Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๗. สกฺกุทานสุตฺตวณฺณนา
7. Sakkudānasuttavaṇṇanā
๒๗. สตฺตเม สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน โหติ อญฺญตรํ สมาธิํ สมาปชฺชิตฺวาติ เอตฺถ เกจิ ตาว อาหุ ‘‘อรหตฺตผลสมาธิ อิธ ‘อญฺญตโร สมาธี’ติ อธิเปฺปโต’’ติฯ ตญฺหิ โส อายสฺมา พหุลํ สมาปชฺชติ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํ, ปโหติ จ สตฺตาหมฺปิ ผลสมาปตฺติยา วีตินาเมตุํฯ ตถา หิ ภควตา –
27. Sattame sattāhaṃ ekapallaṅkena nisinno hoti aññataraṃ samādhiṃ samāpajjitvāti ettha keci tāva āhu ‘‘arahattaphalasamādhi idha ‘aññataro samādhī’ti adhippeto’’ti. Tañhi so āyasmā bahulaṃ samāpajjati diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ, pahoti ca sattāhampi phalasamāpattiyā vītināmetuṃ. Tathā hi bhagavatā –
‘‘อหํ, ภิกฺขเว, ยาวเท อากงฺขามิ วิวิเจฺจว กาเมหิ, วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ…เป.… วิหรามิฯ กสฺสโปปิ, ภิกฺขเว, ยาวเท อากงฺขติ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… วิหรตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๒) –
‘‘Ahaṃ, bhikkhave, yāvade ākaṅkhāmi vivicceva kāmehi, vivicca akusalehi dhammehi…pe… viharāmi. Kassapopi, bhikkhave, yāvade ākaṅkhati vivicceva kāmehi…pe… viharatī’’ti (saṃ. ni. 2.152) –
อาทินา นวานุปุพฺพวิหารฉฬภิญฺญาทิเภเท อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อตฺตนา สมสมฎฺฐาเน ฐปิโต, น เจตฺถ ‘‘ยทิ เอวํ เถโร ยมกปาฎิหาริยมฺปิ กเรยฺยา’’ติ วตฺตพฺพํ สาวกสาธารณานํเยว ฌานาทีนํ อธิเปฺปตตฺตาติฯ
Ādinā navānupubbavihārachaḷabhiññādibhede uttarimanussadhamme attanā samasamaṭṭhāne ṭhapito, na cettha ‘‘yadi evaṃ thero yamakapāṭihāriyampi kareyyā’’ti vattabbaṃ sāvakasādhāraṇānaṃyeva jhānādīnaṃ adhippetattāti.
โปราณา ปนาหุ – อญฺญตรํ สมาธิํ สมาปชฺชิตฺวาติ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวาฯ กถํ ปน นิโรธสมาปตฺติ สมาธีติ วุตฺตา? สมาธานเฎฺฐนฯ โก ปนายํ สมาธานโฎฺฐ? สมฺมเทว อาธาตพฺพตาฯ ยา หิ เอสา ปจฺจนีกธเมฺมหิ อกมฺปนียา พลปฺปตฺติยา สมถพลํ วิปสฺสนาพลนฺติ อิเมหิ ทฺวีหิ พเลหิ, อนิจฺจทุกฺขานตฺตนิพฺพิทาวิราคนิโรธปฎินิสฺสคฺควิวฎฺฎานุปสฺสนา จตฺตาริ มคฺคญาณานิ จตฺตาริ จ ผลญาณานีติ อิเมสํ โสฬสนฺนํ ญาณานํ วเสน โสฬสหิ ญาณจริยาหิ, ปฐมชฺฌานสมาธิอาทโย อฎฺฐ สมาธี เอกชฺฌํ กตฺวา คหิโต เตสํ อุปจารสมาธิ จาติ อิเมสํ นวนฺนํ สมาธีนํ วเสน นวหิ สมาธิจริยาหิ กายสงฺขาโร วจีสงฺขาโร จิตฺตสงฺขาโรติ อิเมสํ ติณฺณํ สงฺขารานํ ตตฺถ ตตฺถ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา ตถา วิหริตุกาเมน ยถาวุเตฺตสุ ฐาเนสุ วสีภาวปฺปเตฺตน อรหตา อนาคามินา วา ยถาธิเปฺปตํ กาลํ จิตฺตเจตสิกสนฺตานสฺส สมฺมเทว อปฺปวตฺติ อาธาตพฺพา, ตสฺสา ตถา สมาธาตพฺพตา อิธ สมาธานโฎฺฐ, เตนายํ วิหาโร สมาธีติ วุโตฺต, น อวิเกฺขปเฎฺฐนฯ เอเตนสฺส สมาปตฺติอโตฺถปิ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อิมญฺหิ นิโรธสมาปตฺติํ สนฺธาย ปฎิสมฺภิทามเคฺค –
