Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๔๑
The Middle-Length Suttas Collection 41
สาเลยฺยกสุตฺต
The People of Sālā
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน สาลา นาม โกสลานํ พฺราหฺมณคาโม ตทวสริฯ
So I have heard. At one time the Buddha was wandering in the land of the Kosalans together with a large Saṅgha of bhikkhus when he arrived at a village of the Kosalan brahmins named Sālā.
อโสฺสสุํ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา: “สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ สาลํ อนุปฺปตฺโตฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ; เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี”ติฯ
The brahmins and householders of Sālā heard, “It seems the ascetic Gotama—a Sakyan, gone forth from a Sakyan family—while wandering in the land of the Kosalans has arrived at Sālā, together with a large Saṅgha of bhikkhus. He has this good reputation: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He proclaims a teaching that is good in the beginning, good in the middle, and good in the end, with the right meaning and phrasing. He reveals an entirely full and pure spiritual life. It’s good to see such perfected ones.”
อถ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อปฺเปกจฺเจ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ภควตา สทฺธึ สมฺโมทึสุ, สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ภควโต สนฺติเก นามโคตฺตํ สาเวตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ ตุณฺหีภูตา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ:
Then the brahmins and householders of Sālā went up to the Buddha. Before sitting down to one side, some bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward the Buddha, some announced their name and clan, while some kept silent. Seated to one side they said to the Buddha:
“โก นุ โข, โภ โคตม, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน มฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติ? โก ปน, โภ โคตม, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน มฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี”ติ?
“What is the cause, Master Gotama, what is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell? And what is the cause, Master Gotama, what is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm?”
“อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ โข, คหปตโย, เอวมฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ ธมฺมจริยาสมจริยาเหตุ โข, คหปตโย, เอวมฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี”ติฯ
“Unprincipled and immoral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. Principled and moral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm.”
“น โข มยํ อิมสฺส โภโต โคตมสฺส สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส, วิตฺถาเรน อตฺถํ อวิภตฺตสฺส, วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามฯ สาธุ โน ภวํ โคตโม ตถา ธมฺมํ เทเสตุ, ยถา มยํ อิมสฺส โภโต โคตมสฺส สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส, วิตฺถาเรน อตฺถํ อวิภตฺตสฺส, วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺยามา”ติฯ
“We don’t understand the detailed meaning of Master Gotama’s brief statement. Master Gotama, please teach us this matter in detail so we can understand the meaning.”
“เตน หิ, คหปตโย, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ
“Well then, householders, listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, โภ”ติ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“ติวิธํ โข, คหปตโย, กาเยน อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติ, จตุพฺพิธํ วาจาย อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติ, ติวิธํ มนสา อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติฯ
“Householders, unprincipled and immoral conduct is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
กถญฺจ, คหปตโย, ติวิธํ กาเยน อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปาณาติปาตี โหติ, ลุทฺโท โลหิตปาณิ หตปฺปหเต นิวิฏฺโฐ อทยาปนฺโน ปาณภูเตสุฯ
And how is unprincipled and immoral conduct threefold by way of body? It’s when a certain person kills living creatures. They’re violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings.
อทินฺนาทายี โข ปน โหติฯ ยํ ตํ ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรณํ, คามคตํ วา อรญฺญคตํ วา, ตํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทาตา โหติฯ
They steal. With the intention to commit theft, they take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
กาเมสุมิจฺฉาจารี โข ปน โหติฯ ยา ตา มาตุรกฺขิตา ปิตุรกฺขิตา มาตาปิตุรกฺขิตา ภาตุรกฺขิตา ภคินิรกฺขิตา ญาติรกฺขิตา โคตฺตรกฺขิตา ธมฺมรกฺขิตา สสฺสามิกา สปริทณฺฑา อนฺตมโส มาลาคุฬปริกฺขิตฺตาปิ, ตถารูปาสุ จาริตฺตํ อาปชฺชิตา โหติฯ เอวํ โข, คหปตโย, ติวิธํ กาเยน อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติฯ
They commit sexual misconduct. They have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal. This is how unprincipled and immoral conduct is threefold by way of body.
กถญฺจ, คหปตโย, จตุพฺพิธํ วาจาย อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ มุสาวาที โหติฯ สภาคโต วา ปริสาคโต วา, ญาติมชฺฌคโต วา ปูคมชฺฌคโต วา ราชกุลมชฺฌคโต วา, อภินีโต สกฺขิปุฏฺโฐ: ‘เอหมฺโภ ปุริส, ยํ ชานาสิ ตํ วเทหี'ติ, โส อชานํ วา อาห: ‘ชานามี'ติ, ชานํ วา อาห: น ชานามี'ติ, ‘อปสฺสํ วา อาห: ‘ปสฺสามี'ติ, ปสฺสํ วา อาห: ‘น ปสฺสามี'ติฯ อิติ อตฺตเหตุ วา ปรเหตุ วา อามิสกิญฺจิกฺขเหตุ วา สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติฯ
And how is unprincipled and immoral conduct fourfold by way of speech? It’s when a certain person lies. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I know.’ Knowing, they say ‘I don’t know.’ Not seeing, they say ‘I see.’ And seeing, they say ‘I don’t see.’ So they deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
ปิสุณวาโจ โข ปน โหติฯ อิโต สุตฺวา อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทายฯ อิติ สมคฺคานํ วา เภตฺตา, ภินฺนานํ วา อนุปฺปทาตา, วคฺคาราโม วคฺครโต วคฺคนนฺที วคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They speak divisively. They repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. And so they divide those who are harmonious, supporting division, delighting in division, loving division, speaking words that promote division.
ผรุสวาโจ โข ปน โหติฯ ยา สา วาจา อณฺฑกา กกฺกสา ปรกฏุกา ปราภิสชฺชนี โกธสามนฺตา อสมาธิสํวตฺตนิกา, ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They speak harshly. They use the kinds of words that are cruel, nasty, hurtful, offensive, bordering on anger, not leading to immersion.
สมฺผปฺปลาปี โข ปน โหติฯ อกาลวาที อภูตวาที อนตฺถวาที อธมฺมวาที อวินยวาทีฯ อนิธานวตึ วาจํ ภาสิตา โหติ อกาเลน อนปเทสํ อปริยนฺตวตึ อนตฺถสํหิตํฯ เอวํ โข, คหปตโย, จตุพฺพิธํ วาจาย อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติฯ
They talk nonsense. Their speech is untimely, and is neither factual nor beneficial. It has nothing to do with the teaching or the training. Their words have no value, and are untimely, unreasonable, rambling, and pointless. This is how unprincipled and immoral conduct is fourfold by way of speech.
กถญฺจ, คหปตโย, ติวิธํ มนสา อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ อภิชฺฌาลุ โหติ, ยํ ตํ ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรณํ ตํ อภิชฺฌาตา โหติ: ‘อโห วต ยํ ปรสฺส ตํ มมสฺสา'ติฯ
And how is unprincipled and immoral conduct threefold by way of mind? It's when a certain person is covetous. They covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
พฺยาปนฺนจิตฺโต โข ปน โหติ ปทุฏฺฐมนสงฺกปฺโป: ‘อิเม สตฺตา หญฺญนฺตุ วา วชฺฌนฺตุ วา อุจฺฉิชฺชนฺตุ วา วินสฺสนฺตุ วา มา วา อเหสุนฺ'ติฯ
They have ill will and malicious intentions: ‘May these sentient beings be killed, slaughtered, slain, destroyed, or annihilated!’
มิจฺฉาทิฏฺฐิโก โข ปน โหติ วิปรีตทสฺสโน: ‘นตฺถิ ทินฺนํ นตฺถิ ยิฏฺฐํ นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติฯ เอวํ โข, คหปตโย, ติวิธํ มนสา อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหติฯ
They have wrong view. Their perspective is distorted: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no such thing as mother and father, or beings that are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is well attained and practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight.’ This is how unprincipled and immoral conduct is threefold by way of mind.
เอวํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ โข, คหปตโย, เอวมฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ
That’s how unprincipled and immoral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.
ติวิธํ โข, คหปตโย, กาเยน ธมฺมจริยาสมจริยา โหติ, จตุพฺพิธํ วาจาย ธมฺมจริยาสมจริยา โหติ, ติวิธํ มนสา ธมฺมจริยาสมจริยา โหติฯ
Householders, principled and moral conduct is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
กถญฺจ, คหปตโย, ติวิธํ กาเยน ธมฺมจริยาสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, นิหิตทณฺโฑ นิหิตสตฺโถ ลชฺชี ทยาปนฺโน สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ
And how is principled and moral conduct threefold by way of body? It’s when a certain person gives up killing living creatures. They renounce the rod and the sword. They’re scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings.
อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติฯ ยํ ตํ ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรณํ, คามคตํ วา อรญฺญคตํ วา, ตํ นาทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทาตา โหติฯ
They give up stealing. They don’t, with the intention to commit theft, take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต โหติฯ ยา ตา มาตุรกฺขิตา ปิตุรกฺขิตา มาตาปิตุรกฺขิตา ภาตุรกฺขิตา ภคินิรกฺขิตา ญาติรกฺขิตา โคตฺตรกฺขิตา ธมฺมรกฺขิตา สสฺสามิกา สปริทณฺฑา อนฺตมโส มาลาคุฬปริกฺขิตฺตาปิ, ตถารูปาสุ น จาริตฺตํ อาปชฺชิตา โหติฯ เอวํ โข, คหปตโย, ติวิธํ กาเยน ธมฺมจริยาสมจริยา โหติฯ
They give up sexual misconduct. They don’t have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They don’t have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal. This is how principled and moral conduct is threefold by way of body.
กถญฺจ, คหปตโย, จตุพฺพิธํ วาจาย ธมฺมจริยาสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฏิวิรโต โหติฯ สภาคโต วา ปริสาคโต วา, ญาติมชฺฌคโต วา ปูคมชฺฌคโต วา ราชกุลมชฺฌคโต วา, อภินีโต สกฺขิปุฏฺโฐ: ‘เอหมฺโภ ปุริส, ยํ ชานาสิ ตํ วเทหี'ติ, โส อชานํ วา อาห: ‘น ชานามี'ติ, ชานํ วา อาห: ‘ชานามี'ติ, อปสฺสํ วา อาห: ‘น ปสฺสามี'ติ, ปสฺสํ วา อาห: ‘ปสฺสามี'ติฯ อิติ อตฺตเหตุ วา ปรเหตุ วา อามิสกิญฺจิกฺขเหตุ วา น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติฯ
And how is principled and moral conduct fourfold by way of speech? It’s when a certain person gives up lying. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I don’t know.’ Knowing, they say ‘I know.’ Not seeing, they say ‘I don’t see.’ And seeing, they say ‘I see.’ So they don’t deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ, อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทายฯ อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา, สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา, สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที สมคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They give up divisive speech. They don’t repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. Instead, they reconcile those who are divided, supporting unity, delighting in harmony, loving harmony, speaking words that promote harmony.
ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติฯ ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา—ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They give up harsh speech. They speak in a way that’s mellow, pleasing to the ear, lovely, going to the heart, polite, likable, and agreeable to the people.
สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต โหติฯ กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที นิธานวตึ วาจํ ภาสิตา โหติ กาเลน สาปเทสํ ปริยนฺตวตึ อตฺถสํหิตํฯ เอวํ โข, คหปตโย, จตุพฺพิธํ วาจาย ธมฺมจริยาสมจริยา โหติฯ
They give up talking nonsense. Their words are timely, true, and meaningful, in line with the teaching and training. They say things at the right time which are valuable, reasonable, succinct, and beneficial. This is how principled and moral conduct is fourfold by way of speech.
กถญฺจ, คหปตโย, ติวิธํ มนสา ธมฺมจริยาสมจริยา โหติ? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ อนภิชฺฌาลุ โหติ, ยํ ตํ ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรณํ ตํ นาภิชฺฌาตา โหติ: ‘อโห วต ยํ ปรสฺส ตํ มมสฺสา'ติฯ
And how is principled and moral conduct threefold by way of mind? It's when a certain person is not covetous. They don’t covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
อพฺยาปนฺนจิตฺโต โข ปน โหติ อปฺปทุฏฺฐมนสงฺกปฺโป: ‘อิเม สตฺตา อเวรา อพฺยาพชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตู'ติฯ
They have a kind heart and loving intentions: ‘May these sentient beings live free of enmity and ill will, untroubled and happy!’
สมฺมาทิฏฺฐิโก โข ปน โหติ อวิปรีตทสฺสโน: ‘อตฺถิ ทินฺนํ อตฺถิ ยิฏฺฐํ อตฺถิ หุตํ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, อตฺถิ อยํ โลโก อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา อตฺถิ ปิตา, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติฯ เอวํ โข, คหปตโย, ติวิธํ มนสา ธมฺมจริยาสมจริยา โหติฯ
They have right view, an undistorted perspective: ‘There is meaning in giving, sacrifice, and offerings. There are fruits and results of good and bad deeds. There is an afterlife. There are such things as mother and father, and beings that are reborn spontaneously. And there are ascetics and brahmins who are well attained and practiced, and who describe the afterlife after realizing it with their own insight.’ This is how principled and moral conduct is threefold by way of mind.
เอวํ ธมฺมจริยาสมจริยาเหตุ โข, คหปตโย, เอวมฺ'อิเธกจฺเจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ
This is how principled and moral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm.
อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only, when my body breaks up, after death, I would be reborn in the company of well-to-do aristocrats!’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.
อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺราหฺมณมหาสาลานํ …เป… คหปติมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา คหปติมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ตาวตึสานํ เทวานํ …เป… ยามานํ เทวานํ … ตุสิตานํ เทวานํ … นิมฺมานรตีนํ เทวานํ … ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ … พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อาภานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อาภานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปริตฺตาภานํ เทวานํ …เป… อปฺปมาณาภานํ เทวานํ … อาภสฺสรานํ เทวานํ … ปริตฺตสุภานํ เทวานํ … อปฺปมาณสุภานํ เทวานํ … สุภกิณฺหานํ เทวานํ … เวหปฺผลานํ เทวานํ … อวิหานํ เทวานํ … อตปฺปานํ เทวานํ … สุทสฺสานํ เทวานํ … สุทสฺสีนํ เทวานํ … อกนิฏฺฐานํ เทวานํ … อากาสานญฺจายตนูปคานํ เทวานํ … วิญฺญาณญฺจายตนูปคานํ เทวานํ … อากิญฺจญฺญายตนูปคานํ เทวานํ … เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปคานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปคานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺเชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารีฯ
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only, when my body breaks up, after death, I would be reborn in the company of well-to-do brahmins … well-to-do householders … the Gods of the Four Great Kings … the Gods of the Thirty-Three … the Gods of Yama … the Joyful Gods … the Gods Who Love to Create … the Gods Who Control the Creations of Others … the Gods of Brahmā’s Host … the Radiant Gods … the Gods of Limited Radiance … the Gods of Limitless Radiance … the Gods of Streaming Radiance … the Gods of Limited Glory … the Gods of Limitless Glory … the Gods Replete with Glory … the Gods of Abundant Fruit … the Gods of Aviha … the Gods of Atappa … the Gods Fair to See … the Fair Seeing Gods … the Gods of Akaniṭṭha … the gods of the dimension of infinite space … the gods of the dimension of infinite consciousness … the gods of the dimension of nothingness … the gods of the dimension of neither perception nor non-perception.’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.
อากงฺเขยฺย เจ, คหปตโย, ธมฺมจารี สมจารี: ‘อโห วตาหํ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยนฺ'ติ; ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารี”ติฯ
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only I might realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with my own insight due to the ending of defilements.’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.”
เอวํ วุตฺเต, สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมฯ เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสเก โน ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปเต สรณํ คเต”ติฯ
When he had spoken, the brahmins and householders of Sālā said to the Buddha, “Excellent, Master Gotama! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, Master Gotama has made the teaching clear in many ways. We go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may Master Gotama remember us as lay followers who have gone for refuge for life.”
สาเลยฺยกสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]