Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๔. สกฺการสุตฺตวณฺณนา
4. Sakkārasuttavaṇṇanā
๑๔. จตุเตฺถ เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหตีติ กปฺปานํ สตสหสฺสาธิเกสุ จตูสุ อสเงฺขฺยเยฺยสุ ปริปูริตสฺส ปุญฺญสมฺภารวิเสสสฺส ผลภูเตน ‘‘อิโต ปรํ มยฺหํ โอกาโส นตฺถี’’ติ อุสฺสหชาเตน วิย อุปรูปริ วฑฺฒมาเนน สกฺการาทินา ภควา สกฺกโต โหติฯ สพฺพทิสาสุ หิ ยมกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวา มโหฆํ วิย สพฺพปารมิโย ‘‘เอกสฺมิํ อตฺตภาเว วิปากํ ทสฺสามา’’ติ สมฺปิณฺฑิตา วิย ภควโต ลาภสกฺการมโหฆํ นิพฺพตฺตยิํสุฯ ตโต อนฺนปานวตฺถยานมาลาคนฺธวิเลปนาทิหตฺถา ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย อาคนฺตฺวา ‘‘กหํ พุโทฺธ, กหํ ภควา, กหํ เทวเทโว, กหํ นราสโภ, กหํ ปุริสสีโห’’ติ ภควนฺตํ ปริเยสนฺติฯ สกฎสเตหิ ปจฺจเย อาหริตฺวา โอกาสํ อลภมานา สมนฺตา คาวุตปฺปมาเณปิ สกฎธุเรน สกฎธุรํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺติ เจว อนุพนฺธนฺติ จ อนฺธกวินฺทพฺราหฺมณาทโย วิยฯ สพฺพํ ตํ ขนฺธเก (มหาว. ๒๘๒) เตสุ เตสุ จ สุเตฺตสุ อาคตนเยน เวทิตพฺพํฯ ยถา จ ภควโต, เอวํ ภิกฺขุสงฺฆสฺสาติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
14. Catutthe tena kho pana samayena bhagavā sakkato hotīti kappānaṃ satasahassādhikesu catūsu asaṅkhyeyyesu paripūritassa puññasambhāravisesassa phalabhūtena ‘‘ito paraṃ mayhaṃ okāso natthī’’ti ussahajātena viya uparūpari vaḍḍhamānena sakkārādinā bhagavā sakkato hoti. Sabbadisāsu hi yamakamahāmegho vuṭṭhahitvā mahoghaṃ viya sabbapāramiyo ‘‘ekasmiṃ attabhāve vipākaṃ dassāmā’’ti sampiṇḍitā viya bhagavato lābhasakkāramahoghaṃ nibbattayiṃsu. Tato annapānavatthayānamālāgandhavilepanādihatthā khattiyabrāhmaṇādayo āgantvā ‘‘kahaṃ buddho, kahaṃ bhagavā, kahaṃ devadevo, kahaṃ narāsabho, kahaṃ purisasīho’’ti bhagavantaṃ pariyesanti. Sakaṭasatehi paccaye āharitvā okāsaṃ alabhamānā samantā gāvutappamāṇepi sakaṭadhurena sakaṭadhuraṃ āhacca tiṭṭhanti ceva anubandhanti ca andhakavindabrāhmaṇādayo viya. Sabbaṃ taṃ khandhake (mahāva. 282) tesu tesu ca suttesu āgatanayena veditabbaṃ. Yathā ca bhagavato, evaṃ bhikkhusaṅghassāti. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยาวตา โข, จุนฺท, เอตรหิ สงฺฆา วา คณา วา โลเก อุปฺปนฺนา, นาหํ, จุนฺท, อญฺญํ เอกสงฺฆมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตํ, ยถริวายํ, จุนฺท, ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๗๖)ฯ
‘‘Yāvatā kho, cunda, etarahi saṅghā vā gaṇā vā loke uppannā, nāhaṃ, cunda, aññaṃ ekasaṅghampi samanupassāmi evaṃ lābhaggayasaggappattaṃ, yatharivāyaṃ, cunda, bhikkhusaṅgho’’ti (dī. ni. 3.176).
สฺวายํ ภควโต จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อุปฺปโนฺน ลาภสกฺกาโร เอกโต หุตฺวา ทฺวินฺนํ มหานทีนํ อุทโกโฆ วิย อปฺปเมโยฺย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ…เป.… ปริกฺขารานํ, ภิกฺขุสโงฺฆปิ สกฺกโต…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติฯ
Svāyaṃ bhagavato ca bhikkhusaṅghassa ca uppanno lābhasakkāro ekato hutvā dvinnaṃ mahānadīnaṃ udakogho viya appameyyo ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti…pe… parikkhārānaṃ, bhikkhusaṅghopi sakkato…pe… parikkhārāna’’nti.
ติตฺถิยา ปน ปุเพฺพ อกตปุญฺญตาย จ ทุปฺปฎิปนฺนตาย จ อสกฺกตา อครุกตา, พุทฺธุปฺปาเทน ปน วิเสสโต วิปนฺนโสภา สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกา วิย นิปฺปภา นิเตฺตชา หตลาภสกฺการา อเหสุํฯ เต ตาทิสํ ภควโต สงฺฆสฺส จ ลาภสกฺการํ อสหมานา อิสฺสาปกตา ‘‘เอวํ อิเม ผรุสาหิ วาจาหิ ฆเฎฺฎตฺวาว ปลาเปสฺสามา’’ติ อุสูยา วิสุคฺคารํ อุคฺคิรนฺตา ตตฺถ ตตฺถ ภิกฺขู อโกฺกสนฺตา ปริภาสนฺตา วิจริํสุ ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อญฺญติตฺถิยา ปน ปริพฺพาชกา อสกฺกตา โหนฺติ…เป.… ปริกฺขารานํฯ อถ โข เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา ภควโต สกฺการํ อสหมานา ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ คาเม จ อรเญฺญ จ ภิกฺขู ทิสฺวา อสพฺภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺตี’’ติฯ
Titthiyā pana pubbe akatapuññatāya ca duppaṭipannatāya ca asakkatā agarukatā, buddhuppādena pana visesato vipannasobhā sūriyuggamane khajjopanakā viya nippabhā nittejā hatalābhasakkārā ahesuṃ. Te tādisaṃ bhagavato saṅghassa ca lābhasakkāraṃ asahamānā issāpakatā ‘‘evaṃ ime pharusāhi vācāhi ghaṭṭetvāva palāpessāmā’’ti usūyā visuggāraṃ uggirantā tattha tattha bhikkhū akkosantā paribhāsantā vicariṃsu . Tena vuttaṃ – ‘‘aññatitthiyā pana paribbājakā asakkatā honti…pe… parikkhārānaṃ. Atha kho te aññatitthiyā paribbājakā bhagavato sakkāraṃ asahamānā bhikkhusaṅghassa ca gāme ca araññe ca bhikkhū disvā asabbhāhi pharusāhi vācāhi akkosanti paribhāsanti rosenti vihesentī’’ti.
ตตฺถ อสพฺภาหีติ อสภาโยคฺคาหิ สภายํ สาธุชนสมูเห วตฺตุํ อยุตฺตาหิ, ทุฎฺฐุลฺลาหีติ อโตฺถฯ ผรุสาหีติ กกฺขฬาหิ มมฺมเจฺฉทิกาหิฯ อโกฺกสนฺตีติ ชาติอาทีหิ อโกฺกสวตฺถูหิ ขุํเสนฺติฯ ปริภาสนฺตีติ ภณฺฑนวเสน ภยํ อุปฺปาเทนฺตา ตเชฺชนฺติฯ โรเสนฺตีติ ยถา ปรสฺส โรโส โหติ, เอวํ อนุทฺธํสนวเสน โรสํ อุปฺปาเทนฺติฯ วิเหเสนฺตีติ วิเหเฐนฺติ, วิวิเธหิ อากาเรหิ อผาสุํ กโรนฺติฯ
Tattha asabbhāhīti asabhāyoggāhi sabhāyaṃ sādhujanasamūhe vattuṃ ayuttāhi, duṭṭhullāhīti attho. Pharusāhīti kakkhaḷāhi mammacchedikāhi. Akkosantīti jātiādīhi akkosavatthūhi khuṃsenti. Paribhāsantīti bhaṇḍanavasena bhayaṃ uppādentā tajjenti. Rosentīti yathā parassa roso hoti, evaṃ anuddhaṃsanavasena rosaṃ uppādenti. Vihesentīti viheṭhenti, vividhehi ākārehi aphāsuṃ karonti.
กถํ ปเนเต สมนฺตปาสาทิเก ภควติ ภิกฺขุสเงฺฆ จ อโกฺกสาทีนิ ปวเตฺตสุนฺติ? ภควโต อุปฺปาทโต ปหีนลาภสกฺการตาย อุปหตจิตฺตา ปถวิํ ขณิตฺวา ปกฺขลนฺตา วิย อวเณ เวฬุริยมณิมฺหิ วณํ อุปฺปาเทนฺตา วิย จ สุนฺทริกํ นาม ปริพฺพาชิกํ สญฺญาเปตฺวา ตาย สตฺถุ ภิกฺขูนญฺจ อวณฺณํ วุฎฺฐาเปตฺวา อโกฺกสาทีนิ ปวเตฺตสุํฯ ตํ ปเนตํ สุนฺทรีวตฺถุ ปรโต สุนฺทรีสุเตฺต (อุทา. ๓๘) ปาฬิยํเยว อาคมิสฺสติ, ตสฺมา ยเมตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ ตเตฺถว วณฺณยิสฺสามฯ
Kathaṃ panete samantapāsādike bhagavati bhikkhusaṅghe ca akkosādīni pavattesunti? Bhagavato uppādato pahīnalābhasakkāratāya upahatacittā pathaviṃ khaṇitvā pakkhalantā viya avaṇe veḷuriyamaṇimhi vaṇaṃ uppādentā viya ca sundarikaṃ nāma paribbājikaṃ saññāpetvā tāya satthu bhikkhūnañca avaṇṇaṃ vuṭṭhāpetvā akkosādīni pavattesuṃ. Taṃ panetaṃ sundarīvatthu parato sundarīsutte (udā. 38) pāḷiyaṃyeva āgamissati, tasmā yamettha vattabbaṃ, taṃ tattheva vaṇṇayissāma.
ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ อุปสงฺกมิตฺวา ตํ ปวตฺติมาโรเจสุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ…เป.… วิเหเสนฺตี’’ติฯ ตํ วุตฺตตฺถเมวฯ
Bhikkhū bhagavato santikaṃ upasaṅkamitvā taṃ pavattimārocesuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sambahulā bhikkhū yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu…pe… vihesentī’’ti. Taṃ vuttatthameva.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อิสฺสาปกตานํ ติตฺถิยานํ วิปฺปฎิปตฺติํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ เตหิ กเต วิปฺปกาเร ปสนฺนจิเตฺตหิ จ ปเรหิ กเต อุปกาเร ตาทิภาวานุภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃviditvāti etaṃ issāpakatānaṃ titthiyānaṃ vippaṭipattiṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ tehi kate vippakāre pasannacittehi ca parehi kate upakāre tādibhāvānubhāvadīpakaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ คาเม อรเญฺญ สุขทุกฺขผุโฎฺฐติ คาเม วา อรเญฺญ วา ยตฺถ กตฺถจิ สุเขน ทุเกฺขน จ ผุโฎฺฐ สุขทุกฺขานิ อนุภวโนฺต, เตสํ วา ปจฺจเยหิ สมงฺคีภูโตฯ เนวตฺตโต โน ปรโต ทเหถาติ ‘‘อหํ สุขิโต , อหํ ทุกฺขิโต, มม สุขํ, มม ทุกฺขํ, ปเรนิทํ มยฺหํ สุขทุกฺขํ อุปฺปาทิต’’นฺติ จ เนว อตฺตโต น ปรโต ตํ สุขทุกฺขํ ฐเปถฯ กสฺมา? น เหตฺถ ขนฺธปญฺจเก อหนฺติ วา มมนฺติ วา ปโรติ วา ปรสฺสาติ วา ปสฺสิตพฺพยุตฺตกํ กิญฺจิ อตฺถิ, เกวลํ สงฺขารา เอว ปน ยถาปจฺจยํ อุปฺปชฺชิตฺวา ขเณ ขเณ ภิชฺชนฺตีติฯ สุขทุกฺขคฺคหณเญฺจตฺถ เทสนาสีสํ, สพฺพสฺสาปิ โลกธมฺมสฺส วเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิติ ภควา ‘‘นาหํ กฺวจนิ, กสฺสจิ กิญฺจนตสฺมิํ, น จ มม กฺวจนิ, กตฺถจิ กิญฺจนตตฺถี’’ติ จตุโกฎิกํ สุญฺญตํ วิภาเวสิฯ
Tattha gāme araññe sukhadukkhaphuṭṭhoti gāme vā araññe vā yattha katthaci sukhena dukkhena ca phuṭṭho sukhadukkhāni anubhavanto, tesaṃ vā paccayehi samaṅgībhūto. Nevattato no parato dahethāti ‘‘ahaṃ sukhito , ahaṃ dukkhito, mama sukhaṃ, mama dukkhaṃ, parenidaṃ mayhaṃ sukhadukkhaṃ uppādita’’nti ca neva attato na parato taṃ sukhadukkhaṃ ṭhapetha. Kasmā? Na hettha khandhapañcake ahanti vā mamanti vā paroti vā parassāti vā passitabbayuttakaṃ kiñci atthi, kevalaṃ saṅkhārā eva pana yathāpaccayaṃ uppajjitvā khaṇe khaṇe bhijjantīti. Sukhadukkhaggahaṇañcettha desanāsīsaṃ, sabbassāpi lokadhammassa vasena attho veditabbo. Iti bhagavā ‘‘nāhaṃ kvacani, kassaci kiñcanatasmiṃ, na ca mama kvacani, katthaci kiñcanatatthī’’ti catukoṭikaṃ suññataṃ vibhāvesi.
อิทานิ ตสฺส อตฺตโต ปรโต จ อทหนสฺส การณํ ทเสฺสติ ‘‘ผุสนฺติ ผสฺสา อุปธิํ ปฎิจฺจา’’ติฯ เอเต สุขเวทนียา ทุกฺขเวทนียา จ ผสฺสา นาม ขนฺธปญฺจกสงฺขาตํ อุปธิํ ปฎิจฺจ ตสฺมิํ สติ ยถาสกํ วิสยํ ผุสนฺติ, ตตฺถ ปวตฺตนฺติเยวฯ อทุกฺขมสุขา หิ เวทนา สนฺตสภาวตาย สุเข เอว สงฺคหํ คจฺฉตีติ ทุวิธสมฺผสฺสวเสเนวายํ อตฺถวณฺณนา กตาฯ
Idāni tassa attato parato ca adahanassa kāraṇaṃ dasseti ‘‘phusanti phassā upadhiṃ paṭiccā’’ti. Ete sukhavedanīyā dukkhavedanīyā ca phassā nāma khandhapañcakasaṅkhātaṃ upadhiṃ paṭicca tasmiṃ sati yathāsakaṃ visayaṃ phusanti, tattha pavattantiyeva. Adukkhamasukhā hi vedanā santasabhāvatāya sukhe eva saṅgahaṃ gacchatīti duvidhasamphassavasenevāyaṃ atthavaṇṇanā katā.
ยถา ปน เต ผสฺสา น ผุสนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘นิรุปธิํ เกน ผุเสยฺยุํ ผสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพโส หิ ขนฺธูปธิยา อสติ เกน การเณน เต ผสฺสา ผุเสยฺยุํ, น ตํ การณํ อตฺถิฯ ยทิ หิ ตุเมฺห อโกฺกสาทิวเสน อุปฺปชฺชนสุขทุกฺขํ น อิจฺฉถ, สพฺพโส นิรุปธิภาเวเยว โยคํ กเรยฺยาถาติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุยา คาถํ นิฎฺฐเปสิฯ เอวํ อิมินา อุทาเนน วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตํฯ
Yathā pana te phassā na phusanti, taṃ dassetuṃ ‘‘nirupadhiṃ kena phuseyyuṃ phassā’’ti vuttaṃ. Sabbaso hi khandhūpadhiyā asati kena kāraṇena te phassā phuseyyuṃ, na taṃ kāraṇaṃ atthi. Yadi hi tumhe akkosādivasena uppajjanasukhadukkhaṃ na icchatha, sabbaso nirupadhibhāveyeva yogaṃ kareyyāthāti anupādisesanibbānadhātuyā gāthaṃ niṭṭhapesi. Evaṃ iminā udānena vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitaṃ.
จตุตฺถสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catutthasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๔. สกฺการสุตฺตํ • 4. Sakkārasuttaṃ