Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๕. จูฬยมกวโคฺค

    5. Cūḷayamakavaggo

    ๑. สาเลยฺยกสุตฺตวณฺณนา

    1. Sāleyyakasuttavaṇṇanā

    ๔๓๙. มหาชนกาเย สนฺนิปติเตติ เกจิ ‘‘ปหํสนวิธิํ ทเสฺสตฺวา ราชกุมารํ หาเสสฺสามา’’ติ, เกจิ ‘‘ตํ กีฬนํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ เอวํ มหาชนสมูเห สนฺนิปติเตฯ เทวนฎนฺติ ทิพฺพคนฺธพฺพํฯ กุสลํ กุสลนฺติ วจนํ อุปาทายาติ ‘‘กจฺจิ กุสลํ? อาม กุสล’’นฺติ วจนปฎิวจนวเสน ปวตฺตกุสลวาทิตาย เต มนุสฺสา อาทิโต กุสลาติ สมญฺญํ ลภิํสุฯ เตสํ กุสลานํ อิสฺสราติ ราชกุมารา โกสลาฯ โกสเล ชาตาฯ เตสํ นิวาโสติ สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตนยเมวฯ เตนาห ‘‘โส ปเทโส โกสลาติ วุจฺจตี’’ติฯ

    439.Mahājanakāyesannipatiteti keci ‘‘pahaṃsanavidhiṃ dassetvā rājakumāraṃ hāsessāmā’’ti, keci ‘‘taṃ kīḷanaṃ passissāmā’’ti evaṃ mahājanasamūhe sannipatite. Devanaṭanti dibbagandhabbaṃ. Kusalaṃ kusalanti vacanaṃ upādāyāti ‘‘kacci kusalaṃ? Āma kusala’’nti vacanapaṭivacanavasena pavattakusalavāditāya te manussā ādito kusalāti samaññaṃ labhiṃsu. Tesaṃ kusalānaṃ issarāti rājakumārā kosalā. Kosale jātā. Tesaṃ nivāsoti sabbaṃ pubbe vuttanayameva. Tenāha ‘‘so padeso kosalāti vuccatī’’ti.

    จาริกํ จรมาโนติ สามญฺญวจนมฺปิ ‘‘มหตา…เป.… ตทวสรี’’ติ วจนโต วิเสสํ นิวิฎฺฐเมวาติ อาห ‘‘อตุริตจาริกํ จรมาโน’’ติฯ มหตาติ คุณมหเตฺตนปิ สงฺขฺยามหเตฺตนปิ มหตาฯ ตสฺมิญฺหิ ภิกฺขุสมูเห เกจิ อธิสีลสิกฺขาวเสน สีลสมฺปนฺนา, ตถา เกจิ สีลสมาธิสมฺปนฺนา, เกจิ สีลสมาธิปญฺญาสมฺปนฺนาติ คุณมหเตฺตนปิ โส ภิกฺขุสมูโห มหาติฯ ตํ อนามสิตฺวา สงฺขฺยามหตฺตเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘สตํ วา’’ติอาทิมาหฯ อญฺญคามปฎิพทฺธชีวิกาวเสน สโมสรนฺติ เอตฺถาติ สโมสรณํ, คาโม นิวาสคาโมฯ นฺติ สาลํ พฺราหฺมณคามํฯ วิหาโรติ ภควโต วิหรณฎฺฐานํฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ สาเลยฺยกสุเตฺตฯ อนิยมิโตติ อสุกสฺมิํ อาราเม ปพฺพเต รุกฺขมูเล วาติ น นิยมิโต, สรูปคฺคหณวเสน น นิยมิตฺวา วุโตฺตฯ ตสฺมาติ อนิยมิตตฺตาฯ อตฺถาปตฺติสิทฺธมตฺถํ ปริกปฺปนวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘วนสโณฺฑ ภวิสฺสตี’’ติ อาห, อทฺธา ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ

    Cārikaṃ caramānoti sāmaññavacanampi ‘‘mahatā…pe… tadavasarī’’ti vacanato visesaṃ niviṭṭhamevāti āha ‘‘aturitacārikaṃ caramāno’’ti. Mahatāti guṇamahattenapi saṅkhyāmahattenapi mahatā. Tasmiñhi bhikkhusamūhe keci adhisīlasikkhāvasena sīlasampannā, tathā keci sīlasamādhisampannā, keci sīlasamādhipaññāsampannāti guṇamahattenapi so bhikkhusamūho mahāti. Taṃ anāmasitvā saṅkhyāmahattameva dassento ‘‘sataṃ vā’’tiādimāha. Aññagāmapaṭibaddhajīvikāvasena samosaranti etthāti samosaraṇaṃ, gāmo nivāsagāmo. Nti sālaṃ brāhmaṇagāmaṃ. Vihāroti bhagavato viharaṇaṭṭhānaṃ. Etthāti etasmiṃ sāleyyakasutte. Aniyamitoti asukasmiṃ ārāme pabbate rukkhamūle vāti na niyamito, sarūpaggahaṇavasena na niyamitvā vutto. Tasmāti aniyamitattā. Atthāpattisiddhamatthaṃ parikappanavasena dassento ‘‘vanasaṇḍo bhavissatī’’ti āha, addhā bhaveyyāti attho.

    อุปลภิํสูติ (สารตฺถ. ฎี. ๑.๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา; ที. นิ. ฎี. ๑.๒๕๕; อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๖๔) สวนวเสน อุปลภิํสูติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โสตทฺวาร…เป.… ชานิํสู’’ติ อาหฯ อวธารณผลตฺตา สพฺพมฺปิ วากฺยํ อโนฺตคธาวธารณนฺติ อาห ‘‘ปทปูรณมเตฺต วา นิปาโต’’ติฯ อวธารณเตฺถติ ปน อิมินา อิฎฺฐตฺถาวธารณตฺถํ โข-สทฺทคฺคหณนฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘อโสฺสสุ’’นฺติ ปทํ โข-สเทฺท คหิเต เตน ผุลฺลิตมณฺฑิตวิภูสิตํ วิย โหนฺตํ ปูริตํ นาม โหติ, เตน จ ปุริมปจฺฉิมปทานิ สํสิลิฎฺฐานิ โหนฺติ, น ตสฺมิํ อคฺคหิเตติ อาห ‘‘ปทปูรเณน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมวา’’ติฯ มตฺต-สโทฺท วิเสสนิวตฺติอโตฺถฯ เตนสฺส อนตฺถนฺตรทีปนตํ ทเสฺสติ, เอว-สเทฺทน ปน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย เอกนฺติกตํฯ สาลายํ ชาตา สํวฑฺฒกา สาเลยฺยกา ยถา ‘‘กเตฺตยฺยกา อุเพฺภยฺยกา’’ติฯ

    Upalabhiṃsūti (sārattha. ṭī. 1.1.verañjakaṇḍavaṇṇanā; dī. ni. ṭī. 1.255; a. ni. ṭī. 2.3.64) savanavasena upalabhiṃsūti imamatthaṃ dassento ‘‘sotadvāra…pe… jāniṃsū’’ti āha. Avadhāraṇaphalattā sabbampi vākyaṃ antogadhāvadhāraṇanti āha ‘‘padapūraṇamatte vānipāto’’ti. Avadhāraṇattheti pana iminā iṭṭhatthāvadhāraṇatthaṃ kho-saddaggahaṇanti dasseti. ‘‘Assosu’’nti padaṃ kho-sadde gahite tena phullitamaṇḍitavibhūsitaṃ viya hontaṃ pūritaṃ nāma hoti, tena ca purimapacchimapadāni saṃsiliṭṭhāni honti, na tasmiṃ aggahiteti āha ‘‘padapūraṇena byañjanasiliṭṭhatāmattamevā’’ti. Matta-saddo visesanivattiattho. Tenassa anatthantaradīpanataṃ dasseti, eva-saddena pana byañjanasiliṭṭhatāya ekantikataṃ. Sālāyaṃ jātā saṃvaḍḍhakā sāleyyakā yathā ‘‘katteyyakā ubbheyyakā’’ti.

    สมิตปาปตฺตาติ อจฺจนฺตํ อนวเสสโต สวาสนํ สมิตปาปตฺตาฯ เอวญฺหิ พาหิรกวีตราคเสกฺขาเสกฺขปาปสมนโต ภควโต ปาปสมนํ วิเสสิตํ โหติฯ อเนกตฺถตฺตา นิปาตานํ อิธ อนุสฺสวโตฺถ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ขลูติ อนุสฺสวนเตฺถ นิปาโต’’ติฯ อาลปนมตฺตนฺติ ปิยาลาปวจนํฯ ปิยสมุทาหารา เหเต ‘‘โภ’’ติ วา ‘‘อาวุโส’’ติ วา ‘‘เทวานํปิยา’’ติ วาฯ โคตฺตวเสนาติ เอตฺถ ตํ ตายตีติ โคตฺตํฯ โคตโมติ หิ ปวตฺตมานํ อภิธานํ พุทฺธิญฺจ เอกํสิกวิสยตาย ตายติ รกฺขตีติ โคตมโคตฺตํฯ ยถา หิ พุทฺธิ อารมฺมณภูเตน อเตฺถน วินา น วตฺตติ, เอวํ อภิธานํ อภิเธยฺยภูเตน, ตสฺมา โส ตานิ ตายติ รกฺขตีติ วุจฺจติฯ โส ปน อตฺถโต อญฺญกุลปรมฺปราสาธารณํ ตสฺส กุลสฺส อาทิปุริสสมุทาคตํ ตํกุลปริยาปนฺนสาธารณํ สามญฺญรูปนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อุจฺจากุลปริทีปนํ อุทิโตทิตวิปุลขตฺติยกุลวิภาวนโตฯ สพฺพขตฺติยานญฺหิ อาทิภูตมหาสมฺมตมหาราชโต ปฎฺฐาย อสมฺภินฺนํ อุฬารตมํ สกฺยราชกุลํฯ เกนจิ ปาริชุเญฺญนาติ ญาติปาริชุญฺญโภคปาริชุญฺญาทินา เกนจิปิ ปาริชุเญฺญน ปริหานิยา อนภิภูโต อนโชฺฌตฺถโฎฯ ตถา หิ กทาจิปิ ตสฺส กุลสฺส ตาทิสปาริชุญฺญาภาโว, อภินิกฺขมนกาเล จ ตโต สมิทฺธตมภาโว โลเก ปากโฎ ปญฺญาโตติฯ สกฺยกุลา ปพฺพชิโตติ อิทํ วจนํ ภควโต สทฺธาปพฺพชิตภาวทีปนํ วุตฺตํ มหนฺตํ ญาติปริวฎฺฎํ มหนฺตญฺจ โภคกฺขนฺธํ ปหาย ปพฺพชิตภาวทีปนโตฯ เอตฺถ จ สมโณติ อิมินา ปริกฺขกชเนหิ ภควโต พหุมตภาโว ทสฺสิโต สมิตปาปตาทีปนโต, โคตโมติ อิมินา โลกิยชเนหิ อุฬารตมกุลีนตาทีปนโตฯ

    Samitapāpattāti accantaṃ anavasesato savāsanaṃ samitapāpattā. Evañhi bāhirakavītarāgasekkhāsekkhapāpasamanato bhagavato pāpasamanaṃ visesitaṃ hoti. Anekatthattā nipātānaṃ idha anussavattho adhippetoti āha ‘‘khalūti anussavanatthe nipāto’’ti. Ālapanamattanti piyālāpavacanaṃ. Piyasamudāhārā hete ‘‘bho’’ti vā ‘‘āvuso’’ti vā ‘‘devānaṃpiyā’’ti vā. Gottavasenāti ettha taṃ tāyatīti gottaṃ. Gotamoti hi pavattamānaṃ abhidhānaṃ buddhiñca ekaṃsikavisayatāya tāyati rakkhatīti gotamagottaṃ. Yathā hi buddhi ārammaṇabhūtena atthena vinā na vattati, evaṃ abhidhānaṃ abhidheyyabhūtena, tasmā so tāni tāyati rakkhatīti vuccati. So pana atthato aññakulaparamparāsādhāraṇaṃ tassa kulassa ādipurisasamudāgataṃ taṃkulapariyāpannasādhāraṇaṃ sāmaññarūpanti daṭṭhabbaṃ. Uccākulaparidīpanaṃ uditoditavipulakhattiyakulavibhāvanato. Sabbakhattiyānañhi ādibhūtamahāsammatamahārājato paṭṭhāya asambhinnaṃ uḷāratamaṃ sakyarājakulaṃ. Kenaci pārijuññenāti ñātipārijuññabhogapārijuññādinā kenacipi pārijuññena parihāniyā anabhibhūto anajjhotthaṭo. Tathā hi kadācipi tassa kulassa tādisapārijuññābhāvo, abhinikkhamanakāle ca tato samiddhatamabhāvo loke pākaṭo paññātoti. Sakyakulā pabbajitoti idaṃ vacanaṃ bhagavato saddhāpabbajitabhāvadīpanaṃ vuttaṃ mahantaṃ ñātiparivaṭṭaṃ mahantañca bhogakkhandhaṃ pahāya pabbajitabhāvadīpanato. Ettha ca samaṇoti iminā parikkhakajanehi bhagavato bahumatabhāvo dassito samitapāpatādīpanato, gotamoti iminā lokiyajanehi uḷāratamakulīnatādīpanato.

    อพฺภุคฺคโตติ เอตฺถ อภิ-สโทฺท อิตฺถมฺภูตาขฺยาเน, ตํโยคโต ปน ‘‘ภวนฺตํ โคตม’’นฺติ อุปโยควจนํ สามิอเตฺถปิ สมานํ อิตฺถมฺภูตโยคทีปนโต ‘‘อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘ตสฺส โข ปน โภโต โคตมสฺสาติ อโตฺถ’’ติฯ กลฺยาโณติ ภทฺทโกฯ สา จสฺส กลฺยาณตา อุฬารวิสยตายาติ อาห ‘‘กลฺยาณคุณสมนฺนาคโต’’ติฯ ตํวิสยตา เหตฺถ สมนฺนาคโมฯ เสโฎฺฐติ เอตฺถาปิ เอเสว นโย ยถา ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา; วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒; อุทา. อฎฺฐ. ๑; อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐)ฯ ‘‘ภควา อรห’’นฺติอาทินา คุณานํ สํกิตฺตนโต สํสทฺทนโต จ กิตฺติสโทฺท วโณฺณติ อาห ‘‘กิตฺติเยวา’’ติฯ กิตฺติปริยาโยปิ หิ สทฺท-สโทฺท ยถา ตํ ‘‘อุฬารสทฺทา อิสโย คุณวโนฺต ตปสฺสิโน’’ติฯ ถุติโฆโสติ อภิตฺถวุทาหาโรฯ อโชฺฌตฺถริตฺวาติ ปฎิปกฺขาภาเวน อนญฺญสาธารณตาย จ อภิภวิตฺวาฯ

    Abbhuggatoti ettha abhi-saddo itthambhūtākhyāne, taṃyogato pana ‘‘bhavantaṃ gotama’’nti upayogavacanaṃ sāmiatthepi samānaṃ itthambhūtayogadīpanato ‘‘itthambhūtākhyānatthe’’ti vuttaṃ. Tenāha ‘‘tassa kho pana bhoto gotamassāti attho’’ti. Kalyāṇoti bhaddako. Sā cassa kalyāṇatā uḷāravisayatāyāti āha ‘‘kalyāṇaguṇasamannāgato’’ti. Taṃvisayatā hettha samannāgamo. Seṭṭhoti etthāpi eseva nayo yathā ‘‘bhagavāti vacanaṃ seṭṭha’’nti (pārā. aṭṭha. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanā; visuddhi. 1.142; udā. aṭṭha. 1; itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; mahāni. aṭṭha. 50). ‘‘Bhagavā araha’’ntiādinā guṇānaṃ saṃkittanato saṃsaddanato ca kittisaddo vaṇṇoti āha ‘‘kittiyevā’’ti. Kittipariyāyopi hi sadda-saddo yathā taṃ ‘‘uḷārasaddā isayo guṇavanto tapassino’’ti. Thutighosoti abhitthavudāhāro. Ajjhottharitvāti paṭipakkhābhāvena anaññasādhāraṇatāya ca abhibhavitvā.

    โส ภควาติ โย โส สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ เทวานํ อติเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมา โลกนาโถ ภาคฺยวนฺตตาทีหิ การเณหิ ภควาติ ลทฺธนาโม, โส ภควาฯ ‘‘ภควา’’ติ หิ อิทํ สตฺถุ นามกิตฺตนํฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ภควาติ เนตํ นามํ มาตรา กต’’นฺติอาทิ (มหานิ. ๑๔๙, ๑๙๘, ๒๑๐; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒)ฯ ปรโต ปน ‘‘ภควา’’ติ คุณกิตฺตนเมวฯ เอวํ ‘‘อรห’’นฺติอาทีหิ ปเทหิ เย สเทวเก โลเก อติวิย ปญฺญาตา พุทฺธคุณา, เต นานปฺปการโต วิภาวิตาติ ทเสฺสตุํ ปเจฺจกํ อิติปิ-สโทฺท โยเชตโพฺพติ อาห ‘‘อิติปิ อรหํ, อิติปิ สมาสมฺพุโทฺธ…เป.… อิติปิ ภควา’’ติฯ ‘‘อิติเปตํ ภูตํ, อิติเปตํ ตจฺฉ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๖) วิย หิ อิธ อิติ-สโทฺท อาสนฺนปจฺจกฺขการณโตฺถ, ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ เตน เตสํ คุณานํ พหุภาวทีปนโตฯ ตานิ คุณสลฺลกฺขณการณานิ สทฺธาสมฺปนฺนานํ วิญฺญุชาติกานํ ปจฺจกฺขานิ เอวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติ วุตฺตํ โหตี’’ติอาทิฯ ตโต วิสุทฺธิมคฺคโตฯ เตสนฺติ ‘‘อรห’’นฺติอาทีนํฯ วิตฺถาโร อตฺถนิเทฺทโส คเหตโพฺพฯ ตโต เอว ตํสํวณฺณนายํ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๓๐) วุโตฺต ‘‘อารกาติ อรหํ สุวิทูรภาวโต, อารกาติ อรหํ อาสนฺนภาวโต, รหิตพฺพสฺส อภาวโต, สยญฺจ อรหิตพฺพโต, นตฺถิ เอตสฺส รโหคมนํ คตีสุ ปจฺจาชาติ, ปาสํสภาวโต วา อรห’’นฺติอาทินา ‘‘อรห’’นฺติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ วิตฺถารโต เวทิตโพฺพฯ

    So bhagavāti yo so samatiṃsa pāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho devānaṃ atidevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā lokanātho bhāgyavantatādīhi kāraṇehi bhagavāti laddhanāmo, so bhagavā. ‘‘Bhagavā’’ti hi idaṃ satthu nāmakittanaṃ. Tathā hi vuttaṃ ‘‘bhagavāti netaṃ nāmaṃ mātarā kata’’ntiādi (mahāni. 149, 198, 210; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2). Parato pana ‘‘bhagavā’’ti guṇakittanameva. Evaṃ ‘‘araha’’ntiādīhi padehi ye sadevake loke ativiya paññātā buddhaguṇā, te nānappakārato vibhāvitāti dassetuṃ paccekaṃ itipi-saddo yojetabboti āha ‘‘itipi arahaṃ, itipi samāsambuddho…pe… itipi bhagavā’’ti. ‘‘Itipetaṃ bhūtaṃ, itipetaṃ taccha’’ntiādīsu (dī. ni. 1.6) viya hi idha iti-saddo āsannapaccakkhakāraṇattho, pi-saddo sampiṇḍanattho tena tesaṃ guṇānaṃ bahubhāvadīpanato. Tāni guṇasallakkhaṇakāraṇāni saddhāsampannānaṃ viññujātikānaṃ paccakkhāni evāti dassento ‘‘iminā ca iminā ca kāraṇenāti vuttaṃ hotī’’tiādi. Tato visuddhimaggato. Tesanti ‘‘araha’’ntiādīnaṃ. Vitthāro atthaniddeso gahetabbo. Tato eva taṃsaṃvaṇṇanāyaṃ (visuddhi. mahāṭī. 1.130) vutto ‘‘ārakāti arahaṃ suvidūrabhāvato, ārakāti arahaṃ āsannabhāvato, rahitabbassa abhāvato, sayañca arahitabbato, natthi etassa rahogamanaṃ gatīsu paccājāti, pāsaṃsabhāvato vā araha’’ntiādinā ‘‘araha’’ntiādīnaṃ padānaṃ attho vitthārato veditabbo.

    ภวนฺติ เจตฺถ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๓๐; สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา) –

    Bhavanti cettha (visuddhi. mahāṭī. 1.130; sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanā) –

    ‘‘สมฺมา นปฺปฎิปชฺชนฺติ, เย นิหีนาสยา นรา;

    ‘‘Sammā nappaṭipajjanti, ye nihīnāsayā narā;

    อารกา เตหิ ภควา, ทูเร เตนารหํ มโตฯ

    Ārakā tehi bhagavā, dūre tenārahaṃ mato.

    เย สมฺมา ปฎิปชฺชนฺติ, สุปฺปณีตาธิมุตฺติกา;

    Ye sammā paṭipajjanti, suppaṇītādhimuttikā;

    ภควา เตหิ อาสโนฺน, เตนาปิ อรหํ ชิโนฯ

    Bhagavā tehi āsanno, tenāpi arahaṃ jino.

    ปาปธมฺมา รหา นาม, สาธูหิ รหิตพฺพโต;

    Pāpadhammā rahā nāma, sādhūhi rahitabbato;

    เตสํ สุฎฺฐุ ปหีนตฺตา, ภควา อรหํ มโตฯ

    Tesaṃ suṭṭhu pahīnattā, bhagavā arahaṃ mato.

    เย สจฺฉิกตสทฺธมฺมา, อริยา สุทฺธโคจรา;

    Ye sacchikatasaddhammā, ariyā suddhagocarā;

    น เตหิ รหิโต โหติ, นาโถ เตนารหํ มโตฯ

    Na tehi rahito hoti, nātho tenārahaṃ mato.

    รโห วา คมนํ ยสฺส, สํสาเร นตฺถิ สพฺพโส;

    Raho vā gamanaṃ yassa, saṃsāre natthi sabbaso;

    ปหีนชาติมรโณ, อรหํ สุคโต มโตฯ

    Pahīnajātimaraṇo, arahaṃ sugato mato.

    คุเณหิ สทิโส นตฺถิ, ยสฺมา โลเก สเทวเก;

    Guṇehi sadiso natthi, yasmā loke sadevake;

    ตสฺมา ปาสํสิยตฺตาปิ, อรหํ ทฺวิปทุตฺตโมฯ

    Tasmā pāsaṃsiyattāpi, arahaṃ dvipaduttamo.

    อารกา มนฺทพุทฺธีนํ, อาสนฺนา จ วิชานตํ;

    Ārakā mandabuddhīnaṃ, āsannā ca vijānataṃ;

    รหานํ สุปฺปหีนตฺตา, วิทูนมรเหยฺยโต;

    Rahānaṃ suppahīnattā, vidūnamaraheyyato;

    ภเวสุ จ รหาภาวา, ปาสํสา อรหํ ชิโน’’ติฯ

    Bhavesu ca rahābhāvā, pāsaṃsā arahaṃ jino’’ti.

    สุนฺทรนฺติ ภทฺทกํฯ ตญฺจ ปสฺสนฺตสฺส หิตสุขาวหภาเวน เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘อตฺถาวหํ สุขาวห’’นฺติฯ ตตฺถ อตฺถาวหนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถสญฺหิตหิตาวหํฯ สุขาวหนฺติ ตปฺปริยาปนฺนติวิธสุขาวหํฯ ตถารูปานนฺติ ตาทิสานํฯ ยาทิเสหิ ปน คุเณหิ ภควา สมนฺนาคโต, เตหิ จตุปฺปมาณิกสฺส โลกสฺส สพฺพถาปิ อจฺจนฺตาย ปสาทนีโยติ ทเสฺสตุํ ‘‘อเนเกหิปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถาภูต…เป.… อรหตนฺติ อิมินา ธมฺมปฺปมาณานํ ลูขปฺปมาณานํ สตฺตานํ ภควโต ปสาทาวหตมาห, อิตเรน อิตเรสํฯ ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตีติ เอตฺถ โกสิยสกุณสฺส วตฺถุ กเถตพฺพํฯ เอกํ ปทมฺปิ โสตุํ ลภิสฺสาม, สาธุตรํเยว ภวิสฺสตีติ เอตฺถ มณฺฑูกเทวปุตฺตวตฺถุ กเถตพฺพํฯ

    Sundaranti bhaddakaṃ. Tañca passantassa hitasukhāvahabhāvena veditabbanti āha ‘‘atthāvahaṃ sukhāvaha’’nti. Tattha atthāvahanti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthasañhitahitāvahaṃ. Sukhāvahanti tappariyāpannatividhasukhāvahaṃ. Tathārūpānanti tādisānaṃ. Yādisehi pana guṇehi bhagavā samannāgato, tehi catuppamāṇikassa lokassa sabbathāpi accantāya pasādanīyoti dassetuṃ ‘‘anekehipī’’tiādi vuttaṃ. Tattha yathābhūta…pe… arahatanti iminā dhammappamāṇānaṃ lūkhappamāṇānaṃ sattānaṃ bhagavato pasādāvahatamāha, itarena itaresaṃ. Dassanamattampisādhuhotīti ettha kosiyasakuṇassa vatthu kathetabbaṃ. Ekaṃ padampi sotuṃ labhissāma, sādhutaraṃyeva bhavissatīti ettha maṇḍūkadevaputtavatthu kathetabbaṃ.

    อิมินา นเยน อคาริกปุจฺฉา อาคตาติ อิทํ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํฯ เยภุเยฺยน หิ อคาริกา เอวํ ปุจฺฉนฺติฯ อนคาริกปุจฺฉายปิ เอเสว นโยฯ ยถา น สโกฺกนฺติ…เป.… วิสฺสเชฺชโนฺตติ อิมินา สตฺถุ เตสํ พฺราหฺมณคหปติกานํ นิคฺคณฺหนวิธิํ ทเสฺสติฯ เตสญฺหิ สํขิตฺตรุจิตาย สเงฺขปเทสนา, ตาย อตฺถํ อชานนฺตา วิตฺถารเทสนํ อายาจนฺติ, สา จ เนสํ สํขิตฺตรุจิตา ปณฺฑิตมานิตาย, โส จ มาโน ยถาเทสิตสฺส อตฺถสฺส อชานเนฺต อปฺปติโฎฺฐ โหติ , อิติ ภควา เตสํ มานนิคฺคหวิธิํ จิเนฺตตฺวา สเงฺขเปเนว ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิ, น สพฺพโส เทสนาย อสลฺลกฺขณตฺถํฯ เตนาห ‘‘ปณฺฑิตมานิกา หี’’ติอาทิฯ ยสฺมา มํ ตุเมฺห ยาจถ, สํขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ น ชานิตฺถาติ อธิปฺปาโยฯ

    Iminā nayena agārikapucchā āgatāti idaṃ yebhuyyavasena vuttaṃ. Yebhuyyena hi agārikā evaṃ pucchanti. Anagārikapucchāyapi eseva nayo. Yathā na sakkonti…pe… vissajjentoti iminā satthu tesaṃ brāhmaṇagahapatikānaṃ niggaṇhanavidhiṃ dasseti. Tesañhi saṃkhittarucitāya saṅkhepadesanā, tāya atthaṃ ajānantā vitthāradesanaṃ āyācanti, sā ca nesaṃ saṃkhittarucitā paṇḍitamānitāya, so ca māno yathādesitassa atthassa ajānante appatiṭṭho hoti , iti bhagavā tesaṃ mānaniggahavidhiṃ cintetvā saṅkhepeneva pañhaṃ vissajjesi, na sabbaso desanāya asallakkhaṇatthaṃ. Tenāha ‘‘paṇḍitamānikā hī’’tiādi. Yasmā maṃ tumhe yācatha, saṃkhittena vuttamatthaṃ na jānitthāti adhippāyo.

    ๔๔๐. ‘‘เอกวิเธน ญาณวตฺถุ’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๗๕๑) วิย โกฎฺฐาสโตฺถ วิธ-สโทฺท, โส จ วิภตฺติวจนวิปลฺลาสํ กตฺวา ปจฺจเตฺต กรณวจนวเสน ‘‘ติวิธ’’นฺติ วุโตฺตฯ อโตฺถ ปน กรณปุถุวจนวเสน ทฎฺฐโพฺพติ อาห ‘‘ติวิธนฺติ ตีหิ โกฎฺฐาเสหี’’ติฯ ปการโตฺถ วา วิธ-สโทฺท, ปการตฺถตฺตาเยว ลพฺภมานํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาภาวสามญฺญํ, กายทฺวาริกภาวสามญฺญํ วา อุปาทาย เอกตฺตํ เนตฺวา ‘‘ติวิธ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปการเภเท ปน อเปกฺขิเต ‘‘ติวิธา’’อิเจฺจว วุตฺตํ โหติฯ กาเยนาติ เอตฺถ กาโยติ โจปนกาโย อธิเปฺปโต, โส จ อธมฺมจริยาย ทฺวารภูโต เตน วินา ตสฺสา อปฺปวตฺตนโตฯ กาเยนาติ จ เหตุมฺหิ กรณวจนํฯ กิญฺจาปิ หิ อธมฺมจริยาสงฺขาตเจตนาสมุฎฺฐานา สา วิญฺญตฺติ, น จ สา ปฎฺฐาเน อาคเตสุ จตุวีสติยา ปจฺจเยสุ เอเกนปิ ปจฺจเยน เจตนาย ปจฺจโย โหติ, ตสฺสา ปน ตถาปวตฺตมานาย กายกมฺมสญฺญิตาย เจตนาย ปวตฺติ โหตีติ เตน ทฺวาเรน ลกฺขิตพฺพภาวโต ตสฺสา การณํ วิย จ สโพฺพหารมตฺตํ โหติฯ กายทฺวาเรนาติ วา กาเยน ทฺวารภูเตน กายทฺวารภูเตนาติ ตํ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ กรณวจนํฯ อธมฺมํ จรติ เอตายาติ อธมฺมจริยา, ตถาปวตฺตา เจตนาฯ อธโมฺมติ ปน ตํสมุฎฺฐาโน ปโยโค ทฎฺฐโพฺพฯ ธมฺมโต อนเปตาติ ธมฺมา, น ธมฺมาติ อธมฺมา, อธมฺมา จ สา จริยา จาติ อธมฺมจริยาฯ ปจฺจนีกสมนเฎฺฐน สมํ, สมานํ สทิสํ ยุตฺตนฺติ วา สมํ, สุจริตํฯ สมโต วิคตํ, วิรุทฺธํ วา ตสฺสาติ วิสมํ, ทุจฺจริตํฯ สา เอว วิสมา จริยาติ วิสมจริยาฯ สเพฺพสุ กณฺหสุกฺกปเทสูติ ‘‘จตุพฺพิธํ วาจาย อธมฺมจริยาวิสมจริยา โหตี’’ติอาทินา อุเทฺทสนิเทฺทสวเสน อาคเตสุ สเพฺพสุ กณฺหปเทสุ – ‘‘ติวิธํ โข คหปตโย กาเยน ธมฺมจริยาสมจริยา โหตี’’ติอาทินา อุเทฺทสนิเทฺทสวเสน อาคเตสุ สเพฺพสุ สุกฺกปเทสุ จฯ

    440. ‘‘Ekavidhena ñāṇavatthu’’ntiādīsu (vibha. 751) viya koṭṭhāsattho vidha-saddo, so ca vibhattivacanavipallāsaṃ katvā paccatte karaṇavacanavasena ‘‘tividha’’nti vutto. Attho pana karaṇaputhuvacanavasena daṭṭhabboti āha ‘‘tividhanti tīhi koṭṭhāsehī’’ti. Pakārattho vā vidha-saddo, pakāratthattāyeva labbhamānaṃ adhammacariyāvisamacariyābhāvasāmaññaṃ, kāyadvārikabhāvasāmaññaṃ vā upādāya ekattaṃ netvā ‘‘tividha’’nti vuttaṃ. Pakārabhede pana apekkhite ‘‘tividhā’’icceva vuttaṃ hoti. Kāyenāti ettha kāyoti copanakāyo adhippeto, so ca adhammacariyāya dvārabhūto tena vinā tassā appavattanato. Kāyenāti ca hetumhi karaṇavacanaṃ. Kiñcāpi hi adhammacariyāsaṅkhātacetanāsamuṭṭhānā sā viññatti, na ca sā paṭṭhāne āgatesu catuvīsatiyā paccayesu ekenapi paccayena cetanāya paccayo hoti, tassā pana tathāpavattamānāya kāyakammasaññitāya cetanāya pavatti hotīti tena dvārena lakkhitabbabhāvato tassā kāraṇaṃ viya ca sabbohāramattaṃ hoti. Kāyadvārenāti vā kāyena dvārabhūtena kāyadvārabhūtenāti taṃ itthambhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ. Adhammaṃ carati etāyāti adhammacariyā, tathāpavattā cetanā. Adhammoti pana taṃsamuṭṭhāno payogo daṭṭhabbo. Dhammato anapetāti dhammā, na dhammāti adhammā, adhammā ca sā cariyā cāti adhammacariyā. Paccanīkasamanaṭṭhena samaṃ, samānaṃ sadisaṃ yuttanti vā samaṃ, sucaritaṃ. Samato vigataṃ, viruddhaṃ vā tassāti visamaṃ, duccaritaṃ. Sā eva visamā cariyāti visamacariyā. Sabbesu kaṇhasukkapadesūti ‘‘catubbidhaṃ vācāya adhammacariyāvisamacariyā hotī’’tiādinā uddesaniddesavasena āgatesu sabbesu kaṇhapadesu – ‘‘tividhaṃ kho gahapatayo kāyena dhammacariyāsamacariyā hotī’’tiādinā uddesaniddesavasena āgatesu sabbesu sukkapadesu ca.

    โรเทติ กุรูรกมฺมนฺตตาย ปรปฎิพเทฺธ สเตฺต อสฺสูนิ โมเจตีติ รุโทฺท, โส เอว ลุโทฺท ร-การสฺส ล-การํ กตฺวาฯ กกฺขโฬติ ลุโทฺทฯ ทารุโณติ ผรุโสฯ สาหสิโกติ สาหสฺสการีฯ สเจปิ น ลิปฺปนฺติตถาวิโธ ปเรสํ ฆาตนสีโล โลหิตปาณีเตฺวว วุจฺจติ ยถา ทานสีโล ปเรสํ ทานตฺถํ อโธตหโตฺถปิ ‘‘ปยตปาณี’’เตฺวว วุจฺจติฯ ปหรณํ ปหารทานมตฺตํ หตํ, ปวุทฺธํ ปหรณํ ปรสฺส มารณํ ปหตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘หเต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิวิโฎฺฐติ อภินิวิโฎฺฐ ปสุโตฯ

    Rodeti kurūrakammantatāya parapaṭibaddhe satte assūni mocetīti ruddo, so eva luddo ra-kārassa la-kāraṃ katvā. Kakkhaḷoti luddo. Dāruṇoti pharuso. Sāhasikoti sāhassakārī. Sacepi na lippanti. Tathāvidho paresaṃ ghātanasīlo lohitapāṇītveva vuccati yathā dānasīlo paresaṃ dānatthaṃ adhotahatthopi ‘‘payatapāṇī’’tveva vuccati. Paharaṇaṃ pahāradānamattaṃ hataṃ, pavuddhaṃ paharaṇaṃ parassa māraṇaṃ pahatanti dassento ‘‘hate’’tiādimāha. Tattha niviṭṭhoti abhiniviṭṭho pasuto.

    ยสฺส วเสน ‘‘ปรสฺสา’’ติ สามินิเทฺทโส, ตํ สาปเตยฺยํฯ ยญฺหิ สามญฺญโต คหิตํ, ตํ เตเนว สามินิเทฺทเสน ปกาสิตนฺติ อาห ‘‘ปรสฺส สนฺตก’’นฺติฯ ปรสฺสปรวิตฺตูปกรณนฺติ วา เอกเมเวตํ สมาสปทํ, ยํ กิญฺจิ ปรสนฺตกํ วิเสสโต ปรสฺส วิตฺตูปกรณํ วาติ อโตฺถฯ เตหิ ปเรหีติ เยสํ สนฺตกํ, เตหิฯ ยสฺส วเสน ปุริโส ‘‘เถโน’’ติ วุจฺจติ, ตํ เถยฺยนฺติ อาห ‘‘อวหรณจิตฺตเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ เถยฺยสงฺขาเตน, น วิสฺสาสตาวกาลิกาทิวเสนาติ อโตฺถฯ

    Yassa vasena ‘‘parassā’’ti sāminiddeso, taṃ sāpateyyaṃ. Yañhi sāmaññato gahitaṃ, taṃ teneva sāminiddesena pakāsitanti āha ‘‘parassa santaka’’nti. Parassaparavittūpakaraṇanti vā ekamevetaṃ samāsapadaṃ, yaṃ kiñci parasantakaṃ visesato parassa vittūpakaraṇaṃ vāti attho. Tehi parehīti yesaṃ santakaṃ, tehi. Yassa vasena puriso ‘‘theno’’ti vuccati, taṃ theyyanti āha ‘‘avaharaṇacittassetaṃ adhivacana’’nti. Theyyasaṅkhātena, na vissāsatāvakālikādivasenāti attho.

    มเต วาติ วา-สโทฺท อวุตฺตวิกปฺปโตฺถฯ เตน ปพฺพชิตาทิภาวํ สงฺคณฺหาติฯ เอเตนุปาเยนาติ ยํ มาตริ มตาย, นฎฺฐาย วา ปิตา รกฺขติ, สา ปิตุรกฺขิตาฯ ยํ อุโภสุ อสเนฺตสุ ภาตา รกฺขติ, สา ภาตุรกฺขิตาติ เอวมาทิํ สนฺธายาหฯ สภาคกุลานีติ อาวาหกิริยาย สภาคานิ กุลานิฯ ทสฺสุกวิธิํ วา อุทฺทิสฺส ฐปิตทณฺฑาราชาทีหิฯ สมฺมาทิฎฺฐิสุเตฺต (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๘๙) ‘‘อสทฺธมฺมาธิปฺปาเยน กายทฺวารปฺปวตฺตา อคมนียฎฺฐานวีติกฺกมเจตนา’’ติ เอวํ วุตฺตมิจฺฉาจารลกฺขณวเสน

    Mate vāti -saddo avuttavikappattho. Tena pabbajitādibhāvaṃ saṅgaṇhāti. Etenupāyenāti yaṃ mātari matāya, naṭṭhāya vā pitā rakkhati, sā piturakkhitā. Yaṃ ubhosu asantesu bhātā rakkhati, sā bhāturakkhitāti evamādiṃ sandhāyāha. Sabhāgakulānīti āvāhakiriyāya sabhāgāni kulāni. Dassukavidhiṃ vā uddissa ṭhapitadaṇḍārājādīhi. Sammādiṭṭhisutte (ma. ni. aṭṭha. 1.89) ‘‘asaddhammādhippāyena kāyadvārappavattā agamanīyaṭṭhānavītikkamacetanā’’ti evaṃ vuttamicchācāralakkhaṇavasena.

    หตฺถปาทาทิเหตูติ หตฺถปาทาทิเภทนเหตุฯ ธนเหตูติ ธนสฺส ลาภเหตุ ชานิเหตุ จฯ ลาโภติ ฆาสจฺฉาทนานิ ลพฺภตีติ ลาโภฯ กิญฺจิกฺขนฺติ กิญฺจิมตฺตกํ อามิสชาตํฯ เตนาห ‘‘ยํ วา’’ติอาทิฯ ชานโนฺตเยวาติ มุสาภาวํ ตสฺส วตฺถุโน อตฺถิ, ตํ ชานโนฺต เอวฯ

    Hatthapādādihetūti hatthapādādibhedanahetu. Dhanahetūti dhanassa lābhahetu jānihetu ca. Lābhoti ghāsacchādanāni labbhatīti lābho. Kiñcikkhanti kiñcimattakaṃ āmisajātaṃ. Tenāha ‘‘yaṃ vā’’tiādi. Jānantoyevāti musābhāvaṃ tassa vatthuno atthi, taṃ jānanto eva.

    อณฺฑกาติ วุจฺจติ รุเกฺข อณฺฑสทิสา คณฺฐิโยฯ ยถา ถทฺธา วิสมา ทุพฺพินีตา จ โหนฺติ, เอวเมวํ ขุํสนวมฺภนวเสน ปวตฺตวาจาปิ หิ ‘‘อณฺฑกา’’ติ วุตฺตาฯ เตนาห ‘‘ยถา สโทเส รุเกฺข’’ติอาทิฯ กกฺกสาติ ผรุสา เอว, โส ปนสฺสา กกฺกสภาโว พฺยาปาทนิมิตฺตตาย ตโต ปูติกาติฯ เตนาห ‘‘ยถา นามา’’ติอาทิฯ กฎุกาติ อนิฎฺฐาฯ อมนาปาติ น มนวฑฺฒนี, ตโต เอว โทสชนนี, จิตฺตสโนฺทสุปฺปตฺติการิกาฯ มเมฺมสูติ ฆฎฺฎเนน ทุกฺขุปฺปตฺติโต มมฺมสทิเสสุ ชาติอาทีสุฯ ลคฺคนการีติ เอวํ วทนฺตสฺส เอวํ วทามีติ อตฺถาธิปฺปาเยน ลคฺคนการี, น พฺยญฺชนวเสนฯ โกธสฺส อาสนฺนา ตสฺส การณภาวโตฯ สโทสวาจายาติ อตฺตโน สมุฎฺฐาปกโทสสฺส วเสน สโทสวาจาย เววจนานิ

    Aṇḍakāti vuccati rukkhe aṇḍasadisā gaṇṭhiyo. Yathā thaddhā visamā dubbinītā ca honti, evamevaṃ khuṃsanavambhanavasena pavattavācāpi hi ‘‘aṇḍakā’’ti vuttā. Tenāha ‘‘yathā sadose rukkhe’’tiādi. Kakkasāti pharusā eva, so panassā kakkasabhāvo byāpādanimittatāya tato pūtikāti. Tenāha ‘‘yathā nāmā’’tiādi. Kaṭukāti aniṭṭhā. Amanāpāti na manavaḍḍhanī, tato eva dosajananī, cittasandosuppattikārikā. Mammesūti ghaṭṭanena dukkhuppattito mammasadisesu jātiādīsu. Lagganakārīti evaṃ vadantassa evaṃ vadāmīti atthādhippāyena lagganakārī, na byañjanavasena. Kodhassa āsannā tassa kāraṇabhāvato. Sadosavācāyāti attano samuṭṭhāpakadosassa vasena sadosavācāya vevacanāni.

    อกาเลนาติ อยุตฺตกาเลนฯ อการณนิสฺสิตนฺติ นิปฺผลํฯ ผลญฺหิ การณนิสฺสิตํ นาม ตทวินาภาวโตฯ อการณนิสฺสิตํ นิปฺผลํ, สมฺผนฺติ อโตฺถฯ อสภาววตฺตาติ อยาถาววาทีฯ อสํวรวินยปฎิสํยุตฺตสฺสาติ สํวรวินยรหิตสฺส, อตฺตโน สุณนฺตสฺส จ น สํวรวินยาวหสฺส วตฺตาฯ หทยมญฺชูสายํ นิเธตุนฺติ อหิตสํหิตตฺตา จิตฺตํ อนุปฺปวิเสตฺวา นิเธตุํ ฯ อยุตฺตกาเลติ ธมฺมํ กเถเนฺตน โย อโตฺถ ยสฺมิํ กาเล วตฺตโพฺพ, ตโต ปุเพฺพ ปจฺฉา ตสฺส อกาโล, ตสฺมิํ อยุตฺตกาเล วตฺตา โหติฯ อนปเทสนฺติ ภควตา อสุกสุเตฺต เอวํ วุตฺตนฺติ สุตฺตาปเทสวิรหิตํฯ อปริเจฺฉทนฺติ ปริเจฺฉทรหิตํ ฯ ยถา ปน วาจา ปริเจฺฉทรหิตา โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุตฺตํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุปลพฺภนฺติ อนุโยคํฯ พาหิรกถํเยวาติ ยํ สุตฺตํ, ชาตกํ วา นิกฺขิตฺตํ, ตสฺส สรีรภูตํ กถํ อนามสิตฺวา ตโต พหิภูตํเยว กถํฯ สมฺปชฺชิตฺวาติ วิรุฬฺหํ อาปชฺชิตฺวาฯ ปเวณิชาตกาวาติ อนุชาตปาโรหมูลานิเยว ติฎฺฐนฺติฯ อาหริตฺวาติ นิกฺขิตฺตสุตฺตโต อญฺญมฺปิ อนุโยคอุปมาวตฺถุวเสน ตทนุปโยคินํ อาหริตฺวาฯ ชานาเปตุนฺติ เอตทตฺถมิทํ วุตฺตนฺติ ชานาเปตุํ โย สโกฺกติฯ ตสฺส กเถตุนฺติ ตสฺส ตถารูปสฺส ธมฺมกถิกสฺส พหุมฺปิ กเถตุํ วฎฺฎติฯ น อตฺถนิสฺสิตนฺติ อตฺตโน ปเรสญฺจ น หิตาวหํฯ

    Akālenāti ayuttakālena. Akāraṇanissitanti nipphalaṃ. Phalañhi kāraṇanissitaṃ nāma tadavinābhāvato. Akāraṇanissitaṃ nipphalaṃ, samphanti attho. Asabhāvavattāti ayāthāvavādī. Asaṃvaravinayapaṭisaṃyuttassāti saṃvaravinayarahitassa, attano suṇantassa ca na saṃvaravinayāvahassa vattā. Hadayamañjūsāyaṃ nidhetunti ahitasaṃhitattā cittaṃ anuppavisetvā nidhetuṃ . Ayuttakāleti dhammaṃ kathentena yo attho yasmiṃ kāle vattabbo, tato pubbe pacchā tassa akālo, tasmiṃ ayuttakāle vattā hoti. Anapadesanti bhagavatā asukasutte evaṃ vuttanti suttāpadesavirahitaṃ. Aparicchedanti paricchedarahitaṃ . Yathā pana vācā paricchedarahitā hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘suttaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Upalabbhanti anuyogaṃ. Bāhirakathaṃyevāti yaṃ suttaṃ, jātakaṃ vā nikkhittaṃ, tassa sarīrabhūtaṃ kathaṃ anāmasitvā tato bahibhūtaṃyeva kathaṃ. Sampajjitvāti viruḷhaṃ āpajjitvā. Paveṇijātakāvāti anujātapārohamūlāniyeva tiṭṭhanti. Āharitvāti nikkhittasuttato aññampi anuyogaupamāvatthuvasena tadanupayoginaṃ āharitvā. Jānāpetunti etadatthamidaṃ vuttanti jānāpetuṃ yo sakkoti. Tassa kathetunti tassa tathārūpassa dhammakathikassa bahumpi kathetuṃ vaṭṭati. Na atthanissitanti attano paresañca na hitāvahaṃ.

    อภิชฺฌายนํ เยภุเยฺยน ปรสนฺตกสฺส ทสฺสนวเสน โหตีติ ‘‘อภิชฺฌาย โอโลเกตา โหตี’’ติ วุตฺตํฯ อภิชฺฌายโนฺต วา อภิชฺฌายิตํ วตฺถุํ ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตมฺปิ ปจฺจกฺขโต ปสฺสโนฺต วิย อภิชฺฌายตีติ วุตฺตํ ‘‘อภิชฺฌาย โอโลเกตา โหตี’’ติฯ กมฺมปถเภโท น โหติ, เกวลํ โลภมโตฺตว โหติ ปริณามนวเสน อปฺปวตฺตตฺตาฯ ยถา ปน กมฺมปถเภโท โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยทา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปริณาเมตีติ อตฺตโน สนฺตกภาเวน ปริคฺคยฺห นาเมติฯ

    Abhijjhāyanaṃ yebhuyyena parasantakassa dassanavasena hotīti ‘‘abhijjhāya oloketā hotī’’ti vuttaṃ. Abhijjhāyanto vā abhijjhāyitaṃ vatthuṃ yattha katthaci ṭhitampi paccakkhato passanto viya abhijjhāyatīti vuttaṃ ‘‘abhijjhāya oloketā hotī’’ti. Kammapathabhedo na hoti, kevalaṃ lobhamattova hoti pariṇāmanavasena appavattattā. Yathā pana kammapathabhedo hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘yadā panā’’tiādi vuttaṃ. Pariṇāmetīti attano santakabhāvena pariggayha nāmeti.

    วิปนฺนจิโตฺตติ พฺยาปาเทน วิปตฺติํ อาปาทิตจิโตฺตฯ เตนาห ‘‘ปูติภูตจิโตฺต’’ติฯ พฺยาปาโท หิ วิสํ วิย โลหิตสฺส จิตฺตํ ปูติภาวํ ชเนติฯ โทเสน ทุฎฺฐจิตฺตสงฺกโปฺปติ วิเสน วิย สปฺปิอาทิโกเปน ทูสิตจิตฺตสงฺกโปฺปฯ ฆาตียนฺตูติ หนียนฺตุฯ วธํ ปาปุณนฺตูติ มรณํ ปาปุณนฺตุฯ มา วา อเหสุนฺติ สเพฺพน สพฺพํ น โหนฺตุฯ เตนาห ‘‘กิญฺจิปิ มา อเหสุ’’นฺติ, อนวเสสวินาสํ ปาปุณนฺตูติ อโตฺถฯ หญฺญนฺตูติ อาทิจินฺตเนเนวาติ เอกนฺตโต วินาสจินฺตาย เอวฯ

    Vipannacittoti byāpādena vipattiṃ āpāditacitto. Tenāha ‘‘pūtibhūtacitto’’ti. Byāpādo hi visaṃ viya lohitassa cittaṃ pūtibhāvaṃ janeti. Dosena duṭṭhacittasaṅkappoti visena viya sappiādikopena dūsitacittasaṅkappo. Ghātīyantūti hanīyantu. Vadhaṃ pāpuṇantūti maraṇaṃ pāpuṇantu. Mā vā ahesunti sabbena sabbaṃ na hontu. Tenāha ‘‘kiñcipi mā ahesu’’nti, anavasesavināsaṃ pāpuṇantūti attho. Haññantūti ādicintanenevāti ekantato vināsacintāya eva.

    มิจฺฉาทิฎฺฐิโกติ อโยนิโส อุปฺปนฺนทิฎฺฐิโกฯ โส จ เอกนฺตโต กุสลปฎิปกฺขทิฎฺฐิโกติ อาห ‘‘อกุสลทสฺสโน’’ติฯ วิปลฺลตฺถทสฺสโนติ ธมฺมตาย วิปริยาสคฺคาหีฯ นตฺถิ ทินฺนนฺติ เทยฺยธมฺมสีเสน ทานํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ทินฺนสฺส ผลาภาวํ สนฺธาย วทตี’’ติฯ ทินฺนํ ปน อนฺนาทิวตฺถุํ กถํ ปฎิกฺขิปติฯ เอส นโย ‘‘ยิฎฺฐํ หุต’’นฺติ เอตฺถาปิฯ มหายาโคติ สพฺพสาธารณํ มหาทานํฯ ปเหณกสกฺกาโรติ ปาหุนกานํ กตฺตพฺพสกฺกาโรฯ ผลนฺติ อานิสํสผลญฺจ นิสฺสนฺทผลญฺจฯ วิปาโกติ สทิสํ ผลํฯ ปรโลเก ฐิตสฺส อยํ โลโก นตฺถีติ ปรโลเก ฐิตสฺส กมฺมุนา ลทฺธโพฺพ อยํ โลโก น โหติฯ อิธโลเก ฐิตสฺสปิ ปรโลโก นตฺถีติ อิธโลเก ฐิตสฺส กมฺมุนา ลทฺธโพฺพ ปรโลโก น โหติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘สเพฺพ ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนฺตี’’ติ ฯ อิเม สตฺตา ยตฺถ ยตฺถ ภวโยนิคติอาทีสุ ฐิตา ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนฺติ นิรุทยวินาสวเสน วินสฺสนฺติฯ ผลาภาววเสนาติ มาตาปิตูสุ สมฺมาปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺตีนํ ผลสฺส อภาววเสน ‘‘นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา’’ติ วทติ, น มาตาปิตูนํ, นาปิ เตสุ สมฺมาปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺตีนํ อภาววเสน เตสํ โลกปจฺจกฺขตฺตาฯ พุพฺพุฬกสฺส วิย อิเมสํ สตฺตานํ อุปฺปาโท นาม เกวโลว, น จวิตฺวา อาคมนปุพฺพโกติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘จวิตฺวา อุปปชฺชนกสตฺตา นาม นตฺถีติ วทตี’’ติฯ สมเณน นาม ยาถาวโต ชานเนฺตน กสฺสจิ กิญฺจิ อกเถตฺวา สญฺญเตน ภวิตพฺพํ, อญฺญถา อโหปุริสิกา นาม สิยา, กิํ ปโร ปรสฺส กริสฺสติ, ตถา อตฺตโน สมฺปาทนสฺส กสฺสจิ อวสโร เอว นตฺถิ ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนโตติ อาห ‘‘เย อิมญฺจ…เป.… ปเวเทนฺตี’’ติฯ เอตฺตาวตาติ ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินา พฺยปเทเสนฯ ทสวตฺถุกาติ ปฎิกฺขิปิตพฺพานิ ทส วตฺถูนิ เอติสฺสาติ ทสวตฺถุกาฯ

    Micchādiṭṭhikoti ayoniso uppannadiṭṭhiko. So ca ekantato kusalapaṭipakkhadiṭṭhikoti āha ‘‘akusaladassano’’ti. Vipallatthadassanoti dhammatāya vipariyāsaggāhī. Natthi dinnanti deyyadhammasīsena dānaṃ vuttanti āha ‘‘dinnassa phalābhāvaṃ sandhāya vadatī’’ti. Dinnaṃ pana annādivatthuṃ kathaṃ paṭikkhipati. Esa nayo ‘‘yiṭṭhaṃ huta’’nti etthāpi. Mahāyāgoti sabbasādhāraṇaṃ mahādānaṃ. Paheṇakasakkāroti pāhunakānaṃ kattabbasakkāro. Phalanti ānisaṃsaphalañca nissandaphalañca. Vipākoti sadisaṃ phalaṃ. Paraloke ṭhitassa ayaṃ loko natthīti paraloke ṭhitassa kammunā laddhabbo ayaṃ loko na hoti. Idhaloke ṭhitassapi paraloko natthīti idhaloke ṭhitassa kammunā laddhabbo paraloko na hoti. Tattha kāraṇamāha ‘‘sabbe tattha tattheva ucchijjantī’’ti . Ime sattā yattha yattha bhavayonigatiādīsu ṭhitā tattha tattheva ucchijjanti nirudayavināsavasena vinassanti. Phalābhāvavasenāti mātāpitūsu sammāpaṭipattimicchāpaṭipattīnaṃ phalassa abhāvavasena ‘‘natthi mātā, natthi pitā’’ti vadati, na mātāpitūnaṃ, nāpi tesu sammāpaṭipattimicchāpaṭipattīnaṃ abhāvavasena tesaṃ lokapaccakkhattā. Bubbuḷakassa viya imesaṃ sattānaṃ uppādo nāma kevalova, na cavitvā āgamanapubbakoti dassanatthaṃ ‘‘natthi sattā opapātikā’’ti vuttanti āha ‘‘cavitvā upapajjanakasattā nāma natthīti vadatī’’ti. Samaṇena nāma yāthāvato jānantena kassaci kiñci akathetvā saññatena bhavitabbaṃ, aññathā ahopurisikā nāma siyā, kiṃ paro parassa karissati, tathā attano sampādanassa kassaci avasaro eva natthi tattha tattheva ucchijjanatoti āha ‘‘ye imañca…pe… pavedentī’’ti. Ettāvatāti ‘‘natthi dinna’’ntiādinā byapadesena. Dasavatthukāti paṭikkhipitabbāni dasa vatthūni etissāti dasavatthukā.

    ๔๔๑. อนภิชฺฌาทโย เหฎฺฐา อตฺถโต ปกาสิตตฺตา อุตฺตานตฺถาเยว

    441.Anabhijjhādayo heṭṭhā atthato pakāsitattā uttānatthāyeva.

    ๔๔๒. สห พฺยยติ คจฺฉตีติ สหโพฺย, สหวตฺตนโก, ตสฺส ภาโว สหพฺยตา, สหปวตฺตีติ อาห ‘‘สหภาวํ อุปคเจฺฉยฺย’’นฺติฯ พฺรหฺมานํ กาโย สมูโหติ พฺรหฺมกาโย, ตปฺปริยาปนฺนตาย ตตฺถ คตาติ พฺรหฺมกายิกาฯ กามํ เจตาย สพฺพสฺสปิ พฺรหฺมนิกายสฺส สมญฺญาย ภวิตพฺพํ, ‘‘อาภาน’’นฺติอาทินา ปน ทุติยชฺฌานภูมิกาทีนํ อุปริ คหิตตฺตา โคพลีพทฺทญาเยน ตทวเสสานํ อยํ สมญฺญาติ อาห ‘‘พฺรหฺมกายิกานํ เทวานนฺติ ปฐมชฺฌานภูมิเทวาน’’นฺติฯ อาภา นาม วิสุํ เทวา นตฺถิ, ปริตฺตาภาทีนํเยว ปน อาภาวนฺตตาสามเญฺญน เอกชฺฌํ คเหตฺวา ปวตฺตํ เอตํ อธิวจนํ, ยทิทํ ‘‘อาภา’’ติ ยถา ‘‘พฺรหฺมปาริสชฺชพฺรหฺมปุโรหิตมหาพฺรหฺมานํ พฺรหฺมกายิกา’’ติฯ ปริตฺตาภานนฺติอาทิ ปนาติ อาทิ-สเทฺทน อปฺปมาณาภานํ เทวานํ อาภสฺสรานํ เทวานนฺติ อิมํ ปาฬิํ สงฺคณฺหาติฯ เอกโต อคฺคเหตฺวาติ อาภาติ วา, เอกตฺตกายนานตฺตสญฺญาติ วา เอกโต อคฺคเหตฺวาฯ เตสํเยวาติ อาภาติ วุตฺตเทวานํเยวฯ เภทโต คหณนฺติ การณสฺส หีนาทิเภทภินฺนตาทสฺสนวเสน ปริตฺตาภาทิคฺคหณํฯ อิติ ภควา อาสวกฺขยํ ทเสฺสตฺวาติ เอวํ ภควา ธมฺมจริยํ, สมจริยํ, วฎฺฎนิสฺสิตํ สุคติคามิปฎิปทํ, วิวฎฺฎนิสฺสิตํ อาสวกฺขยคามิปฎิปทํ กตฺวา ติภวภญฺชนโต อาสวกฺขยํ ทเสฺสตฺวา อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐเปสิ

    442. Saha byayati gacchatīti sahabyo, sahavattanako, tassa bhāvo sahabyatā, sahapavattīti āha ‘‘sahabhāvaṃ upagaccheyya’’nti. Brahmānaṃ kāyo samūhoti brahmakāyo, tappariyāpannatāya tattha gatāti brahmakāyikā. Kāmaṃ cetāya sabbassapi brahmanikāyassa samaññāya bhavitabbaṃ, ‘‘ābhāna’’ntiādinā pana dutiyajjhānabhūmikādīnaṃ upari gahitattā gobalībaddañāyena tadavasesānaṃ ayaṃ samaññāti āha ‘‘brahmakāyikānaṃ devānanti paṭhamajjhānabhūmidevāna’’nti. Ābhā nāma visuṃ devā natthi, parittābhādīnaṃyeva pana ābhāvantatāsāmaññena ekajjhaṃ gahetvā pavattaṃ etaṃ adhivacanaṃ, yadidaṃ ‘‘ābhā’’ti yathā ‘‘brahmapārisajjabrahmapurohitamahābrahmānaṃ brahmakāyikā’’ti. Parittābhānantiādi panāti ādi-saddena appamāṇābhānaṃ devānaṃ ābhassarānaṃ devānanti imaṃ pāḷiṃ saṅgaṇhāti. Ekato aggahetvāti ābhāti vā, ekattakāyanānattasaññāti vā ekato aggahetvā. Tesaṃyevāti ābhāti vuttadevānaṃyeva. Bhedato gahaṇanti kāraṇassa hīnādibhedabhinnatādassanavasena parittābhādiggahaṇaṃ. Iti bhagavā āsavakkhayaṃ dassetvāti evaṃ bhagavā dhammacariyaṃ, samacariyaṃ, vaṭṭanissitaṃ sugatigāmipaṭipadaṃ, vivaṭṭanissitaṃ āsavakkhayagāmipaṭipadaṃ katvā tibhavabhañjanato āsavakkhayaṃ dassetvā arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhapesi.

    อิธ ฐตฺวาติ อิมสฺมิํ ธมฺมจริยาสมจริยาย นิเทฺทเส ฐตฺวาฯ เทวโลกา สมาเนตพฺพาติ ฉพฺพีสติปิ เทวโลกา สโมธาเนตพฺพาฯ วีสติ พฺรหฺมโลกาติ ตํตํภวปริยาปนฺนนิกายวเสน วีสติ พฺรหฺมโลกา, วีสติ พฺรหฺมนิกายาติ อโตฺถฯ ทสกุสลกมฺมปเถหีติ ยถารหํ ทสกุสลกมฺมปเถหิ กมฺมูปนิสฺสยปจฺจยภูเตหิ เกวลํ อุปนิสฺสยภูเตหิ จ นิพฺพตฺติ ทสฺสิตา

    Idha ṭhatvāti imasmiṃ dhammacariyāsamacariyāya niddese ṭhatvā. Devalokā samānetabbāti chabbīsatipi devalokā samodhānetabbā. Vīsati brahmalokāti taṃtaṃbhavapariyāpannanikāyavasena vīsati brahmalokā, vīsati brahmanikāyāti attho. Dasakusalakammapathehīti yathārahaṃ dasakusalakammapathehi kammūpanissayapaccayabhūtehi kevalaṃ upanissayabhūtehi ca nibbatti dassitā.

    ติณฺณํ สุจริตานนฺติ ติณฺณํ กามาวจรสุจริตานํฯ กามาวจรคฺคหณเญฺจตฺถ มโนสุจริตาเปกฺขายฯ วิปาเกเนวาติ อิมินา วิปากุปฺปาเทเนว นิพฺพตฺติ โหติ, น อุปนิสฺสยตามเตฺตนาติ ทเสฺสติฯ ‘‘อุปนิสฺสยวเสนา’’ติ วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘ทส กุสลกมฺมปถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ทุติยาทีนิ ภาเวตฺวาติอาทีสุปิ ‘‘สีเล ปติฎฺฐายา’’ติ ปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘อุปนิสฺสยวเสนา’’ติ วุตฺตํ, นนุ ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๑.๔๑) – ‘‘ปฐเมน ฌาเนน นีวรณานํ ปหานํ สีลํ, เวรมณิ สีลํ, เจตนา สีลํ, สํวโร สีลํ, อวีติกฺกโม สีล’’นฺติอาทินา สเพฺพสุปิ ฌาเนสุ สีลํ อุทฺธฎนฺติ ตสฺส วเสน อุปริเทวโลกานมฺปิ วิปาเกน นิพฺพตฺติ วตฺตพฺพาติ? น, ตสฺส ปริญฺญาย เทสนตฺตา, ปริญฺญาย เทสนตา จสฺส ‘‘ยตฺถ จ ปหาน’’นฺติอาทินา วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนายญฺจ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๒.๘๓๗, ๘๓๙) ปกาสิตา เอวฯ ตถา หิ อิธาปิ ‘‘ทส กุสลกมฺมปถา หิ สีล’’นฺติอาทินา สีลสฺส รูปารูปภวานํ อุปนิสฺสยตา วิภาวิตา, น นิพฺพตฺตกตายฯ กสฺมา ปเนตฺถ ภาวนาลกฺขณาย ธมฺมจริยาย ภววิเสเส วิภชิยมาเน อสญฺญภโว น คหิโตติ อาห ‘‘อสญฺญภโว ปน…เป.… น นิทฺทิโฎฺฐ’’ติฯ พาหิรกา หิ อยถาภูตทสฺสิตาย อสญฺญภวํ ภววิปฺปโมกฺขํ มญฺญมานา ตทุปคชฺฌานํ ภาเวตฺวา อสเญฺญสุ นิพฺพตฺตนฺติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ พฺรหฺมชาลฎฺฐกถายํ ตํสํวณฺณนายญฺจ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๘-๗๓; ที. นิ. ฎี. ๑.๖๘-๗๓) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Tiṇṇaṃ sucaritānanti tiṇṇaṃ kāmāvacarasucaritānaṃ. Kāmāvacaraggahaṇañcettha manosucaritāpekkhāya. Vipākenevāti iminā vipākuppādeneva nibbatti hoti, na upanissayatāmattenāti dasseti. ‘‘Upanissayavasenā’’ti vuttamatthaṃ vivarituṃ ‘‘dasa kusalakammapathā hī’’tiādi vuttaṃ. Dutiyādīni bhāvetvātiādīsupi ‘‘sīle patiṭṭhāyā’’ti padaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Kasmā panettha ‘‘upanissayavasenā’’ti vuttaṃ, nanu paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 1.41) – ‘‘paṭhamena jhānena nīvaraṇānaṃ pahānaṃ sīlaṃ, veramaṇi sīlaṃ, cetanā sīlaṃ, saṃvaro sīlaṃ, avītikkamo sīla’’ntiādinā sabbesupi jhānesu sīlaṃ uddhaṭanti tassa vasena uparidevalokānampi vipākena nibbatti vattabbāti? Na, tassa pariññāya desanattā, pariññāya desanatā cassa ‘‘yattha ca pahāna’’ntiādinā visuddhimaggasaṃvaṇṇanāyañca (visuddhi. mahāṭī. 2.837, 839) pakāsitā eva. Tathā hi idhāpi ‘‘dasa kusalakammapathā hi sīla’’ntiādinā sīlassa rūpārūpabhavānaṃ upanissayatā vibhāvitā, na nibbattakatāya. Kasmā panettha bhāvanālakkhaṇāya dhammacariyāya bhavavisese vibhajiyamāne asaññabhavo na gahitoti āha ‘‘asaññabhavopana…pe… na niddiṭṭho’’ti. Bāhirakā hi ayathābhūtadassitāya asaññabhavaṃ bhavavippamokkhaṃ maññamānā tadupagajjhānaṃ bhāvetvā asaññesu nibbattanti. Ayamettha saṅkhepo, yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ brahmajālaṭṭhakathāyaṃ taṃsaṃvaṇṇanāyañca (dī. ni. aṭṭha. 1.68-73; dī. ni. ṭī. 1.68-73) vuttanayeneva veditabbaṃ.

    สาเลยฺยกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Sāleyyakasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. สาเลยฺยกสุตฺตํ • 1. Sāleyyakasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. สาเลยฺยกสุตฺตวณฺณนา • 1. Sāleyyakasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact