Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๓. สภิยเตฺถรคาถาวณฺณนา

    3. Sabhiyattheragāthāvaṇṇanā

    ปเร จาติอาทิกา อายสฺมโต สภิยเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต กกุสนฺธสฺส ภควโต กาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต เอกทิวสํ สตฺถารํ ทิวาวิหาราย คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส อุปาหนํ อทาสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสเป ภควติ ปรินิพฺพุเต ปติฎฺฐิเต สุวณฺณเจติเย ฉหิ กุลปุเตฺตหิ สทฺธิํ อตฺตสตฺตโม สาสเน ปพฺพชิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรเญฺญ วิหรโนฺต วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต อิตเร อาห – ‘‘มยํ ปิณฺฑปาตาย คจฺฉโนฺต ชีวิเต สาเปกฺขา โหม, ชีวิเต สาเปเกฺขน จ น สกฺกา โลกุตฺตรธมฺมํ อธิคนฺตุํ, ปุถุชฺชนกาลงฺกิริยา จ ทุกฺขาฯ หนฺท, มยํ นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา ปพฺพตํ อภิรุยฺห กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขา สมณธมฺมํ กโรมา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ

    Paretiādikā āyasmato sabhiyattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinanto kakusandhassa bhagavato kāle kulagehe nibbattitvā viññutaṃ patto ekadivasaṃ satthāraṃ divāvihārāya gacchantaṃ disvā pasannamānaso upāhanaṃ adāsi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto kassape bhagavati parinibbute patiṭṭhite suvaṇṇacetiye chahi kulaputtehi saddhiṃ attasattamo sāsane pabbajitvā kammaṭṭhānaṃ gahetvā araññe viharanto visesaṃ nibbattetuṃ asakkonto itare āha – ‘‘mayaṃ piṇḍapātāya gacchanto jīvite sāpekkhā homa, jīvite sāpekkhena ca na sakkā lokuttaradhammaṃ adhigantuṃ, puthujjanakālaṅkiriyā ca dukkhā. Handa, mayaṃ nisseṇiṃ bandhitvā pabbataṃ abhiruyha kāye ca jīvite ca anapekkhā samaṇadhammaṃ karomā’’ti. Te tathā akaṃsu.

    อถ เนสํ มหาเถโร อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตฺตา ตทเหว ฉฬภิโญฺญ หุตฺวา อุตฺตรกุรุโต ปิณฺฑปาตํ อุปเนสิฯ อิตเร – ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, กตกิจฺจา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ สลฺลาปมตฺตมฺปิ ปปโญฺจ, สมณธมฺมเมว มยํ กริสฺสาม, ตุเมฺห อตฺตนา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมนุยุญฺชถา’’ติ วตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปฎิกฺขิปิํสุฯ เถโร เน สมฺปฎิจฺฉาเปตุํ อสโกฺกโนฺต อคมาสิฯ

    Atha nesaṃ mahāthero upanissayasampannattā tadaheva chaḷabhiñño hutvā uttarakuruto piṇḍapātaṃ upanesi. Itare – ‘‘tumhe, bhante, katakiccā tumhehi saddhiṃ sallāpamattampi papañco, samaṇadhammameva mayaṃ karissāma, tumhe attanā diṭṭhadhammasukhavihāramanuyuñjathā’’ti vatvā piṇḍapātaṃ paṭikkhipiṃsu. Thero ne sampaṭicchāpetuṃ asakkonto agamāsi.

    ตโต เนสํ เอโก ทฺวีหตีหจฺจเยน อภิญฺญาปริวารํ อนาคามิผลํ สจฺฉิกตฺวา ตเถว วตฺวา เตหิ ปฎิกฺขิโตฺต อคมาสิฯ เตสุ ขีณาสวเตฺถโร ปรินิพฺพายิ, อนาคามี สุทฺธาวาเสสุ อุปฺปชฺชิฯ อิตเร ปุถุชฺชนกาลงฺกิริยเมว กตฺวา ฉสุ กามสเคฺคสุ อนุโลมปฎิโลมโต ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล เทวโลกา จวิตฺวา เอโก มลฺลราชกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, เอโก คนฺธารราชกุเล, เอโก พาหิรรเฎฺฐ, เอโก ราชคเห เอกิสฺสา กุลทาริกาย กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อิตโร อญฺญตริสฺสา ปริพฺพาชิกาย กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ สา กิร อญฺญตรสฺส ขตฺติยสฺส ธีตา, นํ มาตาปิตโร – ‘‘อมฺหากํ ธีตา สมยนฺตรํ ชานาตู’’ติ เอกสฺส ปริพฺพาชกสฺส นิยฺยาทยิํสุฯ อเถโก ปริพฺพาชโก ตาย สทฺธิํ วิปฺปฎิปชฺชิฯ สา เตน คพฺภํ คณฺหิฯ ตํ คพฺภินิํ ทิสฺวา ปริพฺพาชกา นิกฺกฑฺฒิํสุฯ สา อญฺญตฺถ คจฺฉนฺตี อนฺตรามเคฺค สภายํ วิชายิฯ เตนสฺส สภิโยเตฺวว นามํ อกาสิฯ โส วฑฺฒิตฺวา ปริพฺพาชกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา นานาสตฺถานิ อุคฺคเหตฺวา มหาวาที หุตฺวา วาทปฺปสุโต วิจรโนฺต อตฺตนา สทิสํ อทิสฺวา นครทฺวาเร อสฺสมํ กาเรตฺวา ขตฺติยกุมาราทโย สิปฺปํ สิกฺขาเปโนฺต วิหรโนฺต อตฺตโน มาตุยา อิตฺถิภาวํ ชิคุจฺฉิตฺวา ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา พฺรหฺมโลเก อุปฺปนฺนาย อภิสงฺขริตฺวา ทิเนฺน วีสติปเญฺห คเหตฺวา เต เต สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉิฯ เต จสฺส เตสํ ปญฺหานํ อตฺถํ พฺยากาตุํ นาสกฺขิํสุฯ สภิยสุตฺตวณฺณนายํ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒. สภิยสุตฺตวณฺณนา) ปน ‘‘สุทฺธาวาสพฺรหฺมา เต ปเญฺห อภิสงฺขริตฺวา อทาสี’’ติ อาคตํฯ

    Tato nesaṃ eko dvīhatīhaccayena abhiññāparivāraṃ anāgāmiphalaṃ sacchikatvā tatheva vatvā tehi paṭikkhitto agamāsi. Tesu khīṇāsavatthero parinibbāyi, anāgāmī suddhāvāsesu uppajji. Itare puthujjanakālaṅkiriyameva katvā chasu kāmasaggesu anulomapaṭilomato dibbasampattiṃ anubhavitvā amhākaṃ bhagavato kāle devalokā cavitvā eko mallarājakule paṭisandhiṃ gaṇhi, eko gandhārarājakule, eko bāhiraraṭṭhe, eko rājagahe ekissā kuladārikāya kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Itaro aññatarissā paribbājikāya kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi. Sā kira aññatarassa khattiyassa dhītā, naṃ mātāpitaro – ‘‘amhākaṃ dhītā samayantaraṃ jānātū’’ti ekassa paribbājakassa niyyādayiṃsu. Atheko paribbājako tāya saddhiṃ vippaṭipajji. Sā tena gabbhaṃ gaṇhi. Taṃ gabbhiniṃ disvā paribbājakā nikkaḍḍhiṃsu. Sā aññattha gacchantī antarāmagge sabhāyaṃ vijāyi. Tenassa sabhiyotveva nāmaṃ akāsi. So vaḍḍhitvā paribbājakapabbajjaṃ pabbajitvā nānāsatthāni uggahetvā mahāvādī hutvā vādappasuto vicaranto attanā sadisaṃ adisvā nagaradvāre assamaṃ kāretvā khattiyakumārādayo sippaṃ sikkhāpento viharanto attano mātuyā itthibhāvaṃ jigucchitvā jhānaṃ uppādetvā brahmaloke uppannāya abhisaṅkharitvā dinne vīsatipañhe gahetvā te te samaṇabrāhmaṇe pucchi. Te cassa tesaṃ pañhānaṃ atthaṃ byākātuṃ nāsakkhiṃsu. Sabhiyasuttavaṇṇanāyaṃ (su. ni. aṭṭha. 2. sabhiyasuttavaṇṇanā) pana ‘‘suddhāvāsabrahmā te pañhe abhisaṅkharitvā adāsī’’ti āgataṃ.

    ยทา ปน ภควา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ อาคนฺตฺวา เวฬุวเน วิหาสิ, ตทา สภิโย ตตฺถ คนฺตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา เต ปเญฺห ปุจฺฉิฯ สตฺถา ตสฺส เต ปเญฺห พฺยากาสีติ สพฺพํ สภิยสุเตฺต (สุ. นิ. สภิยสุตฺตํ) อาคตนเยน เวทิตพฺพํฯ สภิโย ปน ภควตา เตสุ ปเญฺหสุ พฺยากเตสุ ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๔๖.๒๗-๓๑) –

    Yadā pana bhagavā pavattavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ āgantvā veḷuvane vihāsi, tadā sabhiyo tattha gantvā satthāraṃ upasaṅkamitvā te pañhe pucchi. Satthā tassa te pañhe byākāsīti sabbaṃ sabhiyasutte (su. ni. sabhiyasuttaṃ) āgatanayena veditabbaṃ. Sabhiyo pana bhagavatā tesu pañhesu byākatesu paṭiladdhasaddho pabbajitvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.46.27-31) –

    ‘‘กกุสนฺธสฺส มุนิโน, พฺราหฺมณสฺส วุสีมโต;

    ‘‘Kakusandhassa munino, brāhmaṇassa vusīmato;

    ทิวาวิหารํ วชโต, อกฺกมนมทาสหํฯ

    Divāvihāraṃ vajato, akkamanamadāsahaṃ.

    ‘‘อิมสฺมิํเยว กปฺปมฺหิ, ยํ ทานมททิํ ตทา;

    ‘‘Imasmiṃyeva kappamhi, yaṃ dānamadadiṃ tadā;

    ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, อกฺกมนสฺสิทํ ผลํฯ

    Duggatiṃ nābhijānāmi, akkamanassidaṃ phalaṃ.

    ‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อรหา ปน หุตฺวา เทวทเตฺต สงฺฆเภทาย ปรกฺกมเนฺต เทวทตฺตปกฺขิกานํ ภิกฺขูนํ โอวาทํ เทโนฺต –

    Arahā pana hutvā devadatte saṅghabhedāya parakkamante devadattapakkhikānaṃ bhikkhūnaṃ ovādaṃ dento –

    ๒๗๕.

    275.

    ‘‘ปเร จ น วิชานนฺติ, มยเมตฺถ ยมามเส;

    ‘‘Pare ca na vijānanti, mayamettha yamāmase;

    เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ

    Ye ca tattha vijānanti, tato sammanti medhagā.

    ๒๗๖.

    276.

    ‘‘ยทา จ อวิชานนฺตา, อิริยนฺตฺยมรา วิย;

    ‘‘Yadā ca avijānantā, iriyantyamarā viya;

    วิชานนฺติ จ เย ธมฺมํ, อาตุเรสุ อนาตุราฯ

    Vijānanti ca ye dhammaṃ, āturesu anāturā.

    ๒๗๗.

    277.

    ‘‘ยํ กิญฺจิ สิถิลํ กมฺมํ, สํกิลิฎฺฐญฺจ ยํ วตํ;

    ‘‘Yaṃ kiñci sithilaṃ kammaṃ, saṃkiliṭṭhañca yaṃ vataṃ;

    สงฺกสฺสรํ พฺรหฺมจริยํ, น ตํ โหติ มหปฺผลํฯ

    Saṅkassaraṃ brahmacariyaṃ, na taṃ hoti mahapphalaṃ.

    ๒๗๘.

    278.

    ‘‘ยสฺส สพฺรหฺมจารีสุ, คารโว นูปลพฺภติ;

    ‘‘Yassa sabrahmacārīsu, gāravo nūpalabbhati;

    อารกา โหติ สทฺธมฺมา, นภํ ปุถวิยา ยถา’’ติฯ –

    Ārakā hoti saddhammā, nabhaṃ puthaviyā yathā’’ti. –

    จตูหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Catūhi gāthāhi dhammaṃ desesi.

    ตตฺถ ปเรติ ปณฺฑิเต ฐเปตฺวา ตโต อเญฺญ – ‘‘อธมฺมํ ธโมฺม’’ติ ‘‘ธมฺมํ อธโมฺม’’ติอาทิเภทกรวตฺถุทีปนวเสน วิวาทปฺปสุตา ปเร นามฯ เต ตตฺถ วิวาทํ กโรนฺตา ‘‘มยํ ยมามเส อุปรมาม นสฺสาม สตตํ สมิตํ มจฺจุสนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ น ชานนฺติฯ เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ เย ตตฺถ ปณฺฑิตา – ‘‘มยํ มจฺจุสมีปํ คจฺฉามา’’ติ วิชานนฺติฯ ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ เอวญฺหิ เต ชานนฺตา โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตฺวา เมธคานํ กลหานํ วูปสมาย ปฎิปชฺชนฺติฯ อถ เนสํ ตาย ปฎิปตฺติยา เต เมธคา สมฺมนฺติฯ อถ วา ปเร จาติ เย สตฺถุ โอวาทานุสาสนิยา อคฺคหเณน สาสนโต พาหิรตาย ปเร, เต ยาว ‘‘มยํ มิจฺฉาคาหํ คเหตฺวา เอตฺถ อิธ โลเก สาสนสฺส ปฎินิคฺคาเหน ยมามเส วายมามา’’ติ น วิชานนฺติ, ตาว วิวาทา น วูปสมฺมนฺติ, ยทา ปน ตสฺส คาหสฺส วิสฺสชฺชนวเสน เย จ ตตฺถ เตสุ วิวาทปฺปสุเตสุ อธมฺมธมฺมาทิเก อธมฺมธมฺมาทิโต ยถาภูตํ วิชานนฺติ, ตโต เตสํ สนฺติกา เต ปณฺฑิตปุริเส นิสฺสาย วิวาทสงฺขาตา เมธคา สมฺมนฺตีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha pareti paṇḍite ṭhapetvā tato aññe – ‘‘adhammaṃ dhammo’’ti ‘‘dhammaṃ adhammo’’tiādibhedakaravatthudīpanavasena vivādappasutā pare nāma. Te tattha vivādaṃ karontā ‘‘mayaṃ yamāmase uparamāma nassāma satataṃ samitaṃ maccusantikaṃ gacchāmā’’ti na jānanti. Ye ca tattha vijānantīti ye tattha paṇḍitā – ‘‘mayaṃ maccusamīpaṃ gacchāmā’’ti vijānanti. Tato sammanti medhagāti evañhi te jānantā yonisomanasikāraṃ uppādetvā medhagānaṃ kalahānaṃ vūpasamāya paṭipajjanti. Atha nesaṃ tāya paṭipattiyā te medhagā sammanti. Atha vā pare cāti ye satthu ovādānusāsaniyā aggahaṇena sāsanato bāhiratāya pare, te yāva ‘‘mayaṃ micchāgāhaṃ gahetvā ettha idha loke sāsanassa paṭiniggāhena yamāmase vāyamāmā’’ti na vijānanti, tāva vivādā na vūpasammanti, yadā pana tassa gāhassa vissajjanavasena ye ca tattha tesu vivādappasutesu adhammadhammādike adhammadhammādito yathābhūtaṃ vijānanti, tato tesaṃ santikā te paṇḍitapurise nissāya vivādasaṅkhātā medhagā sammantīti evampettha attho veditabbo.

    ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ อวิชานนฺตาติ วิวาทสฺส วูปสมูปายํ, ธมฺมาธเมฺม วา ยาถาวโต อชานนฺตาฯ อิริยนฺตฺยมรา วิยาติ อมรา วิย ชรามรณํ อติกฺกนฺตา วิย อุทฺธตา อุนฺนฬา จปลา มุขรา วิปฺปกิณฺณวาจา หุตฺวา วตฺตนฺติ จรนฺติ วิจรนฺติ ตทา วิวาโท น วูปสมฺมเตวฯ วิชานนฺติ จ เย ธมฺมํ, อาตุเรสุ อนาตุราติ เย ปน สตฺถุ สาสนธมฺมํ ยถาภูตํ ชานนฺติ, เต กิเลสโรเคน อาตุเรสุ สเตฺตสุ อนาตุรา นิกฺกิเลสา อนีฆา วิหรนฺติ, เตสํ วเสน วิวาโท อจฺจนฺตเมว วูปสมฺมตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Yadāti yasmiṃ kāle. Avijānantāti vivādassa vūpasamūpāyaṃ, dhammādhamme vā yāthāvato ajānantā. Iriyantyamarā viyāti amarā viya jarāmaraṇaṃ atikkantā viya uddhatā unnaḷā capalā mukharā vippakiṇṇavācā hutvā vattanti caranti vicaranti tadā vivādo na vūpasammateva. Vijānanti ca ye dhammaṃ, āturesu anāturāti ye pana satthu sāsanadhammaṃ yathābhūtaṃ jānanti, te kilesarogena āturesu sattesu anāturā nikkilesā anīghā viharanti, tesaṃ vasena vivādo accantameva vūpasammatīti adhippāyo.

    ยํ กิญฺจิ สิถิลํ กมฺมนฺติ โอลิยิตฺวา กรเณน สิถิลคาหํ กตฺวา สาถลิภาเวน กตํ ยํ กิญฺจิ กุสลกมฺมํฯ สํกิลิฎฺฐนฺติ เวสีอาทิเก อโคจเร จรเณน, กุหนาทิมิจฺฉาชีเวน วา สํกิลิฎฺฐํ วตสมาทานํฯ สงฺกสฺสรนฺติ สงฺกาหิ สริตพฺพํ, วิหาเร กิญฺจิ อสารุปฺปํ สุตฺวา – ‘‘นูน อสุเกน กต’’นฺติ ปเรหิ อสงฺกิตพฺพํ, อุโปสถกิจฺจาทีสุ อญฺญตรกิจฺจวเสน สนฺนิปติตมฺปิ สงฺฆํ ทิสฺวา, ‘‘อทฺธา อิเม มม จริยํ ญตฺวา มํ อุกฺขิปิตุกามา สนฺนิปติตา’’ติ เอวํ อตฺตโน วา อาสงฺกาหิ สริตํ อุสงฺกิตํ ปริสงฺกิตํฯ น ตํ โหตีติ ตํ เอวรูปํ พฺรหฺมจริยํ สมณธมฺมกรณํ ตสฺส ปุคฺคลสฺส มหปฺผลํ น โหติฯ ตสฺส อมหปฺผลภาเวเนว ปจฺจยทายกานมฺปิสฺส น มหปฺผลํ โหติฯ ตสฺมา สเลฺลขวุตฺตินา ภวิตพฺพํฯ สเลฺลขวุตฺติโน จ วิวาทสฺส อวสโร เอว นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ

    Yaṃkiñci sithilaṃ kammanti oliyitvā karaṇena sithilagāhaṃ katvā sāthalibhāvena kataṃ yaṃ kiñci kusalakammaṃ. Saṃkiliṭṭhanti vesīādike agocare caraṇena, kuhanādimicchājīvena vā saṃkiliṭṭhaṃ vatasamādānaṃ. Saṅkassaranti saṅkāhi saritabbaṃ, vihāre kiñci asāruppaṃ sutvā – ‘‘nūna asukena kata’’nti parehi asaṅkitabbaṃ, uposathakiccādīsu aññatarakiccavasena sannipatitampi saṅghaṃ disvā, ‘‘addhā ime mama cariyaṃ ñatvā maṃ ukkhipitukāmā sannipatitā’’ti evaṃ attano vā āsaṅkāhi saritaṃ usaṅkitaṃ parisaṅkitaṃ. Na taṃ hotīti taṃ evarūpaṃ brahmacariyaṃ samaṇadhammakaraṇaṃ tassa puggalassa mahapphalaṃ na hoti. Tassa amahapphalabhāveneva paccayadāyakānampissa na mahapphalaṃ hoti. Tasmā sallekhavuttinā bhavitabbaṃ. Sallekhavuttino ca vivādassa avasaro eva natthīti adhippāyo.

    คารโว นูปลพฺภตีติ อนุสาสนิยา อปทกฺขิณคฺคาหิภาเวน ครุกาตเพฺพสุ สพฺรหฺมจารีสุ ยสฺส ปุคฺคลสฺส คารโว ครุกรณํ น วิชฺชติฯ อารกา โหติ สทฺธมฺมาติ โส เอวรูโป ปุคฺคโล ปฎิปตฺติสทฺธมฺมโตปิ ปฎิเวธสทฺธมฺมโตปิ ทูเร โหติ, น หิ ตํ ครู สิกฺขาเปนฺติ, อสิกฺขิยมาโน อนาทิยโนฺต น ปฎิปชฺชติ, อปฺปฎิปชฺชโนฺต กุโต สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌิสฺสตีติฯ เตนาห – ‘‘อารกา โหติ สทฺธมฺมา’’ติฯ ยถา กิํ? ‘‘นภํ ปุถวิยา ยถา’’ติ ยถา นภํ อากาสํ ปุถวิยา ปถวีธาตุยา สภาวโต ทูเรฯ น กทาจิ สมฺมิสฺสภาโวฯ เตเนวาห –

    Gāravonūpalabbhatīti anusāsaniyā apadakkhiṇaggāhibhāvena garukātabbesu sabrahmacārīsu yassa puggalassa gāravo garukaraṇaṃ na vijjati. Ārakā hoti saddhammāti so evarūpo puggalo paṭipattisaddhammatopi paṭivedhasaddhammatopi dūre hoti, na hi taṃ garū sikkhāpenti, asikkhiyamāno anādiyanto na paṭipajjati, appaṭipajjanto kuto saccāni paṭivijjhissatīti. Tenāha – ‘‘ārakā hoti saddhammā’’ti. Yathā kiṃ? ‘‘Nabhaṃ puthaviyā yathā’’ti yathā nabhaṃ ākāsaṃ puthaviyā pathavīdhātuyā sabhāvato dūre. Na kadāci sammissabhāvo. Tenevāha –

    ‘‘นภญฺจ ทูเร ปถวี จ ทูเร, ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร;

    ‘‘Nabhañca dūre pathavī ca dūre, pāraṃ samuddassa tadāhu dūre;

    ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ, สตญฺจ ธโมฺม อสตญฺจ ราชา’’ติฯ(ชา. ๒.๒๑.๔๑๔);

    Tato have dūrataraṃ vadanti, satañca dhammo asatañca rājā’’ti.(jā. 2.21.414);

    สภิยเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sabhiyattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๓. สภิยเตฺถรคาถา • 3. Sabhiyattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact