Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๑๔. ปกิณฺณกนิปาโต

    14. Pakiṇṇakanipāto

    [๔๘๔] ๑. สาลิเกทารชาตกวณฺณนา

    [484] 1. Sālikedārajātakavaṇṇanā

    สมฺปนฺนํ สาลิเกทารนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มาตุโปสกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ สามชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๒๙๖ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ คิหี โปเสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ เต โหนฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘มาตาปิตโร เม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ ภิกฺขุ, โปราณกปณฺฑิตา ติรจฺฉานา หุตฺวา สุวโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวาปิ ชิเณฺณ มาตาปิตโร กุลาวเก นิปชฺชาเปตฺวา มุขตุณฺฑเกน โคจรํ อาหริตฺวา โปเสสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sampannaṃsālikedāranti idaṃ satthā jetavane viharanto mātuposakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu sāmajātake (jā. 2.22.296 ādayo) āvi bhavissati. Satthā pana taṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu gihī posesī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃ te hontī’’ti vatvā ‘‘mātāpitaro me, bhante’’ti vutte ‘‘sādhu bhikkhu, porāṇakapaṇḍitā tiracchānā hutvā suvayoniyaṃ nibbattitvāpi jiṇṇe mātāpitaro kulāvake nipajjāpetvā mukhatuṇḍakena gocaraṃ āharitvā posesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต ราชคเห มคธราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา นครโต ปุพฺพุตฺตรทิสาย สาลิทฺทิโย นาม พฺราหฺมณคาโม อโหสิฯ ตสฺส ปุพฺพุตฺตรทิสาย มคธเขตฺตํ อตฺถิ, ตตฺถ โกสิยโคโตฺต นาม สาลิทฺทิยวาสี พฺราหฺมโณ สหสฺสกรีสมตฺตํ เขตฺตํ คเหตฺวา สาลิํ วปาเปสิฯ อุฎฺฐิเต จ ปน สเสฺส วติํ ถิรํ กาเรตฺวา กสฺสจิ ปณฺณาสกรีสมตฺตํ, กสฺสจิ สฎฺฐิกรีสมตฺตนฺติ เอวํ ปญฺจสตกรีสมตฺตํ เขตฺตํ อตฺตโน ปุริสานํเยว อารกฺขณตฺถาย ทตฺวา เสสํ ปญฺจสตกรีสมตฺตํ เขตฺตํ ภติํ กตฺวา เอกสฺส ภตกสฺส อทาสิฯ โส ตตฺถ กุฎิํ กตฺวา รตฺตินฺทิวํ วสติฯ เขตฺตสฺส ปน ปุพฺพุตฺตรทิสาภาเค เอกสฺมิํ สานุปพฺพเต มหนฺตํ สิมฺพลิวนํ อตฺถิ, ตตฺถ อเนกานิ สุวสตานิ วสนฺติฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺมิํ สุวสเงฺฆ สุวรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ โส วยปฺปโตฺต อภิรูโป ถามสมฺปโนฺน สกฎนาภิปมาณสรีโร อโหสิฯ อถสฺส ปิตา มหลฺลกกาเล ‘‘อหํ อิทานิ ทูรํ คนฺตุํ น สโกฺกมิ, ตฺวํ อิมํ คณํ ปริหรา’’ติ คณํ นิยฺยาเทสิฯ โส ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย มาตาปิตูนํ โคจรตฺถาย คนฺตุํ นาทาสิ, สุวคณํ ปริหรโนฺต หิมวนฺตํ คนฺตฺวา สยํชาตสาลิวเน ยาวทตฺถํ สาลิํ ขาทิตฺวา อาคมนกาเล มาตาปิตูนํ ปโหนกํ โคจรํ อาหริตฺวา มาตาปิตโร โปเสสิฯ

    Atīte rājagahe magadharājā nāma rajjaṃ kāresi. Tadā nagarato pubbuttaradisāya sāliddiyo nāma brāhmaṇagāmo ahosi. Tassa pubbuttaradisāya magadhakhettaṃ atthi, tattha kosiyagotto nāma sāliddiyavāsī brāhmaṇo sahassakarīsamattaṃ khettaṃ gahetvā sāliṃ vapāpesi. Uṭṭhite ca pana sasse vatiṃ thiraṃ kāretvā kassaci paṇṇāsakarīsamattaṃ, kassaci saṭṭhikarīsamattanti evaṃ pañcasatakarīsamattaṃ khettaṃ attano purisānaṃyeva ārakkhaṇatthāya datvā sesaṃ pañcasatakarīsamattaṃ khettaṃ bhatiṃ katvā ekassa bhatakassa adāsi. So tattha kuṭiṃ katvā rattindivaṃ vasati. Khettassa pana pubbuttaradisābhāge ekasmiṃ sānupabbate mahantaṃ simbalivanaṃ atthi, tattha anekāni suvasatāni vasanti. Tadā bodhisatto tasmiṃ suvasaṅghe suvarañño putto hutvā nibbatti. So vayappatto abhirūpo thāmasampanno sakaṭanābhipamāṇasarīro ahosi. Athassa pitā mahallakakāle ‘‘ahaṃ idāni dūraṃ gantuṃ na sakkomi, tvaṃ imaṃ gaṇaṃ pariharā’’ti gaṇaṃ niyyādesi. So punadivasato paṭṭhāya mātāpitūnaṃ gocaratthāya gantuṃ nādāsi, suvagaṇaṃ pariharanto himavantaṃ gantvā sayaṃjātasālivane yāvadatthaṃ sāliṃ khāditvā āgamanakāle mātāpitūnaṃ pahonakaṃ gocaraṃ āharitvā mātāpitaro posesi.

    อถสฺส เอกทิวสํ สุวา อาโรเจสุํ ‘‘ปุเพฺพ อิมสฺมิํ กาเล มคธเขเตฺต สาลิ ปจฺจติ, อิทานิ กิํ นุ โข ชาต’’นฺติ? ‘‘เตน หิ ชานาถา’’ติ เทฺว สุเว ปหิณิํสุฯ เต คนฺตฺวา มคธเขเตฺต โอตรนฺตา ตสฺส ภติยา รกฺขณปุริสสฺส เขเตฺต โอตริตฺวา สาลิํ ขาทิตฺวา เอกํ สาลิสีสํ อาทาย สิมฺพลิวนํ คนฺตฺวา สาลิสีสํ มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา ‘‘ตตฺถ เอวรูโป สาลี’’ติ วทิํสุฯ โส ปุนทิวเส สุวคณปริวุโต ตตฺถ คนฺตฺวา ตสฺมิํ ภตกสฺส เขเตฺต โอตริฯ โส ปน ปุริโส สุเว สาลิํ ขาทเนฺต ทิสฺวา อิโต จิโต จ ธาวิตฺวา วาเรโนฺตปิ วาเรตุํ น สโกฺกติฯ เสสา สุวา ยาวทตฺถํ สาลิํ ขาทิตฺวา ตุจฺฉมุขาว คจฺฉนฺติฯ สุวราชา ปน พหูนิ สาลิสีสานิ เอกโต กตฺวา เตหิ ปริวุโต หุตฺวา อาหริตฺวา มาตาปิตูนํ เทติฯ สุวา ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย ตเตฺถว สาลิํ ขาทิํสุฯ อถ โส ปุริโส ‘‘สเจ อิเม อญฺญํ กติปาหํ เอวํ ขาทิสฺสนฺติ, กิญฺจิ น ภวิสฺสติ, พฺราหฺมโณ สาลิํ อคฺฆาเปตฺวา มยฺหํ อิณํ กริสฺสติ, คนฺตฺวา ตสฺส อาโรเจสฺสามี’’ติ สาลิมุฎฺฐินา สทฺธิํ ตถารูปํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา สาลิทฺทิยคามํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณํ ปสฺสิตฺวา วนฺทิตฺวา ปณฺณาการํ ทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘กิํ, โภ ปุริส, สมฺปนฺนํ สาลิเขตฺต’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘อาม, พฺราหฺมณ, สมฺปนฺน’’นฺติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Athassa ekadivasaṃ suvā ārocesuṃ ‘‘pubbe imasmiṃ kāle magadhakhette sāli paccati, idāni kiṃ nu kho jāta’’nti? ‘‘Tena hi jānāthā’’ti dve suve pahiṇiṃsu. Te gantvā magadhakhette otarantā tassa bhatiyā rakkhaṇapurisassa khette otaritvā sāliṃ khāditvā ekaṃ sālisīsaṃ ādāya simbalivanaṃ gantvā sālisīsaṃ mahāsattassa pādamūle ṭhapetvā ‘‘tattha evarūpo sālī’’ti vadiṃsu. So punadivase suvagaṇaparivuto tattha gantvā tasmiṃ bhatakassa khette otari. So pana puriso suve sāliṃ khādante disvā ito cito ca dhāvitvā vārentopi vāretuṃ na sakkoti. Sesā suvā yāvadatthaṃ sāliṃ khāditvā tucchamukhāva gacchanti. Suvarājā pana bahūni sālisīsāni ekato katvā tehi parivuto hutvā āharitvā mātāpitūnaṃ deti. Suvā punadivasato paṭṭhāya tattheva sāliṃ khādiṃsu. Atha so puriso ‘‘sace ime aññaṃ katipāhaṃ evaṃ khādissanti, kiñci na bhavissati, brāhmaṇo sāliṃ agghāpetvā mayhaṃ iṇaṃ karissati, gantvā tassa ārocessāmī’’ti sālimuṭṭhinā saddhiṃ tathārūpaṃ paṇṇākāraṃ gahetvā sāliddiyagāmaṃ gantvā brāhmaṇaṃ passitvā vanditvā paṇṇākāraṃ datvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘kiṃ, bho purisa, sampannaṃ sālikhetta’’nti puṭṭho ‘‘āma, brāhmaṇa, sampanna’’nti vatvā dve gāthā abhāsi –

    .

    1.

    ‘‘สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ, สุวา ภุญฺชนฺติ โกสิย;

    ‘‘Sampannaṃ sālikedāraṃ, suvā bhuñjanti kosiya;

    ปฎิเวเทมิ เต พฺรเหฺม, น เน วาเรตุมุสฺสเหฯ

    Paṭivedemi te brahme, na ne vāretumussahe.

    .

    2.

    ‘‘เอโก จ ตตฺถ สกุโณ, โย เนสํ สพฺพสุนฺทโร;

    ‘‘Eko ca tattha sakuṇo, yo nesaṃ sabbasundaro;

    ภุตฺวา สาลิํ ยถากามํ, ตุเณฺฑนาทาย คจฺฉตี’’ติฯ

    Bhutvā sāliṃ yathākāmaṃ, tuṇḍenādāya gacchatī’’ti.

    ตตฺถ สมฺปนฺนนฺติ ปริปุณฺณํ อเวกลฺลํฯ สาลิเกทารนฺติ สาลิเขตฺตํฯ สพฺพสุนฺทโรติ สเพฺพหิ โกฎฺฐาเสหิ สุนฺทโร รตฺตตุโณฺฑ ชิญฺชุกสนฺนิภอกฺขิ รตฺตปาโท ตีหิ รตฺตราชีหิ ปริกฺขิตฺตคีโว มหามยูรปมาโณ โส ยาวทตฺถํ สาลิํ ขาทิตฺวา อญฺญํ ตุเณฺฑน คเหตฺวา คจฺฉตีติฯ

    Tattha sampannanti paripuṇṇaṃ avekallaṃ. Sālikedāranti sālikhettaṃ. Sabbasundaroti sabbehi koṭṭhāsehi sundaro rattatuṇḍo jiñjukasannibhaakkhi rattapādo tīhi rattarājīhi parikkhittagīvo mahāmayūrapamāṇo so yāvadatthaṃ sāliṃ khāditvā aññaṃ tuṇḍena gahetvā gacchatīti.

    พฺราหฺมโณ ตสฺส กถํ สุตฺวา สุวราเช สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา เขตฺตปาลํ ปุจฺฉิ ‘‘อโมฺภ ปุริส, ปาสํ โอเฑฺฑตุํ ชานาสี’’ติ? ‘‘อาม, ชานามี’’ติฯ อถ นํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Brāhmaṇo tassa kathaṃ sutvā suvarāje sinehaṃ uppādetvā khettapālaṃ pucchi ‘‘ambho purisa, pāsaṃ oḍḍetuṃ jānāsī’’ti? ‘‘Āma, jānāmī’’ti. Atha naṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    .

    3.

    ‘‘โอเฑฺฑนฺตุ วาลปาสานิ, ยถา พเชฺฌถ โส ทิโช;

    ‘‘Oḍḍentu vālapāsāni, yathā bajjhetha so dijo;

    ชีวญฺจ นํ คเหตฺวาน, อานเยหิ มมนฺติเก’’ติฯ

    Jīvañca naṃ gahetvāna, ānayehi mamantike’’ti.

    ตตฺถ โอเฑฺฑนฺตูติ โอฑฺฑยนฺตุฯ วาลปาสานีติ อสฺสวาลาทิรชฺชุมยปาสานิฯ ชีวญฺจ นนฺติ ชีวนฺตํ เอว นํฯ อานเยหีติ อาเนหิฯ

    Tattha oḍḍentūti oḍḍayantu. Vālapāsānīti assavālādirajjumayapāsāni. Jīvañca nanti jīvantaṃ eva naṃ. Ānayehīti ānehi.

    ตํ สุตฺวา เขตฺตปาโล สาลิํ อคฺฆาเปตฺวา อิณสฺส อกตภาเวน ตุโฎฺฐ คนฺตฺวา อสฺสวาเล วเฎฺฎตฺวา ‘‘อชฺช อิมสฺมิํ ฐาเน โอตริสฺสตี’’ติ สุวรโญฺญ โอตรณฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว จาฎิปมาณํ ปญฺชรํ กตฺวา ปาสญฺจ โอเฑฺฑตฺวา สุวานํ อาคมนํ โอโลเกโนฺต กุฎิยํ นิสีทิฯ สุวราชาปิ สุวคณปริวุโต อาคนฺตฺวา อโลลุปฺปจารตาย หิโยฺย ขาทิตฎฺฐาเน โอฑฺฑิตปาเส ปาทํ ปเวสโนฺตว โอตริฯ โส อตฺตโน พทฺธภาวํ ญตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘สจาหํ อิทาเนว พทฺธรวํ รวิสฺสามิ, ญาตกาเม ภยตชฺชิตา โคจรํ อคฺคเหตฺวาว ปลายิสฺสนฺติ, ยาว เอเตสํ โคจรคฺคหณํ, ตาว อธิวาเสสฺสามี’’ติฯ โส เตสํ สุหิตภาวํ ญตฺวา มรณภยตชฺชิโต หุตฺวา ติกฺขตฺตุํ พทฺธรวํ รวิฯ อถ สเพฺพ เต สุวา ปลายิํสุฯ สุวราชา ‘‘เอตฺตเกสุ เม ญาตเกสุ นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต เอโกปิ นตฺถิ, กิํ นุ โข มยา ปาปํ กต’’นฺติ วิลปโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā khettapālo sāliṃ agghāpetvā iṇassa akatabhāvena tuṭṭho gantvā assavāle vaṭṭetvā ‘‘ajja imasmiṃ ṭhāne otarissatī’’ti suvarañño otaraṇaṭṭhānaṃ sallakkhetvā punadivase pātova cāṭipamāṇaṃ pañjaraṃ katvā pāsañca oḍḍetvā suvānaṃ āgamanaṃ olokento kuṭiyaṃ nisīdi. Suvarājāpi suvagaṇaparivuto āgantvā aloluppacāratāya hiyyo khāditaṭṭhāne oḍḍitapāse pādaṃ pavesantova otari. So attano baddhabhāvaṃ ñatvā cintesi ‘‘sacāhaṃ idāneva baddharavaṃ ravissāmi, ñātakāme bhayatajjitā gocaraṃ aggahetvāva palāyissanti, yāva etesaṃ gocaraggahaṇaṃ, tāva adhivāsessāmī’’ti. So tesaṃ suhitabhāvaṃ ñatvā maraṇabhayatajjito hutvā tikkhattuṃ baddharavaṃ ravi. Atha sabbe te suvā palāyiṃsu. Suvarājā ‘‘ettakesu me ñātakesu nivattitvā olokento ekopi natthi, kiṃ nu kho mayā pāpaṃ kata’’nti vilapanto gāthamāha –

    .

    4.

    ‘‘เอเต ภุตฺวา ปิวิตฺวา จ, ปกฺกมนฺติ วิหงฺคมา;

    ‘‘Ete bhutvā pivitvā ca, pakkamanti vihaṅgamā;

    เอโก พโทฺธสฺมิ ปาเสน, กิํ ปาปํ ปกตํ มยา’’ติฯ

    Eko baddhosmi pāsena, kiṃ pāpaṃ pakataṃ mayā’’ti.

    เขตฺตปาโล สุวราชสฺส พทฺธรวํ สุวานญฺจ อากาเส ปกฺขนฺทนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ นุ โข’’ติ กุฎิยา โอรุยฺห ปาสาฎฺฐานํ คนฺตฺวา สุวราชานํ ทิสฺวา ‘‘ยเสฺสว เม ปาโส โอฑฺฑิโต, เสฺวว พโทฺธ’’ติ ตุฎฺฐมานโส สุวราชานํ ปาสโต โมเจตฺวา เทฺว ปาเท เอกโต พนฺธิตฺวา ทฬฺหํ อาทาย สาลิทฺทิยคามํ คนฺตฺวา สุวราชํ พฺราหฺมณสฺส อทาสิฯ พฺราหฺมโณ พลวสิเนเหน มหาสตฺตํ อุโภหิ หเตฺถหิ ทฬฺหํ คเหตฺวา อเงฺก นิสีทาเปตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Khettapālo suvarājassa baddharavaṃ suvānañca ākāse pakkhandanasaddaṃ sutvā ‘‘kiṃ nu kho’’ti kuṭiyā oruyha pāsāṭṭhānaṃ gantvā suvarājānaṃ disvā ‘‘yasseva me pāso oḍḍito, sveva baddho’’ti tuṭṭhamānaso suvarājānaṃ pāsato mocetvā dve pāde ekato bandhitvā daḷhaṃ ādāya sāliddiyagāmaṃ gantvā suvarājaṃ brāhmaṇassa adāsi. Brāhmaṇo balavasinehena mahāsattaṃ ubhohi hatthehi daḷhaṃ gahetvā aṅke nisīdāpetvā tena saddhiṃ sallapanto dve gāthā abhāsi –

    .

    5.

    ‘‘อุทรํ นูน อเญฺญสํ, สุว อโจฺจทรํ ตว;

    ‘‘Udaraṃ nūna aññesaṃ, suva accodaraṃ tava;

    ภุตฺวา สาลิํ ยถากามํ, ตุเณฺฑนาทาย คจฺฉสิฯ

    Bhutvā sāliṃ yathākāmaṃ, tuṇḍenādāya gacchasi.

    .

    6.

    ‘‘โกฎฺฐํ นุ ตตฺถ ปูเรสิ, สุว เวรํ นุ เต มยา;

    ‘‘Koṭṭhaṃ nu tattha pūresi, suva veraṃ nu te mayā;

    ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กุหิํ สาลิํ นิทาหสี’’ติฯ

    Puṭṭho me samma akkhāhi, kuhiṃ sāliṃ nidāhasī’’ti.

    ตตฺถ อุทรํ นูนาติ อเญฺญสํ อุทรํ อุทรเมว มเญฺญ, ตว อุทรํ ปน อติอุทรํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ สิมฺพลิวเนฯ ปูเรสีติ วสฺสารตฺตตฺถาย ปูเรสิฯ นิทาหสีติ นิธานํ กตฺวา ฐเปสิ, ‘‘นิธียสี’’ติปิ ปาโฐฯ

    Tattha udaraṃ nūnāti aññesaṃ udaraṃ udarameva maññe, tava udaraṃ pana atiudaraṃ. Tatthāti tasmiṃ simbalivane. Pūresīti vassārattatthāya pūresi. Nidāhasīti nidhānaṃ katvā ṭhapesi, ‘‘nidhīyasī’’tipi pāṭho.

    ตํ สุตฺวา สุวราชา มธุราย มนุสฺสภาสาย สตฺตมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā suvarājā madhurāya manussabhāsāya sattamaṃ gāthamāha –

    .

    7.

    ‘‘น เม เวรํ ตยา สทฺธิํ, โกโฎฺฐ มยฺหํ น วิชฺชติ;

    ‘‘Na me veraṃ tayā saddhiṃ, koṭṭho mayhaṃ na vijjati;

    อิณํ มุญฺจามิณํ ทมฺมิ, สมฺปโตฺต โกฎสิมฺพลิํ;

    Iṇaṃ muñcāmiṇaṃ dammi, sampatto koṭasimbaliṃ;

    นิธิมฺปิ ตตฺถ นิทหามิ, เอวํ ชานาหิ โกสิยา’’ติฯ

    Nidhimpi tattha nidahāmi, evaṃ jānāhi kosiyā’’ti.

    ตตฺถ อิณํ มุญฺจามิณํ ทมฺมีติ ตว สาลิํ หริตฺวา อิณํ มุญฺจามิ เจว ทมฺมิ จาติ วทติฯ นิธิมฺปีติ เอกํ ตตฺถ สิมฺพลิวเน อนุคามิกนิธิมฺปิ นิทหามิฯ

    Tattha iṇaṃ muñcāmiṇaṃ dammīti tava sāliṃ haritvā iṇaṃ muñcāmi ceva dammi cāti vadati. Nidhimpīti ekaṃ tattha simbalivane anugāmikanidhimpi nidahāmi.

    อถ นํ พฺราหฺมโณ ปุจฺฉิ –

    Atha naṃ brāhmaṇo pucchi –

    .

    8.

    ‘‘กีทิสํ เต อิณทานํ, อิณโมโกฺข จ กีทิโส;

    ‘‘Kīdisaṃ te iṇadānaṃ, iṇamokkho ca kīdiso;

    นิธินิธานมกฺขาหิ, อถ ปาสา ปโมกฺขสี’’ติฯ

    Nidhinidhānamakkhāhi, atha pāsā pamokkhasī’’ti.

    ตตฺถ อิณทานนฺติ อิณสฺส ทานํฯ นิธินิธานนฺติ นิธิโน นิธานํฯ

    Tattha iṇadānanti iṇassa dānaṃ. Nidhinidhānanti nidhino nidhānaṃ.

    เอวํ พฺราหฺมเณน ปุโฎฺฐ สุวราชา ตสฺส พฺยากโรโนฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Evaṃ brāhmaṇena puṭṭho suvarājā tassa byākaronto catasso gāthā abhāsi –

    .

    9.

    ‘‘อชาตปกฺขา ตรุณา, ปุตฺตกา มยฺห โกสิย;

    ‘‘Ajātapakkhā taruṇā, puttakā mayha kosiya;

    เต มํ ภตา ภริสฺสนฺติ, ตสฺมา เตสํ อิณํ ทเทฯ

    Te maṃ bhatā bharissanti, tasmā tesaṃ iṇaṃ dade.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘มาตา ปิตา จ เม วุทฺธา, ชิณฺณกา คตโยพฺพนา;

    ‘‘Mātā pitā ca me vuddhā, jiṇṇakā gatayobbanā;

    เตสํ ตุเณฺฑน หาตูน, มุเญฺจ ปุพฺพกตํ อิณํฯ

    Tesaṃ tuṇḍena hātūna, muñce pubbakataṃ iṇaṃ.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘อเญฺญปิ ตตฺถ สกุณา, ขีณปกฺขา สุทุพฺพลา;

    ‘‘Aññepi tattha sakuṇā, khīṇapakkhā sudubbalā;

    เตสํ ปุญฺญตฺถิโก ทมฺมิ, ตํ นิธิํ อาหุ ปณฺฑิตาฯ

    Tesaṃ puññatthiko dammi, taṃ nidhiṃ āhu paṇḍitā.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘อีทิสํ เม อิณทานํ, อิณโมโกฺข จ อีทิโส;

    ‘‘Īdisaṃ me iṇadānaṃ, iṇamokkho ca īdiso;

    นิธินิธานมกฺขามิ, เอวํ ชานาหิ โกสิยา’’ติฯ

    Nidhinidhānamakkhāmi, evaṃ jānāhi kosiyā’’ti.

    ตตฺถ หาตูนาติ หริตฺวาฯ ตํ นิธินฺติ ตํ ปุญฺญกมฺมํ ปณฺฑิตา อนุคามิกนิธิํ นาม กเถนฺติฯ นิธินิธานนฺติ นิธิโน นิธานํ, ‘‘นิธานนิธิ’’นฺติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ

    Tattha hātūnāti haritvā. Taṃ nidhinti taṃ puññakammaṃ paṇḍitā anugāmikanidhiṃ nāma kathenti. Nidhinidhānanti nidhino nidhānaṃ, ‘‘nidhānanidhi’’ntipi pāṭho, ayamevattho.

    พฺราหฺมโณ มหาสตฺตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต เทฺว คาถา อภาสิฯ

    Brāhmaṇo mahāsattassa dhammakathaṃ sutvā pasannacitto dve gāthā abhāsi.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘ภทฺทโก วตยํ ปกฺขี, ทิโช ปรมธมฺมิโก;

    ‘‘Bhaddako vatayaṃ pakkhī, dijo paramadhammiko;

    เอกเจฺจสุ มนุเสฺสสุ, อยํ ธโมฺม น วิชฺชติฯ

    Ekaccesu manussesu, ayaṃ dhammo na vijjati.

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ภุญฺช สาลิํ ยถากามํ, สห สเพฺพหิ ญาติภิ;

    ‘‘Bhuñja sāliṃ yathākāmaṃ, saha sabbehi ñātibhi;

    ปุนาปิ สุว ปเสฺสมุ, ปิยํ เม ตว ทสฺสน’’นฺติฯ

    Punāpi suva passemu, piyaṃ me tava dassana’’nti.

    ตตฺถ ภุญฺช สาลินฺติ อิโต ปฎฺฐาย นิพฺภโย หุตฺวา ภุญฺชาติ กรีสสหสฺสมฺปิ ตเสฺสว นิยฺยาเทโนฺต เอวมาหฯ ปเสฺสมูติ อตฺตโน รุจิยา อาคตํ อเญฺญสุปิ ทิวเสสุ ตํ ปเสฺสยฺยามาติฯ

    Tattha bhuñja sālinti ito paṭṭhāya nibbhayo hutvā bhuñjāti karīsasahassampi tasseva niyyādento evamāha. Passemūti attano ruciyā āgataṃ aññesupi divasesu taṃ passeyyāmāti.

    เอวํ พฺราหฺมโณ มหาสตฺตํ ยาจิตฺวา ปิยปุตฺตํ วิย มุทุจิเตฺตน โอโลเกโนฺต ปาทโต พนฺธนํ โมเจตฺวา สตปากเตเลน ปาเท มเกฺขตฺวา ภทฺทปีเฐ นิสีทาเปตฺวา กญฺจนตฎฺฎเก มธุลาเช ขาทาเปตฺวา สกฺขโรทกํ ปาเยสิฯ อถสฺส สุวราชา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ, พฺราหฺมณา’’ติ วตฺวา โอวาทํ เทโนฺต อาห –

    Evaṃ brāhmaṇo mahāsattaṃ yācitvā piyaputtaṃ viya muducittena olokento pādato bandhanaṃ mocetvā satapākatelena pāde makkhetvā bhaddapīṭhe nisīdāpetvā kañcanataṭṭake madhulāje khādāpetvā sakkharodakaṃ pāyesi. Athassa suvarājā ‘‘appamatto hohi, brāhmaṇā’’ti vatvā ovādaṃ dento āha –

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ภุตฺตญฺจ ปีตญฺจ ตวสฺสมมฺหิ, รตี จ โน โกสิย เต สกาเส;

    ‘‘Bhuttañca pītañca tavassamamhi, ratī ca no kosiya te sakāse;

    นิกฺขิตฺตทเณฺฑสุ ททาหิ ทานํ, ชิเณฺณ จ มาตาปิตโร ภรสฺสู’’ติฯ

    Nikkhittadaṇḍesu dadāhi dānaṃ, jiṇṇe ca mātāpitaro bharassū’’ti.

    ตตฺถ ตวสฺสมมฺหีติ ตว นิเวสเนฯ รตีติ อภิรติฯ

    Tattha tavassamamhīti tava nivesane. Ratīti abhirati.

    ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ ตุฎฺฐมานโส อุทานํ อุทาเนโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā brāhmaṇo tuṭṭhamānaso udānaṃ udānento gāthamāha –

    ๑๖.

    16.

    ‘‘ลกฺขี วต เม อุทปาทิ อชฺช, โย อทฺทสาสิํ ปวรํ ทิชานํ;

    ‘‘Lakkhī vata me udapādi ajja, yo addasāsiṃ pavaraṃ dijānaṃ;

    สุวสฺส สุตฺวาน สุภาสิตานิ, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ

    Suvassa sutvāna subhāsitāni, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti.

    ตตฺถ ลกฺขีติ สิรีปิ ปุญฺญมฺปิ ปญฺญาปิฯ

    Tattha lakkhīti sirīpi puññampi paññāpi.

    มหาสโตฺต พฺราหฺมเณน อตฺตโน ทินฺนํ กรีสสหสฺสมตฺตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อฎฺฐกรีสเมว คณฺหิฯ พฺราหฺมโณ ถเมฺภ นิขนิตฺวา ตสฺส เขตฺตํ นิยฺยาเทตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา ขมาเปตฺวา ‘‘คจฺฉ สามิ, อสฺสุมุเข โรทมาเน มาตาปิตโร อสฺสาเสหี’’ติ วตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ โส ตุฎฺฐมานโส สาลิสีสํ อาทาย คนฺตฺวา มาตาปิตูนํ ปุรโต นิกฺขิปิตฺวา ‘‘อมฺมตาตา, อุเฎฺฐถา’’ติ อาหฯ เต อสฺสุมุขา โรทมานา อุฎฺฐหิํสุ, ตาวเทว สุวคณา สนฺนิปติตฺวา ‘‘กถํ มุโตฺตสิ, เทวา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส เตสํ สพฺพํ วิตฺถารโต กเถสิฯ โกสิโยปิ สุวรโญฺญ โอวาทํ สุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ มหาทานํ ปฎฺฐเปสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา โอสานคาถมาห –

    Mahāsatto brāhmaṇena attano dinnaṃ karīsasahassamattaṃ paṭikkhipitvā aṭṭhakarīsameva gaṇhi. Brāhmaṇo thambhe nikhanitvā tassa khettaṃ niyyādetvā gandhamālādīhi pūjetvā khamāpetvā ‘‘gaccha sāmi, assumukhe rodamāne mātāpitaro assāsehī’’ti vatvā taṃ uyyojesi. So tuṭṭhamānaso sālisīsaṃ ādāya gantvā mātāpitūnaṃ purato nikkhipitvā ‘‘ammatātā, uṭṭhethā’’ti āha. Te assumukhā rodamānā uṭṭhahiṃsu, tāvadeva suvagaṇā sannipatitvā ‘‘kathaṃ muttosi, devā’’ti pucchiṃsu. So tesaṃ sabbaṃ vitthārato kathesi. Kosiyopi suvarañño ovādaṃ sutvā tato paṭṭhāya dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ mahādānaṃ paṭṭhapesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā osānagāthamāha –

    ๑๗.

    17.

    ‘‘โส โกสิโย อตฺตมโน อุทโคฺค, อนฺนญฺจ ปานญฺจภิสงฺขริตฺวา;

    ‘‘So kosiyo attamano udaggo, annañca pānañcabhisaṅkharitvā;

    อเนฺนน ปาเนน ปสนฺนจิโตฺต, สนฺตปฺปยิ สมณพฺราหฺมเณ จา’’ติฯ

    Annena pānena pasannacitto, santappayi samaṇabrāhmaṇe cā’’ti.

    ตตฺถ สนฺตปฺปยีติ คหิตคหิตานิ ภาชนานิ ปูเรโนฺต สนฺตเปฺปสีติฯ

    Tattha santappayīti gahitagahitāni bhājanāni pūrento santappesīti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขุ มาตาปิตูนํ โปสนํ นาม ปณฺฑิตานํ วํโส’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา สุวคณา พุทฺธปริสา อเหสุํ, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, เขตฺตปาโล ฉโนฺน, พฺราหฺมโณ อานโนฺท, สุวราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhu mātāpitūnaṃ posanaṃ nāma paṇḍitānaṃ vaṃso’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā suvagaṇā buddhaparisā ahesuṃ, mātāpitaro mahārājakulāni, khettapālo channo, brāhmaṇo ānando, suvarājā pana ahameva ahosinti.

    สาลิเกทารชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Sālikedārajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๔. สาลิเกทารชาตกํ • 484. Sālikedārajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact