Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. ราชการามวโคฺค

    2. Rājakārāmavaggo

    ๑. สหสฺสภิกฺขุนิสงฺฆสุตฺตวณฺณนา

    1. Sahassabhikkhunisaṅghasuttavaṇṇanā

    ๑๐๐๗. ทุติยสฺส ปฐเม ราชการาเมติ รญฺญา การิตตฺตา เอวํ ลทฺธนาเม อาราเม, ตํ รญฺญา ปเสนทิโกสเลน กตํฯ ปฐมโพธิยํ กิร ลาภคฺคยสคฺคปตฺตํ สตฺถารํ ทิสฺวา ติตฺถิยา จินฺตยิํสุ – ‘‘สมโณ โคตโม ลาภคฺคยสคฺคปโตฺต, น โข ปเนส อญฺญํ กิญฺจิ สีลํ วา สมาธิํ วา นิสฺสาย เอวํ ลาภคฺคยสคฺคปโตฺตฯ ภูมิสีสํ ปน เตน คหิตํ, สเจ มยมฺปิ เชตวนสมีเป อารามํ การาเปตุํ สกฺกุเณยฺยาม, ลาภคฺคยสคฺคปตฺตา ภเวยฺยามา’’ติฯ เต อตฺตโน อตฺตโน อุปฎฺฐาเก สมาทเปตฺวา สตสหสฺสมเตฺต กหาปเณ ลภิตฺวา เต อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ? ปุจฺฉิฯ มยํ เชตวนสมีเป ติตฺถิยารามํ กโรม, สเจ สมโณ โคตโม วา สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา วา อาคนฺตฺวา วาเรสฺสนฺติ, วาเรตุํ มา อทตฺถาติ ลญฺชํ อทํสุฯ ราชา ลญฺชํ คเหตฺวา ‘‘คจฺฉถ กาเรถา’’ติ อาหฯ

    1007. Dutiyassa paṭhame rājakārāmeti raññā kāritattā evaṃ laddhanāme ārāme, taṃ raññā pasenadikosalena kataṃ. Paṭhamabodhiyaṃ kira lābhaggayasaggapattaṃ satthāraṃ disvā titthiyā cintayiṃsu – ‘‘samaṇo gotamo lābhaggayasaggapatto, na kho panesa aññaṃ kiñci sīlaṃ vā samādhiṃ vā nissāya evaṃ lābhaggayasaggapatto. Bhūmisīsaṃ pana tena gahitaṃ, sace mayampi jetavanasamīpe ārāmaṃ kārāpetuṃ sakkuṇeyyāma, lābhaggayasaggapattā bhaveyyāmā’’ti. Te attano attano upaṭṭhāke samādapetvā satasahassamatte kahāpaṇe labhitvā te ādāya rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā ‘‘kiṃ eta’’nti? Pucchi. Mayaṃ jetavanasamīpe titthiyārāmaṃ karoma, sace samaṇo gotamo vā samaṇassa gotamassa sāvakā vā āgantvā vāressanti, vāretuṃ mā adatthāti lañjaṃ adaṃsu. Rājā lañjaṃ gahetvā ‘‘gacchatha kārethā’’ti āha.

    เต คนฺตฺวา, อตฺตโน อุปฎฺฐาเกหิ ทพฺพสมฺภาเร อาหราเปตฺวา, ถมฺภุสฺสาปนาทีนิ กโรนฺตา, อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา เอกโกลาหลํ อกํสุฯ สตฺถา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ปมุเข ฐตฺวา ‘‘เก ปน เต, อานนฺท, อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา เกวฎฺฎา มเญฺญ มจฺฉวิโลเป’’ติ?, ปุจฺฉิฯ ติตฺถิยา, ภเนฺต , เชตวนสมีเป ติตฺถิยารามํ กโรนฺตีติฯ อานนฺท, อิเม สาสเนน ปฎิวิรุทฺธา ภิกฺขุสงฺฆสฺส อผาสุวิหารํ กริสฺสนฺติ, รโญฺญ อาโรเจตฺวา วาราเปหีติฯ

    Te gantvā, attano upaṭṭhākehi dabbasambhāre āharāpetvā, thambhussāpanādīni karontā, uccāsaddā mahāsaddā ekakolāhalaṃ akaṃsu. Satthā gandhakuṭito nikkhamma pamukhe ṭhatvā ‘‘ke pana te, ānanda, uccāsaddā mahāsaddā kevaṭṭā maññe macchavilope’’ti?, Pucchi. Titthiyā, bhante , jetavanasamīpe titthiyārāmaṃ karontīti. Ānanda, ime sāsanena paṭiviruddhā bhikkhusaṅghassa aphāsuvihāraṃ karissanti, rañño ārocetvā vārāpehīti.

    เถโร ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ รโญฺญ ‘‘เถรา, เทว, อาคตา’’ติ นิเวทยิํสุฯ ราชา ลญฺชสฺส คหิตตฺตา น นิกฺขมิฯ เถรา คนฺตฺวา สตฺถุ อาโรจยิํสุฯ สตฺถา สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน เปเสสิฯ ราชา เตสมฺปิ ทสฺสนํ น อทาสิฯ เต อาคนฺตฺวา สตฺถุ อาโรจยิํสุ ‘‘น, ภเนฺต, ราชา นิกฺขโนฺต’’ติฯ สตฺถา ตงฺขณํเยว พฺยากาสิ – ‘‘อตฺตโน รเชฺช ฐตฺวา กาลํ กาตุํ น ลภิสฺสตี’’ติฯ

    Thero bhikkhusaṅghena saddhiṃ gantvā rājadvāre aṭṭhāsi. Rañño ‘‘therā, deva, āgatā’’ti nivedayiṃsu. Rājā lañjassa gahitattā na nikkhami. Therā gantvā satthu ārocayiṃsu. Satthā sāriputtamoggallāne pesesi. Rājā tesampi dassanaṃ na adāsi. Te āgantvā satthu ārocayiṃsu ‘‘na, bhante, rājā nikkhanto’’ti. Satthā taṅkhaṇaṃyeva byākāsi – ‘‘attano rajje ṭhatvā kālaṃ kātuṃ na labhissatī’’ti.

    ทุติยทิวเส จ สามํเยว ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ราชา ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา นิกฺขมิตฺวา, นิเวสนํ ปเวเสตฺวา, สารปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา, ยาคุขชฺชกํ อทาสิฯ สตฺถา ปริภุตฺตยาคุขาทนีโย ‘‘ยาว ภตฺตํ นิฎฺฐาติ, ตาว สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา นิสินฺนํ ราชานํ ‘‘ตยา, มหาราช, อิทํ นาม กต’’นฺติ อวตฺวา, ‘‘การเณเนว นํ สญฺญาเปสฺสามี’’ติ อิทํ อตีตการณํ อาหริ – มหาราช, ปพฺพชิเต นาม อญฺญมญฺญํ ยุชฺฌาเปตุํ น วฎฺฎติฯ อตีเตปิ อิสโย อญฺญมญฺญํ ยุชฺฌาเปตฺวา สห รเฎฺฐน ราชา สมุทฺทํ ปวิโฎฺฐติฯ กทา ภควาติ?

    Dutiyadivase ca sāmaṃyeva bhikkhusaṅghaparivāro gantvā rājadvāre aṭṭhāsi. Rājā ‘‘satthā āgato’’ti sutvā nikkhamitvā, nivesanaṃ pavesetvā, sārapallaṅke nisīdāpetvā, yāgukhajjakaṃ adāsi. Satthā paribhuttayāgukhādanīyo ‘‘yāva bhattaṃ niṭṭhāti, tāva satthu santike nisīdissāmī’’ti āgantvā nisinnaṃ rājānaṃ ‘‘tayā, mahārāja, idaṃ nāma kata’’nti avatvā, ‘‘kāraṇeneva naṃ saññāpessāmī’’ti idaṃ atītakāraṇaṃ āhari – mahārāja, pabbajite nāma aññamaññaṃ yujjhāpetuṃ na vaṭṭati. Atītepi isayo aññamaññaṃ yujjhāpetvā saha raṭṭhena rājā samuddaṃ paviṭṭhoti. Kadā bhagavāti?

    อตีเต, มหาราช, ภรุรเฎฺฐ ภรุราชา นาม รชฺชํ กาเรติฯ ปญฺจสตา ปญฺจสตา เทฺว อิสิคณา ปพฺพตปาทโต โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ภรุนครํ คนฺตฺวา นครสฺส อวิทูเร เทฺว รุกฺขา อตฺถิ, ปฐมํ อาคโต อิสิคโณ เอกสฺส รุกฺขสฺส มูเล นิสีทิ, ปจฺฉาคโตปิ เอกสฺสาติฯ เต ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ปพฺพตปาทํ เอว อคมํสุฯ เต ปุน อาคจฺฉนฺตาปิ อตฺตโน รุกฺขมูเลเยว นิสีทนฺติฯ อทฺธาเน คจฺฉเนฺต เอโก รุโกฺข สุกฺขิ, ตสฺมิํ สุเกฺข อาคตา ตาปสา ‘‘อยํ รุโกฺข มหา, อมฺหากมฺปิ เตสมฺปิ ปโหสฺสตี’’ติ อิตเรสํ รุกฺขมูลสฺส เอกปเทเส นิสีทิํสุฯ เต ปจฺฉา อาคจฺฉนฺตา รุกฺขมูลํ อปวิสิตฺวา พหิ ฐิตาว ‘‘กสฺมา ตุเมฺห เอตฺถ นิสีทถา’’ติ อาหํสุฯ อาจริยา อมฺหากํ รุโกฺข สุโกฺข, อยํ รุโกฺข มหา, ตุเมฺหปิ ปวิสถ, ตุมฺหากมฺปิ อมฺหากมฺปิ ปโหสฺสตีติฯ เต ‘‘น มยํ ปวิสาม, นิกฺขมถ ตุเมฺห’’ติ กถํ วเฑฺฒตฺวา ‘‘น ตุเมฺห อตฺตโนว มเนน นิกฺขมิสฺสถา’’ติ หตฺถาทีสุ คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒิํสุฯ เต ‘‘โหตุ สิกฺขาเปสฺสาม เน’’ติ อิทฺธิยา โสวณฺณมยานิ เทฺว จกฺกานิ รชตมยญฺจ อกฺขํ มาเปตฺวา ปวเฎฺฎนฺตา ราชทฺวารํ อคมิํสุฯ รโญฺญ ‘‘เอวรูปํ, เทว, ตาปสา ปณฺณาการํ คเหตฺวา ฐิตา’’ติ นิเวทยิํสุฯ ราชา ตุโฎฺฐ ‘‘ปโกฺกสถา’’ติ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มหากมฺมํ ตุเมฺหหิ กตํ, อตฺถิ โว กิญฺจิ มยา กตฺตพฺพ’’นฺติ อาหฯ อาม, มหาราช, อมฺหากํ นิสินฺนฎฺฐานํ เอกรุกฺขมูลํ อตฺถิ, ตํ อเญฺญหิ อิสีหิ คหิตํ, ตํ โน ทาเปหีติฯ ราชา ปุริเส เปเสตฺวา ตาปเส นิกฺกฑฺฒาเปสิฯ

    Atīte, mahārāja, bharuraṭṭhe bharurājā nāma rajjaṃ kāreti. Pañcasatā pañcasatā dve isigaṇā pabbatapādato loṇambilasevanatthāya bharunagaraṃ gantvā nagarassa avidūre dve rukkhā atthi, paṭhamaṃ āgato isigaṇo ekassa rukkhassa mūle nisīdi, pacchāgatopi ekassāti. Te yathābhirantaṃ viharitvā pabbatapādaṃ eva agamaṃsu. Te puna āgacchantāpi attano rukkhamūleyeva nisīdanti. Addhāne gacchante eko rukkho sukkhi, tasmiṃ sukkhe āgatā tāpasā ‘‘ayaṃ rukkho mahā, amhākampi tesampi pahossatī’’ti itaresaṃ rukkhamūlassa ekapadese nisīdiṃsu. Te pacchā āgacchantā rukkhamūlaṃ apavisitvā bahi ṭhitāva ‘‘kasmā tumhe ettha nisīdathā’’ti āhaṃsu. Ācariyā amhākaṃ rukkho sukkho, ayaṃ rukkho mahā, tumhepi pavisatha, tumhākampi amhākampi pahossatīti. Te ‘‘na mayaṃ pavisāma, nikkhamatha tumhe’’ti kathaṃ vaḍḍhetvā ‘‘na tumhe attanova manena nikkhamissathā’’ti hatthādīsu gahetvā nikkaḍḍhiṃsu. Te ‘‘hotu sikkhāpessāma ne’’ti iddhiyā sovaṇṇamayāni dve cakkāni rajatamayañca akkhaṃ māpetvā pavaṭṭentā rājadvāraṃ agamiṃsu. Rañño ‘‘evarūpaṃ, deva, tāpasā paṇṇākāraṃ gahetvā ṭhitā’’ti nivedayiṃsu. Rājā tuṭṭho ‘‘pakkosathā’’ti te pakkosāpetvā ‘‘mahākammaṃ tumhehi kataṃ, atthi vo kiñci mayā kattabba’’nti āha. Āma, mahārāja, amhākaṃ nisinnaṭṭhānaṃ ekarukkhamūlaṃ atthi, taṃ aññehi isīhi gahitaṃ, taṃ no dāpehīti. Rājā purise pesetvā tāpase nikkaḍḍhāpesi.

    เต พหิ ฐิตา ‘‘กิํ นุ โข ทตฺวา ลภิํสู’’ติ โอโลกยมานา ‘‘อิทํ นามา’’ติ ทิสฺวา ‘‘มยมฺปิ ลญฺชํ ทตฺวา ปุน คณฺหิสฺสามา’’ติ อิทฺธิยา โสวณฺณมยํ รถปญฺชรํ มาเปตฺวา อาทาย อคมํสุฯ ราชา ทิสฺวา ตุโฎฺฐ – ‘‘กิํ, ภเนฺต, กาตพฺพ’’นฺติ?, อาหฯ มหาราช อมฺหากํ รุกฺขมูเล อโญฺญ อิสิคโณ นิสิโนฺน, ตํ โน รุกฺขมูลํ ทาเปหีติฯ ราชา ปุริเส เปเสตฺวา เต นิกฺกฑฺฒาเปสิฯ ตาปสา อญฺญมญฺญํ กลหํ กตฺวา, ‘‘อนนุจฺฉวิกํ อเมฺหหิ กต’’นฺติ วิปฺปฎิสาริโน หุตฺวา ปพฺพตปาทเมว อคมํสุฯ ตโต เทวตา ‘‘อยํ ราชา ทฺวินฺนํ อิสิคณานํ หตฺถโต ลญฺชํ คเหตฺวา อญฺญมญฺญํ กลหํ การาเปสี’’ติ กุชฺฌิตฺวา มหาสมุทฺทํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ตสฺส รโญฺญ วิชิตํ โยชนสหสฺสมตฺตฎฺฐานํ สมุทฺทเมว อกํสูติฯ

    Te bahi ṭhitā ‘‘kiṃ nu kho datvā labhiṃsū’’ti olokayamānā ‘‘idaṃ nāmā’’ti disvā ‘‘mayampi lañjaṃ datvā puna gaṇhissāmā’’ti iddhiyā sovaṇṇamayaṃ rathapañjaraṃ māpetvā ādāya agamaṃsu. Rājā disvā tuṭṭho – ‘‘kiṃ, bhante, kātabba’’nti?, Āha. Mahārāja amhākaṃ rukkhamūle añño isigaṇo nisinno, taṃ no rukkhamūlaṃ dāpehīti. Rājā purise pesetvā te nikkaḍḍhāpesi. Tāpasā aññamaññaṃ kalahaṃ katvā, ‘‘ananucchavikaṃ amhehi kata’’nti vippaṭisārino hutvā pabbatapādameva agamaṃsu. Tato devatā ‘‘ayaṃ rājā dvinnaṃ isigaṇānaṃ hatthato lañjaṃ gahetvā aññamaññaṃ kalahaṃ kārāpesī’’ti kujjhitvā mahāsamuddaṃ ubbaṭṭetvā tassa rañño vijitaṃ yojanasahassamattaṭṭhānaṃ samuddameva akaṃsūti.

    ‘‘อิสีนมนฺตรํ กตฺวา, ภรุราชาติ เม สุตํ;

    ‘‘Isīnamantaraṃ katvā, bharurājāti me sutaṃ;

    อุจฺฉิโนฺน สห รเฎฺฐหิ, ส ราชา วิภวงฺคโต’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๑๒๕) –

    Ucchinno saha raṭṭhehi, sa rājā vibhavaṅgato’’ti. (jā. 1.2.125) –

    เอวํ ภควตา อิมสฺมิํ อตีเต ทสฺสิเต ยสฺมา พุทฺธานํ นาม กถา โอกปฺปนิยา โหติ, ‘‘ตสฺมา ราชา อตฺตโน กิริยํ สลฺลเกฺขตฺวา อนุปธาเรตฺวา มยา อกตฺตพฺพํ กมฺมํ กต’’นฺติ ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, ติตฺถิเย นิกฺกฑฺฒถา’’ติ นิกฺกฑฺฒาเปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยา การิโต วิหาโร นาม นตฺถิ, ตสฺมิํเยว ฐาเน วิหารํ กาเรสฺสามี’’ติ เตสํ ทพฺพสมฺภาเรปิ อทตฺวา วิหารํ กาเรสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Evaṃ bhagavatā imasmiṃ atīte dassite yasmā buddhānaṃ nāma kathā okappaniyā hoti, ‘‘tasmā rājā attano kiriyaṃ sallakkhetvā anupadhāretvā mayā akattabbaṃ kammaṃ kata’’nti ‘‘gacchatha, bhaṇe, titthiye nikkaḍḍhathā’’ti nikkaḍḍhāpetvā cintesi – ‘‘mayā kārito vihāro nāma natthi, tasmiṃyeva ṭhāne vihāraṃ kāressāmī’’ti tesaṃ dabbasambhārepi adatvā vihāraṃ kāresi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. สหสฺสภิกฺขุนิสงฺฆสุตฺตํ • 1. Sahassabhikkhunisaṅghasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. สหสฺสภิกฺขุนิสงฺฆสุตฺตวณฺณนา • 1. Sahassabhikkhunisaṅghasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact