Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๑๓. สมณกปฺปนิเทฺทสวณฺณนา
13. Samaṇakappaniddesavaṇṇanā
๑๒๕. ภูตานํ ชาตานํ นิพฺพตฺตานํ คาโม ภูตคาโม (ปาจิ. ๙๑; ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๑; กงฺขา. อฎฺฐ. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา)ฯ สมารโมฺภติ เฉทนผาลนปจนาทิ, ตสฺมิํ ภูตคามสมารเมฺภ ภูตคามสมารมฺภเหตุ ปาจิตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ กตกปฺปิยํ (กงฺขา. อฎฺฐ. ภูตคามสิกฺขาปทวณฺณนา) ปน สมณกปฺปิยํ ภเวติ สมฺพโนฺธฯ สมณานํ กปฺปิยํ สมณกปฺปิยํ ฯ อิทานิ เยน กตํ กปฺปิยํ สมณกปฺปิยํ โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘นเขน วา’’ติอาทิมาหฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ, อคฺคิปริชิตํ สตฺถปริชิตํ นขปริชิตํ อพีชํ นิพฺพฎฺฎพีชเญฺญว ปญฺจม’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๐) หิ วุตฺตํฯ
125. Bhūtānaṃ jātānaṃ nibbattānaṃ gāmo bhūtagāmo (pāci. 91; pāci. aṭṭha. 91; kaṅkhā. aṭṭha. bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā). Samārambhoti chedanaphālanapacanādi, tasmiṃ bhūtagāmasamārambhe bhūtagāmasamārambhahetu pācitti hotīti attho. Katakappiyaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. bhūtagāmasikkhāpadavaṇṇanā) pana samaṇakappiyaṃ bhaveti sambandho. Samaṇānaṃ kappiyaṃ samaṇakappiyaṃ. Idāni yena kataṃ kappiyaṃ samaṇakappiyaṃ hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘nakhena vā’’tiādimāha. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjituṃ, aggiparijitaṃ satthaparijitaṃ nakhaparijitaṃ abījaṃ nibbaṭṭabījaññeva pañcama’’nti (cūḷava. 250) hi vuttaṃ.
๑๒๖. อิทานิ ตํ ภูตคามํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมูลา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ (ปาจิ. ๙๑; ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๑) ส-อิติ โส ภูตคาโม นามาติ อโตฺถ, มูลพีชาทีหิ ปญฺจหิ พีเชหิ ปภาวิโต โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ มูลพีชํ นาม หลิทฺทิสิงฺคิเวราทิฯ ขนฺธพีชํ นาม อสฺสโตฺถ นิโคฺรโธติ เอวมาทิฯ อคฺคพีชํ นาม อชฺชุกผณิชฺชกาทิฯ ผฬุพีชํ นาม อุจฺฉุเวฬุนฬาทิฯ ‘‘พีชพีชํ นาม ปุพฺพณฺณํ อปรณฺณํ, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ อตฺถิ พีเช ชายนฺติ พีเช สญฺชายนฺติ, เอตํ พีชพีชํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๐, ๑๙๕; ม. นิ. ๑.๒๙๓, ๔๑๑; ๒.๑๑; อ. นิ. ๑๐.๙๙; ปุ. ป. ๑๗๙) วุตฺตตฺตา ธมฺมานุโลเมน อาคตํ พีชคามสมารมฺภํ ทเสฺสตุํ ‘‘อารเมฺภ ทุกฺกฎ’’นฺติอาทิมาหฯ ตสฺมา เอตํ ปฐมํ ‘‘กปฺปิยํ กโรหี’’ติ ภูตคามปริโมจนํ กาเรตฺวา พีชคามปริโมจนตฺถํ ปุน กปฺปิยํ กาเรตพฺพํฯ
126. Idāni taṃ bhūtagāmaṃ dassetuṃ ‘‘samūlā’’tiādimāha. Tattha (pāci. 91; pāci. aṭṭha. 91) sa-iti so bhūtagāmo nāmāti attho, mūlabījādīhi pañcahi bījehi pabhāvito hotīti vuttaṃ hoti. Tattha mūlabījaṃ nāma haliddisiṅgiverādi. Khandhabījaṃ nāma assattho nigrodhoti evamādi. Aggabījaṃ nāma ajjukaphaṇijjakādi. Phaḷubījaṃ nāma ucchuveḷunaḷādi. ‘‘Bījabījaṃ nāma pubbaṇṇaṃ aparaṇṇaṃ, yāni vā panaññānipi atthi bīje jāyanti bīje sañjāyanti, etaṃ bījabījaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. Idāni ‘‘bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hotī’’ti (dī. ni. 1.10, 195; ma. ni. 1.293, 411; 2.11; a. ni. 10.99; pu. pa. 179) vuttattā dhammānulomena āgataṃ bījagāmasamārambhaṃ dassetuṃ ‘‘ārambhe dukkaṭa’’ntiādimāha. Tasmā etaṃ paṭhamaṃ ‘‘kappiyaṃ karohī’’ti bhūtagāmaparimocanaṃ kāretvā bījagāmaparimocanatthaṃ puna kappiyaṃ kāretabbaṃ.
๑๒๗. นิพฺพฎฺฎพีชํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒; กงฺขา. อฎฺฐ. ภุตคามสิกฺขาปทวณฺณนา) นาม อมฺพปนสาทิฯ โนพีชํ นาม ตรุณมฺพผลาทิ, เอตํ ปน สพฺพํ อกปฺปิยมฺปิ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ กฎาหพทฺธพีชานิ กปิตฺถผลาทีนิฯ พหิทฺธา วาปิ การเยติ กปาเลปิ กาตุํ วฎฺฎติ, สเจ เอกาพทฺธานีติ อโตฺถฯ กฎาหมุตฺตํ ปน ภินฺทิตฺวา กาเรตพฺพํฯ
127.Nibbaṭṭabījaṃ (pāci. aṭṭha. 92; kaṅkhā. aṭṭha. bhutagāmasikkhāpadavaṇṇanā) nāma ambapanasādi. Nobījaṃ nāma taruṇambaphalādi, etaṃ pana sabbaṃ akappiyampi vaṭṭatīti attho. Kaṭāhabaddhabījāni kapitthaphalādīni. Bahiddhā vāpi kārayeti kapālepi kātuṃ vaṭṭati, sace ekābaddhānīti attho. Kaṭāhamuttaṃ pana bhinditvā kāretabbaṃ.
๑๒๘. ภาชเน วา ภูมิยํ วา เอกาพเทฺธสุ พีเชสุ เอกสฺมิํ พีเช กปฺปิเย กเต สเพฺพเสฺวว กตํ ภเวติ อโตฺถฯ ยถา จ พีเช, เอวํ รุกฺขสหสฺสํ วา อุจฺฉุสหสฺสํ วา ฉินฺทิตฺวา เอกาพเทฺธ กเตปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
128. Bhājane vā bhūmiyaṃ vā ekābaddhesu bījesu ekasmiṃ bīje kappiye kate sabbesveva kataṃ bhaveti attho. Yathā ca bīje, evaṃ rukkhasahassaṃ vā ucchusahassaṃ vā chinditvā ekābaddhe katepi vinicchayo veditabbo.
๑๒๙. กปฺปิยํ กตฺวา นิกฺขิเตฺต พีชคาเม ปุน มูลปณฺณานิ สเจ ชายรุํ, ปุน กปฺปิยํ กาเรยฺยาติ อโตฺถฯ ตทาติ มูเล จ องฺกุเร จ ชาเตติ อโตฺถฯ
129. Kappiyaṃ katvā nikkhitte bījagāme puna mūlapaṇṇāni sace jāyaruṃ, puna kappiyaṃ kāreyyāti attho. Tadāti mūle ca aṅkure ca jāteti attho.
๑๓๐. อุทกสมฺภโวติ อุทกชาโตฯ เจติยาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน เคหปฺปมุขปาการเวทิกาทีสุ นิพฺพตฺตา คหิตาฯ นิพฺพตฺตทฺวตฺติปตฺตโก ภูตคาโมว, อนิพฺพตฺตโก อคฺคพีเช สงฺคหํ คจฺฉติฯ พีชมฺปิ ยาว มูลํ วา ปณฺณํ วา น นิกฺขมติ, ตาว พีชคาโมว, มูเล จ นิกฺขเนฺต ปเณฺณ จ หริเต ชาเต ภูตคาโมว โหตีติ อโตฺถฯ
130.Udakasambhavoti udakajāto. Cetiyādīsūti ettha ādi-saddena gehappamukhapākāravedikādīsu nibbattā gahitā. Nibbattadvattipattako bhūtagāmova, anibbattako aggabīje saṅgahaṃ gacchati. Bījampi yāva mūlaṃ vā paṇṇaṃ vā na nikkhamati, tāva bījagāmova, mūle ca nikkhante paṇṇe ca harite jāte bhūtagāmova hotīti attho.
๑๓๑. มกุฬนฺติ อผุลฺลํฯ อหิฉตฺตกํ นาม รุเกฺข ชาตํ อหิฉตฺตกํฯ
131.Makuḷanti aphullaṃ. Ahichattakaṃ nāma rukkhe jātaṃ ahichattakaṃ.
๑๓๒. อลฺลรุเกฺข คณฺหโตติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ อลฺลรุเกฺข ฉินฺทโต วาปีติ สมฺพโนฺธฯ
132. Allarukkhe gaṇhatoti sambandho. Tatthāti allarukkhe chindato vāpīti sambandho.
๑๓๔. ‘‘อิมํ รุกฺขํ, อิมํ ลตํ, อิมํ กนฺทํ ฉินฺท, ภินฺทา’’ติอาทินา นเยน นิยเมตฺวา ภาสิตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘อิทํ, เอต’’นฺติ อวตฺวา เกวลํ ‘‘รุกฺขํ ฉินฺทา’’ติอาทินา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒; กงฺขา. อฎฺฐ. ภูตคามหิกฺขาปทวณฺณนา) นเยน วตฺตุํ วฎฺฎตีติฯ สมณกปฺปวินิจฺฉโยฯ
134. ‘‘Imaṃ rukkhaṃ, imaṃ lataṃ, imaṃ kandaṃ chinda, bhindā’’tiādinā nayena niyametvā bhāsituṃ na vaṭṭati. ‘‘Idaṃ, eta’’nti avatvā kevalaṃ ‘‘rukkhaṃ chindā’’tiādinā (pāci. aṭṭha. 92; kaṅkhā. aṭṭha. bhūtagāmahikkhāpadavaṇṇanā) nayena vattuṃ vaṭṭatīti. Samaṇakappavinicchayo.
สมณกปฺปนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Samaṇakappaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.