Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๖๘] ๘. สกุณคฺฆิชาตกวณฺณนา
[168] 8. Sakuṇagghijātakavaṇṇanā
เสโน พลสา ปตมาโนติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อตฺตชฺฌาสยํ สกุโณวาทสุตฺตํ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒) อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ สตฺถา ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘โคจเร, ภิกฺขเว, จรถ สเก เปตฺติเก วิสเย’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒) อิมํ สํยุตฺตมหาวเคฺค สุตฺตนฺตํ กเถโนฺต ‘‘ตุเมฺห ตาว ติฎฺฐถ, ปุเพฺพ ติรจฺฉานคตาปิ สกํ เปตฺติกวิสยํ ปหาย อโคจเร จรนฺตา ปจฺจามิตฺตานํ หตฺถปถํ คนฺตฺวาปิ อตฺตโน ปญฺญาสมฺปตฺติยา อุปายโกสเลฺลน ปจฺจามิตฺตานํ หตฺถา มุจฺจิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Senobalasā patamānoti idaṃ satthā jetavane viharanto attajjhāsayaṃ sakuṇovādasuttaṃ (saṃ. ni. 5.372) ārabbha kathesi. Ekadivasañhi satthā bhikkhū āmantetvā ‘‘gocare, bhikkhave, caratha sake pettike visaye’’ti (saṃ. ni. 5.372) imaṃ saṃyuttamahāvagge suttantaṃ kathento ‘‘tumhe tāva tiṭṭhatha, pubbe tiracchānagatāpi sakaṃ pettikavisayaṃ pahāya agocare carantā paccāmittānaṃ hatthapathaṃ gantvāpi attano paññāsampattiyā upāyakosallena paccāmittānaṃ hatthā mucciṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ลาปสกุณโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา นงฺคลกฎฺฐกรเณ เลฑฺฑุฎฺฐาเน วาสํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ ‘‘สกวิสเย โคจรคหณํ ปหาย ปรวิสเย โคจรํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อฎวิปริยนฺตํ อคมาสิฯ อถ นํ ตตฺถ โคจรํ คณฺหนฺตํ ทิสฺวา สกุณคฺฆิ สหสา อชฺฌปฺปตฺตา อคฺคเหสิฯ โส สกุณคฺฆิยา หริยมาโน เอวํ ปริเทวสิ – ‘‘มยเมวมฺห อลกฺขิกา, มยํ อปฺปปุญฺญา, เย มยํ อโคจเร จริมฺห ปรวิสเย, สเจชฺช มยํ โคจเร จเรยฺยาม สเก เปตฺติเก วิสเย, น มฺยายํ สกุณคฺฆิ อลํ อภวิสฺส ยทิทํ ยุทฺธายา’’ติฯ ‘‘โก ปน, เต ลาป, โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย’’ติ? ‘‘ยทิทํ นงฺคลกฎฺฐกรณํ เลฑฺฑุฎฺฐาน’’นฺติฯ อถ นํ สกุณคฺฆิ สเก พเล อปตฺถทฺธา อมุญฺจิ – ‘‘คจฺฉ โข, ตฺวํ ลาป, ตตฺรปิ เม คนฺตฺวา น โมกฺขสี’’ติฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา มหนฺตํ เลฑฺฑุํ อภิรุหิตฺวา ‘‘เอหิ โข ทานิ สกุณคฺฆี’’ติ เสนํ อวฺหยโนฺต อฎฺฐาสิฯ สกุณคฺฆิ สเก พเล อปตฺถทฺธา อุโภ ปเกฺข สนฺนยฺห ลาปสกุณํ สหสา อชฺฌปฺปตฺตาฯ ยทา ปน ตํ ลาโป ‘‘พหุอาคตา โข มฺยายํ สกุณคฺฆี’’ติ อญฺญาสิ, อถ ปริวตฺติตฺวา ตเสฺสว เลฑฺฑุสฺส อนฺตรํ ปจฺจาปาทิฯ สกุณคฺฆิ เวคํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี ตเตฺถว อุรํ ปจฺจตาเฬสิฯ เอวํ สา ภิเนฺนน หทเยน นิกฺขเนฺตหิ อกฺขีหิ ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto lāpasakuṇayoniyaṃ nibbattitvā naṅgalakaṭṭhakaraṇe leḍḍuṭṭhāne vāsaṃ kappesi. So ekadivasaṃ ‘‘sakavisaye gocaragahaṇaṃ pahāya paravisaye gocaraṃ gaṇhissāmī’’ti aṭavipariyantaṃ agamāsi. Atha naṃ tattha gocaraṃ gaṇhantaṃ disvā sakuṇagghi sahasā ajjhappattā aggahesi. So sakuṇagghiyā hariyamāno evaṃ paridevasi – ‘‘mayamevamha alakkhikā, mayaṃ appapuññā, ye mayaṃ agocare carimha paravisaye, sacejja mayaṃ gocare careyyāma sake pettike visaye, na myāyaṃ sakuṇagghi alaṃ abhavissa yadidaṃ yuddhāyā’’ti. ‘‘Ko pana, te lāpa, gocaro sako pettiko visayo’’ti? ‘‘Yadidaṃ naṅgalakaṭṭhakaraṇaṃ leḍḍuṭṭhāna’’nti. Atha naṃ sakuṇagghi sake bale apatthaddhā amuñci – ‘‘gaccha kho, tvaṃ lāpa, tatrapi me gantvā na mokkhasī’’ti. So tattha gantvā mahantaṃ leḍḍuṃ abhiruhitvā ‘‘ehi kho dāni sakuṇagghī’’ti senaṃ avhayanto aṭṭhāsi. Sakuṇagghi sake bale apatthaddhā ubho pakkhe sannayha lāpasakuṇaṃ sahasā ajjhappattā. Yadā pana taṃ lāpo ‘‘bahuāgatā kho myāyaṃ sakuṇagghī’’ti aññāsi, atha parivattitvā tasseva leḍḍussa antaraṃ paccāpādi. Sakuṇagghi vegaṃ sandhāretuṃ asakkontī tattheva uraṃ paccatāḷesi. Evaṃ sā bhinnena hadayena nikkhantehi akkhīhi jīvitakkhayaṃ pāpuṇi.
สตฺถา อิมํ อตีตํ ทเสฺสตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตาปิ อโคจเร จรนฺตา สปตฺตหตฺถํ คจฺฉนฺติ, โคจเร ปน สเก เปตฺติเก วิสเย จรนฺตา สปเตฺต นิคฺคณฺหนฺติ, ตสฺมา ตุเมฺหปิ มา อโคจเร จรถ ปรวิสเยฯ อโคจเร , ภิกฺขเว, จรตํ ปรวิสเย ลจฺฉติ มาโร โอตารํ, ลจฺฉติ มาโร อารมฺมณํฯ โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อโคจโร ปรวิสโย? ยทิทํ ปญฺจ กามคุณาฯ กตเม ปญฺจ? จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปา…เป.… อยํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อโคจโร ปรวิสโย’’ติ วตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Satthā imaṃ atītaṃ dassetvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, tiracchānagatāpi agocare carantā sapattahatthaṃ gacchanti, gocare pana sake pettike visaye carantā sapatte niggaṇhanti, tasmā tumhepi mā agocare caratha paravisaye. Agocare , bhikkhave, carataṃ paravisaye lacchati māro otāraṃ, lacchati māro ārammaṇaṃ. Ko ca, bhikkhave, bhikkhuno agocaro paravisayo? Yadidaṃ pañca kāmaguṇā. Katame pañca? Cakkhuviññeyyā rūpā…pe… ayaṃ, bhikkhave, bhikkhuno agocaro paravisayo’’ti vatvā abhisambuddho hutvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๓๕.
35.
‘‘เสโน พลสา ปตมาโน, ลาปํ โคจรฐายินํ;
‘‘Seno balasā patamāno, lāpaṃ gocaraṭhāyinaṃ;
สหสา อชฺฌปฺปโตฺตว, มรณํ เตนุปาคมี’’ติฯ
Sahasā ajjhappattova, maraṇaṃ tenupāgamī’’ti.
ตตฺถ พลสา ปตมาโนติ ‘‘ลาปํ คณฺหิสฺสามี’’ติ พเลน ถาเมน ปตมาโนฯ โคจรฐายินนฺติ สกวิสยา นิกฺขมิตฺวา โคจรตฺถาย อฎวิปริยเนฺต ฐิตํฯ อชฺฌปฺปโตฺตติ สมฺปโตฺตฯ มรณํ เตนุปาคมีติ เตน การเณน มรณํ ปโตฺตฯ
Tattha balasā patamānoti ‘‘lāpaṃ gaṇhissāmī’’ti balena thāmena patamāno. Gocaraṭhāyinanti sakavisayā nikkhamitvā gocaratthāya aṭavipariyante ṭhitaṃ. Ajjhappattoti sampatto. Maraṇaṃ tenupāgamīti tena kāraṇena maraṇaṃ patto.
ตสฺมิํ ปน มรณํ ปเตฺต ลาโป นิกฺขมิตฺวา ‘‘ทิฎฺฐา วต เม ปจฺจามิตฺตสฺส ปิฎฺฐี’’ติ ตสฺส หทเย ฐตฺวา อุทานํ อุทาเนโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Tasmiṃ pana maraṇaṃ patte lāpo nikkhamitvā ‘‘diṭṭhā vata me paccāmittassa piṭṭhī’’ti tassa hadaye ṭhatvā udānaṃ udānento dutiyaṃ gāthamāha –
๓๖.
36.
‘‘โสหํ นเยน สมฺปโนฺน, เปตฺติเก โคจเร รโต;
‘‘Sohaṃ nayena sampanno, pettike gocare rato;
อเปตสตฺตุ โมทามิ, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน’’ติฯ
Apetasattu modāmi, sampassaṃ atthamattano’’ti.
ตตฺถ นเยนาติ อุปาเยนฯ อตฺถมตฺตโนติ อตฺตโน อโรคภาวสงฺขาตํ วุฑฺฒิํฯ
Tattha nayenāti upāyena. Atthamattanoti attano arogabhāvasaṅkhātaṃ vuḍḍhiṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน พหู ภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณิํสุฯ ‘‘ตทา เสโน เทวทโตฺต อโหสิ, ลาโป ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne bahū bhikkhū sotāpattiphalādīni pāpuṇiṃsu. ‘‘Tadā seno devadatto ahosi, lāpo pana ahameva ahosi’’nti.
สกุณคฺฆิชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Sakuṇagghijātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๖๘. สกุณคฺฆิชาตกํ • 168. Sakuṇagghijātakaṃ