Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๔๙] ๙. สาลกชาตกวณฺณนา
[249] 9. Sālakajātakavaṇṇanā
เอกปุตฺตโก ภวิสฺสสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ มหาเถรํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิเรกํ กุมารกํ ปพฺพาเชตฺวา ปีเฬโนฺต ตตฺถ วิหรติฯ สามเณโร ปีฬํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต อุปฺปพฺพชิฯ เถโร คนฺตฺวา ตํ อุปลาเปติ ‘‘กุมาร, ตว จีวรํ ตเวว ภวิสฺสติ ปโตฺตปิ, มม สนฺตกํ ปตฺตจีวรมฺปิ ตเวว ภวิสฺสติ, เอหิ ปพฺพชาหี’’ติฯ โส ‘‘นาหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วตฺวาปิ ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน ปพฺพชิ ฯ อถ นํ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ปุน เถโร วิเหเฐสิฯ โส ปีฬํ อสหโนฺต ปุน อุปฺปพฺพชิตฺวา อเนกวารํ ยาจเนฺตปิ ตสฺมิํ ‘‘ตฺวํ เนว มํ สหสิ, น วินา วตฺติตุํ สโกฺกสิ, คจฺฉ น ปพฺพชิสฺสามี’’ติ น ปพฺพชิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, สุหทโย วต โส ทารโก มหาเถรสฺส อาสยํ ญตฺวา น ปพฺพชี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส สุหทโย, ปุเพฺพปิ สุหทโยว, เอกวารํ เอตสฺส โทสํ ทิสฺวา น ปุน อุปคจฺฉี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ekaputtako bhavissasīti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ mahātheraṃ ārabbha kathesi. So kirekaṃ kumārakaṃ pabbājetvā pīḷento tattha viharati. Sāmaṇero pīḷaṃ sahituṃ asakkonto uppabbaji. Thero gantvā taṃ upalāpeti ‘‘kumāra, tava cīvaraṃ taveva bhavissati pattopi, mama santakaṃ pattacīvarampi taveva bhavissati, ehi pabbajāhī’’ti. So ‘‘nāhaṃ pabbajissāmī’’ti vatvāpi punappunaṃ vuccamāno pabbaji . Atha naṃ pabbajitadivasato paṭṭhāya puna thero viheṭhesi. So pīḷaṃ asahanto puna uppabbajitvā anekavāraṃ yācantepi tasmiṃ ‘‘tvaṃ neva maṃ sahasi, na vinā vattituṃ sakkosi, gaccha na pabbajissāmī’’ti na pabbaji. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, suhadayo vata so dārako mahātherassa āsayaṃ ñatvā na pabbajī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idānevesa suhadayo, pubbepi suhadayova, ekavāraṃ etassa dosaṃ disvā na puna upagacchī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กุฎุมฺพิกกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ธญฺญวิกฺกเยน ชีวิกํ กเปฺปสิฯ อญฺญตโรปิ อหิตุณฺฑิโก เอกํ มกฺกฎํ สิกฺขาเปตฺวา โอสธํ คาหาเปตฺวา เตน สปฺปํ กีฬาเปโนฺต ชีวิกํ กเปฺปสิฯ โส พาราณสิยํ อุสฺสเว ฆุเฎฺฐ อุสฺสวํ กีฬิตุกาโม ‘‘อิมํ มา ปมชฺชี’’ติ ตํ มกฺกฎํ ตสฺส ธญฺญวาณิชสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา อุสฺสวํ กีฬิตฺวา สตฺตเม ทิวเส ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กหํ มกฺกโฎ’’ติ ปุจฺฉิฯ มกฺกโฎ สามิกสฺส สทฺทํ สุตฺวาว ธญฺญาปณโต เวเคน นิกฺขมิฯ อถ นํ โส เวฬุเปสิกาย ปิฎฺฐิยํ โปเถตฺวา อาทาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา เอกมเนฺต พนฺธิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ มกฺกโฎ ตสฺส นิทฺทายนภาวํ ญตฺวา อตฺตโน พนฺธนํ โมเจตฺวา ปลายิตฺวา อมฺพรุกฺขํ อารุยฺห อมฺพปกฺกํ ขาทิตฺวา อฎฺฐิํ อหิตุณฺฑิกสฺส สรีเร ปาเตสิฯ โส ปพุชฺฌิตฺวา อุโลฺลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘มธุรวจเนน นํ วเญฺจตฺวา รุกฺขา โอตาเรตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ ตํ อุปลาเปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kuṭumbikakule nibbattitvā vayappatto dhaññavikkayena jīvikaṃ kappesi. Aññataropi ahituṇḍiko ekaṃ makkaṭaṃ sikkhāpetvā osadhaṃ gāhāpetvā tena sappaṃ kīḷāpento jīvikaṃ kappesi. So bārāṇasiyaṃ ussave ghuṭṭhe ussavaṃ kīḷitukāmo ‘‘imaṃ mā pamajjī’’ti taṃ makkaṭaṃ tassa dhaññavāṇijassa hatthe ṭhapetvā ussavaṃ kīḷitvā sattame divase tassa santikaṃ gantvā ‘‘kahaṃ makkaṭo’’ti pucchi. Makkaṭo sāmikassa saddaṃ sutvāva dhaññāpaṇato vegena nikkhami. Atha naṃ so veḷupesikāya piṭṭhiyaṃ pothetvā ādāya uyyānaṃ gantvā ekamante bandhitvā niddaṃ okkami. Makkaṭo tassa niddāyanabhāvaṃ ñatvā attano bandhanaṃ mocetvā palāyitvā ambarukkhaṃ āruyha ambapakkaṃ khāditvā aṭṭhiṃ ahituṇḍikassa sarīre pātesi. So pabujjhitvā ullokento taṃ disvā ‘‘madhuravacanena naṃ vañcetvā rukkhā otāretvā gaṇhissāmī’’ti taṃ upalāpento paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๙๘.
198.
‘‘เอกปุตฺตโก ภวิสฺสสิ, ตฺวญฺจ โน เหสฺสสิ อิสฺสโร กุเล;
‘‘Ekaputtako bhavissasi, tvañca no hessasi issaro kule;
โอโรห ทุมสฺมา สาลก, เอหิ ทานิ ฆรกํ วเชมเส’’ติฯ
Oroha dumasmā sālaka, ehi dāni gharakaṃ vajemase’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ตฺวํ มยฺหํ เอกปุตฺตโก ภวิสฺสสิ, กุเล จ เม โภคานํ อิสฺสโร, เอตมฺหา รุกฺขา โอตร, เอหิ อมฺหากํ ฆรํ คมิสฺสามฯ สาลกาติ นาเมน อาลปโนฺต อาหฯ
Tassattho – tvaṃ mayhaṃ ekaputtako bhavissasi, kule ca me bhogānaṃ issaro, etamhā rukkhā otara, ehi amhākaṃ gharaṃ gamissāma. Sālakāti nāmena ālapanto āha.
ตํ สุตฺวา มกฺกโฎ ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā makkaṭo dutiyaṃ gāthamāha –
๑๙๙.
199.
‘‘นนุ มํ สุหทโยติ มญฺญสิ, ยญฺจ มํ หนสิ เวฬุยฎฺฐิยา;
‘‘Nanu maṃ suhadayoti maññasi, yañca maṃ hanasi veḷuyaṭṭhiyā;
ปกฺกมฺพวเน รมามเส, คจฺฉ ตฺวํ ฆรกํ ยถาสุข’’นฺติฯ
Pakkambavane ramāmase, gaccha tvaṃ gharakaṃ yathāsukha’’nti.
ตตฺถ นนุ มํ สุหทโยติ มญฺญสีติ นนุ ตฺวํ มํ ‘‘สุหทโย’’ติ มญฺญสิ, ‘‘สุหทโย อย’’นฺติ มญฺญสีติ อโตฺถฯ ยญฺจ มํ หนสิ เวฬุยฎฺฐิยาติ ยํ มํ เอวํ อติมญฺญสิ, ยญฺจ เวฬุเปสิกาย หนสิ, เตนาหํ นาคจฺฉามีติ ทีเปติฯ อถ นํ ‘‘มยํ อิมสฺมิํ ปกฺกมฺพวเน รมามเส, คจฺฉ ตฺวํ ฆรกํ ยถาสุข’’นฺติ วตฺวา อุปฺปติตฺวา วนํ ปาวิสิฯ อหิตุณฺฑิโกปิ อนตฺตมโน อตฺตโน เคหํ อคมาสิฯ
Tattha nanu maṃ suhadayoti maññasīti nanu tvaṃ maṃ ‘‘suhadayo’’ti maññasi, ‘‘suhadayo aya’’nti maññasīti attho. Yañca maṃ hanasi veḷuyaṭṭhiyāti yaṃ maṃ evaṃ atimaññasi, yañca veḷupesikāya hanasi, tenāhaṃ nāgacchāmīti dīpeti. Atha naṃ ‘‘mayaṃ imasmiṃ pakkambavane ramāmase, gaccha tvaṃ gharakaṃ yathāsukha’’nti vatvā uppatitvā vanaṃ pāvisi. Ahituṇḍikopi anattamano attano gehaṃ agamāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มกฺกโฎ สามเณโร อโหสิ, อหิตุณฺฑิโก มหาเถโร, ธญฺญวาณิโช ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā makkaṭo sāmaṇero ahosi, ahituṇḍiko mahāthero, dhaññavāṇijo pana ahameva ahosi’’nti.
สาลกชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Sālakajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๔๙. สาลกชาตกํ • 249. Sālakajātakaṃ