Porāṇā panāhu – aññataraṃ samādhiṃ samāpajjitvāti nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā. Kathaṃ pana nirodhasamāpatti samādhīti vuttā? Samādhānaṭṭhena. Ko panāyaṃ samādhānaṭṭho? Sammadeva ādhātabbatā. Yā hi esā paccanīkadhammehi akampanīyā balappattiyā samathabalaṃ vipassanābalanti imehi dvīhi balehi, aniccadukkhānattanibbidāvirāganirodhapaṭinissaggavivaṭṭānupassanā cattāri maggañāṇāni cattāri ca phalañāṇānīti imesaṃ soḷasannaṃ ñāṇānaṃ vasena soḷasahi ñāṇacariyāhi, paṭhamajjhānasamādhiādayo aṭṭha samādhī ekajjhaṃ katvā gahito tesaṃ upacārasamādhi cāti imesaṃ navannaṃ samādhīnaṃ vasena navahi samādhicariyāhi kāyasaṅkhāro vacīsaṅkhāro cittasaṅkhāroti imesaṃ tiṇṇaṃ saṅkhārānaṃ tattha tattha paṭippassaddhiyā tathā viharitukāmena yathāvuttesu ṭhānesu vasībhāvappattena arahatā anāgāminā vā yathādhippetaṃ kālaṃ cittacetasikasantānassa sammadeva appavatti ādhātabbā, tassā tathā samādhātabbatā idha samādhānaṭṭho, tenāyaṃ vihāro samādhīti vutto, na avikkhepaṭṭhena. Etenassa samāpattiatthopi vuttoti veditabbo. Imañhi nirodhasamāpattiṃ sandhāya paṭisambhidāmagge –
‘‘กถํ ทฺวีหิ พเลหิ สมนฺนาคตตฺตา ติณฺณํ สงฺขารานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา โสฬสหิ ญาณจริยาหิ นวหิ สมาธิจริยาหิ วสีภาวตาย สญฺญานิโรธสมาปตฺติยา ญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๘๓) –
‘‘Kathaṃ dvīhi balehi samannāgatattā tiṇṇaṃ saṅkhārānaṃ paṭippassaddhiyā soḷasahi ñāṇacariyāhi navahi samādhicariyāhi vasībhāvatāya saññānirodhasamāpattiyā ñāṇa’’nti (paṭi. ma. 1.83) –
ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ทฺวีหิ พเลหี’’ติ เทฺว พลานิ สมถพลํ วิปสฺสนาพลนฺติ วิตฺถาโรฯ สายํ นิโรธสมาปตฺติกถา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๘๖๗ อาทโย) สํวณฺณิตาวฯ กสฺมา ปนายํ เถโร ผลสมาปตฺติํ อสมาปชฺชิตฺวา นิโรธํ สมาปชฺชิ? สเตฺตสุ อนุกมฺปายฯ อยญฺหิ มหาเถโร สพฺพาปิ สมาปตฺติโย วฬเญฺชติ, สตฺตานุคฺคเหน ปน เยภุเยฺยน นิโรธํ สมาปชฺชติฯ ตญฺหิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐิตสฺส กโต อปฺปโกปิ สกฺกาโร วิเสสโต มหปฺผโล มหานิสํโส โหตีติฯ
Pucchitvā ‘‘dvīhi balehī’’ti dve balāni samathabalaṃ vipassanābalanti vitthāro. Sāyaṃ nirodhasamāpattikathā visuddhimagge (visuddhi. 2.867 ādayo) saṃvaṇṇitāva. Kasmā panāyaṃ thero phalasamāpattiṃ asamāpajjitvā nirodhaṃ samāpajji? Sattesu anukampāya. Ayañhi mahāthero sabbāpi samāpattiyo vaḷañjeti, sattānuggahena pana yebhuyyena nirodhaṃ samāpajjati. Tañhi samāpajjitvā vuṭṭhitassa kato appakopi sakkāro visesato mahapphalo mahānisaṃso hotīti.
วุฎฺฐาสีติ อรหตฺตผลจิตฺตุปฺปตฺติยา วุฎฺฐาสิฯ นิโรธํ สมาปโนฺน หิ อรหา เจ อรหตฺตผลสฺส, อนาคามี เจ อนาคามิผลสฺส อุปฺปาเทน วุฎฺฐิโต นาม โหติฯ
Vuṭṭhāsīti arahattaphalacittuppattiyā vuṭṭhāsi. Nirodhaṃ samāpanno hi arahā ce arahattaphalassa, anāgāmī ce anāgāmiphalassa uppādena vuṭṭhito nāma hoti.
เตน โข ปน สมเยน สโกฺก เทวานมิโนฺท อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส ปิณฺฑปาตํ ทาตุกาโม โหตีติ กถํ ตสฺส ทาตุกามตา ชาตา? ยานิ ‘‘ตานิ ปญฺจมตฺตานิ เทวตาสตานี’’ติ วุตฺตานิ, ตา สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ปริจาริกา กกุฎปาทินิโย ปุเพฺพ ‘‘อโยฺย มหากสฺสโป ราชคหํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, คจฺฉถ เถรสฺส ทานํ เทถา’’ติ สเกฺกน เปสิตา อุปคนฺตฺวา ทิพฺพาหารํ ทาตุกามา ฐิตา เถเรน ปฎิกฺขิตฺตา เทวโลกเมว คตาฯ อิทานิ ปุริมปฺปฎิเกฺขปํ จิเนฺตตฺวา ‘‘กทาจิ คเณฺหยฺยา’’ติ สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส เถรสฺส ทานํ ทาตุกามา สกฺกสฺส อนาโรเจตฺวา สยเมว อาคนฺตฺวา ทิพฺพโภชนานิ อุปเนนฺติโย ปุริมนเยเนว เถเรน ปฎิกฺขิตฺตา เทวโลกํ คนฺตฺวา สเกฺกน ‘‘กหํ คตตฺถา’’ติ ปุฎฺฐา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ทิโนฺน โว เถรสฺส ปิณฺฑปาโต’’ติ สเกฺกน วุเตฺต ‘‘คณฺหิตุํ น อิจฺฉตี’’ติฯ ‘‘กิํ กเถสี’’ติ? ‘‘‘ทุคฺคตานํ สงฺคหํ กริสฺสามี’ติ อาห, เทวา’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห เกนากาเรน คตา’’ติ? ‘‘อิมินาว, เทวา’’ติฯ สโกฺก ‘‘ตุมฺหาทิสิโย เถรสฺส ปิณฺฑปาตํ กิํ ทสฺสนฺตี’’ติ? สยํ ทาตุกาโม, ชราชิโณฺณ ขณฺฑทโนฺต ปลิตเกโส โอภคฺคสรีโร มหลฺลโก ตนฺตวาโย หุตฺวา, สุชมฺปิ อสุรธีตรํ ตถารูปิเมว มหลฺลิกํ กตฺวา, เอกํ เปสการวีถิํ มาเปตฺวา ตนฺตํ ปสาเรโนฺต อจฺฉิ, สุชา ตสรํ ปูเรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน สโกฺก เทวานมิโนฺท…เป.… ตสรํ ปูเรตี’’ติฯ
Tena kho pana samayena sakko devānamindo āyasmato mahākassapassa piṇḍapātaṃ dātukāmo hotīti kathaṃ tassa dātukāmatā jātā? Yāni ‘‘tāni pañcamattāni devatāsatānī’’ti vuttāni, tā sakkassa devarañño paricārikā kakuṭapādiniyo pubbe ‘‘ayyo mahākassapo rājagahaṃ piṇḍāya pavisati, gacchatha therassa dānaṃ dethā’’ti sakkena pesitā upagantvā dibbāhāraṃ dātukāmā ṭhitā therena paṭikkhittā devalokameva gatā. Idāni purimappaṭikkhepaṃ cintetvā ‘‘kadāci gaṇheyyā’’ti samāpattito vuṭṭhitassa therassa dānaṃ dātukāmā sakkassa anārocetvā sayameva āgantvā dibbabhojanāni upanentiyo purimanayeneva therena paṭikkhittā devalokaṃ gantvā sakkena ‘‘kahaṃ gatatthā’’ti puṭṭhā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘dinno vo therassa piṇḍapāto’’ti sakkena vutte ‘‘gaṇhituṃ na icchatī’’ti. ‘‘Kiṃ kathesī’’ti? ‘‘‘Duggatānaṃ saṅgahaṃ karissāmī’ti āha, devā’’ti. ‘‘Tumhe kenākārena gatā’’ti? ‘‘Imināva, devā’’ti. Sakko ‘‘tumhādisiyo therassa piṇḍapātaṃ kiṃ dassantī’’ti? Sayaṃ dātukāmo, jarājiṇṇo khaṇḍadanto palitakeso obhaggasarīro mahallako tantavāyo hutvā, sujampi asuradhītaraṃ tathārūpimeva mahallikaṃ katvā, ekaṃ pesakāravīthiṃ māpetvā tantaṃ pasārento acchi, sujā tasaraṃ pūreti. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena sakko devānamindo…pe… tasaraṃ pūretī’’ti.
ตตฺถ ตนฺตํ วินาตีติ ปสาริตตนฺตํ วินโนฺต วิย โหติฯ ตสรํ ปูเรตีติ ตสรวฎฺฎิํ วเฑฺฒนฺตี วิยฯ เยน สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมีติ เถโร นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ‘‘ทุคฺคตชนสงฺคหํ กริสฺสามี’’ติ นคราภิมุโข คจฺฉโนฺต พหินคเร สเกฺกน มาปิตํ เปสการวีถิํ ปฎิปชฺชิตฺวา โอโลเกโนฺต อทฺทส โอลุคฺควิลุคฺคชิณฺณสาลํ ตตฺถ จ เต ชายมฺปติเก ยถาวุตฺตรูเป ตนฺตวายกมฺมํ กโรเนฺต ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มหลฺลกกาเลปิ กมฺมํ กโรนฺติฯ อิมสฺมิํ นคเร อิเมหิ ทุคฺคตตรา นตฺถิ มเญฺญฯ อิเมหิ ทินฺนํ สากมตฺตมฺปิ คเหตฺวา อิเมสํ สงฺคหํ กริสฺสามี’’ติฯ โส เตสํ เคหาภิมุโข อคมาสิฯ สโกฺก ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สุชํ อาห – ‘‘ภเทฺท, มยฺหํ อโยฺย อิโต อาคจฺฉติ, ตํ ตฺวํ อปสฺสนฺตี วิย ตุณฺหี หุตฺวา นิสีทฯ ขเณเนว วเญฺจตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทสฺสามา’’ติ เถโร คนฺตฺวา เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ เตปิ อปสฺสนฺตา วิย อตฺตโน กมฺมเมว กโรนฺตา โถกํ อาคมยิํสุฯ อถ สโกฺก ‘‘เคหทฺวาเร ฐิโต เอโก เถโร วิย ขายติ, อุปธาเรหิ ตาวา’’ติ อาหฯ ‘‘ตุเมฺห คนฺตฺวา อุปธาเรถ, สามี’’ติฯ โส เคหา นิกฺขมิตฺวา เถรํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ ชณฺณุกานิ โอลุมฺพิตฺวา นิตฺถุนโนฺต อุฎฺฐาย ‘‘กตรเตฺถโร นุ โข อโยฺย’’ติ โถกํ โอสกฺกิตฺวา ‘‘อกฺขีนิ เม ธูมายนฺตี’’ติ วตฺวา นลาเฎ หตฺถํ ฐเปตฺวา อุทฺธํ อุโลฺลเกตฺวา ‘‘อโห ทุกฺขํ อโยฺย โน มหากสฺสปเตฺถโรว จิรสฺสํ เม กุฎิทฺวารํ อาคโตฯ อตฺถิ นุ โข กิญฺจิ เคเห’’ติ อาหฯ สุชา โถกํ อากุลา วิย หุตฺวา ‘‘อตฺถิ, สามี’’ติ ปฎิวจนํ อทาสิฯ สโกฺก, ‘‘ภเนฺต, ลูขํ วา ปณีตํ วาติ อจิเนฺตตฺวา สงฺคหํ โน กโรถา’’ติ ปตฺตํ คณฺหิฯ เถโร ปตฺตํ เทโนฺต ‘‘อิเมสํ เอว ทุคฺคตานํ ชราชิณฺณานํ มยา สงฺคโห กาตโพฺพ’’ติ จิเนฺตสิฯ โส อโนฺต ปวิสิตฺวา ฆฎิโอทนํ นาม ฆฎิโต อุทฺธริตฺวา, ปตฺตํ ปูเรตฺวา, เถรสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อทฺทสา โข สโกฺก เทวานมิโนฺท…เป.… อทาสี’’ติฯ
Tattha tantaṃ vinātīti pasāritatantaṃ vinanto viya hoti. Tasaraṃ pūretīti tasaravaṭṭiṃ vaḍḍhentī viya. Yena sakkassa devānamindassa nivesanaṃ tenupasaṅkamīti thero nivāsetvā pattacīvaramādāya ‘‘duggatajanasaṅgahaṃ karissāmī’’ti nagarābhimukho gacchanto bahinagare sakkena māpitaṃ pesakāravīthiṃ paṭipajjitvā olokento addasa oluggaviluggajiṇṇasālaṃ tattha ca te jāyampatike yathāvuttarūpe tantavāyakammaṃ karonte disvā cintesi – ‘‘ime mahallakakālepi kammaṃ karonti. Imasmiṃ nagare imehi duggatatarā natthi maññe. Imehi dinnaṃ sākamattampi gahetvā imesaṃ saṅgahaṃ karissāmī’’ti. So tesaṃ gehābhimukho agamāsi. Sakko taṃ āgacchantaṃ disvā sujaṃ āha – ‘‘bhadde, mayhaṃ ayyo ito āgacchati, taṃ tvaṃ apassantī viya tuṇhī hutvā nisīda. Khaṇeneva vañcetvā piṇḍapātaṃ dassāmā’’ti thero gantvā gehadvāre aṭṭhāsi. Tepi apassantā viya attano kammameva karontā thokaṃ āgamayiṃsu. Atha sakko ‘‘gehadvāre ṭhito eko thero viya khāyati, upadhārehi tāvā’’ti āha. ‘‘Tumhe gantvā upadhāretha, sāmī’’ti. So gehā nikkhamitvā theraṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā ubhohi hatthehi jaṇṇukāni olumbitvā nitthunanto uṭṭhāya ‘‘kataratthero nu kho ayyo’’ti thokaṃ osakkitvā ‘‘akkhīni me dhūmāyantī’’ti vatvā nalāṭe hatthaṃ ṭhapetvā uddhaṃ ulloketvā ‘‘aho dukkhaṃ ayyo no mahākassapattherova cirassaṃ me kuṭidvāraṃ āgato. Atthi nu kho kiñci gehe’’ti āha. Sujā thokaṃ ākulā viya hutvā ‘‘atthi, sāmī’’ti paṭivacanaṃ adāsi. Sakko, ‘‘bhante, lūkhaṃ vā paṇītaṃ vāti acintetvā saṅgahaṃ no karothā’’ti pattaṃ gaṇhi. Thero pattaṃ dento ‘‘imesaṃ eva duggatānaṃ jarājiṇṇānaṃ mayā saṅgaho kātabbo’’ti cintesi. So anto pavisitvā ghaṭiodanaṃ nāma ghaṭito uddharitvā, pattaṃ pūretvā, therassa hatthe ṭhapesi. Tena vuttaṃ – ‘‘addasā kho sakko devānamindo…pe… adāsī’’ti.
