīti evaṃ iminā upāyena. Purāṇañca vedanaṃ paṭihaṅkhāmīti purāṇaṃ abhuttapaccayā uppajjanakavedanaṃ paṭihanissāmi. Navañca vedanaṃ na uppādessāmīti navaṃ bhuttapaccayā uppajjanakavedanaṃ na uppādessāmīti. Tassā hi anuppannāya anuppajjanatthameva āhāraṃ paribhuñjati. Ettha ca abhuttapaccayā uppajjanakavedanā nāma yathāpavattā jighacchānimittā vedanā. Sā hi abhuñjantassa bhiyyo bhiyyo pavaḍḍhanavasena uppajjati, bhuttapaccayā uppajjanakavedanāpi khudānimittāva aṅgadāhasūlādivedanā appavattā. Sā hi bhuttapaccayā anuppannāva na uppajjissatīti. Vihiṃsānimittatā cetāsaṃ vihiṃsāya viseso.

    ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสตีติ ยาปนา จ เม จตุนฺนํ อิริยาปถานํ ภวิสฺสติฯ ยาปนายาติ อิมินา ชีวิตินฺทฺริยยาปนา วุตฺตา, อิธ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ อวิเจฺฉทสงฺขาตา ยาปนาติ อยเมตาสํ วิเสโสฯ อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จาติ อยุตฺตปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภคปริวชฺชเนน อนวชฺชตา, ปริมิตปริโภเคน ผาสุวิหาโรฯ อสปฺปายาปริมิตโภชนปจฺจยา อรติตนฺทีวิชมฺภิตาวิญฺญุครหาทิโทสาภาเวน วา อนวชฺชตา, สปฺปายปริมิตโภชนปจฺจยา กายพลสมฺภเวน ผาสุวิหาโรฯ ยาวทตฺถอุทราวเทหกโภชนปริวชฺชเนน เสยฺยสุขปสฺสสุขมิทฺธสุขาทีนํ อภาวโต อนวชฺชตา, จตุปญฺจาโลปมตฺตญฺญีนโภชเนน จตุอิริยาปถโยคฺยตาปาทนโต ผาสุวิหาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Yātrā ca me bhavissatīti yāpanā ca me catunnaṃ iriyāpathānaṃ bhavissati. Yāpanāyāti iminā jīvitindriyayāpanā vuttā, idha catunnaṃ iriyāpathānaṃ avicchedasaṅkhātā yāpanāti ayametāsaṃ viseso. Anavajjatā ca phāsuvihāro cāti ayuttapariyesanapaṭiggahaṇaparibhogaparivajjanena anavajjatā, parimitaparibhogena phāsuvihāro. Asappāyāparimitabhojanapaccayā aratitandīvijambhitāviññugarahādidosābhāvena vā anavajjatā, sappāyaparimitabhojanapaccayā kāyabalasambhavena phāsuvihāro. Yāvadatthaudarāvadehakabhojanaparivajjanena seyyasukhapassasukhamiddhasukhādīnaṃ abhāvato anavajjatā, catupañcālopamattaññīnabhojanena catuiriyāpathayogyatāpādanato phāsuvihāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;

    ‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;

    อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);

    Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);

    เอตฺตาวตา ปโยชนปริคฺคโห, มชฺฌิมา จ ปฎิปทา ทีปิตา โหติฯ

    Ettāvatā payojanapariggaho, majjhimā ca paṭipadā dīpitā hoti.

    เสนาสนนฺติ สยนญฺจ อาสนญฺจฯ ยตฺถ หิ วิหาราทิเก เสติ นิปชฺชติ, อาสติ นิสีทติ, ตํ เสนาสนํฯ อุตุปริสฺสยวิโนทนปฎิสลฺลานารามตฺถนฺติ อุตุเยว ปริสหนเฎฺฐน ปริสฺสโย, สรีราพาธจิตฺตวิเกฺขปกโร, อถ วา ยถาวุโตฺต อุตุ จ สีหพฺยคฺฆาทิปากฎปริสฺสโย จ ราคโทสาทิปฎิจฺฉนฺนปริสฺสโย จ อุตุปริสฺสโย, ตสฺส วิโนทนตฺถเญฺจว เอกีภาวสุขตฺถญฺจฯ อิทญฺจ จีวรปฎิเสวเน หิริโกปีนปฎิจฺฉาทนํ วิย ตสฺส นิยตปโยชนนฺติ ปุน ‘‘ยาวเทวา’’ติ วุตฺตํฯ

    Senāsananti sayanañca āsanañca. Yattha hi vihārādike seti nipajjati, āsati nisīdati, taṃ senāsanaṃ. Utuparissayavinodanapaṭisallānārāmatthanti utuyeva parisahanaṭṭhena parissayo, sarīrābādhacittavikkhepakaro, atha vā yathāvutto utu ca sīhabyagghādipākaṭaparissayo ca rāgadosādipaṭicchannaparissayo ca utuparissayo, tassa vinodanatthañceva ekībhāvasukhatthañca. Idañca cīvarapaṭisevane hirikopīnapaṭicchādanaṃ viya tassa niyatapayojananti puna ‘‘yāvadevā’’ti vuttaṃ.

    คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารนฺติ โรคสฺส ปจฺจนีกปฺปวตฺติยา คิลานปจฺจโย, ตโต เอว ภิสกฺกสฺส อนุญฺญาตวตฺถุตาย เภสชฺชํ, ชีวิตสฺส ปริวารสมฺภารภาเวหิ ปริกฺขาโร จาติ คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาโร, ตํฯ อุปฺปนฺนานนฺติ ชาตานํ นิพฺพตฺตานํฯ เวยฺยาพาธิกานนฺติ พฺยาพาธโต ธาตุโกฺขภโต จ ตนฺนิพฺพตฺตโรคโต จ ชาตานํฯ เวทนานนฺติ ทุกฺขเวทนานํฯ อพฺยาพชฺฌปรมตายาติ นิทฺทุกฺขปรมภาวาย ปฎิเสวามีติ โยชนาฯ เอวเมตฺถ สเงฺขเปเนว ปาฬิวณฺณนา เวทิตพฺพาฯ นวเวทนุปฺปาทนโตปีติ น เกวลํ อายติํ เอว วิปากปริฬาหา, อถ โข อติโภชนปจฺจยา อลํสาฎกาทีนํ วิย นวเวทนุปฺปาทนโตปิ เวทิตพฺพาติ อโตฺถฯ

    Gilānapaccayabhesajjaparikkhāranti rogassa paccanīkappavattiyā gilānapaccayo, tato eva bhisakkassa anuññātavatthutāya bhesajjaṃ, jīvitassa parivārasambhārabhāvehi parikkhāro cāti gilānapaccayabhesajjaparikkhāro, taṃ. Uppannānanti jātānaṃ nibbattānaṃ. Veyyābādhikānanti byābādhato dhātukkhobhato ca tannibbattarogato ca jātānaṃ. Vedanānanti dukkhavedanānaṃ. Abyābajjhaparamatāyāti niddukkhaparamabhāvāya paṭisevāmīti yojanā. Evamettha saṅkhepeneva pāḷivaṇṇanā veditabbā. Navavedanuppādanatopīti na kevalaṃ āyatiṃ eva vipākapariḷāhā, atha kho atibhojanapaccayā alaṃsāṭakādīnaṃ viya navavedanuppādanatopi veditabbāti attho.

    ปฎิเสวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭisevanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อธิวาสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Adhivāsanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๔. ขโมติ ขมนโกฯ กมฺมฎฺฐานิกสฺส จลนํ นาม กมฺมฎฺฐานปริจฺจาโคติ อาห ‘‘จลติ กมฺปติ กมฺมฎฺฐานํ วิชหตี’’ติฯ อธิมตฺตมฺปิ อุณฺหํ สหติ, สหโนฺต จ น นคฺคสมณาทโย วิย สหติ, อถ โข กมฺมฎฺฐานาวิชหเนนาติ อาห ‘‘เสฺวว เถโร วิยา’’ติฯ พหิจงฺกเมติ เลณโต พหิ จงฺกเมฯ อุณฺหภเยเนวาติ นรกคฺคิอุณฺหภเยเนวฯ เตนาห ‘‘อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา’’ติ, ตมฺปิ ‘‘มยา อเนกกฺขตฺตุํ อนุภูตํ, อิทํ ปน ตโต มุทุตร’’นฺติ เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ฐาเนฯ อคฺคิสนฺตาโปว เวทิตโพฺพ สูริยสนฺตาปสฺส ปรโต วุจฺจมานตฺตาฯ

    24.Khamoti khamanako. Kammaṭṭhānikassa calanaṃ nāma kammaṭṭhānapariccāgoti āha ‘‘calati kampati kammaṭṭhānaṃ vijahatī’’ti. Adhimattampi uṇhaṃ sahati, sahanto ca na naggasamaṇādayo viya sahati, atha kho kammaṭṭhānāvijahanenāti āha ‘‘sveva thero viyā’’ti. Bahicaṅkameti leṇato bahi caṅkame. Uṇhabhayenevāti narakaggiuṇhabhayeneva. Tenāha ‘‘avīcimahānirayaṃ paccavekkhitvā’’ti, tampi ‘‘mayā anekakkhattuṃ anubhūtaṃ, idaṃ pana tato mudutara’’nti evaṃ paccavekkhitvā. Etthāti etasmiṃ ṭhāne. Aggisantāpova veditabbo sūriyasantāpassa parato vuccamānattā.

    ปริสุทฺธสีโลหมสฺมีติ สพฺพถาปิ ‘‘วิสุทฺธสีโลหมสฺมี’’ติ มรณํ อคฺคเหตฺวา อวิปฺปฎิสารมูลิกํ ปีติํ อุปฺปาเทสิฯ สห ปีตุปฺปาทาติ ผรณปีติยา อุปฺปาเทน สเหวฯ วิสํ นิวตฺติตฺวาติ ปีติเวเคน อโชฺฌตฺถตํ ทฎฺฐมุเขเนว ภสฺสิตฺวาฯ ตเตฺถวาติ สเปฺปน ทฎฺฐฎฺฐาเนเยวฯ จิเตฺตกคฺคตํ ลภิตฺวาติ ‘‘ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๔๖๖; ๓.๓๕๙; สํ. นิ. ๕.๓๗๖; อ. นิ. ๓.๙๖; ๑๑.๑๒) นเยน สมาธานํ ปาปุณิตฺวาฯ

    Parisuddhasīlohamasmīti sabbathāpi ‘‘visuddhasīlohamasmī’’ti maraṇaṃ aggahetvā avippaṭisāramūlikaṃ pītiṃ uppādesi. Saha pītuppādāti pharaṇapītiyā uppādena saheva. Visaṃ nivattitvāti pītivegena ajjhotthataṃ daṭṭhamukheneva bhassitvā. Tatthevāti sappena daṭṭhaṭṭhāneyeva. Cittekaggataṃ labhitvāti ‘‘pītimanassa kāyo passambhatī’’tiādinā (dī. ni. 1.466; 3.359; saṃ. ni. 5.376; a. ni. 3.96; 11.12) nayena samādhānaṃ pāpuṇitvā.

    ปจฺจเยสุ สโนฺตโส ภาวนาย จ อารมิตพฺพฎฺฐานตาย อาราโม อสฺสาติ ปจฺจยสโนฺตสภาวนาราโม, ตสฺส ภาโว ปจฺจย…เป.… รามตา, ตายฯ มหาเถโรติ วุฑฺฒตโร เถโรฯ วจนเมว ตทตฺถํ ญาเปตุกามานํ ปโถติ วจนปโถ

    Paccayesu santoso bhāvanāya ca āramitabbaṭṭhānatāya ārāmo assāti paccayasantosabhāvanārāmo, tassa bhāvo paccaya…pe… rāmatā, tāya. Mahātheroti vuḍḍhataro thero. Vacanameva tadatthaṃ ñāpetukāmānaṃ pathoti vacanapatho.

    อสุขเฎฺฐน วา ติพฺพาฯ ยญฺหิ น สุขํ, ตํ อนิฎฺฐํ ‘‘ติพฺพ’’นฺติ วุจฺจติฯ เอวํสภาโวติ ‘‘อธิวาสนชาติโย’’ติ ปทสฺส อตฺถมาหฯ มุหุเตฺตน ขเณว วาเต หทยํ ผาเลตุํ อารเทฺธเยวฯ อนาคามี หุตฺวา ปรินิพฺพายีติ อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายิฯ

    Asukhaṭṭhena vā tibbā. Yañhi na sukhaṃ, taṃ aniṭṭhaṃ ‘‘tibba’’nti vuccati. Evaṃsabhāvoti ‘‘adhivāsanajātiyo’’ti padassa atthamāha. Muhuttena khaṇeva vāte hadayaṃ phāletuṃ āraddheyeva. Anāgāmī hutvā parinibbāyīti arahattaṃ patvā parinibbāyi.

    เอวํ สพฺพตฺถาติ ‘‘อุเณฺหน ผุฎฺฐสฺส สีตํ ปตฺถยโต’’ติอาทินา สพฺพตฺถ อุณฺหาทินิมิตฺตํ กามาสวุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา, สีตํ วา อุณฺหํ วา อนิฎฺฐนฺติ อธิปฺปาโยฯ อตฺตคฺคาเห สติ อตฺตนิยคฺคาโหติ อาห ‘‘มยฺหํ สีตํ อุณฺหนฺติ คาโห ทิฎฺฐาสโว’’ติฯ สีตาทิเก อุปคเต สหนฺตี ขมนฺตี เต อตฺตโน อุปริ วาเสนฺตี วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อาโรเปตฺวา วาเสติเยวา’’ติ ฯ น นิรสฺสตีติ น วิธุนติฯ โย หิ สีตาทิเก น สหติ, โส เต นิรสฺสโนฺต วิธุนโนฺต วิย โหตีติฯ

    Evaṃ sabbatthāti ‘‘uṇhena phuṭṭhassa sītaṃ patthayato’’tiādinā sabbattha uṇhādinimittaṃ kāmāsavuppatti veditabbā, sītaṃ vā uṇhaṃ vā aniṭṭhanti adhippāyo. Attaggāhe sati attaniyaggāhoti āha ‘‘mayhaṃ sītaṃ uṇhanti gāho diṭṭhāsavo’’ti. Sītādike upagate sahantī khamantī te attano upari vāsentī viya hotīti vuttaṃ ‘‘āropetvā vāsetiyevā’’ti . Na nirassatīti na vidhunati. Yo hi sītādike na sahati, so te nirassanto vidhunanto viya hotīti.

    อธิวาสนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Adhivāsanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปริวชฺชนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Parivajjanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๕. อหํ สมโณติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๖.๕๘) ‘‘อหํ สมโณ, กิํ มม ชีวิเตน วา มรเณน วา’’ติ เอวํ อจิเนฺตตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ คามปฺปเทสํ ปโยชนาทิญฺจ ปจฺจเวกฺขิตฺวาฯ ปฎิกฺกมตีติ หตฺถิอาทีนํ สมีปคมนโต อปกฺกมติฯ กณฺฎกา ยตฺถ ติฎฺฐนฺติ, ตํ กณฺฎกฎฺฐานํอมนุสฺสทุฎฺฐานีติ อมนุสฺสสญฺจาเรน ทูสิตานิ, สปริสฺสยานีติ อโตฺถฯ สมานนฺติ สมํ, อวิสมนฺติ อโตฺถฯ อกาสิ วา ตาทิสํ อนาจารํฯ

    25.Ahaṃsamaṇoti (a. ni. ṭī. 3.6.58) ‘‘ahaṃ samaṇo, kiṃ mama jīvitena vā maraṇena vā’’ti evaṃ acintetvāti adhippāyo. Paccavekkhitvāti gāmappadesaṃ payojanādiñca paccavekkhitvā. Paṭikkamatīti hatthiādīnaṃ samīpagamanato apakkamati. Kaṇṭakā yattha tiṭṭhanti, taṃ kaṇṭakaṭṭhānaṃ. Amanussaduṭṭhānīti amanussasañcārena dūsitāni, saparissayānīti attho. Samānanti samaṃ, avisamanti attho. Akāsi vā tādisaṃ anācāraṃ.

    สีลสํวรสงฺขาเตนาติ ‘‘กถํ ปริวชฺชนํ สีล’’นฺติ ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ อปิจ ‘‘จณฺฑํ หตฺถิํ ปริวเชฺชตี’’ติ วจนโต หตฺถิอาทิปริวชฺชนมฺปิ ภควโต วจนานุฎฺฐานนฺติ กตฺวา อาจารสีลเมวาติ เวทิตพฺพํฯ

    Sīlasaṃvarasaṅkhātenāti ‘‘kathaṃ parivajjanaṃ sīla’’nti yadettha vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Apica ‘‘caṇḍaṃ hatthiṃ parivajjetī’’ti vacanato hatthiādiparivajjanampi bhagavato vacanānuṭṭhānanti katvā ācārasīlamevāti veditabbaṃ.

    ปริวชฺชนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Parivajjanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    วิโนทนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Vinodanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๖. อิติปีติ อิมินา การเณน, อโยนิโสมนสิการสมุฎฺฐิตตฺตาปิ โลภาทิสหคตตฺตาปิ กุสลปฎิปกฺขโตปีติอาทีหิ การเณหิ อยํ วิตโกฺก อกุสโลติ อโตฺถฯ อิมินา นเยน สาวโชฺชติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ จ อกุสโลติอาทินา ทิฎฺฐธมฺมิกํ กามวิตกฺกสฺส อาทีนวํ ทเสฺสติ, ทุกฺขวิปาโกติ อิมินา สมฺปรายิกํฯ อตฺตพฺยาพาธาย สํวตฺตตีติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อาทีนววิภาวนา เวทิตพฺพาฯ อุปฺปนฺนสฺส กามวิตกฺกสฺส อนธิวาสนํ นาม ปุน ตาทิสสฺส อนุปฺปาทนํ, ตํ ปนสฺส ปหานํ วิโนทนํ พฺยนฺติกรณํ อนภาวคมนนฺติ จ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ ปาฬิยํ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติ วตฺวา ‘‘ปชหตี’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนธิวาเสโนฺต กิํ กโรตีติ ปชหตี’’ติอาทิมาหฯ ปหานเญฺจตฺถ วิกฺขมฺภนเมว, น สมุเจฺฉโทติ ทเสฺสตุํ ‘‘วิโนเทตี’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ วิกฺขมฺภนวเสเนว อโตฺถ ทสฺสิโตฯ

    26.Itipīti iminā kāraṇena, ayonisomanasikārasamuṭṭhitattāpi lobhādisahagatattāpi kusalapaṭipakkhatopītiādīhi kāraṇehi ayaṃ vitakko akusaloti attho. Iminā nayena sāvajjotiādīsupi attho veditabbo. Ettha ca akusalotiādinā diṭṭhadhammikaṃ kāmavitakkassa ādīnavaṃ dasseti, dukkhavipākoti iminā samparāyikaṃ. Attabyābādhāya saṃvattatītiādīsupi imināva nayena ādīnavavibhāvanā veditabbā. Uppannassa kāmavitakkassa anadhivāsanaṃ nāma puna tādisassa anuppādanaṃ, taṃ panassa pahānaṃ vinodanaṃ byantikaraṇaṃ anabhāvagamananti ca vattuṃ vaṭṭatīti pāḷiyaṃ ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’ti vatvā ‘‘pajahatī’’tiādi vuttanti tamatthaṃ dassento ‘‘anadhivāsento kiṃ karotīti pajahatī’’tiādimāha. Pahānañcettha vikkhambhanameva, na samucchedoti dassetuṃ ‘‘vinodetī’’tiādi vuttanti vikkhambhanavaseneva attho dassito.

    กามวิตโกฺกติ สมฺปโยคโต อารมฺมณโต จ กามสหคโต วิตโกฺกฯ เตนาห ‘‘กามปฎิสํยุโตฺต ตโกฺก’’ติอาทิฯ กามปฎิสํยุโตฺตติ หิ กามราคสงฺขาเตน กาเมน สมฺปยุโตฺต วตฺถุกามสงฺขาเตน ปฎิพโทฺธ จฯ อุปฺปนฺนุปฺปเนฺนติ เตสํ ปาปวิตกฺกานํ อุปฺปาทาวตฺถาคหณํ วา กตํ สิยา อนวเสสคฺคหณํ วาฯ เตสุ ปฐมํ สนฺธายาห ‘‘อุปนฺนมเตฺต’’ติ, สมฺปติชาเตติ อโตฺถฯ อนวเสสคฺคหณํ พฺยาปนิจฺฉาย โหตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘สตกฺขตฺตุมฺปิ อุปฺปเนฺน’’ติ วุตฺตํฯ ญาติวิตโกฺกติ ‘‘อมฺหากํ ญาตโย สุขชีวิโน สมฺปตฺติยุตฺตา’’ติอาทินา เคหสฺสิตเปมวเสน ญาตเก อารพฺภ อุปฺปนฺนวิตโกฺกฯ ชนปทวิตโกฺกติ ‘‘อมฺหากํ ชนปโท สุภิโกฺข สมฺปนฺนสโสฺส รมณีโย’’ติอาทินา เคหสฺสิตเปมวเสเนว ชนปทํ อารพฺภ อุปฺปนฺนวิตโกฺกฯ อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีหิ ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สมฺปราเย อตฺตา สุขี โหติ อมโรติ ทุกฺกรการิกาย ปฎิสํยุโตฺต อมรตฺถาย วิตโกฺก, ตํ วา อารพฺภ อมราวิเกฺขปทิฎฺฐิสหคโต อมโร จ โส วิตโกฺก จาติ อมรวิตโกฺกฯ ปรานุทฺทยตาปฎิสํยุโตฺตติ ปเรสุ อุปฎฺฐากาทีสุ สหนนฺทิกาทิวเสน ปวโตฺต อนุทฺทยตาปติรูปโก เคหสฺสิตเปเมน ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกฯ ลาภสกฺการสิโลกปฎิสํยุโตฺตติ จีวราทิลาเภน เจว สกฺกาเรน จ กิตฺติสเทฺทน จ อารมฺมณกรณวเสน ปฎิสํยุโตฺตฯ อนวญฺญตฺติปฎิสํยุโตฺตติ ‘‘อโห วต มํ ปเร น อวชาเนยฺยุํ, น เหฎฺฐา กตฺวา มเญฺญยฺยุํ, ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุํ กเรยฺยุ’’นฺติ อุปฺปนฺนวิตโกฺกฯ

    Kāmavitakkoti sampayogato ārammaṇato ca kāmasahagato vitakko. Tenāha ‘‘kāmapaṭisaṃyuttotakko’’tiādi. Kāmapaṭisaṃyuttoti hi kāmarāgasaṅkhātena kāmena sampayutto vatthukāmasaṅkhātena paṭibaddho ca. Uppannuppanneti tesaṃ pāpavitakkānaṃ uppādāvatthāgahaṇaṃ vā kataṃ siyā anavasesaggahaṇaṃ vā. Tesu paṭhamaṃ sandhāyāha ‘‘upannamatte’’ti, sampatijāteti attho. Anavasesaggahaṇaṃ byāpanicchāya hotīti dassetuṃ ‘‘satakkhattumpi uppanne’’ti vuttaṃ. Ñātivitakkoti ‘‘amhākaṃ ñātayo sukhajīvino sampattiyuttā’’tiādinā gehassitapemavasena ñātake ārabbha uppannavitakko. Janapadavitakkoti ‘‘amhākaṃ janapado subhikkho sampannasasso ramaṇīyo’’tiādinā gehassitapemavaseneva janapadaṃ ārabbha uppannavitakko. Ukkuṭikappadhānādīhi dukkhe nijjiṇṇe samparāye attā sukhī hoti amaroti dukkarakārikāya paṭisaṃyutto amaratthāya vitakko, taṃ vā ārabbha amarāvikkhepadiṭṭhisahagato amaro ca so vitakko cāti amaravitakko. Parānuddayatāpaṭisaṃyuttoti paresu upaṭṭhākādīsu sahanandikādivasena pavatto anuddayatāpatirūpako gehassitapemena paṭisaṃyutto vitakko. Lābhasakkārasilokapaṭisaṃyuttoti cīvarādilābhena ceva sakkārena ca kittisaddena ca ārammaṇakaraṇavasena paṭisaṃyutto. Anavaññattipaṭisaṃyuttoti ‘‘aho vata maṃ pare na avajāneyyuṃ, na heṭṭhā katvā maññeyyuṃ, pāsāṇacchattaṃ viya garuṃ kareyyu’’nti uppannavitakko.

    กามวิตโกฺก กามสงฺกปฺปนสภาวตฺตา กามสงฺกปฺปปวตฺติยา สาติสยตฺตา จ กามนากาโรติ อาห ‘‘กามวิตโกฺก ปเนตฺถ กามาสโว’’ติฯ ตพฺพิเสโสติ กามาสววิเสโส, ราคสหวุตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ กามวิตกฺกาทิเก วิโนเทติ อตฺตโน สนฺตานโต นีหรติ เอเตนาติ วิโนทนํ, วีริยนฺติ อาห ‘‘วีริยสํวรสงฺขาเตน วิโนทเนนา’’ติฯ

    Kāmavitakko kāmasaṅkappanasabhāvattā kāmasaṅkappapavattiyā sātisayattā ca kāmanākāroti āha ‘‘kāmavitakko panettha kāmāsavo’’ti. Tabbisesoti kāmāsavaviseso, rāgasahavuttīti adhippāyo. Kāmavitakkādike vinodeti attano santānato nīharati etenāti vinodanaṃ, vīriyanti āha ‘‘vīriyasaṃvarasaṅkhātena vinodanenā’’ti.

    วิโนทนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinodanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ภาวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา

    Bhāvanāpahātabbaāsavavaṇṇanā

    ๒๗. ‘‘สตฺต โพชฺฌงฺคา ภาวิตา พหุลีกตา วิชฺชาวิมุตฺติโย ปริปูเรนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๘๗) วจนโต วิชฺชาวิมุตฺตีนํ อนธิคโม ตโต จ สกลวฎฺฎทุกฺขานติวตฺติ อภาวนาย อาทีนโว, วุตฺตวิปริยาเยน ภควโต โอรสปุตฺตภาวาทิวเสน จ ภาวนาย อานิสํโส เวทิตโพฺพฯ อุปริมคฺคตฺตยสมยสมฺภูตาติ ทุติยาทิมคฺคกฺขเณ ชาตา, ภาวนาธิการโต ทุติยมคฺคาทิปริยาปนฺนาติ อโตฺถฯ นนุ จ เต โลกุตฺตรา เอว, กสฺมา วิเสสนํ กตนฺติ? นยิทํ วิเสสนํ, วิเสสิตพฺพํ ปเนตํ, โลกุตฺตรโพชฺฌงฺคา เอว อธิเปฺปตา, เต จ โข อุปริมคฺคตฺตยสมยสมฺภูตาติฯ โพชฺฌเงฺคสุ อสโมฺมหตฺถนฺติ วิปสฺสนาฌานมคฺคผลโพชฺฌเงฺคสุ สโมฺมหาภาวตฺถํฯ มิสฺสกนเยน หิ โพชฺฌเงฺคสุ วุจฺจมาเนสุ ตทงฺคาทิวิเวกทสฺสนวเสน วิปสฺสนาโพชฺฌงฺคาทโย วิภชิตฺวา วุจฺจนฺติ, น นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรโพชฺฌงฺคา เอวาติ โพชฺฌเงฺคสุ สโมฺมโห น โหติ โพชฺฌงฺคภาวนาปฎิปตฺติยา จ สมฺมเทว ปกาสิตตฺตาฯ อิธ ปนาติ อิมสฺมิํ สุเตฺต, อิมสฺมิํ วา อธิกาเรฯ โลกุตฺตรนโย เอว คเหตโพฺพ ภาวนามคฺคสฺส อธิกตตฺตาฯ

    27. ‘‘Satta bojjhaṅgā bhāvitā bahulīkatā vijjāvimuttiyo paripūrentī’’ti (saṃ. ni. 5.187) vacanato vijjāvimuttīnaṃ anadhigamo tato ca sakalavaṭṭadukkhānativatti abhāvanāya ādīnavo, vuttavipariyāyena bhagavato orasaputtabhāvādivasena ca bhāvanāya ānisaṃso veditabbo. Uparimaggattayasamayasambhūtāti dutiyādimaggakkhaṇe jātā, bhāvanādhikārato dutiyamaggādipariyāpannāti attho. Nanu ca te lokuttarā eva, kasmā visesanaṃ katanti? Nayidaṃ visesanaṃ, visesitabbaṃ panetaṃ, lokuttarabojjhaṅgā eva adhippetā, te ca kho uparimaggattayasamayasambhūtāti. Bojjhaṅgesu asammohatthanti vipassanājhānamaggaphalabojjhaṅgesu sammohābhāvatthaṃ. Missakanayena hi bojjhaṅgesu vuccamānesu tadaṅgādivivekadassanavasena vipassanābojjhaṅgādayo vibhajitvā vuccanti, na nibbattitalokuttarabojjhaṅgā evāti bojjhaṅgesu sammoho na hoti bojjhaṅgabhāvanāpaṭipattiyā ca sammadeva pakāsitattā. Idha panāti imasmiṃ sutte, imasmiṃ vā adhikāre. Lokuttaranayo eva gahetabbo bhāvanāmaggassa adhikatattā.

    อาทิปทานนฺติ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๔๑๘) ‘‘สติสโมฺพชฺฌงฺค’’นฺติ เอวมาทีนํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ วาเกฺย อาทิภูตานํ ปทานํฯ อตฺถโตติ วิเสสวเสน สามญฺญวเสน จ ปทตฺถโตฯ ลกฺขณาทีหีติ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานโตฯ กมโตติ อนุปุพฺพิโตฯ อนูนาธิกโตติ ตาวตฺตกโตฯ วิภาวินาติ วิญฺญุนาฯ

    Ādipadānanti (a. ni. ṭī. 1.1.418) ‘‘satisambojjhaṅga’’nti evamādīnaṃ tasmiṃ tasmiṃ vākye ādibhūtānaṃ padānaṃ. Atthatoti visesavasena sāmaññavasena ca padatthato. Lakkhaṇādīhīti lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānato. Kamatoti anupubbito. Anūnādhikatoti tāvattakato. Vibhāvināti viññunā.

    สติสโมฺพชฺฌเงฺคติ สติสโมฺพชฺฌงฺคปเทฯ สรณเฎฺฐนาติ อนุสฺสรณเฎฺฐนฯ จิรกตาทิเภทํ อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐานํ, อนิสฺสชฺชนํ วา อุปฎฺฐานํฯ อุทเก อลาพุ วิย ปิลวิตฺวา คนฺตุํ อทตฺวา ปาสาณสฺส วิย นิจฺจลสฺส อารมฺมณสฺส ฐปนํ สารณํ อสมฺมุฎฺฐตากรณํ อปิลาปนํฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ มิลินฺทปเญฺหฯ ภณฺฑาคาริโกติ ภณฺฑโคปโกฯ อปิลาเป กโรติ อปิลาเปติฯ เถเรนาติ นาคเสนเตฺถเรนฯ สโมฺมสปจฺจนีกํ กิจฺจํ อสโมฺมโส, น สโมฺมสาภาวมตฺตํฯ โคจราภิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานาติ กายาทิอารมฺมณาภิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ

    Satisambojjhaṅgeti satisambojjhaṅgapade. Saraṇaṭṭhenāti anussaraṇaṭṭhena. Cirakatādibhedaṃ ārammaṇaṃ upagantvā ṭhānaṃ, anissajjanaṃ vā upaṭṭhānaṃ. Udake alābu viya pilavitvā gantuṃ adatvā pāsāṇassa viya niccalassa ārammaṇassa ṭhapanaṃ sāraṇaṃ asammuṭṭhatākaraṇaṃ apilāpanaṃ. Vuttampi hetaṃ milindapañhe. Bhaṇḍāgārikoti bhaṇḍagopako. Apilāpe karoti apilāpeti. Therenāti nāgasenattherena. Sammosapaccanīkaṃ kiccaṃ asammoso, na sammosābhāvamattaṃ. Gocarābhimukhabhāvapaccupaṭṭhānāti kāyādiārammaṇābhimukhabhāvapaccupaṭṭhānā.

    โพธิยา ธมฺมสามคฺคิยา, อโงฺค อวยโว, โพธิสฺส วา อริยสาวกสฺส อโงฺค การณํฯ ปติฎฺฐานายูหนา โอฆตรณสุตฺตวณฺณนายํ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑) –

    Bodhiyā dhammasāmaggiyā, aṅgo avayavo, bodhissa vā ariyasāvakassa aṅgo kāraṇaṃ. Patiṭṭhānāyūhanā oghataraṇasuttavaṇṇanāyaṃ (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.1) –

    ‘‘กิเลสวเสน ปติฎฺฐานํ, อภิสงฺขารวเสน อายูหนาฯ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ ปติฎฺฐานํ, อวเสสกิเลสาภิสงฺขาเรหิ อายูหนาฯ ตณฺหาวเสน ปติฎฺฐานํ, ทิฎฺฐิวเสน อายูหนาฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา ปติฎฺฐานํ, อุเจฺฉททิฎฺฐิยา อายูหนาฯ ลีนวเสน ปติฎฺฐานํ, อุทฺธจฺจวเสน อายูหนาฯ กามสุขานุโยควเสน ปติฎฺฐานํ, อตฺตกิลมถานุโยควเสน อายูหนาฯ สพฺพากุสลาภิสงฺขารวเสน ปติฎฺฐานํ, สพฺพโลกิยกุสลาภิสงฺขารวเสน อายูหนา’’ติ –

    ‘‘Kilesavasena patiṭṭhānaṃ, abhisaṅkhāravasena āyūhanā. Taṇhādiṭṭhīhi patiṭṭhānaṃ, avasesakilesābhisaṅkhārehi āyūhanā. Taṇhāvasena patiṭṭhānaṃ, diṭṭhivasena āyūhanā. Sassatadiṭṭhiyā patiṭṭhānaṃ, ucchedadiṭṭhiyā āyūhanā. Līnavasena patiṭṭhānaṃ, uddhaccavasena āyūhanā. Kāmasukhānuyogavasena patiṭṭhānaṃ, attakilamathānuyogavasena āyūhanā. Sabbākusalābhisaṅkhāravasena patiṭṭhānaṃ, sabbalokiyakusalābhisaṅkhāravasena āyūhanā’’ti –

    วุเตฺตสุ ปกาเรสุ อิธ อวุตฺตานํ วเสน เวทิตพฺพาฯ ยา หิ อยํ โพธีติ วุจฺจตีติ โยเชตพฺพํ ฯ ‘‘พุชฺฌตี’’ติ ปทสฺส ปฎิพุชฺฌตีติ อโตฺถติ อาห ‘‘กิเลสสนฺตานนิทฺทาย อุฎฺฐหตี’’ติฯ ตํ ปน ปฎิพุชฺฌนํ อตฺถโต จตุนฺนํ สจฺจานํ ปฎิเวโธ, นิพฺพานเสฺสว วา สจฺฉิกิริยาติ อาห ‘‘จตฺตารี’’ติอาทิฯ ฌานงฺคมคฺคงฺคาทโย วิยาติ ยถา องฺคานิ เอว ฌานมคฺคา, น องฺควินิมุตฺตา, เอวมิธาปีติ อโตฺถฯ เสนงฺครถงฺคาทโย วิยาติ เอเตน ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาวํ ทเสฺสติฯ

    Vuttesu pakāresu idha avuttānaṃ vasena veditabbā. Yā hi ayaṃ bodhīti vuccatīti yojetabbaṃ . ‘‘Bujjhatī’’ti padassa paṭibujjhatīti atthoti āha ‘‘kilesasantānaniddāya uṭṭhahatī’’ti. Taṃ pana paṭibujjhanaṃ atthato catunnaṃ saccānaṃ paṭivedho, nibbānasseva vā sacchikiriyāti āha ‘‘cattārī’’tiādi. Jhānaṅgamaggaṅgādayo viyāti yathā aṅgāni eva jhānamaggā, na aṅgavinimuttā, evamidhāpīti attho. Senaṅgarathaṅgādayo viyāti etena puggalapaññattiyā avijjamānapaññattibhāvaṃ dasseti.

    โพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคาติ อิทํ การณโตฺถ องฺค-สโทฺทติ กตฺวา วุตฺตํฯ พุชฺฌนฺตีติ โพธิโย, โพธิโย เอว องฺคาติ โพชฺฌงฺคาติ วุตฺตํ ‘‘พุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติฯ อนุพุชฺฌนฺตีติ วิปสฺสนาทีนํ การณานํ พุชฺฌิตพฺพานญฺจ สจฺจานํ อนุรูปํ พุชฺฌนฺติฯ ปฎิพุชฺฌนฺตีติ กิเลสนิทฺทาย อุฎฺฐหนโต ปจฺจกฺขภาเวน วา ปฎิมุขํ พุชฺฌนฺติฯ สมฺพุชฺฌนฺตีติ อวิปรีตภาเวน สมฺมา จ พุชฺฌนฺติฯ เอวํ อุปสคฺคานํ อตฺถวิเสสทีปนตา ทฎฺฐพฺพาฯ โพธิ-สโทฺท หิ สพฺพวิเสสยุตฺตํ พุชฺฌนํ สามเญฺญน คเหตฺวา ฐิโตฯ

    Bodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgāti idaṃ kāraṇattho aṅga-saddoti katvā vuttaṃ. Bujjhantīti bodhiyo, bodhiyo eva aṅgāti bojjhaṅgāti vuttaṃ ‘‘bujjhantīti bojjhaṅgā’’ti. Anubujjhantīti vipassanādīnaṃ kāraṇānaṃ bujjhitabbānañca saccānaṃ anurūpaṃ bujjhanti. Paṭibujjhantīti kilesaniddāya uṭṭhahanato paccakkhabhāvena vā paṭimukhaṃ bujjhanti. Sambujjhantīti aviparītabhāvena sammā ca bujjhanti. Evaṃ upasaggānaṃ atthavisesadīpanatā daṭṭhabbā. Bodhi-saddo hi sabbavisesayuttaṃ bujjhanaṃ sāmaññena gahetvā ṭhito.

    วิจินาตีติ ‘‘ตยิทํ ทุกฺข’’นฺติอาทินา วีมํสติฯ โอภาสนํ ธมฺมานํ ยถาภูตสภาวปฎิจฺฉาทกสฺส สโมฺมหสฺส วิทฺธํสนํ ยถา อาโลโก อนฺธการสฺสฯ ยสฺมิํ ธเมฺม สติ วีโร นาม โหติ, โส ธโมฺม วีรภาโวฯ อีรยิตพฺพโตติ ปวเตฺตตพฺพโตฯ โกสชฺชปกฺขโต ปติตุํ อปฺปทานวเสน สมฺปยุตฺตานํ ปคฺคณฺหนํ ปคฺคโหอุปตฺถมฺภนํ อนุพลปฺปทานํฯ โอสีทนํ ลยาปตฺติ, ตปฺปฎิปกฺขโต อโนสีทนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ปีณยตีติ ตเปฺปติ วเฑฺฒติ วาฯ ผรณํ ปณีตรูเปหิ กายสฺส พฺยาปนํฯ ตุฎฺฐิ นาม ปีติฯ อุทคฺคภาโว โอทคฺยํ, กายจิตฺตานํ อุกฺขิปนนฺติ อโตฺถฯ กายจิตฺตทรถปสฺสมฺภนโตติ กายทรถสฺส จิตฺตทรถสฺส จ ปสฺสมฺภนโต วูปสมนโตฯ กาโยติ เจตฺถ เวทนาทโย ตโย ขนฺธาฯ ทรโถ สารโมฺภ, ทุกฺขโทมนสฺสปจฺจยานํ อุทฺธจฺจาทิกิเลสานํ, ตปฺปธานานํ วา จตุนฺนํ ขนฺธานํ อธิวจนํฯ อุทฺธจฺจาทิกิเลสปฎิปกฺขภาโว ทฎฺฐโพฺพ, เอวเญฺจตฺถ ปสฺสทฺธิยา อปริปฺผนฺทนสีติภาโว ทฎฺฐโพฺพ อสารทฺธภาวโตฯ เตนาห ภควา ‘‘ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๒)ฯ

    Vicinātīti ‘‘tayidaṃ dukkha’’ntiādinā vīmaṃsati. Obhāsanaṃ dhammānaṃ yathābhūtasabhāvapaṭicchādakassa sammohassa viddhaṃsanaṃ yathā āloko andhakārassa. Yasmiṃ dhamme sati vīro nāma hoti, so dhammo vīrabhāvo. Īrayitabbatoti pavattetabbato. Kosajjapakkhato patituṃ appadānavasena sampayuttānaṃ paggaṇhanaṃ paggaho. Upatthambhanaṃ anubalappadānaṃ. Osīdanaṃ layāpatti, tappaṭipakkhato anosīdanaṃ daṭṭhabbaṃ. Pīṇayatīti tappeti vaḍḍheti vā. Pharaṇaṃ paṇītarūpehi kāyassa byāpanaṃ. Tuṭṭhi nāma pīti. Udaggabhāvo odagyaṃ, kāyacittānaṃ ukkhipananti attho. Kāyacittadarathapassambhanatoti kāyadarathassa cittadarathassa ca passambhanato vūpasamanato. Kāyoti cettha vedanādayo tayo khandhā. Daratho sārambho, dukkhadomanassapaccayānaṃ uddhaccādikilesānaṃ, tappadhānānaṃ vā catunnaṃ khandhānaṃ adhivacanaṃ. Uddhaccādikilesapaṭipakkhabhāvo daṭṭhabbo, evañcettha passaddhiyā aparipphandanasītibhāvo daṭṭhabbo asāraddhabhāvato. Tenāha bhagavā ‘‘passaddho kāyo asāraddho’’ti (ma. ni. 1.52).

    สมาธานโตติ สมฺมา จิตฺตสฺส อาธานโต ฐปนโตฯ อวิเกฺขโป สมฺปยุตฺตานํ อวิกฺขิตฺตตา, เยน สสมฺปยุตฺตา ธมฺมา อวิกฺขิตฺตา โหนฺติ, โส ธโมฺม อวิเกฺขโปติฯ อวิสาโร อตฺตโน เอว อวิสรณสภาโวฯ สมฺปิณฺฑนํ สมฺปยุตฺตานํ อวิปฺปกิณฺณภาวาปาทนํ นฺหานียจุณฺณานํ อุทกํ วิยฯ จิตฺตฎฺฐิติปจฺจุปฎฺฐาโนติ ‘‘จิตฺตสฺส ฐิตี’’ติ (ธ. ส. ๑๑) วจนโต จิตฺตสฺส ปพนฺธฐิติปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อชฺฌุเปกฺขนโตติ อุทาสีนภาวโตฯ สาติ โพชฺฌงฺคอุเปกฺขา ฯ สมปฺปวเตฺต ธเมฺม ปฎิสญฺจิกฺขติ อุปปตฺติโต อิกฺขติ ตทาการา หุตฺวา ปวตฺตตีติ ปฎิสงฺขานลกฺขณา, เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ปฎิสงฺขา สนฺติฎฺฐนา คหเณ มชฺฌตฺตตา’’ติ อุเปกฺขากิจฺจาธิมตฺตตาย สงฺขารุเปกฺขา วุตฺตาฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ ยถาสกกิจฺจกรณวเสน สมํ ปวตฺตนปจฺจยตา สมวาหิตาฯ อลีนานุทฺธตปฺปวตฺติปจฺจยตา อูนาธิกตานิวารณํฯ สมฺปยุตฺตานํ อสมปฺปวตฺติเหตุกปกฺขปาตํ อุปจฺฉินฺทนฺตี วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปกฺขปาตุปเจฺฉทรสา’’ติฯ อชฺฌุเปกฺขนเมว มชฺฌตฺตภาโว

    Samādhānatoti sammā cittassa ādhānato ṭhapanato. Avikkhepo sampayuttānaṃ avikkhittatā, yena sasampayuttā dhammā avikkhittā honti, so dhammo avikkhepoti. Avisāro attano eva avisaraṇasabhāvo. Sampiṇḍanaṃ sampayuttānaṃ avippakiṇṇabhāvāpādanaṃ nhānīyacuṇṇānaṃ udakaṃ viya. Cittaṭṭhitipaccupaṭṭhānoti ‘‘cittassa ṭhitī’’ti (dha. sa. 11) vacanato cittassa pabandhaṭhitipaccupaṭṭhāno. Ajjhupekkhanatoti udāsīnabhāvato. ti bojjhaṅgaupekkhā . Samappavatte dhamme paṭisañcikkhati upapattito ikkhati tadākārā hutvā pavattatīti paṭisaṅkhānalakkhaṇā, evañca katvā ‘‘paṭisaṅkhā santiṭṭhanā gahaṇe majjhattatā’’ti upekkhākiccādhimattatāya saṅkhārupekkhā vuttā. Sampayuttadhammānaṃ yathāsakakiccakaraṇavasena samaṃ pavattanapaccayatā samavāhitā. Alīnānuddhatappavattipaccayatā ūnādhikatānivāraṇaṃ. Sampayuttānaṃ asamappavattihetukapakkhapātaṃ upacchindantī viya hotīti vuttaṃ ‘‘pakkhapātupacchedarasā’’ti. Ajjhupekkhanameva majjhattabhāvo.

    สพฺพสฺมิํ ลีนปเกฺข อุทฺธจฺจปเกฺข จ อตฺถิกา ปตฺถนียา อิจฺฉิตพฺพาติ สพฺพตฺถิกา, ตํ สพฺพตฺถิกํฯ สมานกฺขณปวตฺตีสุ สตฺตสุปิ สโมฺพชฺฌเงฺคสุ วาจาย กมปฺปวตฺติโต ปฎิปาฎิยา วตฺตเพฺพสุ ยํ กิญฺจิ ปฐมํ อวตฺวา สติสโมฺพชฺฌงฺคเสฺสว ปฐมํ วจนสฺส การณํ สเพฺพสํ อุปการกตฺตนฺติ วุตฺตํ ‘‘สเพฺพส’’นฺติอาทิฯ สเพฺพสนฺติ จ ลีนุทฺธจฺจปกฺขิกานํ, อญฺญถา สเพฺพปิ สเพฺพสํ ปจฺจยาติฯ

    Sabbasmiṃ līnapakkhe uddhaccapakkhe ca atthikā patthanīyā icchitabbāti sabbatthikā, taṃ sabbatthikaṃ. Samānakkhaṇapavattīsu sattasupi sambojjhaṅgesu vācāya kamappavattito paṭipāṭiyā vattabbesu yaṃ kiñci paṭhamaṃ avatvā satisambojjhaṅgasseva paṭhamaṃ vacanassa kāraṇaṃ sabbesaṃ upakārakattanti vuttaṃ ‘‘sabbesa’’ntiādi. Sabbesanti ca līnuddhaccapakkhikānaṃ, aññathā sabbepi sabbesaṃ paccayāti.

    ‘‘กสฺมา สเตฺตว โพชฺฌงฺคา วุตฺตา’’ติ โจทโก สทฺธาโลภาทีนมฺปิ โพชฺฌงฺคภาวํ อาสงฺกติ, อิตโร สติอาทีนํเยว ภาวนาย อุปการตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ลีนุทฺธจฺจปฎิปกฺขโต สพฺพตฺถิกโต จา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ลีนสฺสาติ อติสิถิลวีริยตาทีหิ ภาวนาวีถิํ อโนตริตฺวา สํกุฎิตสฺส จิตฺตสฺสฯ ตทา หิ ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคา น ภาเวตพฺพาฯ ตญฺหิ เอเตหิ อลฺลติณาทีหิ วิย ปริโตฺต อคฺคิ ทุสฺสมุฎฺฐาปิยํ โหตีติฯ เตนาห ภควา ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ อลฺลานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺยา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ ธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคา ปน ภาเวตพฺพา, สุกฺขติณาทีหิ วิย ปริโตฺต อคฺคิ ลีนํ จิตฺตํ เอเตหิ สุสมุฎฺฐาปิยํ โหตีติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยสฺมิญฺจ โข’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยถาสกํ อาหารวเสน ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา…เป.… ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย…เป.… สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ ตตฺถ สภาวสามญฺญลกฺขณปฎิเวธวเสน ปวตฺตมนสิกาโร…เป.… ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติ นามฯ

    ‘‘Kasmā satteva bojjhaṅgā vuttā’’ti codako saddhālobhādīnampi bojjhaṅgabhāvaṃ āsaṅkati, itaro satiādīnaṃyeva bhāvanāya upakārataṃ dassento ‘‘līnuddhaccapaṭipakkhato sabbatthikato cā’’tiādimāha. Tattha līnassāti atisithilavīriyatādīhi bhāvanāvīthiṃ anotaritvā saṃkuṭitassa cittassa. Tadā hi passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgā na bhāvetabbā. Tañhi etehi allatiṇādīhi viya paritto aggi dussamuṭṭhāpiyaṃ hotīti. Tenāha bhagavā ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, puriso parittaṃ aggiṃ ujjāletukāmo assa, so tattha allāni ceva tiṇāni pakkhipeyyā’’tiādi (saṃ. ni. 5.234). Dhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgā pana bhāvetabbā, sukkhatiṇādīhi viya paritto aggi līnaṃ cittaṃ etehi susamuṭṭhāpiyaṃ hotīti. Tena vuttaṃ ‘‘yasmiñca kho’’tiādi. Tattha yathāsakaṃ āhāravasena dhammavicayasambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā veditabbā. Vuttañhetaṃ ‘‘atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā…pe… pītisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya…pe… saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232). Tattha sabhāvasāmaññalakkhaṇapaṭivedhavasena pavattamanasikāro…pe… dhammavicayasambojjhaṅgādayo bhāveti nāma.

    อุทฺธจฺจสฺสาติ จิตฺตสฺส อจฺจารทฺธวีริยตาทีหิ สีติภาวปติฎฺฐิตภาวํ อโนติณฺณตาย, ตทา ธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคา น ภาเวตพฺพาฯ ตญฺหิ เอเตหิ สุกฺขติณาทีหิ วิย อคฺคิกฺขโนฺธ ทุวูปสมยํ โหติฯ เตนาห ภควา ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ สุกฺขานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺยา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคา ปน ภาเวตพฺพา, อลฺลติณาทีหิ วิย อคฺคิกฺขโนฺธ อุทฺธตํ จิตฺตํ เอเตหิ สุวูปสมยํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยสฺมิญฺจ โข’’ติอาทิฯ เอตฺถาปิ ยถาสกํ อาหารวเสน ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ…เป.… อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ ตตฺถ ยถาสฺส ปสฺสทฺธิอาทโย อุปฺปนฺนปุพฺพา, ตํ อาการํ สลฺลเกฺขตฺวา เตสํ อุปฺปาทนวเสน ตถา มนสิกโรโนฺตว ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติ นามฯ สติสโมฺพชฺฌโงฺค ปน สพฺพตฺถ พหูปกาโรฯ โส หิ จิตฺตํ ลีนปกฺขิกานํ ปสฺสทฺธิอาทีนํ วเสน ลยาปตฺติโต, อุทฺธจฺจปกฺขิกานญฺจ ธมฺมวิจยาทีนํ วเสน อุทฺธจฺจปาตโต รกฺขติ, ตสฺมา โส โลณธูปนํ วิย สพฺพพฺยญฺชเนสุ สพฺพกมฺมิกอมโจฺจ วิย จ ราชกิเจฺจสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตโพฺพฯ เตนาห ‘‘สติญฺจ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, สพฺพตฺถิกํ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ

    Uddhaccassāti cittassa accāraddhavīriyatādīhi sītibhāvapatiṭṭhitabhāvaṃ anotiṇṇatāya, tadā dhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgā na bhāvetabbā. Tañhi etehi sukkhatiṇādīhi viya aggikkhandho duvūpasamayaṃ hoti. Tenāha bhagavā ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, puriso mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetukāmo assa, so tattha sukkhāni ceva tiṇāni pakkhipeyyā’’tiādi (saṃ. ni. 5.234). Passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgā pana bhāvetabbā, allatiṇādīhi viya aggikkhandho uddhataṃ cittaṃ etehi suvūpasamayaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘yasmiñca kho’’tiādi. Etthāpi yathāsakaṃ āhāravasena passaddhisambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā veditabbā. Vuttañhetaṃ ‘‘atthi, bhikkhave, kāyapassaddhi cittapassaddhi…pe… upekkhāsambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232). Tattha yathāssa passaddhiādayo uppannapubbā, taṃ ākāraṃ sallakkhetvā tesaṃ uppādanavasena tathā manasikarontova passaddhisambojjhaṅgādayo bhāveti nāma. Satisambojjhaṅgo pana sabbattha bahūpakāro. So hi cittaṃ līnapakkhikānaṃ passaddhiādīnaṃ vasena layāpattito, uddhaccapakkhikānañca dhammavicayādīnaṃ vasena uddhaccapātato rakkhati, tasmā so loṇadhūpanaṃ viya sabbabyañjanesu sabbakammikaamacco viya ca rājakiccesu sabbattha icchitabbo. Tenāha ‘‘satiñca khvāhaṃ, bhikkhave, sabbatthikaṃ vadāmī’’ti (saṃ. ni. 5.234).

    ญตฺวา ญาตพฺพาติ (สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๒๙) สมฺพโนฺธฯ วฑฺฒิ นาม เวปุลฺลํ ภิโยฺยภาโว ปุนปฺปุนํ อุปฺปาโท เอวาติ อาห ‘‘ปุนปฺปุนํ ชเนตี’’ติฯ อภิวุทฺธิํ ปาเปโนฺต นิพฺพเตฺตติฯ วิวิตฺตตาติ วิวิตฺตภาโวฯ โย หิ วิเวจนียโต วิวิจฺจติ, ยํ วิวิจฺจิตฺวา ฐิตํ, ตทุภยํ อิธ วิวิตฺตภาวสามเญฺญน ‘‘วิวิตฺตตา’’ติ วุตฺตํฯ เตสุ ปุริโม วิเวจนียโต วิวิจฺจมานตาย วิเวกสงฺขาตาย วิวิจฺจนกิริยาย สมงฺคี ธมฺมสมูโห ตาย เอว วิวิจฺจนกิริยาย วเสน วิเวโกติ คหิโตฯ อิตโร สพฺพโส ตโต ตโต วิวิตฺตสภาวตายฯ ตตฺถ ยสฺมิํ ธมฺมปุเญฺช สติสโมฺพชฺฌโงฺค วิวิจฺจนกิริยาย ปวตฺตติ, ตํ ยถาวุตฺตาย วิวิจฺจมานตาย วิเวกสงฺขาตํ นิสฺสาเยว ปวตฺตติ, อิตรํ ปน ตนฺนินฺนตาตทารมฺมณตาหีติ วุตฺตํ ‘‘วิเวเก นิสฺสิต’’นฺติฯ ยถา วา วิเวกวเสน ปวตฺตํ ฌานํ ‘‘วิเวกช’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ วิเวกวเสน ปวโตฺต โพชฺฌโงฺค ‘‘วิเวกนิสฺสิโต’’ติ ทฎฺฐโพฺพฯ นิสฺสยโฎฺฐ จ วิปสฺสนามคฺคานํ วเสน มคฺคผลานํ เวทิตโพฺพฯ อสติปิ ปุพฺพาปรภาเว ‘‘ปฎิจฺจสมุปฺปาทา’’ติ เอตฺถ ปจฺจยานํ สมุปฺปาทนํ วิย อภินฺนธมฺมาธารา นิสฺสยนภาวนา สมฺภวนฺตีติฯ อยเมวาติ วิเวโก เอวฯ วิเวโก หิ ปหานวินยวิราคนิโรธา จ สมานตฺถาฯ

    Ñatvā ñātabbāti (saṃ. ni. ṭī. 1.1.129) sambandho. Vaḍḍhi nāma vepullaṃ bhiyyobhāvo punappunaṃ uppādo evāti āha ‘‘punappunaṃ janetī’’ti. Abhivuddhiṃ pāpento nibbatteti. Vivittatāti vivittabhāvo. Yo hi vivecanīyato viviccati, yaṃ viviccitvā ṭhitaṃ, tadubhayaṃ idha vivittabhāvasāmaññena ‘‘vivittatā’’ti vuttaṃ. Tesu purimo vivecanīyato viviccamānatāya vivekasaṅkhātāya viviccanakiriyāya samaṅgī dhammasamūho tāya eva viviccanakiriyāya vasena vivekoti gahito. Itaro sabbaso tato tato vivittasabhāvatāya. Tattha yasmiṃ dhammapuñje satisambojjhaṅgo viviccanakiriyāya pavattati, taṃ yathāvuttāya viviccamānatāya vivekasaṅkhātaṃ nissāyeva pavattati, itaraṃ pana tanninnatātadārammaṇatāhīti vuttaṃ ‘‘viveke nissita’’nti. Yathā vā vivekavasena pavattaṃ jhānaṃ ‘‘vivekaja’’nti vuttaṃ, evaṃ vivekavasena pavatto bojjhaṅgo ‘‘vivekanissito’’ti daṭṭhabbo. Nissayaṭṭho ca vipassanāmaggānaṃ vasena maggaphalānaṃ veditabbo. Asatipi pubbāparabhāve ‘‘paṭiccasamuppādā’’ti ettha paccayānaṃ samuppādanaṃ viya abhinnadhammādhārā nissayanabhāvanā sambhavantīti. Ayamevāti viveko eva. Viveko hi pahānavinayavirāganirodhā ca samānatthā.

    ตทงฺคสมุเจฺฉทนิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตตํ วตฺวา ปฎิปสฺสทฺธิวิเวกนิสฺสิตตาย อวจนํ ‘‘สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตี’’ติอาทินา ภาเวตพฺพานํ โพชฺฌงฺคานํ อิธ วุตฺตตฺตาฯ ภาวิตโพฺพชฺฌงฺคสฺส หิ เย สจฺฉิกาตพฺพา ผลโพชฺฌงฺคา, เตสํ กิจฺจํ ปฎิปสฺสทฺธิวิเวโกฯ อชฺฌาสยโตติ ‘‘นิพฺพานํ สจฺฉิกริสฺสามี’’ติ มหนฺตอชฺฌาสยโตฯ ยทิปิ วิปสฺสนากฺขเณ สงฺขารารมฺมณํ จิตฺตํ, สงฺขาเรสุ ปน อาทีนวํ สุฎฺฐุ ทิสฺวา ตปฺปฎิปเกฺข นิพฺพาเน อธิมุตฺตตาย อชฺฌาสยโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตตา ทาหาภิภูตสฺส ปุคฺคลสฺส สีตนินฺนจิตตฺตา วิยฯ น ปฎิสิทฺธา วิปสฺสนาปาทเกสุ กสิณารมฺมณาทิฌาเนสุ สติอาทีนํ นิเพฺพธภาคิยตฺตาฯ อนุทฺธรนฺตา ปน วิปสฺสนา วิย โพธิยา มคฺคสฺส อาสนฺนการณํ ฌานํ น โหติ, นาปิ ตถา เอกนฺติกํ การณํ, น จ วิปสฺสนากิจฺจสฺส วิย ฌานกิจฺจสฺส นิฎฺฐานํ มโคฺคติ กตฺวา น อุทฺธรนฺติฯ เอตฺถ จ กสิณคฺคหเณน ตทายตฺตานิ อารุปฺปานิปิ คหิตานีติ ทฎฺฐพฺพานิฯ ตานิปิ หิ วิปสฺสนาปาทกานิ นิเพฺพธภาคิยานิ จ โหนฺตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติ ตนฺนินฺนภาวสพฺภาวโตฯ ยทเคฺคน หิ นิพฺพานนินฺนตา, ตทเคฺคน ผลนินฺนตาปิ สิยาฯ ‘‘กุทาสฺสุ นามาหํ ตทายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๖๕) อาทิวจนเมฺปตสฺส อตฺถสฺส สาธกํฯ

    Tadaṅgasamucchedanissaraṇavivekanissitataṃ vatvā paṭipassaddhivivekanissitatāya avacanaṃ ‘‘satisambojjhaṅgaṃ bhāvetī’’tiādinā bhāvetabbānaṃ bojjhaṅgānaṃ idha vuttattā. Bhāvitabbojjhaṅgassa hi ye sacchikātabbā phalabojjhaṅgā, tesaṃ kiccaṃ paṭipassaddhiviveko. Ajjhāsayatoti ‘‘nibbānaṃ sacchikarissāmī’’ti mahantaajjhāsayato. Yadipi vipassanākkhaṇe saṅkhārārammaṇaṃ cittaṃ, saṅkhāresu pana ādīnavaṃ suṭṭhu disvā tappaṭipakkhe nibbāne adhimuttatāya ajjhāsayato nissaraṇavivekanissitatā dāhābhibhūtassa puggalassa sītaninnacitattā viya. Na paṭisiddhā vipassanāpādakesu kasiṇārammaṇādijhānesu satiādīnaṃ nibbedhabhāgiyattā. Anuddharantā pana vipassanā viya bodhiyā maggassa āsannakāraṇaṃ jhānaṃ na hoti, nāpi tathā ekantikaṃ kāraṇaṃ, na ca vipassanākiccassa viya jhānakiccassa niṭṭhānaṃ maggoti katvā na uddharanti. Ettha ca kasiṇaggahaṇena tadāyattāni āruppānipi gahitānīti daṭṭhabbāni. Tānipi hi vipassanāpādakāni nibbedhabhāgiyāni ca hontīti vattuṃ vaṭṭati tanninnabhāvasabbhāvato. Yadaggena hi nibbānaninnatā, tadaggena phalaninnatāpi siyā. ‘‘Kudāssu nāmāhaṃ tadāyatanaṃ upasampajja vihareyya’’nti (ma. ni. 1.465) ādivacanampetassa atthassa sādhakaṃ.

    โวสฺสคฺค-สโทฺท ปริจฺจาคโตฺถ ปกฺขนฺทนโตฺถ จาติ โวสฺสคฺคสฺส ทุวิธตา วุตฺตาฯ โวสฺสชฺชนญฺหิ ปหานํ, วิสฺสฎฺฐภาเวน นิราสงฺกปวติ จ, ตสฺมา วิปสฺสนากฺขเณ ตทงฺควเสน, มคฺคกฺขเณ สมุเจฺฉทวเสน ปฎิปกฺขสฺส ปหานํ โวสฺสโคฺค, ตถา วิปสฺสนากฺขเณ ตนฺนินฺนภาเวน, มคฺคกฺขเณ อารมฺมณกรเณน วิสฺสฎฺฐสภาวโต โวสฺสโคฺคติ เวทิตพฺพํฯ ยถาวุเตฺตน ปกาเรนาติ ตทงฺคสมุเจฺฉทปกาเรน ตนฺนินฺนตทารมฺมณกรณปกาเรน จฯ ปุเพฺพ โวสฺสคฺค-ปทเสฺสว อตฺถสฺส วุตฺตตฺตา อาห ‘‘สกเลน วจเนนา’’ติฯ ปริณมนฺตํ วิปสฺสนากฺขเณ, ปริณตํ มคฺคกฺขเณฯ ปริณาโม นาม ปริปาโกติ อาห ‘‘ปริปจฺจนฺตํ ปริปกฺกญฺจา’’ติฯ ปริปาโก จ อาเสวนลาเภน อาหิตสามตฺถิยสฺส กิเลสสฺส ปริจฺจชิตุํ นิพฺพานญฺจ ปกฺขนฺทิตุํ ติกฺขวิสทสภาโวฯ เตนาห ‘‘อยญฺหี’’ติอาทิฯ เอส นโยติ ยฺวายํ ‘‘ตทงฺควิเวกนิสฺสิต’’นฺติอาทินา สติสโมฺพชฺฌเงฺค วุโตฺต, เสเสสุ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทีสุปิ เอส นโยติ เอวํ ตตฺถ เนตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Vossagga-saddo pariccāgattho pakkhandanattho cāti vossaggassa duvidhatā vuttā. Vossajjanañhi pahānaṃ, vissaṭṭhabhāvena nirāsaṅkapavati ca, tasmā vipassanākkhaṇe tadaṅgavasena, maggakkhaṇe samucchedavasena paṭipakkhassa pahānaṃ vossaggo, tathā vipassanākkhaṇe tanninnabhāvena, maggakkhaṇe ārammaṇakaraṇena vissaṭṭhasabhāvato vossaggoti veditabbaṃ. Yathāvuttena pakārenāti tadaṅgasamucchedapakārena tanninnatadārammaṇakaraṇapakārena ca. Pubbe vossagga-padasseva atthassa vuttattā āha ‘‘sakalena vacanenā’’ti. Pariṇamantaṃ vipassanākkhaṇe, pariṇataṃ maggakkhaṇe. Pariṇāmo nāma paripākoti āha ‘‘paripaccantaṃ paripakkañcā’’ti. Paripāko ca āsevanalābhena āhitasāmatthiyassa kilesassa pariccajituṃ nibbānañca pakkhandituṃ tikkhavisadasabhāvo. Tenāha ‘‘ayañhī’’tiādi. Esa nayoti yvāyaṃ ‘‘tadaṅgavivekanissita’’ntiādinā satisambojjhaṅge vutto, sesesu dhammavicayasambojjhaṅgādīsupi esa nayoti evaṃ tattha netabbanti attho.

    เอวํ อาทิกมฺมิกานํ โพชฺฌเงฺคสุ อสโมฺมหตฺถํ มิสฺสกนยํ วตฺวา อิทานิ นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรโพชฺฌงฺควเสน อตฺถํ วิภาเวตุํ ‘‘อิธ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิธ ปนาติ อิมสฺมิํ สพฺพาสวสุตฺตเนฺตฯ มโคฺค เอว โวสฺสคฺควิปริณามี ภาวนามคฺคสฺส อิธ อธิเปฺปตตฺตาฯ ตญฺจ โขติ สติสโมฺพชฺฌงฺคํฯ สมุเจฺฉทโตติ สมุจฺฉินฺทนโตฯ

    Evaṃ ādikammikānaṃ bojjhaṅgesu asammohatthaṃ missakanayaṃ vatvā idāni nibbattitalokuttarabojjhaṅgavasena atthaṃ vibhāvetuṃ ‘‘idha panā’’tiādi vuttaṃ. Idha panāti imasmiṃ sabbāsavasuttante. Maggo eva vossaggavipariṇāmī bhāvanāmaggassa idha adhippetattā. Tañca khoti satisambojjhaṅgaṃ. Samucchedatoti samucchindanato.

    ทิฎฺฐาสวสฺส ปฐมมคฺควชฺฌตฺตา ‘‘ตโย อาสวา’’ติ วุตฺตํฯ เตปิ อนปายคมนียา เอว เวทิตพฺพา อปายคมนียานํ ทสฺสเนเนว ปหีนตฺตาฯ สติปิ สโมฺพชฺฌงฺคานํ เยภุเยฺยน มคฺคภาเว ตตฺถ ตตฺถ สโมฺพชฺฌงฺคสภาวานํ มคฺคธมฺมานํ วเสน วุตฺตมคฺคตฺตยสมฺปยุตฺตา โพชฺฌงฺคาติ ปเจฺจกโพชฺฌเงฺค ‘‘โพชฺฌงฺคภาวนายา’’ติ อิมินา คณฺหโนฺต ‘‘มคฺคตฺตยสมฺปยุตฺตายา’’ติ อาหฯ

    Diṭṭhāsavassa paṭhamamaggavajjhattā ‘‘tayo āsavā’’ti vuttaṃ. Tepi anapāyagamanīyā eva veditabbā apāyagamanīyānaṃ dassaneneva pahīnattā. Satipi sambojjhaṅgānaṃ yebhuyyena maggabhāve tattha tattha sambojjhaṅgasabhāvānaṃ maggadhammānaṃ vasena vuttamaggattayasampayuttā bojjhaṅgāti paccekabojjhaṅge ‘‘bojjhaṅgabhāvanāyā’’ti iminā gaṇhanto ‘‘maggattayasampayuttāyā’’ti āha.

    ภาวนาปหาตพฺพอาสววณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhāvanāpahātabbaāsavavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒๘. โถเมโนฺตติ อาสวปฺปหานสฺส สุทุกฺกรตฺตา ตาย เอว ทุกฺกรกิริยาย ตํ อภิตฺถวโนฺตฯ อสฺสาติ ปหีนาสวภิกฺขุโนฯ อานิสํสนฺติ ตณฺหาเจฺฉทาทิทุกฺขกฺขยปริโยสานํ อุทฺรยํฯ เอเตหิ ปหานาทิสํกิตฺตเนหิฯ อุสฺสุกฺกํ ชเนโนฺตติ เอวํ ธมฺมสฺสามินาปิ อภิตฺถวนียํ มหานิสํสญฺจ อาสวปฺปหานนฺติ ตตฺถ อาทรสหิตํ อุสฺสาหํ อุปฺปาเทโนฺตฯ ทสฺสเนเนว ปหีนาติ ทสฺสเนน ปหีนา เอวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘น อปฺปหีเนสุเยว ปหีนสญฺญี’’ติฯ

    28.Thomentoti āsavappahānassa sudukkarattā tāya eva dukkarakiriyāya taṃ abhitthavanto. Assāti pahīnāsavabhikkhuno. Ānisaṃsanti taṇhācchedādidukkhakkhayapariyosānaṃ udrayaṃ. Etehi pahānādisaṃkittanehi. Ussukkaṃ janentoti evaṃ dhammassāmināpi abhitthavanīyaṃ mahānisaṃsañca āsavappahānanti tattha ādarasahitaṃ ussāhaṃ uppādento. Dassaneneva pahīnāti dassanena pahīnā eva. Tena vuttaṃ ‘‘na appahīnesuyeva pahīnasaññī’’ti.

    สพฺพ-สเทฺทน อาสวานํ, อาสวสํวรานญฺจ สมฺพนฺธวเสน ทุติยปฐมวิกปฺปานํ เภโท ทฎฺฐโพฺพฯ ทสฺสนาภิสมยาติ ปริญฺญาภิสมยา ปริญฺญากิจฺจสิทฺธิยาฯ เตนาห ‘‘กิจฺจวเสนา’’ติ, อสโมฺมหปฎิเวเธนาติ อโตฺถฯ สมุสฺสโย กาโย, อตฺตภาโว วาฯ

    Sabba-saddena āsavānaṃ, āsavasaṃvarānañca sambandhavasena dutiyapaṭhamavikappānaṃ bhedo daṭṭhabbo. Dassanābhisamayāti pariññābhisamayā pariññākiccasiddhiyā. Tenāha ‘‘kiccavasenā’’ti, asammohapaṭivedhenāti attho. Samussayo kāyo, attabhāvo vā.

    อนวชฺชปีติโสมนสฺสสหิตํ จิตฺตํ ‘‘อตฺตโน’’ติ วตฺตพฺพตํ อรหติ อตฺถาวหตฺตา, น ตพฺพิปรีตํ อนตฺถาวหตฺตาติ ปีติสมฺปยุตฺตจิตฺตตํ สนฺธายาห ‘‘อตฺตมนาติ สกมนา’’ติฯ เตนาห ‘‘ตุฎฺฐมนา’’ติฯ อตฺตมนาติ วา ปีติโสมนเสฺสหิ คหิตมนาฯ ยสฺมา ปน เตหิ คหิตตา สมฺปยุตฺตตาว, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปีติโสมนเสฺสหิ วา สมฺปยุตฺตมนา’’ติฯ ยเทตฺถ อตฺถโต น วิภตฺตํ, ตํ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยตฺตา จาติ เวทิตพฺพํฯ

    Anavajjapītisomanassasahitaṃ cittaṃ ‘‘attano’’ti vattabbataṃ arahati atthāvahattā, na tabbiparītaṃ anatthāvahattāti pītisampayuttacittataṃ sandhāyāha ‘‘attamanāti sakamanā’’ti. Tenāha ‘‘tuṭṭhamanā’’ti. Attamanāti vā pītisomanassehi gahitamanā. Yasmā pana tehi gahitatā sampayuttatāva, tasmā vuttaṃ ‘‘pītisomanassehi vā sampayuttamanā’’ti. Yadettha atthato na vibhattaṃ, taṃ vuttanayattā suviññeyyattā cāti veditabbaṃ.

    สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Sabbāsavasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. สพฺพาสวสุตฺตํ • 2. Sabbāsavasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนา • 2. Sabbāsavasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact