Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. สามคามสุตฺตวณฺณนา
4. Sāmagāmasuttavaṇṇanā
๔๑. เอวํ เม สุตนฺติ สามคามสุตฺตํฯ ตตฺถ สามคาเมติ สามากานํ อุสฺสนฺนตฺตา เอวํลทฺธนาเม คาเมฯ อธุนา กาลงฺกโตติ สมฺปติ กาลํ กโตฯ เทฺวธิกชาตาติ เทฺวชฺฌชาตา เทฺวภาคชาตาฯ ภณฺฑนาทีสุ ภณฺฑนํ ปุพฺพภาคกลโห, ตํ ทณฺฑาทานาทิวเสน ปณฺณตฺติวีติกฺกมวเสน จ วทฺธิตํ กลโห, ‘‘น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสี’’ติอาทิกํ วิรุทฺธวจนํ วิวาโทฯ วิตุทนฺตาติ วิตุชฺชนฺตาฯ สหิตํ เมติ มม วจนํ อตฺถสํหิตํฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตนฺติ ยํ ตว อธิจิณฺณํ จิรกาลเสวนวเสน ปคุณํ, ตํ มม วาทํ อาคมฺม นิวตฺตํฯ อาโรปิโต เต วาโทติ ตุยฺหํ อุปริ มยา โทโส อาโรปิโตฯ จร วาทปฺปโมกฺขายาติ ภตฺตปุฎํ อาทาย ตํ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา วาทปฺปโมกฺขตฺถาย อุตฺตริ ปริเยสมาโน จรฯ นิเพฺพเฐหิ วาติ อถ มยา อาโรปิตวาทโต อตฺตานํ โมเจหิฯ สเจ ปโหสีติ สเจ สโกฺกสิฯ วโธเยวาติ มรณเมวฯ
41.Evaṃme sutanti sāmagāmasuttaṃ. Tattha sāmagāmeti sāmākānaṃ ussannattā evaṃladdhanāme gāme. Adhunā kālaṅkatoti sampati kālaṃ kato. Dvedhikajātāti dvejjhajātā dvebhāgajātā. Bhaṇḍanādīsu bhaṇḍanaṃ pubbabhāgakalaho, taṃ daṇḍādānādivasena paṇṇattivītikkamavasena ca vaddhitaṃ kalaho, ‘‘na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsī’’tiādikaṃ viruddhavacanaṃ vivādo. Vitudantāti vitujjantā. Sahitaṃ meti mama vacanaṃ atthasaṃhitaṃ. Adhiciṇṇaṃ te viparāvattanti yaṃ tava adhiciṇṇaṃ cirakālasevanavasena paguṇaṃ, taṃ mama vādaṃ āgamma nivattaṃ. Āropito te vādoti tuyhaṃ upari mayā doso āropito. Cara vādappamokkhāyāti bhattapuṭaṃ ādāya taṃ taṃ upasaṅkamitvā vādappamokkhatthāya uttari pariyesamāno cara. Nibbeṭhehi vāti atha mayā āropitavādato attānaṃ mocehi. Sace pahosīti sace sakkosi. Vadhoyevāti maraṇameva.
นาฎปุตฺติเยสูติ นาฎปุตฺตสฺส อเนฺตวาสิเกสุฯ นิพฺพินฺนรูปาติ อุกฺกณฺฐิตสภาวา, อภิวาทนาทีนิ น กโรนฺติฯ วิรตฺตรูปาติ วิคตเปมาฯ ปฎิวานรูปาติ เตสํ นิปจฺจกิริยโต นิวตฺตสภาวาฯ ยถา ตนฺติ ยถา จ ทุรกฺขาตาทิสภาเว ธมฺมวินเย นิพฺพินฺนวิรตฺตปฎิวานรูเปหิ ภวิตพฺพํ, ตเถว ชาตาติ อโตฺถฯ ทุรกฺขาเตติ ทุกฺกถิเตฯ ทุปฺปเวทิเตติ ทุวิญฺญาปิเตฯ อนุปสมสํวตฺตนิเกติ ราคาทีนํ อุปสมํ กาตุํ อสมโตฺถฯ ภินฺนถูเปติ ภินฺนปติเฎฺฐฯ เอตฺถ หิ นาฎปุโตฺตว เนสํ ปติเฎฺฐน ถูโป, โส ปน ภิโนฺน มโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภินฺนถูเป’’ติฯ อปฺปฎิสรเณติ ตเสฺสว อภาเวน ปฎิสรณวิรหิเตฯ
Nāṭaputtiyesūti nāṭaputtassa antevāsikesu. Nibbinnarūpāti ukkaṇṭhitasabhāvā, abhivādanādīni na karonti. Virattarūpāti vigatapemā. Paṭivānarūpāti tesaṃ nipaccakiriyato nivattasabhāvā. Yathā tanti yathā ca durakkhātādisabhāve dhammavinaye nibbinnavirattapaṭivānarūpehi bhavitabbaṃ, tatheva jātāti attho. Durakkhāteti dukkathite. Duppavediteti duviññāpite. Anupasamasaṃvattaniketi rāgādīnaṃ upasamaṃ kātuṃ asamattho. Bhinnathūpeti bhinnapatiṭṭhe. Ettha hi nāṭaputtova nesaṃ patiṭṭhena thūpo, so pana bhinno mato. Tena vuttaṃ ‘‘bhinnathūpe’’ti. Appaṭisaraṇeti tasseva abhāvena paṭisaraṇavirahite.
นนุ จายํ นาฎปุโตฺต นาฬนฺทวาสิโก, โส กสฺมา ปาวายํ กาลํกโตติฯ โส กิร อุปาลินา คหปตินา ปฎิวิทฺธสเจฺจน ทสหิ คาถาหิ ภาสิเต พุทฺธคุเณ สุตฺวา อุณฺหํ โลหิตํ ฉเฑฺฑสิฯ อถ นํ อผาสุกํ คเหตฺวา ปาวํ อคมํสุ, โส ตตฺถ กาลมกาสิฯ กาลํ กุรุมาโน จ ‘‘มม ลทฺธิ อนิยฺยานิกา สารรหิตา, มยํ ตาว นฎฺฐา, อวเสสชโน มา อปายปูรโก อโหสิ ฯ สเจ ปนาหํ ‘มม สาสนํ อนิยฺยานิก’นฺติ วกฺขามิ, น สทฺทหิสฺสนฺติฯ ยํนูนาหํ เทฺวปิ ชเน น เอกนีหาเรน อุคฺคณฺหาเปยฺยํ, เต มมจฺจเยน อญฺญมญฺญํ วิวทิสฺสนฺติฯ สตฺถา ตํ วิวาทํ ปฎิจฺจ เอกํ ธมฺมกถํ กเถสฺสติ, ตโต เต สาสนสฺส มหนฺตภาวํ ชาติสฺสนฺตี’’ติฯ
Nanu cāyaṃ nāṭaputto nāḷandavāsiko, so kasmā pāvāyaṃ kālaṃkatoti. So kira upālinā gahapatinā paṭividdhasaccena dasahi gāthāhi bhāsite buddhaguṇe sutvā uṇhaṃ lohitaṃ chaḍḍesi. Atha naṃ aphāsukaṃ gahetvā pāvaṃ agamaṃsu, so tattha kālamakāsi. Kālaṃ kurumāno ca ‘‘mama laddhi aniyyānikā sārarahitā, mayaṃ tāva naṭṭhā, avasesajano mā apāyapūrako ahosi . Sace panāhaṃ ‘mama sāsanaṃ aniyyānika’nti vakkhāmi, na saddahissanti. Yaṃnūnāhaṃ dvepi jane na ekanīhārena uggaṇhāpeyyaṃ, te mamaccayena aññamaññaṃ vivadissanti. Satthā taṃ vivādaṃ paṭicca ekaṃ dhammakathaṃ kathessati, tato te sāsanassa mahantabhāvaṃ jātissantī’’ti.
อถ นํ เอโก อเนฺตวาสิโก อุปสงฺกมิตฺวา อาห ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห ทุพฺพลา, มยฺหํ อิมสฺมิํ ธเมฺม สารํ อาจิกฺขถ อาจริยปฺปมาณ’’นฺติฯ อาวุโส, ตฺวํ มมจฺจเยน สสฺสตนฺติ คเณฺหยฺยาสีติฯ อปโรปิ ตํ อุปสงฺกมิ, ตํ อุเจฺฉทํ คณฺหาเปสิฯ เอวํ เทฺวปิ ชเน เอกลทฺธิเก อกตฺวา พหู นานานีหาเรน อุคฺคณฺหาเปตฺวา กาลมกาสิฯ เต ตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา สนฺนิปติตฺวา อญฺญมญฺญํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘กสฺสาวุโส, อาจริโย สารมาจิกฺขี’’ติ? เอโก อุฎฺฐหิตฺวา มยฺหนฺติ อาหฯ กิํ อาจิกฺขีติ? สสฺสตนฺติฯ อปโร ตํ ปฎิพาหิตฺวา มยฺหํ สารํ อาจิกฺขีติ อาหฯ เอวํ สเพฺพ ‘‘มยฺหํ สารํ อาจิกฺขิ, อหํ เชฎฺฐโก’’ติ อญฺญมญฺญํ วิวาทํ วเฑฺฒตฺวา อโกฺกเส เจว ปริภาเส จ หตฺถปาทปหาราทีนิ จ ปวเตฺตตฺวา เอกมเคฺคน เทฺว อคจฺฉนฺตา นานาทิสาสุ ปกฺกมิํสุ, เอกเจฺจ คิหี อเหสุํฯ
Atha naṃ eko antevāsiko upasaṅkamitvā āha ‘‘bhante, tumhe dubbalā, mayhaṃ imasmiṃ dhamme sāraṃ ācikkhatha ācariyappamāṇa’’nti. Āvuso, tvaṃ mamaccayena sassatanti gaṇheyyāsīti. Aparopi taṃ upasaṅkami, taṃ ucchedaṃ gaṇhāpesi. Evaṃ dvepi jane ekaladdhike akatvā bahū nānānīhārena uggaṇhāpetvā kālamakāsi. Te tassa sarīrakiccaṃ katvā sannipatitvā aññamaññaṃ pucchiṃsu ‘‘kassāvuso, ācariyo sāramācikkhī’’ti? Eko uṭṭhahitvā mayhanti āha. Kiṃ ācikkhīti? Sassatanti. Aparo taṃ paṭibāhitvā mayhaṃ sāraṃ ācikkhīti āha. Evaṃ sabbe ‘‘mayhaṃ sāraṃ ācikkhi, ahaṃ jeṭṭhako’’ti aññamaññaṃ vivādaṃ vaḍḍhetvā akkose ceva paribhāse ca hatthapādapahārādīni ca pavattetvā ekamaggena dve agacchantā nānādisāsu pakkamiṃsu, ekacce gihī ahesuṃ.
