Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๗๓] ๓. สจฺจํกิรชาตกวณฺณนา
[73] 3. Saccaṃkirajātakavaṇṇanā
สจฺจํ กิเรวมาหํสูติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส วธาย ปริสกฺกนํ อารพฺภ กเถสิฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺมิญฺหิ ธมฺมสภายํ นิสีทิตฺวา ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต สตฺถุ คุณํ น ชานาติ, วธายเยว ปริสกฺกตี’’ติ เทวทตฺตสฺส อคุณํ กเถเนฺต สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว เทวทโตฺต มยฺหํ วธาย ปริสกฺกติ, ปุเพฺพปิ ปริสกฺกิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Saccaṃ kirevamāhaṃsūti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattassa vadhāya parisakkanaṃ ārabbha kathesi. Bhikkhusaṅghasmiñhi dhammasabhāyaṃ nisīditvā ‘‘āvuso, devadatto satthu guṇaṃ na jānāti, vadhāyayeva parisakkatī’’ti devadattassa aguṇaṃ kathente satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva devadatto mayhaṃ vadhāya parisakkati, pubbepi parisakkiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส ทุฎฺฐกุมาโร นาม ปุโตฺต อโหสิ กกฺขโฬ ผรุโส ปหฎาสีวิสูปโม, อนโกฺกสิตฺวา วา อปหริตฺวา วา เกนจิ สทฺธิํ น กเถติฯ โส อโนฺตชนสฺส จ พหิชนสฺส จ อกฺขิมฺหิ ปติตรชํ วิย, ขาทิตุํ อาคตปิสาโจ วิย จ อมนาโป อโหสิ อุเพฺพชนีโยฯ โส เอกทิวสํ นทีกีฬํ กีฬิตุกาโม มหเนฺตน ปริวาเรน นทีตีรํ อคมาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ มหาเมโฆ อุฎฺฐหิ, ทิสา อนฺธการา ชาตาฯ โส ทาสเปสฺสชนํ อาห ‘‘เอถ ภเณ, มํ คเหตฺวา นทีมชฺฌํ เนตฺวา นฺหาเปตฺวา อาเนถา’’ติฯ เต ตํ ตตฺถ เนตฺวา ‘‘กิํ โน ราชา กริสฺสติ, อิมํ ปาปปุริสํ เอเตฺถว มาเรมา’’ติ มนฺตยิตฺวา ‘‘เอตฺถ คจฺฉ กาฬกณฺณี’’ติ อุทเก นํ โอปิลาเปตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ตีเร อฎฺฐํสุฯ ‘‘กหํ กุมาโร’’ติ จ วุเตฺต ‘‘น มยํ กุมารํ ปสฺสาม, เมฆํ อุฎฺฐิตํ ทิสฺวา อุทเก นิมุชฺชิตฺวา ปุรโต อาคโต ภวิสฺสตี’’ติฯ อมจฺจา รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา ‘‘กหํ เม ปุโตฺต’’ติ ปุจฺฉิฯ น ชานาม เทว, เมเฆ อุฎฺฐิเต ‘‘ปุรโต อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ สญฺญาย อาคตมฺหาติฯ ราชา ทฺวารํ วิวราเปตฺวา ‘‘นทีตีรํ คนฺตฺวา วิจินถา’’ติ ตตฺถ ตตฺถ วิจินาเปสิ, โกจิ กุมารํ นาทฺทสฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa duṭṭhakumāro nāma putto ahosi kakkhaḷo pharuso pahaṭāsīvisūpamo, anakkositvā vā apaharitvā vā kenaci saddhiṃ na katheti. So antojanassa ca bahijanassa ca akkhimhi patitarajaṃ viya, khādituṃ āgatapisāco viya ca amanāpo ahosi ubbejanīyo. So ekadivasaṃ nadīkīḷaṃ kīḷitukāmo mahantena parivārena nadītīraṃ agamāsi. Tasmiṃ khaṇe mahāmegho uṭṭhahi, disā andhakārā jātā. So dāsapessajanaṃ āha ‘‘etha bhaṇe, maṃ gahetvā nadīmajjhaṃ netvā nhāpetvā ānethā’’ti. Te taṃ tattha netvā ‘‘kiṃ no rājā karissati, imaṃ pāpapurisaṃ ettheva māremā’’ti mantayitvā ‘‘ettha gaccha kāḷakaṇṇī’’ti udake naṃ opilāpetvā paccuttaritvā tīre aṭṭhaṃsu. ‘‘Kahaṃ kumāro’’ti ca vutte ‘‘na mayaṃ kumāraṃ passāma, meghaṃ uṭṭhitaṃ disvā udake nimujjitvā purato āgato bhavissatī’’ti. Amaccā rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā ‘‘kahaṃ me putto’’ti pucchi. Na jānāma deva, meghe uṭṭhite ‘‘purato āgato bhavissatī’’ti saññāya āgatamhāti. Rājā dvāraṃ vivarāpetvā ‘‘nadītīraṃ gantvā vicinathā’’ti tattha tattha vicināpesi, koci kumāraṃ nāddasa.
โสปิ โข เมฆนฺธกาเร เทเว วสฺสเนฺต นทิยา วุยฺหมาโน เอกํ ทารุกฺขนฺธํ ทิสฺวา ตตฺถ นิสีทิตฺวา มรณภยตชฺชิโต ปริเทวมาโน คจฺฉติฯ ตสฺมิํ ปน กาเล พาราณสิวาสี เอโก เสฎฺฐิ นทีตีเร จตฺตาลีสโกฎิธนํ นิทหิตฺวาว มรโนฺต ธนตณฺหาย ธนปิเฎฺฐ สโปฺป หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อปโร ตสฺมิํเยว ปเทเส ติํส โกฎิโย นิทหิตฺวา ธนตณฺหาย ตเตฺถว อุนฺทูโร หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เตสํ วสนฎฺฐานํ อุทกํ ปาวิสิฯ เต อุทกสฺส ปวิฎฺฐมเคฺคเนว นิกฺขมิตฺวา โสตํ ฉินฺทนฺตา คนฺตฺวา ตํ ราชกุมาเรน อภินิสินฺนํ ทารุกฺขนฺธํ ปตฺวา เอโก เอกํ โกฎิํ, อิตโร อิตรํ อารุยฺห ขนฺธปิเฎฺฐเยว นิปชฺชิํสุฯ ตสฺสาเยว โข ปน นทิยา ตีเร เอโก สิมฺพลิรุโกฺข อตฺถิ, ตเตฺถโก สุวโปตโก วสติฯ โสปิ รุโกฺข อุทเกน โธตมูโล นทีปิเฎฺฐ ปติ, สุวโปตโก เทเว วสฺสเนฺต อุปฺปติตฺวา คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต คนฺตฺวา ตเสฺสว ขนฺธสฺส เอกปเสฺส นิลียิฯ เอวํ เต จตฺตาโร ชนา เอกโต วุยฺหมานา คจฺฉนฺติฯ
Sopi kho meghandhakāre deve vassante nadiyā vuyhamāno ekaṃ dārukkhandhaṃ disvā tattha nisīditvā maraṇabhayatajjito paridevamāno gacchati. Tasmiṃ pana kāle bārāṇasivāsī eko seṭṭhi nadītīre cattālīsakoṭidhanaṃ nidahitvāva maranto dhanataṇhāya dhanapiṭṭhe sappo hutvā nibbatti. Aparo tasmiṃyeva padese tiṃsa koṭiyo nidahitvā dhanataṇhāya tattheva undūro hutvā nibbatti. Tesaṃ vasanaṭṭhānaṃ udakaṃ pāvisi. Te udakassa paviṭṭhamaggeneva nikkhamitvā sotaṃ chindantā gantvā taṃ rājakumārena abhinisinnaṃ dārukkhandhaṃ patvā eko ekaṃ koṭiṃ, itaro itaraṃ āruyha khandhapiṭṭheyeva nipajjiṃsu. Tassāyeva kho pana nadiyā tīre eko simbalirukkho atthi, tattheko suvapotako vasati. Sopi rukkho udakena dhotamūlo nadīpiṭṭhe pati, suvapotako deve vassante uppatitvā gantuṃ asakkonto gantvā tasseva khandhassa ekapasse nilīyi. Evaṃ te cattāro janā ekato vuyhamānā gacchanti.
โพธิสโตฺตปิ โข ตสฺมิํ กาเล กาสิรเฎฺฐ อุทิจฺจพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วุฑฺฒิปฺปโตฺต อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา เอกสฺมิํ นทีนิวตฺตเน ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วสติฯ โส อฑฺฒรตฺตสมเย จงฺกมมาโน ตสฺส ราชกุมารสฺส พลวปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มาทิเส นาม เมตฺตานุทฺทยสมฺปเนฺน ตาปเส ปสฺสเนฺต เอตสฺส ปุริสสฺส มรณํ อยุตฺตํ, อุทกโต อุทฺธริตฺวา ตสฺส ชีวิตทานํ ทสฺสามี’’ติฯ โส ตํ ‘‘มา ภายิ, มา ภายี’’ติ อสฺสาเสตฺวา อุทกโสตํ ฉินฺทโนฺต คนฺตฺวา ตํ ทารุกฺขนฺธํ เอกาย โกฎิยา คเหตฺวา อากฑฺฒโนฺต นาคพโล ถามสมฺปโนฺน เอกเวเคน ตีรํ ปตฺวา กุมารํ อุกฺขิปิตฺวา ตีเร ปติฎฺฐาเปสิฯ เตปิ สปฺปาทโย ทิสฺวา อุกฺขิปิตฺวา อสฺสมปทํ เนตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ‘‘อิเม ทุพฺพลตรา’’ติ ปฐมํ สปฺปาทีนํ สรีรํ เสเทตฺวา ปจฺฉา ราชกุมารสฺส สรีรํ เสเทตฺวา ตมฺปิ อโรคํ กตฺวา อาหารํ เทโนฺตปิ ปฐมํ สปฺปาทีนํเยว ทตฺวา ปจฺฉา ตสฺส ผลาผลานิ อุปนาเมสิฯ ราชกุมาโร ‘‘อยํ กูฎตาปโส มํ ราชกุมารํ อคเณตฺวา ติรจฺฉานคตานํ สมฺมานํ กโรตี’’ติ โพธิสเตฺต อาฆาตํ พนฺธิฯ
Bodhisattopi kho tasmiṃ kāle kāsiraṭṭhe udiccabrāhmaṇakule nibbattitvā vuḍḍhippatto isipabbajjaṃ pabbajitvā ekasmiṃ nadīnivattane paṇṇasālaṃ māpetvā vasati. So aḍḍharattasamaye caṅkamamāno tassa rājakumārassa balavaparidevanasaddaṃ sutvā cintesi ‘‘mādise nāma mettānuddayasampanne tāpase passante etassa purisassa maraṇaṃ ayuttaṃ, udakato uddharitvā tassa jīvitadānaṃ dassāmī’’ti. So taṃ ‘‘mā bhāyi, mā bhāyī’’ti assāsetvā udakasotaṃ chindanto gantvā taṃ dārukkhandhaṃ ekāya koṭiyā gahetvā ākaḍḍhanto nāgabalo thāmasampanno ekavegena tīraṃ patvā kumāraṃ ukkhipitvā tīre patiṭṭhāpesi. Tepi sappādayo disvā ukkhipitvā assamapadaṃ netvā aggiṃ jāletvā ‘‘ime dubbalatarā’’ti paṭhamaṃ sappādīnaṃ sarīraṃ sedetvā pacchā rājakumārassa sarīraṃ sedetvā tampi arogaṃ katvā āhāraṃ dentopi paṭhamaṃ sappādīnaṃyeva datvā pacchā tassa phalāphalāni upanāmesi. Rājakumāro ‘‘ayaṃ kūṭatāpaso maṃ rājakumāraṃ agaṇetvā tiracchānagatānaṃ sammānaṃ karotī’’ti bodhisatte āghātaṃ bandhi.
ตโต กติปาหจฺจเยน สเพฺพสุปิ เตสุ ถามพลปฺปเตฺตสุ นทิยา โอเฆ ปจฺฉิเนฺน สโปฺป ตาปสํ วนฺทิตฺวา อาห ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ มยฺหํ มหาอุปกาโร กโต, น โข ปนาหํ ทลิโทฺท, อสุกฎฺฐาเน เม จตฺตาลีส หิรญฺญโกฎิโย นิทหิตฺวา ฐปิตา, ตุมฺหากํ ธเนน กิเจฺจ สติ สพฺพเมฺปตํ ธนํ ตุมฺหากํ ทาตุํ สโกฺกมิ, ตํ ฐานํ อาคนฺตฺวา ‘ทีฆา’ติ ปโกฺกเสยฺยาถา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ อุนฺทูโรปิ ตเถว ตาปสํ นิมเนฺตตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน ฐตฺวา ‘อุนฺทูรา’ติ ปโกฺกเสยฺยาถา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ สุวโปตโก ปน ตาปสํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ธนํ นตฺถิ, รตฺตสาลีหิ ปน โว อเตฺถ สติ อสุกํ นาม มยฺหํ วสนฎฺฐานํ, ตตฺถ คนฺตฺวา ‘สุวา’ติ ปโกฺกเสยฺยาถ, อหํ ญาตกานํ อาโรเจตฺวา อเนกสกฎปูรมตฺตา รตฺตสาลิโย อาหราเปตฺวา ทาตุํ สโกฺกมี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ อิตโร ปน มิตฺตทุพฺภี ‘‘ธมฺมสุธมฺมตาย กิญฺจิ อวตฺวา คนฺตุํ อยุตฺตํ, เอวํ ตํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ มาเรสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยิ รเชฺช ปติฎฺฐิเต อาคเจฺฉยฺยาถ, อหํ โว จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ โส คนฺตฺวา น จิรเสฺสว รเชฺช ปติฎฺฐาสิฯ
Tato katipāhaccayena sabbesupi tesu thāmabalappattesu nadiyā oghe pacchinne sappo tāpasaṃ vanditvā āha ‘‘bhante, tumhehi mayhaṃ mahāupakāro kato, na kho panāhaṃ daliddo, asukaṭṭhāne me cattālīsa hiraññakoṭiyo nidahitvā ṭhapitā, tumhākaṃ dhanena kicce sati sabbampetaṃ dhanaṃ tumhākaṃ dātuṃ sakkomi, taṃ ṭhānaṃ āgantvā ‘dīghā’ti pakkoseyyāthā’’ti vatvā pakkāmi. Undūropi tatheva tāpasaṃ nimantetvā ‘‘asukaṭṭhāne ṭhatvā ‘undūrā’ti pakkoseyyāthā’’ti vatvā pakkāmi. Suvapotako pana tāpasaṃ vanditvā ‘‘bhante, mayhaṃ dhanaṃ natthi, rattasālīhi pana vo atthe sati asukaṃ nāma mayhaṃ vasanaṭṭhānaṃ, tattha gantvā ‘suvā’ti pakkoseyyātha, ahaṃ ñātakānaṃ ārocetvā anekasakaṭapūramattā rattasāliyo āharāpetvā dātuṃ sakkomī’’ti vatvā pakkāmi. Itaro pana mittadubbhī ‘‘dhammasudhammatāya kiñci avatvā gantuṃ ayuttaṃ, evaṃ taṃ attano santikaṃ āgataṃ māressāmī’’ti cintetvā ‘‘bhante, mayi rajje patiṭṭhite āgaccheyyātha, ahaṃ vo catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmī’’ti vatvā pakkāmi. So gantvā na cirasseva rajje patiṭṭhāsi.
โพธิสโตฺต ‘‘วีมํสิสฺสามิ ตาว เน’’ติ ปฐมํ สปฺปสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อวิทูเร ฐตฺวา ‘‘ทีฆา’’ติ ปโกฺกสิฯ โส เอกวจเนเนว นิกฺขมิตฺวา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน จตฺตาลีส หิรญฺญโกฎิโย, ตา สพฺพาปิ นีหริตฺวา คณฺหถา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘เอวมตฺถุ, อุปฺปเนฺน กิเจฺจ ชานิสฺสามี’’ติ ตํ นิวเตฺตตฺวา อุนฺทูรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สทฺทมกาสิฯ โสปิ ตเถว ปฎิปชฺชิฯ โพธิสโตฺต ตมฺปิ นิวเตฺตตฺวา สุวสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘สุวา’’ติ ปโกฺกสิฯ โสปิ เอกวจเนเนว รุกฺขคฺคโต โอตริตฺวา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, มยฺหํ ญาตกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา หิมวนฺตปฺปเทสโต ตุมฺหากํ สยํชาตสาลี อาหราเปมี’’ติ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อเตฺถ สติ ชานิสฺสามี’’ติ ตมฺปิ นิวเตฺตตฺวา ‘‘อิทานิ ราชานํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส อากปฺปสมฺปตฺติํ กตฺวา ภิกฺขาจารวเตฺตน นครํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โส มิตฺตทุพฺภี ราชา อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวรคโต มหเนฺตน ปริวาเรน นครํ ปทกฺขิณํ กโรติฯ โส โพธิสตฺตํ ทูรโตว ทิสฺวา ‘‘อยํ โส กูฎตาปโส มม สนฺติเก ภุญฺชิตฺวา วสิตุกาโม อาคโต, ยาว ปริสมเชฺฌ อตฺตโน มยฺหํ กตคุณํ นปฺปกาเสติ, ตาวเทวสฺส สีสํ ฉินฺทาเปสฺสามี’’ติ ปุริเส โอโลเกสิฯ ‘‘กิํ กโรม, เทวา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘เอส กูฎตาปโส มํ กิญฺจิ ยาจิตุกาโม อาคจฺฉติ มเญฺญ, เอตสฺส กาฬกณฺณิตาปสสฺส มํ ปสฺสิตุํ อทตฺวาว เอตํ คเหตฺวา ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา จตุเกฺก จตุเกฺก ปหรนฺตา นครา นิกฺขาเมตฺวา อาฆาตเน สีสมสฺส ฉินฺทิตฺวา สรีรํ สูเล อุตฺตาเสถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา นิรปราธํ มหาสตฺตํ พนฺธิตฺวา จตุเกฺก จตุเกฺก ปหรนฺตา อาฆาตนํ เนตุํ อารภิํสุฯ โพธิสโตฺต ปหฎปหฎฎฺฐาเน ‘‘อมฺม, ตาตา’’ติ อกนฺทิตฺวา นิพฺพิกาโร อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto ‘‘vīmaṃsissāmi tāva ne’’ti paṭhamaṃ sappassa santikaṃ gantvā avidūre ṭhatvā ‘‘dīghā’’ti pakkosi. So ekavacaneneva nikkhamitvā bodhisattaṃ vanditvā ‘‘bhante, imasmiṃ ṭhāne cattālīsa hiraññakoṭiyo, tā sabbāpi nīharitvā gaṇhathā’’ti āha. Bodhisatto ‘‘evamatthu, uppanne kicce jānissāmī’’ti taṃ nivattetvā undūrassa santikaṃ gantvā saddamakāsi. Sopi tatheva paṭipajji. Bodhisatto tampi nivattetvā suvassa santikaṃ gantvā ‘‘suvā’’ti pakkosi. Sopi ekavacaneneva rukkhaggato otaritvā bodhisattaṃ vanditvā ‘‘kiṃ, bhante, mayhaṃ ñātakānaṃ santikaṃ gantvā himavantappadesato tumhākaṃ sayaṃjātasālī āharāpemī’’ti pucchi. Bodhisatto ‘‘atthe sati jānissāmī’’ti tampi nivattetvā ‘‘idāni rājānaṃ pariggaṇhissāmī’’ti gantvā rājuyyāne vasitvā punadivase ākappasampattiṃ katvā bhikkhācāravattena nagaraṃ pāvisi. Tasmiṃ khaṇe so mittadubbhī rājā alaṅkatahatthikkhandhavaragato mahantena parivārena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karoti. So bodhisattaṃ dūratova disvā ‘‘ayaṃ so kūṭatāpaso mama santike bhuñjitvā vasitukāmo āgato, yāva parisamajjhe attano mayhaṃ kataguṇaṃ nappakāseti, tāvadevassa sīsaṃ chindāpessāmī’’ti purise olokesi. ‘‘Kiṃ karoma, devā’’ti ca vutte ‘‘esa kūṭatāpaso maṃ kiñci yācitukāmo āgacchati maññe, etassa kāḷakaṇṇitāpasassa maṃ passituṃ adatvāva etaṃ gahetvā pacchābāhaṃ bandhitvā catukke catukke paharantā nagarā nikkhāmetvā āghātane sīsamassa chinditvā sarīraṃ sūle uttāsethā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā gantvā niraparādhaṃ mahāsattaṃ bandhitvā catukke catukke paharantā āghātanaṃ netuṃ ārabhiṃsu. Bodhisatto pahaṭapahaṭaṭṭhāne ‘‘amma, tātā’’ti akanditvā nibbikāro imaṃ gāthamāha –
๗๓.
73.
‘‘สจฺจํ กิเรวมาหํสุ, นรา เอกจฺจิยา อิธ;
‘‘Saccaṃ kirevamāhaṃsu, narā ekacciyā idha;
กฎฺฐํ นิปฺลวิตํ เสโยฺย, น เตฺวเวกจฺจิโย นโร’’ติฯ
Kaṭṭhaṃ niplavitaṃ seyyo, na tvevekacciyo naro’’ti.
ตตฺถ สจฺจํ กิเรวมาหํสูติ อวิตถเมว กิร เอวํ วทนฺติฯ นรา เอกจฺจิยา อิธาติ อิเธกเจฺจ ปณฺฑิตปุริสาฯ กฎฺฐํ นิปฺลวิตํ เสโยฺยติ นทิยา วุยฺหมานํ สุกฺขทารุํ นิปฺลวิตํ อุตฺตาเรตฺวา ถเล ฐปิตํ เสโยฺย สุนฺทรตโรฯ เอวญฺหิ วทมานา เต ปุริสา สจฺจํ กิร วทนฺติฯ กิํการณา? ตญฺหิ ยาคุภตฺตาทีนํ ปจนตฺถาย, สีตาตุรานํ วิสิพฺพนตฺถาย, อเญฺญสมฺปิ จ ปริสฺสยานํ หรณตฺถาย อุปการํ โหติฯ น เตฺวเวกจฺจิโย นโรติ เอกโจฺจ ปน มิตฺตทุพฺภี อกตญฺญู ปาปปุริโส โอเฆน วุยฺหมาโน หเตฺถน คเหตฺวา อุตฺตาริโต น เตฺวว เสโยฺยฯ ตถา หิ อหํ อิมํ ปาปปุริสํ อุตฺตาเรตฺวา อิมํ อตฺตโน ทุกฺขํ อาหรินฺติฯ เอวํ ปหฎปหฎฎฺฐาเน อิมํ คาถมาหฯ
Tattha saccaṃ kirevamāhaṃsūti avitathameva kira evaṃ vadanti. Narā ekacciyā idhāti idhekacce paṇḍitapurisā. Kaṭṭhaṃ niplavitaṃ seyyoti nadiyā vuyhamānaṃ sukkhadāruṃ niplavitaṃ uttāretvā thale ṭhapitaṃ seyyo sundarataro. Evañhi vadamānā te purisā saccaṃ kira vadanti. Kiṃkāraṇā? Tañhi yāgubhattādīnaṃ pacanatthāya, sītāturānaṃ visibbanatthāya, aññesampi ca parissayānaṃ haraṇatthāya upakāraṃ hoti. Na tvevekacciyo naroti ekacco pana mittadubbhī akataññū pāpapuriso oghena vuyhamāno hatthena gahetvā uttārito na tveva seyyo. Tathā hi ahaṃ imaṃ pāpapurisaṃ uttāretvā imaṃ attano dukkhaṃ āharinti. Evaṃ pahaṭapahaṭaṭṭhāne imaṃ gāthamāha.
ตํ สุตฺวา เย ตตฺถ ปณฺฑิตปุริสา, เต อาหํสุ ‘‘กิํ ปน, โภ ปพฺพชิต, ตยา อมฺหากํ รโญฺญ อตฺถิ โกจิ คุโณ กโต’’ติ? โพธิสโตฺต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘เอวมิมํ มโหฆโต อุตฺตาเรโนฺต อหเมว อตฺตโน ทุกฺขํ อกาสิํ, ‘น วต เม โปราณกปณฺฑิตานํ วจนํ กต’นฺติ อนุสฺสริตฺวา เอวํ วทามี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย นครวาสิโน ‘‘สฺวายํ มิตฺตทุพฺภี ราชา เอวํ คุณสมฺปนฺนสฺส อตฺตโน ชีวิตทายกสฺส คุณมตฺตมฺปิ น ชานาติ, ตํ นิสฺสาย กุโต อมฺหากํ วุฑฺฒิ, คณฺหถ น’’นฺติ กุปิตา สมนฺตโต อุฎฺฐหิตฺวา อุสุสตฺติปาสาณมุคฺคราทิปฺปหาเรหิ หตฺถิกฺขนฺธคตเมว นํ ฆาเตตฺวา ปาเท คเหตฺวา กฑฺฒิตฺวา ปริขาปิเฎฺฐ ฉเฑฺฑตฺวา โพธิสตฺตํ อภิสิญฺจิตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปสุํฯ
Taṃ sutvā ye tattha paṇḍitapurisā, te āhaṃsu ‘‘kiṃ pana, bho pabbajita, tayā amhākaṃ rañño atthi koci guṇo kato’’ti? Bodhisatto taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘evamimaṃ mahoghato uttārento ahameva attano dukkhaṃ akāsiṃ, ‘na vata me porāṇakapaṇḍitānaṃ vacanaṃ kata’nti anussaritvā evaṃ vadāmī’’ti āha. Taṃ sutvā khattiyabrāhmaṇādayo nagaravāsino ‘‘svāyaṃ mittadubbhī rājā evaṃ guṇasampannassa attano jīvitadāyakassa guṇamattampi na jānāti, taṃ nissāya kuto amhākaṃ vuḍḍhi, gaṇhatha na’’nti kupitā samantato uṭṭhahitvā ususattipāsāṇamuggarādippahārehi hatthikkhandhagatameva naṃ ghātetvā pāde gahetvā kaḍḍhitvā parikhāpiṭṭhe chaḍḍetvā bodhisattaṃ abhisiñcitvā rajje patiṭṭhāpesuṃ.
โส ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต ปุน เอกทิวสํ สปฺปาทโย ปริคฺคณฺหิตุกาโม มหเนฺตน ปริวาเรน สปฺปสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘ทีฆา’’ติ ปโกฺกสิฯ สโปฺป อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อิทํ เต สามิ ธนํ คณฺหา’’ติ อาหฯ ราชา จตฺตาลีสหิรญฺญโกฎิธนํ อมเจฺจ ปฎิจฺฉาเปตฺวา อุนฺทูรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อุนฺทูรา’’ติ ปโกฺกสิฯ โสปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ติํสโกฎิธนํ นิยฺยาเทสิฯ ราชา ตมฺปิ อมเจฺจ ปฎิจฺฉาเปตฺวา สุวสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘สุวา’’ติ ปโกฺกสิฯ โสปิ อาคนฺตฺวา ปาเท วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, สามิ, สาลิํ อาหรามี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาลีหิ อเตฺถ สติ อาหริสฺสสิ, เอหิ คจฺฉามา’’ติ สตฺตติยา หิรญฺญโกฎีหิ สทฺธิํ เต ตโยปิ ชเน คาหาเปตฺวา นครํ คนฺตฺวา ปาสาทวเร มหาตลํ อารุยฺหํ ธนํ สโงฺคเปตฺวา สปฺปสฺส วสนตฺถาย สุวณฺณนาฬิํ, อุนฺทูรสฺส ผลิกคุหํ, สุวสฺส สุวณฺณปญฺชรํ การาเปตฺวา สปฺปสฺส จ สุวสฺส จ โภชนตฺถาย เทวสิกํ กญฺจนตฎฺฎเก มธุลาเช, อุนฺทูรสฺส คนฺธสาลิตณฺฑุเล ทาเปสิ, ทานาทีนิ จ ปุญฺญานิ กโรติฯ เอวํ เต จตฺตาโรปิ ชนา ยาวชีวํ สมคฺคา สโมฺมทมานา วิหริตฺวา ชีวิตกฺขเย ยถากมฺมํ อคมํสุฯ
So dhammena rajjaṃ kārento puna ekadivasaṃ sappādayo pariggaṇhitukāmo mahantena parivārena sappassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘dīghā’’ti pakkosi. Sappo āgantvā vanditvā ‘‘idaṃ te sāmi dhanaṃ gaṇhā’’ti āha. Rājā cattālīsahiraññakoṭidhanaṃ amacce paṭicchāpetvā undūrassa santikaṃ gantvā ‘‘undūrā’’ti pakkosi. Sopi āgantvā vanditvā tiṃsakoṭidhanaṃ niyyādesi. Rājā tampi amacce paṭicchāpetvā suvassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘suvā’’ti pakkosi. Sopi āgantvā pāde vanditvā ‘‘kiṃ, sāmi, sāliṃ āharāmī’’ti āha. Rājā ‘‘sālīhi atthe sati āharissasi, ehi gacchāmā’’ti sattatiyā hiraññakoṭīhi saddhiṃ te tayopi jane gāhāpetvā nagaraṃ gantvā pāsādavare mahātalaṃ āruyhaṃ dhanaṃ saṅgopetvā sappassa vasanatthāya suvaṇṇanāḷiṃ, undūrassa phalikaguhaṃ, suvassa suvaṇṇapañjaraṃ kārāpetvā sappassa ca suvassa ca bhojanatthāya devasikaṃ kañcanataṭṭake madhulāje, undūrassa gandhasālitaṇḍule dāpesi, dānādīni ca puññāni karoti. Evaṃ te cattāropi janā yāvajīvaṃ samaggā sammodamānā viharitvā jīvitakkhaye yathākammaṃ agamaṃsu.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, เทวทโตฺต อิทาเนว มยฺหํ วธาย ปริสกฺกติ, ปุเพฺพปิ ปริสกฺกิเยวา’’ติ วตฺวา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ทุฎฺฐราชา เทวทโตฺต อโหสิ, สโปฺป สาริปุโตฺต, อุนฺทูโร โมคฺคลฺลาโน, สุโว อานโนฺท, ปจฺฉา รชฺชปฺปโตฺต ธมฺมราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘na, bhikkhave, devadatto idāneva mayhaṃ vadhāya parisakkati, pubbepi parisakkiyevā’’ti vatvā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā duṭṭharājā devadatto ahosi, sappo sāriputto, undūro moggallāno, suvo ānando, pacchā rajjappatto dhammarājā pana ahameva ahosi’’nti.
สจฺจํกิรชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Saccaṃkirajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๗๓. สจฺจํกิรชาตกํ • 73. Saccaṃkirajātakaṃ