Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๗. สพฺรหฺมกสุตฺตวณฺณนา
7. Sabrahmakasuttavaṇṇanā
๑๐๖. สตฺตเม สพฺรหฺมกานีติ สเสฎฺฐกานิฯ เยสนฺติ เยสํ กุลานํฯ ปุตฺตานนฺติ ปุเตฺตหิ ปูชิตสทฺทโยเคน หิ อิทํ กรณเตฺถ สามิวจนํฯ อชฺฌาคาเรติ สเก ฆเรฯ ปูชิตา โหนฺตีติ ยํ ฆเร อตฺถิ, เตน ปฎิชคฺคิตา มนาเปน เจว กายิกวาจสิเกน จ ปจฺจุปฎฺฐิตา โหนฺติฯ อิติ มาตาปิตุปูชกานิ กุลานิ ‘‘สพฺรหฺมกานี’’ติ ปสํสิตฺวา อุปริปิ เนสํ ปสํสนียตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สปุพฺพเทวตานี’’ติอาทิมาหฯ
106. Sattame sabrahmakānīti saseṭṭhakāni. Yesanti yesaṃ kulānaṃ. Puttānanti puttehi pūjitasaddayogena hi idaṃ karaṇatthe sāmivacanaṃ. Ajjhāgāreti sake ghare. Pūjitā hontīti yaṃ ghare atthi, tena paṭijaggitā manāpena ceva kāyikavācasikena ca paccupaṭṭhitā honti. Iti mātāpitupūjakāni kulāni ‘‘sabrahmakānī’’ti pasaṃsitvā uparipi nesaṃ pasaṃsanīyataṃ dassento ‘‘sapubbadevatānī’’tiādimāha.
ตตฺถ พฺรหฺมาติอาทีนิ เตสํ พฺรหฺมาทิภาวสาธนตฺถํ วุตฺตานิฯ ตตฺรายมตฺถวิภาวนา – พฺรหฺมาติ เสฎฺฐาธิวจนํฯ ยถา หิ พฺรหฺมุโน จตโสฺส ภาวนา อวิชหิตา โหนฺติ เมตฺตา, กรุณา, มุทิตา, อุเปกฺขาติ, เอวํ มาตาปิตูนํ ปุเตฺตสุ จตโสฺส ภาวนา อวิชหิตา โหนฺติฯ ตา ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล เวทิตพฺพา – กุจฺฉิคตสฺมิญฺหิ ทารเก ‘‘กทา น โข ปุตฺตกํ อโรคํ ปริปุณฺณงฺคปจฺจงฺคํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ มาตาปิตูนํ เมตฺตจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ ยทา ปเนส มโนฺท อุตฺตานเสยฺยโก อูกาหิ วา มงฺกุเลหิ วา ทโฎฺฐ ทุกฺขเสยฺยาย วา ปีฬิโต ปโรทติ วิรวติ, ตทาสฺส สทฺทํ สุตฺวา มาตาปิตูนํ การุญฺญํ อุปฺปชฺชติฯ อาธาวิตฺวา วิธาวิตฺวา กีฬนกาเล ปน โลภนียวยสฺมิํ วา ฐิตกาเล ทารกํ โอโลเกตฺวา มาตาปิตูนํ จิตฺตํ สปฺปิมเณฺฑ ปกฺขิตฺตสตวิหตกปฺปาสปิจุปฎลํ วิย มุทุกํ อาโมทิตํ ปโมทิตํ, ตทา เนสํ มุทิตา ลพฺภติฯ ยทา ปน เตสํ ปุโตฺต ทารภรณํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ปาฎิเยกฺกํ อคารํ อชฺฌาวสติ, ตทา มาตาปิตูนํ ‘‘สโกฺกติ ทานิ โน ปุตฺตโก อตฺตโน ธมฺมตาย ชีวิตุ’’นฺติ มชฺฌตฺตภาโว อุปฺปชฺชติฯ เอวํ ตสฺมิํ กาเล อุเปกฺขา ลพฺภติฯ เอวํ มาตาปิตูนํ ปุเตฺตสุ ยถากาลํ จตุพฺพิธสฺสปิ พฺรหฺมวิหารสฺส ลพฺภนโต พฺรหฺมสทิสวุตฺติตาย วุตฺตํ ‘‘พฺรหฺมาติ, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ
Tattha brahmātiādīni tesaṃ brahmādibhāvasādhanatthaṃ vuttāni. Tatrāyamatthavibhāvanā – brahmāti seṭṭhādhivacanaṃ. Yathā hi brahmuno catasso bhāvanā avijahitā honti mettā, karuṇā, muditā, upekkhāti, evaṃ mātāpitūnaṃ puttesu catasso bhāvanā avijahitā honti. Tā tasmiṃ tasmiṃ kāle veditabbā – kucchigatasmiñhi dārake ‘‘kadā na kho puttakaṃ arogaṃ paripuṇṇaṅgapaccaṅgaṃ passissāmā’’ti mātāpitūnaṃ mettacittaṃ uppajjati. Yadā panesa mando uttānaseyyako ūkāhi vā maṅkulehi vā daṭṭho dukkhaseyyāya vā pīḷito parodati viravati, tadāssa saddaṃ sutvā mātāpitūnaṃ kāruññaṃ uppajjati. Ādhāvitvā vidhāvitvā kīḷanakāle pana lobhanīyavayasmiṃ vā ṭhitakāle dārakaṃ oloketvā mātāpitūnaṃ cittaṃ sappimaṇḍe pakkhittasatavihatakappāsapicupaṭalaṃ viya mudukaṃ āmoditaṃ pamoditaṃ, tadā nesaṃ muditā labbhati. Yadā pana tesaṃ putto dārabharaṇaṃ paccupaṭṭhapetvā pāṭiyekkaṃ agāraṃ ajjhāvasati, tadā mātāpitūnaṃ ‘‘sakkoti dāni no puttako attano dhammatāya jīvitu’’nti majjhattabhāvo uppajjati. Evaṃ tasmiṃ kāle upekkhā labbhati. Evaṃ mātāpitūnaṃ puttesu yathākālaṃ catubbidhassapi brahmavihārassa labbhanato brahmasadisavuttitāya vuttaṃ ‘‘brahmāti, bhikkhave, mātāpitūnaṃ etaṃ adhivacana’’nti.
ปุพฺพเทวตาติ เอตฺถ เทวา นาม ติวิธา – สมฺมุติเทวา, อุปปตฺติเทวา, วิสุทฺธิเทวาติฯ เตสุ สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน ขตฺติยาฯ เต หิ ‘‘เทโว, เทวี’’ติ โลเก โวหรียนฺติ, เทวา วิย โลกสฺส นิคฺคหานุคฺคหสมตฺถา จ โหนฺติฯ อุปปตฺติเทวา นาม จาตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย ยาว ภวคฺคา อุปฺปนฺนา สตฺตาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม ขีณาสวา สพฺพกิเลสวิสุทฺธิโตฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – ทิพฺพนฺติ, กีฬนฺติ, ลฬนฺติ, โชตนฺติ ปฎิปกฺขํ ชยนฺติ วาติ เทวาฯ เตสุ สพฺพเสฎฺฐา วิสุทฺธิเทวาฯ ยถา เต พาลชเนหิ กตํ อปราธํ อคเณตฺวา เอกเนฺตเนว เตสํ อนตฺถหานิํ อตฺถุปฺปตฺติญฺจ อากงฺขนฺตาว ยถาวุตฺตพฺรหฺมวิหารโยเคน อตฺถาย หิตาย สุขาย ปฎิปชฺชนฺติ, ทกฺขิเณยฺยตาย จ เตสํ การานํ มหปฺผลตํ มหานิสํสตญฺจ อาวหนฺติ; เอวเมว มาตาปิตโรปิ ปุตฺตานํ อปราธํ อคเณตฺวา เอกเนฺตเนว เตสํ อนตฺถหานิํ อตฺถุปฺปตฺติญฺจ อากงฺขนฺตา วุตฺตนเยเนว จตุพฺพิธสฺสปิ พฺรหฺมวิหารสฺส ลพฺภนโต อตฺถาย หิตาย สุขาย ปฎิปชฺชนฺตา ปรมทกฺขิเณยฺยา หุตฺวา อตฺตนิ กตานํ การานํ มหปฺผลตํ มหานิสํสตญฺจ อาวหนฺติฯ สพฺพเทเวหิ จ ปฐมํ เตสํ อุปการวนฺตตาย เต อาทิโตเยว เทวาฯ เตสญฺหิ วเสน เต ปฐมํ อเญฺญ เทเว ‘‘เทวา’’ติ ชานนฺติ อาราเธนฺติ ปยิรุปาสนฺติ, อาราธนวิธิํ ญตฺวา ตถา ปฎิปชฺชนฺตา ตสฺสา ปฎิปตฺติยา ผลํ อธิคจฺฉนฺติ, ตสฺมา เต ปจฺฉาเทวา นามฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุพฺพเทวตาติ, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ
Pubbadevatāti ettha devā nāma tividhā – sammutidevā, upapattidevā, visuddhidevāti. Tesu sammutidevā nāma rājāno khattiyā. Te hi ‘‘devo, devī’’ti loke voharīyanti, devā viya lokassa niggahānuggahasamatthā ca honti. Upapattidevā nāma cātumahārājikato paṭṭhāya yāva bhavaggā uppannā sattā. Visuddhidevā nāma khīṇāsavā sabbakilesavisuddhito. Tatrāyaṃ vacanattho – dibbanti, kīḷanti, laḷanti, jotanti paṭipakkhaṃ jayanti vāti devā. Tesu sabbaseṭṭhā visuddhidevā. Yathā te bālajanehi kataṃ aparādhaṃ agaṇetvā ekanteneva tesaṃ anatthahāniṃ atthuppattiñca ākaṅkhantāva yathāvuttabrahmavihārayogena atthāya hitāya sukhāya paṭipajjanti, dakkhiṇeyyatāya ca tesaṃ kārānaṃ mahapphalataṃ mahānisaṃsatañca āvahanti; evameva mātāpitaropi puttānaṃ aparādhaṃ agaṇetvā ekanteneva tesaṃ anatthahāniṃ atthuppattiñca ākaṅkhantā vuttanayeneva catubbidhassapi brahmavihārassa labbhanato atthāya hitāya sukhāya paṭipajjantā paramadakkhiṇeyyā hutvā attani katānaṃ kārānaṃ mahapphalataṃ mahānisaṃsatañca āvahanti. Sabbadevehi ca paṭhamaṃ tesaṃ upakāravantatāya te āditoyeva devā. Tesañhi vasena te paṭhamaṃ aññe deve ‘‘devā’’ti jānanti ārādhenti payirupāsanti, ārādhanavidhiṃ ñatvā tathā paṭipajjantā tassā paṭipattiyā phalaṃ adhigacchanti, tasmā te pacchādevā nāma. Tena vuttaṃ ‘‘pubbadevatāti, bhikkhave, mātāpitūnaṃ etaṃ adhivacana’’nti.
ปุพฺพาจริยาติ ปฐมอาจริยาฯ มาตาปิตโร หิ ปุเตฺต สิกฺขาเปนฺตา อติตรุณกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘เอวํ นิสีท, เอวํ คจฺฉ, เอวํ ติฎฺฐ, เอวํ สย, เอวํ ขาท, เอวํ ภุญฺช, อยํ เต ‘ตาตา’ติ วตฺตโพฺพ, อยํ ‘ภาติกา’ติ, อยํ ‘ภคินี’ติ, อิทํ นาม กาตุํ วฎฺฎติ, อิทํ น วฎฺฎติ, อสุกํ นาม อุปสงฺกมิตุํ วฎฺฎติ, อสุกํ นาม น วฎฺฎตี’’ติ คาเหนฺติ สิกฺขาเปนฺติฯ อปรภาเค อเญฺญ อาจริยาปิ สิปฺปํ มุทฺทํ คณนนฺติ เอวมาทิํ สิกฺขาเปนฺติ, อเญฺญ สรณานิ เทนฺติ, สีเลสุ ปติฎฺฐาเปนฺติ, ปพฺพาเชนฺติ , ธมฺมํ อุคฺคณฺหาเปนฺติ, อุปสมฺปาเทนฺติ, โสตาปตฺติมคฺคาทีนิ ปาเปนฺติฯ อิติ สเพฺพปิ เต ปจฺฉาอาจริยา นามฯ มาตาปิตโร ปน สพฺพปฐมํฯ เตนาห ‘‘ปุพฺพาจริยาติ, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ
Pubbācariyāti paṭhamaācariyā. Mātāpitaro hi putte sikkhāpentā atitaruṇakālato paṭṭhāya ‘‘evaṃ nisīda, evaṃ gaccha, evaṃ tiṭṭha, evaṃ saya, evaṃ khāda, evaṃ bhuñja, ayaṃ te ‘tātā’ti vattabbo, ayaṃ ‘bhātikā’ti, ayaṃ ‘bhaginī’ti, idaṃ nāma kātuṃ vaṭṭati, idaṃ na vaṭṭati, asukaṃ nāma upasaṅkamituṃ vaṭṭati, asukaṃ nāma na vaṭṭatī’’ti gāhenti sikkhāpenti. Aparabhāge aññe ācariyāpi sippaṃ muddaṃ gaṇananti evamādiṃ sikkhāpenti, aññe saraṇāni denti, sīlesu patiṭṭhāpenti, pabbājenti , dhammaṃ uggaṇhāpenti, upasampādenti, sotāpattimaggādīni pāpenti. Iti sabbepi te pacchāācariyā nāma. Mātāpitaro pana sabbapaṭhamaṃ. Tenāha ‘‘pubbācariyāti, bhikkhave, mātāpitūnaṃ etaṃ adhivacana’’nti.
อาหุเนยฺยาติ อาเนตฺวา หุนิตพฺพนฺติ อาหุนํ, ทูรโตปิ อาเนตฺวา ผลวิเสสํ อากงฺขเนฺตน คุณวเนฺตสุ ทาตพฺพานํ อนฺนปานวตฺถจฺฉาทนาทีนํ เอตํ นามํ, อุปการเขตฺตตาย ตํ อาหุนํ อรหนฺตีติ อาหุเนยฺยาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาหุเนยฺยาติ, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ
Āhuneyyāti ānetvā hunitabbanti āhunaṃ, dūratopi ānetvā phalavisesaṃ ākaṅkhantena guṇavantesu dātabbānaṃ annapānavatthacchādanādīnaṃ etaṃ nāmaṃ, upakārakhettatāya taṃ āhunaṃ arahantīti āhuneyyā. Tena vuttaṃ ‘‘āhuneyyāti, bhikkhave, mātāpitūnaṃ etaṃ adhivacana’’nti.
อิทานิ เตสํ พฺรหฺมาทิภาเว การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ? พหุการา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ กิสฺส เหตูติ ตํ มาตาปิตูนํ พฺรหฺมาทิอธิวจนํ เกน การเณนาติ เจติ อโตฺถฯ พหุการาติ พหูปการาฯ อาปาทกาติ ชีวิตสฺส อาปาทกา, ปาลกาฯ ปุตฺตานญฺหิ มาตาปิตูหิ ชีวิตํ อาปาทิตํ ปาลิตํ ฆฎิตํ อนุปฺปพเนฺธน ปวตฺติตํ สมฺปาทิตํฯ โปสกาติ หตฺถปาเท วเฑฺฒตฺวา หทยโลหิตํ ปาเยตฺวา โปเสตาโรฯ อิมสฺส โลกสฺส ทเสฺสตาโรติ ปุตฺตานํ อิมสฺมิํ โลเก อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณทสฺสนํ นาม มาตาปิตโร นิสฺสาย ชาตนฺติ เต เนสํ อิมสฺส โลกสฺส ทเสฺสตาโร นามฯ อิติ เตสํ พหุการตฺตํ พฺรหฺมาทิภาวสฺส การณํ ทสฺสิตํ, เยน ปุโตฺต มาตาปิตูนํ โลกิเยน อุปกาเรน เกนจิ ปริยาเยน ปริยนฺตํ ปฎิการํ กาตุํ น สมโตฺถเยวฯ สเจ หิ ปุโตฺต ‘‘มาตาปิตูนํ อุปการสฺส ปจฺจุปการํ กริสฺสามี’’ติ อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย วายมโนฺต ทกฺขิเณ อํสกูเฎ มาตรํ, อิตรสฺมิํ ปิตรํ ฐเปตฺวา วสฺสสตายุโก สกลํ วสฺสสตมฺปิ ปริหเรยฺย จตูหิ ปจฺจเยหิ อุจฺฉาทนปริมทฺทนนฺหาปนสมฺพาหนาทีหิ จ ยถารุจิ อุปฎฺฐหโนฺต เตสํ มุตฺตกรีสมฺปิ อชิคุจฺฉโนฺต, น เอตฺตาวตา ปุเตฺตน มาตาปิตูนํ ปฎิกาโร กโต โหติ อญฺญตฺร สทฺธาทิคุณวิเสเส ปติฎฺฐาปนาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Idāni tesaṃ brahmādibhāve kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘taṃ kissa hetu? Bahukārā’’tiādi vuttaṃ. Taṃ kissa hetūti taṃ mātāpitūnaṃ brahmādiadhivacanaṃ kena kāraṇenāti ceti attho. Bahukārāti bahūpakārā. Āpādakāti jīvitassa āpādakā, pālakā. Puttānañhi mātāpitūhi jīvitaṃ āpāditaṃ pālitaṃ ghaṭitaṃ anuppabandhena pavattitaṃ sampāditaṃ. Posakāti hatthapāde vaḍḍhetvā hadayalohitaṃ pāyetvā posetāro. Imassa lokassa dassetāroti puttānaṃ imasmiṃ loke iṭṭhāniṭṭhārammaṇadassanaṃ nāma mātāpitaro nissāya jātanti te nesaṃ imassa lokassa dassetāro nāma. Iti tesaṃ bahukārattaṃ brahmādibhāvassa kāraṇaṃ dassitaṃ, yena putto mātāpitūnaṃ lokiyena upakārena kenaci pariyāyena pariyantaṃ paṭikāraṃ kātuṃ na samatthoyeva. Sace hi putto ‘‘mātāpitūnaṃ upakārassa paccupakāraṃ karissāmī’’ti uṭṭhāya samuṭṭhāya vāyamanto dakkhiṇe aṃsakūṭe mātaraṃ, itarasmiṃ pitaraṃ ṭhapetvā vassasatāyuko sakalaṃ vassasatampi parihareyya catūhi paccayehi ucchādanaparimaddananhāpanasambāhanādīhi ca yathāruci upaṭṭhahanto tesaṃ muttakarīsampi ajigucchanto, na ettāvatā puttena mātāpitūnaṃ paṭikāro kato hoti aññatra saddhādiguṇavisese patiṭṭhāpanā. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ทฺวินฺนาหํ, ภิกฺขเว, น สุปฺปฎิการํ วทามิฯ กตเมสํ ทฺวินฺนํ? มาตุ จ ปิตุ จฯ เอเกน, ภิกฺขเว, อํเสน มาตรํ ปริหเรยฺย, เอเกน อํเสน ปิตรํ ปริหเรยฺย วสฺสสตายุโก วสฺสสตชีวี, โส จ เนสํ อุจฺฉาทนปริมทฺทนนฺหาปนสมฺพาหเนน, เต จ ตเตฺถว มุตฺตกรีสํ จเชยฺยุํ, น เตฺวว, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ กตํ วา โหติ ปฎิกตํ วา ฯ อิมิสฺสา จ, ภิกฺขเว, มหาปถวิยา ปหูตรตฺตรตนาย มาตาปิตโร อิสฺสริยาธิปเจฺจ รเชฺช ปติฎฺฐาเปยฺย, น เตฺวว, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ กตํ วา โหติ ปฎิกตํ วาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? พหุการา, ภิกฺขเว, มาตาปิตโร ปุตฺตานํ อาปาทกา โปสกา อิมสฺส โลกสฺส ทเสฺสตาโรฯ
‘‘Dvinnāhaṃ, bhikkhave, na suppaṭikāraṃ vadāmi. Katamesaṃ dvinnaṃ? Mātu ca pitu ca. Ekena, bhikkhave, aṃsena mātaraṃ parihareyya, ekena aṃsena pitaraṃ parihareyya vassasatāyuko vassasatajīvī, so ca nesaṃ ucchādanaparimaddananhāpanasambāhanena, te ca tattheva muttakarīsaṃ cajeyyuṃ, na tveva, bhikkhave, mātāpitūnaṃ kataṃ vā hoti paṭikataṃ vā . Imissā ca, bhikkhave, mahāpathaviyā pahūtarattaratanāya mātāpitaro issariyādhipacce rajje patiṭṭhāpeyya, na tveva, bhikkhave, mātāpitūnaṃ kataṃ vā hoti paṭikataṃ vā. Taṃ kissa hetu? Bahukārā, bhikkhave, mātāpitaro puttānaṃ āpādakā posakā imassa lokassa dassetāro.
‘‘โย จ โข, ภิกฺขเว, มาตาปิตโร อสฺสเทฺธ สทฺธาสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฎฺฐาเปติฯ ทุสฺสีเล สีลสมฺปทาย, มจฺฉริโน จาคสมฺปทาย, ทุปฺปเญฺญ ปญฺญาสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฎฺฐาเปติฯ เอตฺตาวตา โข, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ กตญฺจ โหติ ปฎิกตญฺจา’’ติ (อ. นิ. ๒.๓๔)ฯ
‘‘Yo ca kho, bhikkhave, mātāpitaro assaddhe saddhāsampadāya samādapeti niveseti patiṭṭhāpeti. Dussīle sīlasampadāya, maccharino cāgasampadāya, duppaññe paññāsampadāya samādapeti niveseti patiṭṭhāpeti. Ettāvatā kho, bhikkhave, mātāpitūnaṃ katañca hoti paṭikatañcā’’ti (a. ni. 2.34).
ตถา –
Tathā –
‘‘มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ, ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห’’ติ; (ขุ. ปา. ๕.๖);
‘‘Mātāpituupaṭṭhānaṃ, puttadārassa saṅgaho’’ti; (Khu. pā. 5.6);
‘‘มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตปญฺญตฺต’’นฺติ จ –
‘‘Mātāpituupaṭṭhānaṃ, bhikkhave, paṇḍitapaññatta’’nti ca –
เอวมาทีนิ มาตาปิตูนํ ปุตฺตสฺส พหูปการภาวสาธกานิ สุตฺตานิ ทฎฺฐพฺพานิฯ
Evamādīni mātāpitūnaṃ puttassa bahūpakārabhāvasādhakāni suttāni daṭṭhabbāni.
คาถาสุ วุจฺจเรติ วุจฺจนฺติ กถียนฺติฯ ปชาย อนุกมฺปกาติ ปเรสํ ปาณํ ฉินฺทิตฺวาปิ อตฺตโน สนฺตกํ ยํกิญฺจิ จชิตฺวาปิ อตฺตโน ปชํ ปฎิชคฺคนฺติ โคปยนฺติ, ตสฺมา ปชาย อตฺตโน ปุตฺตานํ อนุกมฺปกา อนุคฺคาหกาฯ
Gāthāsu vuccareti vuccanti kathīyanti. Pajāya anukampakāti paresaṃ pāṇaṃ chinditvāpi attano santakaṃ yaṃkiñci cajitvāpi attano pajaṃ paṭijagganti gopayanti, tasmā pajāya attano puttānaṃ anukampakā anuggāhakā.
นมเสฺสยฺยาติ สายํ ปาตํ อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘อิทํ มยฺหํ อุตฺตมํ ปุญฺญเกฺขตฺต’’นฺติ นมกฺการํ กเรยฺยฯ สกฺกเรยฺยาติ สกฺกาเรน ปฎิมาเนยฺยฯ อิทานิ ตํ สกฺการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อเนฺนนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อเนฺนนาติ ยาคุภตฺตขาทนีเยนฯ ปาเนนาติ อฎฺฐวิธปาเนนฯ วเตฺถนาติ นิวาสนปารุปเนนฯ สยเนนาติ มญฺจปีฐภิสิพิโมฺพหนาทินา สยเนนฯ อุจฺฉาทเนนาติ ทุคฺคนฺธํ ปฎิวิโนเทตฺวา สุคนฺธกรณุจฺฉาทเนนฯ นฺหาเนนาติ สีตกาเล อุโณฺหทเกน, อุณฺหกาเล สีโตทเกน คตฺตานิ ปริสิญฺจิตฺวา นฺหาปเนนฯ ปาทานํ โธวเนน จาติ อุโณฺหทกสีโตทเกหิ ปาทโธวเนน เจว เตลมกฺขเนน จฯ
Namasseyyāti sāyaṃ pātaṃ upaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘idaṃ mayhaṃ uttamaṃ puññakkhetta’’nti namakkāraṃ kareyya. Sakkareyyāti sakkārena paṭimāneyya. Idāni taṃ sakkāraṃ dassento ‘‘annenā’’tiādimāha. Tattha annenāti yāgubhattakhādanīyena. Pānenāti aṭṭhavidhapānena. Vatthenāti nivāsanapārupanena. Sayanenāti mañcapīṭhabhisibimbohanādinā sayanena. Ucchādanenāti duggandhaṃ paṭivinodetvā sugandhakaraṇucchādanena. Nhānenāti sītakāle uṇhodakena, uṇhakāle sītodakena gattāni parisiñcitvā nhāpanena. Pādānaṃ dhovanena cāti uṇhodakasītodakehi pādadhovanena ceva telamakkhanena ca.
ตาย นํ ปาริจริยายาติ เอตฺถ นนฺติ นิปาตมตฺตํ, ยถาวุตฺตปริจรเณนฯ อถ วา ปาริจริยายาติ ภรณกิจฺจกรณกุลวํสปติฎฺฐาปนาทินา ปญฺจวิธอุปฎฺฐาเนนฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tāyanaṃ pāricariyāyāti ettha nanti nipātamattaṃ, yathāvuttaparicaraṇena. Atha vā pāricariyāyāti bharaṇakiccakaraṇakulavaṃsapatiṭṭhāpanādinā pañcavidhaupaṭṭhānena. Vuttañhetaṃ –
‘‘ปญฺจหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐาตพฺพา ‘ภโต เน ภริสฺสามิ, กิจฺจํ เนสํ กริสฺสามิ, กุลวํสํ ฐเปสฺสามิ, ทายชฺชํ ปฎิปชฺชิสฺสามิฯ อถ วา ปน เนสํ เปตานํ กาลกตานํ ทกฺขิณมนุปฺปทสฺสามี’ติฯ อิเมหิ โข, คหปติปุตฺต, ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐิตา ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุตฺตํ อนุกมฺปนฺติ – ปาปา นิวาเรนฺติ, กลฺยาเณ นิเวเสนฺติ, สิปฺปํ สิกฺขาเปนฺติ, ปติรูเปน ทาเรน สํโยเชนฺติ, สมเย ทายชฺชํ นิยฺยาเทนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๗)ฯ
‘‘Pañcahi kho, gahapatiputta, ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhātabbā ‘bhato ne bharissāmi, kiccaṃ nesaṃ karissāmi, kulavaṃsaṃ ṭhapessāmi, dāyajjaṃ paṭipajjissāmi. Atha vā pana nesaṃ petānaṃ kālakatānaṃ dakkhiṇamanuppadassāmī’ti. Imehi kho, gahapatiputta, pañcahi ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhitā pañcahi ṭhānehi puttaṃ anukampanti – pāpā nivārenti, kalyāṇe nivesenti, sippaṃ sikkhāpenti, patirūpena dārena saṃyojenti, samaye dāyajjaṃ niyyādentī’’ti (dī. ni. 3.267).
อปิจ โย มาตาปิตโร ตีสุ วตฺถูสุ อภิปฺปสเนฺน กตฺวา สีเลสุ วา ปติฎฺฐาเปตฺวา ปพฺพชฺชาย วา นิโยเชตฺวา อุปฎฺฐหติ, อยํ มาตาปิตุอุปฎฺฐากานํ อโคฺคติ เวทิตโพฺพฯ สา ปนายํ ปาริจริยา ปุตฺตสฺส อุภยโลกหิตสุขาวหาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิเธว นํ ปสํสนฺติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติ อาหฯ ตตฺถ อิธาติ อิมสฺมิํ โลเกฯ มาตาปิตุอุปฎฺฐากญฺหิ ปุคฺคลํ ปณฺฑิตมนุสฺสา ตตฺถ ปาริจริยาย ปสํสนฺติ วเณฺณนฺติ โถเมนฺติ, ตสฺส จ ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชนฺตา สยมฺปิ อตฺตโน มาตาปิตูสุ ตถา ปฎิปชฺชิตฺวา มหนฺตํ ปุญฺญํ ปสวนฺติฯ เปจฺจาติ ปรโลกํ คนฺตฺวา สเคฺค ฐิโต มาตาปิตุปฎฺฐาโก ทิพฺพสมฺปตฺตีหิ โมทติ ปโมทติ อภินนฺทตีติฯ
Apica yo mātāpitaro tīsu vatthūsu abhippasanne katvā sīlesu vā patiṭṭhāpetvā pabbajjāya vā niyojetvā upaṭṭhahati, ayaṃ mātāpituupaṭṭhākānaṃ aggoti veditabbo. Sā panāyaṃ pāricariyā puttassa ubhayalokahitasukhāvahāti dassento ‘‘idheva naṃ pasaṃsanti, pecca sagge pamodatī’’ti āha. Tattha idhāti imasmiṃ loke. Mātāpituupaṭṭhākañhi puggalaṃ paṇḍitamanussā tattha pāricariyāya pasaṃsanti vaṇṇenti thomenti, tassa ca diṭṭhānugatiṃ āpajjantā sayampi attano mātāpitūsu tathā paṭipajjitvā mahantaṃ puññaṃ pasavanti. Peccāti paralokaṃ gantvā sagge ṭhito mātāpitupaṭṭhāko dibbasampattīhi modati pamodati abhinandatīti.
สตฺตมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sattamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๗. สพฺรหฺมกสุตฺตํ • 7. Sabrahmakasuttaṃ