Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. สตุลฺลปกายิกวโคฺค

    4. Satullapakāyikavaggo

    ๑. สพฺภิสุตฺตวณฺณนา

    1. Sabbhisuttavaṇṇanā

    ๓๑. สตุลฺลปกายิกวคฺคสฺส ปฐเม สตุลฺลปกายิกาติ สตํ ธมฺมํ สมาทานวเสน อุลฺลเปตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺตาติ สตุลฺลปกายิกาฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – สมฺพหุลา กิร สมุทฺทวาณิชา นาวาย สมุทฺทํ ปกฺขนฺทิํสุฯ เตสํ ขิตฺตสรเวเคน คจฺฉนฺติยา นาวาย สตฺตเม ทิวเส สมุทฺทมเชฺฌ มหนฺตํ อุปฺปาติกํ ปาตุภูตํ, มหาอูมิโย อุฎฺฐหิตฺวา นาวํ อุทกสฺส ปูเรนฺติฯ นาวาย นิมุชฺชมานาย มหาชโน อตฺตโน อตฺตโน เทวตานํ นามานิ คเหตฺวา อายาจนาทีนิ กโรโนฺต ปริเทวิฯ เตสํ มเชฺฌ เอโก ปุริโส – ‘‘อตฺถิ นุ โข เม เอวรูเป ภเย ปติฎฺฐา’’ติ อาวเชฺชโนฺต อตฺตโน ปริสุทฺธานิ สรณานิ เจว สีลานิ จ ทิสฺวา โยคี วิย ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ ตเมนํ อิตเร สภยการณํ ปุจฺฉิํสุฯ โส เตสํ กเถสิ – ‘‘อโมฺภ อหํ นาวํ อภิรูหนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา สรณานิ เจว สีลานิ จ อคฺคเหสิํ, เตน เม ภยํ นตฺถี’’ติฯ กิํ ปน สามิ เอตานิ อเญฺญสมฺปิ วตฺตนฺตีติ? อาม วตฺตนฺตีติ เตน หิ อมฺหากมฺปิ เทถาติฯ โส เต มนุเสฺส สตํ สตํ กตฺวา สตฺต โกฎฺฐาเส อกาสิ, ตโต ปญฺจสีลานิ อทาสิฯ เตสุ ปฐมํ ชงฺฆสตํ โคปฺผกมเตฺต อุทเก ฐิตํ อคฺคเหสิ, ทุติยํ ชาณุมเตฺต, ตติยํ กฎิมเตฺต, จตุตฺถํ นาภิมเตฺต, ปญฺจมํ ถนมเตฺต, ฉฎฺฐํ คลปฺปมาเณ, สตฺตมํ มุเขน โลโณทเก ปวิสเนฺต อคฺคเหสิฯ โส เตสํ สีลานิ ทตฺวา – ‘‘อญฺญํ ตุมฺหากํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, สีลเมว อาวเชฺชถา’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ตานิ สตฺตปิ ชงฺฆสตานิ ตตฺถ กาลํ กตฺวา อาสนฺนกาเล คหิตสีลํ นิสฺสาย ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติํสุ, เตสํ ฆฎาวเสเนว วิมานานิ นิพฺพตฺติํสุฯ สเพฺพสํ มเชฺฌ อาจริยสฺส โยชนสติกํ สุวณฺณวิมานํ นิพฺพตฺติ, อวเสนานิ ตสฺส ปริวารานิ หุตฺวา สพฺพเหฎฺฐิมํ ทฺวาทสโยชนิกํ อโหสิฯ เต นิพฺพตฺตกฺขเณเยว กมฺมํ อาวเชฺชนฺตา อาจริยํ นิสฺสาย สมฺปตฺติลาภํ ญตฺวา, ‘‘คจฺฉาม ตาว, ทสพลสฺส สนฺติเก อมฺหากํ อาจริยสฺส วณฺณํ กเถยฺยามา’’ติ มชฺฌิมยามสมนนฺตเร ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุ, ตา เทวตา อาจริยสฺส วณฺณภณนตฺถํ เอเกกํ คาถํ อภาสิํสุฯ

