Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๒. สกฺการสุตฺตวณฺณนา
2. Sakkārasuttavaṇṇanā
๘๑. ทุติเย สกฺกาเรนาติ สกฺกาเรน เหตุภูเตน, อถ วา สกฺกาเรนาติ สกฺการเหตุนา, สกฺการเหตุเกน วาฯ สกฺการญฺหิ นิสฺสาย อิเธกเจฺจ ปุคฺคลา ปาปิจฺฉา อิจฺฉาปกตา อิจฺฉาจาเร ฐตฺวา ‘‘สกฺการํ นิพฺพเตฺตสฺสามา’’ติ อเนกวิหิตํ อเนสนํ อปฺปติรูปํ อาปชฺชิตฺวา อิโต จุตา อปาเยสุ นิพฺพตฺตนฺติ, อปเร ยถาสกฺการํ ลภิตฺวา ตนฺนิมิตฺตํ มานมทมจฺฉริยาทิวเสน ปมาทํ อาปชฺชิตฺวา อิโต จุตา อปาเยสุ นิพฺพตฺตนฺติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สกฺกาเรน อภิภูตา ปริยาทินฺนจิตฺตา’’ติฯ ตตฺถ อภิภูตาติ อโชฺฌตฺถฎาฯ ปริยาทินฺนจิตฺตาติ เขปิตจิตฺตา, อิจฺฉาจาเรน มานมทาทินา จ ขยํ ปาปิตกุสลจิตฺตาฯ อถ วา ปริยาทินฺนจิตฺตาติ ปริโต อาทินฺนจิตฺตา, วุตฺตปฺปกาเรน อกุสลโกฎฺฐาเสน ยถา กุสลจิตฺตสฺส อุปฺปตฺติวาโร น โหติ, เอวํ สมนฺตโต คหิตจิตฺตสนฺตานาติ อโตฺถฯ อสกฺกาเรนาติ หีเฬตฺวา ปริภวิตฺวา ปเรหิ อตฺตนิ ปวตฺติเตน อสกฺกาเรน เหตุนา, อสกฺการเหตุเกน วา มานาทินาฯ สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จาติ เกหิจิ ปวตฺติเตน สกฺกาเรน เกหิจิ ปวตฺติเตน อสกฺกาเรน จฯ เย หิ เกหิจิ ปฐมํ สกฺกตา หุตฺวา เตหิเยว อสารภาวํ ญตฺวา ปจฺฉา อสกฺกตา โหนฺติ, ตาทิเส สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จา’’ติฯ
81. Dutiye sakkārenāti sakkārena hetubhūtena, atha vā sakkārenāti sakkārahetunā, sakkārahetukena vā. Sakkārañhi nissāya idhekacce puggalā pāpicchā icchāpakatā icchācāre ṭhatvā ‘‘sakkāraṃ nibbattessāmā’’ti anekavihitaṃ anesanaṃ appatirūpaṃ āpajjitvā ito cutā apāyesu nibbattanti, apare yathāsakkāraṃ labhitvā tannimittaṃ mānamadamacchariyādivasena pamādaṃ āpajjitvā ito cutā apāyesu nibbattanti. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘sakkārena abhibhūtā pariyādinnacittā’’ti. Tattha abhibhūtāti ajjhotthaṭā. Pariyādinnacittāti khepitacittā, icchācārena mānamadādinā ca khayaṃ pāpitakusalacittā. Atha vā pariyādinnacittāti parito ādinnacittā, vuttappakārena akusalakoṭṭhāsena yathā kusalacittassa uppattivāro na hoti, evaṃ samantato gahitacittasantānāti attho. Asakkārenāti hīḷetvā paribhavitvā parehi attani pavattitena asakkārena hetunā, asakkārahetukena vā mānādinā. Sakkārena ca asakkārena cāti kehici pavattitena sakkārena kehici pavattitena asakkārena ca. Ye hi kehici paṭhamaṃ sakkatā hutvā tehiyeva asārabhāvaṃ ñatvā pacchā asakkatā honti, tādise sandhāya vuttaṃ ‘‘sakkārena ca asakkārena cā’’ti.
เอตฺถ สกฺกาเรน อภิภูตา เทวทตฺตาทโย นิทเสฺสตพฺพาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Ettha sakkārena abhibhūtā devadattādayo nidassetabbā. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ผลํ เว กทลิํ หนฺติ, ผลํ เวฬุํ ผลํ นฬํ;
‘‘Phalaṃ ve kadaliṃ hanti, phalaṃ veḷuṃ phalaṃ naḷaṃ;
สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ, คโพฺภ อสฺสตริํ ยถา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๓; อ. นิ. ๔.๖๘; จูฬว. ๓๓๕);
Sakkāro kāpurisaṃ hanti, gabbho assatariṃ yathā’’ti. (saṃ. ni. 1.183; a. ni. 4.68; cūḷava. 335);
สาธูนํ อุปริ กเตน อสกฺกาเรน อภิภูตา ทณฺฑกีราชกาลิงฺคราชมชฺฌราชาทโย นิทเสฺสตพฺพาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Sādhūnaṃ upari katena asakkārena abhibhūtā daṇḍakīrājakāliṅgarājamajjharājādayo nidassetabbā. Vuttampi cetaṃ –
‘‘กิสญฺหิ วจฺฉํ อวกิริย ทณฺฑกี,
‘‘Kisañhi vacchaṃ avakiriya daṇḍakī,
อุจฺฉินฺนมูโล สชโน สรโฎฺฐ;
Ucchinnamūlo sajano saraṭṭho;
กุกฺกุฬนาเม นิรยมฺหิ ปจฺจติ,
Kukkuḷanāme nirayamhi paccati,
ตสฺส ผุลิงฺคานิ ปตนฺติ กาเยฯ
Tassa phuliṅgāni patanti kāye.
‘‘โย สญฺญเต ปพฺพชิเต อวญฺจยิ,
‘‘Yo saññate pabbajite avañcayi,
ธมฺมํ ภณเนฺต สมเณ อทูสเก;
Dhammaṃ bhaṇante samaṇe adūsake;
ตํ นาฬิเกรํ สุนขา ปรตฺถ,
Taṃ nāḷikeraṃ sunakhā parattha,
สงฺคมฺม ขาทนฺติ วิผนฺทมานํ’’ฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๐-๗๑);
Saṅgamma khādanti viphandamānaṃ’’. (jā. 2.17.70-71);
‘‘อุปหจฺจ มนํ มโชฺฌ, มาตงฺคสฺมิํ ยสสฺสิเน;
‘‘Upahacca manaṃ majjho, mātaṅgasmiṃ yasassine;
สปาริสโชฺช อุจฺฉิโนฺน, มชฺฌารญฺญํ ตทา อหู’’ติฯ (ชา. ๒.๑๙.๙๖);
Sapārisajjo ucchinno, majjhāraññaṃ tadā ahū’’ti. (jā. 2.19.96);
สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จ อภิภูตา อญฺญติตฺถิยา นาฎปุตฺตาทโย นิทเสฺสตพฺพาฯ
Sakkārena ca asakkārena ca abhibhūtā aññatitthiyā nāṭaputtādayo nidassetabbā.
คาถาสุ อุภยนฺติ อุภเยน สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จฯ สมาธิ น วิกมฺปตีติ น จลติ, เอกคฺคภาเวน ติฎฺฐติฯ กสฺส ปน น จลตีติ อาห ‘‘อปฺปมาทวิหาริโน’’ติฯ โย ปมาทกรธมฺมานํ ราคาทีนํ สุฎฺฐุ ปหีนตฺตา อปฺปมาทวิหารี อรหา, ตสฺสฯ โส หิ โลกธเมฺมหิ น วิกมฺปติฯ สุขุมทิฎฺฐิวิปสฺสกนฺติ ผลสมาปตฺติอตฺถํ สุขุมาย ทิฎฺฐิยา ปญฺญาย อภิณฺหํ ปวตฺตวิปสฺสนตฺตา สุขุมทิฎฺฐิวิปสฺสกํฯ อุปาทานกฺขยารามนฺติ จตุนฺนํ อุปาทานานํ ขยํ ปริโยสานภูตํ อรหตฺตผลํ อารมิตพฺพํ เอตสฺสาติ อุปาทานกฺขยารามํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Gāthāsu ubhayanti ubhayena sakkārena ca asakkārena ca. Samādhi na vikampatīti na calati, ekaggabhāvena tiṭṭhati. Kassa pana na calatīti āha ‘‘appamādavihārino’’ti. Yo pamādakaradhammānaṃ rāgādīnaṃ suṭṭhu pahīnattā appamādavihārī arahā, tassa. So hi lokadhammehi na vikampati. Sukhumadiṭṭhivipassakanti phalasamāpattiatthaṃ sukhumāya diṭṭhiyā paññāya abhiṇhaṃ pavattavipassanattā sukhumadiṭṭhivipassakaṃ. Upādānakkhayārāmanti catunnaṃ upādānānaṃ khayaṃ pariyosānabhūtaṃ arahattaphalaṃ āramitabbaṃ etassāti upādānakkhayārāmaṃ. Sesaṃ vuttanayameva.
ทุติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๒. สกฺการสุตฺตํ • 2. Sakkārasuttaṃ