ตตฺถ ฆฎิยาติ ภตฺตฆฎิโตฯ ‘‘ฆฎิโอทน’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺส ฆฎิโอทนํ นาม เทวานํ โกจิ อาหารวิเสโสติ อตฺถํ วทนฺติฯ อุทฺธริตฺวาติ กุโตจิ ภาชนโต อุทฺธริตฺวาฯ อเนกสูโป โส เอว อาหาโร ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา เถรสฺส หเตฺถ ฐปนกาเล กปณานํ อุปกปฺปนกลูขาหาโร วิย ปญฺญายิตฺถ, หเตฺถ ฐปิตมเตฺต ปน อตฺตโน ทิพฺพสภาเวเนว อฎฺฐาสิฯ อเนกสูโปติ มุคฺคมาสาทิสูเปหิ เจว ขชฺชวิกตีหิ จ อเนกวิธสูโปฯ อเนกพฺยญฺชโนติ นานาวิธอุตฺตริภโงฺคฯ อเนกรสพฺยญฺชโนติ อเนเกหิ สูเปหิ เจว พฺยญฺชเนหิ จ มธุราทิมูลรสานเญฺจว สมฺภินฺนรสานญฺจ อภิพฺยญฺชโก, นานคฺครสสูปพฺยญฺชโนติ อโตฺถฯ
Tattha ghaṭiyāti bhattaghaṭito. ‘‘Ghaṭiodana’’ntipi pāṭho, tassa ghaṭiodanaṃ nāma devānaṃ koci āhāravisesoti atthaṃ vadanti. Uddharitvāti kutoci bhājanato uddharitvā. Anekasūpo so eva āhāro patte pakkhipitvā therassa hatthe ṭhapanakāle kapaṇānaṃ upakappanakalūkhāhāro viya paññāyittha, hatthe ṭhapitamatte pana attano dibbasabhāveneva aṭṭhāsi. Anekasūpoti muggamāsādisūpehi ceva khajjavikatīhi ca anekavidhasūpo. Anekabyañjanoti nānāvidhauttaribhaṅgo. Anekarasabyañjanoti anekehi sūpehi ceva byañjanehi ca madhurādimūlarasānañceva sambhinnarasānañca abhibyañjako, nānaggarasasūpabyañjanoti attho.
โส กิร ปิณฺฑปาโต เถรสฺส หเตฺถ ฐปิตกาเล ราชคหนครํ อตฺตโน ทิพฺพคเนฺธน อโชฺฌตฺถริ, ตโต เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ปุริโส อเปฺปสโกฺข, ปิณฺฑปาโต อติวิย ปณีโต สกฺกสฺส โภชนสทิโสฯ โก นุ โข เอโส’’ติ? อถ นํ ‘‘สโกฺก’’ติ ญตฺวา อาห – ‘‘ภาริยํ เต, โกสิย, กมฺมํ กตํ ทุคฺคตานํ สมฺปตฺติํ วิลุมฺปเนฺตน, อชฺช มยฺหํ ทานํ ทตฺวา โกจิเทว ทุคฺคโต เสนาปติฎฺฐานํ วา เสฎฺฐิฎฺฐานํ วา ลเภยฺยา’’ติฯ ‘‘โก มยา ทุคฺคตตโร อตฺถิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘กถํ ตฺวํ ทุคฺคโต เทวรชฺชสิริํ อนุภวโนฺต’’ติ? ‘‘ภเนฺต, เอวํ นาเมตํ, มยา ปน อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ กลฺยาณกมฺมํ กตํ, พุทฺธุปฺปาเท ปน วตฺตมาเน ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา จูฬรถเทวปุโตฺต มหารถเทวปุโตฺต อเนกวณฺณเทวปุโตฺตติ อิเม ตโย เทวปุตฺตา มมาสนฺนฎฺฐาเน นิพฺพตฺตา มหาเตชวนฺตตราฯ อหํ เตสุ เทวปุเตฺตสุ ‘นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’ติ ปริจาริกาโย คเหตฺวา อนฺตรวีถิํ โอติเณฺณสุ ปลายิตฺวา เคหํ ปวิสามิฯ เตสญฺหิ สรีรโต เตโช มม สรีรํ โอตฺถรติ, มม สรีรโต เตโช เตสํ สรีรํ น โอตฺถรติฯ โก มยา ทุคฺคตตโร, ภเนฺต’’ติ? ‘‘เอวํ สเนฺตปิ อิโต ปฎฺฐาย มยฺหํ มา เอวํ วเญฺจตฺวา ทานมทาสี’’ติฯ ‘‘วเญฺจตฺวา ตุมฺหากํ ทาเน ทิเนฺน มยฺหํ กุสลํ อตฺถิ นตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต กุสลกรณํ นาม มยฺหํ ภาโร, ภเนฺต’’ติ วตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา สุชํ อาทาย เถรํ ปทกฺขิณํ กตฺวา, เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ‘‘อโห ทานํ ปรมทานํ, กสฺสเป สุปฺปติฎฺฐิต’’นฺติ ติกฺขตฺตุํ อุทานํ อุทาเนสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส เอตทโหสี’’ติอาทิฯ
So kira piṇḍapāto therassa hatthe ṭhapitakāle rājagahanagaraṃ attano dibbagandhena ajjhotthari, tato thero cintesi – ‘‘ayaṃ puriso appesakkho, piṇḍapāto ativiya paṇīto sakkassa bhojanasadiso. Ko nu kho eso’’ti? Atha naṃ ‘‘sakko’’ti ñatvā āha – ‘‘bhāriyaṃ te, kosiya, kammaṃ kataṃ duggatānaṃ sampattiṃ vilumpantena, ajja mayhaṃ dānaṃ datvā kocideva duggato senāpatiṭṭhānaṃ vā seṭṭhiṭṭhānaṃ vā labheyyā’’ti. ‘‘Ko mayā duggatataro atthi, bhante’’ti? ‘‘Kathaṃ tvaṃ duggato devarajjasiriṃ anubhavanto’’ti? ‘‘Bhante, evaṃ nāmetaṃ, mayā pana anuppanne buddhe kalyāṇakammaṃ kataṃ, buddhuppāde pana vattamāne puññakammaṃ katvā cūḷarathadevaputto mahārathadevaputto anekavaṇṇadevaputtoti ime tayo devaputtā mamāsannaṭṭhāne nibbattā mahātejavantatarā. Ahaṃ tesu devaputtesu ‘nakkhattaṃ kīḷissāmā’ti paricārikāyo gahetvā antaravīthiṃ otiṇṇesu palāyitvā gehaṃ pavisāmi. Tesañhi sarīrato tejo mama sarīraṃ ottharati, mama sarīrato tejo tesaṃ sarīraṃ na ottharati. Ko mayā duggatataro, bhante’’ti? ‘‘Evaṃ santepi ito paṭṭhāya mayhaṃ mā evaṃ vañcetvā dānamadāsī’’ti. ‘‘Vañcetvā tumhākaṃ dāne dinne mayhaṃ kusalaṃ atthi natthī’’ti? ‘‘Atthi, āvuso’’ti. ‘‘Evaṃ sante kusalakaraṇaṃ nāma mayhaṃ bhāro, bhante’’ti vatvā theraṃ vanditvā sujaṃ ādāya theraṃ padakkhiṇaṃ katvā, vehāsaṃ abbhuggantvā ‘‘aho dānaṃ paramadānaṃ, kassape suppatiṭṭhita’’nti tikkhattuṃ udānaṃ udānesi. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho āyasmato mahākassapassa etadahosī’’tiādi.
ตตฺถ โกสิยาติ สกฺกํ เทวานมินฺทํ โคเตฺตน อาลปติฯ ปุเญฺญน อโตฺถติ ปุเญฺญน ปโยชนํฯ อตฺถีติ วจนเสโสฯ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวาติ ปถวิโต เวหาสํ อภิอุคฺคนฺตฺวาฯ อากาเส อนฺตลิเกฺขติ อากาสเมว ปริยายสเทฺทน อนฺตลิเกฺขติ วทนฺติฯ อถ วา อนฺตลิกฺขสงฺขาเต อากาเส น กสิณุคฺฆาฎิมาทิอากาเสติ วิเสเสโนฺต วทติฯ อโห ทานนฺติ เอตฺถ อโหติ อจฺฉริยเตฺถ นิปาโตฯ สโกฺก หิ เทวานมิโนฺท, ‘‘ยสฺมา นิโรธา วุฎฺฐิตสฺส อยฺยสฺส มหากสฺสปเตฺถรสฺส สกฺกจฺจํ สหเตฺถน จิตฺตีกตฺวา อนปวิทฺธํ กาเลน ปเรสํ อนุปหจฺจ, สมฺมาทิฎฺฐิํ ปุรกฺขตฺวา อิทมีทิสํ มยา ทิพฺพโภชนทานํ ทินฺนํ, ตสฺมา เขตฺตสมฺปตฺติ เทยฺยธมฺมสมฺปตฺติ จิตฺตสมฺปตฺตีติ, ติวิธายปิ สมฺปตฺติยา สมนฺนาคตตฺตา สพฺพงฺคสมฺปนฺนํ วต มยา ทานํ ปวตฺติต’’นฺติ อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต ตทา อตฺตโน หทยพฺภนฺตรคตํ ปีติโสมนสฺสํ สมุคฺคิรโนฺต ‘‘อโห ทาน’’นฺติ วตฺวา ตสฺส ทานสฺส วุตฺตนเยน อุตฺตมทานภาวํ เขตฺตงฺคตภาวญฺจ ปกาเสโนฺต ‘‘ปรมทานํ กสฺสเป สุปฺปติฎฺฐิต’’นฺติ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Tattha kosiyāti sakkaṃ devānamindaṃ gottena ālapati. Puññena atthoti puññena payojanaṃ. Atthīti vacanaseso. Vehāsaṃ abbhuggantvāti pathavito vehāsaṃ abhiuggantvā. Ākāse antalikkheti ākāsameva pariyāyasaddena antalikkheti vadanti. Atha vā antalikkhasaṅkhāte ākāse na kasiṇugghāṭimādiākāseti visesento vadati. Aho dānanti ettha ahoti acchariyatthe nipāto. Sakko hi devānamindo, ‘‘yasmā nirodhā vuṭṭhitassa ayyassa mahākassapattherassa sakkaccaṃ sahatthena cittīkatvā anapaviddhaṃ kālena paresaṃ anupahacca, sammādiṭṭhiṃ purakkhatvā idamīdisaṃ mayā dibbabhojanadānaṃ dinnaṃ, tasmā khettasampatti deyyadhammasampatti cittasampattīti, tividhāyapi sampattiyā samannāgatattā sabbaṅgasampannaṃ vata mayā dānaṃ pavattita’’nti acchariyabbhutacittajāto tadā attano hadayabbhantaragataṃ pītisomanassaṃ samuggiranto ‘‘aho dāna’’nti vatvā tassa dānassa vuttanayena uttamadānabhāvaṃ khettaṅgatabhāvañca pakāsento ‘‘paramadānaṃ kassape suppatiṭṭhita’’nti udānaṃ udānesi.
เอวํ ปน สกฺกสฺส อุทาเนนฺตสฺส ภควา วิหาเร ฐิโตเยว ทิพฺพโสเตน สทฺทํ สุตฺวา ‘‘ปสฺสถ, ภิกฺขเว, สกฺกํ เทวานมินฺทํ อุทานํ อุทาเนตฺวา อากาเสน คจฺฉนฺต’’นฺติ ภิกฺขูนํ วตฺวา เตหิ ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, เตน กต’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘มม ปุตฺตสฺส กสฺสปสฺส วเญฺจตฺวา ทานํ อทาสิ, เตน จ อตฺตมโน อุทาเนสี’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อโสฺสสิ โข ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา’’ติอาทิฯ
Evaṃ pana sakkassa udānentassa bhagavā vihāre ṭhitoyeva dibbasotena saddaṃ sutvā ‘‘passatha, bhikkhave, sakkaṃ devānamindaṃ udānaṃ udānetvā ākāsena gacchanta’’nti bhikkhūnaṃ vatvā tehi ‘‘kiṃ pana, bhante, tena kata’’nti puṭṭho ‘‘mama puttassa kassapassa vañcetvā dānaṃ adāsi, tena ca attamano udānesī’’ti āha. Tena vuttaṃ ‘‘assosi kho bhagavā dibbāya sotadhātuyā’’tiādi.
ตตฺถ ทิพฺพาย โสตธาตุยาติ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพาฯ เทวตานญฺหิ สุจริตกมฺมนิพฺพตฺตา ปิตฺตเสมฺหรุหิราทีหิ อปลิพุทฺธา อุปกฺกิเลสวินิมุตฺตตาย ทูเรปิ อารมฺมณํ คเหตุํ สมตฺถา ทิพฺพปสาทโสตธาตุ โหติฯ อยญฺจาปิ ภควโต วีริยภาวนาพลนิพฺพตฺตา ญาณมยา โสตธาตุ ตาทิสา เอวาติ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพาฯ อปิ จ ทิพฺพวิหารวเสน ปฎิลทฺธตฺตา อตฺตนา จ ทิพฺพวิหารสนฺนิสฺสิตตฺตาปิ ทิพฺพาฯ สวนเฎฺฐน จ สภาวธารณเฎฺฐน จ โสตธาตุ, โสตธาตุยาปิ กิจฺจกรเณน โสตธาตุ วิยาติ โสตธาตุ, ตาย ทิพฺพาย โสตธาตุยาฯ วิสุทฺธายาติ ปริสุทฺธาย นิรุปกฺกิเลสายฯ อติกฺกนฺตมานุสิกายาติ มนุสฺสูปจารํ อติกฺกมิตฺวา สทฺทสฺสวเนน มานุสิกมํสโสตธาตุํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตายฯ
Tattha dibbāya sotadhātuyāti dibbasadisattā dibbā. Devatānañhi sucaritakammanibbattā pittasemharuhirādīhi apalibuddhā upakkilesavinimuttatāya dūrepi ārammaṇaṃ gahetuṃ samatthā dibbapasādasotadhātu hoti. Ayañcāpi bhagavato vīriyabhāvanābalanibbattā ñāṇamayā sotadhātu tādisā evāti dibbasadisattā dibbā. Api ca dibbavihāravasena paṭiladdhattā attanā ca dibbavihārasannissitattāpi dibbā. Savanaṭṭhena ca sabhāvadhāraṇaṭṭhena ca sotadhātu, sotadhātuyāpi kiccakaraṇena sotadhātu viyāti sotadhātu, tāya dibbāya sotadhātuyā. Visuddhāyāti parisuddhāya nirupakkilesāya. Atikkantamānusikāyāti manussūpacāraṃ atikkamitvā saddassavanena mānusikamaṃsasotadhātuṃ atikkamitvā ṭhitāya.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ ‘‘สมฺมาปฎิปตฺติยา คุณวิเสเส ปติฎฺฐิตํ ปุริสาติสยํ เทวาปิ มนุสฺสาปิ อาทรชาตา อติวิย ปิหยนฺตี’’ติ อิมมตฺถํ วิทิตฺวา ตทตฺถทีปนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti ‘‘sammāpaṭipattiyā guṇavisese patiṭṭhitaṃ purisātisayaṃ devāpi manussāpi ādarajātā ativiya pihayantī’’ti imamatthaṃ viditvā tadatthadīpanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺร ปิณฺฑปาติกงฺคสงฺขาตํ ธุตงฺคํ สมาทาย ตสฺส ปริปูรเณน ปิณฺฑปาติกสฺสฯ นนุ จายํ คาถา อายสฺมนฺตํ มหากสฺสปํ นิมิตฺตํ กตฺวา ภาสิตา, เถโร จ สเพฺพสํ ธุตวาทานํ อโคฺค เตรสธุตงฺคธโร, โส กสฺมา เอเกเนว ธุตเงฺคน กิตฺติโตติ? อฎฺฐุปฺปตฺติวเสนายํ นิเทฺทโสฯ อถ วา เทสนามตฺตเมตํ, อิมินา เทสนาสีเสน สเพฺพปิสฺส ธุตงฺคา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อถ วา ‘‘ยถาปิ ภมโร ปุปฺผ’’นฺติ (ธ. ป. ๔๙) คาถาย วุตฺตนเยน ปรมปฺปิจฺฉตาย กุลานุทฺทยตาย จสฺส สพฺพํ ปิณฺฑปาติกวตฺตํ อกฺขเณฺฑตฺวา ตตฺถ สาติสยํ ปฎิปตฺติยา ปกาสนตฺถํ ‘‘ปิณฺฑปาติกสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ปิณฺฑปาติกสฺสาติ จ ปิหยนฺตีติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา สมฺปทานวจนํ, ตํ อุปโยคเตฺถ ทฎฺฐพฺพํฯ อตฺตภรสฺสาติ ‘‘อปฺปานิ จ ตานิ สุลภานิ อนวชฺชานี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๗; อิติวุ. ๑๐๑) เอวํ วุเตฺตหิ อปฺปานวชฺชสุลภรูเปหิ จตูหิ ปจฺจเยหิ อตฺตานเมว ภรนฺตสฺสฯ อนญฺญโปสิโนติ อามิสสงฺคณฺหเนน อเญฺญ สิสฺสาทิเก โปเสตุํ อนุสฺสุกฺกตาย อนญฺญโปสิโนฯ ปททฺวเยนสฺส กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตน วิจรณโต สลฺลหุกวุตฺติตํ สุภรตํ ปรมญฺจ สนฺตุฎฺฐิํ ทเสฺสติฯ อถ วา อตฺตภรสฺสาติ เอกวจนิจฺฉาย อตฺตภาวสงฺขาตํ เอกํเยว อิมํ อตฺตานํ ภรติ, น อิโต ปรํ อญฺญนฺติ อตฺตภโร, ตโต เอว อตฺตนา อญฺญสฺส โปเสตพฺพสฺส อภาวโต อนญฺญโปสี, ตสฺส อตฺตภรสฺส อนญฺญโปสิโนฯ ปททฺวเยนปิ ขีณาสวภาเวน อายติํ อนาทานตํ ทเสฺสติฯ
Tatra piṇḍapātikaṅgasaṅkhātaṃ dhutaṅgaṃ samādāya tassa paripūraṇena piṇḍapātikassa. Nanu cāyaṃ gāthā āyasmantaṃ mahākassapaṃ nimittaṃ katvā bhāsitā, thero ca sabbesaṃ dhutavādānaṃ aggo terasadhutaṅgadharo, so kasmā ekeneva dhutaṅgena kittitoti? Aṭṭhuppattivasenāyaṃ niddeso. Atha vā desanāmattametaṃ, iminā desanāsīsena sabbepissa dhutaṅgā vuttāti veditabbā. Atha vā ‘‘yathāpi bhamaro puppha’’nti (dha. pa. 49) gāthāya vuttanayena paramappicchatāya kulānuddayatāya cassa sabbaṃ piṇḍapātikavattaṃ akkhaṇḍetvā tattha sātisayaṃ paṭipattiyā pakāsanatthaṃ ‘‘piṇḍapātikassā’’ti vuttaṃ. Piṇḍapātikassāti ca pihayantīti padaṃ apekkhitvā sampadānavacanaṃ, taṃ upayogatthe daṭṭhabbaṃ. Attabharassāti ‘‘appāni ca tāni sulabhāni anavajjānī’’ti (a. ni. 4.27; itivu. 101) evaṃ vuttehi appānavajjasulabharūpehi catūhi paccayehi attānameva bharantassa. Anaññaposinoti āmisasaṅgaṇhanena aññe sissādike posetuṃ anussukkatāya anaññaposino. Padadvayenassa kāyaparihārikena cīvarena kucchiparihārikena piṇḍapātena vicaraṇato sallahukavuttitaṃ subharataṃ paramañca santuṭṭhiṃ dasseti. Atha vā attabharassāti ekavacanicchāya attabhāvasaṅkhātaṃ ekaṃyeva imaṃ attānaṃ bharati, na ito paraṃ aññanti attabharo, tato eva attanā aññassa posetabbassa abhāvato anaññaposī, tassa attabharassa anaññaposino. Padadvayenapi khīṇāsavabhāvena āyatiṃ anādānataṃ dasseti.
เทวา ปิหยนฺติ…เป.… สตีมโตติ ตํ อคฺคผลาธิคเมน สพฺพกิเลสทรถปริฬาหานํ วูปสเมน ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา อุปสนฺตํ, สติเวปุลฺลปฺปตฺติยา นิจฺจกาลํ สโตการิตาย สติมนฺตํ, ตโต เอว อิฎฺฐานิฎฺฐาทีสุ ตาทิลกฺขณปฺปตฺตํ ขีณาสวํ สกฺกาทโย เทวา ปิหยนฺติ ปเตฺถนฺติ, ตสฺส สีลาทิคุณวิเสเสสุ พหุมานํ อุปฺปาเทนฺตา อาทรํ ชเนนฺติ, ปเคว มนุสฺสาติฯ
Devāpihayanti…pe… satīmatoti taṃ aggaphalādhigamena sabbakilesadarathapariḷāhānaṃ vūpasamena paṭippassaddhiyā upasantaṃ, sativepullappattiyā niccakālaṃ satokāritāya satimantaṃ, tato eva iṭṭhāniṭṭhādīsu tādilakkhaṇappattaṃ khīṇāsavaṃ sakkādayo devā pihayanti patthenti, tassa sīlādiguṇavisesesu bahumānaṃ uppādentā ādaraṃ janenti, pageva manussāti.
สตฺตมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sattamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๗. สกฺกุทานสุตฺตํ • 7. Sakkudānasuttaṃ