    31. Satullapakāyikavaggassa paṭhame satullapakāyikāti sataṃ dhammaṃ samādānavasena ullapetvā sagge nibbattāti satullapakāyikā. Tatridaṃ vatthu – sambahulā kira samuddavāṇijā nāvāya samuddaṃ pakkhandiṃsu. Tesaṃ khittasaravegena gacchantiyā nāvāya sattame divase samuddamajjhe mahantaṃ uppātikaṃ pātubhūtaṃ, mahāūmiyo uṭṭhahitvā nāvaṃ udakassa pūrenti. Nāvāya nimujjamānāya mahājano attano attano devatānaṃ nāmāni gahetvā āyācanādīni karonto paridevi. Tesaṃ majjhe eko puriso – ‘‘atthi nu kho me evarūpe bhaye patiṭṭhā’’ti āvajjento attano parisuddhāni saraṇāni ceva sīlāni ca disvā yogī viya pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Tamenaṃ itare sabhayakāraṇaṃ pucchiṃsu. So tesaṃ kathesi – ‘‘ambho ahaṃ nāvaṃ abhirūhanadivase bhikkhusaṅghassa dānaṃ datvā saraṇāni ceva sīlāni ca aggahesiṃ, tena me bhayaṃ natthī’’ti. Kiṃ pana sāmi etāni aññesampi vattantīti? Āma vattantīti tena hi amhākampi dethāti. So te manusse sataṃ sataṃ katvā satta koṭṭhāse akāsi, tato pañcasīlāni adāsi. Tesu paṭhamaṃ jaṅghasataṃ gopphakamatte udake ṭhitaṃ aggahesi, dutiyaṃ jāṇumatte, tatiyaṃ kaṭimatte, catutthaṃ nābhimatte, pañcamaṃ thanamatte, chaṭṭhaṃ galappamāṇe, sattamaṃ mukhena loṇodake pavisante aggahesi. So tesaṃ sīlāni datvā – ‘‘aññaṃ tumhākaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, sīlameva āvajjethā’’ti ugghosesi. Tāni sattapi jaṅghasatāni tattha kālaṃ katvā āsannakāle gahitasīlaṃ nissāya tāvatiṃsabhavane nibbattiṃsu, tesaṃ ghaṭāvaseneva vimānāni nibbattiṃsu. Sabbesaṃ majjhe ācariyassa yojanasatikaṃ suvaṇṇavimānaṃ nibbatti, avasenāni tassa parivārāni hutvā sabbaheṭṭhimaṃ dvādasayojanikaṃ ahosi. Te nibbattakkhaṇeyeva kammaṃ āvajjentā ācariyaṃ nissāya sampattilābhaṃ ñatvā, ‘‘gacchāma tāva, dasabalassa santike amhākaṃ ācariyassa vaṇṇaṃ katheyyāmā’’ti majjhimayāmasamanantare bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu, tā devatā ācariyassa vaṇṇabhaṇanatthaṃ ekekaṃ gāthaṃ abhāsiṃsu.

    ตตฺถ สพฺภิเรวาติ ปณฺฑิเตหิ, สปฺปุริเสหิ เอวฯ ร-กาโร ปทสนฺธิกโรฯ สมาเสถาติ สห นิสีเทยฺยฯ เทสนาสีสเมว เจตํ, สพฺพอิริยาปเถ สพฺภิเรว สห กุเพฺพยฺยาติ อโตฺถฯ กุเพฺพถาติ กเรยฺยฯ สนฺถวนฺติ มิตฺตสนฺถวํฯ ตณฺหาสนฺถโว ปน น เกนจิ สทฺธิํ กาตโพฺพ, มิตฺตสนฺถโว พุทฺธ-ปเจฺจกพุทฺธ-พุทฺธสาวเกหิ สห กาตโพฺพฯ อิทํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ สตนฺติ พุทฺธาทีนํ สปฺปุริสานํฯ สทฺธมฺมนฺติ ปญฺจสีลทสสีลจตุสติปฎฺฐานาทิเภทํ สทฺธมฺมํ, อิธ ปน ปญฺจสีลํ อธิเปฺปตํฯ เสโยฺย โหตีติ วฑฺฒิ โหติฯ น ปาปิโยติ ลามกํ กิญฺจิ น โหติฯ นาญฺญโตติ วาลิกาทีหิ เตลาทีนิ วิย อญฺญโต อนฺธพาลโต ปญฺญา นาม น ลพฺภติ, ติลาทีหิ ปน เตลาทีนิ วิย สตํ ธมฺมํ ญตฺวา ปณฺฑิตเมว เสวโนฺต ภชโนฺต ลภตีติฯ โสกมเชฺฌติ โสกวตฺถูนํ โสกานุคตานํ วา สตฺตานํ มชฺฌคโต น โสจติ พนฺธุลมลฺลเสนาปติสฺส อุปาสิกา วิย, ปญฺจนฺนํ โจรสตานํ มเชฺฌ ธมฺมเสนาปติสฺส สทฺธิวิหาริโก สํกิจฺจสามเณโร วิย จฯ

    Tattha sabbhirevāti paṇḍitehi, sappurisehi eva. Ra-kāro padasandhikaro. Samāsethāti saha nisīdeyya. Desanāsīsameva cetaṃ, sabbairiyāpathe sabbhireva saha kubbeyyāti attho. Kubbethāti kareyya. Santhavanti mittasanthavaṃ. Taṇhāsanthavo pana na kenaci saddhiṃ kātabbo, mittasanthavo buddha-paccekabuddha-buddhasāvakehi saha kātabbo. Idaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Satanti buddhādīnaṃ sappurisānaṃ. Saddhammanti pañcasīladasasīlacatusatipaṭṭhānādibhedaṃ saddhammaṃ, idha pana pañcasīlaṃ adhippetaṃ. Seyyo hotīti vaḍḍhi hoti. Na pāpiyoti lāmakaṃ kiñci na hoti. Nāññatoti vālikādīhi telādīni viya aññato andhabālato paññā nāma na labbhati, tilādīhi pana telādīni viya sataṃ dhammaṃ ñatvā paṇḍitameva sevanto bhajanto labhatīti. Sokamajjheti sokavatthūnaṃ sokānugatānaṃ vā sattānaṃ majjhagato na socati bandhulamallasenāpatissa upāsikā viya, pañcannaṃ corasatānaṃ majjhe dhammasenāpatissa saddhivihāriko saṃkiccasāmaṇero viya ca.

    ญาติมเชฺฌ วิโรจตีติ ญาติคณมเชฺฌ สํกิจฺจเถรสฺส สทฺธิวิหาริโก อธิมุตฺตกสามเณโร วิย โสภติฯ โส กิร เถรสฺส ภาคิเนโยฺย โหติ, อถ นํ เถโร อาห – ‘‘สามเณร, มหลฺลโกสิ ชาโต, คจฺฉ, วสฺสานิ ปุจฺฉิตฺวา เอหิ, อุปสมฺปาเทสฺสามิ ต’’นฺติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ เถรํ วนฺทิตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย โจรอฎวิยา โอรภาเค ภคินิคามํ คนฺตฺวา ปิณฺฑาย จริ, ตํ ภคินี ทิสฺวา วนฺทิตฺวา เคเห นิสีทาเปตฺวา โภเชสิฯ โส กตภตฺตกิโจฺจ วสฺสานิ ปุจฺฉิฯ สา ‘‘อหํ น ชานามิ, มาตา เม ชานาตี’’ติ อาหฯ อถ โส ‘‘ติฎฺฐถ ตุเมฺห, อหํ มาตุสนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ อฎวิํ โอติโณฺณฯ ตเมนํ ทูรโตว โจรปุริโส ทิสฺวา โจรานํ อาโรเจสิฯ โจรา ‘‘สามเณโร กิเรโก อฎวิํ โอติโณฺณ, คจฺฉถ นํ อาเนถา’’ติ อาณาเปตฺวา เอกเจฺจ ‘‘มาเรม น’’นฺติ อาหํสุ, เอกเจฺจ วิสฺสเชฺชมาติฯ สามเณโร จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เสโข สกรณีโย, อิเมหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสามี’’ติ โจรเชฎฺฐกํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘อุปมํ เต, อาวุโส, กริสฺสามี’’ติ อิมา คาถา อภาสิ –

    Ñātimajjhe virocatīti ñātigaṇamajjhe saṃkiccatherassa saddhivihāriko adhimuttakasāmaṇero viya sobhati. So kira therassa bhāgineyyo hoti, atha naṃ thero āha – ‘‘sāmaṇera, mahallakosi jāto, gaccha, vassāni pucchitvā ehi, upasampādessāmi ta’’nti. So ‘‘sādhū’’ti theraṃ vanditvā pattacīvaramādāya coraaṭaviyā orabhāge bhaginigāmaṃ gantvā piṇḍāya cari, taṃ bhaginī disvā vanditvā gehe nisīdāpetvā bhojesi. So katabhattakicco vassāni pucchi. Sā ‘‘ahaṃ na jānāmi, mātā me jānātī’’ti āha. Atha so ‘‘tiṭṭhatha tumhe, ahaṃ mātusantikaṃ gamissāmī’’ti aṭaviṃ otiṇṇo. Tamenaṃ dūratova corapuriso disvā corānaṃ ārocesi. Corā ‘‘sāmaṇero kireko aṭaviṃ otiṇṇo, gacchatha naṃ ānethā’’ti āṇāpetvā ekacce ‘‘mārema na’’nti āhaṃsu, ekacce vissajjemāti. Sāmaṇero cintesi – ‘‘ahaṃ sekho sakaraṇīyo, imehi saddhiṃ mantetvā sotthimattānaṃ karissāmī’’ti corajeṭṭhakaṃ āmantetvā, ‘‘upamaṃ te, āvuso, karissāmī’’ti imā gāthā abhāsi –

    ‘‘อหุ อตีตมทฺธานํ, อรญฺญสฺมิํ พฺรหาวเน;

    ‘‘Ahu atītamaddhānaṃ, araññasmiṃ brahāvane;

    เจโต กูฎานิ โอเฑฺฑตฺวา, สสกํ อวธี ตทาฯ

    Ceto kūṭāni oḍḍetvā, sasakaṃ avadhī tadā.

    ‘‘สสกญฺจ มตํ ทิสฺวา, อุพฺพิคฺคา มิคปกฺขิโน;

    ‘‘Sasakañca mataṃ disvā, ubbiggā migapakkhino;

    เอกรตฺติํ อปกฺกามุํ, ‘อกิจฺจํ วตฺตเต อิธ’ฯ

    Ekarattiṃ apakkāmuṃ, ‘akiccaṃ vattate idha’.

    ‘‘ตเถว สมณํ หนฺตฺวา, อธิมุตฺตํ อกิญฺจนํ;

    ‘‘Tatheva samaṇaṃ hantvā, adhimuttaṃ akiñcanaṃ;

    อทฺธิกา นาคมิสฺสนฺติ, ธนชานิ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Addhikā nāgamissanti, dhanajāni bhavissatī’’ti.

    ‘‘สจฺจํ โข สมโณ อาห, อธิมุโตฺต อกิญฺจโน;

    ‘‘Saccaṃ kho samaṇo āha, adhimutto akiñcano;

    อทฺธิกา นาคมิสฺสนฺติ, ธนชานิ ภวิสฺสติฯ

    Addhikā nāgamissanti, dhanajāni bhavissati.

    ‘‘สเจ ปฎิปเถ ทิสฺวา, นาโรเจสฺสสิ กสฺสจิ;

    ‘‘Sace paṭipathe disvā, nārocessasi kassaci;

    ตว สจฺจมนุรกฺขโนฺต, คจฺฉ ภเนฺต ยถาสุข’’นฺติฯ

    Tava saccamanurakkhanto, gaccha bhante yathāsukha’’nti.

    โส เตหิ โจเรหิ วิสฺสชฺชิโต คจฺฉโนฺต ญาตโยปิ ทิสฺวา เตสมฺปิ น อาโรเจสิฯ อถ เต อนุปฺปเตฺต โจรา คเหตฺวา วิเหฐยิํสุ, อุรํ ปหริตฺวา ปริเทวมานญฺจสฺส มาตรํ โจรา เอตทโวจุํ –

    So tehi corehi vissajjito gacchanto ñātayopi disvā tesampi na ārocesi. Atha te anuppatte corā gahetvā viheṭhayiṃsu, uraṃ paharitvā paridevamānañcassa mātaraṃ corā etadavocuṃ –

    ‘‘กิํ เต โหติ อธิมุโตฺต, อุทเร วสิโก อสิ;

    ‘‘Kiṃ te hoti adhimutto, udare vasiko asi;

    ปุฎฺฐา เม อมฺม อกฺขาหิ, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ

    Puṭṭhā me amma akkhāhi, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti.

    ‘‘อธิมุตฺตสฺส อหํ มาตา, อยญฺจ ชนโก ปิตา;

    ‘‘Adhimuttassa ahaṃ mātā, ayañca janako pitā;

    ภคินี ภาตโร จาปิ, สเพฺพว อิธ ญาตโยฯ

    Bhaginī bhātaro cāpi, sabbeva idha ñātayo.

    ‘‘อกิจฺจการี อธิมุโตฺต, ยํ ทิสฺวา น นิวารเย;

    ‘‘Akiccakārī adhimutto, yaṃ disvā na nivāraye;

    เอตํ โข วตฺตํ สมณานํ, อริยานํ ธมฺมชีวินํฯ

    Etaṃ kho vattaṃ samaṇānaṃ, ariyānaṃ dhammajīvinaṃ.

    ‘‘สจฺจวาที อธิมุโตฺต, ยํ ทิสฺวา น นิวารเย;

    ‘‘Saccavādī adhimutto, yaṃ disvā na nivāraye;

    อธิมุตฺตสฺส สุจิเณฺณน, สจฺจวาทิสฺส ภิกฺขุโน;

    Adhimuttassa suciṇṇena, saccavādissa bhikkhuno;

    สเพฺพว อภยํ ปตฺตา, โสตฺถิํ คจฺฉนฺตุ ญาตโย’’ติฯ

    Sabbeva abhayaṃ pattā, sotthiṃ gacchantu ñātayo’’ti.

    เอวํ เต โจเรหิ วิสฺสชฺชิตา คนฺตฺวา อธิมุตฺตํ อาหํสุ –

    Evaṃ te corehi vissajjitā gantvā adhimuttaṃ āhaṃsu –

    ‘‘ตว ตาต สุจิเณฺณน, สจฺจวาทิสฺส ภิกฺขุโน;

    ‘‘Tava tāta suciṇṇena, saccavādissa bhikkhuno;

    สเพฺพว อภยํ ปตฺตา, โสตฺถิํ ปจฺจาคมมฺหเส’’ติฯ

    Sabbeva abhayaṃ pattā, sotthiṃ paccāgamamhase’’ti.

    เตปิ ปญฺจสตา โจรา ปสาทํ อาปชฺชิตฺวา อธิมุตฺตสฺส สามเณรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ โส เต อาทาย อุปชฺฌายสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฐมํ อตฺตนา อุปสมฺปโนฺน ปจฺฉา เต ปญฺจสเต อตฺตโน อเนฺตวาสิเก กตฺวา อุปสมฺปาเทสิฯ เต อธิมุตฺตเถรสฺส โอวาเท ฐิตา สเพฺพ อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ อิมมตฺถํ คเหตฺวา เทวตา ‘‘สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย ญาติมเชฺฌ วิโรจตี’’ติ อาหฯ

    Tepi pañcasatā corā pasādaṃ āpajjitvā adhimuttassa sāmaṇerassa santike pabbajiṃsu. So te ādāya upajjhāyassa santikaṃ gantvā paṭhamaṃ attanā upasampanno pacchā te pañcasate attano antevāsike katvā upasampādesi. Te adhimuttatherassa ovāde ṭhitā sabbe aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Imamatthaṃ gahetvā devatā ‘‘sataṃ saddhammamaññāya ñātimajjhe virocatī’’ti āha.

    สาตตนฺติ สตตํ สุขํ วา จิรํ ติฎฺฐนฺตีติ วทติฯ สพฺพาสํ โวติ สพฺพาสํ ตุมฺหากํฯ ปริยาเยนาติ การเณนฯ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติ, น เกวลํ เสโยฺยว โหติ, น จ เกวลํ ปญฺญํ ลภติ, โสกมเชฺฌ น โสจติ, ญาติมเชฺฌ วิโรจติ, สุคติยํ นิพฺพตฺตติ, จิรํ สุขํ ติฎฺฐติ, สกลสฺมา ปน วฎฺฎทุกฺขาปิ มุจฺจตีติฯ ปฐมํฯ

    Sātatanti satataṃ sukhaṃ vā ciraṃ tiṭṭhantīti vadati. Sabbāsaṃ voti sabbāsaṃ tumhākaṃ. Pariyāyenāti kāraṇena. Sabbadukkhā pamuccatīti, na kevalaṃ seyyova hoti, na ca kevalaṃ paññaṃ labhati, sokamajjhe na socati, ñātimajjhe virocati, sugatiyaṃ nibbattati, ciraṃ sukhaṃ tiṭṭhati, sakalasmā pana vaṭṭadukkhāpi muccatīti. Paṭhamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. สพฺภิสุตฺตํ • 1. Sabbhisuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. สพฺภิสุตฺตวณฺณนา • 1. Sabbhisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact