Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เทฺวมาติกาปาฬิ • Dvemātikāpāḷi

    ๘. สหธมฺมิกวโคฺค

    8. Sahadhammikavaggo

    ๑. สหธมฺมิกสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Sahadhammikasikkhāpadavaṇṇanā

    สหธมฺมิกวคฺคสฺส ปฐเม สหธมฺมิกํ วุจฺจมาโนติ อิมสฺสโตฺถ ทุพฺพจสิกฺขาปเท วุโตฺตฯ เอตสฺมิํ สิกฺขาปเทติ เอตสฺมิํ สิกฺขาปเท ยํ วุตฺตํ, ตํ น ตาว สิกฺขิสฺสามีติ อโตฺถฯ ปาจิตฺติยนฺติ เอตฺถ ปน อนาทริยภยา เลเสน เอวํ วทนฺตสฺส วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยํ เวทิตพฺพํฯ สิกฺขมาเนนาติ โอวาทํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สิกฺขิตุกาเมเนว หุตฺวาฯ อญฺญาตพฺพนฺติ อาชานิตพฺพํฯ ปริปุจฺฉิตพฺพนฺติ ‘‘อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ ปริปุจฺฉิตพฺพํฯ ปริปญฺหิตพฺพนฺติ จิเนฺตตพฺพํ ตุลยิตพฺพํฯ

    Sahadhammikavaggassa paṭhame sahadhammikaṃ vuccamānoti imassattho dubbacasikkhāpade vutto. Etasmiṃ sikkhāpadeti etasmiṃ sikkhāpade yaṃ vuttaṃ, taṃ na tāva sikkhissāmīti attho. Pācittiyanti ettha pana anādariyabhayā lesena evaṃ vadantassa vācāya vācāya pācittiyaṃ veditabbaṃ. Sikkhamānenāti ovādaṃ sirasā sampaṭicchitvā sikkhitukāmeneva hutvā. Aññātabbanti ājānitabbaṃ. Paripucchitabbanti ‘‘imassa ko attho’’ti paripucchitabbaṃ. Paripañhitabbanti cintetabbaṃ tulayitabbaṃ.

    โกสมฺพิยํ ฉนฺนเตฺถรํ อารพฺภ เอวํ ภณนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ , ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, อุโภหิปิ ‘‘อิทํ น สเลฺลขายา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๓๖) นเยเนว อปฺปญฺญเตฺตน วุจฺจมานสฺสาปิ เอวํ วทโต ทุกฺกฎเมวฯ ‘‘ชานิสฺสามิ สิกฺขิสฺสามี’’ติ ภณนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนสฺส ปญฺญเตฺตน วจนํ, อสิกฺขิตุกามตาย เอวํ วจนนฺติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Kosambiyaṃ channattheraṃ ārabbha evaṃ bhaṇanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ , tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, ubhohipi ‘‘idaṃ na sallekhāyā’’tiādinā (pāci. 436) nayeneva appaññattena vuccamānassāpi evaṃ vadato dukkaṭameva. ‘‘Jānissāmi sikkhissāmī’’ti bhaṇantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannassa paññattena vacanaṃ, asikkhitukāmatāya evaṃ vacananti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    สหธมฺมิกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sahadhammikasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. วิเลขนสิกฺขาปทวณฺณนา

    2. Vilekhanasikkhāpadavaṇṇanā

    ทุติเย อุทฺทิสฺสมาเนติ อาจริเยน อเนฺตวาสิกสฺส วุจฺจมาเน วา สชฺฌายวเสน ปริวตฺติยมาเน วาฯ ขุทฺทานุขุทฺทเกหีติ ขุทฺทเกหิ จ อนุขุทฺทเกหิ จฯ ยาวเทวาติ เตสํ สํวตฺตนมริยาทปริเจฺฉทวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอตานิ หิ เย อุทฺทิสนฺติ วา อุทฺทิสาเปนฺติ วา สชฺฌายนฺติ วา, เตสํ ตาว สํวตฺตนฺติ, ยาว ‘‘กปฺปติ นุ โข, น กปฺปติ นุ โข’’ติ กุกฺกุจฺจวิปฺปฎิสาโร, วิเหสา, วิจิกิจฺฉา มโนวิเลขา จ อุปฺปชฺชนฺติเยวฯ อถ วา ยาวเทวาติ อติสยววตฺถาปนํฯ ตสฺส ‘สํวตฺตนฺตี’ติอิมินา สมฺพโนฺธ, กุกฺกุจฺจาย วิเหสาย วิเลขาย อติวิย สํวตฺตนฺติเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ สิกฺขาปทวิวณฺณเกติ เอวํ สิกฺขาปทานํ วิวณฺณเก ครหเณ ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ

    Dutiye uddissamāneti ācariyena antevāsikassa vuccamāne vā sajjhāyavasena parivattiyamāne vā. Khuddānukhuddakehīti khuddakehi ca anukhuddakehi ca. Yāvadevāti tesaṃ saṃvattanamariyādaparicchedavacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – etāni hi ye uddisanti vā uddisāpenti vā sajjhāyanti vā, tesaṃ tāva saṃvattanti, yāva ‘‘kappati nu kho, na kappati nu kho’’ti kukkuccavippaṭisāro, vihesā, vicikicchā manovilekhā ca uppajjantiyeva. Atha vā yāvadevāti atisayavavatthāpanaṃ. Tassa ‘saṃvattantī’tiiminā sambandho, kukkuccāya vihesāya vilekhāya ativiya saṃvattantiyevāti vuttaṃ hoti. Sikkhāpadavivaṇṇaketi evaṃ sikkhāpadānaṃ vivaṇṇake garahaṇe pācittiyaṃ hotīti attho.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ วินยวิวณฺณนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปนฺนสฺส วิวณฺณเน ติกทุกฺกฎํ, อุภินฺนมฺปิ อญฺญธมฺมวิวณฺณเน ทุกฺกฎเมวฯ น วิวเณฺณตุกามสฺส, ‘‘อิงฺฆ ตาว สุตฺตเนฺต วา คาถาโย วา อภิธมฺมํ วา ปริยาปุณสฺสุ, ปจฺฉาปิ วินยํ ปริยาปุณิสฺสสี’’ติ ภณโต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ครหิตุกามตา จ, อุปสมฺปนฺนสฺส สนฺติเก สิกฺขาปทวิวณฺณนญฺจาติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha vinayavivaṇṇanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampannassa vivaṇṇane tikadukkaṭaṃ, ubhinnampi aññadhammavivaṇṇane dukkaṭameva. Na vivaṇṇetukāmassa, ‘‘iṅgha tāva suttante vā gāthāyo vā abhidhammaṃ vā pariyāpuṇassu, pacchāpi vinayaṃ pariyāpuṇissasī’’ti bhaṇato, ummattakādīnañca anāpatti. Garahitukāmatā ca, upasampannassa santike sikkhāpadavivaṇṇanañcāti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    วิเลขนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vilekhanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. โมหนสิกฺขาปทวณฺณนา

    3. Mohanasikkhāpadavaṇṇanā

    ตติเย อนฺวฑฺฒมาสนฺติ อนุปฎิปาฎิยา อทฺธมาเส อทฺธมาเสฯ อุทฺทิสฺสมาเนติ อุโปสถวเสน อุทฺทิสิยมาเนฯ ยญฺจ ตตฺถ อาปตฺติํ อาปโนฺนติ ยํ โส อนาจารํ อาจริตฺวา อญฺญาณเกน อาปนฺนภาวํ ชานาเปตุกาโม เอวมาห, ตสฺมิํ อนาจาเร ยํ อาปตฺติํ อาปโนฺนฯ ตญฺจ ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพติ อญฺญาณเกน อาปนฺนตฺตา โมโกฺข นตฺถิ, ยถา ปน ธโมฺม จ วินโย จ ฐิโต, ตถา ตํ อาปตฺติํ กาเรตโพฺพ, เทสนาคามินิยา เทสาเปตโพฺพ, วุฎฺฐานคามินิยา วุฎฺฐาเปตโพฺพติ อโตฺถฯ อุตฺตริ จสฺส โมโห อาโรเปตโพฺพติ ยถาธมฺมกรณโต จ อุตฺตริ ‘‘ตสฺส เต, อาวุโส’’ติอาทิวจเนหิ นินฺทิตฺวา ตสฺส ปุคฺคลสฺส ญตฺติทุติยกเมฺมน โมโห อาโรเปตโพฺพฯ อิทํ ตสฺมิํ โมหนเก ปาจิตฺติยนฺติ โย เอวํ อาโรปิเต โมเห ปุน โมเหติ, ตสฺมิํ โมหนเก ปุคฺคเล อิทํ ปาจิตฺติยํ เวทิตพฺพํ, น อนาโรปิเต โมเหติ อโตฺถฯ

    Tatiye anvaḍḍhamāsanti anupaṭipāṭiyā addhamāse addhamāse. Uddissamāneti uposathavasena uddisiyamāne. Yañca tattha āpattiṃ āpannoti yaṃ so anācāraṃ ācaritvā aññāṇakena āpannabhāvaṃ jānāpetukāmo evamāha, tasmiṃ anācāre yaṃ āpattiṃ āpanno. Tañca yathādhammo kāretabboti aññāṇakena āpannattā mokkho natthi, yathā pana dhammo ca vinayo ca ṭhito, tathā taṃ āpattiṃ kāretabbo, desanāgāminiyā desāpetabbo, vuṭṭhānagāminiyā vuṭṭhāpetabboti attho. Uttari cassa moho āropetabboti yathādhammakaraṇato ca uttari ‘‘tassa te, āvuso’’tiādivacanehi ninditvā tassa puggalassa ñattidutiyakammena moho āropetabbo. Idaṃ tasmiṃ mohanake pācittiyanti yo evaṃ āropite mohe puna moheti, tasmiṃ mohanake puggale idaṃ pācittiyaṃ veditabbaṃ, na anāropite moheti attho.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ โมหนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อธมฺมกเมฺม ติกทุกฺกฎํ, อนาโรปิเต โมเห ทุกฺกฎเมวฯ เยน น วิตฺถาเรน สุตํ, อูนกทฺวตฺติกฺขตฺตุํ วา วิตฺถาเรน สุตํ, เย จ น โมเหตุกามา เตสํ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ โมหาโรปนํ, โมเหตุกามตา, วุตฺตนเยน สุตภาโว, โมหนนฺติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha mohanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, adhammakamme tikadukkaṭaṃ, anāropite mohe dukkaṭameva. Yena na vitthārena sutaṃ, ūnakadvattikkhattuṃ vā vitthārena sutaṃ, ye ca na mohetukāmā tesaṃ, ummattakādīnañca anāpatti. Mohāropanaṃ, mohetukāmatā, vuttanayena sutabhāvo, mohananti imānettha cattāri aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    โมหนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mohanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๔. ปหารสิกฺขาปทวณฺณนา

    4. Pahārasikkhāpadavaṇṇanā

    จตุเตฺถ ปหารํ ทเทยฺยาติ เอตฺถ ปหริตุกามตาย ปหาเร ทิเนฺน สเจปิ มรติ, ปาจิตฺติยเมวฯ

    Catutthe pahāraṃ dadeyyāti ettha paharitukāmatāya pahāre dinne sacepi marati, pācittiyameva.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ ปหารทานวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, วิรูปกรณาธิปฺปาเยน ปน อุปสมฺปนฺนสฺสปิ กณฺณาทิเจฺฉทเน ทุกฺกฎเมวฯ เกนจิ วิเหฐิยมานสฺส ปน โมกฺขาธิปฺปายสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ กุปิตตา, น โมกฺขาธิปฺปายตา, อุปสมฺปนฺนสฺส ปหารทานนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมปาราชิกสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha pahāradānavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, virūpakaraṇādhippāyena pana upasampannassapi kaṇṇādicchedane dukkaṭameva. Kenaci viheṭhiyamānassa pana mokkhādhippāyassa, ummattakādīnañca anāpatti. Kupitatā, na mokkhādhippāyatā, upasampannassa pahāradānanti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamapārājikasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    ปหารสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pahārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๕. ตลสตฺติกสิกฺขาปทวณฺณนา

    5. Talasattikasikkhāpadavaṇṇanā

    ปญฺจเม ตลสตฺติกํ อุคฺคิเรยฺยาติ ปหารทานาการํ ทเสฺสโนฺต กายํ วา กายปฺปฎิพทฺธํ วา อุจฺจาเรยฺยฯ เอตฺถ จ อุคฺคิรณปจฺจยา ปาจิตฺติยํฯ สเจ ปน อุคฺคิริตฺวา วิรโทฺธ ปหารํ เทติ, น ปหริตุกามตาย ทินฺนตฺตา ทุกฺกฎเมว, เตน ปหาเรน หตฺถาทีสุ ยํกิญฺจิ ภิชฺชติ, ทุกฺกฎเมวฯ เสสเมตฺถ สพฺพํ ปุริมสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Pañcame talasattikaṃ uggireyyāti pahāradānākāraṃ dassento kāyaṃ vā kāyappaṭibaddhaṃ vā uccāreyya. Ettha ca uggiraṇapaccayā pācittiyaṃ. Sace pana uggiritvā viraddho pahāraṃ deti, na paharitukāmatāya dinnattā dukkaṭameva, tena pahārena hatthādīsu yaṃkiñci bhijjati, dukkaṭameva. Sesamettha sabbaṃ purimasikkhāpade vuttanayeneva veditabbanti.

    ตลสตฺติกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Talasattikasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๖. อมูลกสิกฺขาปทวณฺณนา

    6. Amūlakasikkhāpadavaṇṇanā

    ฉเฎฺฐ อมูลเกนาติ ทิฎฺฐาทิมูลวิรหิเตนฯ อนุทฺธํเสยฺยาติ โจเทยฺย วา โจทาเปยฺย วาฯ ปาจิตฺติยนฺติ สเจ จุทิตโก ตงฺขณเญฺญว ‘‘โจเทติ ม’’นฺติ ชานาติ, โจทกสฺส ปาจิตฺติยํฯ

    Chaṭṭhe amūlakenāti diṭṭhādimūlavirahitena. Anuddhaṃseyyāti codeyya vā codāpeyya vā. Pācittiyanti sace cuditako taṅkhaṇaññeva ‘‘codeti ma’’nti jānāti, codakassa pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อาจารวิปตฺติยา วา ทิฎฺฐิวิปตฺติยา วา อนุทฺธํสเน ทุกฺกฎํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํฯ ตถาสญฺญิสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนตา, สงฺฆาทิเสสสฺส อมูลกตา, อนุทฺธํสนา, ตงฺขณวิชานนาติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha amūlakena saṅghādisesena anuddhaṃsanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, ācāravipattiyā vā diṭṭhivipattiyā vā anuddhaṃsane dukkaṭaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ. Tathāsaññissa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannatā, saṅghādisesassa amūlakatā, anuddhaṃsanā, taṅkhaṇavijānanāti imānettha cattāri aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    อมูลกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Amūlakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๗. สญฺจิจฺจสิกฺขาปทวณฺณนา

    7. Sañciccasikkhāpadavaṇṇanā

    สตฺตเม กุกฺกุจฺจํ อุปทเหยฺยาติ ‘‘อูนวีสติวโสฺส ตฺวํ มเญฺญ’’ติอาทีนิ (ปาจิ. ๔๖๖) ภณโนฺต อุปฺปาเทยฺยฯ เอวํ อญฺญสฺมิํ อุปฺปาทนปจฺจเย อสติ สญฺจิจฺจ อุปฺปาเทนฺตสฺส วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยํฯ

    Sattame kukkuccaṃ upadaheyyāti ‘‘ūnavīsativasso tvaṃ maññe’’tiādīni (pāci. 466) bhaṇanto uppādeyya. Evaṃ aññasmiṃ uppādanapaccaye asati sañcicca uppādentassa vācāya vācāya pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ กุกฺกุจฺจอุปฺปาทนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํฯ นอุปฺปาเทตุกามสฺส, เกวลํ หิเตสิตาย ตถา วทนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนตา, อผาสุกามตา , กุกฺกุจฺจุปฺปาทนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อนนฺตรสทิสาเนวาติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha kukkuccauppādanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ. Nauppādetukāmassa, kevalaṃ hitesitāya tathā vadantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannatā, aphāsukāmatā , kukkuccuppādananti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni anantarasadisānevāti.

    สญฺจิจฺจสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sañciccasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๘. อุปสฺสุติสิกฺขาปทวณฺณนา

    8. Upassutisikkhāpadavaṇṇanā

    อฎฺฐเม วิวาทาปนฺนานนฺติ ภณฺฑนกลเหหิ วิวฑฺฒิตํ วิวาทาธิกรณํ อาปนฺนานํฯ อุปสฺสุตินฺติ สุติสมีปํ, ยตฺถ ฐตฺวา สกฺกา โหติ เตสํ วจนํ โสตุํ, ตตฺถ ติเฎฺฐยฺยาติ อโตฺถฯ ‘‘ตตฺถ โสสฺสามี’’ติ โจเทตุกามตาย คจฺฉโต ปเท ปเท ทุกฺกฎํ, ตุริตคมเนปิ โอหียมาเนปิ เอเสว นโยฯ ยตฺถ ปน ฐิโต สุณาติ, ตตฺถ ฐิตสฺส ปาจิตฺติยํ, อตฺตโน ฐิโตกาสํ อาคนฺตฺวา เตสุ มนฺตยมาเนสุปิ อุกฺกาสิตฺวา, ‘‘อหํ เอตฺถา’’ติ วา วตฺวา ชานาเปตพฺพํ, เอวํ อกโรนฺตสฺสาปิ สวเน ปาจิตฺติยเมวฯ

    Aṭṭhame vivādāpannānanti bhaṇḍanakalahehi vivaḍḍhitaṃ vivādādhikaraṇaṃ āpannānaṃ. Upassutinti sutisamīpaṃ, yattha ṭhatvā sakkā hoti tesaṃ vacanaṃ sotuṃ, tattha tiṭṭheyyāti attho. ‘‘Tattha sossāmī’’ti codetukāmatāya gacchato pade pade dukkaṭaṃ, turitagamanepi ohīyamānepi eseva nayo. Yattha pana ṭhito suṇāti, tattha ṭhitassa pācittiyaṃ, attano ṭhitokāsaṃ āgantvā tesu mantayamānesupi ukkāsitvā, ‘‘ahaṃ etthā’’ti vā vatvā jānāpetabbaṃ, evaṃ akarontassāpi savane pācittiyameva.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ อุปสฺสุติฎฺฐานวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, ‘‘อิเมสํ สุตฺวา โอรมิสฺสามิ วิรมิสฺสามิ วูปสมิสฺสามิ อตฺตานํ ปริโมเจสฺสามี’’ติ (ปาจิ. ๔๗๓) คจฺฉโต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนตา, โจทนาธิปฺปาโย, สวนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ เถยฺยสตฺถสมุฎฺฐานํ อิทํ ปน สิยา กิริยํ, สิยา อกิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha upassutiṭṭhānavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, ‘‘imesaṃ sutvā oramissāmi viramissāmi vūpasamissāmi attānaṃ parimocessāmī’’ti (pāci. 473) gacchato, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannatā, codanādhippāyo, savananti imānettha tīṇi aṅgāni. Theyyasatthasamuṭṭhānaṃ idaṃ pana siyā kiriyaṃ, siyā akiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.

    อุปสฺสุติสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Upassutisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙. กมฺมปฺปฎิพาหนสิกฺขาปทวณฺณนา

    9. Kammappaṭibāhanasikkhāpadavaṇṇanā

    นวเม ธมฺมิกานํ กมฺมานนฺติ ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน กตานํ อปโลกนกมฺมํ ญตฺติกมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมนฺติ อิเมสํ จตุนฺนํ กมฺมานํฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโต กมฺมวินิจฺฉโย – ตตฺร อปโลกนกมฺมํ นาม สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา ตํ ตํ วตฺถุํ กิเตฺตตฺวา ‘‘รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’ติ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา กตฺตพฺพํ กมฺมํ วุจฺจติฯ สมคฺคเสฺสว ปน สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา กตฺตพฺพํ กมฺมํ ญตฺติกมฺมํ นามฯ เอกาย ญตฺติยา เจว อนุสฺสาวนาย จ กตฺตพฺพํ กมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ นามฯ เอกาย ปน ญตฺติยา ตีหิ จ อนุสฺสาวนาหิ กตฺตพฺพํ กมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ นามฯ

    Navame dhammikānaṃ kammānanti dhammena vinayena satthusāsanena katānaṃ apalokanakammaṃ ñattikammaṃ ñattidutiyakammaṃ ñatticatutthakammanti imesaṃ catunnaṃ kammānaṃ. Tatrāyaṃ saṅkhepato kammavinicchayo – tatra apalokanakammaṃ nāma samaggassa saṅghassa anumatiyā taṃ taṃ vatthuṃ kittetvā ‘‘ruccati saṅghassā’’ti tikkhattuṃ sāvetvā kattabbaṃ kammaṃ vuccati. Samaggasseva pana saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā kattabbaṃ kammaṃ ñattikammaṃ nāma. Ekāya ñattiyā ceva anussāvanāya ca kattabbaṃ kammaṃ ñattidutiyakammaṃ nāma. Ekāya pana ñattiyā tīhi ca anussāvanāhi kattabbaṃ kammaṃ ñatticatutthakammaṃ nāma.

    เตสุ อปโลกนกมฺมํ (ปริ. ๔๙๖; ปริ. อฎฺฐ. ๔๙๕-๔๙๖) ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติ โอสารณํ นิสฺสารณํ ภณฺฑุกมฺมํ พฺรหฺมทณฺฑํ กมฺมลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ กณฺฎกสามเณรสฺส นาสนา วิย นิสฺสารณา, ตาทิสํเยว สมฺมาวตฺตนฺตํ ทิสฺวา ปเวสนา ‘โอสารณา’ติ เวทิตพฺพาฯ ปพฺพชฺชาเปกฺขสฺส เกสเจฺฉทนาปุจฺฉนํ ภณฺฑุกมฺมํ (มหาว. ๙๘) นามฯ มุขรสฺส ภิกฺขุโน ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎนฺตสฺส ‘‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ มุขโร ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎโนฺต วิหรติ, โส ภิกฺขุ ยํ อิเจฺฉยฺย, ตํ วเทยฺย, ภิกฺขูหิ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ เนว วตฺตโพฺพ, น โอวาทานุสาสนิํ กตฺตโพฺพ, น โอวทิตโพฺพ’’ติ ‘‘สงฺฆํ, ภเนฺต , ปุจฺฉามิ ‘อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติ, ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ, ตติยมฺปิ ปุจฺฉามิ ‘อิตฺถนฺนามสฺส, ภเนฺต, ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’’ติ เอวํ กตฺตพฺพํ กมฺมํ พฺรหฺมทณฺฑํ (จูฬว. ๔๔๕) นามฯ ยํ ปน ภควตา ภิกฺขุนีนํ อูรุํ วิวริตฺวา ทสฺสนาทิวตฺถูสุ ‘‘อวนฺทิโย โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ภิกฺขุนิสเงฺฆน กาตโพฺพ’’ติ (จูฬว. ๔๑๑) เอวํ อวนฺทิยกมฺมํ อนุญฺญาตํ, ยํ ภิกฺขุนีหิ ‘‘อเยฺย, อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปฺปสาทนียํ ทเสฺสติ, เอตสฺส อยฺยสฺส อวนฺทิยกรณํ ‘รุจฺจติ ภิกฺขุนิสงฺฆสฺสา’’’ติ เอวํ อุปสฺสเย นิสินฺนาเหว ภิกฺขุนีหิ กตฺตพฺพํ, เอวรูปํ กมฺมํ ยสฺมา ตสฺส กมฺมํเยว ลกฺขณํ น โอสารณาทีนิ, ตสฺมา กมฺมลกฺขณนฺติ วุจฺจติฯ อิทญฺจ กมฺมลกฺขณํ นาม ภิกฺขุนิมูลกํ ปญฺญตฺตํ, อปิจ ภิกฺขูนมฺปิ ลพฺภติ, ตสฺมา ภิกฺขูหิปิ อจฺฉินฺนจีวรกาทีนํ จีวราทีนิ วา เทเนฺตหิ, ปริภุญฺชิตพฺพานิ อปเนตพฺพานิปิ วตฺถูนิ ปริภุญฺชเนฺตหิ วา, อปเนเนฺตหิ วา, ตถารูปํ วา ธมฺมิกํ กติกํ กโรเนฺตหิ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา อปโลกนกมฺมํ กาตพฺพํ, สพฺพเญฺหตํ กมฺมลกฺขณเมว ปวิสติ, อิติ อปโลกนกมฺมํ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติฯ

    Tesu apalokanakammaṃ (pari. 496; pari. aṭṭha. 495-496) pañca ṭhānāni gacchati osāraṇaṃ nissāraṇaṃ bhaṇḍukammaṃ brahmadaṇḍaṃ kammalakkhaṇanti. Tattha kaṇṭakasāmaṇerassa nāsanā viya nissāraṇā, tādisaṃyeva sammāvattantaṃ disvā pavesanā ‘osāraṇā’ti veditabbā. Pabbajjāpekkhassa kesacchedanāpucchanaṃ bhaṇḍukammaṃ (mahāva. 98) nāma. Mukharassa bhikkhuno bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭentassa ‘‘itthannāmo bhikkhu mukharo bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭento viharati, so bhikkhu yaṃ iccheyya, taṃ vadeyya, bhikkhūhi itthannāmo bhikkhu neva vattabbo, na ovādānusāsaniṃ kattabbo, na ovaditabbo’’ti ‘‘saṅghaṃ, bhante , pucchāmi ‘itthannāmassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ ruccati saṅghassā’ti, dutiyampi pucchāmi, tatiyampi pucchāmi ‘itthannāmassa, bhante, bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ ruccati saṅghassā’’’ti evaṃ kattabbaṃ kammaṃ brahmadaṇḍaṃ (cūḷava. 445) nāma. Yaṃ pana bhagavatā bhikkhunīnaṃ ūruṃ vivaritvā dassanādivatthūsu ‘‘avandiyo so, bhikkhave, bhikkhu bhikkhunisaṅghena kātabbo’’ti (cūḷava. 411) evaṃ avandiyakammaṃ anuññātaṃ, yaṃ bhikkhunīhi ‘‘ayye, asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ appasādanīyaṃ dasseti, etassa ayyassa avandiyakaraṇaṃ ‘ruccati bhikkhunisaṅghassā’’’ti evaṃ upassaye nisinnāheva bhikkhunīhi kattabbaṃ, evarūpaṃ kammaṃ yasmā tassa kammaṃyeva lakkhaṇaṃ na osāraṇādīni, tasmā kammalakkhaṇanti vuccati. Idañca kammalakkhaṇaṃ nāma bhikkhunimūlakaṃ paññattaṃ, apica bhikkhūnampi labbhati, tasmā bhikkhūhipi acchinnacīvarakādīnaṃ cīvarādīni vā dentehi, paribhuñjitabbāni apanetabbānipi vatthūni paribhuñjantehi vā, apanentehi vā, tathārūpaṃ vā dhammikaṃ katikaṃ karontehi tikkhattuṃ sāvetvā apalokanakammaṃ kātabbaṃ, sabbañhetaṃ kammalakkhaṇameva pavisati, iti apalokanakammaṃ pañca ṭhānāni gacchati.

    ญตฺติกมฺมํ ปน นว ฐานานิ คจฺฉติ โอสารณํ นิสฺสารณํ อุโปสถํ ปวารณํ สมฺมุติํ ทานํ ปฎิคฺคหํ ปจฺจุกฺกฑฺฒนํ กมฺมลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺข, อนุสิโฎฺฐ โส มยา, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อาคเจฺฉยฺย , ‘อาคจฺฉาหี’ติ วตฺตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๒๖) เอวํ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส โอสารณา โอสารณา นามฯ ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ธมฺมกถิโก, อิมสฺส เนว สุตฺตํ อาคจฺฉติ, โน สุตฺตวิภโงฺค, โส อตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา พฺยญฺชนจฺฉายาย อตฺถํ ปฎิพาหติ, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ วุฎฺฐาเปตฺวา อวเสสา อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติ เอวํ อุพฺภาหิกวินิจฺฉเย (จูฬว. ๒๓๓) ธมฺมกถิกสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสารณา นิสฺสารณา นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺชุโปสโถ…เป.… อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ เอวํ อุโปสถกมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ อุโปสโถ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺช ปวารณา ปนฺนรสี, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ ปวาเรยฺยา’’ติ (มหาว. ๒๑๐) เอวํ ปวารณากมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ ปวารณา นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺยา’’ติ (มหาว. ๑๒๖) เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา สมฺมนฺนิตุํ ฐปิตา ญตฺติ สมฺมุติ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๖๔) เอวํ นิสฺสฎฺฐจีวรปตฺตาทีนํ ทานํ ทานํ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ วิวรติ อุตฺตานิํ กโรติ เทเสติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ, เตน วตฺตโพฺพ ‘ปสฺสสี’ติ, ‘อาม, ปสฺสามี’ติ, ‘‘อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ (จูฬว. ๒๓๙) เอวํ อาปตฺติปฺปฎิคฺคโห ปฎิคฺคโห นามฯ ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม กาเล ปวาเรยฺยามา’’ติ (มหาว. ๒๔๐) เอวํ กตปฺปวารณปฺปจฺจุกฺกฑฺฒนา ปจฺจุกฺกฑฺฒนา นามฯ ติณวตฺตารกสมเถ (จูฬว. ๒๑๒) สพฺพสงฺคาหิกญตฺติ, เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกา ญตฺติ จาติ ติโสฺสปิ ญตฺติโย กมฺมลกฺขณํ นามฯ อิติ ญตฺติกมฺมํ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ

    Ñattikammaṃ pana nava ṭhānāni gacchati osāraṇaṃ nissāraṇaṃ uposathaṃ pavāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ paṭiggahaṃ paccukkaḍḍhanaṃ kammalakkhaṇanti. Tattha ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho, anusiṭṭho so mayā, yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo āgaccheyya , ‘āgacchāhī’ti vattabbo’’ti (mahāva. 126) evaṃ upasampadāpekkhassa osāraṇā osāraṇā nāma. ‘‘Suṇantu me āyasmantā, ayaṃ itthannāmo bhikkhu dhammakathiko, imassa neva suttaṃ āgacchati, no suttavibhaṅgo, so atthaṃ asallakkhetvā byañjanacchāyāya atthaṃ paṭibāhati, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, itthannāmaṃ bhikkhuṃ vuṭṭhāpetvā avasesā imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti evaṃ ubbhāhikavinicchaye (cūḷava. 233) dhammakathikassa bhikkhuno nissāraṇā nissāraṇā nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajjuposatho…pe… uposathaṃ kareyyā’’ti evaṃ uposathakammavasena ṭhapitā ñatti uposatho nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajja pavāraṇā pannarasī, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho pavāreyyā’’ti (mahāva. 210) evaṃ pavāraṇākammavasena ṭhapitā ñatti pavāraṇā nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa upasampadāpekkho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ anusāseyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ anusāseyyā’’ti (mahāva. 126) evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā sammannituṃ ṭhapitā ñatti sammuti nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyā’’ti (pārā. 464) evaṃ nissaṭṭhacīvarapattādīnaṃ dānaṃ dānaṃ nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati vivarati uttāniṃ karoti deseti, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’’nti, tena vattabbo ‘passasī’ti, ‘āma, passāmī’ti, ‘‘āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti (cūḷava. 239) evaṃ āpattippaṭiggaho paṭiggaho nāma. ‘‘Suṇantu me āyasmantā āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame kāle pavāreyyāmā’’ti (mahāva. 240) evaṃ katappavāraṇappaccukkaḍḍhanā paccukkaḍḍhanā nāma. Tiṇavattārakasamathe (cūḷava. 212) sabbasaṅgāhikañatti, ekekasmiṃ pakkhe ekekā ñatti cāti tissopi ñattiyo kammalakkhaṇaṃ nāma. Iti ñattikammaṃ nava ṭhānāni gacchati.

    ญตฺติทุติยกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติ โอสารณํ นิสฺสารณํ สมฺมุติํ ทานํ อุทฺธารํ เทสนํ กมฺมลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ ภิกฺขูนํ อลาภาย ปริสกฺกนาทิเกหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส อุปาสกสฺส สเงฺฆน อสโมฺภคกรณตฺถํ ปตฺตนิกฺกุชฺชนวเสน นิสฺสารณา นิสฺสารณา นามฯ ตเสฺสว สมฺมาวตฺตนฺตสฺส ปตฺตุกฺกุชฺชนวเสน โอสารณา จ เวทิตพฺพา, สา ขุทฺทกกฺขนฺธเก วฑฺฒลิจฺฉวิวตฺถุสฺมิํ (จูฬว. ๒๖๕-๒๖๖) วุตฺตาฯ สีมาสมฺมุติ ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติสนฺถตสมฺมุติภตฺตุเทฺทสกเสนาสนคฺคาหาปกภณฺฑาคาริกจีวรปฺปฎิคฺคาหกยาคุภาชกผลภาชกขชฺชภาชกอปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกสาฎิยคฺคาหปกปตฺตคฺคาหาปกอารามิกเปสกสามเณรเปสกสมฺมุตีติ เอตาสํ สมฺมุตีนํ วเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ กถินจีวรมตกจีวรทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ กถินุทฺธารวเสน อุทฺธาโร เวทิตโพฺพฯ กุฎิวตฺถุวิหารวตฺถุเทสนาวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ ยา ปน ติณวตฺถารกสมเถ (จูฬว. ๒๑๒ อาทโย) เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกา, เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกาติ เทฺว ญตฺติทุติยกมฺมวาจา วุตฺตา, ยา จ โมหาโรปนาทีสุ กมฺมวาจา (ปาจิ. ๔๔๖) วุตฺตา, ตาสํ วเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํ, อิติ ญตฺติทุติยกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ

    Ñattidutiyakammaṃ satta ṭhānāni gacchati osāraṇaṃ nissāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ uddhāraṃ desanaṃ kammalakkhaṇanti. Tattha bhikkhūnaṃ alābhāya parisakkanādikehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgatassa upāsakassa saṅghena asambhogakaraṇatthaṃ pattanikkujjanavasena nissāraṇā nissāraṇā nāma. Tasseva sammāvattantassa pattukkujjanavasena osāraṇā ca veditabbā, sā khuddakakkhandhake vaḍḍhalicchavivatthusmiṃ (cūḷava. 265-266) vuttā. Sīmāsammuti ticīvarena avippavāsasammutisanthatasammutibhattuddesakasenāsanaggāhāpakabhaṇḍāgārikacīvarappaṭiggāhakayāgubhājakaphalabhājakakhajjabhājakaappamattakavissajjakasāṭiyaggāhapakapattaggāhāpakaārāmikapesakasāmaṇerapesakasammutīti etāsaṃ sammutīnaṃ vasena sammuti veditabbā. Kathinacīvaramatakacīvaradānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Kathinuddhāravasena uddhāro veditabbo. Kuṭivatthuvihāravatthudesanāvasena desanā veditabbā. Yā pana tiṇavatthārakasamathe (cūḷava. 212 ādayo) ekasmiṃ pakkhe ekā, ekasmiṃ pakkhe ekāti dve ñattidutiyakammavācā vuttā, yā ca mohāropanādīsu kammavācā (pāci. 446) vuttā, tāsaṃ vasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ, iti ñattidutiyakammaṃ satta ṭhānāni gacchati.

    ญตฺติจตุตฺถกมฺมมฺปิ สเตฺตว ฐานานิ คจฺฉติ โอสารณํ นิสฺสารณํ สมฺมุติํ ทานํ นิคฺคหํ สมนุภาสนํ กมฺมลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ ตชฺชนียกมฺมาทีนํ (จูฬว. ๑ อาทโย) สตฺตนฺนํ กมฺมานํ วเสน นิสฺสารณา, เตสํเยว กมฺมานํ ปฎิปฺปสฺสมฺภนวเสน โอสารณา จ เวทิตพฺพา, ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติวเสน (ปาจิ. ๑๔๖-๑๔๗) สมฺมุติ, ปริวาสทาน(จอูฬว. ๑๐๒) มานตฺตทานวเสน (จูฬว. ๑๐๕) ทานํ, มูลายปฎิกสฺสนวเสน (จูฬว. ๑๑๐) นิคฺคโห, อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา , อฎฺฐ ยาวตติยกา, อริโฎฺฐ (ปาจิ. ๔๑๗), จณฺฑกาฬี (ปาจิ. ๗๐๙) จาติ อิเม เต ยาวตติยกาติ อิมาสํ เอกาทสนฺนํ สมนุภาสนานํ วเสน สมนุภาสนา, อุปสมฺปทากมฺมอพฺภานกมฺมวเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ อิติ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ

    Ñatticatutthakammampi satteva ṭhānāni gacchati osāraṇaṃ nissāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ niggahaṃ samanubhāsanaṃ kammalakkhaṇanti. Tattha tajjanīyakammādīnaṃ (cūḷava. 1 ādayo) sattannaṃ kammānaṃ vasena nissāraṇā, tesaṃyeva kammānaṃ paṭippassambhanavasena osāraṇā ca veditabbā, bhikkhunovādakasammutivasena (pāci. 146-147) sammuti, parivāsadāna(caūḷava. 102) mānattadānavasena (cūḷava. 105) dānaṃ, mūlāyapaṭikassanavasena (cūḷava. 110) niggaho, ukkhittānuvattikā , aṭṭha yāvatatiyakā, ariṭṭho (pāci. 417), caṇḍakāḷī (pāci. 709) cāti ime te yāvatatiyakāti imāsaṃ ekādasannaṃ samanubhāsanānaṃ vasena samanubhāsanā, upasampadākammaabbhānakammavasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Iti ñatticatutthakammaṃ satta ṭhānāni gacchati.

    อิเมสุ ปน จตูสุ กเมฺมสุ อปโลกนกมฺมํ อปโลเกตฺวาว กาตพฺพํ, ญตฺติกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติกมฺมมฺปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ ปน อปโลเกตฺวา กาตพฺพมฺปิ อตฺถิ อกาตพฺพมฺปิ, ตตฺถ สีมาสมฺมุติ สีมาสมูหนนํ (มหาว. ๑๓๙-๑๔๐, ๑๔๔ อาทโย) กถินจีวรทานํ กถินุทฺธาโร กุฎิวตฺถุเทสนา วิหารวตฺถุเทสนาติ อิมานิ ฉ กมฺมานิ ครุกานิ อปโลเกตฺวา กาตุํ น วฎฺฎนฺติ, ญตฺติทุติยกมฺมวาจํ สาเวตฺวาว กาตพฺพานิฯ อวเสสา เตรส สมฺมุติโย เสนาสนคฺคาหาปกมตกจีวรทานสมฺมุติโย จาติ เอตานิ ลหุกมฺมานิ อปโลเกตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎนฺติ, ญตฺติกมฺมาทิวเสน ปน น กาตพฺพาเนวฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมมฺปิ สกลกฺขเณเนว กาตพฺพํ, น เสสกมฺมวเสนฯ เอวํ อตฺตโน อตฺตโน ลกฺขเณเนว วตฺถุญตฺติอนุสฺสาวนาสีมาปริสาสมฺปตฺติยา กตานิ เอตานิ กมฺมานิ ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน กตตฺตา ธโมฺม เอเตสุ อตฺถีติ ธมฺมิกานิ นาม โหนฺติ, อิติ เอเตสํ ธมฺมิกานํ กมฺมานํ ฉนฺทํ ทตฺวา ปจฺฉา ขียนธมฺมํ อาปชฺชนฺตสฺส วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยํฯ

    Imesu pana catūsu kammesu apalokanakammaṃ apaloketvāva kātabbaṃ, ñattikammādivasena na kātabbaṃ. Ñattikammampi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ. Ñattidutiyakammaṃ pana apaloketvā kātabbampi atthi akātabbampi, tattha sīmāsammuti sīmāsamūhananaṃ (mahāva. 139-140, 144 ādayo) kathinacīvaradānaṃ kathinuddhāro kuṭivatthudesanā vihāravatthudesanāti imāni cha kammāni garukāni apaloketvā kātuṃ na vaṭṭanti, ñattidutiyakammavācaṃ sāvetvāva kātabbāni. Avasesā terasa sammutiyo senāsanaggāhāpakamatakacīvaradānasammutiyo cāti etāni lahukammāni apaloketvāpi kātuṃ vaṭṭanti, ñattikammādivasena pana na kātabbāneva. Ñatticatutthakammampi sakalakkhaṇeneva kātabbaṃ, na sesakammavasena. Evaṃ attano attano lakkhaṇeneva vatthuñattianussāvanāsīmāparisāsampattiyā katāni etāni kammāni dhammena vinayena satthusāsanena katattā dhammo etesu atthīti dhammikāni nāma honti, iti etesaṃ dhammikānaṃ kammānaṃ chandaṃ datvā pacchā khīyanadhammaṃ āpajjantassa vācāya vācāya pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ ขียนธมฺมาปชฺชนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ธมฺมกเมฺม เวมติกสฺส, อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิโน, เวมติกสฺส จ ทุกฺกฎํฯ อธมฺมกมฺมสญฺญิสฺส , ‘‘อธเมฺมน วา วเคฺคน วา นกมฺมารหสฺส วา กมฺมํ กโรนฺตี’’ติ ญตฺวา ขียนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ธมฺมกมฺมตา, ธมฺมกมฺมสญฺญิตา, ฉนฺทํ ทตฺวา ขียนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสาเนว, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha khīyanadhammāpajjanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, dhammakamme vematikassa, adhammakamme dhammakammasaññino, vematikassa ca dukkaṭaṃ. Adhammakammasaññissa , ‘‘adhammena vā vaggena vā nakammārahassa vā kammaṃ karontī’’ti ñatvā khīyantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Dhammakammatā, dhammakammasaññitā, chandaṃ datvā khīyananti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāneva, idaṃ pana dukkhavedananti.

    กมฺมปฺปฎิพาหนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kammappaṭibāhanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐. ฉนฺทํอทตฺวาคมนสิกฺขาปทวณฺณนา

    10. Chandaṃadatvāgamanasikkhāpadavaṇṇanā

    ทสเม วินิจฺฉยกถายาติ ยาว อาโรจิตํ วตฺถุ อวินิจฺฉิกํ, ญตฺติํ วา ฐเปตฺวา กมฺมวาจา อนิฎฺฐาปิตา, ตาว วินิจฺฉยกถา วตฺตมานา นาม โหติฯ โย ภิกฺขุ เอตสฺมิํ อนฺตเร กมฺมํ โกเปตุกามตาย ปริสาย หตฺถปาสํ วิชหติ, ตสฺส วิชหเน ทุกฺกฎํ, วิชหิเต ปาจิตฺติยํฯ

    Dasame vinicchayakathāyāti yāva ārocitaṃ vatthu avinicchikaṃ, ñattiṃ vā ṭhapetvā kammavācā aniṭṭhāpitā, tāva vinicchayakathā vattamānā nāma hoti. Yo bhikkhu etasmiṃ antare kammaṃ kopetukāmatāya parisāya hatthapāsaṃ vijahati, tassa vijahane dukkaṭaṃ, vijahite pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อารพฺภ ฉนฺทํ อทตฺวา ปกฺกมนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ธมฺมกเมฺม เวมติกสฺส, อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิโน, เวมติกสฺส จ ทุกฺกฎํฯ อธมฺมกมฺมสญฺญิสฺส ปน, โย จ ‘‘สงฺฆสฺส ภณฺฑนาทีนิ วา ภวิสฺสนฺติ, อธเมฺมน วา วเคฺคน วา นกมฺมารหสฺส วา กมฺมํ กริสฺสนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๔๘๓) ญตฺวา, คิลาโน วา หุตฺวา, คิลานสฺส วา กรณีเยน, อุจฺจาราทีหิ วา ปีฬิโต, น จ กมฺมํ โกเปตุกาโม ‘‘ปุน ปจฺจาคมิสฺสามี’’ติ คจฺฉติ, ตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ วินิจฺฉยกถาย วตฺตมานตา, ธมฺมกมฺมตา, ธมฺมกมฺมสญฺญิตา, สมานสีมายํ ฐิตตา, สมานสํวาสกตา, โกเปตุกามตาย หตฺถปาสวิชหนนฺติ อิมาเนตฺถ ฉ องฺคานิฯ สมนุภาสนสมุฎฺฐานํ, กิริยากิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ aññataraṃ bhikkhuṃ ārabbha chandaṃ adatvā pakkamanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, dhammakamme vematikassa, adhammakamme dhammakammasaññino, vematikassa ca dukkaṭaṃ. Adhammakammasaññissa pana, yo ca ‘‘saṅghassa bhaṇḍanādīni vā bhavissanti, adhammena vā vaggena vā nakammārahassa vā kammaṃ karissantī’’ti (pāci. 483) ñatvā, gilāno vā hutvā, gilānassa vā karaṇīyena, uccārādīhi vā pīḷito, na ca kammaṃ kopetukāmo ‘‘puna paccāgamissāmī’’ti gacchati, tassa, ummattakādīnañca anāpatti. Vinicchayakathāya vattamānatā, dhammakammatā, dhammakammasaññitā, samānasīmāyaṃ ṭhitatā, samānasaṃvāsakatā, kopetukāmatāya hatthapāsavijahananti imānettha cha aṅgāni. Samanubhāsanasamuṭṭhānaṃ, kiriyākiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.

    ฉนฺทํอทตฺวาคมนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Chandaṃadatvāgamanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑. ทุพฺพลสิกฺขาปทวณฺณนา

    11. Dubbalasikkhāpadavaṇṇanā

    เอกาทสเม สมเคฺคน สเงฺฆนาติ สมานสํวาสเกน สมานสีมายํ ฐิเตน สเงฺฆน สทฺธิํ จีวรํ ทตฺวาฯ ยถาสนฺถุตนฺติ โย โย มิตฺตสนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตวเสน สนฺถุโต, ตสฺส ตสฺสาติ อโตฺถฯ ปาจิตฺติยนฺติ เอวํ สเงฺฆน สทฺธิํ สยเมว เสนาสนปญฺญาปนาทิวเสน สมฺมตสฺส ภิกฺขุโน จีวรํ ทตฺวา ปจฺฉา ขียนฺตสฺส วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยํฯ

    Ekādasame samaggena saṅghenāti samānasaṃvāsakena samānasīmāyaṃ ṭhitena saṅghena saddhiṃ cīvaraṃ datvā. Yathāsanthutanti yo yo mittasandiṭṭhasambhattavasena santhuto, tassa tassāti attho. Pācittiyanti evaṃ saṅghena saddhiṃ sayameva senāsanapaññāpanādivasena sammatassa bhikkhuno cīvaraṃ datvā pacchā khīyantassa vācāya vācāya pācittiyaṃ.

    ราชคเห ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ จีวรํ ทตฺวา ปจฺฉา ขียนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ธมฺมกเมฺม ติกปาจิตฺติยํ, จีวรํ ฐเปตฺวา อญฺญํ วิสฺสชฺชิยเวภงฺคิยํ ปริกฺขารํ ทตฺวา ปจฺฉาขียนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, วิสฺสชฺชิยเวภงฺคิโย นาม ฐเปตฺวา ปญฺจ ครุภณฺฑานิ อวเสโสฯ ราสิวเสน หิ ปญฺจ ครุภณฺฑานิ วุตฺตานิ, ตตฺถ อาราโม อารามวตฺถูติ เอกํ, วิหาโร วิหารวตฺถูติ ทุติยํ, มโญฺจ ปีฐํ ภิสิ พิโมฺพหนนฺติ ตติยํ, โลหกุมฺภี โลหภาณกํ โลหวารโก โลหกฎาหํ วาสิ ปรสุ กุฐารี กุทาโล นิขาทนนฺติ จตุตฺถํ, วลฺลิ เวฬุ มุญฺชํ ปพฺพชํ ติณํ มตฺติกา ทารุภณฺฑํ มตฺติกาภณฺฑนฺติ ปญฺจมํฯ เอตานิ หิ ปญฺจ สงฺฆสนฺตกานิ เนว สงฺฆสฺส, น คณปุคฺคลานํ วิสฺสเชฺชตุํ วา วิภชิตุํ วา วฎฺฎนฺติ, วิสฺสชฺชิตวิภตฺตานิปิ สงฺฆิกาเนว โหนฺติฯ ถาวเรน ปน ถาวรํ, อิตเรน จ อกปฺปิเยน มหคฺฆกปฺปิเยน วา อิตรํ สงฺฆสฺส อุปการํ สลฺลเกฺขตฺวา กปฺปิยปริวตฺตเนน ปริวเตฺตตุํ วฎฺฎติ, วรเสนาสนาทีนํ สํรกฺขณตฺถํ ลามกานิ วิสฺสเชฺชตุํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปริภุญฺชิตุญฺจ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ ปุริเมสุ ตีสุ ราสีสุ อครุภณฺฑํ นาม กิญฺจิ นตฺถิ, จตุเตฺถ โลหกุมฺภี อรญฺชรสณฺฐานํ โลหภาณกํ โลหกฎาหนฺติ อิมานิ ตีณิ อนฺตมโส ปสตมตฺตอุทกคฺคณฺหนกานิปิ ครุภณฺฑานิฯ โลหวารโก ปน กาฬโลหตมฺพโลหกํสโลหวฎฺฎโลหานํ เยน เกนจิ กโต สีหฬทีเป ปาทคฺคณฺหนโก ภาเชตโพฺพ, ปาโท จ นาม มคธนาฬิยา ปญฺจนาฬิมตฺตํ คณฺหาติ, ตโต อติเรกํ ครุภณฺฑํ, อิมานิ ตาว ปาฬิยํ อาคตานิ โลหภาชนานิฯ

    Rājagahe chabbaggiye ārabbha cīvaraṃ datvā pacchā khīyanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, dhammakamme tikapācittiyaṃ, cīvaraṃ ṭhapetvā aññaṃ vissajjiyavebhaṅgiyaṃ parikkhāraṃ datvā pacchākhīyantassa dukkaṭaṃ, vissajjiyavebhaṅgiyo nāma ṭhapetvā pañca garubhaṇḍāni avaseso. Rāsivasena hi pañca garubhaṇḍāni vuttāni, tattha ārāmo ārāmavatthūti ekaṃ, vihāro vihāravatthūti dutiyaṃ, mañco pīṭhaṃ bhisi bimbohananti tatiyaṃ, lohakumbhī lohabhāṇakaṃ lohavārako lohakaṭāhaṃ vāsi parasu kuṭhārī kudālo nikhādananti catutthaṃ, valli veḷu muñjaṃ pabbajaṃ tiṇaṃ mattikā dārubhaṇḍaṃ mattikābhaṇḍanti pañcamaṃ. Etāni hi pañca saṅghasantakāni neva saṅghassa, na gaṇapuggalānaṃ vissajjetuṃ vā vibhajituṃ vā vaṭṭanti, vissajjitavibhattānipi saṅghikāneva honti. Thāvarena pana thāvaraṃ, itarena ca akappiyena mahagghakappiyena vā itaraṃ saṅghassa upakāraṃ sallakkhetvā kappiyaparivattanena parivattetuṃ vaṭṭati, varasenāsanādīnaṃ saṃrakkhaṇatthaṃ lāmakāni vissajjetuṃ vissajjetvā paribhuñjituñca vaṭṭati. Ettha ca purimesu tīsu rāsīsu agarubhaṇḍaṃ nāma kiñci natthi, catutthe lohakumbhī arañjarasaṇṭhānaṃ lohabhāṇakaṃ lohakaṭāhanti imāni tīṇi antamaso pasatamattaudakaggaṇhanakānipi garubhaṇḍāni. Lohavārako pana kāḷalohatambalohakaṃsalohavaṭṭalohānaṃ yena kenaci kato sīhaḷadīpe pādaggaṇhanako bhājetabbo, pādo ca nāma magadhanāḷiyā pañcanāḷimattaṃ gaṇhāti, tato atirekaṃ garubhaṇḍaṃ, imāni tāva pāḷiyaṃ āgatāni lohabhājanāni.

    ปาฬิยํ ปน อนาคตานิปิ ภิงฺคารปฎิคฺคหอุฬุงฺกทพฺพิกฎจฺฉุปาติ ตฎฺฎกสรกสมุคฺคองฺคารกปลฺลธูมกฎจฺฉุอาทีนิ ขุทฺทกานิปิ ครุภณฺฑาเนว, อยปโตฺต อยถาลกํ ตมฺพโลหถาลกนฺติ อิมานิ ปน ภาชนียานิ, กํสโลหวฎฺฎโลหภาชนวิกติ สงฺฆิกปริโภเคน วา คิหิวิกฎา วา วฎฺฎติ, ปุคฺคลิกปริโภเคน น วฎฺฎติฯ ฐเปตฺวา ปน ตํ ภาชนวิกติํ อญฺญสฺมิมฺปิ กปฺปิยโลหภเณฺฑ อญฺชนี อญฺชนิสลากา นตฺถุทานํ กณฺณมลหรณี สูจิ ขุทฺทโก ปิปฺผลิโก ขุทฺทกํ อารกณฺฎกํ กุญฺจิกา ตาฬํ กตฺตรยฎฺฐิ เวธโก ภินฺทิวาลโก ยถาตถาฆนกตโลหํวิปฺปกตโลหภณฺฑญฺจ สพฺพํ ภาชนียํฯ ธูมเนตฺตผาลทีปรุกฺขทีปกปลฺลิกโอลมฺพกทีปอิตฺถิปุริสติรจฺฉานรูปกานิ ปน อญฺญานิ วา ภิตฺติจฺฉทนกวาฎาทีสุ อุปเนตพฺพานิ, อนฺตมโส โลหขิลกํ อุปาทาย สพฺพานิปิ โลหภณฺฑานิ ครุภณฺฑานิเยว, อตฺตนา ลทฺธานิ ปริหริตฺวาปิ ปุคฺคลิกปริโภเคน น ปริภุญฺชิตพฺพานิ, สงฺฆิกปริโภเคน วา คิหิวิกฎานิ วา วฎฺฎนฺติ, ติปุภเณฺฑปิ เอเสว นโยฯ ขีรปาสาณมยานิ ตฎฺฎกสรกาทีนิ ครุภณฺฑานิเยวฯ

    Pāḷiyaṃ pana anāgatānipi bhiṅgārapaṭiggahauḷuṅkadabbikaṭacchupāti taṭṭakasarakasamuggaaṅgārakapalladhūmakaṭacchuādīni khuddakānipi garubhaṇḍāneva, ayapatto ayathālakaṃ tambalohathālakanti imāni pana bhājanīyāni, kaṃsalohavaṭṭalohabhājanavikati saṅghikaparibhogena vā gihivikaṭā vā vaṭṭati, puggalikaparibhogena na vaṭṭati. Ṭhapetvā pana taṃ bhājanavikatiṃ aññasmimpi kappiyalohabhaṇḍe añjanī añjanisalākā natthudānaṃ kaṇṇamalaharaṇī sūci khuddako pipphaliko khuddakaṃ ārakaṇṭakaṃ kuñcikā tāḷaṃ kattarayaṭṭhi vedhako bhindivālako yathātathāghanakatalohaṃvippakatalohabhaṇḍañca sabbaṃ bhājanīyaṃ. Dhūmanettaphāladīparukkhadīpakapallikaolambakadīpaitthipurisatiracchānarūpakāni pana aññāni vā bhitticchadanakavāṭādīsu upanetabbāni, antamaso lohakhilakaṃ upādāya sabbānipi lohabhaṇḍāni garubhaṇḍāniyeva, attanā laddhāni pariharitvāpi puggalikaparibhogena na paribhuñjitabbāni, saṅghikaparibhogena vā gihivikaṭāni vā vaṭṭanti, tipubhaṇḍepi eseva nayo. Khīrapāsāṇamayāni taṭṭakasarakādīni garubhaṇḍāniyeva.

    ฆฎโก ปน เตลภาชนํ วา ปาทคฺคณฺหนกโต อติเรกเมว ครุภณฺฑํ, สุวณฺณรชตอารกูฎชาติผลิกภาชนานิ คิหิวิกฎานิปิ น วฎฺฎนฺติฯ เสนาสนปริโภเค ปน อามาสมฺปิ อนามาสมฺปิ สพฺพํ วฎฺฎติฯ

    Ghaṭako pana telabhājanaṃ vā pādaggaṇhanakato atirekameva garubhaṇḍaṃ, suvaṇṇarajataārakūṭajātiphalikabhājanāni gihivikaṭānipi na vaṭṭanti. Senāsanaparibhoge pana āmāsampi anāmāsampi sabbaṃ vaṭṭati.

    วาสิยาทีสุ ปน ยาย วาสิยา ทนฺตกฎฺฐเจฺฉทนอุจฺฉุตจฺฉนมตฺตโต อญฺญํ มหากมฺมํ กาตุํ น สกฺกา, อยํ ภาชนียาฯ เสสา เยน เกนจิ อากาเรน กตา ครุภณฺฑํ, ปรสุ ปน อนฺตมโส เวชฺชานํ สิราเวธโกปิ ครุภณฺฑเมว, ตถา กุฐารีฯ ยา ปน อาวุธสเงฺขเปน กตา, อยํ อนามาสา, กุทาโล ทณฺฑพนฺธนิขาทนํ วา อครุภณฺฑํ นาม นตฺถิฯ สมฺมุญฺชนิทณฺฑขณนกํ ปน อทณฺฑกํ ผลมตฺตกเมว, ยํ สกฺกา สิปาฎิกาย ปกฺขิปิตฺวา ปริหริตุํ, ตํ ภาชนียํฯ สิขรมฺปิ นิขาทเนเนว สงฺคหิตํ, เยหิ มนุเสฺสหิ วิหาเร วาสิอาทีนิ ทินฺนานิ โหนฺติ, เต เจ ฆเร ทเฑฺฒ วา วิลุเตฺต วา ‘‘เทถ โน, ภเนฺต, อุปกฺขเร, ปุน อาหริสฺสามา’’ติ วทนฺติ, ทาตพฺพาฯ สเจ หรนฺติ, น วาเรตพฺพา, อนาหรนฺตาปิ น โจเทตพฺพาฯ

    Vāsiyādīsu pana yāya vāsiyā dantakaṭṭhacchedanaucchutacchanamattato aññaṃ mahākammaṃ kātuṃ na sakkā, ayaṃ bhājanīyā. Sesā yena kenaci ākārena katā garubhaṇḍaṃ, parasu pana antamaso vejjānaṃ sirāvedhakopi garubhaṇḍameva, tathā kuṭhārī. Yā pana āvudhasaṅkhepena katā, ayaṃ anāmāsā, kudālo daṇḍabandhanikhādanaṃ vā agarubhaṇḍaṃ nāma natthi. Sammuñjanidaṇḍakhaṇanakaṃ pana adaṇḍakaṃ phalamattakameva, yaṃ sakkā sipāṭikāya pakkhipitvā pariharituṃ, taṃ bhājanīyaṃ. Sikharampi nikhādaneneva saṅgahitaṃ, yehi manussehi vihāre vāsiādīni dinnāni honti, te ce ghare daḍḍhe vā vilutte vā ‘‘detha no, bhante, upakkhare, puna āharissāmā’’ti vadanti, dātabbā. Sace haranti, na vāretabbā, anāharantāpi na codetabbā.

    กมฺมารตฎฺฎการจุนฺทการนฬการมณิการปตฺตพนฺธกานํ อธิกรณิมุฎฺฐิสณฺฑาสตุลาทีนิ สพฺพานิ โลหมยานิ อุปกรณานิ สเงฺฆ ทินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ครุภณฺฑานิฯ ติปุโกฎฺฎกสุวณฺณการจมฺมการอุปกรเณสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปน วิเสโส, ติปุโกฎฺฎกอุปกรเณสุ ติปุเจฺฉทนกสตฺถกํ, สุวณฺณการอุปกรเณสุ สุวณฺณเจฺฉทนกสตฺถกํ, จมฺมการอุปกรเณสุ กตปริกมฺมจมฺมเจฺฉทนขุทฺทกสตฺถนฺติ อิมานิ ภาชนียานิฯ นฺหาปิตตุนฺนการอุปกรเณสุปิ ฐเปตฺวา มหากตฺตริํ มหาสณฺฑาสํ มหาปิปฺผลิกญฺจ สพฺพํ วฎฺฎติ, อิตรานิ ครุภณฺฑานิฯ

    Kammārataṭṭakāracundakāranaḷakāramaṇikārapattabandhakānaṃ adhikaraṇimuṭṭhisaṇḍāsatulādīni sabbāni lohamayāni upakaraṇāni saṅghe dinnakālato paṭṭhāya garubhaṇḍāni. Tipukoṭṭakasuvaṇṇakāracammakāraupakaraṇesupi eseva nayo. Ayaṃ pana viseso, tipukoṭṭakaupakaraṇesu tipucchedanakasatthakaṃ, suvaṇṇakāraupakaraṇesu suvaṇṇacchedanakasatthakaṃ, cammakāraupakaraṇesu kataparikammacammacchedanakhuddakasatthanti imāni bhājanīyāni. Nhāpitatunnakāraupakaraṇesupi ṭhapetvā mahākattariṃ mahāsaṇḍāsaṃ mahāpipphalikañca sabbaṃ vaṭṭati, itarāni garubhaṇḍāni.

    วลฺลิอาทีสุ เวตฺตวลฺลิอาทิกา ยา กาจิ อฑฺฒพาหุปฺปมาณา วลฺลิ สงฺฆสฺส ทินฺนา วา ตตฺถชาตกา วา รกฺขิตโคปิตาว ครุภณฺฑํ, สา สงฺฆกเมฺม จ เจติยกเมฺม จ กเต สเจ อติเรกา โหติ, ปุคฺคลิกกเมฺมปิ อุปเนตุํ วฎฺฎติ, สุตฺตมกจิวากนาฬิเกรหีรจมฺมมยา รชฺชุกา วา โยตฺตานิ วา วาเก จ นาฬิเกรหีเร จ วเฎฺฎตฺวา กตา เอกวฎฺฎา วา ทฺวิวฎฺฎา วา สงฺฆสฺส สนฺตกา ครุภณฺฑํฯ สุตฺตํ ปน อวเฎฺฎตฺวา ทินฺนํ มกจิวากนาฬิเกรหีรา จ ภาชนียา ฯ เยหิ ปเนตานิ รชฺชุกาทีนิ ทินฺนานิ โหนฺติ, เต อตฺตโน กรณีเยน หรนฺตา น วาเรตพฺพาฯ

    Valliādīsu vettavalliādikā yā kāci aḍḍhabāhuppamāṇā valli saṅghassa dinnā vā tatthajātakā vā rakkhitagopitāva garubhaṇḍaṃ, sā saṅghakamme ca cetiyakamme ca kate sace atirekā hoti, puggalikakammepi upanetuṃ vaṭṭati, suttamakacivākanāḷikerahīracammamayā rajjukā vā yottāni vā vāke ca nāḷikerahīre ca vaṭṭetvā katā ekavaṭṭā vā dvivaṭṭā vā saṅghassa santakā garubhaṇḍaṃ. Suttaṃ pana avaṭṭetvā dinnaṃ makacivākanāḷikerahīrā ca bhājanīyā . Yehi panetāni rajjukādīni dinnāni honti, te attano karaṇīyena harantā na vāretabbā.

    โย โกจิ อฎฺฐงฺคุลสูจิทณฺฑกมโตฺตปิ เวฬุ สงฺฆสฺส ทิโนฺน วา ตตฺถชาตโก วา รกฺขิตโคปิโต ครุภณฺฑํ, โสปิ สงฺฆสฺส กเมฺม จ เจติยกเมฺม จ กเต อติเรโก ปุคฺคลิกกเมฺม ทาตุํ วฎฺฎติฯ ปาทคฺคณฺหนกเตลนาฬิ ปน กตฺตรยฎฺฐิ อุปาหนทณฺฑโก ฉตฺตทโณฺฑ ฉตฺตสลากาติ อิทเมตฺถ ภาชนียภณฺฑํ, ทฑฺฒเคหมนุสฺสา คณฺหิตฺวา คจฺฉนฺตา น วาเรตพฺพาฯ

    Yo koci aṭṭhaṅgulasūcidaṇḍakamattopi veḷu saṅghassa dinno vā tatthajātako vā rakkhitagopito garubhaṇḍaṃ, sopi saṅghassa kamme ca cetiyakamme ca kate atireko puggalikakamme dātuṃ vaṭṭati. Pādaggaṇhanakatelanāḷi pana kattarayaṭṭhi upāhanadaṇḍako chattadaṇḍo chattasalākāti idamettha bhājanīyabhaṇḍaṃ, daḍḍhagehamanussā gaṇhitvā gacchantā na vāretabbā.

    มุญฺชญฺจ ปพฺพชญฺจ อวเสสญฺจ ฉทนติณํ มุฎฺฐิปฺปมาณมฺปิ ฉทนติณสเงฺขปคเตสุ ตาลปณฺณาทีสุ ยํกิญฺจิ เอกปณฺณมฺปิ สงฺฆสฺส ทินฺนํ วา ตตฺถชาตกํ วา พหิอาราเม สงฺฆิเก ติณวตฺถุสฺมิํ ชาตกํ วา รกฺขิตโคปิตํ ครุภณฺฑํ, ตมฺปิ สงฺฆกเมฺม จ เจติยกเมฺม จ กเต อติเรกํ ปุคฺคลิกกเมฺม ทาตุํ วฎฺฎติฯ ทฑฺฒเคหมนุสฺสา คเหตฺวา คจฺฉนฺตา น วาเรตพฺพา, อฎฺฐงฺคุลปฺปมาโณปิ ริตฺตกโปตฺถโก ครุภณฺฑเมวฯ

    Muñjañca pabbajañca avasesañca chadanatiṇaṃ muṭṭhippamāṇampi chadanatiṇasaṅkhepagatesu tālapaṇṇādīsu yaṃkiñci ekapaṇṇampi saṅghassa dinnaṃ vā tatthajātakaṃ vā bahiārāme saṅghike tiṇavatthusmiṃ jātakaṃ vā rakkhitagopitaṃ garubhaṇḍaṃ, tampi saṅghakamme ca cetiyakamme ca kate atirekaṃ puggalikakamme dātuṃ vaṭṭati. Daḍḍhagehamanussā gahetvā gacchantā na vāretabbā, aṭṭhaṅgulappamāṇopi rittakapotthako garubhaṇḍameva.

    มตฺติกา ปกติมตฺติกา วา โหตุ ปญฺจวณฺณา วา สุธา วา สชฺชุรสกงฺคุฎฺฐสิเลสาทีสุ วา ยํกิญฺจิ ทุลฺลภฎฺฐาเน อาเนตฺวา วา ทินฺนํ ตตฺถชาตกํ วา รกฺขิตโคปิตํ ตาลปกฺกมตฺตํ ครุภณฺฑํ โหติ, ตมฺปิ สงฺฆกเมฺม จ เจติยกเมฺม จ กเต อติเรกํ ปุคฺคลิกกเมฺม ทาตุํ วฎฺฎติฯ หิงฺคุหิงฺคุลกหริตาลมโนสิลญฺชนาทีนิ ปน ภาชนียานิฯ

    Mattikā pakatimattikā vā hotu pañcavaṇṇā vā sudhā vā sajjurasakaṅguṭṭhasilesādīsu vā yaṃkiñci dullabhaṭṭhāne ānetvā vā dinnaṃ tatthajātakaṃ vā rakkhitagopitaṃ tālapakkamattaṃ garubhaṇḍaṃ hoti, tampi saṅghakamme ca cetiyakamme ca kate atirekaṃ puggalikakamme dātuṃ vaṭṭati. Hiṅguhiṅgulakaharitālamanosilañjanādīni pana bhājanīyāni.

    ทารุภเณฺฑ โย โกจิ เวฬุมฺหิ วุตฺตปฺปมาโณ ทารุภณฺฑโก สงฺฆสฺส ทิโนฺน วา ตตฺถชาตโก วา รกฺขิตโคปิโต ครุภณฺฑํ, อปิ จ สพฺพาปิ ทารุเวฬุจมฺมปาสาณาทิวิกติ ทารุภเณฺฑน สงฺคหิตา, ตตฺถ มญฺจปีเฐหิ อสงฺคหิตานิ อาสนฺทิกาทีนิ อนฺตมโส โจเฬน วา ปลาเลหิ วา ปเณฺณหิ วา กตปีฐํ อุปาทาย สพฺพานิ อาสนานิฯ

    Dārubhaṇḍe yo koci veḷumhi vuttappamāṇo dārubhaṇḍako saṅghassa dinno vā tatthajātako vā rakkhitagopito garubhaṇḍaṃ, api ca sabbāpi dāruveḷucammapāsāṇādivikati dārubhaṇḍena saṅgahitā, tattha mañcapīṭhehi asaṅgahitāni āsandikādīni antamaso coḷena vā palālehi vā paṇṇehi vā katapīṭhaṃ upādāya sabbāni āsanāni.

    วงฺกผลกํ ทีฆผลกํ จีวรโธวนผลกํ ฆฎฺฎนผลกํ ฆฎฺฎนมุคฺคโร ทนฺตกฎฺฐเจฺฉทนคณฺฐิกา ทณฺฑมุคฺคโร นาวา อมฺพณํ รชนโทณิ อุทกปฎิจฺฉโก ทารุมโย วา ทนฺตมโย วา เวฬุมโย วา สปาทโกปิ อปาทโกปิ สมุโคฺค มญฺชูสา ปาทคฺคณฺหนกโต อติเรกปฺปมาโณ กรโณฺฑ อุทกโทณิ อุทกกฎาหํ อุฬุโงฺก กฎจฺฉุปานียสราวํ ปานียสโงฺขติ เอเตสุ ยํกิญฺจิ สเงฺฆ ทินฺนํ ครุภณฺฑํฯ สงฺขถาลกํ ปน ภาชนียํ, ตถา ทารุมโย อุทกตุโมฺพฯ

    Vaṅkaphalakaṃ dīghaphalakaṃ cīvaradhovanaphalakaṃ ghaṭṭanaphalakaṃ ghaṭṭanamuggaro dantakaṭṭhacchedanagaṇṭhikā daṇḍamuggaro nāvā ambaṇaṃ rajanadoṇi udakapaṭicchako dārumayo vā dantamayo vā veḷumayo vā sapādakopi apādakopi samuggo mañjūsā pādaggaṇhanakato atirekappamāṇo karaṇḍo udakadoṇi udakakaṭāhaṃ uḷuṅko kaṭacchupānīyasarāvaṃ pānīyasaṅkhoti etesu yaṃkiñci saṅghe dinnaṃ garubhaṇḍaṃ. Saṅkhathālakaṃ pana bhājanīyaṃ, tathā dārumayo udakatumbo.

    ปาทกถลิกมณฺฑลํ ทารุมยํ วา โหตุ โจฬปณฺณาทิมยํ วา สพฺพํ ครุภณฺฑํฯ อาธารโก ปตฺตปิธานํ ตาลวณฺฎํ พีชนี จโงฺกฎกํ ปจฺฉิ ยฎฺฐิสมฺมุญฺชนี มุฎฺฐิสมฺมุญฺชนีติ เอเตสุปิ ยํกิญฺจิ ขุทฺทกํ วา มหนฺตํ วา ทารุเวฬุปณฺณจมฺมาทีสุ เยน เกนจิ กตํ ครุภณฺฑเมวฯ

    Pādakathalikamaṇḍalaṃ dārumayaṃ vā hotu coḷapaṇṇādimayaṃ vā sabbaṃ garubhaṇḍaṃ. Ādhārako pattapidhānaṃ tālavaṇṭaṃ bījanī caṅkoṭakaṃ pacchi yaṭṭhisammuñjanī muṭṭhisammuñjanīti etesupi yaṃkiñci khuddakaṃ vā mahantaṃ vā dāruveḷupaṇṇacammādīsu yena kenaci kataṃ garubhaṇḍameva.

    ถมฺภตุลาโสปานผลกาทีสุ ยํกิญฺจิ ทารุมยํ วา ปาสาณมยํ วา เคหสมฺภารูปคํ โย โกจิ กฎสารโก ยํกิญฺจิ ภูมตฺถรณํ ยํกิญฺจิ อกปฺปิยจมฺมํ, สพฺพํ สงฺฆิกํ ครุภณฺฑํ, ภูมตฺถรณํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เอฬกจมฺมํ ปน ปจฺจตฺถรณคติกํ โหติ, ตมฺปิ ครุภณฺฑเมว, กปฺปิยจมฺมานิ ภาชนียานิ, กุรุนฺทิยํ ปน สพฺพํ มญฺจปฺปมาณํ จมฺมํ ครุภณฺฑนฺติ วุตฺตํฯ

    Thambhatulāsopānaphalakādīsu yaṃkiñci dārumayaṃ vā pāsāṇamayaṃ vā gehasambhārūpagaṃ yo koci kaṭasārako yaṃkiñci bhūmattharaṇaṃ yaṃkiñci akappiyacammaṃ, sabbaṃ saṅghikaṃ garubhaṇḍaṃ, bhūmattharaṇaṃ kātuṃ vaṭṭati. Eḷakacammaṃ pana paccattharaṇagatikaṃ hoti, tampi garubhaṇḍameva, kappiyacammāni bhājanīyāni, kurundiyaṃ pana sabbaṃ mañcappamāṇaṃ cammaṃ garubhaṇḍanti vuttaṃ.

    อุทุกฺขลํ มุสลํ สุปฺปํ นิสทํ นิสทโปโต ปาสาณโทณิ ปาสาณกฎาหํ สพฺพํ กสิภณฺฑมฺปิ ครุภณฺฑํ, สพฺพํ จกฺกยุตฺตยานํ ครุภณฺฑเมวฯ มญฺจปีฐานํ ปาทา จ อฎนิโย จ วาสิปรสุอาทีนํ ทณฺฑา จาติ เอเตสุ ยํกิญฺจิ อนิฎฺฐิตํ ภาชนียํ, ตจฺฉิตมฎฺฐํ ปน ครุภณฺฑํ โหติ, อนุญฺญาตวาสิยา ทโณฺฑ ฉตฺตํ มุฎฺฐิปณฺณํ กตฺตรยฎฺฐิ อุปาหนา อรณิสหิตํ ธมฺมกรโณ ปาทคฺคณฺหนกโต อนติริตฺตํ อามลกตุมฺพํ อามลกฆโฎ ลาพุกตุมฺพํ ลาพุกฆโฎ วิสาณตุมฺพนฺติ สพฺพเมตํ ภาชนียํ, ตโต ปรํ ครุภณฺฑํฯ

    Udukkhalaṃ musalaṃ suppaṃ nisadaṃ nisadapoto pāsāṇadoṇi pāsāṇakaṭāhaṃ sabbaṃ kasibhaṇḍampi garubhaṇḍaṃ, sabbaṃ cakkayuttayānaṃ garubhaṇḍameva. Mañcapīṭhānaṃ pādā ca aṭaniyo ca vāsiparasuādīnaṃ daṇḍā cāti etesu yaṃkiñci aniṭṭhitaṃ bhājanīyaṃ, tacchitamaṭṭhaṃ pana garubhaṇḍaṃ hoti, anuññātavāsiyā daṇḍo chattaṃ muṭṭhipaṇṇaṃ kattarayaṭṭhi upāhanā araṇisahitaṃ dhammakaraṇo pādaggaṇhanakato anatirittaṃ āmalakatumbaṃ āmalakaghaṭo lābukatumbaṃ lābukaghaṭo visāṇatumbanti sabbametaṃ bhājanīyaṃ, tato paraṃ garubhaṇḍaṃ.

    หตฺถิทโนฺต วา ยํกิญฺจิ วิสาณํ วา อตจฺฉิตํ ยถาคตเมว ภาชนียํ, เตหิ กตมญฺจปีฐปาทาทีสุ ปุริมสทิโสว วินิจฺฉโยฯ ตจฺฉิตนิฎฺฐิโตปิ หิงฺคุกรณฺฑโก อญฺชนิกรณฺฑโก คณฺฐิกา วิโธ อญฺชนี อญฺชนิสลากา อุทกปุญฺฉนีติ อิทํ สพฺพํ ภาชนียเมวฯ

    Hatthidanto vā yaṃkiñci visāṇaṃ vā atacchitaṃ yathāgatameva bhājanīyaṃ, tehi katamañcapīṭhapādādīsu purimasadisova vinicchayo. Tacchitaniṭṭhitopi hiṅgukaraṇḍako añjanikaraṇḍako gaṇṭhikā vidho añjanī añjanisalākā udakapuñchanīti idaṃ sabbaṃ bhājanīyameva.

    มตฺติกาภเณฺฑ สพฺพํ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ ฆฎปิฐราทิกุลาลภาชนํ, ปตฺตกฎาหํ องฺคารกฎาหํ ธูมทานกํ ทีปรุกฺขโก ทีปกปลฺลิกา จยนิฎฺฐกา ฉทนิฎฺฐกา ถุปิกาติ สพฺพํ ครุภณฺฑํ, เอเตสุ ปน วุตฺตนเยสุ ครุภเณฺฑสุ ยํกิญฺจิ เวฬุอาทิํ อตฺตโน อตฺถาย คณฺหเนฺตน สมกํ วา อติเรกํ วา ผาติกมฺมํ กตฺวา คเหตพฺพํฯ ปาทคฺคณฺหนกโต อนติริตฺตปฺปมาโณ ปน ฆฎโก ปโตฺต ถาลกํ กญฺจนโก กุณฺฑิกาติ อิทเมตฺถ ภาชนียํ, ยถา จ มตฺติกาภเณฺฑ เอวํ โลหภเณฺฑปิ กุณฺฑิกา ภาชนียโกฎฺฐาสเมว ภชติฯ อิติ ยํ ภาชนียํ วิสฺสชฺชนียมฺปิ ตํ เอวํ วิสฺสชฺชิยเวภงฺคิยสงฺขาตํ อญฺญํ ปริกฺขารํ ทตฺวา ขียนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, อิตรํ ปน ทาตุเมว น วฎฺฎติฯ อิสฺสรวตาย เทโนฺต ถุลฺลจฺจยํ อาปชฺชติ, เถยฺยจิเตฺตน คณฺหโนฺต ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตโพฺพฯ ยถา จ อญฺญํ ปริกฺขารํ ทตฺวา ขียนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, ตถา สเงฺฆน อสมฺมตสฺส จีวรํ วา อญฺญํ วา ปริกฺขารํ ทตฺวา ขียนฺตสฺส ทุกฺกฎเมว, อนุปสมฺปเนฺน สพฺพตฺถ ติกทุกฺกฎํฯ ปกติยา ปน ฉนฺทาทิวเสน (ปาจิ. ๔๘๘) กโรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘โก อโตฺถ ตสฺส ทิเนฺนน, ลทฺธาปิ วินิปาเตสฺสติ, น สมฺมา อุปเนสฺสตี’’ติ ขียนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนตา, ธเมฺมน ลทฺธสมฺมุติตา, สเงฺฆน สทฺธิํ วิกปฺปนุปคจีวรทานํ, ปจฺฉา ขียิตุกามตาย ขียนาติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Mattikābhaṇḍe sabbaṃ manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ ghaṭapiṭharādikulālabhājanaṃ, pattakaṭāhaṃ aṅgārakaṭāhaṃ dhūmadānakaṃ dīparukkhako dīpakapallikā cayaniṭṭhakā chadaniṭṭhakā thupikāti sabbaṃ garubhaṇḍaṃ, etesu pana vuttanayesu garubhaṇḍesu yaṃkiñci veḷuādiṃ attano atthāya gaṇhantena samakaṃ vā atirekaṃ vā phātikammaṃ katvā gahetabbaṃ. Pādaggaṇhanakato anatirittappamāṇo pana ghaṭako patto thālakaṃ kañcanako kuṇḍikāti idamettha bhājanīyaṃ, yathā ca mattikābhaṇḍe evaṃ lohabhaṇḍepi kuṇḍikā bhājanīyakoṭṭhāsameva bhajati. Iti yaṃ bhājanīyaṃ vissajjanīyampi taṃ evaṃ vissajjiyavebhaṅgiyasaṅkhātaṃ aññaṃ parikkhāraṃ datvā khīyantassa dukkaṭaṃ, itaraṃ pana dātumeva na vaṭṭati. Issaravatāya dento thullaccayaṃ āpajjati, theyyacittena gaṇhanto bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabbo. Yathā ca aññaṃ parikkhāraṃ datvā khīyantassa dukkaṭaṃ, tathā saṅghena asammatassa cīvaraṃ vā aññaṃ vā parikkhāraṃ datvā khīyantassa dukkaṭameva, anupasampanne sabbattha tikadukkaṭaṃ. Pakatiyā pana chandādivasena (pāci. 488) karontaṃ disvā ‘‘ko attho tassa dinnena, laddhāpi vinipātessati, na sammā upanessatī’’ti khīyantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannatā, dhammena laddhasammutitā, saṅghena saddhiṃ vikappanupagacīvaradānaṃ, pacchā khīyitukāmatāya khīyanāti imānettha cattāri aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    ทุพฺพลสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dubbalasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒. ปริณามนสิกฺขาปทวณฺณนา

    12. Pariṇāmanasikkhāpadavaṇṇanā

    ทฺวาทสเม สพฺพํ ติํสกกเณฺฑ ปริณามนสิกฺขาปเท วุตฺตนยเมวฯ อยเมว หิ วิเสโส, ตตฺถ อตฺตโน ปริณามิตตฺตา นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ, อิธ ปุคฺคลสฺส ปริณามิตตฺตา สุทฺธิกปาจิตฺติยนฺติฯ

    Dvādasame sabbaṃ tiṃsakakaṇḍe pariṇāmanasikkhāpade vuttanayameva. Ayameva hi viseso, tattha attano pariṇāmitattā nissaggiyaṃ pācittiyaṃ, idha puggalassa pariṇāmitattā suddhikapācittiyanti.

    ปริณามนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pariṇāmanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สหธมฺมิกวโคฺค อฎฺฐโมฯ

    Sahadhammikavaggo aṭṭhamo.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact