Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๘๖] ๖. สาลูกชาตกวณฺณนา
[286] 6. Sālūkajātakavaṇṇanā
มา สาลูกสฺส ปิหยีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ถุลฺลกุมาริกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ จูฬนารทกสฺสปชาตเก (ชา. ๑.๑๓.๔๐ อาทโย) อาวิภวิสฺสติฯ ตํ ปน ภิกฺขุํ สตฺถา ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘โก ตํ อุกฺกณฺฐาเปตี’’ติ? ‘‘ถุลฺลกุมาริกา, ภเนฺต’’ติฯ สตฺถา ‘‘เอสา เต ภิกฺขุ อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ เอติสฺสา วิวาหตฺถาย อาคตปริสาย อุตฺตริภโงฺค อโหสี’’ติ วตฺวา ภิกฺขูหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Māsālūkassa pihayīti idaṃ satthā jetavane viharanto thullakumārikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Taṃ cūḷanāradakassapajātake (jā. 1.13.40 ādayo) āvibhavissati. Taṃ pana bhikkhuṃ satthā pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti pucchi. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti. ‘‘Ko taṃ ukkaṇṭhāpetī’’ti? ‘‘Thullakumārikā, bhante’’ti. Satthā ‘‘esā te bhikkhu anatthakārikā, pubbepi tvaṃ etissā vivāhatthāya āgataparisāya uttaribhaṅgo ahosī’’ti vatvā bhikkhūhi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต มหาโลหิตโคโณ นาม อโหสิ, กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส จูฬโลหิโต นามฯ อุโภปิ โคณา คามเก เอกสฺมิํ กุเล กมฺมํ กโรนฺติฯ ตสฺส กุลสฺส เอกา วยปฺปตฺตา กุมาริกา อตฺถิ, ตํ อญฺญกุลํ วาเรสิฯ อถ นํ กุลํ ‘‘วิวาหกาเล อุตฺตริภโงฺค ภวิสฺสตี’’ติ สาลูกํ นาม สูกรํ ยาคุภเตฺตน ปฎิชคฺคิ, โส เหฎฺฐามเญฺจ สยติฯ อเถกทิวสํ จูฬโลหิโต ภาตรํ อาห – ‘‘ภาติก, มยํ อิมสฺมิํ กุเล กมฺมํ กโรม, อเมฺห นิสฺสาย อิมํ กุลํ ชีวติ, อถ จ ปนิเม มนุสฺสา อมฺหากํ ติณปลาลมตฺตํ เทนฺติ, อิมํ สูกรํ ยาคุภเตฺตน โปเสนฺติ, เหฎฺฐามเญฺจ สยาเปนฺติ, กิํ นาเมส เอเตสํ กริสฺสตี’’ติฯ มหาโลหิโต ‘‘ตาต, มา ตฺวํ เอตสฺส ยาคุภตฺตํ ปตฺถย, เอติสฺสา กุมาริกาย วิวาหทิวเส เอตํ อุตฺตริภงฺคํ กาตุกามา เอเต มํสสฺส ถูลภาวกรณตฺถํ โปเสนฺติ, กติปาหจฺจเยน ตํ ปสฺสิสฺสสิ เหฎฺฐามญฺจโต นิกฺขาเมตฺวา วธิตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา อาคนฺตุกภตฺตํ กริยมาน’’นฺติ วตฺวา ปุริมา เทฺว คาถา สมุฎฺฐาเปสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto mahālohitagoṇo nāma ahosi, kaniṭṭhabhātā panassa cūḷalohito nāma. Ubhopi goṇā gāmake ekasmiṃ kule kammaṃ karonti. Tassa kulassa ekā vayappattā kumārikā atthi, taṃ aññakulaṃ vāresi. Atha naṃ kulaṃ ‘‘vivāhakāle uttaribhaṅgo bhavissatī’’ti sālūkaṃ nāma sūkaraṃ yāgubhattena paṭijaggi, so heṭṭhāmañce sayati. Athekadivasaṃ cūḷalohito bhātaraṃ āha – ‘‘bhātika, mayaṃ imasmiṃ kule kammaṃ karoma, amhe nissāya imaṃ kulaṃ jīvati, atha ca panime manussā amhākaṃ tiṇapalālamattaṃ denti, imaṃ sūkaraṃ yāgubhattena posenti, heṭṭhāmañce sayāpenti, kiṃ nāmesa etesaṃ karissatī’’ti. Mahālohito ‘‘tāta, mā tvaṃ etassa yāgubhattaṃ patthaya, etissā kumārikāya vivāhadivase etaṃ uttaribhaṅgaṃ kātukāmā ete maṃsassa thūlabhāvakaraṇatthaṃ posenti, katipāhaccayena taṃ passissasi heṭṭhāmañcato nikkhāmetvā vadhitvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā āgantukabhattaṃ kariyamāna’’nti vatvā purimā dve gāthā samuṭṭhāpesi –
๑๐๖.
106.
‘‘มา สาลูกสฺส ปิหยิ, อาตุรนฺนานิ ภุญฺชติ;
‘‘Mā sālūkassa pihayi, āturannāni bhuñjati;
อโปฺปสฺสุโกฺก ภุสํ ขาท, เอตํ ทีฆายุลกฺขณํฯ
Appossukko bhusaṃ khāda, etaṃ dīghāyulakkhaṇaṃ.
๑๐๗.
107.
‘‘อิทานิ โส อิธาคนฺตฺวา, อติถี ยุตฺตเสวโก;
‘‘Idāni so idhāgantvā, atithī yuttasevako;
อถ ทกฺขสิ สาลูกํ, สยนฺตํ มุสลุตฺตร’’นฺติฯ
Atha dakkhasi sālūkaṃ, sayantaṃ musaluttara’’nti.
ตตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – ตาต, ตฺวํ มา สาลูกสูกรภาวํ ปตฺถยิ, อยญฺหิ อาตุรนฺนานิ มรณโภชนานิ ภุญฺชติ, ยานิ ภุญฺชิตฺวา นจิรเสฺสว มรณํ ปาปุณิสฺสติ, ตฺวํ ปน อโปฺปสฺสุโกฺก นิราลโย หุตฺวา อตฺตนา ลทฺธํ อิมํ ปลาลมิสฺสกํ ภุสํ ขาท, เอตํ ทีฆายุภาวสฺส ลกฺขณํ สญฺชานนนิมิตฺตํฯ อิทานิ กติปาหเสฺสว โส เววาหิกปุริโส มหติยา ปริสาย ยุโตฺต ยุตฺตเสวโก อิธ อติถิ หุตฺวา อาคโต ภวิสฺสติ, อเถตํ สาลูกํ มุสลสทิเสน อุตฺตโรเฎฺฐน สมนฺนาคตตฺตา มุสลุตฺตรํ มาริตํ สยนฺตํ ทกฺขสีติฯ
Tatthāyaṃ saṅkhepattho – tāta, tvaṃ mā sālūkasūkarabhāvaṃ patthayi, ayañhi āturannāni maraṇabhojanāni bhuñjati, yāni bhuñjitvā nacirasseva maraṇaṃ pāpuṇissati, tvaṃ pana appossukko nirālayo hutvā attanā laddhaṃ imaṃ palālamissakaṃ bhusaṃ khāda, etaṃ dīghāyubhāvassa lakkhaṇaṃ sañjānananimittaṃ. Idāni katipāhasseva so vevāhikapuriso mahatiyā parisāya yutto yuttasevako idha atithi hutvā āgato bhavissati, athetaṃ sālūkaṃ musalasadisena uttaroṭṭhena samannāgatattā musaluttaraṃ māritaṃ sayantaṃ dakkhasīti.
ตโต กติปาหเสฺสว เววาหิเกสุ อาคเตสุ สาลูกํ มาเรตฺวา อุตฺตริภงฺคมกํสุฯ อุโภ โคณา ตํ ตสฺส วิปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ ภุสเมว วร’’นฺติ จินฺตยิํสุฯ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ตทตฺถโชติกํ ตติยํ คาถมาห –
Tato katipāhasseva vevāhikesu āgatesu sālūkaṃ māretvā uttaribhaṅgamakaṃsu. Ubho goṇā taṃ tassa vipattiṃ disvā ‘‘amhākaṃ bhusameva vara’’nti cintayiṃsu. Satthā abhisambuddho hutvā tadatthajotikaṃ tatiyaṃ gāthamāha –
๑๐๘.
108.
‘‘วิกนฺตํ สูกรํ ทิสฺวา, สยนฺตํ มุสลุตฺตรํ;
‘‘Vikantaṃ sūkaraṃ disvā, sayantaṃ musaluttaraṃ;
ชรคฺควา วิจิเนฺตสุํ, วรมฺหากํ ภุสามิวา’’ติฯ
Jaraggavā vicintesuṃ, varamhākaṃ bhusāmivā’’ti.
ตตฺถ ภุสามิวาติ ภุสเมว อมฺหากํ วรํ อุตฺตมนฺติ อโตฺถฯ
Tattha bhusāmivāti bhusameva amhākaṃ varaṃ uttamanti attho.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา กุมาริกา เอตรหิ ถุลฺลกุมาริกา อโหสิ, สาลูโก อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ, จูฬโลหิโต อานโนฺท, มหาโลหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā kumārikā etarahi thullakumārikā ahosi, sālūko ukkaṇṭhitabhikkhu, cūḷalohito ānando, mahālohito pana ahameva ahosi’’nti.
สาลูกชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Sālūkajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๖. สาลูกชาตกํ • 286. Sālūkajātakaṃ