Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๘. สมณมุณฺฑิกสุตฺตํ

    8. Samaṇamuṇḍikasuttaṃ

    ๒๖๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต 1 สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ปริพฺพาชกสเตหิฯ อถ โข ปญฺจกโงฺค ถปติ สาวตฺถิยา นิกฺขมิ ทิวา ทิวสฺส ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ อถ โข ปญฺจกงฺคสฺส ถปติสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อกาโล โข ตาว ภควนฺตํ ทสฺสนาย; ปฎิสลฺลีโน ภควาฯ มโนภาวนิยานมฺปิ ภิกฺขูนํ อสมโย ทสฺสนาย; ปฎิสลฺลีนา มโนภาวนิยา ภิกฺขูฯ ยํนูนาหํ เยน สมยปฺปวาทโก ตินฺทุกาจีโร เอกสาลโก มลฺลิกาย อาราโม เยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ อถ โข ปญฺจกโงฺค ถปติ เยน สมยปฺปวาทโก ตินฺทุกาจีโร เอกสาลโก มลฺลิกาย อาราโม เยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต เตนุปสงฺกมิฯ

    260. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto 2 samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ pañcamattehi paribbājakasatehi. Atha kho pañcakaṅgo thapati sāvatthiyā nikkhami divā divassa bhagavantaṃ dassanāya. Atha kho pañcakaṅgassa thapatissa etadahosi – ‘‘akālo kho tāva bhagavantaṃ dassanāya; paṭisallīno bhagavā. Manobhāvaniyānampi bhikkhūnaṃ asamayo dassanāya; paṭisallīnā manobhāvaniyā bhikkhū. Yaṃnūnāhaṃ yena samayappavādako tindukācīro ekasālako mallikāya ārāmo yena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto tenupasaṅkameyya’’nti. Atha kho pañcakaṅgo thapati yena samayappavādako tindukācīro ekasālako mallikāya ārāmo yena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto tenupasaṅkami.

    เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ นิสิโนฺน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ – ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฎฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ

    Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ nisinno hoti unnādiniyā uccāsaddamahāsaddāya anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentiyā, seyyathidaṃ – rājakathaṃ corakathaṃ mahāmattakathaṃ senākathaṃ bhayakathaṃ yuddhakathaṃ annakathaṃ pānakathaṃ vatthakathaṃ sayanakathaṃ mālākathaṃ gandhakathaṃ ñātikathaṃ yānakathaṃ gāmakathaṃ nigamakathaṃ nagarakathaṃ janapadakathaṃ itthikathaṃ sūrakathaṃ visikhākathaṃ kumbhaṭṭhānakathaṃ pubbapetakathaṃ nānattakathaṃ lokakkhāyikaṃ samuddakkhāyikaṃ itibhavābhavakathaṃ iti vā.

    อทฺทสา โข อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต ปญฺจกงฺคํ ถปติํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ, มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถ; อยํ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อาคจฺฉติ ปญฺจกโงฺค ถปติฯ ยาวตา โข ปน สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา คิหี โอทาตวสนา สาวตฺถิยํ ปฎิวสนฺติ อยํ เตสํ อญฺญตโร ปญฺจกโงฺค ถปติฯ อปฺปสทฺทกามา โข ปน เต อายสฺมโนฺต อปฺปสทฺทวินีตา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทิโน; อเปฺปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยา’’ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ

    Addasā kho uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto pañcakaṅgaṃ thapatiṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna sakaṃ parisaṃ saṇṭhāpesi – ‘‘appasaddā bhonto hontu, mā bhonto saddamakattha; ayaṃ samaṇassa gotamassa sāvako āgacchati pañcakaṅgo thapati. Yāvatā kho pana samaṇassa gotamassa sāvakā gihī odātavasanā sāvatthiyaṃ paṭivasanti ayaṃ tesaṃ aññataro pañcakaṅgo thapati. Appasaddakāmā kho pana te āyasmanto appasaddavinītā appasaddassa vaṇṇavādino; appeva nāma appasaddaṃ parisaṃ viditvā upasaṅkamitabbaṃ maññeyyā’’ti. Atha kho te paribbājakā tuṇhī ahesuṃ.

    ๒๖๑. อถ โข ปญฺจกโงฺค ถปติ เยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อุคฺคาหมาเนน ปริพฺพาชเกน สมณมุณฺฑิกาปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิ ฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ปญฺจกงฺคํ ถปติํ อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘จตูหิ โข อหํ, คหปติ, ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ สมฺปนฺนกุสลํ ปรมกุสลํ อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌํฯ กตเมหิ จตูหิ? อิธ, คหปติ, น กาเยน ปาปกมฺมํ กโรติ, น ปาปกํ วาจํ ภาสติ, น ปาปกํ สงฺกปฺปํ สงฺกเปฺปติ, น ปาปกํ อาชีวํ อาชีวติ – อิเมหิ โข อหํ, คหปติ, จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ สมฺปนฺนกุสลํ ปรมกุสลํ อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌ’’นฺติฯ

    261. Atha kho pañcakaṅgo thapati yena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā uggāhamānena paribbājakena samaṇamuṇḍikāputtena saddhiṃ sammodi . Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho pañcakaṅgaṃ thapatiṃ uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto etadavoca – ‘‘catūhi kho ahaṃ, gahapati, dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi sampannakusalaṃ paramakusalaṃ uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjhaṃ. Katamehi catūhi? Idha, gahapati, na kāyena pāpakammaṃ karoti, na pāpakaṃ vācaṃ bhāsati, na pāpakaṃ saṅkappaṃ saṅkappeti, na pāpakaṃ ājīvaṃ ājīvati – imehi kho ahaṃ, gahapati, catūhi dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi sampannakusalaṃ paramakusalaṃ uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjha’’nti.

    อถ โข ปญฺจกโงฺค ถปติ อุคฺคาหมานสฺส ปริพฺพาชกสฺส สมณมุณฺฑิกาปุตฺตสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิ นปฺปฎิโกฺกสิฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิ – ‘‘ภควโต สนฺติเก เอตสฺส ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานิสฺสามี’’ติฯ อถ โข ปญฺจกโงฺค ถปติ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ปญฺจกโงฺค ถปติ ยาวตโก อโหสิ อุคฺคาหมาเนน ปริพฺพาชเกน สมณมุณฺฑิกาปุเตฺตน สทฺธิํ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ

    Atha kho pañcakaṅgo thapati uggāhamānassa paribbājakassa samaṇamuṇḍikāputtassa bhāsitaṃ neva abhinandi nappaṭikkosi. Anabhinanditvā appaṭikkositvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi – ‘‘bhagavato santike etassa bhāsitassa atthaṃ ājānissāmī’’ti. Atha kho pañcakaṅgo thapati yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho pañcakaṅgo thapati yāvatako ahosi uggāhamānena paribbājakena samaṇamuṇḍikāputtena saddhiṃ kathāsallāpo taṃ sabbaṃ bhagavato ārocesi.

    ๒๖๒. เอวํ วุเตฺต, ภควา ปญฺจกงฺคํ ถปติํ เอตทโวจ – ‘‘เอวํ สเนฺต โข, ถปติ, ทหโร กุมาโร มโนฺท อุตฺตานเสยฺยโก สมฺปนฺนกุสโล ภวิสฺสติ ปรมกุสโล อุตฺตมปตฺติปโตฺต สมโณ อโยโชฺฌ, ยถา อุคฺคาหมานสฺส ปริพฺพาชกสฺส สมณมุณฺฑิกาปุตฺตสฺส วจนํฯ ทหรสฺส หิ, ถปติ, กุมารสฺส มนฺทสฺส อุตฺตานเสยฺยกสฺส กาโยติปิ น โหติ, กุโต ปน กาเยน ปาปกมฺมํ กริสฺสติ, อญฺญตฺร ผนฺทิตมตฺตา! ทหรสฺส หิ, ถปติ, กุมารสฺส มนฺทสฺส อุตฺตานเสยฺยกสฺส วาจาติปิ น โหติ, กุโต ปน ปาปกํ วาจํ ภาสิสฺสติ, อญฺญตฺร โรทิตมตฺตา ! ทหรสฺส หิ, ถปติ, กุมารสฺส มนฺทสฺส อุตฺตานเสยฺยกสฺส สงฺกโปฺปติปิ น โหติ, กุโต ปน ปาปกํ สงฺกปฺปํ สงฺกปฺปิสฺสติ, อญฺญตฺร วิกูชิตมตฺตา 3! ทหรสฺส หิ, ถปติ, กุมารสฺส มนฺทสฺส อุตฺตานเสยฺยกสฺส อาชีโวติปิ น โหติ, กุโต ปน ปาปกํ อาชีวํ อาชีวิสฺสติ, อญฺญตฺร มาตุถญฺญา! เอวํ สเนฺต โข, ถปติ, ทหโร กุมาโร มโนฺท อุตฺตานเสยฺยโก สมฺปนฺนกุสโล ภวิสฺสติ ปรมกุสโล อุตฺตมปตฺติปโตฺต สมโณ อโยโชฺฌ, ยถา อุคฺคาหมานสฺส ปริพฺพาชกสฺส สมณมุณฺฑิกาปุตฺตสฺส วจนํฯ

    262. Evaṃ vutte, bhagavā pañcakaṅgaṃ thapatiṃ etadavoca – ‘‘evaṃ sante kho, thapati, daharo kumāro mando uttānaseyyako sampannakusalo bhavissati paramakusalo uttamapattipatto samaṇo ayojjho, yathā uggāhamānassa paribbājakassa samaṇamuṇḍikāputtassa vacanaṃ. Daharassa hi, thapati, kumārassa mandassa uttānaseyyakassa kāyotipi na hoti, kuto pana kāyena pāpakammaṃ karissati, aññatra phanditamattā! Daharassa hi, thapati, kumārassa mandassa uttānaseyyakassa vācātipi na hoti, kuto pana pāpakaṃ vācaṃ bhāsissati, aññatra roditamattā ! Daharassa hi, thapati, kumārassa mandassa uttānaseyyakassa saṅkappotipi na hoti, kuto pana pāpakaṃ saṅkappaṃ saṅkappissati, aññatra vikūjitamattā 4! Daharassa hi, thapati, kumārassa mandassa uttānaseyyakassa ājīvotipi na hoti, kuto pana pāpakaṃ ājīvaṃ ājīvissati, aññatra mātuthaññā! Evaṃ sante kho, thapati, daharo kumāro mando uttānaseyyako sampannakusalo bhavissati paramakusalo uttamapattipatto samaṇo ayojjho, yathā uggāhamānassa paribbājakassa samaṇamuṇḍikāputtassa vacanaṃ.

    ๒๖๓. ‘‘จตูหิ โข อหํ, ถปติ, ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ น เจว สมฺปนฺนกุสลํ น ปรมกุสลํ น อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌํ, อปิ จิมํ ทหรํ กุมารํ มนฺทํ อุตฺตานเสยฺยกํ สมธิคยฺห ติฎฺฐติฯ กตเมหิ จตูหิ? อิธ, ถปติ, น กาเยน ปาปกมฺมํ กโรติ, น ปาปกํ วาจํ ภาสติ, น ปาปกํ สงฺกปฺปํ สงฺกเปฺปติ, น ปาปกํ อาชีวํ อาชีวติ – อิเมหิ โข อหํ, ถปติ, จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ น เจว สมฺปนฺนกุสลํ น ปรมกุสลํ น อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌํ, อปิ จิมํ ทหรํ กุมารํ มนฺทํ อุตฺตานเสยฺยกํ สมธิคยฺห ติฎฺฐติฯ

    263. ‘‘Catūhi kho ahaṃ, thapati, dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi na ceva sampannakusalaṃ na paramakusalaṃ na uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjhaṃ, api cimaṃ daharaṃ kumāraṃ mandaṃ uttānaseyyakaṃ samadhigayha tiṭṭhati. Katamehi catūhi? Idha, thapati, na kāyena pāpakammaṃ karoti, na pāpakaṃ vācaṃ bhāsati, na pāpakaṃ saṅkappaṃ saṅkappeti, na pāpakaṃ ājīvaṃ ājīvati – imehi kho ahaṃ, thapati, catūhi dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi na ceva sampannakusalaṃ na paramakusalaṃ na uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjhaṃ, api cimaṃ daharaṃ kumāraṃ mandaṃ uttānaseyyakaṃ samadhigayha tiṭṭhati.

    ‘‘ทสหิ โข อหํ, ถปติ, ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ สมฺปนฺนกุสลํ ปรมกุสลํ อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌํฯ อิเม อกุสลา สีลา; ตมหํ 5, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิโตสมุฎฺฐานา อกุสลา สีลา; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิธ อกุสลา สีลา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ เอวํ ปฎิปโนฺน อกุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ

    ‘‘Dasahi kho ahaṃ, thapati, dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi sampannakusalaṃ paramakusalaṃ uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjhaṃ. Ime akusalā sīlā; tamahaṃ 6, thapati, veditabbanti vadāmi. Itosamuṭṭhānā akusalā sīlā; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Idha akusalā sīlā aparisesā nirujjhanti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Evaṃ paṭipanno akusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi.

    ‘‘อิเม กุสลา สีลา; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิโตสมุฎฺฐานา กุสลา สีลา; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิธ กุสลา สีลา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ เอวํ ปฎิปโนฺน กุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ

    ‘‘Ime kusalā sīlā; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Itosamuṭṭhānā kusalā sīlā; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Idha kusalā sīlā aparisesā nirujjhanti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Evaṃ paṭipanno kusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi.

    ‘‘อิเม อกุสลา สงฺกปฺปา; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิโตสมุฎฺฐานา อกุสลา สงฺกปฺปา ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิธ อกุสลา สงฺกปฺปา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ เอวํ ปฎิปโนฺน อกุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ

    ‘‘Ime akusalā saṅkappā; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Itosamuṭṭhānā akusalā saṅkappā ; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Idha akusalā saṅkappā aparisesā nirujjhanti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Evaṃ paṭipanno akusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi.

    ‘‘อิเม กุสลา สงฺกปฺปา; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิโตสมุฎฺฐานา กุสลา สงฺกปฺปา ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ อิธ กุสลา สงฺกปฺปา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ เอวํ ปฎิปโนฺน กุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ; ตมหํ, ถปติ, เวทิตพฺพนฺติ วทามิฯ

    ‘‘Ime kusalā saṅkappā; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Itosamuṭṭhānā kusalā saṅkappā ; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Idha kusalā saṅkappā aparisesā nirujjhanti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi. Evaṃ paṭipanno kusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti; tamahaṃ, thapati, veditabbanti vadāmi.

    ๒๖๔. ‘‘กตเม จ, ถปติ, อกุสลา สีลา? อกุสลํ กายกมฺมํ, อกุสลํ วจีกมฺมํ, ปาปโก อาชีโว – อิเม วุจฺจนฺติ, ถปติ, อกุสลา สีลาฯ

    264. ‘‘Katame ca, thapati, akusalā sīlā? Akusalaṃ kāyakammaṃ, akusalaṃ vacīkammaṃ, pāpako ājīvo – ime vuccanti, thapati, akusalā sīlā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, อกุสลา สีลา กิํสมุฎฺฐานา? สมุฎฺฐานมฺปิ เนสํ วุตฺตํฯ ‘จิตฺตสมุฎฺฐานา’ติสฺส วจนียํฯ กตมํ จิตฺตํ? จิตฺตมฺปิ หิ พหุํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํฯ ยํ จิตฺตํ สราคํ สโทสํ สโมหํ, อิโตสมุฎฺฐานา อกุสลา สีลาฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, akusalā sīlā kiṃsamuṭṭhānā? Samuṭṭhānampi nesaṃ vuttaṃ. ‘Cittasamuṭṭhānā’tissa vacanīyaṃ. Katamaṃ cittaṃ? Cittampi hi bahuṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ. Yaṃ cittaṃ sarāgaṃ sadosaṃ samohaṃ, itosamuṭṭhānā akusalā sīlā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, อกุสลา สีลา กุหิํ อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ? นิโรโธปิ เนสํ วุโตฺตฯ อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, มิจฺฉาชีวํ ปหาย สมฺมาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปติ – เอเตฺถเต อกุสลา สีลา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, akusalā sīlā kuhiṃ aparisesā nirujjhanti? Nirodhopi nesaṃ vutto. Idha, thapati, bhikkhu kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, micchājīvaṃ pahāya sammājīvena jīvitaṃ kappeti – etthete akusalā sīlā aparisesā nirujjhanti.

    ‘‘กถํ ปฎิปโนฺน, ถปติ, อกุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ? อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ; อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสโมฺมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน โข, ถปติ, อกุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ

    ‘‘Kathaṃ paṭipanno, thapati, akusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti? Idha, thapati, bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati; uppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati; anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati; uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā asammosāya bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati. Evaṃ paṭipanno kho, thapati, akusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti.

    ๒๖๕. ‘‘กตเม จ, ถปติ, กุสลา สีลา? กุสลํ กายกมฺมํ, กุสลํ วจีกมฺมํ, อาชีวปริสุทฺธมฺปิ โข อหํ, ถปติ, สีลสฺมิํ วทามิฯ อิเม วุจฺจนฺติ, ถปติ, กุสลา สีลาฯ

    265. ‘‘Katame ca, thapati, kusalā sīlā? Kusalaṃ kāyakammaṃ, kusalaṃ vacīkammaṃ, ājīvaparisuddhampi kho ahaṃ, thapati, sīlasmiṃ vadāmi. Ime vuccanti, thapati, kusalā sīlā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, กุสลา สีลา กิํสมุฎฺฐานา? สมุฎฺฐานมฺปิ เนสํ วุตฺตํฯ ‘จิตฺตสมุฎฺฐานา’ติสฺส วจนียํฯ กตมํ จิตฺตํ? จิตฺตมฺปิ หิ พหุํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํฯ ยํ จิตฺตํ วีตราคํ วีตโทสํ วีตโมหํ, อิโตสมุฎฺฐานา กุสลา สีลาฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, kusalā sīlā kiṃsamuṭṭhānā? Samuṭṭhānampi nesaṃ vuttaṃ. ‘Cittasamuṭṭhānā’tissa vacanīyaṃ. Katamaṃ cittaṃ? Cittampi hi bahuṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ. Yaṃ cittaṃ vītarāgaṃ vītadosaṃ vītamohaṃ, itosamuṭṭhānā kusalā sīlā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, กุสลา สีลา กุหิํ อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ? นิโรโธปิ เนสํ วุโตฺตฯ อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ สีลวา โหติ โน จ สีลมโย, ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ ปชานาติ; ยตฺถสฺส เต กุสลา สีลา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, kusalā sīlā kuhiṃ aparisesā nirujjhanti? Nirodhopi nesaṃ vutto. Idha, thapati, bhikkhu sīlavā hoti no ca sīlamayo, tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ pajānāti; yatthassa te kusalā sīlā aparisesā nirujjhanti.

    ‘‘กถํ ปฎิปโนฺน จ, ถปติ, กุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ? อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย…เป.… อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย…เป.… อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสโมฺมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน โข, ถปติ, กุสลานํ สีลานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ

    ‘‘Kathaṃ paṭipanno ca, thapati, kusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti? Idha, thapati, bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati ; uppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya…pe… anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya…pe… uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā asammosāya bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati. Evaṃ paṭipanno kho, thapati, kusalānaṃ sīlānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti.