ภควโต ปน ธรมานกาเลปิ ภิกฺขุสเงฺฆ วิวาโท น อุปฺปชฺชิฯ สตฺถา หิ เตสํ วิวาทการเณ อุปฺปนฺนมเตฺตเยว สยํ วา คนฺตฺวา เต วา ภิกฺขู ปโกฺกสาเปตฺวา ขนฺติ เมตฺตา ปฎิสงฺขา อวิหิํสา สารณียธเมฺมสุ เอกํ การณํ กเถตฺวา วิวาทํ วูปสเมติฯ เอวํ ธรมาโนปิ สงฺฆสฺส ปติฎฺฐาว อโหสิฯ ปรินิพฺพายมาโนปิ อวิวาทการณํ กตฺวาว ปรินิพฺพายิฯ ภควตา หิ สุเตฺต เทสิตา จตฺตาโร มหาปเทสา (อ. นิ. ๔.๑๘๐; ที. นิ. ๒.๑๘๗) ยาวชฺชทิวสา ภิกฺขูนํ ปติฎฺฐา จ อวสฺสโย จฯ ตถา ขนฺธเก เทสิตา จตฺตาโร มหาปเทสา (มหาว. ๓๐๕) สุเตฺต วุตฺตานิ จตฺตาริ ปญฺหพฺยากรณานิ (อ. นิ. ๔.๔๒) จฯ เตเนวาห – ‘‘โย โว มยา, อานนฺท, ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖)ฯ
Bhagavato pana dharamānakālepi bhikkhusaṅghe vivādo na uppajji. Satthā hi tesaṃ vivādakāraṇe uppannamatteyeva sayaṃ vā gantvā te vā bhikkhū pakkosāpetvā khanti mettā paṭisaṅkhā avihiṃsā sāraṇīyadhammesu ekaṃ kāraṇaṃ kathetvā vivādaṃ vūpasameti. Evaṃ dharamānopi saṅghassa patiṭṭhāva ahosi. Parinibbāyamānopi avivādakāraṇaṃ katvāva parinibbāyi. Bhagavatā hi sutte desitā cattāro mahāpadesā (a. ni. 4.180; dī. ni. 2.187) yāvajjadivasā bhikkhūnaṃ patiṭṭhā ca avassayo ca. Tathā khandhake desitā cattāro mahāpadesā (mahāva. 305) sutte vuttāni cattāri pañhabyākaraṇāni (a. ni. 4.42) ca. Tenevāha – ‘‘yo vo mayā, ānanda, dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216).
๔๒. อถ โข จุโนฺท สมณุเทฺทโสติ อยํ เถโร ธมฺมเสนาปติสฺส กนิฎฺฐภาติโกฯ ตํ ภิกฺขู อนุปสมฺปนฺนกาเล จุโนฺท สมณุเทฺทโสติ สมุทาจริตฺวา เถรกาเลปิ ตเถว สมุทาจริํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จุโนฺท สมณุเทฺทโส’’ติฯ อุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? นาฎปุเตฺต กิร กาลํกเต ชมฺพุทีเป มนุสฺสา ตตฺถ ตตฺถ กถํ ปวตฺตยิํสุ – ‘‘นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เอโก สตฺถาติ ปญฺญายิตฺถ, ตสฺส กาลกิริยาย สาวกานํ เอวรูโป วิวาโท ชาโต, สมโณ ปน โคตโม ชมฺพุทีเป จโนฺท วิย สูริโย วิย จ ปากโฎเยว, กีทิโส นุ โข สมเณ โคตเม ปรินิพฺพุเต สาวกานํ วิวาโท ภวิสฺสตี’’ติฯ เถโร ตํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ กถํ คเหตฺวา ทสพลสฺส อาโรเจสฺสามิ, สตฺถา จ เอตํ อตฺถุปฺปตฺติํ กตฺวา เอกํ เทสนํ กเถสฺสตี’’ติฯ โส นิกฺขมิตฺวา เยน สามคาโม, เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิฯ อุชุเมว ภควโต สนฺติกํ อคนฺตฺวา เยนสฺส อุปชฺฌาโย อายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมีติ อโตฺถฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อุปชฺฌาโย เม มหาปโญฺญ, โส อิมํ สาสนํ สตฺถุ อาโรเจสฺสติ, อถ สตฺถา ตทนุรูปํ ธมฺมํ เทเสสฺสตี’’ติฯ กถาปาภตนฺติ กถามูลํ, มูลญฺหิ ปาภตนฺติ วุจฺจติฯ ยถาห –
42.Athakho cundo samaṇuddesoti ayaṃ thero dhammasenāpatissa kaniṭṭhabhātiko. Taṃ bhikkhū anupasampannakāle cundo samaṇuddesoti samudācaritvā therakālepi tatheva samudācariṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘cundo samaṇuddeso’’ti. Upasaṅkamīti kasmā upasaṅkami? Nāṭaputte kira kālaṃkate jambudīpe manussā tattha tattha kathaṃ pavattayiṃsu – ‘‘nigaṇṭho nāṭaputto eko satthāti paññāyittha, tassa kālakiriyāya sāvakānaṃ evarūpo vivādo jāto, samaṇo pana gotamo jambudīpe cando viya sūriyo viya ca pākaṭoyeva, kīdiso nu kho samaṇe gotame parinibbute sāvakānaṃ vivādo bhavissatī’’ti. Thero taṃ kathaṃ sutvā cintesi – ‘‘imaṃ kathaṃ gahetvā dasabalassa ārocessāmi, satthā ca etaṃ atthuppattiṃ katvā ekaṃ desanaṃ kathessatī’’ti. So nikkhamitvā yena sāmagāmo, yenāyasmā ānando tenupasaṅkami. Ujumeva bhagavato santikaṃ agantvā yenassa upajjhāyo āyasmā ānando tenupasaṅkamīti attho. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘upajjhāyo me mahāpañño, so imaṃ sāsanaṃ satthu ārocessati, atha satthā tadanurūpaṃ dhammaṃ desessatī’’ti. Kathāpābhatanti kathāmūlaṃ, mūlañhi pābhatanti vuccati. Yathāha –
‘‘อปฺปเกนปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;
‘‘Appakenapi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;
สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ (ชา. ๒.๑.๔);
Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti. (jā. 2.1.4);
ทสฺสนายาติ ทสฺสนตฺถายฯ กิํ ปนิมินา ภควา น ทิฎฺฐปุโพฺพติ? โน น ทิฎฺฐปุโพฺพ, อยญฺหิ อายสฺมา ทิวา นว วาเร รตฺติํ นว วาเรติ เอกาหํ อฎฺฐารส วาเร อุปฎฺฐานเมว คจฺฉติฯ ทิวสสฺส ปน สตกฺขตฺตุํ วา สหสฺสกฺขตฺตุํ วา คนฺตุกาโม สมาโนปิ น อการณา คจฺฉติ, เอกํ ปญฺหุทฺธารํ คเหตฺวาว คจฺฉติฯ โส ตํทิวสํ เตน คนฺตุกาโม เอวมาหฯ
Dassanāyāti dassanatthāya. Kiṃ paniminā bhagavā na diṭṭhapubboti? No na diṭṭhapubbo, ayañhi āyasmā divā nava vāre rattiṃ nava vāreti ekāhaṃ aṭṭhārasa vāre upaṭṭhānameva gacchati. Divasassa pana satakkhattuṃ vā sahassakkhattuṃ vā gantukāmo samānopi na akāraṇā gacchati, ekaṃ pañhuddhāraṃ gahetvāva gacchati. So taṃdivasaṃ tena gantukāmo evamāha.
อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานนฺติ เอกสฺมิํ วิหาเร สงฺฆมเชฺฌ อุปฺปโนฺน วิวาโท กถํ เทวมนุสฺสานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตติ? โกสมฺพกกฺขนฺธเก (มหาว. ๔๕๑) วิย หิ ทฺวีสุ ภิกฺขูสุ วิวาทํ อาปเนฺนสุ ตสฺมิํ วิหาเร เตสํ อเนฺตวาสิกา วิวทนฺติ, เตสํ โอวาทํ คณฺหโนฺต ภิกฺขุนิสโงฺฆ วิวทติ, ตโต เตสํ อุปฎฺฐากา วิวทนฺติ, อถ มนุสฺสานํ อารกฺขเทวตา เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติฯ ตตฺถ ธมฺมวาทีนํ อารกฺขเทวตา ธมฺมวาทินิโย โหนฺติ, อธมฺมวาทีนํ อธมฺมวาทินิโย โหนฺติฯ ตโต ตาสํ อารกฺขเทวตานํ มิตฺตา ภุมฺมเทวตา ภิชฺชนฺติฯ เอวํ ปรมฺปราย ยาว พฺรหฺมโลกา ฐเปตฺวา อริยสาวเก สเพฺพ เทวมนุสฺสา เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติฯ ธมฺมวาทีหิ ปน อธมฺมวาทิโนว พหุตรา โหนฺติ, ตโต ยํ พหูหิ คหิตํ, ตํ คณฺหนฺติฯ ธมฺมํ วิสฺสเชฺชตฺวา พหุตราว อธมฺมํ คณฺหนฺติฯ เต อธมฺมํ ปูเรตฺวา วิหรนฺตา อปาเย นิพฺพตฺตนฺติฯ เอวํ เอกสฺมิํ วิหาเร สงฺฆมเชฺฌ อุปฺปโนฺน วิวาโท พหูนํ อหิตาย ทุกฺขาย โหติฯ
Ahitāya dukkhāya devamanussānanti ekasmiṃ vihāre saṅghamajjhe uppanno vivādo kathaṃ devamanussānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattati? Kosambakakkhandhake (mahāva. 451) viya hi dvīsu bhikkhūsu vivādaṃ āpannesu tasmiṃ vihāre tesaṃ antevāsikā vivadanti, tesaṃ ovādaṃ gaṇhanto bhikkhunisaṅgho vivadati, tato tesaṃ upaṭṭhākā vivadanti, atha manussānaṃ ārakkhadevatā dve koṭṭhāsā honti. Tattha dhammavādīnaṃ ārakkhadevatā dhammavādiniyo honti, adhammavādīnaṃ adhammavādiniyo honti. Tato tāsaṃ ārakkhadevatānaṃ mittā bhummadevatā bhijjanti. Evaṃ paramparāya yāva brahmalokā ṭhapetvā ariyasāvake sabbe devamanussā dve koṭṭhāsā honti. Dhammavādīhi pana adhammavādinova bahutarā honti, tato yaṃ bahūhi gahitaṃ, taṃ gaṇhanti. Dhammaṃ vissajjetvā bahutarāva adhammaṃ gaṇhanti. Te adhammaṃ pūretvā viharantā apāye nibbattanti. Evaṃ ekasmiṃ vihāre saṅghamajjhe uppanno vivādo bahūnaṃ ahitāya dukkhāya hoti.
๔๓. อภิญฺญา เทสิตาติ มหาโพธิมูเล นิสิเนฺนน ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปเวทิตาฯ ปติสฺสยมานรูปา วิหรนฺตีติ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภควโต อจฺจเยนาติ เอตรหิ ภควนฺตํ เชฎฺฐกํ กตฺวา สคารวา วิหรนฺติ, ตุมฺหากํ, ภเนฺต, อุคฺคเตชตาย ทุราสทตาย วิวาทํ ชเนตุํ น สโกฺกนฺติ, ภควโต ปน อจฺจเยน วิวาทํ ชเนยฺยุนฺติ วทติฯ ยตฺถ ปน ตํ วิวาทํ ชเนยฺยุํ, ตํ ทเสฺสโนฺต อชฺฌาชีเว วา อธิปาติโมเกฺข วาติ อาหฯ ตตฺถ อชฺฌาชีเวติ อาชีวเหตุ อาชีวการณา – ‘‘ภิกฺขุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปติ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติอาทินา (ปริ. ๒๘๗) นเยน ปริวาเร ปญฺญตฺตานิ ฉ สิกฺขาปทานิ, ตานิ ฐเปตฺวา เสสานิ สพฺพสิกฺขาปทานิ อธิปาติโมกฺขํ นามฯ อปฺปมตฺตโก โส อานนฺทาติ อชฺฌาชีวํ อธิปาติโมกฺขญฺจ อารพฺภ อุปฺปนฺนวิวาโท นาม ยสฺมา ปรสฺส กถายปิ อตฺตโน ธมฺมตายปิ สลฺลเกฺขตฺวา สุปฺปชโห โหติ, ตสฺมา ‘‘อปฺปมตฺตโก’’ติ วุโตฺตฯ
43.Abhiññā desitāti mahābodhimūle nisinnena paccakkhaṃ katvā paveditā. Patissayamānarūpā viharantīti upanissāya viharanti. Bhagavatoaccayenāti etarahi bhagavantaṃ jeṭṭhakaṃ katvā sagāravā viharanti, tumhākaṃ, bhante, uggatejatāya durāsadatāya vivādaṃ janetuṃ na sakkonti, bhagavato pana accayena vivādaṃ janeyyunti vadati. Yattha pana taṃ vivādaṃ janeyyuṃ, taṃ dassento ajjhājīve vā adhipātimokkhe vāti āha. Tattha ajjhājīveti ājīvahetu ājīvakāraṇā – ‘‘bhikkhu uttarimanussadhammaṃ ullapati āpatti pārājikassā’’tiādinā (pari. 287) nayena parivāre paññattāni cha sikkhāpadāni, tāni ṭhapetvā sesāni sabbasikkhāpadāni adhipātimokkhaṃ nāma. Appamattako so ānandāti ajjhājīvaṃ adhipātimokkhañca ārabbha uppannavivādo nāma yasmā parassa kathāyapi attano dhammatāyapi sallakkhetvā suppajaho hoti, tasmā ‘‘appamattako’’ti vutto.
ตตฺรายํ นโย – อิเธกโจฺจ ‘‘น สกฺกา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อนุลฺลปเนฺตน กิญฺจิ ลทฺธุ’’นฺติอาทีนิ จิเนฺตตฺวา อาชีวเหตุ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ วา อุลฺลปติ สญฺจริตฺตํ วา อาปชฺชติ, โย เต วิหาเร วสติ, โส ภิกฺขุ อรหาติอาทินา นเยน สามนฺตชปฺปนํ วา กโรติ, อคิลาโน วา อตฺตโน อตฺถาย ปณีตโภชนานิ วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺชติ, ภิกฺขุนี วา ปน ตานิ วิญฺญาเปตฺวา ปาฎิเทสนียํ อาปชฺชติ, โย โกจิ ทุกฺกฎวตฺถุกํ ยํกิญฺจิ สูโปทนวิญฺญตฺติเมว วา กโรติ, อญฺญตรํ วา ปน ปณฺณตฺติวีติกฺกมํ กโรโนฺต วิหรติ, ตเมนํ สพฺรหฺมจารี เอวํ สญฺชานนฺติ – ‘‘กิํ อิมสฺส อิมินา ลาเภน ลเทฺธน, โย สาสเน ปพฺพชิตฺวา มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปติ, ปณฺณตฺติวีติกฺกมํ กโรตี’’ติฯ อตฺตโน ธมฺมตายปิสฺส เอวํ โหติ – ‘‘กิสฺส มยฺหํ อิมินา ลาเภน, ยฺวาหํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตฺวา มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปมิ, ปณฺณตฺติวีติกฺกมํ กโรมี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ตโต โอรมติฯ เอวํ ปรสฺส กถายปิ อตฺตโน ธมฺมตายปิ สลฺลเกฺขตฺวา สุปฺปชโห โหติฯ เตน ภควา ‘‘อปฺปมตฺตโก’’ติ อาหฯ
Tatrāyaṃ nayo – idhekacco ‘‘na sakkā uttarimanussadhammaṃ anullapantena kiñci laddhu’’ntiādīni cintetvā ājīvahetu uttarimanussadhammaṃ vā ullapati sañcarittaṃ vā āpajjati, yo te vihāre vasati, so bhikkhu arahātiādinā nayena sāmantajappanaṃ vā karoti, agilāno vā attano atthāya paṇītabhojanāni viññāpetvā bhuñjati, bhikkhunī vā pana tāni viññāpetvā pāṭidesanīyaṃ āpajjati, yo koci dukkaṭavatthukaṃ yaṃkiñci sūpodanaviññattimeva vā karoti, aññataraṃ vā pana paṇṇattivītikkamaṃ karonto viharati, tamenaṃ sabrahmacārī evaṃ sañjānanti – ‘‘kiṃ imassa iminā lābhena laddhena, yo sāsane pabbajitvā micchājīvena jīvikaṃ kappeti, paṇṇattivītikkamaṃ karotī’’ti. Attano dhammatāyapissa evaṃ hoti – ‘‘kissa mayhaṃ iminā lābhena, yvāhaṃ evaṃ svākkhāte dhammavinaye pabbajitvā micchājīvena jīvikaṃ kappemi, paṇṇattivītikkamaṃ karomī’’ti sallakkhetvā tato oramati. Evaṃ parassa kathāyapi attano dhammatāyapi sallakkhetvā suppajaho hoti. Tena bhagavā ‘‘appamattako’’ti āha.
มเคฺค วา หิ, อานนฺท, ปฎิปทาย วาติ โลกุตฺตรมคฺคํ ปตฺวา วิวาโท นาม สพฺพโส วูปสมฺมติ, นตฺถิ อธิคตมคฺคานํ วิวาโทฯ ปุพฺพภาคมคฺคํ ปน ปุพฺพภาคปฎิปทญฺจ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
Magge vā hi, ānanda, paṭipadāya vāti lokuttaramaggaṃ patvā vivādo nāma sabbaso vūpasammati, natthi adhigatamaggānaṃ vivādo. Pubbabhāgamaggaṃ pana pubbabhāgapaṭipadañca sandhāyetaṃ vuttaṃ.
ตตฺรายํ นโย – เอวํ ภิกฺขุํ มนุสฺสา โลกุตฺตรธเมฺม สมฺภาเวนฺติฯ โส สทฺธิวิหาริกาทโย อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ฐิเต ปุจฺฉติ ‘‘กิํ อาคตตฺถา’’ติฯ มนสิกาตพฺพกมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิตุํ, ภเนฺตติฯ นิสีทถ, ขเณเนว อรหตฺตํ ปาเปตุํ สมตฺถกมฺมฎฺฐานกถํ อาจิกฺขิสฺสามีติ วตฺวา วทติ – ‘‘อิธ ภิกฺขุ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน มูลกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติ, ตสฺส ตํ มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชติฯ อยํ ปฐมมโคฺค นามฯ โส ทุติยํ โอภาสญาณํ นิพฺพเตฺตติ, ทุติยมโคฺค อธิคโต โหติ, เอวํ ตติยญฺจ จตุตฺถญฺจฯ เอตฺตาวตา มคฺคปฺปโตฺต เจว ผลปฺปโตฺต จ โหตี’’ติฯ อถ เต ภิกฺขู ‘‘อขีณาสโว นาม เอวํ กมฺมฎฺฐานํ กเถตุํ น สโกฺกติ, อทฺธายํ ขีณาสโว’’ติ นิฎฺฐํ คจฺฉนฺติฯ
Tatrāyaṃ nayo – evaṃ bhikkhuṃ manussā lokuttaradhamme sambhāventi. So saddhivihārikādayo āgantvā vanditvā ṭhite pucchati ‘‘kiṃ āgatatthā’’ti. Manasikātabbakammaṭṭhānaṃ pucchituṃ, bhanteti. Nisīdatha, khaṇeneva arahattaṃ pāpetuṃ samatthakammaṭṭhānakathaṃ ācikkhissāmīti vatvā vadati – ‘‘idha bhikkhu attano vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā nisinno mūlakammaṭṭhānaṃ manasi karoti, tassa taṃ manasikaroto obhāso uppajjati. Ayaṃ paṭhamamaggo nāma. So dutiyaṃ obhāsañāṇaṃ nibbatteti, dutiyamaggo adhigato hoti, evaṃ tatiyañca catutthañca. Ettāvatā maggappatto ceva phalappatto ca hotī’’ti. Atha te bhikkhū ‘‘akhīṇāsavo nāma evaṃ kammaṭṭhānaṃ kathetuṃ na sakkoti, addhāyaṃ khīṇāsavo’’ti niṭṭhaṃ gacchanti.
โส อปเรน สมเยน กาลํ กโรติฯ สมนฺตา ภิกฺขาจารคาเมหิ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา ปุจฺฉนฺติ ‘‘เกนจิ, ภเนฺต, เถโร ปญฺหํ ปุจฺฉิโต’’ติฯ อุปาสกา ปุเพฺพว เถเรน ปโญฺห กถิโต อมฺหากนฺติฯ เต ปุปฺผมณฺฑปํ ปุปฺผกูฎาคารํ สเชฺชตฺวา สุวเณฺณน อกฺขิปิธานมุขปิธานาทิํ กริตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา สตฺตาหํ สาธุกีฬิกํ กีเฬตฺวา ฌาเปตฺวา อฎฺฐีนิ อาทาย เจติยํ กโรนฺติฯ อเญฺญ อาคนฺตุกา วิหารํ อาคนฺตฺวา ปาเท โธวิตฺวา ‘‘มหาเถรํ ปสฺสิสฺสาม, กหํ, อาวุโส, มหาเถโร’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ ปรินิพฺพุโต, ภเนฺตติฯ ทุกฺกรํ, อาวุโส, เถเรน กตํ มคฺคผลานิ นิพฺพเตฺตเนฺตน, ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺถ, อาวุโสติฯ ภิกฺขูนํ กมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต อิมินา นิยาเมน กเถสิ, ภเนฺตติฯ น เอโส, อาวุโส, มโคฺค, วิปสฺสนุปกฺกิเลโส นาเมส, น ตุเมฺห ชานิตฺถ, ปุถุชฺชโน, อาวุโส, เถโรติฯ เต กลหํ กโรนฺตา อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘สกลวิหาเร ภิกฺขู จ ภิกฺขาจารคาเมสุ มนุสฺสา จ น ชานนฺติ, ตุเมฺหเยว ชานาถฯ กตรมเคฺคน ตุเมฺห อาคตา, กิํ โว วิหารทฺวาเร เจติยํ น ทิฎฺฐ’’นฺติฯ เอวํวาทีนํ ปน ภิกฺขูนํ สตํ วา, โหตุ สหสฺสํ วา, ยาว ตํ ลทฺธิํ นปฺปชหนฺติ, สโคฺคปิ มโคฺคปิ วาริโตเยวฯ
So aparena samayena kālaṃ karoti. Samantā bhikkhācāragāmehi manussā āgantvā pucchanti ‘‘kenaci, bhante, thero pañhaṃ pucchito’’ti. Upāsakā pubbeva therena pañho kathito amhākanti. Te pupphamaṇḍapaṃ pupphakūṭāgāraṃ sajjetvā suvaṇṇena akkhipidhānamukhapidhānādiṃ karitvā gandhamālādīhi pūjetvā sattāhaṃ sādhukīḷikaṃ kīḷetvā jhāpetvā aṭṭhīni ādāya cetiyaṃ karonti. Aññe āgantukā vihāraṃ āgantvā pāde dhovitvā ‘‘mahātheraṃ passissāma, kahaṃ, āvuso, mahāthero’’ti pucchanti. Parinibbuto, bhanteti. Dukkaraṃ, āvuso, therena kataṃ maggaphalāni nibbattentena, pañhaṃ pucchittha, āvusoti. Bhikkhūnaṃ kammaṭṭhānaṃ kathento iminā niyāmena kathesi, bhanteti. Na eso, āvuso, maggo, vipassanupakkileso nāmesa, na tumhe jānittha, puthujjano, āvuso, theroti. Te kalahaṃ karontā uṭṭhahitvā ‘‘sakalavihāre bhikkhū ca bhikkhācāragāmesu manussā ca na jānanti, tumheyeva jānātha. Kataramaggena tumhe āgatā, kiṃ vo vihāradvāre cetiyaṃ na diṭṭha’’nti. Evaṃvādīnaṃ pana bhikkhūnaṃ sataṃ vā, hotu sahassaṃ vā, yāva taṃ laddhiṃ nappajahanti, saggopi maggopi vāritoyeva.
อปโรปิ ตาทิโสว กมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต เอวํ กเถติ – จิเตฺตเนว ตีสุ อุทฺธเนสุ ตีณิ กปลฺลานิ อาโรเปตฺวา เหฎฺฐา อคฺคิํ กตฺวา จิเตฺตเนว อตฺตโน ทฺวตฺติํสาการํ อุปฺปาเฎตฺวา กปเลฺลสุ ปกฺขิปิตฺวา จิเตฺตเนว ทณฺฑเกน ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ภชฺชิตพฺพํ, ยา ฌายมาเน ฉาริกา โหติ, สา มุขวาเตน ปลาเสตพฺพาฯ เอตฺตเกน ธูตปาโป นาเมส สมโณ โหติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ
Aparopi tādisova kammaṭṭhānaṃ kathento evaṃ katheti – citteneva tīsu uddhanesu tīṇi kapallāni āropetvā heṭṭhā aggiṃ katvā citteneva attano dvattiṃsākāraṃ uppāṭetvā kapallesu pakkhipitvā citteneva daṇḍakena parivattetvā parivattetvā bhajjitabbaṃ, yā jhāyamāne chārikā hoti, sā mukhavātena palāsetabbā. Ettakena dhūtapāpo nāmesa samaṇo hoti. Sesaṃ purimanayeneva vitthāretabbaṃ.
อปโร เอวํ กเถติ – จิเตฺตเนว มหาจาฎิํ ฐเปตฺวา มตฺถุํ โยเชตฺวา จิเตฺตเนว อตฺตโน ทฺวตฺติํสาการํ อุปฺปาเฎตฺวา ตตฺถ ปกฺขิปิตฺวา มตฺถุํ โอตาเรตฺวา มนฺถิตพฺพํฯ มถิยมานํ วิลียติ, วิลีเน อุปริ เผโณ อุคฺคจฺฉติฯ โส เผโณ ปริภุญฺชิตโพฺพฯ เอตฺตาวตา โว อมตํ ปริภุตฺตํ นาม ภวิสฺสติ ฯ อิโต ปรํ ‘‘อถ เต ภิกฺขู’’ติอาทิ สพฺพํ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ
Aparo evaṃ katheti – citteneva mahācāṭiṃ ṭhapetvā matthuṃ yojetvā citteneva attano dvattiṃsākāraṃ uppāṭetvā tattha pakkhipitvā matthuṃ otāretvā manthitabbaṃ. Mathiyamānaṃ vilīyati, vilīne upari pheṇo uggacchati. So pheṇo paribhuñjitabbo. Ettāvatā vo amataṃ paribhuttaṃ nāma bhavissati . Ito paraṃ ‘‘atha te bhikkhū’’tiādi sabbaṃ purimanayeneva vitthāretabbaṃ.
๔๔. อิทานิ โย เอวํ วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย, ตสฺส มูลํ ทเสฺสโนฺต ฉยิมานีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อคารโวติ คารววิรหิโตฯ อปฺปติโสฺสติ อปฺปติสฺสโย อนีจวุตฺติฯ เอตฺถ ปน โย ภิกฺขุ สตฺถริ ธรมาเน ตีสุ กาเลสุ อุปฎฺฐานํ น ยาติ, สตฺถริ อนุปาหเน จงฺกมเนฺต สอุปาหโน จงฺกมติ, นีเจ จงฺกเม จงฺกมเนฺต อุเจฺจ จงฺกเม จงฺกมติ, เหฎฺฐา วสเนฺต อุปริ วสติ, สตฺถุ ทสฺสนฎฺฐาเน อุโภ อํเส ปารุปติ, ฉตฺตํ ธาเรติ, อุปาหนํ ธาเรติ, นฺหานติเตฺถ อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา กโรติ, ปรินิพฺพุเต วา ปน เจติยํ วนฺทิตุํ น คจฺฉติ, เจติยสฺส ปญฺญายนฎฺฐาเน สตฺถุทสฺสนฎฺฐาเน วุตฺตํ สพฺพํ กโรติ, อเญฺญหิ จ ภิกฺขูหิ ‘‘กสฺมา เอวํ กโรสิ, น อิทํ วฎฺฎติ, สมฺมาสพุทฺธสฺส นาม ลชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตูณฺหี โหติ, กิํ พุโทฺธ พุโทฺธติ วทสี’’ติ ภณติ, อยํ สตฺถริ อคารโว นามฯ
44. Idāni yo evaṃ vivādo uppajjeyya, tassa mūlaṃ dassento chayimānītiādimāha. Tattha agāravoti gāravavirahito. Appatissoti appatissayo anīcavutti. Ettha pana yo bhikkhu satthari dharamāne tīsu kālesu upaṭṭhānaṃ na yāti, satthari anupāhane caṅkamante saupāhano caṅkamati, nīce caṅkame caṅkamante ucce caṅkame caṅkamati, heṭṭhā vasante upari vasati, satthu dassanaṭṭhāne ubho aṃse pārupati, chattaṃ dhāreti, upāhanaṃ dhāreti, nhānatitthe uccāraṃ vā passāvaṃ vā karoti, parinibbute vā pana cetiyaṃ vandituṃ na gacchati, cetiyassa paññāyanaṭṭhāne satthudassanaṭṭhāne vuttaṃ sabbaṃ karoti, aññehi ca bhikkhūhi ‘‘kasmā evaṃ karosi, na idaṃ vaṭṭati, sammāsabuddhassa nāma lajjituṃ vaṭṭatī’’ti vutte ‘‘tūṇhī hoti, kiṃ buddho buddhoti vadasī’’ti bhaṇati, ayaṃ satthari agāravo nāma.
โย ปน ธมฺมสฺสวเน สงฺฆุเฎฺฐ สกฺกจฺจํ น คจฺฉติ, สกฺกจฺจํ ธมฺมํ น สุณาติ, นิทฺทายติ วา สลฺลเปโนฺต วา นิสีทติ, สกฺกจฺจํ น คณฺหาติ น ธาเรติ, ‘‘กิํ ธเมฺม อคารวํ กโรสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุณฺหี โหติ, ธโมฺม ธโมฺมติ วทสิ, กิํ ธโมฺม นามา’’ติ วทติ, อยํ ธเมฺม อคารโว นามฯ
Yo pana dhammassavane saṅghuṭṭhe sakkaccaṃ na gacchati, sakkaccaṃ dhammaṃ na suṇāti, niddāyati vā sallapento vā nisīdati, sakkaccaṃ na gaṇhāti na dhāreti, ‘‘kiṃ dhamme agāravaṃ karosī’’ti vutte ‘‘tuṇhī hoti, dhammo dhammoti vadasi, kiṃ dhammo nāmā’’ti vadati, ayaṃ dhamme agāravo nāma.
โย ปน เถเรน ภิกฺขุนา อนชฺฌิโฎฺฐ ธมฺมํ เทเสติ, นิสีทติ ปญฺหํ กเถติ, วุเฑฺฒ ภิกฺขู ฆเฎฺฎโนฺต คจฺฉติ, ติฎฺฐติ นิสีทติ, ทุสฺสปลฺลตฺถิกํ วา หตฺถปลฺลตฺถิกํ วา กโรติ, สงฺฆมเชฺฌ อุโภ อํเส ปารุปติ, ฉตฺตุปาหนํ ธาเรติ, ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘ตุณฺหี โหติ, สโงฺฆ สโงฺฆติ วทสิ, กิํ สโงฺฆ, มิคสโงฺฆ อชสโงฺฆ’’ติอาทีนิ วทติ, อยํ สเงฺฆ อคารโว นามฯ เอกภิกฺขุสฺมิมฺปิ หิ อคารเว กเต สเงฺฆ กโตเยว โหติฯ ติโสฺส สิกฺขา ปน อปริปูรยมาโนว สิกฺขาย น ปริปูรการี นามฯ
Yo pana therena bhikkhunā anajjhiṭṭho dhammaṃ deseti, nisīdati pañhaṃ katheti, vuḍḍhe bhikkhū ghaṭṭento gacchati, tiṭṭhati nisīdati, dussapallatthikaṃ vā hatthapallatthikaṃ vā karoti, saṅghamajjhe ubho aṃse pārupati, chattupāhanaṃ dhāreti, ‘‘bhikkhusaṅghassa lajjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttepi ‘‘tuṇhī hoti, saṅgho saṅghoti vadasi, kiṃ saṅgho, migasaṅgho ajasaṅgho’’tiādīni vadati, ayaṃ saṅghe agāravo nāma. Ekabhikkhusmimpi hi agārave kate saṅghe katoyeva hoti. Tisso sikkhā pana aparipūrayamānova sikkhāya na paripūrakārī nāma.
อชฺฌตฺตํ วาติ อตฺตนิ วา อตฺตโน ปริสาย วาฯ พาหิทฺธาติ ปรสฺมิํ วา ปรสฺส ปริสาย วาฯ
Ajjhattaṃ vāti attani vā attano parisāya vā. Bāhiddhāti parasmiṃ vā parassa parisāya vā.
๔๖. อิทานิ อยํ ฉ ฐานานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนวิวาโท วฑฺฒโนฺต ยานิ อธิกรณานิ ปาปุณาติ, ตานิ ทเสฺสตุํ จตฺตาริมานีติอาทิมาหฯ ตตฺถ วูปสมนตฺถาย ปวตฺตมาเนหิ สมเถหิ อธิกาตพฺพานีติ อธิกรณานิฯ วิวาโทว อธิกรณํ วิวาทาธิกรณํฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ
46. Idāni ayaṃ cha ṭhānāni nissāya uppannavivādo vaḍḍhanto yāni adhikaraṇāni pāpuṇāti, tāni dassetuṃ cattārimānītiādimāha. Tattha vūpasamanatthāya pavattamānehi samathehi adhikātabbānīti adhikaraṇāni. Vivādova adhikaraṇaṃ vivādādhikaraṇaṃ. Itaresupi eseva nayo.
อิทานิ อิมานิปิ จตฺตาริ อธิกรณานิ ปตฺวา อุปริ วเฑฺฒโนฺต โส วิวาโท เยหิ สมเถหิ วูปสมฺมติ, เตสํ ทสฺสนตฺถํ สตฺต โข ปนิเมติอาทิมาหฯ ตตฺถ อธิกรณานิ สเมนฺติ วูปสเมนฺตีติ อธิกรณสมถาฯ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานนฺติ อุปฺปนฺนานํ อุปฺปนฺนานํฯ อธิกรณานนฺติ เอเตสํ วิวาทาธิกรณาทีนํ จตุนฺนํฯ สมถาย วูปสมายาติ สมนตฺถเญฺจว วูปสมนตฺถญฺจฯ สมฺมุขาวินโย ทาตโพฺพ…เป.… ติณวตฺถารโกติ อิเม สตฺต สมถา ทาตพฺพาฯ
Idāni imānipi cattāri adhikaraṇāni patvā upari vaḍḍhento so vivādo yehi samathehi vūpasammati, tesaṃ dassanatthaṃ satta kho panimetiādimāha. Tattha adhikaraṇāni samenti vūpasamentīti adhikaraṇasamathā. Uppannuppannānanti uppannānaṃ uppannānaṃ. Adhikaraṇānanti etesaṃ vivādādhikaraṇādīnaṃ catunnaṃ. Samathāya vūpasamāyāti samanatthañceva vūpasamanatthañca. Sammukhāvinayo dātabbo…pe… tiṇavatthārakoti ime satta samathā dātabbā.
ตตฺรายํ วินิจฺฉยกถา – อธิกรเณสุ ตาว ธโมฺมติ วา อธโมฺมติ วาติ อฎฺฐารสหิ วตฺถูหิ วิวทนฺตานํ ภิกฺขูนํ โย วิวาโท, อิทํ วิวาทาธิกรณํ นามฯ สีลวิปตฺติยา วา อาจารทิฎฺฐิอาชีววิปตฺติยา วา อนุวทนฺตานํ โย อนุวาโท อุปวทนา เจว โจทนา จ, อิทํ อนุวาทาธิกรณํ นามฯ มาติกายํ อาคตา ปญฺจ วิภเงฺค เทฺวติ สตฺต อาปตฺติกฺขนฺธา อาปตฺตาธิกรณํ นามฯ ยํ สงฺฆสฺส อปโลกนาทีนํ จตุนฺนํ กมฺมานํ กรณํ, อิทํ กิจฺจาธิกรณํ นามฯ
Tatrāyaṃ vinicchayakathā – adhikaraṇesu tāva dhammoti vā adhammoti vāti aṭṭhārasahi vatthūhi vivadantānaṃ bhikkhūnaṃ yo vivādo, idaṃ vivādādhikaraṇaṃ nāma. Sīlavipattiyā vā ācāradiṭṭhiājīvavipattiyā vā anuvadantānaṃ yo anuvādo upavadanā ceva codanā ca, idaṃ anuvādādhikaraṇaṃ nāma. Mātikāyaṃ āgatā pañca vibhaṅge dveti satta āpattikkhandhā āpattādhikaraṇaṃ nāma. Yaṃ saṅghassa apalokanādīnaṃ catunnaṃ kammānaṃ karaṇaṃ, idaṃ kiccādhikaraṇaṃ nāma.
ตตฺถ วิวาทาธิกรณํ ทฺวีหิ สมเถหิ สมฺมติ สมฺมุขาวินเยน จ เยภุยฺยสิกาย จฯ สมฺมุขาวินเยเนว สมฺมมานํ ยสฺมิํ วิหาเร อุปฺปนฺนํ, ตสฺมิํเยว วา, อญฺญตฺถ วูปสเมตุํ คจฺฉนฺตานํ อนฺตรามเคฺค วา, ยตฺถ คนฺตฺวา สงฺฆสฺส นิยฺยาติตํ, ตตฺถ สเงฺฆน วา คเณน วา วูปสเมตุํ อสโกฺกเนฺต ตเตฺถว อุพฺพาหิกาย สมฺมตปุคฺคเลหิ วา วินิจฺฉิตํ สมฺมติฯ เอวํ สมฺมมาเน ปน ตสฺมิํ ยา สงฺฆสมฺมุขตา ธมฺมสมฺมุขตา, วินยสมฺมุขตา, ปุคฺคลสมฺมุขตา, อยํ สมฺมุขาวินโย นามฯ
Tattha vivādādhikaraṇaṃ dvīhi samathehi sammati sammukhāvinayena ca yebhuyyasikāya ca. Sammukhāvinayeneva sammamānaṃ yasmiṃ vihāre uppannaṃ, tasmiṃyeva vā, aññattha vūpasametuṃ gacchantānaṃ antarāmagge vā, yattha gantvā saṅghassa niyyātitaṃ, tattha saṅghena vā gaṇena vā vūpasametuṃ asakkonte tattheva ubbāhikāya sammatapuggalehi vā vinicchitaṃ sammati. Evaṃ sammamāne pana tasmiṃ yā saṅghasammukhatā dhammasammukhatā, vinayasammukhatā, puggalasammukhatā, ayaṃ sammukhāvinayo nāma.
ตตฺถ จ การกสงฺฆสฺส สามคฺคิวเสน สมฺมุขีภาโว สงฺฆสมฺมุขตาฯ สเมตพฺพสฺส วตฺถุโน ภูตตา ธมฺมสมฺมุขตาฯ ยถา ตํ สเมตพฺพํ, ตเถว สมนํ วินยสมฺมุขตาฯ โย จ วิวทติ, เยน จ วิวทติ, เตสํ อุภินฺนํ อตฺตปจฺจตฺถิกานํ สมฺมุขีภาโว ปุคฺคลสมฺมุขตาฯ อุพฺพาหิกาย วูปสเม ปเนตฺถ สงฺฆสมฺมุขตา ปริหายติฯ เอวํ ตาว สมฺมุขาวินเยเนว สมฺมติฯ
Tattha ca kārakasaṅghassa sāmaggivasena sammukhībhāvo saṅghasammukhatā. Sametabbassa vatthuno bhūtatā dhammasammukhatā. Yathā taṃ sametabbaṃ, tatheva samanaṃ vinayasammukhatā. Yo ca vivadati, yena ca vivadati, tesaṃ ubhinnaṃ attapaccatthikānaṃ sammukhībhāvo puggalasammukhatā. Ubbāhikāya vūpasame panettha saṅghasammukhatā parihāyati. Evaṃ tāva sammukhāvinayeneva sammati.
สเจ ปเนวมฺปิ น สมฺมติ, อถ นํ อุพฺพาหิกาย สมฺมตา ภิกฺขู ‘‘น มยํ สโกฺกม วูปสเมตุ’’นฺติ สงฺฆเสฺสว นิยฺยาเตนฺติฯ ตโต สโงฺฆ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ ภิกฺขุํ สลากคฺคาหกํ สมฺมนฺนิตฺวา เตน คุฬฺหกวิวฎกสกณฺณชปฺปเกสุ ตีสุ สลากคฺคาเหสุ อญฺญตรวเสน สลากํ คาเหตฺวา สนฺนิปติตปริสาย ธมฺมวาทีนํ เยภุยฺยตาย ยถา เต ธมฺมวาทิโน วทนฺติ, เอวํ วูปสนฺตํ อธิกรณํ สมฺมุขาวินเยน จ เยภุยฺยสิกาย จ วูปสนฺตํ โหติฯ ตตฺถ สมฺมุขาวินโย วุตฺตนโย เอวฯ ยํ ปน เยภุยฺยสิกาย กมฺมสฺส กรณํ, อยํ เยภุยฺยสิกา นามฯ เอวํ วิวาทาธิกรณํ ทฺวีหิ สมเถหิ สมฺมติฯ
Sace panevampi na sammati, atha naṃ ubbāhikāya sammatā bhikkhū ‘‘na mayaṃ sakkoma vūpasametu’’nti saṅghasseva niyyātenti. Tato saṅgho pañcaṅgasamannāgataṃ bhikkhuṃ salākaggāhakaṃ sammannitvā tena guḷhakavivaṭakasakaṇṇajappakesu tīsu salākaggāhesu aññataravasena salākaṃ gāhetvā sannipatitaparisāya dhammavādīnaṃ yebhuyyatāya yathā te dhammavādino vadanti, evaṃ vūpasantaṃ adhikaraṇaṃ sammukhāvinayena ca yebhuyyasikāya ca vūpasantaṃ hoti. Tattha sammukhāvinayo vuttanayo eva. Yaṃ pana yebhuyyasikāya kammassa karaṇaṃ, ayaṃ yebhuyyasikā nāma. Evaṃ vivādādhikaraṇaṃ dvīhi samathehi sammati.
อนุวาทาธิกรณํ จตูหิ สมเถหิ สมฺมติ สมฺมุขาวินเยน จ สติวินเยน จ อมูฬฺหวินเยน จ ตสฺสปาปิยสิกาย จฯ สมฺมุขาวินเยเนว สมฺมมานํ โย จ อนุวทติ, ยญฺจ อนุวทติ, เตสํ วจนํ สุตฺวา, สเจ กาจิ อาปตฺติ นตฺถิ, อุโภ ขมาเปตฺวา, สเจ อตฺถิ, อยํ นาเมตฺถ อาปตฺตีติ เอวํ วินิจฺฉิตํ วูปสมฺมติฯ ตตฺถ สมฺมุขาวินยลกฺขณํ วุตฺตนยเมวฯ
Anuvādādhikaraṇaṃ catūhi samathehi sammati sammukhāvinayena ca sativinayena ca amūḷhavinayena ca tassapāpiyasikāya ca. Sammukhāvinayeneva sammamānaṃ yo ca anuvadati, yañca anuvadati, tesaṃ vacanaṃ sutvā, sace kāci āpatti natthi, ubho khamāpetvā, sace atthi, ayaṃ nāmettha āpattīti evaṃ vinicchitaṃ vūpasammati. Tattha sammukhāvinayalakkhaṇaṃ vuttanayameva.
ยทา ปน ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน อมูลิกาย สีลวิปตฺติยา อนุทฺธํสิตสฺส สติวินยํ ยาจมานสฺส สโงฺฆ ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน สติวินยํ เทติ, ตทา สมฺมุขาวินเยน จ สติวินเยน จ วูปสนฺตํ โหติฯ ทิเนฺน ปน สติวินเย ปุน ตสฺมิํ ปุคฺคเล กสฺสจิ อนุวาโท น รุหติฯ
Yadā pana khīṇāsavassa bhikkhuno amūlikāya sīlavipattiyā anuddhaṃsitassa sativinayaṃ yācamānassa saṅgho ñatticatutthena kammena sativinayaṃ deti, tadā sammukhāvinayena ca sativinayena ca vūpasantaṃ hoti. Dinne pana sativinaye puna tasmiṃ puggale kassaci anuvādo na ruhati.
ยทา อุมฺมตฺตโก ภิกฺขุ อุมฺมาทวเสน กเต อสฺสามณเก อชฺฌาจาเร ‘‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติ’’นฺติ ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน – ‘‘อุมฺมตฺตเกน เม, อาวุโส, เอตํ กตํ, นาหํ ตํ สรามี’’ติ ภณโนฺตปิ ภิกฺขูหิ โจทิยมาโนว ปุน อโจทนตฺถาย อมูฬฺหวินยํ ยาจติ, สโงฺฆ จสฺส ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน อมูฬฺหวินยํ เทติ, ตทา สมฺมุขาวินเยน จ อมูฬฺหวินเยน จ วูปสนฺตํ โหติฯ ทิเนฺน ปน อมูฬฺหวินเย ปุน ตสฺมิํ ปุคฺคเล กสฺสจิ ตปฺปจฺจยา อนุวาโท น รุหติฯ
Yadā ummattako bhikkhu ummādavasena kate assāmaṇake ajjhācāre ‘‘saratāyasmā evarūpiṃ āpatti’’nti bhikkhūhi vuccamāno – ‘‘ummattakena me, āvuso, etaṃ kataṃ, nāhaṃ taṃ sarāmī’’ti bhaṇantopi bhikkhūhi codiyamānova puna acodanatthāya amūḷhavinayaṃ yācati, saṅgho cassa ñatticatutthena kammena amūḷhavinayaṃ deti, tadā sammukhāvinayena ca amūḷhavinayena ca vūpasantaṃ hoti. Dinne pana amūḷhavinaye puna tasmiṃ puggale kassaci tappaccayā anuvādo na ruhati.
ยทา ปน ปาราชิเกน วา ปาราชิกสามเนฺตน วา โจทิยมานสฺส อเญฺญนาญฺญํ ปฎิจรโต ปาปุสฺสนฺนตาย ปาปิยสฺส ปุคฺคลสฺส – ‘‘สจายํ อจฺฉินฺนมูโล ภวิสฺสติ, สมฺมา วตฺติตฺวา โอสารณํ ลภิสฺสติ, สเจ ฉินฺนมูโล, อยเมวสฺส นาสนา ภวิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน สโงฺฆ ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน ตสฺสปาปิยสิกํ กโรติ, ตทา สมฺมุขาวินเยน จ ตสฺส ปาปิยสิกาย จ วูปสนฺตํ โหติฯ เอวํ อนุวาทาธิกรณํ จตูหิ สมเถหิ สมฺมติฯ
Yadā pana pārājikena vā pārājikasāmantena vā codiyamānassa aññenāññaṃ paṭicarato pāpussannatāya pāpiyassa puggalassa – ‘‘sacāyaṃ acchinnamūlo bhavissati, sammā vattitvā osāraṇaṃ labhissati, sace chinnamūlo, ayamevassa nāsanā bhavissatī’’ti maññamāno saṅgho ñatticatutthena kammena tassapāpiyasikaṃ karoti, tadā sammukhāvinayena ca tassa pāpiyasikāya ca vūpasantaṃ hoti. Evaṃ anuvādādhikaraṇaṃ catūhi samathehi sammati.
อาปตฺตาธิกรณํ ตีหิ สมเถหิ สมฺมติ สมฺมุขาวินเยน จ ปฎิญฺญาตกรเณน จ ติณวตฺถารเกน จฯ ตสฺส สมฺมุขาวินเยเนว วูปสโม นตฺถิฯ ยทา ปน เอกสฺส วา ภิกฺขุโน สนฺติเก สงฺฆคณมเชฺฌสุ วา ภิกฺขุ ลหุกํ อาปตฺติํ เทเสติ, ตทา อาปตฺตาธิกรณํ สมฺมุขาวินเยน จ ปฎิญฺญาตกรเณน จ วูปสมฺมติฯ ตตฺถ สมฺมุขาวินโย ตาว โย จ เทเสติ, ยสฺส จ เทเสติ, เตสํ สมฺมุขตาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ ปุคฺคลสฺส จ คณสฺส จ เทสนากาเล สงฺฆสมฺมุขตา ปริหายติฯ ยํ ปเนตฺถ ‘‘อหํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อปโนฺน’’ติ จ, อาม ‘‘ปสฺสามี’’ติ จ ปฎิญฺญาตาย ‘‘อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ กรณํ, ตํ ปฎิญฺญาตกรณํ นามฯ สงฺฆาทิเสเส ปริวาสาทิยาจนา ปฎิญฺญา, ปริวาสาทีนํ ทานํ ปฎิญฺญาตกรณํ นามฯ
Āpattādhikaraṇaṃ tīhi samathehi sammati sammukhāvinayena ca paṭiññātakaraṇena ca tiṇavatthārakena ca. Tassa sammukhāvinayeneva vūpasamo natthi. Yadā pana ekassa vā bhikkhuno santike saṅghagaṇamajjhesu vā bhikkhu lahukaṃ āpattiṃ deseti, tadā āpattādhikaraṇaṃ sammukhāvinayena ca paṭiññātakaraṇena ca vūpasammati. Tattha sammukhāvinayo tāva yo ca deseti, yassa ca deseti, tesaṃ sammukhatā. Sesaṃ vuttanayameva. Puggalassa ca gaṇassa ca desanākāle saṅghasammukhatā parihāyati. Yaṃ panettha ‘‘ahaṃ, bhante, itthannāmaṃ āpattiṃ apanno’’ti ca, āma ‘‘passāmī’’ti ca paṭiññātāya ‘‘āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti karaṇaṃ, taṃ paṭiññātakaraṇaṃ nāma. Saṅghādisese parivāsādiyācanā paṭiññā, parivāsādīnaṃ dānaṃ paṭiññātakaraṇaṃ nāma.
เทฺวปกฺขชาตา ปน ภณฺฑนการกา ภิกฺขู พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจารํ จริตฺวา ปุน ลชฺชิธเมฺม อุปฺปเนฺน ‘‘สเจ มยํ อิมาหิ อาปตฺตีหิ อญฺญมญฺญํ กาเรสฺสาม, สิยาปิ ตํ อธิกรณํ กกฺขฬตฺตาย สํวเตฺตยฺยา’’ติ อญฺญมญฺญํ อาปตฺติยา การาปเน โทสํ ทิสฺวา ยทา ติณวตฺถารกกมฺมํ กโรนฺติ, ตทา อาปตฺตาธิกรณํ สมฺมุขาวินเยน จ ติณวตฺถารเกน จ สมฺมติฯ ตตฺร หิ ยตฺตกา หตฺถปาสุปคตา ‘‘น เม ตํ ขมตี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐาวิกมฺมํ อกตฺวา ‘‘ทุกฺกฎํ กมฺมํ ปุน กาตพฺพํ กมฺม’’นฺติ น อุโกฺกเฎนฺติ, นิทฺทมฺปิ โอกฺกนฺตา โหนฺติ, สเพฺพสมฺปิ ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชญฺจ คิหิปฎิสํยุตฺตญฺจ สพฺพาปตฺติโย วุฎฺฐหนฺติฯ เอวํ อาปตฺตาธิกรณํ ตีหิ สมเถหิ สมฺมติฯ กิจฺจาธิกรณํ เอเกน สมเถน สมฺมติ สมฺมุขาวินเยเนวฯ
Dvepakkhajātā pana bhaṇḍanakārakā bhikkhū bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhācāraṃ caritvā puna lajjidhamme uppanne ‘‘sace mayaṃ imāhi āpattīhi aññamaññaṃ kāressāma, siyāpi taṃ adhikaraṇaṃ kakkhaḷattāya saṃvatteyyā’’ti aññamaññaṃ āpattiyā kārāpane dosaṃ disvā yadā tiṇavatthārakakammaṃ karonti, tadā āpattādhikaraṇaṃ sammukhāvinayena ca tiṇavatthārakena ca sammati. Tatra hi yattakā hatthapāsupagatā ‘‘na me taṃ khamatī’’ti evaṃ diṭṭhāvikammaṃ akatvā ‘‘dukkaṭaṃ kammaṃ puna kātabbaṃ kamma’’nti na ukkoṭenti, niddampi okkantā honti, sabbesampi ṭhapetvā thullavajjañca gihipaṭisaṃyuttañca sabbāpattiyo vuṭṭhahanti. Evaṃ āpattādhikaraṇaṃ tīhi samathehi sammati. Kiccādhikaraṇaṃ ekena samathena sammati sammukhāvinayeneva.
อิมานิ จตฺตาริ อธิกรณานิ ยถานุรูปํ อิเมหิ สตฺตหิ สมเถหิ สมฺมนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ อธิกรณานํ สมถาย วูปสมาย สมฺมุขาวินโย ทาตโพฺพ…เป.… ติณวตฺถารโก’’ติฯ อยเมตฺถ วินิจฺฉยนโย, วิตฺถาโร ปน สมถกฺขนฺธเก (จูฬว. ๑๘๕) อาคโตเยวฯ วินิจฺฉโยปิสฺส สมนฺตปาสาทิกาย วุโตฺตฯ
Imāni cattāri adhikaraṇāni yathānurūpaṃ imehi sattahi samathehi sammanti. Tena vuttaṃ ‘‘uppannuppannānaṃ adhikaraṇānaṃ samathāya vūpasamāya sammukhāvinayo dātabbo…pe… tiṇavatthārako’’ti. Ayamettha vinicchayanayo, vitthāro pana samathakkhandhake (cūḷava. 185) āgatoyeva. Vinicchayopissa samantapāsādikāya vutto.
๔๗. โย ปนายํ อิมสฺมิํ สุเตฺต ‘‘อิธานนฺท, ภิกฺขู วิวทนฺตี’’ติอาทิโก วิตฺถาโร วุโตฺต, โส เอเตน นเยน สเงฺขปโตว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ธโมฺมติอาทีสุ สุตฺตนฺตปริยาเยน ตาว ทส กุสลกมฺมปถา ธโมฺม, อกุสลกมฺมปถา อธโมฺมฯ ตถา ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ เหฎฺฐา อาคตา สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธมฺมา, ตโย สติปฎฺฐานา ตโย สมฺมปฺปธานา ตโย อิทฺธิปาทา ฉ อินฺทฺริยานิ ฉ พลานิ อฎฺฐ โพชฺฌงฺคา นวงฺคิโก มโคฺค จาติ, จตฺตาโร อุปาทานา ปญฺจ นีวรณานีติอาทโย สงฺกลิฎฺฐธมฺมา จาติ อยํ อธโมฺมฯ
47. Yo panāyaṃ imasmiṃ sutte ‘‘idhānanda, bhikkhū vivadantī’’tiādiko vitthāro vutto, so etena nayena saṅkhepatova vuttoti veditabbo. Tattha dhammotiādīsu suttantapariyāyena tāva dasa kusalakammapathā dhammo, akusalakammapathā adhammo. Tathā ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’ti heṭṭhā āgatā sattatiṃsa bodhipakkhiyadhammā, tayo satipaṭṭhānā tayo sammappadhānā tayo iddhipādā cha indriyāni cha balāni aṭṭha bojjhaṅgā navaṅgiko maggo cāti, cattāro upādānā pañca nīvaraṇānītiādayo saṅkaliṭṭhadhammā cāti ayaṃ adhammo.
ตตฺถ ยํกิญฺจิ เอกํ อธมฺมโกฎฺฐาสํ คเหตฺวา ‘‘อิมํ อธมฺมํ ธโมฺมติ กริสฺสาม, เอวํ อมฺหากํ อาจริยกุลํ นิยฺยานิกํ ภวิสฺสติ, มยญฺจ โลเก ปากฎา ภวิสฺสามา’’ติ ตํ อธมฺมํ ‘‘ธโมฺม อย’’นฺติ กเถนฺตา ธโมฺมติ วิวทนฺติฯ ตเตฺถว ธมฺมโกฎฺฐาเสสุ เอกํ คเหตฺวา ‘‘อธโมฺม อย’’นฺติ กเถนฺตา อธโมฺมติ วิวทนฺติฯ
Tattha yaṃkiñci ekaṃ adhammakoṭṭhāsaṃ gahetvā ‘‘imaṃ adhammaṃ dhammoti karissāma, evaṃ amhākaṃ ācariyakulaṃ niyyānikaṃ bhavissati, mayañca loke pākaṭā bhavissāmā’’ti taṃ adhammaṃ ‘‘dhammo aya’’nti kathentā dhammoti vivadanti. Tattheva dhammakoṭṭhāsesu ekaṃ gahetvā ‘‘adhammo aya’’nti kathentā adhammoti vivadanti.
วินยปริยาเยน ปน ภูเตน วตฺถุนา โจเทตฺวา สาเรตฺวา ยถาปฎิญฺญาย กาตพฺพกมฺมํ ธโมฺม นาม, อภูเตน ปน วตฺถุนา อโจเทตฺวา อสาเรตฺวา อปฎิญฺญาย กตพฺพกมฺมํ อธโมฺม นามฯ เตสุปิ อธมฺมํ ‘‘ธโมฺม อย’’นฺติ กเถนฺตา ธโมฺมติ วิวทนฺติ, ‘‘อธโมฺม อย’’นฺติ กเถนฺตา อธโมฺมติ วิวทนฺติฯ
Vinayapariyāyena pana bhūtena vatthunā codetvā sāretvā yathāpaṭiññāya kātabbakammaṃ dhammo nāma, abhūtena pana vatthunā acodetvā asāretvā apaṭiññāya katabbakammaṃ adhammo nāma. Tesupi adhammaṃ ‘‘dhammo aya’’nti kathentā dhammoti vivadanti, ‘‘adhammo aya’’nti kathentā adhammoti vivadanti.
สุตฺตนฺตปริยาเยน ปน ราควินโย โทสวินโย โมหวินโย สํวโร ปหานํ ปฎิสงฺขาติ อยํ วินโย นาม, ราคาทีนํ อวินโย อสํวโร อปฺปหานํ อปฺปฎิสงฺขาติ อยํ อวินโย นามฯ วินยปริยาเยน วตฺถุสมฺปตฺติ ญตฺติสมฺปตฺติ อนุสาวนสมฺปตฺติ สีมสมฺปติ ปริสสมฺปตฺตีติ อยํ วินโย นาม, วตฺถุวิปตฺติ…เป.… ปริสวิปตฺตีติ อยํ อวินโย นามฯ เตสุปิ ยํกิญฺจิ อวินยํ ‘‘วินโย อย’’นฺติ กเถนฺตา วินโยติ วิวทนฺติ, วินยํ อวินโยติ กเถนฺตา อวินโยติ วิวทนฺติฯ
Suttantapariyāyena pana rāgavinayo dosavinayo mohavinayo saṃvaro pahānaṃ paṭisaṅkhāti ayaṃ vinayo nāma, rāgādīnaṃ avinayo asaṃvaro appahānaṃ appaṭisaṅkhāti ayaṃ avinayo nāma. Vinayapariyāyena vatthusampatti ñattisampatti anusāvanasampatti sīmasampati parisasampattīti ayaṃ vinayo nāma, vatthuvipatti…pe… parisavipattīti ayaṃ avinayo nāma. Tesupi yaṃkiñci avinayaṃ ‘‘vinayo aya’’nti kathentā vinayoti vivadanti, vinayaṃ avinayoti kathentā avinayoti vivadanti.
ธมฺมเนตฺติ สมนุมชฺชิตพฺพาติ ธมฺมรชฺชุ อนุมชฺชิตพฺพา ญาเณน ฆํสิตพฺพา อุปปริกฺขิตพฺพาฯ สา ปเนสา ธมฺมเนตฺติ ‘‘อิติ โข วจฺฉ อิเม ทส ธมฺมา อกุสลา ทส ธมฺมา กุสลา’’ติ เอวํ มหาวจฺฉโคตฺตสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๙๔) อาคตาติ วุตฺตาฯ สา เอว วา โหตุ, โย วา อิธ ธโมฺมติ จ วินโย จ วุโตฺตฯ ยถา ตตฺถ สเมตีติ ยถา ตาย ธมฺมเนตฺติยา สเมติ, ‘‘ธโมฺม ธโมฺมว โหติ, อธโมฺม อธโมฺมว, วินโย วินโยว โหติ, อวินโย อวินโยว’’ฯ ตถา ตนฺติ เอวํ ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ เอกจฺจานํ อธิกรณานนฺติ อิธ วิวาทาธิกรณเมว ทสฺสิตํ, สมฺมุขาวินโย ปน น กิสฺมิญฺจิ อธิกรเณ น ลพฺภติฯ
Dhammanetti samanumajjitabbāti dhammarajju anumajjitabbā ñāṇena ghaṃsitabbā upaparikkhitabbā. Sā panesā dhammanetti ‘‘iti kho vaccha ime dasa dhammā akusalā dasa dhammā kusalā’’ti evaṃ mahāvacchagottasutte (ma. ni. 2.194) āgatāti vuttā. Sā eva vā hotu, yo vā idha dhammoti ca vinayo ca vutto. Yathā tattha sametīti yathā tāya dhammanettiyā sameti, ‘‘dhammo dhammova hoti, adhammo adhammova, vinayo vinayova hoti, avinayo avinayova’’. Tathā tanti evaṃ taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametabbaṃ. Ekaccānaṃ adhikaraṇānanti idha vivādādhikaraṇameva dassitaṃ, sammukhāvinayo pana na kismiñci adhikaraṇe na labbhati.
๔๘. ตํ ปเนตํ ยสฺมา ทฺวีหิ สมเถหิ สมฺมติ สมฺมุขาวินเยน จ เยภุยฺยสิกาย จ, ตสฺมา เหฎฺฐา มาติกาย ฐปิตานุกฺกเมน อิทานิ สติวินยสฺส วาเร ปเตฺตปิ ตํ อวตฺวา วิวาทาธิกรณเยว ตาว ทุติยสมถํ ทเสฺสโนฺต กถญฺจานนฺท, เยภุยฺยสิกาติอาทิมาหฯ ตตฺถ พหุตราติ อนฺตมโส ทฺวีหิ ตีหิปิ อติเรกตราฯ เสสเมตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
48. Taṃ panetaṃ yasmā dvīhi samathehi sammati sammukhāvinayena ca yebhuyyasikāya ca, tasmā heṭṭhā mātikāya ṭhapitānukkamena idāni sativinayassa vāre pattepi taṃ avatvā vivādādhikaraṇayeva tāva dutiyasamathaṃ dassento kathañcānanda, yebhuyyasikātiādimāha. Tattha bahutarāti antamaso dvīhi tīhipi atirekatarā. Sesamettha heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ.
๔๙. อิทานิ เหฎฺฐา อวิตฺถาริตํ สติวินยํ อาทิํ กตฺวา วิตฺถาริตาวเสสสมเถ ปฎิปาฎิยา วิตฺถาเรตุํ กถญฺจานนฺท, สติวินโยติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาราชิกสามเนฺตน วาติ เทฺว สามนฺตานิ ขนฺธสามนฺตญฺจ อาปตฺติสามนฺตญฺจฯ ตตฺถ ปาราชิกาปตฺติกฺขโนฺธ สงฺฆาทิเสสาปตฺติกฺขโนฺธ ถุลฺลจฺจย-ปาจิตฺติย-ปาฎิเทสนีย-ทุกฺกฎ-ทุพฺภาสิตาปตฺติกฺขโนฺธติ เอวํ ปุริมสฺส ปจฺฉิมขนฺธํ ขนฺธสามนฺตํ นาม โหติฯ ปฐมปาราชิกสฺส ปน ปุพฺพภาเค ทุกฺกฎํ, เสสานํ ถุลฺลจฺจยนฺติ อิทํ อาปตฺติสามนฺตํ นามฯ ตตฺถ ขนฺธสามเนฺต ปาราชิกสามนฺตํ ครุกาปตฺติ นาม โหติฯ สรตายสฺมาติ สรตุ อายสฺมาฯ เอกจฺจานํ อธิกรณานนฺติ อิธ อนุวาทาธิกรณเมว ทสฺสิตํฯ
49. Idāni heṭṭhā avitthāritaṃ sativinayaṃ ādiṃ katvā vitthāritāvasesasamathe paṭipāṭiyā vitthāretuṃ kathañcānanda, sativinayotiādimāha. Tattha pārājikasāmantena vāti dve sāmantāni khandhasāmantañca āpattisāmantañca. Tattha pārājikāpattikkhandho saṅghādisesāpattikkhandho thullaccaya-pācittiya-pāṭidesanīya-dukkaṭa-dubbhāsitāpattikkhandhoti evaṃ purimassa pacchimakhandhaṃ khandhasāmantaṃ nāma hoti. Paṭhamapārājikassa pana pubbabhāge dukkaṭaṃ, sesānaṃ thullaccayanti idaṃ āpattisāmantaṃ nāma. Tattha khandhasāmante pārājikasāmantaṃ garukāpatti nāma hoti. Saratāyasmāti saratu āyasmā. Ekaccānaṃ adhikaraṇānanti idha anuvādādhikaraṇameva dassitaṃ.
๕๐. ภาสิตปริกฺกนฺตนฺติ วาจาย ภาสิตํ กาเยน จ ปริกฺกนฺตํ, ปรกฺกมิตฺวา กตนฺติ อโตฺถฯ เอกจฺจานนฺติ อิธาปิ อนุวาทาธิกรณเมว อธิเปฺปตํฯ ปฎิญฺญาตกรเณ ‘‘เอกจฺจาน’’นฺติ อาปตฺตาธิกรณํ ทสฺสิตํฯ
50.Bhāsitaparikkantanti vācāya bhāsitaṃ kāyena ca parikkantaṃ, parakkamitvā katanti attho. Ekaccānanti idhāpi anuvādādhikaraṇameva adhippetaṃ. Paṭiññātakaraṇe ‘‘ekaccāna’’nti āpattādhikaraṇaṃ dassitaṃ.
๕๒. ทวาติ สหสาฯ รวาติ อญฺญํ ภณิตุกาเมน อญฺญํ วุตฺตํฯ เอวํ โข, อานนฺท, ตสฺสปาปิยสิกา โหตีติ ตสฺสปุคฺคลสฺส ปาปุสฺสนฺนตา ปาปิยสิกา โหติฯ อิมินา กมฺมสฺส วตฺถุ ทสฺสิตํฯ เอวรูปสฺส หิ ปุคฺคลสฺส กมฺมํ กาตฺตพฺพํฯ กเมฺมน หิ อธิกรณสฺส วูปสโม โหติ, น ปุคฺคลสฺส ปาปุสฺสนฺนตายฯ อิธาปิ จ อนุวาทาธิกรณเมว อธิกรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ
52.Davāti sahasā. Ravāti aññaṃ bhaṇitukāmena aññaṃ vuttaṃ. Evaṃ kho, ānanda, tassapāpiyasikā hotīti tassapuggalassa pāpussannatā pāpiyasikā hoti. Iminā kammassa vatthu dassitaṃ. Evarūpassa hi puggalassa kammaṃ kāttabbaṃ. Kammena hi adhikaraṇassa vūpasamo hoti, na puggalassa pāpussannatāya. Idhāpi ca anuvādādhikaraṇameva adhikaraṇanti veditabbaṃ.
๕๓. กถญฺจานนฺท , ติณวตฺถารโกติ เอตฺถ อิทํ กมฺมํ ติณวตฺถารกสทิสตฺตา ติณวตฺถารโกติ วุตฺตํฯ ยถา หิ คูถํ วา มุตฺตํ วา ฆฎฺฎิยมานํ ทุคฺคนฺธตาย พาธติ, ติเณหิ อวตฺถริตฺวา สุปฺปฎิจฺฉาทิตสฺส ปนสฺส โส คโนฺธ น พาธติ, เอวเมว ยํ อธิกรณํ มูลานุมูลํ คนฺตฺวา วูปสมิยมานํ กกฺขฬตฺตาย วาฬตฺตาย เภทาย สํวตฺตติ, ตํ อิมินา กเมฺมน วูปสนฺตํ คูถํ วิย ติณวตฺถารเกน ปฎิจฺฉนฺนํ วูปสนฺตํ โหตีติ อิทํ กมฺมํ ติณวตฺถารกสทิสตฺตา ติณวตฺถารโกติ วุตฺตํฯ ตสฺส อิธานนฺท, ภิกฺขูนํ ภณฺฑนชาตานนฺติอาทิวจเนน อาการมตฺตเมว ทสฺสิตํ, ขนฺธเก อาคตาเยว ปเนตฺถ กมฺมวาจา ปมาณํฯ ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ ฐเปตฺวา คิหิปฎิสํยุตฺตนฺติฯ เอตฺถ ปน ถุลฺลวชฺชนฺติ ถูลฺลวชฺชํ ปาราชิกเญฺจว สงฺฆาทิเสสญฺจฯ คิหิปฎิสํยุตฺตนฺติ คิหีนํ หีเนน ขุํสนวมฺภนธมฺมิกปฎิสฺสเวสุ อาปนฺนา อาปตฺติฯ อธิกรณานนฺติ อิธ อาปตฺตาธิกรณเมว เวทิตพฺพํฯ กิจฺจาธิกรณสฺส ปน วเสน อิธ น กิญฺจิ วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ น วุตฺตํ, สมฺมุขาวินเยเนว ปนสฺส วูปสโม โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
53.Kathañcānanda, tiṇavatthārakoti ettha idaṃ kammaṃ tiṇavatthārakasadisattā tiṇavatthārakoti vuttaṃ. Yathā hi gūthaṃ vā muttaṃ vā ghaṭṭiyamānaṃ duggandhatāya bādhati, tiṇehi avattharitvā suppaṭicchāditassa panassa so gandho na bādhati, evameva yaṃ adhikaraṇaṃ mūlānumūlaṃ gantvā vūpasamiyamānaṃ kakkhaḷattāya vāḷattāya bhedāya saṃvattati, taṃ iminā kammena vūpasantaṃ gūthaṃ viya tiṇavatthārakena paṭicchannaṃ vūpasantaṃ hotīti idaṃ kammaṃ tiṇavatthārakasadisattā tiṇavatthārakoti vuttaṃ. Tassa idhānanda, bhikkhūnaṃ bhaṇḍanajātānantiādivacanena ākāramattameva dassitaṃ, khandhake āgatāyeva panettha kammavācā pamāṇaṃ. Ṭhapetvā thullavajjaṃ ṭhapetvā gihipaṭisaṃyuttanti. Ettha pana thullavajjanti thūllavajjaṃ pārājikañceva saṅghādisesañca. Gihipaṭisaṃyuttanti gihīnaṃ hīnena khuṃsanavambhanadhammikapaṭissavesu āpannā āpatti. Adhikaraṇānanti idha āpattādhikaraṇameva veditabbaṃ. Kiccādhikaraṇassa pana vasena idha na kiñci vuttaṃ. Kiñcāpi na vuttaṃ, sammukhāvinayeneva panassa vūpasamo hotīti veditabbo.
๕๔. ฉยิเม , อานนฺท, ธมฺมา สารณียาติ เหฎฺฐา กลหวเสน สุตฺตํ อารทฺธํ, อุปริ สารณียธมฺมา อาคตาฯ อิติ ยถานุสนฺธินาว เทสนา คตา โหติฯ เหฎฺฐา โกสมฺพิยสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๔๙๘-๕๐๐) ปน โสตาปตฺติมคฺคสมฺมาทิฎฺฐิ กถิตา, อิมสฺมิํ สุเตฺต โสตาปตฺติผลสมฺมาทิฎฺฐิ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อณุนฺติ อปฺปสาวชฺชํฯ ถูลนฺติ มหาสาวชฺชํฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
54.Chayime, ānanda, dhammā sāraṇīyāti heṭṭhā kalahavasena suttaṃ āraddhaṃ, upari sāraṇīyadhammā āgatā. Iti yathānusandhināva desanā gatā hoti. Heṭṭhā kosambiyasutte (ma. ni. 1.498-500) pana sotāpattimaggasammādiṭṭhi kathitā, imasmiṃ sutte sotāpattiphalasammādiṭṭhi vuttāti veditabbā. Aṇunti appasāvajjaṃ. Thūlanti mahāsāvajjaṃ. Sesamettha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
สามคามสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sāmagāmasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. สามคามสุตฺตํ • 4. Sāmagāmasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. สามคามสุตฺตวณฺณนา • 4. Sāmagāmasuttavaṇṇanā