Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๙๔] ๑๑. สาธินชาตกวณฺณนา
[494] 11. Sādhinajātakavaṇṇanā
อพฺภุโต วต โลกสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถิเก อุปาสเก อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา ‘‘อุปาสกา โปราณกปณฺฑิตา อตฺตโน อุโปสถกมฺมํ นิสฺสาย มนุสฺสสรีเรเนว เทวโลกํ คนฺตฺวา จิรํ วสิํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Abbhutovata lokasminti idaṃ satthā jetavane viharanto uposathike upāsake ārabbha kathesi. Tadā hi satthā ‘‘upāsakā porāṇakapaṇḍitā attano uposathakammaṃ nissāya manussasarīreneva devalokaṃ gantvā ciraṃ vasiṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต มิถิลายํ สาธิโน นาม ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ โส จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเร จาติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตสิ, เทวสิกํ ฉ สตสหสฺสานิ วยกรณํ คจฺฉนฺติ, ปญฺจ สีลานิ รกฺขติ, อุโปสถํ อุปวสติฯ รฎฺฐวาสิโนปิ ตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา มตมตา เทวนคเรเยว นิพฺพตฺติํสุฯ สุธมฺมเทวสภํ ปูเรตฺวา นิสินฺนา เทวา รโญฺญ สีลาทิคุณเมว วณฺณยนฺติฯ ตํ สุตฺวา เสสเทวาปิ ราชานํ ทฎฺฐุกามา อเหสุํฯ สโกฺก เทวราชา เตสํ มนํ วิทิตฺวา อาห – ‘‘สาธินราชานํ ทฎฺฐุกามตฺถา’’ติฯ ‘‘อาม เทวา’’ติฯ โส มาตลิํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ ตฺวํ เวชยนฺตรถํ โยเชตฺวา สาธินราชานํ อาเนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รถํ โยเชตฺวา วิเทหรฎฺฐํ อคมาสิ, ตทา ปุณฺณมทิวโส โหติฯ มาตลิ มนุสฺสานํ สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา ฆรทฺวาเรสุ สุขกถาย นิสินฺนกาเล จนฺทมณฺฑเลน สทฺธิํ รถํ เปเสสิฯ มนุสฺสา ‘‘เทฺว จนฺทา อุฎฺฐิตา’’ติ วทนฺตา ปุน จนฺทมณฺฑลํ โอหาย รถํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นายํ จโนฺท, รโถ เอโส, เทวปุโตฺต ปญฺญายติ, กเสฺสส เอตํ มโนมยสินฺธวยุตฺตํ ทิพฺพรถํ อาเนติ, น อญฺญสฺส, อมฺหากํ รโญฺญ ภวิสฺสติ, ราชา หิ โน ธมฺมิโก ธมฺมราชา’’ติ โสมนสฺสชาตา หุตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ฐิตา ปฐมํ คาถมาหํสุ –
Atīte mithilāyaṃ sādhino nāma rājā dhammena rajjaṃ kāresi. So catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāre cāti cha dānasālāyo kāretvā sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā mahādānaṃ pavattesi, devasikaṃ cha satasahassāni vayakaraṇaṃ gacchanti, pañca sīlāni rakkhati, uposathaṃ upavasati. Raṭṭhavāsinopi tassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā matamatā devanagareyeva nibbattiṃsu. Sudhammadevasabhaṃ pūretvā nisinnā devā rañño sīlādiguṇameva vaṇṇayanti. Taṃ sutvā sesadevāpi rājānaṃ daṭṭhukāmā ahesuṃ. Sakko devarājā tesaṃ manaṃ viditvā āha – ‘‘sādhinarājānaṃ daṭṭhukāmatthā’’ti. ‘‘Āma devā’’ti. So mātaliṃ āṇāpesi ‘‘gaccha tvaṃ vejayantarathaṃ yojetvā sādhinarājānaṃ ānehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rathaṃ yojetvā videharaṭṭhaṃ agamāsi, tadā puṇṇamadivaso hoti. Mātali manussānaṃ sāyamāsaṃ bhuñjitvā gharadvāresu sukhakathāya nisinnakāle candamaṇḍalena saddhiṃ rathaṃ pesesi. Manussā ‘‘dve candā uṭṭhitā’’ti vadantā puna candamaṇḍalaṃ ohāya rathaṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘nāyaṃ cando, ratho eso, devaputto paññāyati, kassesa etaṃ manomayasindhavayuttaṃ dibbarathaṃ āneti, na aññassa, amhākaṃ rañño bhavissati, rājā hi no dhammiko dhammarājā’’ti somanassajātā hutvā añjaliṃ paggayha ṭhitā paṭhamaṃ gāthamāhaṃsu –
๒๐๒.
202.
‘‘อพฺภุโต วต โลกสฺมิํ, อุปฺปชฺชิ โลมหํสโน;
‘‘Abbhuto vata lokasmiṃ, uppajji lomahaṃsano;
ทิโพฺพ รโถ ปาตุรหุ, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน’’ติฯ
Dibbo ratho pāturahu, vedehassa yasassino’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อพฺภุโต วเตส อมฺหากํ ราชา, โลกสฺมิํ โลมหํสโน อุปฺปชฺชิ, ยสฺส ทิโพฺพ รโถ ปาตุรโหสิ เวเทหสฺส ยสสฺสิโนติฯ
Tassattho – abbhuto vatesa amhākaṃ rājā, lokasmiṃ lomahaṃsano uppajji, yassa dibbo ratho pāturahosi vedehassa yasassinoti.
มาตลิปิเอ ตํ รถํ อาเนตฺวา มนุเสฺสสุ คนฺธมาลาทีหิ ปูเชเนฺตสุ ติกฺขตฺตุํ นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ คนฺตฺวา รถํ นิวเตฺตตฺวา ปจฺฉาภาเคน สีหปญฺชรอุมฺมาเร ฐเปตฺวา อาโรหณสชฺชํ กตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิวสํ ราชาปิ ทานสาลาโย โอโลเกตฺวา ‘‘อิมินา นิยาเมน ทานํ เทถา’’ติ อาณาเปตฺวา อุโปสถํ สมาทิยิตฺวา ทิวสํ วีตินาเมตฺวา อมจฺจคณปริวุโต อลงฺกตมหาตเล ปาจีนสีหปญฺชราภิมุโข ธมฺมยุตฺตํ กเถโนฺต นิสิโนฺน โหติฯ อถ นํ มาตลิ รถาภิรุหนตฺถํ นิมเนฺตตฺวา อาทาย อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมา คาถา อภาสิ –
Mātalipie taṃ rathaṃ ānetvā manussesu gandhamālādīhi pūjentesu tikkhattuṃ nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā rañño nivesanadvāraṃ gantvā rathaṃ nivattetvā pacchābhāgena sīhapañjaraummāre ṭhapetvā ārohaṇasajjaṃ katvā aṭṭhāsi. Taṃ divasaṃ rājāpi dānasālāyo oloketvā ‘‘iminā niyāmena dānaṃ dethā’’ti āṇāpetvā uposathaṃ samādiyitvā divasaṃ vītināmetvā amaccagaṇaparivuto alaṅkatamahātale pācīnasīhapañjarābhimukho dhammayuttaṃ kathento nisinno hoti. Atha naṃ mātali rathābhiruhanatthaṃ nimantetvā ādāya agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imā gāthā abhāsi –
๒๐๓.
203.
‘‘เทวปุโตฺต มหิทฺธิโก, มาตลิ เทวสารถิ;
‘‘Devaputto mahiddhiko, mātali devasārathi;
นิมนฺตยิตฺถ ราชานํ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํฯ
Nimantayittha rājānaṃ, vedehaṃ mithilaggahaṃ.
๒๐๔.
204.
‘‘เอหิมํ รถมารุยฺห, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;
‘‘Ehimaṃ rathamāruyha, rājaseṭṭha disampati;
เทวา ทสฺสนกามา เต, ตาวติํสา สอินฺทกา;
Devā dassanakāmā te, tāvatiṃsā saindakā;
สรมานา หิ เต เทวา, สุธมฺมายํ สมจฺฉเรฯ
Saramānā hi te devā, sudhammāyaṃ samacchare.
๒๐๕.
205.
‘‘ตโต จ ราชา สาธิโน, เวเทโห มิถิลคฺคโห;
‘‘Tato ca rājā sādhino, vedeho mithilaggaho;
สหสฺสยุตฺตมารุยฺห, อคา เทวาน สนฺติเก;
Sahassayuttamāruyha, agā devāna santike;
ตํ เทวา ปฎินนฺทิํสุ, ทิสฺวา ราชานมาคตํฯ
Taṃ devā paṭinandiṃsu, disvā rājānamāgataṃ.
๒๐๖.
206.
‘‘สฺวาคตํ เต มหาราช, อโถ เต อทุราคตํ;
‘‘Svāgataṃ te mahārāja, atho te adurāgataṃ;
นิสีท ทานิ ราชีสิ, เทวราชสฺส สนฺติเกฯ
Nisīda dāni rājīsi, devarājassa santike.
๒๐๗.
207.
‘‘สโกฺกปิ ปฎินนฺทิตฺถ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํ;
‘‘Sakkopi paṭinandittha, vedehaṃ mithilaggahaṃ;
นิมนฺตยิตฺถ กาเมหิ, อาสเนน จ วาสโวฯ
Nimantayittha kāmehi, āsanena ca vāsavo.
๒๐๘.
208.
‘‘สาธุ โขสิ อนุปฺปโตฺต, อาวาสํ วสวตฺตินํ;
‘‘Sādhu khosi anuppatto, āvāsaṃ vasavattinaṃ;
วส เทเวสุ ราชีสิ, สพฺพกามสมิทฺธิสุ;
Vasa devesu rājīsi, sabbakāmasamiddhisu;
ตาวติํเสสุ เทเวสุ, ภุญฺช กาเม อมานุเส’’ติฯ
Tāvatiṃsesu devesu, bhuñja kāme amānuse’’ti.
ตตฺถ สมจฺฉเรติ อจฺฉนฺติฯ อคา เทวาน สนฺติเกติ เทวานํ สนฺติกํ อคมาสิฯ ตสฺมิญฺหิ รถํ อภิรุหิตฺวา ฐิเต รโถ อากาสํ ปกฺขนฺทิ, โส มหาชนสฺส โอโลเกนฺตเสฺสว อนฺตรธายิฯ มาตลิ ราชานํ เทวโลกํ เนสิ ฯ ตํ ทิสฺวา เทวตา จ สโกฺก จ หฎฺฐตุฎฺฐา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฎิสนฺถารํ กริํสุฯ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ เทวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปฎินนฺทิํสูติ ปุนปฺปุนํ นนฺทิํสุฯ อาสเนน จาติ ราชานํ อาลิงฺคิตฺวา ‘‘อิธ นิสีทา’’ติ อตฺตโน ปณฺฑุกมฺพลสิลาสเนน จ กาเมหิ จ นิมเนฺตสิ, อุปฑฺฒรชฺชํ ทตฺวา เอกาสเน นิสีทาเปสีติ อโตฺถฯ
Tattha samacchareti acchanti. Agā devāna santiketi devānaṃ santikaṃ agamāsi. Tasmiñhi rathaṃ abhiruhitvā ṭhite ratho ākāsaṃ pakkhandi, so mahājanassa olokentasseva antaradhāyi. Mātali rājānaṃ devalokaṃ nesi . Taṃ disvā devatā ca sakko ca haṭṭhatuṭṭhā paccuggamanaṃ katvā paṭisanthāraṃ kariṃsu. Tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘taṃ devā’’tiādi vuttaṃ. Tattha paṭinandiṃsūti punappunaṃ nandiṃsu. Āsanena cāti rājānaṃ āliṅgitvā ‘‘idha nisīdā’’ti attano paṇḍukambalasilāsanena ca kāmehi ca nimantesi, upaḍḍharajjaṃ datvā ekāsane nisīdāpesīti attho.
ตตฺถ สเกฺกน เทวรญฺญา ทสโยชนสหสฺสํ เทวนครํ อฑฺฒติยา จ อจฺฉราโกฎิโย เวชยนฺตปาสาทญฺจ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา ทินฺนํ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส มนุสฺสคณนาย สตฺต วสฺสสตานิ อติกฺกนฺตานิฯ เตนตฺตภาเวน เทวโลเก วสนกํ ปุญฺญํ ขีณํ, อนภิรติ อุปฺปนฺนา, ตสฺมา สเกฺกน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต คาถมาห –
Tattha sakkena devaraññā dasayojanasahassaṃ devanagaraṃ aḍḍhatiyā ca accharākoṭiyo vejayantapāsādañca majjhe bhinditvā dinnaṃ sampattiṃ anubhavantassa manussagaṇanāya satta vassasatāni atikkantāni. Tenattabhāvena devaloke vasanakaṃ puññaṃ khīṇaṃ, anabhirati uppannā, tasmā sakkena saddhiṃ sallapanto gāthamāha –
๒๐๙.
209.
‘‘อหํ ปุเร สคฺคคโต รมามิ, นเจฺจหิ คีเตหิ จ วาทิเตหิ;
‘‘Ahaṃ pure saggagato ramāmi, naccehi gītehi ca vāditehi;
โส ทานิ อชฺช น รมามิ สเคฺค, อายุํ นุ ขีโณ มรณํ นุ สนฺติเก;
So dāni ajja na ramāmi sagge, āyuṃ nu khīṇo maraṇaṃ nu santike;
อุทาหุ มูโฬฺหสฺมิ ชนินฺทเสฎฺฐา’’ติฯ
Udāhu mūḷhosmi janindaseṭṭhā’’ti.
ตตฺถ อายุํ นุ ขีโณติ กิํ นุ มม สรเสน ชีวิตินฺทฺริยํ ขีณํ, อุทาหุ อุปเจฺฉทกกมฺมวเสน มรณํ สนฺติเก ชาตนฺติ ปุจฺฉติฯ ชนินฺทเสฎฺฐาติ ชนินฺทานํ เทวานํ เสฎฺฐฯ
Tattha āyuṃ nu khīṇoti kiṃ nu mama sarasena jīvitindriyaṃ khīṇaṃ, udāhu upacchedakakammavasena maraṇaṃ santike jātanti pucchati. Janindaseṭṭhāti janindānaṃ devānaṃ seṭṭha.
อถ นํ สโกฺก อาห –
Atha naṃ sakko āha –
๒๑๐.
210.
‘‘น ตายุ ขีณํ มรณญฺจ ทูเร, น จาปิ มูโฬฺห นรวีรเสฎฺฐ;
‘‘Na tāyu khīṇaṃ maraṇañca dūre, na cāpi mūḷho naravīraseṭṭha;
ตุยฺหญฺจ ปุญฺญานิ ปริตฺตกานิ, เยสํ วิปากํ อิธ เวทยิโตฺถฯ
Tuyhañca puññāni parittakāni, yesaṃ vipākaṃ idha vedayittho.
๒๑๑.
211.
‘‘วส เทวานุภาเวน, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;
‘‘Vasa devānubhāvena, rājaseṭṭha disampati;
ตาวติํเสสุ เทเวสุ, ภุญฺช กาเม อมานุเส’’ติฯ
Tāvatiṃsesu devesu, bhuñja kāme amānuse’’ti.
ตตฺถ ‘‘ปริตฺตกานี’’ติ อิทํ เตน อตฺตภาเวน เทวโลเก วิปากทายกานิ ปุญฺญานิ สนฺธาย วุตฺตํ, อิตรานิ ปนสฺส ปุญฺญานิ ปถวิยํ ปํสุ วิย อปฺปมาณานิฯ วส เทวานุภาเวนาติ อหํ เต อตฺตโน ปุญฺญานิ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา ทสฺสามิ, มมานุภาเวน วสาติ ตํ สมสฺสาเสโนฺต อาหฯ
Tattha ‘‘parittakānī’’ti idaṃ tena attabhāvena devaloke vipākadāyakāni puññāni sandhāya vuttaṃ, itarāni panassa puññāni pathaviyaṃ paṃsu viya appamāṇāni. Vasa devānubhāvenāti ahaṃ te attano puññāni majjhe bhinditvā dassāmi, mamānubhāvena vasāti taṃ samassāsento āha.
อถ นํ ปฎิกฺขิปโนฺต มหาสโตฺต อาห –
Atha naṃ paṭikkhipanto mahāsatto āha –
๒๑๒.
212.
‘‘ยถา ยาจิตกํ ยานํ, ยถา ยาจิตกํ ธนํ;
‘‘Yathā yācitakaṃ yānaṃ, yathā yācitakaṃ dhanaṃ;
เอวํสมฺปทเมเวตํ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยาฯ
Evaṃsampadamevetaṃ, yaṃ parato dānapaccayā.
๒๑๓.
213.
‘‘น จาหเมตมิจฺฉามิ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยา;
‘‘Na cāhametamicchāmi, yaṃ parato dānapaccayā;
สยํกตานิ ปุญฺญานิ, ตํ เม อาเวณิกํ ธนํฯ
Sayaṃkatāni puññāni, taṃ me āveṇikaṃ dhanaṃ.
๒๑๔.
214.
‘‘โสหํ คนฺตฺวา มนุเสฺสสุ, กาหามิ กุสลํ พหุํ;
‘‘Sohaṃ gantvā manussesu, kāhāmi kusalaṃ bahuṃ;
ทาเนน สมจริยาย, สํยเมน ทเมน จ;
Dānena samacariyāya, saṃyamena damena ca;
ยํ กตฺวา สุขิโต โหติ, น จ ปจฺฉานุตปฺปตี’’ติฯ
Yaṃ katvā sukhito hoti, na ca pacchānutappatī’’ti.
ตตฺถ ยํ ปรโต ทานปจฺจยาติ ยํ ปเรน ทินฺนตฺตา ลพฺภติ, ตํ ยาจิตกสทิสเมว โหติฯ ยาจิตกญฺหิ ตุฎฺฐกาเล เทนฺติ, อตุฎฺฐกาเล อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหนฺตีติ วทติฯ สมจริยายาติ กายาทีหิ ปาปสฺส อกรเณนฯ สํยเมนาติ สีลสํยเมนฯ ทเมนาติ อินฺทฺริยทมเนนฯ ยํ กตฺวาติ ยํ กริตฺวา สุขิโต เจว โหติ น จ ปจฺฉานุตปฺปติ, ตถารูปเมว กมฺมํ กริสฺสามีติฯ
Tattha yaṃ parato dānapaccayāti yaṃ parena dinnattā labbhati, taṃ yācitakasadisameva hoti. Yācitakañhi tuṭṭhakāle denti, atuṭṭhakāle acchinditvā gaṇhantīti vadati. Samacariyāyāti kāyādīhi pāpassa akaraṇena. Saṃyamenāti sīlasaṃyamena. Damenāti indriyadamanena. Yaṃ katvāti yaṃ karitvā sukhito ceva hoti na ca pacchānutappati, tathārūpameva kammaṃ karissāmīti.
อถสฺส วจนํ สุตฺวา สโกฺก มาตลิํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ, ตาต, สาธินราชานํ มิถิลํ เนตฺวา อุยฺยาเน โอตาเรหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ ราชา อุยฺยาเน จงฺกมติฯ อถ นํ อุยฺยานปาโล ทิสฺวา ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา นารทรโญฺญ อาโรเจสิฯ โส รโญฺญ อาคตภาวํ สุตฺวา ‘‘ตฺวํ ปุรโต คนฺตฺวา อุยฺยานํ สเชฺชตฺวา ตสฺส จ มยฺหญฺจ เทฺว อาสนานิ ปญฺญาเปหี’’ติ อุยฺยานปาลํ อุโยฺยเชสิฯ โส ตถา อกาสิฯ อถ นํ ราชา ปุจฺฉิ ‘‘กสฺส เทฺว อาสนานิ ปญฺญาเปสี’’ติ? ‘‘เอกํ ตุมฺหากํ, เอกํ อมฺหากํ รโญฺญ’’ติฯ อถ นํ ราชา ‘‘โก อโญฺญ สโตฺต มม สนฺติเก อาสเน นิสีทิสฺสตี’’ติ วตฺวา เอกสฺมิํ นิสีทิตฺวา เอกสฺมิํ ปาเท ฐเปสิฯ นารทราชา อาคนฺตฺวา ตสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ โส กิรสฺส สตฺตโม ปนตฺตาฯ ตทา กิร วสฺสสตายุกกาโลว โหติฯ มหาสโตฺต ปน อตฺตโน ปุญฺญพเลน เอตฺตกํ กาลํ วีตินาเมสิฯ โส นารทํ หเตฺถ คเหตฺวา อุยฺยาเน วิจรโนฺต ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Athassa vacanaṃ sutvā sakko mātaliṃ āṇāpesi ‘‘gaccha, tāta, sādhinarājānaṃ mithilaṃ netvā uyyāne otārehī’’ti. So tathā akāsi. Rājā uyyāne caṅkamati. Atha naṃ uyyānapālo disvā pucchitvā gantvā nāradarañño ārocesi. So rañño āgatabhāvaṃ sutvā ‘‘tvaṃ purato gantvā uyyānaṃ sajjetvā tassa ca mayhañca dve āsanāni paññāpehī’’ti uyyānapālaṃ uyyojesi. So tathā akāsi. Atha naṃ rājā pucchi ‘‘kassa dve āsanāni paññāpesī’’ti? ‘‘Ekaṃ tumhākaṃ, ekaṃ amhākaṃ rañño’’ti. Atha naṃ rājā ‘‘ko añño satto mama santike āsane nisīdissatī’’ti vatvā ekasmiṃ nisīditvā ekasmiṃ pāde ṭhapesi. Nāradarājā āgantvā tassa pāde vanditvā ekamantaṃ nisīdi. So kirassa sattamo panattā. Tadā kira vassasatāyukakālova hoti. Mahāsatto pana attano puññabalena ettakaṃ kālaṃ vītināmesi. So nāradaṃ hatthe gahetvā uyyāne vicaranto tisso gāthā abhāsi –
๒๑๕.
215.
‘‘อิมานิ ตานิ เขตฺตานิ, อิมํ นิกฺขํ สุกุณฺฑลํ;
‘‘Imāni tāni khettāni, imaṃ nikkhaṃ sukuṇḍalaṃ;
อิมา ตา หริตานูปา, อิมา นโชฺช สวนฺติโยฯ
Imā tā haritānūpā, imā najjo savantiyo.
๒๑๖.
216.
‘‘อิมา ตา โปกฺขรณี รมฺมา, จกฺกวากปกูชิตา;
‘‘Imā tā pokkharaṇī rammā, cakkavākapakūjitā;
มนฺทาลเกหิ สญฺฉนฺนา, ปทุมุปฺปลเกหิ จ;
Mandālakehi sañchannā, padumuppalakehi ca;
ยสฺสิมานิ มมายิํสุ, กิํ นุ เต ทิสตํ คตาฯ
Yassimāni mamāyiṃsu, kiṃ nu te disataṃ gatā.
๒๑๗.
217.
‘‘ตานีธ เขตฺตานิ โส ภูมิภาโค, เตเยว อารามวนูปจารา;
‘‘Tānīdha khettāni so bhūmibhāgo, teyeva ārāmavanūpacārā;
ตเมว มยฺหํ ชนตํ อปสฺสโต, สุญฺญํว เม นารท ขายเต ทิสา’’ติฯ
Tameva mayhaṃ janataṃ apassato, suññaṃva me nārada khāyate disā’’ti.
ตตฺถ เขตฺตานีติ ภูมิภาเค สนฺธายาหฯ อิมํ นิกฺขนฺติ อิมํ ตาทิสเมว อุทกนิทฺธมนํฯ สุกุณฺฑลนฺติ โสภเนน มุสลปเวสนกุณฺฑเลน สมนฺนาคตํฯ หริตานูปาติ อุทกนิทฺธมนสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ หริตติณสญฺฉนฺนา อนูปภูมิโยฯ ยสฺสิมานิ มมายิํสูติ ตาต นารท, เย มม อุปฎฺฐากา จ โอโรธา จ อิมสฺมิํ อุยฺยาเน มหเนฺตน ยเสน มยา สทฺธิํ วิจรนฺตา อิมานิ ฐานานิ มมายิํสุ ปิยายิํสุ, กตรํ นุ เต ทิสตํ คตา, กตฺถ เต เปสิตาฯ ตานีธ เขตฺตานีติ อิมสฺมิํ อุยฺยาเน ตาเนว เอตานิ อุปโรปนกวิรุหนฎฺฐานานิฯ เตเยว อารามวนูปจาราติ อิเม เตเยว อารามวนูปจารา, วิหารภูมิโยติ อโตฺถฯ
Tattha khettānīti bhūmibhāge sandhāyāha. Imaṃ nikkhanti imaṃ tādisameva udakaniddhamanaṃ. Sukuṇḍalanti sobhanena musalapavesanakuṇḍalena samannāgataṃ. Haritānūpāti udakaniddhamanassa ubhosu passesu haritatiṇasañchannā anūpabhūmiyo. Yassimāni mamāyiṃsūti tāta nārada, ye mama upaṭṭhākā ca orodhā ca imasmiṃ uyyāne mahantena yasena mayā saddhiṃ vicarantā imāni ṭhānāni mamāyiṃsu piyāyiṃsu, kataraṃ nu te disataṃ gatā, kattha te pesitā. Tānīdha khettānīti imasmiṃ uyyāne tāneva etāni uparopanakaviruhanaṭṭhānāni. Teyeva ārāmavanūpacārāti ime teyeva ārāmavanūpacārā, vihārabhūmiyoti attho.
อถ นํ นารโท อาห – ‘‘เทว, ตุมฺหากํ เทวโลกคตานํ อิทานิ สตฺต วสฺสสตานิ, อหํ โว สตฺตโม ปนตฺตา, ตุมฺหากํ อุปฎฺฐากา จ โอโรธา จ มรณมุขํ ปตฺตา, อิทํ โว อตฺตโน สนฺตกํ รชฺชํ, อนุภวถ น’’นฺติฯ ราชา ‘‘ตาต นารท, นาหํ อิธาคจฺฉโนฺต รชฺชตฺถาย อาคโต, ปุญฺญกรณตฺถายมฺหิ อาคโต, อหํ ปุญฺญเมว กริสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถา อาห –
Atha naṃ nārado āha – ‘‘deva, tumhākaṃ devalokagatānaṃ idāni satta vassasatāni, ahaṃ vo sattamo panattā, tumhākaṃ upaṭṭhākā ca orodhā ca maraṇamukhaṃ pattā, idaṃ vo attano santakaṃ rajjaṃ, anubhavatha na’’nti. Rājā ‘‘tāta nārada, nāhaṃ idhāgacchanto rajjatthāya āgato, puññakaraṇatthāyamhi āgato, ahaṃ puññameva karissāmī’’ti vatvā gāthā āha –
๒๑๘.
218.
‘‘ทิฎฺฐา มยา วิมานานิ, โอภาเสนฺตา จตุทฺทิสา;
‘‘Diṭṭhā mayā vimānāni, obhāsentā catuddisā;
สมฺมุขา เทวราชสฺส, ติทสานญฺจ สมฺมุขาฯ
Sammukhā devarājassa, tidasānañca sammukhā.
๒๑๙.
219.
‘‘วุตฺถํ เม ภวนํ ทิพฺยํ, ภุตฺตา กามา อมานุสา;
‘‘Vutthaṃ me bhavanaṃ dibyaṃ, bhuttā kāmā amānusā;
ตาวติํเสสุ เทเวสุ, สพฺพกามสมิทฺธิสุฯ
Tāvatiṃsesu devesu, sabbakāmasamiddhisu.
๒๒๐.
220.
‘‘โสหํ เอตาทิสํ หิตฺวา, ปุญฺญายมฺหิ อิธาคโต;
‘‘Sohaṃ etādisaṃ hitvā, puññāyamhi idhāgato;
ธมฺมเมว จริสฺสามิ, นาหํ รเชฺชน อตฺถิโกฯ
Dhammameva carissāmi, nāhaṃ rajjena atthiko.
๒๒๑.
221.
‘‘อทณฺฑาวจรํ มคฺคํ, สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ;
‘‘Adaṇḍāvacaraṃ maggaṃ, sammāsambuddhadesitaṃ;
ตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิสฺสํ, เยน คจฺฉนฺติ สุพฺพตา’’ติฯ
Taṃ maggaṃ paṭipajjissaṃ, yena gacchanti subbatā’’ti.
ตตฺถ วุตฺถํ เม ภวนํ ทิพฺยนฺติ เวชยนฺตํ สนฺธาย อาหฯ โสหํ เอตาทิสนฺติ ตาต นารท, โสหํ พุทฺธญาเณน อปริจฺฉินฺทนียํ เอวรูปํ กามคุณสมฺปตฺติํ ปหาย ปุญฺญกรณตฺถาย อิธาคโตฯ อทณฺฑาวจรนฺติ อทเณฺฑหิ นิกฺขิตฺตทณฺฑหเตฺถหิ อวจริตพฺพํ สมฺมาทิฎฺฐิปุเรกฺขารํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํฯ สุพฺพตาติ เยน มเคฺคน สุพฺพตา สพฺพญฺญุพุทฺธา คจฺฉนฺติ, อหมฺปิ อคตปุพฺพํ ทิสํ คนฺตุํ โพธิตเล นิสีทิตฺวา ตเมว มคฺคํ ปฎิปชฺชิสฺสามีติฯ
Tattha vutthaṃ me bhavanaṃ dibyanti vejayantaṃ sandhāya āha. Sohaṃ etādisanti tāta nārada, sohaṃ buddhañāṇena aparicchindanīyaṃ evarūpaṃ kāmaguṇasampattiṃ pahāya puññakaraṇatthāya idhāgato. Adaṇḍāvacaranti adaṇḍehi nikkhittadaṇḍahatthehi avacaritabbaṃ sammādiṭṭhipurekkhāraṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ. Subbatāti yena maggena subbatā sabbaññubuddhā gacchanti, ahampi agatapubbaṃ disaṃ gantuṃ bodhitale nisīditvā tameva maggaṃ paṭipajjissāmīti.
เอวํ โพธิสโตฺต อิมา คาถาโย สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สงฺขิปิตฺวา กเถสิฯ นารโท ปุนปิ อาห – ‘‘รชฺชํ, เทว, อนุสาสา’’ติฯ ‘‘ตาต, น เม รเชฺชนโตฺถ, สตฺต วสฺสสตานิ วิคตํ ทานํ สตฺตาเหเนว ทาตุกามมฺหี’’ติฯ นารโท ‘‘สาธู’’ติ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มหาทานํ ปฎิยาเทสิฯ ราชา สตฺตาหํ ทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเนเยว นิพฺพตฺติฯ
Evaṃ bodhisatto imā gāthāyo sabbaññutaññāṇena saṅkhipitvā kathesi. Nārado punapi āha – ‘‘rajjaṃ, deva, anusāsā’’ti. ‘‘Tāta, na me rajjenattho, satta vassasatāni vigataṃ dānaṃ sattāheneva dātukāmamhī’’ti. Nārado ‘‘sādhū’’ti tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā mahādānaṃ paṭiyādesi. Rājā sattāhaṃ dānaṃ datvā sattame divase kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavaneyeva nibbatti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ วสิตพฺพยุตฺตกํ อุโปสถกมฺมํ นามา’’ติ ทเสฺสตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุโปสถิเกสุ อุปาสเกสุ เกจิ โสตาปตฺติผเล, เกจิ สกทาคามิผเล, เกจิ อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ตทา นารทราชา สาริปุโตฺต อโหสิ, มาตลิ อานโนฺท, สโกฺก อนุรุโทฺธ, สาธินราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ vasitabbayuttakaṃ uposathakammaṃ nāmā’’ti dassetvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne uposathikesu upāsakesu keci sotāpattiphale, keci sakadāgāmiphale, keci anāgāmiphale patiṭṭhahiṃsu. Tadā nāradarājā sāriputto ahosi, mātali ānando, sakko anuruddho, sādhinarājā pana ahameva ahosinti.
สาธินชาตกวณฺณนา เอกาทสมาฯ
Sādhinajātakavaṇṇanā ekādasamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๔. สาธินชาตกํ • 494. Sādhinajātakaṃ