    ๒๖๖. ‘‘กตเม จ, ถปติ, อกุสลา สงฺกปฺปา? กามสงฺกโปฺป, พฺยาปาทสงฺกโปฺป, วิหิํสาสงฺกโปฺป – อิเม วุจฺจนฺติ, ถปติ, อกุสลา สงฺกปฺปาฯ

    266. ‘‘Katame ca, thapati, akusalā saṅkappā? Kāmasaṅkappo, byāpādasaṅkappo, vihiṃsāsaṅkappo – ime vuccanti, thapati, akusalā saṅkappā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, อกุสลา สงฺกปฺปา กิํสมุฎฺฐานา? สมุฎฺฐานมฺปิ เนสํ วุตฺตํฯ ‘สญฺญาสมุฎฺฐานา’ติสฺส วจนียํฯ กตมา สญฺญา? สญฺญาปิ หิ พหู อเนกวิธา นานปฺปการกาฯ กามสญฺญา, พฺยาปาทสญฺญา, วิหิํสาสญฺญา – อิโตสมุฎฺฐานา อกุสลา สงฺกปฺปาฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, akusalā saṅkappā kiṃsamuṭṭhānā? Samuṭṭhānampi nesaṃ vuttaṃ. ‘Saññāsamuṭṭhānā’tissa vacanīyaṃ. Katamā saññā? Saññāpi hi bahū anekavidhā nānappakārakā. Kāmasaññā, byāpādasaññā, vihiṃsāsaññā – itosamuṭṭhānā akusalā saṅkappā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, อกุสลา สงฺกปฺปา กุหิํ อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ? นิโรโธปิ เนสํ วุโตฺตฯ อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; เอเตฺถเต อกุสลา สงฺกปฺปา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, akusalā saṅkappā kuhiṃ aparisesā nirujjhanti? Nirodhopi nesaṃ vutto. Idha, thapati, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; etthete akusalā saṅkappā aparisesā nirujjhanti.

    ‘‘กถํ ปฎิปโนฺน จ, ถปติ, อกุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ? อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย…เป.… อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย…เป.… อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสโมฺมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน โข, ถปติ, อกุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ

    ‘‘Kathaṃ paṭipanno ca, thapati, akusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti? Idha, thapati, bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati; uppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya…pe… anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya…pe… uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā asammosāya bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati. Evaṃ paṭipanno kho, thapati, akusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti.

    ๒๖๗. ‘‘กตเม จ, ถปติ, กุสลา สงฺกปฺปา? เนกฺขมฺมสงฺกโปฺป, อพฺยาปาทสงฺกโปฺป, อวิหิํสาสงฺกโปฺป – อิเม วุจฺจนฺติ, ถปติ, กุสลา สงฺกปฺปาฯ

    267. ‘‘Katame ca, thapati, kusalā saṅkappā? Nekkhammasaṅkappo, abyāpādasaṅkappo, avihiṃsāsaṅkappo – ime vuccanti, thapati, kusalā saṅkappā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, กุสลา สงฺกปฺปา กิํสมุฎฺฐานา? สมุฎฺฐานมฺปิ เนสํ วุตฺตํฯ ‘สญฺญาสมุฎฺฐานา’ติสฺส วจนียํฯ กตมา สญฺญา? สญฺญาปิ หิ พหู อเนกวิธา นานปฺปการกาฯ เนกฺขมฺมสญฺญา, อพฺยาปาทสญฺญา, อวิหิํสาสญฺญา – อิโตสมุฎฺฐานา กุสลา สงฺกปฺปาฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, kusalā saṅkappā kiṃsamuṭṭhānā? Samuṭṭhānampi nesaṃ vuttaṃ. ‘Saññāsamuṭṭhānā’tissa vacanīyaṃ. Katamā saññā? Saññāpi hi bahū anekavidhā nānappakārakā. Nekkhammasaññā, abyāpādasaññā, avihiṃsāsaññā – itosamuṭṭhānā kusalā saṅkappā.

    ‘‘อิเม จ, ถปติ, กุสลา สงฺกปฺปา กุหิํ อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ? นิโรโธปิ เนสํ วุโตฺตฯ อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; เอเตฺถเต กุสลา สงฺกปฺปา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ

    ‘‘Ime ca, thapati, kusalā saṅkappā kuhiṃ aparisesā nirujjhanti? Nirodhopi nesaṃ vutto. Idha, thapati, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; etthete kusalā saṅkappā aparisesā nirujjhanti.

    ‘‘กถํ ปฎิปโนฺน จ, ถปติ, กุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติ? อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย…เป.… อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย…เป.… อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสโมฺมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วีริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน โข, ถปติ, กุสลานํ สงฺกปฺปานํ นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ

    ‘‘Kathaṃ paṭipanno ca, thapati, kusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti? Idha, thapati, bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati; uppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya…pe… anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya…pe… uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā asammosāya bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā chandaṃ janeti vāyamati vīriyaṃ ārabhati cittaṃ paggaṇhāti padahati. Evaṃ paṭipanno kho, thapati, kusalānaṃ saṅkappānaṃ nirodhāya paṭipanno hoti.

    ๒๖๘. ‘‘กตเมหิ จาหํ, ถปติ, ทสหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ สมฺปนฺนกุสลํ ปรมกุสลํ อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌํ? อิธ, ถปติ, ภิกฺขุ อเสขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสงฺกเปฺปน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวาจาย สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมากมฺมเนฺตน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาอาชีเวน สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาวายาเมน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาสติยา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติ, อเสเขน สมฺมาญาเณน สมนฺนาคโต โหติ, อเสขาย สมฺมาวิมุตฺติยา สมนฺนาคโต โหติ – อิเมหิ โข อหํ, ถปติ, ทสหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปุริสปุคฺคลํ ปญฺญเปมิ สมฺปนฺนกุสลํ ปรมกุสลํ อุตฺตมปตฺติปตฺตํ สมณํ อโยชฺฌ’’นฺติฯ

    268. ‘‘Katamehi cāhaṃ, thapati, dasahi dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi sampannakusalaṃ paramakusalaṃ uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjhaṃ? Idha, thapati, bhikkhu asekhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti, asekhena sammāsaṅkappena samannāgato hoti, asekhāya sammāvācāya samannāgato hoti, asekhena sammākammantena samannāgato hoti, asekhena sammāājīvena samannāgato hoti, asekhena sammāvāyāmena samannāgato hoti, asekhāya sammāsatiyā samannāgato hoti, asekhena sammāsamādhinā samannāgato hoti, asekhena sammāñāṇena samannāgato hoti, asekhāya sammāvimuttiyā samannāgato hoti – imehi kho ahaṃ, thapati, dasahi dhammehi samannāgataṃ purisapuggalaṃ paññapemi sampannakusalaṃ paramakusalaṃ uttamapattipattaṃ samaṇaṃ ayojjha’’nti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน ปญฺจกโงฺค ถปติ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano pañcakaṅgo thapati bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    สมณมุณฺฑิกสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ

    Samaṇamuṇḍikasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.







    Footnotes:
    1. สมณมณฺฑิกาปุโตฺต (สี. ปี.)
    2. samaṇamaṇḍikāputto (sī. pī.)
    3. วิกุชฺชิตมตฺตา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    4. vikujjitamattā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    5. กหํ (สี.), ตหํ (ปี.)
    6. kahaṃ (sī.), tahaṃ (pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. สมณมุณฺฑิกสุตฺตวณฺณนา • 8. Samaṇamuṇḍikasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. สมณมุณฺฑิกาปุตฺตสุตฺตวณฺณนา • 8. Samaṇamuṇḍikāputtasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact