Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya |
๒. สามญฺญผลสุตฺตํ
2. Sāmaññaphalasuttaṃ
ราชามจฺจกถา
Rājāmaccakathā
๑๕๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ อฑฺฒเตฬเสหิ ภิกฺขุสเตหิฯ เตน โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส โกมุทิยา จาตุมาสินิยา ปุณฺณาย ปุณฺณมาย รตฺติยา ราชามจฺจปริวุโต อุปริปาสาทวรคโต นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตทหุโปสเถ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘‘รมณียา วต โภ โทสินา รตฺติ, อภิรูปา วต โภ โทสินา รตฺติ, ทสฺสนียา วต โภ โทสินา รตฺติ, ปาสาทิกา วต โภ โทสินา รตฺติ, ลกฺขญฺญา วต โภ โทสินา รตฺติฯ กํ นุ ขฺวชฺช สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา ปยิรุปาเสยฺยาม, ยํ โน ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติ?
150. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati jīvakassa komārabhaccassa ambavane mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ aḍḍhateḷasehi bhikkhusatehi. Tena kho pana samayena rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tadahuposathe pannarase komudiyā cātumāsiniyā puṇṇāya puṇṇamāya rattiyā rājāmaccaparivuto uparipāsādavaragato nisinno hoti. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tadahuposathe udānaṃ udānesi – ‘‘ramaṇīyā vata bho dosinā ratti, abhirūpā vata bho dosinā ratti, dassanīyā vata bho dosinā ratti, pāsādikā vata bho dosinā ratti, lakkhaññā vata bho dosinā ratti. Kaṃ nu khvajja samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā payirupāseyyāma, yaṃ no payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti?
๑๕๑. เอวํ วุเตฺต, อญฺญตโร ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว ปูรณํ กสฺสปํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส ปูรณํ กสฺสปํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
151. Evaṃ vutte, aññataro rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, pūraṇo kassapo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo pūraṇaṃ kassapaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa pūraṇaṃ kassapaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
๑๕๒. อญฺญตโรปิ โข ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, มกฺขลิ โคสาโล สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว มกฺขลิํ โคสาลํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส มกฺขลิํ โคสาลํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
152. Aññataropi kho rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, makkhali gosālo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo makkhaliṃ gosālaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa makkhaliṃ gosālaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
๑๕๓. อญฺญตโรปิ โข ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, อชิโต เกสกมฺพโล สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว อชิตํ เกสกมฺพลํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส อชิตํ เกสกมฺพลํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
153. Aññataropi kho rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, ajito kesakambalo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo ajitaṃ kesakambalaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa ajitaṃ kesakambalaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
๑๕๔. อญฺญตโรปิ โข ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, ปกุโธ 1 กจฺจายโน สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว ปกุธํ กจฺจายนํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส ปกุธํ กจฺจายนํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
154. Aññataropi kho rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, pakudho 2 kaccāyano saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo pakudhaṃ kaccāyanaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa pakudhaṃ kaccāyanaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
๑๕๕. อญฺญตโรปิ โข ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, สญฺจโย 3 เพลฎฺฐปุโตฺต 4 สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว สญฺจยํ เพลฎฺฐปุตฺตํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส สญฺจยํ เพลฎฺฐปุตฺตํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
155. Aññataropi kho rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, sañcayo 5 belaṭṭhaputto 6 saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo sañcayaṃ belaṭṭhaputtaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa sañcayaṃ belaṭṭhaputtaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
๑๕๖. อญฺญตโรปิ โข ราชามโจฺจ ราชานํ มาคธํ อชาตสตฺตุํ เวเทหิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, เทว, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต 7 สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิโต อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺตฯ ตํ เทโว นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
156. Aññataropi kho rājāmacco rājānaṃ māgadhaṃ ajātasattuṃ vedehiputtaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, deva, nigaṇṭho nāṭaputto 8 saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa rattaññū cirapabbajito addhagato vayoanuppatto. Taṃ devo nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhī ahosi.
โกมารภจฺจชีวกกถา
Komārabhaccajīvakakathā
๑๕๗. เตน โข ปน สมเยน ชีวโก โกมารภโจฺจ รโญฺญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส อวิทูเร ตุณฺหีภูโต นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ชีวกํ โกมารภจฺจํ เอตทโวจ – ‘‘ตฺวํ ปน, สมฺม ชีวก, กิํ ตุณฺหี’’ติ? ‘‘อยํ, เทว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อมฺหากํ อมฺพวเน วิหรติ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ อฑฺฒเตฬเสหิ ภิกฺขุสเตหิฯ ตํ โข ปน ภควนฺตํ 9 เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ติฯ ตํ เทโว ภควนฺตํ ปยิรุปาสตุฯ อเปฺปว นาม เทวสฺส ภควนฺตํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’ติฯ
157. Tena kho pana samayena jīvako komārabhacco rañño māgadhassa ajātasattussa vedehiputtassa avidūre tuṇhībhūto nisinno hoti. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto jīvakaṃ komārabhaccaṃ etadavoca – ‘‘tvaṃ pana, samma jīvaka, kiṃ tuṇhī’’ti? ‘‘Ayaṃ, deva, bhagavā arahaṃ sammāsambuddho amhākaṃ ambavane viharati mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ aḍḍhateḷasehi bhikkhusatehi. Taṃ kho pana bhagavantaṃ 10 evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’ti. Taṃ devo bhagavantaṃ payirupāsatu. Appeva nāma devassa bhagavantaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’ti.
๑๕๘. ‘‘เตน หิ, สมฺม ชีวก, หตฺถิยานานิ กปฺปาเปหี’’ติฯ ‘‘เอวํ, เทวา’’ติ โข ชีวโก โกมารภโจฺจ รโญฺญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา ปญฺจมตฺตานิ หตฺถินิกาสตานิ กปฺปาเปตฺวา รโญฺญ จ อาโรหณียํ นาคํ, รโญฺญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส ปฎิเวเทสิ – ‘‘กปฺปิตานิ โข เต, เทว, หตฺถิยานานิ, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี’’ติฯ
158. ‘‘Tena hi, samma jīvaka, hatthiyānāni kappāpehī’’ti. ‘‘Evaṃ, devā’’ti kho jīvako komārabhacco rañño māgadhassa ajātasattussa vedehiputtassa paṭissuṇitvā pañcamattāni hatthinikāsatāni kappāpetvā rañño ca ārohaṇīyaṃ nāgaṃ, rañño māgadhassa ajātasattussa vedehiputtassa paṭivedesi – ‘‘kappitāni kho te, deva, hatthiyānāni, yassadāni kālaṃ maññasī’’ti.
๑๕๙. อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ปญฺจสุ หตฺถินิกาสเตสุ ปเจฺจกา อิตฺถิโย อาโรเปตฺวา อาโรหณียํ นาคํ อภิรุหิตฺวา อุกฺกาสุ ธาริยมานาสุ ราชคหมฺหา นิยฺยาสิ มหจฺจราชานุภาเวน, เยน ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวนํ เตน ปายาสิฯ
159. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto pañcasu hatthinikāsatesu paccekā itthiyo āropetvā ārohaṇīyaṃ nāgaṃ abhiruhitvā ukkāsu dhāriyamānāsu rājagahamhā niyyāsi mahaccarājānubhāvena, yena jīvakassa komārabhaccassa ambavanaṃ tena pāyāsi.
อถ โข รโญฺญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส อวิทูเร อมฺพวนสฺส อหุเทว ภยํ, อหุ ฉมฺภิตตฺตํ, อหุ โลมหํโสฯ อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภีโต สํวิโคฺค โลมหฎฺฐชาโต ชีวกํ โกมารภจฺจํ เอตทโวจ – ‘‘กจฺจิ มํ, สมฺม ชีวก, น วเญฺจสิ? กจฺจิ มํ, สมฺม ชีวก, น ปลเมฺภสิ? กจฺจิ มํ, สมฺม ชีวก, น ปจฺจตฺถิกานํ เทสิ ? กถญฺหิ นาม ตาว มหโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส อฑฺฒเตฬสานํ ภิกฺขุสตานํ เนว ขิปิตสโทฺท ภวิสฺสติ, น อุกฺกาสิตสโทฺท น นิโคฺฆโส’’ติฯ
Atha kho rañño māgadhassa ajātasattussa vedehiputtassa avidūre ambavanassa ahudeva bhayaṃ, ahu chambhitattaṃ, ahu lomahaṃso. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhīto saṃviggo lomahaṭṭhajāto jīvakaṃ komārabhaccaṃ etadavoca – ‘‘kacci maṃ, samma jīvaka, na vañcesi? Kacci maṃ, samma jīvaka, na palambhesi? Kacci maṃ, samma jīvaka, na paccatthikānaṃ desi ? Kathañhi nāma tāva mahato bhikkhusaṅghassa aḍḍhateḷasānaṃ bhikkhusatānaṃ neva khipitasaddo bhavissati, na ukkāsitasaddo na nigghoso’’ti.
‘‘มา ภายิ, มหาราช, มา ภายิ, มหาราชฯ น ตํ เทว, วเญฺจมิ; น ตํ, เทว, ปลมฺภามิ ; น ตํ, เทว, ปจฺจตฺถิกานํ เทมิฯ อภิกฺกม, มหาราช, อภิกฺกม, มหาราช, เอเต มณฺฑลมาเฬ ทีปา 11 ฌายนฺตี’’ติฯ
‘‘Mā bhāyi, mahārāja, mā bhāyi, mahārāja. Na taṃ deva, vañcemi; na taṃ, deva, palambhāmi ; na taṃ, deva, paccatthikānaṃ demi. Abhikkama, mahārāja, abhikkama, mahārāja, ete maṇḍalamāḷe dīpā 12 jhāyantī’’ti.
สามญฺญผลปุจฺฉา
Sāmaññaphalapucchā
๑๖๐. อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ยาวติกา นาคสฺส ภูมิ นาเคน คนฺตฺวา, นาคา ปโจฺจโรหิตฺวา, ปตฺติโกว 13 เยน มณฺฑลมาฬสฺส ทฺวารํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ชีวกํ โกมารภจฺจํ เอตทโวจ – ‘‘กหํ ปน, สมฺม ชีวก, ภควา’’ติ? ‘‘เอโส, มหาราช, ภควา; เอโส, มหาราช, ภควา มชฺฌิมํ ถมฺภํ นิสฺสาย ปุรตฺถาภิมุโข นิสิโนฺน ปุรกฺขโต ภิกฺขุสงฺฆสฺสา’’ติฯ
160. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto yāvatikā nāgassa bhūmi nāgena gantvā, nāgā paccorohitvā, pattikova 14 yena maṇḍalamāḷassa dvāraṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā jīvakaṃ komārabhaccaṃ etadavoca – ‘‘kahaṃ pana, samma jīvaka, bhagavā’’ti? ‘‘Eso, mahārāja, bhagavā; eso, mahārāja, bhagavā majjhimaṃ thambhaṃ nissāya puratthābhimukho nisinno purakkhato bhikkhusaṅghassā’’ti.
๑๖๑. อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตํ ภิกฺขุสงฺฆํ อนุวิโลเกตฺวา รหทมิว วิปฺปสนฺนํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘‘อิมินา เม อุปสเมน อุทยภโทฺท 15 กุมาโร สมนฺนาคโต โหตุ, เยเนตรหิ อุปสเมน ภิกฺขุสโงฺฆ สมนฺนาคโต’’ติฯ ‘‘อคมา โข ตฺวํ, มหาราช, ยถาเปม’’นฺติฯ ‘‘ปิโย เม, ภเนฺต, อุทยภโทฺท กุมาโรฯ อิมินา เม, ภเนฺต, อุปสเมน อุทยภโทฺท กุมาโร สมนฺนาคโต โหตุ เยเนตรหิ อุปสเมน ภิกฺขุสโงฺฆ สมนฺนาคโต’’ติฯ
161. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūtaṃ bhikkhusaṅghaṃ anuviloketvā rahadamiva vippasannaṃ udānaṃ udānesi – ‘‘iminā me upasamena udayabhaddo 16 kumāro samannāgato hotu, yenetarahi upasamena bhikkhusaṅgho samannāgato’’ti. ‘‘Agamā kho tvaṃ, mahārāja, yathāpema’’nti. ‘‘Piyo me, bhante, udayabhaddo kumāro. Iminā me, bhante, upasamena udayabhaddo kumāro samannāgato hotu yenetarahi upasamena bhikkhusaṅgho samannāgato’’ti.
๑๖๒. อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อญฺชลิํ ปณาเมตฺวา , เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ปุเจฺฉยฺยามหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ กิญฺจิเทว เทสํ 17; สเจ เม ภควา โอกาสํ กโรติ ปญฺหสฺส เวยฺยากรณายา’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉ, มหาราช, ยทากงฺขสี’’ติฯ
162. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavantaṃ abhivādetvā, bhikkhusaṅghassa añjaliṃ paṇāmetvā , ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘puccheyyāmahaṃ, bhante, bhagavantaṃ kiñcideva desaṃ 18; sace me bhagavā okāsaṃ karoti pañhassa veyyākaraṇāyā’’ti. ‘‘Puccha, mahārāja, yadākaṅkhasī’’ti.
๑๖๓. ‘‘ยถา นุ โข อิมานิ, ภเนฺต, ปุถุสิปฺปายตนานิ, เสยฺยถิทํ – หตฺถาโรหา อสฺสาโรหา รถิกา ธนุคฺคหา เจลกา จลกา ปิณฺฑทายกา อุคฺคา ราชปุตฺตา ปกฺขนฺทิโน มหานาคา สูรา จมฺมโยธิโน ทาสิกปุตฺตา อาฬาริกา กปฺปกา นฺหาปกา 19 สูทา มาลาการา รชกา เปสการา นฬการา กุมฺภการา คณกา มุทฺทิกา, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ, เต ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สิปฺปผลํ อุปชีวนฺติ; เต เตน อตฺตานํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ 20, มาตาปิตโร สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, ปุตฺตทารํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, มิตฺตามเจฺจ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, สมณพฺราหฺมเณสุ 21 อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฎฺฐเปนฺติ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกํฯ สกฺกา นุ โข, ภเนฺต, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’’นฺติ?
163. ‘‘Yathā nu kho imāni, bhante, puthusippāyatanāni, seyyathidaṃ – hatthārohā assārohā rathikā dhanuggahā celakā calakā piṇḍadāyakā uggā rājaputtā pakkhandino mahānāgā sūrā cammayodhino dāsikaputtā āḷārikā kappakā nhāpakā 22 sūdā mālākārā rajakā pesakārā naḷakārā kumbhakārā gaṇakā muddikā, yāni vā panaññānipi evaṃgatāni puthusippāyatanāni, te diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sippaphalaṃ upajīvanti; te tena attānaṃ sukhenti pīṇenti 23, mātāpitaro sukhenti pīṇenti, puttadāraṃ sukhenti pīṇenti, mittāmacce sukhenti pīṇenti, samaṇabrāhmaṇesu 24 uddhaggikaṃ dakkhiṇaṃ patiṭṭhapenti sovaggikaṃ sukhavipākaṃ saggasaṃvattanikaṃ. Sakkā nu kho, bhante, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’’nti?
๑๖๔. ‘‘อภิชานาสิ โน ตฺวํ, มหาราช, อิมํ ปญฺหํ อเญฺญ สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉิตา’’ติ ? ‘‘อภิชานามหํ, ภเนฺต, อิมํ ปญฺหํ อเญฺญ สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉิตา’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน เต, มหาราช, พฺยากริํสุ, สเจ เต อครุ ภาสสฺสู’’ติฯ ‘‘น โข เม, ภเนฺต, ครุ, ยตฺถสฺส ภควา นิสิโนฺน, ภควนฺตรูโป วา’’ติ 25ฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, ภาสสฺสู’’ติฯ
164. ‘‘Abhijānāsi no tvaṃ, mahārāja, imaṃ pañhaṃ aññe samaṇabrāhmaṇe pucchitā’’ti ? ‘‘Abhijānāmahaṃ, bhante, imaṃ pañhaṃ aññe samaṇabrāhmaṇe pucchitā’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ pana te, mahārāja, byākariṃsu, sace te agaru bhāsassū’’ti. ‘‘Na kho me, bhante, garu, yatthassa bhagavā nisinno, bhagavantarūpo vā’’ti 26. ‘‘Tena hi, mahārāja, bhāsassū’’ti.
ปูรณกสฺสปวาโท
Pūraṇakassapavādo
๑๖๕. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน ปูรโณ กสฺสโป เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปูรเณน กสฺสเปน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ, ภเนฺต, ปูรณํ กสฺสปํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ กสฺสป, ปุถุสิปฺปายตนานิ, เสยฺยถิทํ – หตฺถาโรหา อสฺสาโรหา รถิกา ธนุคฺคหา เจลกา จลกา ปิณฺฑทายกา อุคฺคา ราชปุตฺตา ปกฺขนฺทิโน มหานาคา สูรา จมฺมโยธิโน ทาสิกปุตฺตา อาฬาริกา กปฺปกา นฺหาปกา สูทา มาลาการา รชกา เปสการา นฬการา กุมฺภการา คณกา มุทฺทิกา, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ- เต ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สิปฺปผลํ อุปชีวนฺติ; เต เตน อตฺตานํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, มาตาปิตโร สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, ปุตฺตทารํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, มิตฺตามเจฺจ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, สมณพฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฎฺฐเปนฺติ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกํฯ สกฺกา นุ โข, โภ กสฺสป, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
165. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena pūraṇo kassapo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā pūraṇena kassapena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ, bhante, pūraṇaṃ kassapaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho kassapa, puthusippāyatanāni, seyyathidaṃ – hatthārohā assārohā rathikā dhanuggahā celakā calakā piṇḍadāyakā uggā rājaputtā pakkhandino mahānāgā sūrā cammayodhino dāsikaputtā āḷārikā kappakā nhāpakā sūdā mālākārā rajakā pesakārā naḷakārā kumbhakārā gaṇakā muddikā, yāni vā panaññānipi evaṃgatāni puthusippāyatanāni- te diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sippaphalaṃ upajīvanti; te tena attānaṃ sukhenti pīṇenti, mātāpitaro sukhenti pīṇenti, puttadāraṃ sukhenti pīṇenti, mittāmacce sukhenti pīṇenti, samaṇabrāhmaṇesu uddhaggikaṃ dakkhiṇaṃ patiṭṭhapenti sovaggikaṃ sukhavipākaṃ saggasaṃvattanikaṃ. Sakkā nu kho, bho kassapa, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๖๖. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, ปูรโณ กสฺสโป มํ เอตทโวจ – ‘กโรโต โข, มหาราช, การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต โสจยโต, โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตาปยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณํ เจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, ปูรโณ กสฺสโป สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อกิริยํ พฺยากาสิฯ
166. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, pūraṇo kassapo maṃ etadavoca – ‘karoto kho, mahārāja, kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato socayato, socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātāpayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇaṃ cepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti. Itthaṃ kho me, bhante, pūraṇo kassapo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno akiriyaṃ byākāsi.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย , ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, ปูรโณ กสฺสโป สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อกิริยํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, ปูรณสฺส กสฺสปสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกสิตฺวา อนตฺตมโน, อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา, ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต 27 อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํ 28ฯ
‘‘Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya , labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, pūraṇo kassapo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno akiriyaṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti. So kho ahaṃ, bhante, pūraṇassa kassapassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ. Anabhinanditvā appaṭikositvā anattamano, anattamanavācaṃ anicchāretvā, tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto 29 uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ 30.
มกฺขลิโคสาลวาโท
Makkhaligosālavādo
๑๖๗. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน มกฺขลิ โคสาโล เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา มกฺขลินา โคสาเลน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ, ภเนฺต, มกฺขลิํ โคสาลํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ โคสาล, ปุถุสิปฺปายตนานิ…เป.… สกฺกา นุ โข, โภ โคสาล, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
167. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena makkhali gosālo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā makkhalinā gosālena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ, bhante, makkhaliṃ gosālaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho gosāla, puthusippāyatanāni…pe… sakkā nu kho, bho gosāla, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๖๘. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, มกฺขลิ โคสาโล มํ เอตทโวจ – ‘นตฺถิ มหาราช เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย, อเหตู 31 อปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา, อเหตู อปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ อตฺตกาเร, นตฺถิ ปรกาเร, นตฺถิ ปุริสกาเร, นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม ฯ สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ 32 ปฎิสํเวเทนฺติฯ จุทฺทส โข ปนิมานิ โยนิปมุขสตสหสฺสานิ สฎฺฐิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานิ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ กเมฺม จ อฑฺฒกเมฺม จ ทฺวฎฺฐิปฎิปทา ทฺวฎฺฐนฺตรกปฺปา ฉฬาภิชาติโย อฎฺฐ ปุริสภูมิโย เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเต เอกูนปญฺญาส ปริพฺพาชกสเต เอกูนปญฺญาส นาคาวาสสเต วีเส อินฺทฺริยสเต ติํเส นิรยสเต ฉตฺติํส รโชธาตุโย สตฺต สญฺญีคพฺภา สตฺต อสญฺญีคพฺภา สตฺต นิคณฺฐิคพฺภา สตฺต เทวา สตฺต มานุสา สตฺต ปิสาจา สตฺต สรา สตฺต ปวุฎา 33 สตฺต ปวุฎสตานิ สตฺต ปปาตา สตฺต ปปาตสตานิ สตฺต สุปินา สตฺต สุปินสตานิ จุลฺลาสีติ มหากปฺปิโน 34 สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิ ‘‘อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกฺกํ วา กมฺมํ ปริปาเจสฺสามิ, ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺติํ กริสฺสามี’ติ เหวํ นตฺถิฯ โทณมิเต สุขทุเกฺข ปริยนฺตกเต สํสาเร , นตฺถิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกฺกํสาวกํเสฯ เสยฺยถาปิ นาม สุตฺตคุเฬ ขิเตฺต นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลติ, เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’ติฯ
168. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, makkhali gosālo maṃ etadavoca – ‘natthi mahārāja hetu natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya, ahetū 35 apaccayā sattā saṃkilissanti. Natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā, ahetū apaccayā sattā visujjhanti. Natthi attakāre, natthi parakāre, natthi purisakāre, natthi balaṃ, natthi vīriyaṃ, natthi purisathāmo, natthi purisaparakkamo . Sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ 36 paṭisaṃvedenti. Cuddasa kho panimāni yonipamukhasatasahassāni saṭṭhi ca satāni cha ca satāni pañca ca kammuno satāni pañca ca kammāni tīṇi ca kammāni kamme ca aḍḍhakamme ca dvaṭṭhipaṭipadā dvaṭṭhantarakappā chaḷābhijātiyo aṭṭha purisabhūmiyo ekūnapaññāsa ājīvakasate ekūnapaññāsa paribbājakasate ekūnapaññāsa nāgāvāsasate vīse indriyasate tiṃse nirayasate chattiṃsa rajodhātuyo satta saññīgabbhā satta asaññīgabbhā satta nigaṇṭhigabbhā satta devā satta mānusā satta pisācā satta sarā satta pavuṭā 37 satta pavuṭasatāni satta papātā satta papātasatāni satta supinā satta supinasatāni cullāsīti mahākappino 38 satasahassāni, yāni bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissanti. Tattha natthi ‘‘imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā aparipakkaṃ vā kammaṃ paripācessāmi, paripakkaṃ vā kammaṃ phussa phussa byantiṃ karissāmī’ti hevaṃ natthi. Doṇamite sukhadukkhe pariyantakate saṃsāre , natthi hāyanavaḍḍhane, natthi ukkaṃsāvakaṃse. Seyyathāpi nāma suttaguḷe khitte nibbeṭhiyamānameva paleti, evameva bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’ti.
๑๖๙. ‘‘อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, มกฺขลิ โคสาโล สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน สํสารสุทฺธิํ พฺยากาสิฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย, ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, มกฺขลิ โคสาโล สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน สํสารสุทฺธิํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, มกฺขลิสฺส โคสาลสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อนตฺตมโน, อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา, ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํฯ
169. ‘‘Itthaṃ kho me, bhante, makkhali gosālo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno saṃsārasuddhiṃ byākāsi. Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya, labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, makkhali gosālo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno saṃsārasuddhiṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti. So kho ahaṃ, bhante, makkhalissa gosālassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ. Anabhinanditvā appaṭikkositvā anattamano, anattamanavācaṃ anicchāretvā, tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ.
อชิตเกสกมฺพลวาโท
Ajitakesakambalavādo
๑๗๐. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน อชิโต เกสกมฺพโล เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อชิเตน เกสกมฺพเลน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ, ภเนฺต, อชิตํ เกสกมฺพลํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ อชิต, ปุถุสิปฺปายตนานิ…เป.… สกฺกา นุ โข, โภ อชิต, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
170. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena ajito kesakambalo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā ajitena kesakambalena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ, bhante, ajitaṃ kesakambalaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho ajita, puthusippāyatanāni…pe… sakkā nu kho, bho ajita, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๗๑. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, อชิโต เกสกมฺพโล มํ เอตทโวจ – ‘นตฺถิ, มหาราช, ทินฺนํ , นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก 39, นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา 40 สมฺมาปฎิปนฺนา, เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติฯ จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส, ยทา กาลงฺกโรติ, ปถวี ปถวิกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติฯ ยาวาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติฯ กาโปตกานิ อฎฺฐีนิ ภวนฺติ, ภสฺสนฺตา อาหุติโยฯ ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํฯ เตสํ ตุจฺฉํ มุสา วิลาโป เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติฯ พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ, น โหนฺติ ปรํ มรณา’ติฯ
171. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, ajito kesakambalo maṃ etadavoca – ‘natthi, mahārāja, dinnaṃ , natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko 41, natthi paro loko, natthi mātā, natthi pitā, natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā 42 sammāpaṭipannā, ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedenti. Cātumahābhūtiko ayaṃ puriso, yadā kālaṅkaroti, pathavī pathavikāyaṃ anupeti anupagacchati, āpo āpokāyaṃ anupeti anupagacchati, tejo tejokāyaṃ anupeti anupagacchati, vāyo vāyokāyaṃ anupeti anupagacchati, ākāsaṃ indriyāni saṅkamanti. Āsandipañcamā purisā mataṃ ādāya gacchanti. Yāvāḷāhanā padāni paññāyanti. Kāpotakāni aṭṭhīni bhavanti, bhassantā āhutiyo. Dattupaññattaṃ yadidaṃ dānaṃ. Tesaṃ tucchaṃ musā vilāpo ye keci atthikavādaṃ vadanti. Bāle ca paṇḍite ca kāyassa bhedā ucchijjanti vinassanti, na honti paraṃ maraṇā’ti.
๑๗๒. ‘‘อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, อชิโต เกสกมฺพโล สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อุเจฺฉทํ พฺยากาสิฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย , ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, อชิโต เกสกมฺพโล สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อุเจฺฉทํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, อชิตสฺส เกสกมฺพลสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อนตฺตมโน อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํฯ
172. ‘‘Itthaṃ kho me, bhante, ajito kesakambalo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno ucchedaṃ byākāsi. Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya , labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, ajito kesakambalo sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno ucchedaṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti. So kho ahaṃ, bhante, ajitassa kesakambalassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ. Anabhinanditvā appaṭikkositvā anattamano anattamanavācaṃ anicchāretvā tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ.
ปกุธกจฺจายนวาโท
Pakudhakaccāyanavādo
๑๗๓. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน ปกุโธ กจฺจายโน เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา ปกุเธน กจฺจายเนน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ, ภเนฺต, ปกุธํ กจฺจายนํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ กจฺจายน, ปุถุสิปฺปายตนานิ…เป.… สกฺกา นุ โข, โภ กจฺจายน, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
173. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena pakudho kaccāyano tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā pakudhena kaccāyanena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ, bhante, pakudhaṃ kaccāyanaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho kaccāyana, puthusippāyatanāni…pe… sakkā nu kho, bho kaccāyana, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๗๔. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, ปกุโธ กจฺจายโน มํ เอตทโวจ – ‘สตฺติเม, มหาราช, กายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ , น วิปริณมนฺติ, น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ กตเม สตฺต? ปถวิกาโย, อาโปกาโย, เตโชกาโย, วาโยกาโย, สุเข, ทุเกฺข, ชีเว สตฺตเม – อิเม สตฺต กายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ, น วิปริณมนฺติ, น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ ตตฺถ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา, โสตา วา สาเวตา วา, วิญฺญาตา วา วิญฺญาเปตา วาฯ โยปิ ติเณฺหน สเตฺถน สีสํ ฉินฺทติ, น โกจิ กิญฺจิ 43 ชีวิตา โวโรเปติ; สตฺตนฺนํ เตฺวว 44 กายานมนฺตเรน สตฺถํ วิวรมนุปตตี’ติฯ
174. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, pakudho kaccāyano maṃ etadavoca – ‘sattime, mahārāja, kāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā. Te na iñjanti , na vipariṇamanti, na aññamaññaṃ byābādhenti, nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Katame satta? Pathavikāyo, āpokāyo, tejokāyo, vāyokāyo, sukhe, dukkhe, jīve sattame – ime satta kāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā. Te na iñjanti, na vipariṇamanti, na aññamaññaṃ byābādhenti, nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Tattha natthi hantā vā ghātetā vā, sotā vā sāvetā vā, viññātā vā viññāpetā vā. Yopi tiṇhena satthena sīsaṃ chindati, na koci kiñci 45 jīvitā voropeti; sattannaṃ tveva 46 kāyānamantarena satthaṃ vivaramanupatatī’ti.
๑๗๕. ‘‘อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, ปกุโธ กจฺจายโน สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อเญฺญน อญฺญํ พฺยากาสิฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย, ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, ปกุโธ กจฺจายโน สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อเญฺญน อญฺญํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, ปกุธสฺส กจฺจายนสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํ, อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อนตฺตมโน, อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํฯ
175. ‘‘Itthaṃ kho me, bhante, pakudho kaccāyano sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno aññena aññaṃ byākāsi. Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya, labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, pakudho kaccāyano sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno aññena aññaṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti. So kho ahaṃ, bhante, pakudhassa kaccāyanassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ, anabhinanditvā appaṭikkositvā anattamano, anattamanavācaṃ anicchāretvā tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ.
นิคณฺฐนาฎปุตฺตวาโท
Nigaṇṭhanāṭaputtavādo
๑๗๖. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคเณฺฐน นาฎปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ, ภเนฺต, นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ อคฺคิเวสฺสน, ปุถุสิปฺปายตนานิ…เป.… สกฺกา นุ โข, โภ อคฺคิเวสฺสน, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
176. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena nigaṇṭho nāṭaputto tenupasaṅkamiṃ ; upasaṅkamitvā nigaṇṭhena nāṭaputtena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ, bhante, nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho aggivessana, puthusippāyatanāni…pe… sakkā nu kho, bho aggivessana, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๗๗. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต มํ เอตทโวจ – ‘อิธ, มหาราช, นิคโณฺฐ จาตุยามสํวรสํวุโต โหติฯ กถญฺจ, มหาราช, นิคโณฺฐ จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ? อิธ, มหาราช, นิคโณฺฐ สพฺพวาริวาริโต จ โหติ, สพฺพวาริยุโตฺต จ, สพฺพวาริธุโต จ, สพฺพวาริผุโฎ จฯ เอวํ โข, มหาราช, นิคโณฺฐ จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ ฯ ยโต โข, มหาราช, นิคโณฺฐ เอวํ จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ; อยํ วุจฺจติ, มหาราช, นิคโณฺฐ 47 คตโตฺต จ ยตโตฺต จ ฐิตโตฺต จา’ติฯ
177. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto maṃ etadavoca – ‘idha, mahārāja, nigaṇṭho cātuyāmasaṃvarasaṃvuto hoti. Kathañca, mahārāja, nigaṇṭho cātuyāmasaṃvarasaṃvuto hoti? Idha, mahārāja, nigaṇṭho sabbavārivārito ca hoti, sabbavāriyutto ca, sabbavāridhuto ca, sabbavāriphuṭo ca. Evaṃ kho, mahārāja, nigaṇṭho cātuyāmasaṃvarasaṃvuto hoti . Yato kho, mahārāja, nigaṇṭho evaṃ cātuyāmasaṃvarasaṃvuto hoti; ayaṃ vuccati, mahārāja, nigaṇṭho 48 gatatto ca yatatto ca ṭhitatto cā’ti.
๑๗๘. ‘‘อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน จาตุยามสํวรํ พฺยากาสิฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย, ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน จาตุยามสํวรํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติ ฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อนตฺตมโน อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํฯ
178. ‘‘Itthaṃ kho me, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno cātuyāmasaṃvaraṃ byākāsi. Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya, labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno cātuyāmasaṃvaraṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti . So kho ahaṃ, bhante, nigaṇṭhassa nāṭaputtassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ. Anabhinanditvā appaṭikkositvā anattamano anattamanavācaṃ anicchāretvā tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ.
สญฺจยเพลฎฺฐปุตฺตวาโท
Sañcayabelaṭṭhaputtavādo
๑๗๙. ‘‘เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เยน สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา สญฺจเยน เพลฎฺฐปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อหํ ภเนฺต, สญฺจยํ เพลฎฺฐปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, โภ สญฺจย, ปุถุสิปฺปายตนานิ…เป.… สกฺกา นุ โข, โภ สญฺจย, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
179. ‘‘Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ yena sañcayo belaṭṭhaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā sañcayena belaṭṭhaputtena saddhiṃ sammodiṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinno kho ahaṃ bhante, sañcayaṃ belaṭṭhaputtaṃ etadavocaṃ – ‘yathā nu kho imāni, bho sañcaya, puthusippāyatanāni…pe… sakkā nu kho, bho sañcaya, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๘๐. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต มํ เอตทโวจ – ‘อตฺถิ ปโร โลโกติ อิติ เจ มํ ปุจฺฉสิ, อตฺถิ ปโร โลโกติ อิติ เจ เม อสฺส, อตฺถิ ปโร โลโกติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺยํฯ เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โนฯ นตฺถิ ปโร โลโก…เป.… อตฺถิ จ นตฺถิ จ ปโร โลโก…เป.… เนวตฺถิ น นตฺถิ ปโร โลโก…เป.… อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา…เป.… นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา…เป.… อตฺถิ จ นตฺถิ จ สตฺตา โอปปาติกา…เป.… เนวตฺถิ น นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา…เป.… อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก…เป.… นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก…เป.…อตฺถิ จ นตฺถิ จ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก…เป.… เนวตฺถิ น นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก…เป.… โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา…เป.… น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา…เป.… โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา…เป.… เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เจ มํ ปุจฺฉสิ, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เจ เม อสฺส, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺยํฯ เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน’ติฯ
180. ‘‘Evaṃ vutte, bhante, sañcayo belaṭṭhaputto maṃ etadavoca – ‘atthi paro lokoti iti ce maṃ pucchasi, atthi paro lokoti iti ce me assa, atthi paro lokoti iti te naṃ byākareyyaṃ. Evantipi me no, tathātipi me no, aññathātipi me no, notipi me no, no notipi me no. Natthi paro loko…pe… atthi ca natthi ca paro loko…pe… nevatthi na natthi paro loko…pe… atthi sattā opapātikā…pe… natthi sattā opapātikā…pe… atthi ca natthi ca sattā opapātikā…pe… nevatthi na natthi sattā opapātikā…pe… atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko…pe… natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko…pe…atthi ca natthi ca sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko…pe… nevatthi na natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko…pe… hoti tathāgato paraṃ maraṇā…pe… na hoti tathāgato paraṃ maraṇā…pe… hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā…pe… neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇāti iti ce maṃ pucchasi, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇāti iti ce me assa, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇāti iti te naṃ byākareyyaṃ. Evantipi me no, tathātipi me no, aññathātipi me no, notipi me no, no notipi me no’ti.
๑๘๑. ‘‘อิตฺถํ โข เม, ภเนฺต, สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน วิเกฺขปํ พฺยากาสิฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, อมฺพํ วา ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย, ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย; เอวเมว โข เม, ภเนฺต, สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน วิเกฺขปํ พฺยากาสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘อยญฺจ อิเมสํ สมณพฺราหฺมณานํ สพฺพพาโล สพฺพมูโฬฺหฯ กถญฺหิ นาม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ สมาโน วิเกฺขปํ พฺยากริสฺสตี’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอตทโหสิ – ‘กถญฺหิ นาม มาทิโส สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา วิชิเต วสนฺตํ อปสาเทตพฺพํ มเญฺญยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภเนฺต, สญฺจยสฺส เพลฎฺฐปุตฺตสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิํ นปฺปฎิโกฺกสิํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา อนตฺตมโน อนตฺตมนวาจํ อนิจฺฉาเรตฺวา ตเมว วาจํ อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกฺกุชฺชโนฺต อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํฯ
181. ‘‘Itthaṃ kho me, bhante, sañcayo belaṭṭhaputto sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno vikkhepaṃ byākāsi. Seyyathāpi, bhante, ambaṃ vā puṭṭho labujaṃ byākareyya, labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ byākareyya; evameva kho me, bhante, sañcayo belaṭṭhaputto sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno vikkhepaṃ byākāsi. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘ayañca imesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ sabbabālo sabbamūḷho. Kathañhi nāma sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho samāno vikkhepaṃ byākarissatī’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, etadahosi – ‘kathañhi nāma mādiso samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā vijite vasantaṃ apasādetabbaṃ maññeyyā’ti. So kho ahaṃ, bhante, sañcayassa belaṭṭhaputtassa bhāsitaṃ neva abhinandiṃ nappaṭikkosiṃ. Anabhinanditvā appaṭikkositvā anattamano anattamanavācaṃ anicchāretvā tameva vācaṃ anuggaṇhanto anikkujjanto uṭṭhāyāsanā pakkamiṃ.
ปฐมสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลํ
Paṭhamasandiṭṭhikasāmaññaphalaṃ
๑๘๒. ‘‘โสหํ, ภเนฺต, ภควนฺตมฺปิ ปุจฺฉามิ – ‘ยถา นุ โข อิมานิ, ภเนฺต, ปุถุสิปฺปายตนานิ เสยฺยถิทํ – หตฺถาโรหา อสฺสาโรหา รถิกา ธนุคฺคหา เจลกา จลกา ปิณฺฑทายกา อุคฺคา ราชปุตฺตา ปกฺขนฺทิโน มหานาคา สูรา จมฺมโยธิโน ทาสิกปุตฺตา อาฬาริกา กปฺปกา นฺหาปกา สูทา มาลาการา รชกา เปสการา นฬการา กุมฺภการา คณกา มุทฺทิกา, ยานิ วา ปนญฺญานิปิ เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ, เต ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สิปฺปผลํ อุปชีวนฺติ, เต เตน อตฺตานํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, มาตาปิตโร สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, ปุตฺตทารํ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, มิตฺตามเจฺจ สุเขนฺติ ปีเณนฺติ, สมณพฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฎฺฐเปนฺติ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกํฯ สกฺกา นุ โข เม , ภเนฺต, เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’นฺติ?
182. ‘‘Sohaṃ, bhante, bhagavantampi pucchāmi – ‘yathā nu kho imāni, bhante, puthusippāyatanāni seyyathidaṃ – hatthārohā assārohā rathikā dhanuggahā celakā calakā piṇḍadāyakā uggā rājaputtā pakkhandino mahānāgā sūrā cammayodhino dāsikaputtā āḷārikā kappakā nhāpakā sūdā mālākārā rajakā pesakārā naḷakārā kumbhakārā gaṇakā muddikā, yāni vā panaññānipi evaṃgatāni puthusippāyatanāni, te diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sippaphalaṃ upajīvanti, te tena attānaṃ sukhenti pīṇenti, mātāpitaro sukhenti pīṇenti, puttadāraṃ sukhenti pīṇenti, mittāmacce sukhenti pīṇenti, samaṇabrāhmaṇesu uddhaggikaṃ dakkhiṇaṃ patiṭṭhapenti sovaggikaṃ sukhavipākaṃ saggasaṃvattanikaṃ. Sakkā nu kho me , bhante, evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’nti?
๑๘๓. ‘‘สกฺกา, มหาราชฯ เตน หิ, มหาราช, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช, อิธ เต อสฺส ปุริโส ทาโส กมฺมกาโร 49 ปุพฺพุฎฺฐายี ปจฺฉานิปาตี กิงฺการปฎิสฺสาวี มนาปจารี ปิยวาที มุขุโลฺลกโก 50ฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อจฺฉริยํ, วต โภ, อพฺภุตํ, วต โภ, ปุญฺญานํ คติ, ปุญฺญานํ วิปาโกฯ อยญฺหิ ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต มนุโสฺส ; อหมฺปิ มนุโสฺสฯ อยญฺหิ ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ, เทโว มเญฺญฯ อหํ ปนมฺหิสฺส ทาโส กมฺมกาโร ปุพฺพุฎฺฐายี ปจฺฉานิปาตี กิงฺการปฎิสฺสาวี มนาปจารี ปิยวาที มุขุโลฺลกโกฯ โส วตสฺสาหํ ปุญฺญานิ กเรยฺยํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ โส อปเรน สมเยน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กาเยน สํวุโต วิหเรยฺย, วาจาย สํวุโต วิหเรยฺย, มนสา สํวุโต วิหเรยฺย, ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุโฎฺฐ, อภิรโต ปวิเวเกฯ ตํ เจ เต ปุริสา เอวมาโรเจยฺยุํ – ‘ยเคฺฆ เทว ชาเนยฺยาสิ, โย เต โส ปุริโส 51 ทาโส กมฺมกาโร ปุพฺพุฎฺฐายี ปจฺฉานิปาตี กิงฺการปฎิสฺสาวี มนาปจารี ปิยวาที มุขุโลฺลกโก; โส, เทว, เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กาเยน สํวุโต วิหรติ, วาจาย สํวุโต วิหรติ, มนสา สํวุโต วิหรติ, ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุโฎฺฐ, อภิรโต ปวิเวเก’ติฯ อปิ นุ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – ‘เอตุ เม, โภ, โส ปุริโส, ปุนเทว โหตุ ทาโส กมฺมกาโร ปุพฺพุฎฺฐายี ปจฺฉานิปาตี กิงฺการปฎิสฺสาวี มนาปจารี ปิยวาที มุขุโลฺลกโก’ติ?
183. ‘‘Sakkā, mahārāja. Tena hi, mahārāja, taññevettha paṭipucchissāmi. Yathā te khameyya, tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja, idha te assa puriso dāso kammakāro 52 pubbuṭṭhāyī pacchānipātī kiṅkārapaṭissāvī manāpacārī piyavādī mukhullokako 53. Tassa evamassa – ‘acchariyaṃ, vata bho, abbhutaṃ, vata bho, puññānaṃ gati, puññānaṃ vipāko. Ayañhi rājā māgadho ajātasattu vedehiputto manusso ; ahampi manusso. Ayañhi rājā māgadho ajātasattu vedehiputto pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgībhūto paricāreti, devo maññe. Ahaṃ panamhissa dāso kammakāro pubbuṭṭhāyī pacchānipātī kiṅkārapaṭissāvī manāpacārī piyavādī mukhullokako. So vatassāhaṃ puññāni kareyyaṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti. So aparena samayena kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya. So evaṃ pabbajito samāno kāyena saṃvuto vihareyya, vācāya saṃvuto vihareyya, manasā saṃvuto vihareyya, ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭho, abhirato paviveke. Taṃ ce te purisā evamāroceyyuṃ – ‘yagghe deva jāneyyāsi, yo te so puriso 54 dāso kammakāro pubbuṭṭhāyī pacchānipātī kiṅkārapaṭissāvī manāpacārī piyavādī mukhullokako; so, deva, kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. So evaṃ pabbajito samāno kāyena saṃvuto viharati, vācāya saṃvuto viharati, manasā saṃvuto viharati, ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭho, abhirato paviveke’ti. Api nu tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – ‘etu me, bho, so puriso, punadeva hotu dāso kammakāro pubbuṭṭhāyī pacchānipātī kiṅkārapaṭissāvī manāpacārī piyavādī mukhullokako’ti?
๑๘๔. ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ อถ โข นํ มยเมว อภิวาเทยฺยามปิ , ปจฺจุเฎฺฐยฺยามปิ, อาสเนนปิ นิมเนฺตยฺยาม, อภินิมเนฺตยฺยามปิ นํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิ, ธมฺมิกมฺปิสฺส รกฺขาวรณคุตฺติํ สํวิทเหยฺยามา’’ติฯ
184. ‘‘No hetaṃ, bhante. Atha kho naṃ mayameva abhivādeyyāmapi , paccuṭṭheyyāmapi, āsanenapi nimanteyyāma, abhinimanteyyāmapi naṃ cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārehi, dhammikampissa rakkhāvaraṇaguttiṃ saṃvidaheyyāmā’’ti.
๑๘๕. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช, ยทิ เอวํ สเนฺต โหติ วา สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ โน วา’’ติ? ‘‘อทฺธา โข, ภเนฺต, เอวํ สเนฺต โหติ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผล’’นฺติฯ ‘‘อิทํ โข เต, มหาราช, มยา ปฐมํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ
185. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja, yadi evaṃ sante hoti vā sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ no vā’’ti? ‘‘Addhā kho, bhante, evaṃ sante hoti sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphala’’nti. ‘‘Idaṃ kho te, mahārāja, mayā paṭhamaṃ diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññatta’’nti.
ทุติยสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลํ
Dutiyasandiṭṭhikasāmaññaphalaṃ
๑๘๖. ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, อญฺญมฺปิ เอวเมว ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุ’’นฺติ? ‘‘สกฺกา, มหาราชฯ เตน หิ, มหาราช, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช, อิธ เต อสฺส ปุริโส กสฺสโก คหปติโก กรการโก ราสิวฑฺฒโกฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, ปุญฺญานํ คติ, ปุญฺญานํ วิปาโกฯ อยญฺหิ ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต มนุโสฺส, อหมฺปิ มนุโสฺสฯ อยญฺหิ ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ, เทโว มเญฺญฯ อหํ ปนมฺหิสฺส กสฺสโก คหปติโก กรการโก ราสิวฑฺฒโกฯ โส วตสฺสาหํ ปุญฺญานิ กเรยฺยํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ
186. ‘‘Sakkā pana, bhante, aññampi evameva diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetu’’nti? ‘‘Sakkā, mahārāja. Tena hi, mahārāja, taññevettha paṭipucchissāmi. Yathā te khameyya, tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja, idha te assa puriso kassako gahapatiko karakārako rāsivaḍḍhako. Tassa evamassa – ‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho, puññānaṃ gati, puññānaṃ vipāko. Ayañhi rājā māgadho ajātasattu vedehiputto manusso, ahampi manusso. Ayañhi rājā māgadho ajātasattu vedehiputto pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgībhūto paricāreti, devo maññe. Ahaṃ panamhissa kassako gahapatiko karakārako rāsivaḍḍhako. So vatassāhaṃ puññāni kareyyaṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti.
‘‘โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กาเยน สํวุโต วิหเรยฺย, วาจาย สํวุโต วิหเรยฺย, มนสา สํวุโต วิหเรยฺย, ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุโฎฺฐ, อภิรโต ปวิเวเกฯ ตํ เจ เต ปุริสา เอวมาโรเจยฺยุํ – ‘ยเคฺฆ, เทว ชาเนยฺยาสิ, โย เต โส ปุริโส 55 กสฺสโก คหปติโก กรการโก ราสิวฑฺฒโก; โส เทว เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กาเยน สํวุโต วิหรติ, วาจาย สํวุโต วิหรติ, มนสา สํวุโต วิหรติ, ฆาสจฺฉาทนปรมตาย สนฺตุโฎฺฐ, อภิรโต ปวิเวเก’’ติฯ อปิ นุ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – ‘เอตุ เม, โภ, โส ปุริโส, ปุนเทว โหตุ กสฺสโก คหปติโก กรการโก ราสิวฑฺฒโก’ติ?
‘‘So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya, appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya. So evaṃ pabbajito samāno kāyena saṃvuto vihareyya, vācāya saṃvuto vihareyya, manasā saṃvuto vihareyya, ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭho, abhirato paviveke. Taṃ ce te purisā evamāroceyyuṃ – ‘yagghe, deva jāneyyāsi, yo te so puriso 56 kassako gahapatiko karakārako rāsivaḍḍhako; so deva kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. So evaṃ pabbajito samāno kāyena saṃvuto viharati, vācāya saṃvuto viharati, manasā saṃvuto viharati, ghāsacchādanaparamatāya santuṭṭho, abhirato paviveke’’ti. Api nu tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – ‘etu me, bho, so puriso, punadeva hotu kassako gahapatiko karakārako rāsivaḍḍhako’ti?
๑๘๗. ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ อถ โข นํ มยเมว อภิวาเทยฺยามปิ, ปจฺจุเฎฺฐยฺยามปิ, อาสเนนปิ นิมเนฺตยฺยาม, อภินิมเนฺตยฺยามปิ นํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิ, ธมฺมิกมฺปิสฺส รกฺขาวรณคุตฺติํ สํวิทเหยฺยามา’’ติฯ
187. ‘‘No hetaṃ, bhante. Atha kho naṃ mayameva abhivādeyyāmapi, paccuṭṭheyyāmapi, āsanenapi nimanteyyāma, abhinimanteyyāmapi naṃ cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārehi, dhammikampissa rakkhāvaraṇaguttiṃ saṃvidaheyyāmā’’ti.
๑๘๘. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช? ยทิ เอวํ สเนฺต โหติ วา สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ โน วา’’ติ? ‘‘อทฺธา โข, ภเนฺต, เอวํ สเนฺต โหติ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผล’’นฺติ ฯ ‘‘อิทํ โข เต, มหาราช, มยา ทุติยํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ
188. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja? Yadi evaṃ sante hoti vā sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ no vā’’ti? ‘‘Addhā kho, bhante, evaṃ sante hoti sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphala’’nti . ‘‘Idaṃ kho te, mahārāja, mayā dutiyaṃ diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññatta’’nti.
ปณีตตรสามญฺญผลํ
Paṇītatarasāmaññaphalaṃ
๑๘๙. ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, อญฺญมฺปิ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญเปตุํ อิเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจา’’ติ? ‘‘สกฺกา, มหาราชฯ เตน หิ, มหาราช, สุโณหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ
189. ‘‘Sakkā pana, bhante, aññampi diṭṭheva dhamme sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññapetuṃ imehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañcā’’ti? ‘‘Sakkā, mahārāja. Tena hi, mahārāja, suṇohi, sādhukaṃ manasi karohi, bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavato paccassosi.
๑๙๐. ภควา เอตทโวจ – ‘‘อิธ, มหาราช, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ
190. Bhagavā etadavoca – ‘‘idha, mahārāja, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ, kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti.
๑๙๑. ‘‘ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อญฺญตรสฺมิํ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฎิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รโชปโถ, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชาฯ นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ
191. ‘‘Taṃ dhammaṃ suṇāti gahapati vā gahapatiputto vā aññatarasmiṃ vā kule paccājāto. So taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhati. So tena saddhāpaṭilābhena samannāgato iti paṭisañcikkhati – ‘sambādho gharāvāso rajopatho, abbhokāso pabbajjā. Nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ saṅkhalikhitaṃ brahmacariyaṃ carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti.
๑๙๒. ‘‘โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ
192. ‘‘So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati.
๑๙๓. ‘‘โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปโนฺน, อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ, กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต กุสเลน, ปริสุทฺธาชีโว สีลสมฺปโนฺน, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร 57, สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต, สนฺตุโฎฺฐฯ
193. ‘‘So evaṃ pabbajito samāno pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati ācāragocarasampanno, aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī, samādāya sikkhati sikkhāpadesu, kāyakammavacīkammena samannāgato kusalena, parisuddhājīvo sīlasampanno, indriyesu guttadvāro 58, satisampajaññena samannāgato, santuṭṭho.
จูฬสีลํ
Cūḷasīlaṃ
๑๙๔. ‘‘กถญฺจ, มหาราช, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติ? อิธ, มหาราช, ภิกฺขุ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติฯ นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
194. ‘‘Kathañca, mahārāja, bhikkhu sīlasampanno hoti? Idha, mahārāja, bhikkhu pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti. Nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno sabbapāṇabhūtahitānukampī viharati. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ ทินฺนาทายี ทินฺนปาฎิกงฺขี, อเถเนน สุจิภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti dinnādāyī dinnapāṭikaṅkhī, athenena sucibhūtena attanā viharati. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหติ อาราจารี วิรโต เมถุนา คามธมฺมาฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Abrahmacariyaṃ pahāya brahmacārī hoti ārācārī virato methunā gāmadhammā. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ สจฺจวาที สจฺจสโนฺธ เถโต ปจฺจยิโก อวิสํวาทโก โลกสฺสฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti saccavādī saccasandho theto paccayiko avisaṃvādako lokassa. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ; อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย; อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา, อมูสํ เภทายฯ อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา, สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา, สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที สมคฺคกรณิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Pisuṇaṃ vācaṃ pahāya pisuṇāya vācāya paṭivirato hoti; ito sutvā na amutra akkhātā imesaṃ bhedāya; amutra vā sutvā na imesaṃ akkhātā, amūsaṃ bhedāya. Iti bhinnānaṃ vā sandhātā, sahitānaṃ vā anuppadātā, samaggārāmo samaggarato samagganandī samaggakaraṇiṃ vācaṃ bhāsitā hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ; ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato hoti; yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā pemanīyā hadayaṅgamā porī bahujanakantā bahujanamanāpā tathārūpiṃ vācaṃ bhāsitā hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต โหติ กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที, นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา โหติ กาเลน สาปเทสํ ปริยนฺตวติํ อตฺถสํหิตํฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Samphappalāpaṃ pahāya samphappalāpā paṭivirato hoti kālavādī bhūtavādī atthavādī dhammavādī vinayavādī, nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā hoti kālena sāpadesaṃ pariyantavatiṃ atthasaṃhitaṃ. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหติ…เป.… เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต วิรโต วิกาลโภชนาฯ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต โหติฯ มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติฯ อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต โหติฯ ชาตรูปรชตปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อามกธญฺญปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อามกมํสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อิตฺถิกุมาริกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ ทาสิทาสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อเชฬกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ กุกฺกุฎสูกรปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ หตฺถิควสฺสวฬวปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ เขตฺตวตฺถุปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ ฯ ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ กยวิกฺกยา ปฎิวิรโต โหติฯ ตุลากูฎกํสกูฎมานกูฎา ปฎิวิรโต โหติฯ อุโกฺกฎนวญฺจนนิกติสาจิโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ เฉทนวธพนฺธนวิปราโมสอาโลปสหสาการา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
‘‘Bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hoti…pe… ekabhattiko hoti rattūparato virato vikālabhojanā. Naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato hoti. Mālāgandhavilepanadhāraṇamaṇḍanavibhūsanaṭṭhānā paṭivirato hoti. Uccāsayanamahāsayanā paṭivirato hoti. Jātarūparajatapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Āmakadhaññapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Āmakamaṃsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Itthikumārikapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Dāsidāsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Ajeḷakapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Kukkuṭasūkarapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Hatthigavassavaḷavapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Khettavatthupaṭiggahaṇā paṭivirato hoti . Dūteyyapahiṇagamanānuyogā paṭivirato hoti. Kayavikkayā paṭivirato hoti. Tulākūṭakaṃsakūṭamānakūṭā paṭivirato hoti. Ukkoṭanavañcananikatisāciyogā paṭivirato hoti. Chedanavadhabandhanaviparāmosaālopasahasākārā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
จูฬสีลํ นิฎฺฐิตํฯ
Cūḷasīlaṃ niṭṭhitaṃ.
มชฺฌิมสีลํ
Majjhimasīlaṃ
๑๙๕. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ พีชคามภูตคามสมารมฺภํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชเมว ปญฺจมํ, อิติ เอวรูปา พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
195. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ bījagāmabhūtagāmasamārambhaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – mūlabījaṃ khandhabījaṃ phaḷubījaṃ aggabījaṃ bījabījameva pañcamaṃ, iti evarūpā bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๑๙๖. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ สนฺนิธิการปริโภคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – อนฺนสนฺนิธิํ ปานสนฺนิธิํ วตฺถสนฺนิธิํ ยานสนฺนิธิํ สยนสนฺนิธิํ คนฺธสนฺนิธิํ อามิสสนฺนิธิํ, อิติ วา อิติ เอวรูปา สนฺนิธิการปริโภคา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
196. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ sannidhikāraparibhogaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – annasannidhiṃ pānasannidhiṃ vatthasannidhiṃ yānasannidhiṃ sayanasannidhiṃ gandhasannidhiṃ āmisasannidhiṃ, iti vā iti evarūpā sannidhikāraparibhogā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๑๙๗. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ วิสูกทสฺสนํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – นจฺจํ คีตํ วาทิตํ เปกฺขํ อกฺขานํ ปาณิสฺสรํ เวตาฬํ กุมฺภถูณํ โสภนกํ จณฺฑาลํ วํสํ โธวนํ หตฺถิยุทฺธํ อสฺสยุทฺธํ มหิํสยุทฺธํ อุสภยุทฺธํ อชยุทฺธํ เมณฺฑยุทฺธํ กุกฺกุฎยุทฺธํ วฎฺฎกยุทฺธํ ทณฺฑยุทฺธํ มุฎฺฐิยุทฺธํ นิพฺพุทฺธํ อุโยฺยธิกํ พลคฺคํ เสนาพฺยูหํ อนีกทสฺสนํ อิติ วา อิติ เอวรูปา วิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
197. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ visūkadassanaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – naccaṃ gītaṃ vāditaṃ pekkhaṃ akkhānaṃ pāṇissaraṃ vetāḷaṃ kumbhathūṇaṃ sobhanakaṃ caṇḍālaṃ vaṃsaṃ dhovanaṃ hatthiyuddhaṃ assayuddhaṃ mahiṃsayuddhaṃ usabhayuddhaṃ ajayuddhaṃ meṇḍayuddhaṃ kukkuṭayuddhaṃ vaṭṭakayuddhaṃ daṇḍayuddhaṃ muṭṭhiyuddhaṃ nibbuddhaṃ uyyodhikaṃ balaggaṃ senābyūhaṃ anīkadassanaṃ iti vā iti evarūpā visūkadassanā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๑๙๘. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ชูตปฺปมาทฎฺฐานานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – อฎฺฐปทํ ทสปทํ อากาสํ ปริหารปถํ สนฺติกํ ขลิกํ ฆฎิกํ สลากหตฺถํ อกฺขํ ปงฺคจีรํ วงฺกกํ โมกฺขจิกํ จิงฺคุลิกํ ปตฺตาฬฺหกํ รถกํ ธนุกํ อกฺขริกํ มเนสิกํ ยถาวชฺชํ อิติ วา อิติ เอวรูปา ชูตปฺปมาทฎฺฐานานุโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
198. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ jūtappamādaṭṭhānānuyogaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – aṭṭhapadaṃ dasapadaṃ ākāsaṃ parihārapathaṃ santikaṃ khalikaṃ ghaṭikaṃ salākahatthaṃ akkhaṃ paṅgacīraṃ vaṅkakaṃ mokkhacikaṃ ciṅgulikaṃ pattāḷhakaṃ rathakaṃ dhanukaṃ akkharikaṃ manesikaṃ yathāvajjaṃ iti vā iti evarūpā jūtappamādaṭṭhānānuyogā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๑๙๙. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ อุจฺจาสยนมหาสยนํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – อาสนฺทิํ ปลฺลงฺกํ โคนกํ จิตฺตกํ ปฎิกํ ปฎลิกํ ตูลิกํ วิกติกํ อุทฺทโลมิํ เอกนฺตโลมิํ กฎฺฎิสฺสํ โกเสยฺยํ กุตฺตกํ หตฺถตฺถรํ อสฺสตฺถรํ รถตฺถรํ อชินปฺปเวณิํ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณํ สอุตฺตรจฺฉทํ อุภโตโลหิตกูปธานํ อิติ วา อิติ เอวรูปา อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
199. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ uccāsayanamahāsayanaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – āsandiṃ pallaṅkaṃ gonakaṃ cittakaṃ paṭikaṃ paṭalikaṃ tūlikaṃ vikatikaṃ uddalomiṃ ekantalomiṃ kaṭṭissaṃ koseyyaṃ kuttakaṃ hatthattharaṃ assattharaṃ rathattharaṃ ajinappaveṇiṃ kadalimigapavarapaccattharaṇaṃ sauttaracchadaṃ ubhatolohitakūpadhānaṃ iti vā iti evarūpā uccāsayanamahāsayanā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๐. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ มณฺฑนวิภูสนฎฺฐานานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – อุจฺฉาทนํ ปริมทฺทนํ นฺหาปนํ สมฺพาหนํ อาทาสํ อญฺชนํ มาลาคนฺธวิเลปนํ มุขจุณฺณํ มุขเลปนํ หตฺถพนฺธํ สิขาพนฺธํ ทณฺฑํ นาฬิกํ อสิํ 59 ฉตฺตํ จิตฺรุปาหนํ อุณฺหีสํ มณิํ วาลพีชนิํ โอทาตานิ วตฺถานิ ทีฆทสานิ อิติ วา อิติ เอวรูปา มณฺฑนวิภูสนฎฺฐานานุโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
200. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ maṇḍanavibhūsanaṭṭhānānuyogaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – ucchādanaṃ parimaddanaṃ nhāpanaṃ sambāhanaṃ ādāsaṃ añjanaṃ mālāgandhavilepanaṃ mukhacuṇṇaṃ mukhalepanaṃ hatthabandhaṃ sikhābandhaṃ daṇḍaṃ nāḷikaṃ asiṃ 60 chattaṃ citrupāhanaṃ uṇhīsaṃ maṇiṃ vālabījaniṃ odātāni vatthāni dīghadasāni iti vā iti evarūpā maṇḍanavibhūsanaṭṭhānānuyogā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๑. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ติรจฺฉานกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ 61 สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฎฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานกถาย ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
201. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ tiracchānakathaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – rājakathaṃ corakathaṃ mahāmattakathaṃ senākathaṃ bhayakathaṃ yuddhakathaṃ annakathaṃ pānakathaṃ vatthakathaṃ sayanakathaṃ mālākathaṃ gandhakathaṃ ñātikathaṃ yānakathaṃ gāmakathaṃ nigamakathaṃ nagarakathaṃ janapadakathaṃ itthikathaṃ 62 sūrakathaṃ visikhākathaṃ kumbhaṭṭhānakathaṃ pubbapetakathaṃ nānattakathaṃ lokakkhāyikaṃ samuddakkhāyikaṃ itibhavābhavakathaṃ iti vā iti evarūpāya tiracchānakathāya paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๒. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ วิคฺคาหิกกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิ, กิํ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ, มิจฺฉา ปฎิปโนฺน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมา ปฎิปโนฺน, สหิตํ เม, อสหิตํ เต, ปุเร วจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉา วจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโต ตฺวมสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสีติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย วิคฺคาหิกกถาย ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
202. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ viggāhikakathaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsi, ahaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāmi, kiṃ tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānissasi, micchā paṭipanno tvamasi, ahamasmi sammā paṭipanno, sahitaṃ me, asahitaṃ te, pure vacanīyaṃ pacchā avaca, pacchā vacanīyaṃ pure avaca, adhiciṇṇaṃ te viparāvattaṃ, āropito te vādo, niggahito tvamasi, cara vādappamokkhāya, nibbeṭhehi vā sace pahosīti iti vā iti evarūpāya viggāhikakathāya paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๓. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปํ ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ – รญฺญํ, ราชมหามตฺตานํ, ขตฺติยานํ, พฺราหฺมณานํ, คหปติกานํ, กุมารานํ – ‘อิธ คจฺฉ, อมุตฺราคจฺฉ, อิทํ หร, อมุตฺร อิทํ อาหรา’ติ อิติ วา อิติ เอวรูปา ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
203. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpaṃ dūteyyapahiṇagamanānuyogaṃ anuyuttā viharanti. Seyyathidaṃ – raññaṃ, rājamahāmattānaṃ, khattiyānaṃ, brāhmaṇānaṃ, gahapatikānaṃ, kumārānaṃ – ‘idha gaccha, amutrāgaccha, idaṃ hara, amutra idaṃ āharā’ti iti vā iti evarūpā dūteyyapahiṇagamanānuyogā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๔. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต กุหกา จ โหนฺติ ลปกา จ เนมิตฺติกา จ นิเปฺปสิกา จ ลาเภน ลาภํ นิชิคีํสิตาโร จฯ อิติ เอวรูปา กุหนลปนา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํ’’ฯ
204. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te kuhakā ca honti lapakā ca nemittikā ca nippesikā ca lābhena lābhaṃ nijigīṃsitāro ca. Iti evarūpā kuhanalapanā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ’’.
มชฺฌิมสีลํ นิฎฺฐิตํฯ
Majjhimasīlaṃ niṭṭhitaṃ.
มหาสีลํ
Mahāsīlaṃ
๒๐๕. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – องฺคํ นิมิตฺตํ อุปฺปาตํ สุปินํ ลกฺขณํ มูสิกจฺฉินฺนํ อคฺคิโหมํ ทพฺพิโหมํ ถุสโหมํ กณโหมํ ตณฺฑุลโหมํ สปฺปิโหมํ เตลโหมํ มุขโหมํ โลหิตโหมํ องฺควิชฺชา วตฺถุวิชฺชา ขตฺตวิชฺชา สิววิชฺชา ภูตวิชฺชา ภูริวิชฺชา อหิวิชฺชา วิสวิชฺชา วิจฺฉิกวิชฺชา มูสิกวิชฺชา สกุณวิชฺชา วายสวิชฺชา ปกฺกชฺฌานํ สรปริตฺตาณํ มิคจกฺกํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
205. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – aṅgaṃ nimittaṃ uppātaṃ supinaṃ lakkhaṇaṃ mūsikacchinnaṃ aggihomaṃ dabbihomaṃ thusahomaṃ kaṇahomaṃ taṇḍulahomaṃ sappihomaṃ telahomaṃ mukhahomaṃ lohitahomaṃ aṅgavijjā vatthuvijjā khattavijjā sivavijjā bhūtavijjā bhūrivijjā ahivijjā visavijjā vicchikavijjā mūsikavijjā sakuṇavijjā vāyasavijjā pakkajjhānaṃ saraparittāṇaṃ migacakkaṃ iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๖. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – มณิลกฺขณํ วตฺถลกฺขณํ ทณฺฑลกฺขณํ สตฺถลกฺขณํ อสิลกฺขณํ อุสุลกฺขณํ ธนุลกฺขณํ อาวุธลกฺขณํ อิตฺถิลกฺขณํ ปุริสลกฺขณํ กุมารลกฺขณํ กุมาริลกฺขณํ ทาสลกฺขณํ ทาสิลกฺขณํ หตฺถิลกฺขณํ อสฺสลกฺขณํ มหิํสลกฺขณํ อุสภลกฺขณํ โคลกฺขณํ อชลกฺขณํ เมณฺฑลกฺขณํ กุกฺกุฎลกฺขณํ วฎฺฎกลกฺขณํ โคธาลกฺขณํ กณฺณิกลกฺขณํ กจฺฉปลกฺขณํ มิคลกฺขณํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
206. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – maṇilakkhaṇaṃ vatthalakkhaṇaṃ daṇḍalakkhaṇaṃ satthalakkhaṇaṃ asilakkhaṇaṃ usulakkhaṇaṃ dhanulakkhaṇaṃ āvudhalakkhaṇaṃ itthilakkhaṇaṃ purisalakkhaṇaṃ kumāralakkhaṇaṃ kumārilakkhaṇaṃ dāsalakkhaṇaṃ dāsilakkhaṇaṃ hatthilakkhaṇaṃ assalakkhaṇaṃ mahiṃsalakkhaṇaṃ usabhalakkhaṇaṃ golakkhaṇaṃ ajalakkhaṇaṃ meṇḍalakkhaṇaṃ kukkuṭalakkhaṇaṃ vaṭṭakalakkhaṇaṃ godhālakkhaṇaṃ kaṇṇikalakkhaṇaṃ kacchapalakkhaṇaṃ migalakkhaṇaṃ iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๗. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – รญฺญํ นิยฺยานํ ภวิสฺสติ, รญฺญํ อนิยฺยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ อุปยานํ ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ อปยานํ ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ อุปยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ อปยานํ ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ ชโย ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ ปราชโย ภวิสฺสติ, พาหิรานํ รญฺญํ ชโย ภวิสฺสติ, อพฺภนฺตรานํ รญฺญํ ปราชโย ภวิสฺสติ, อิติ อิมสฺส ชโย ภวิสฺสติ, อิมสฺส ปราชโย ภวิสฺสติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
207. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – raññaṃ niyyānaṃ bhavissati, raññaṃ aniyyānaṃ bhavissati, abbhantarānaṃ raññaṃ upayānaṃ bhavissati, bāhirānaṃ raññaṃ apayānaṃ bhavissati, bāhirānaṃ raññaṃ upayānaṃ bhavissati, abbhantarānaṃ raññaṃ apayānaṃ bhavissati, abbhantarānaṃ raññaṃ jayo bhavissati, bāhirānaṃ raññaṃ parājayo bhavissati, bāhirānaṃ raññaṃ jayo bhavissati, abbhantarānaṃ raññaṃ parājayo bhavissati, iti imassa jayo bhavissati, imassa parājayo bhavissati iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๘. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – จนฺทคฺคาโห ภวิสฺสติ, สูริยคฺคาโห ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตคฺคาโห ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, นกฺขตฺตานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ , อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ, ทิสาฑาโห ภวิสฺสติ, ภูมิจาโล ภวิสฺสติ, เทวทุทฺรภิ ภวิสฺสติ, จนฺทิมสูริยนกฺขตฺตานํ อุคฺคมนํ โอคมนํ สํกิเลสํ โวทานํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก จนฺทคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก สูริยคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก นกฺขตฺตคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ นกฺขตฺตานํ ปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ นกฺขตฺตานํ อุปฺปถคมนํ ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก ทิสาฑาโห ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก ภูมิจาโล ภวิสฺสติ, เอวํวิปาโก เทวทุทฺรภิ ภวิสฺสติ, เอวํวิปากํ จนฺทิมสูริยนกฺขตฺตานํ อุคฺคมนํ โอคมนํ สํกิเลสํ โวทานํ ภวิสฺสติ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
208. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – candaggāho bhavissati, sūriyaggāho bhavissati, nakkhattaggāho bhavissati, candimasūriyānaṃ pathagamanaṃ bhavissati, candimasūriyānaṃ uppathagamanaṃ bhavissati, nakkhattānaṃ pathagamanaṃ bhavissati, nakkhattānaṃ uppathagamanaṃ bhavissati , ukkāpāto bhavissati, disāḍāho bhavissati, bhūmicālo bhavissati, devadudrabhi bhavissati, candimasūriyanakkhattānaṃ uggamanaṃ ogamanaṃ saṃkilesaṃ vodānaṃ bhavissati, evaṃvipāko candaggāho bhavissati, evaṃvipāko sūriyaggāho bhavissati, evaṃvipāko nakkhattaggāho bhavissati, evaṃvipākaṃ candimasūriyānaṃ pathagamanaṃ bhavissati, evaṃvipākaṃ candimasūriyānaṃ uppathagamanaṃ bhavissati, evaṃvipākaṃ nakkhattānaṃ pathagamanaṃ bhavissati, evaṃvipākaṃ nakkhattānaṃ uppathagamanaṃ bhavissati, evaṃvipāko ukkāpāto bhavissati, evaṃvipāko disāḍāho bhavissati, evaṃvipāko bhūmicālo bhavissati, evaṃvipāko devadudrabhi bhavissati, evaṃvipākaṃ candimasūriyanakkhattānaṃ uggamanaṃ ogamanaṃ saṃkilesaṃ vodānaṃ bhavissati iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๐๙. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – สุวุฎฺฐิกา ภวิสฺสติ, ทุพฺพุฎฺฐิกา ภวิสฺสติ, สุภิกฺขํ ภวิสฺสติ, ทุพฺภิกฺขํ ภวิสฺสติ, เขมํ ภวิสฺสติ, ภยํ ภวิสฺสติ, โรโค ภวิสฺสติ, อาโรคฺยํ ภวิสฺสติ, มุทฺทา, คณนา, สงฺขานํ, กาเวยฺยํ, โลกายตํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
209. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – suvuṭṭhikā bhavissati, dubbuṭṭhikā bhavissati, subhikkhaṃ bhavissati, dubbhikkhaṃ bhavissati, khemaṃ bhavissati, bhayaṃ bhavissati, rogo bhavissati, ārogyaṃ bhavissati, muddā, gaṇanā, saṅkhānaṃ, kāveyyaṃ, lokāyataṃ iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๑๐. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติฯ เสยฺยถิทํ – อาวาหนํ วิวาหนํ สํวรณํ วิวรณํ สงฺกิรณํ วิกิรณํ สุภคกรณํ ทุพฺภคกรณํ วิรุทฺธคพฺภกรณํ ชิวฺหานิพนฺธนํ หนุสํหนนํ หตฺถาภิชปฺปนํ หนุชปฺปนํ กณฺณชปฺปนํ อาทาสปญฺหํ กุมาริกปญฺหํ เทวปญฺหํ อาทิจฺจุปฎฺฐานํ มหตุปฎฺฐานํ อพฺภุชฺชลนํ สิริวฺหายนํ อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
210. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti. Seyyathidaṃ – āvāhanaṃ vivāhanaṃ saṃvaraṇaṃ vivaraṇaṃ saṅkiraṇaṃ vikiraṇaṃ subhagakaraṇaṃ dubbhagakaraṇaṃ viruddhagabbhakaraṇaṃ jivhānibandhanaṃ hanusaṃhananaṃ hatthābhijappanaṃ hanujappanaṃ kaṇṇajappanaṃ ādāsapañhaṃ kumārikapañhaṃ devapañhaṃ ādiccupaṭṭhānaṃ mahatupaṭṭhānaṃ abbhujjalanaṃ sirivhāyanaṃ iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๑๑. ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติ ฯ เสยฺยถิทํ – สนฺติกมฺมํ ปณิธิกมฺมํ ภูตกมฺมํ ภูริกมฺมํ วสฺสกมฺมํ โวสฺสกมฺมํ วตฺถุกมฺมํ วตฺถุปริกมฺมํ อาจมนํ นฺหาปนํ ชุหนํ วมนํ วิเรจนํ อุทฺธํวิเรจนํ อโธวิเรจนํ สีสวิเรจนํ กณฺณเตลํ เนตฺตตปฺปนํ นตฺถุกมฺมํ อญฺชนํ ปจฺจญฺชนํ สาลากิยํ สลฺลกตฺติยํ ทารกติกิจฺฉา, มูลเภสชฺชานํ อนุปฺปทานํ, โอสธีนํ ปฎิโมโกฺข อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ
211. ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti . Seyyathidaṃ – santikammaṃ paṇidhikammaṃ bhūtakammaṃ bhūrikammaṃ vassakammaṃ vossakammaṃ vatthukammaṃ vatthuparikammaṃ ācamanaṃ nhāpanaṃ juhanaṃ vamanaṃ virecanaṃ uddhaṃvirecanaṃ adhovirecanaṃ sīsavirecanaṃ kaṇṇatelaṃ nettatappanaṃ natthukammaṃ añjanaṃ paccañjanaṃ sālākiyaṃ sallakattiyaṃ dārakatikicchā, mūlabhesajjānaṃ anuppadānaṃ, osadhīnaṃ paṭimokkho iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.
๒๑๒. ‘‘ส โข โส, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สีลสมฺปโนฺน น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ สีลสํวรโตฯ เสยฺยถาปิ – มหาราช, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาภิสิโตฺต นิหตปจฺจามิโตฺต น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ ปจฺจตฺถิกโต; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สีลสมฺปโนฺน น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ สีลสํวรโตฯ โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อนวชฺชสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ เอวํ โข, มหาราช, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติฯ
212. ‘‘Sa kho so, mahārāja, bhikkhu evaṃ sīlasampanno na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ sīlasaṃvarato. Seyyathāpi – mahārāja, rājā khattiyo muddhābhisitto nihatapaccāmitto na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ paccatthikato; evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ sīlasampanno na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ sīlasaṃvarato. So iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato ajjhattaṃ anavajjasukhaṃ paṭisaṃvedeti. Evaṃ kho, mahārāja, bhikkhu sīlasampanno hoti.
มหาสีลํ นิฎฺฐิตํฯ
Mahāsīlaṃ niṭṭhitaṃ.
อินฺทฺริยสํวโร
Indriyasaṃvaro
๒๑๓. ‘‘กถญฺจ, มหาราช, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ? อิธ, มหาราช, ภิกฺขุ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌา โทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา…เป.… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา…เป.… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌา โทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ มนินฺทฺริยํ, มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส อิมินา อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อพฺยาเสกสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ เอวํ โข, มหาราช, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติฯ
213. ‘‘Kathañca, mahārāja, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti? Idha, mahārāja, bhikkhu cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhā domanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjati. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā…pe… jivhāya rasaṃ sāyitvā…pe… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā…pe… manasā dhammaṃ viññāya na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ manindriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhā domanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati manindriyaṃ, manindriye saṃvaraṃ āpajjati. So iminā ariyena indriyasaṃvarena samannāgato ajjhattaṃ abyāsekasukhaṃ paṭisaṃvedeti. Evaṃ kho, mahārāja, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti.
สติสมฺปชญฺญํ
Satisampajaññaṃ
๒๑๔. ‘‘กถญฺจ , มหาราช, ภิกฺขุ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต โหติ? อิธ, มหาราช, ภิกฺขุ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกเมฺม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ เอวํ โข, มหาราช , ภิกฺขุ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต โหติฯ
214. ‘‘Kathañca , mahārāja, bhikkhu satisampajaññena samannāgato hoti? Idha, mahārāja, bhikkhu abhikkante paṭikkante sampajānakārī hoti, ālokite vilokite sampajānakārī hoti, samiñjite pasārite sampajānakārī hoti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe sampajānakārī hoti, asite pīte khāyite sāyite sampajānakārī hoti, uccārapassāvakamme sampajānakārī hoti, gate ṭhite nisinne sutte jāgarite bhāsite tuṇhībhāve sampajānakārī hoti. Evaṃ kho, mahārāja , bhikkhu satisampajaññena samannāgato hoti.
สโนฺตโส
Santoso
๒๑๕. ‘‘กถญฺจ, มหาราช, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ? อิธ, มหาราช, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตน ฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ, สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปกฺขี สกุโณ เยน เยเนว เฑติ, สปตฺตภาโรว เฑติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ, สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เอวํ โข, มหาราช, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติฯ
215. ‘‘Kathañca, mahārāja, bhikkhu santuṭṭho hoti? Idha, mahārāja, bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena, kucchiparihārikena piṇḍapātena . So yena yeneva pakkamati, samādāyeva pakkamati. Seyyathāpi, mahārāja, pakkhī sakuṇo yena yeneva ḍeti, sapattabhārova ḍeti. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati, samādāyeva pakkamati. Evaṃ kho, mahārāja, bhikkhu santuṭṭho hoti.
นีวรณปฺปหานํ
Nīvaraṇappahānaṃ
๒๑๖. ‘‘โส อิมินา จ อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต, อิมาย จ อริยาย สนฺตุฎฺฐิยา สมนฺนาคโต, วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ
216. ‘‘So iminā ca ariyena sīlakkhandhena samannāgato, iminā ca ariyena indriyasaṃvarena samannāgato, iminā ca ariyena satisampajaññena samannāgato, imāya ca ariyāya santuṭṭhiyā samannāgato, vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. So pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā.
๒๑๗. ‘‘โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิเชฺฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต วิหรติ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิโทฺธ วิหรติ อาโลกสญฺญี, สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ, อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิโตฺต, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิโจฺฉ วิหรติ, อกถํกถี กุสเลสุ ธเมฺมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ
217. ‘‘So abhijjhaṃ loke pahāya vigatābhijjhena cetasā viharati, abhijjhāya cittaṃ parisodheti. Byāpādapadosaṃ pahāya abyāpannacitto viharati sabbapāṇabhūtahitānukampī, byāpādapadosā cittaṃ parisodheti. Thinamiddhaṃ pahāya vigatathinamiddho viharati ālokasaññī, sato sampajāno, thinamiddhā cittaṃ parisodheti. Uddhaccakukkuccaṃ pahāya anuddhato viharati, ajjhattaṃ vūpasantacitto, uddhaccakukkuccā cittaṃ parisodheti. Vicikicchaṃ pahāya tiṇṇavicikiccho viharati, akathaṃkathī kusalesu dhammesu, vicikicchāya cittaṃ parisodheti.
๒๑๘. ‘‘เสยฺยถาปิ , มหาราช, ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชยฺยฯ ตสฺส เต กมฺมนฺตา สมิเชฺฌยฺยุํฯ โส ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ, ตานิ จ พฺยนฺติํ กเรยฺย 63, สิยา จสฺส อุตฺตริํ อวสิฎฺฐํ ทารภรณายฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชสิํฯ ตสฺส เม เต กมฺมนฺตา สมิชฺฌิํสุฯ โสหํ ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ, ตานิ จ พฺยนฺติํ อกาสิํ, อตฺถิ จ เม อุตฺตริํ อวสิฎฺฐํ ทารภรณายา’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ
218. ‘‘Seyyathāpi , mahārāja, puriso iṇaṃ ādāya kammante payojeyya. Tassa te kammantā samijjheyyuṃ. So yāni ca porāṇāni iṇamūlāni, tāni ca byantiṃ kareyya 64, siyā cassa uttariṃ avasiṭṭhaṃ dārabharaṇāya. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe iṇaṃ ādāya kammante payojesiṃ. Tassa me te kammantā samijjhiṃsu. Sohaṃ yāni ca porāṇāni iṇamūlāni, tāni ca byantiṃ akāsiṃ, atthi ca me uttariṃ avasiṭṭhaṃ dārabharaṇāyā’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.
๒๑๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส อาพาธิโก อสฺส ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน; ภตฺตญฺจสฺส นจฺฉาเทยฺย, น จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา อาพาธา มุเจฺจยฺย; ภตฺตํ จสฺส ฉาเทยฺย, สิยา จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ อาพาธิโก อโหสิํ ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน; ภตฺตญฺจ เม นจฺฉาเทสิ, น จ เม อาสิ 65 กาเย พลมตฺตาฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา อาพาธา มุโตฺต; ภตฺตญฺจ เม ฉาเทติ, อตฺถิ จ เม กาเย พลมตฺตา’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ
219. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso ābādhiko assa dukkhito bāḷhagilāno; bhattañcassa nacchādeyya, na cassa kāye balamattā. So aparena samayena tamhā ābādhā mucceyya; bhattaṃ cassa chādeyya, siyā cassa kāye balamattā. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe ābādhiko ahosiṃ dukkhito bāḷhagilāno; bhattañca me nacchādesi, na ca me āsi 66 kāye balamattā. Somhi etarahi tamhā ābādhā mutto; bhattañca me chādeti, atthi ca me kāye balamattā’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.
๒๒๐. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส พนฺธนาคาเร พโทฺธ อสฺสฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา พนฺธนาคารา มุเจฺจยฺย โสตฺถินา อพฺภเยน 67, น จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ พนฺธนาคาเร พโทฺธ อโหสิํ, โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา พนฺธนาคารา มุโตฺต โสตฺถินา อพฺภเยนฯ นตฺถิ จ เม กิญฺจิ โภคานํ วโย’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ
220. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso bandhanāgāre baddho assa. So aparena samayena tamhā bandhanāgārā mucceyya sotthinā abbhayena 68, na cassa kiñci bhogānaṃ vayo. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe bandhanāgāre baddho ahosiṃ, somhi etarahi tamhā bandhanāgārā mutto sotthinā abbhayena. Natthi ca me kiñci bhogānaṃ vayo’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.
๒๒๑. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส ทาโส อสฺส อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามํคโมฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา ทาสพฺยา มุเจฺจยฺย อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามํคโมฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ ทาโส อโหสิํ อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามํคโมฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา ทาสพฺยา มุโตฺต อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามํคโม’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ
221. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso dāso assa anattādhīno parādhīno na yenakāmaṃgamo. So aparena samayena tamhā dāsabyā mucceyya attādhīno aparādhīno bhujisso yenakāmaṃgamo. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe dāso ahosiṃ anattādhīno parādhīno na yenakāmaṃgamo. Somhi etarahi tamhā dāsabyā mutto attādhīno aparādhīno bhujisso yenakāmaṃgamo’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.
๒๒๒. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฎิปเชฺชยฺย ทุพฺภิกฺขํ สปฺปฎิภยํฯ โส อปเรน สมเยน ตํ กนฺตารํ นิตฺถเรยฺย โสตฺถินา, คามนฺตํ อนุปาปุเณยฺย เขมํ อปฺปฎิภยํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฎิปชฺชิํ ทุพฺภิกฺขํ สปฺปฎิภยํฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตํ กนฺตารํ นิตฺถิโณฺณ โสตฺถินา, คามนฺตํ อนุปฺปโตฺต เขมํ อปฺปฎิภย’นฺติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ
222. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso sadhano sabhogo kantāraddhānamaggaṃ paṭipajjeyya dubbhikkhaṃ sappaṭibhayaṃ. So aparena samayena taṃ kantāraṃ nitthareyya sotthinā, gāmantaṃ anupāpuṇeyya khemaṃ appaṭibhayaṃ. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe sadhano sabhogo kantāraddhānamaggaṃ paṭipajjiṃ dubbhikkhaṃ sappaṭibhayaṃ. Somhi etarahi taṃ kantāraṃ nitthiṇṇo sotthinā, gāmantaṃ anuppatto khemaṃ appaṭibhaya’nti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.
๒๒๓. ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ ยถา อิณํ ยถา โรคํ ยถา พนฺธนาคารํ ยถา ทาสพฺยํ ยถา กนฺตารทฺธานมคฺคํ, เอวํ อิเม ปญฺจ นีวรเณ อปฺปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ
223. ‘‘Evameva kho, mahārāja, bhikkhu yathā iṇaṃ yathā rogaṃ yathā bandhanāgāraṃ yathā dāsabyaṃ yathā kantāraddhānamaggaṃ, evaṃ ime pañca nīvaraṇe appahīne attani samanupassati.
๒๒๔. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ยถา อาณณฺยํ ยถา อาโรคฺยํ ยถา พนฺธนาโมกฺขํ ยถา ภุชิสฺสํ ยถา เขมนฺตภูมิํ; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ
224. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, yathā āṇaṇyaṃ yathā ārogyaṃ yathā bandhanāmokkhaṃ yathā bhujissaṃ yathā khemantabhūmiṃ; evameva kho, mahārāja, bhikkhu ime pañca nīvaraṇe pahīne attani samanupassati.
๒๒๕. ‘‘ตสฺสิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสโต ปาโมชฺชํ ชายติ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ, ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวเทติ, สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ
225. ‘‘Tassime pañca nīvaraṇe pahīne attani samanupassato pāmojjaṃ jāyati, pamuditassa pīti jāyati, pītimanassa kāyo passambhati, passaddhakāyo sukhaṃ vedeti, sukhino cittaṃ samādhiyati.
ปฐมชฺฌานํ
Paṭhamajjhānaṃ
๒๒๖. ‘‘โส วิวิเจฺจว กาเมหิ, วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ
226. ‘‘So vivicceva kāmehi, vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.
๒๒๗. ‘‘เสยฺยถาปิ , มหาราช, ทโกฺข นฺหาปโก วา นฺหาปกเนฺตวาสี วา กํสถาเล นฺหานียจุณฺณานิ อากิริตฺวา อุทเกน ปริโปฺผสกํ ปริโปฺผสกํ สเนฺนยฺย, สายํ นฺหานียปิณฺฑิ เสฺนหานุคตา เสฺนหปเรตา สนฺตรพาหิรา ผุฎา เสฺนเหน, น จ ปคฺฆรณี; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
227. ‘‘Seyyathāpi , mahārāja, dakkho nhāpako vā nhāpakantevāsī vā kaṃsathāle nhānīyacuṇṇāni ākiritvā udakena paripphosakaṃ paripphosakaṃ sanneyya, sāyaṃ nhānīyapiṇḍi snehānugatā snehaparetā santarabāhirā phuṭā snehena, na ca paggharaṇī; evameva kho, mahārāja, bhikkhu imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
ทุติยชฺฌานํ
Dutiyajjhānaṃ
๒๒๘. ‘‘ปุน จปรํ, มหาราช, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ
228. ‘‘Puna caparaṃ, mahārāja, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.
๒๒๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, อุทกรหโท คมฺภีโร อุพฺภิโททโก 69 ตสฺส เนวสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ทกฺขิณาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ปจฺฉิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น อุตฺตราย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, เทโว จ น กาเลนกาลํ สมฺมาธารํ อนุปฺปเวเจฺฉยฺยฯ อถ โข ตมฺหาว อุทกรหทา สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ตเมว อุทกรหทํ สีเตน วารินา อภิสเนฺทยฺย ปริสเนฺทยฺย ปริปูเรยฺย ปริปฺผเรยฺย, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต อุทกรหทสฺส สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺสฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
229. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, udakarahado gambhīro ubbhidodako 70 tassa nevassa puratthimāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na dakkhiṇāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na pacchimāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na uttarāya disāya udakassa āyamukhaṃ, devo ca na kālenakālaṃ sammādhāraṃ anuppaveccheyya. Atha kho tamhāva udakarahadā sītā vāridhārā ubbhijjitvā tameva udakarahadaṃ sītena vārinā abhisandeyya parisandeyya paripūreyya paripphareyya, nāssa kiñci sabbāvato udakarahadassa sītena vārinā apphuṭaṃ assa. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
ตติยชฺฌานํ
Tatiyajjhānaṃ
๒๓๐. ‘‘ปุน จปรํ, มหาราช, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ, ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ
230. ‘‘Puna caparaṃ, mahārāja, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati sato sampajāno, sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti, tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti.
๒๓๑. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ยาว จคฺคา ยาว จ มูลา สีเตน วารินา อภิสนฺนานิ ปริสนฺนานิ 71 ปริปูรานิ ปริปฺผุฎานิ 72, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวตํ อุปฺปลานํ วา ปทุมานํ วา ปุณฺฑรีกานํ วา สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺส; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
231. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, uppaliniyaṃ vā paduminiyaṃ vā puṇḍarīkiniyaṃ vā appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni antonimuggaposīni, tāni yāva caggā yāva ca mūlā sītena vārinā abhisannāni parisannāni 73 paripūrāni paripphuṭāni 74, nāssa kiñci sabbāvataṃ uppalānaṃ vā padumānaṃ vā puṇḍarīkānaṃ vā sītena vārinā apphuṭaṃ assa; evameva kho, mahārāja, bhikkhu imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
จตุตฺถชฺฌานํ
Catutthajjhānaṃ
๒๓๒. ‘‘ปุน จปรํ, มหาราช, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา, ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, โส อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ
232. ‘‘Puna caparaṃ, mahārāja, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā, pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, so imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti.
๒๓๓. ‘‘เสยฺยถาปิ , มหาราช, ปุริโส โอทาเตน วเตฺถน สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสิโนฺน อสฺส, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส โอทาเตน วเตฺถน อปฺผุฎํ อสฺส; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
233. ‘‘Seyyathāpi , mahārāja, puriso odātena vatthena sasīsaṃ pārupitvā nisinno assa, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa odātena vatthena apphuṭaṃ assa; evameva kho, mahārāja, bhikkhu imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
วิปสฺสนาญาณํ
Vipassanāñāṇaṃ
๒๓๔. ‘‘โส 75 เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทน-ปริมทฺทน-เภทน-วิทฺธํสน-ธโมฺม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’นฺติฯ
234. ‘‘So 76 evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So evaṃ pajānāti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādana-parimaddana-bhedana-viddhaṃsana-dhammo; idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’nti.
๒๓๕. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปโนฺนฯ ตตฺราสฺส สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา 77 โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วาฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส หเตฺถ กริตฺวา ปจฺจเวเกฺขยฺย – ‘อยํ โข มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปโนฺน; ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วา’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’นฺติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช , สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
235. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno anāvilo sabbākārasampanno. Tatrāssa suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā 78 odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā. Tamenaṃ cakkhumā puriso hatthe karitvā paccavekkheyya – ‘ayaṃ kho maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno anāvilo sabbākārasampanno; tatridaṃ suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā’ti. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So evaṃ pajānāti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo; idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’nti. Idampi kho, mahārāja , sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
มโนมยิทฺธิญาณํ
Manomayiddhiñāṇaṃ
๒๓๖. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต มโนมยํ กายํ อภินิมฺมานาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริยํฯ
236. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte manomayaṃ kāyaṃ abhinimmānāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimmināti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriyaṃ.
๒๓๗. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส มุญฺชมฺหา อีสิกํ ปวาเหยฺย 79ฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ มุโญฺช, อยํ อีสิกา, อโญฺญ มุโญฺช, อญฺญา อีสิกา, มุญฺชมฺหา เตฺวว อีสิกา ปวาฬฺหา’ติ 80ฯ เสยฺยถา วา ปน, มหาราช, ปุริโส อสิํ โกสิยา ปวาเหยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อสิ, อยํ โกสิ, อโญฺญ อสิ, อญฺญา โกสิ, โกสิยา เตฺวว อสิ ปวาโฬฺห’’ติฯ เสยฺยถา วา ปน, มหาราช, ปุริโส อหิํ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อหิ, อยํ กรโณฺฑฯ อโญฺญ อหิ, อโญฺญ กรโณฺฑ, กรณฺฑา เตฺวว อหิ อุพฺภโต’ติ 81ฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต มโนมยํ กายํ อภินิมฺมานาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริยํฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
237. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso muñjamhā īsikaṃ pavāheyya 82. Tassa evamassa – ‘ayaṃ muñjo, ayaṃ īsikā, añño muñjo, aññā īsikā, muñjamhā tveva īsikā pavāḷhā’ti 83. Seyyathā vā pana, mahārāja, puriso asiṃ kosiyā pavāheyya. Tassa evamassa – ‘ayaṃ asi, ayaṃ kosi, añño asi, aññā kosi, kosiyā tveva asi pavāḷho’’ti. Seyyathā vā pana, mahārāja, puriso ahiṃ karaṇḍā uddhareyya. Tassa evamassa – ‘ayaṃ ahi, ayaṃ karaṇḍo. Añño ahi, añño karaṇḍo, karaṇḍā tveva ahi ubbhato’ti 84. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte manomayaṃ kāyaṃ abhinimmānāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimmināti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriyaṃ. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
อิทฺธิวิธญาณํ
Iddhividhañāṇaṃ
๒๓๘. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อิทฺธิวิธาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ ฯ โส อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ ติโรภาวํ ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ เสยฺยถาปิ อากาเสฯ ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ เสยฺยถาปิ อุทเกฯ อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ 85 เสยฺยถาปิ ปถวิยา ฯ อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมติ เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณฯ อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปรามสติ ปริมชฺชติฯ ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตติฯ
238. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte iddhividhāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti . So anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti – ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ tirobhāvaṃ tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati seyyathāpi ākāse. Pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karoti seyyathāpi udake. Udakepi abhijjamāne gacchati 86 seyyathāpi pathaviyā . Ākāsepi pallaṅkena kamati seyyathāpi pakkhī sakuṇo. Imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parāmasati parimajjati. Yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vatteti.
๒๓๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ทโกฺข กุมฺภกาโร วา กุมฺภการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตาย มตฺติกาย ยํ ยเทว ภาชนวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เสยฺยถา วา ปน, มหาราช, ทโกฺข ทนฺตกาโร วา ทนฺตการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ ทนฺตสฺมิํ ยํ ยเทว ทนฺตวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เสยฺยถา วา ปน, มหาราช, ทโกฺข สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ สุวณฺณสฺมิํ ยํ ยเทว สุวณฺณวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อิทฺธิวิธาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ ติโรภาวํ ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ เสยฺยถาปิ อากาเสฯ ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ เสยฺยถาปิ อุทเกฯ อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ เสยฺยถาปิ ปถวิยาฯ อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมติ เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณฯ อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปรามสติ ปริมชฺชติฯ ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
239. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, dakkho kumbhakāro vā kumbhakārantevāsī vā suparikammakatāya mattikāya yaṃ yadeva bhājanavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Seyyathā vā pana, mahārāja, dakkho dantakāro vā dantakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ dantasmiṃ yaṃ yadeva dantavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Seyyathā vā pana, mahārāja, dakkho suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ suvaṇṇasmiṃ yaṃ yadeva suvaṇṇavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte iddhividhāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti – ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ tirobhāvaṃ tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati seyyathāpi ākāse. Pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karoti seyyathāpi udake. Udakepi abhijjamāne gacchati seyyathāpi pathaviyā. Ākāsepi pallaṅkena kamati seyyathāpi pakkhī sakuṇo. Imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parāmasati parimajjati. Yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vatteti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
ทิพฺพโสตญาณํ
Dibbasotañāṇaṃ
๒๔๐. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จฯ
240. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte dibbāya sotadhātuyā cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti dibbe ca mānuse ca ye dūre santike ca.
๒๔๑. ‘‘เสยฺยถาปิ , มหาราช, ปุริโส อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺนฯ โส สุเณยฺย เภริสทฺทมฺปิ มุทิงฺคสทฺทมฺปิ 87 สงฺขปณวทินฺทิมสทฺทมฺปิ 88ฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘เภริสโทฺท’ อิติปิ, ‘มุทิงฺคสโทฺท’ อิติปิ, ‘สงฺขปณวทินฺทิมสโทฺท’ อิติปิ 89ฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
241. ‘‘Seyyathāpi , mahārāja, puriso addhānamaggappaṭipanno. So suṇeyya bherisaddampi mudiṅgasaddampi 90 saṅkhapaṇavadindimasaddampi 91. Tassa evamassa – ‘bherisaddo’ itipi, ‘mudiṅgasaddo’ itipi, ‘saṅkhapaṇavadindimasaddo’ itipi 92. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte dibbāya sotadhātuyā cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti dibbe ca mānuse ca ye dūre santike ca. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
เจโตปริยญาณํ
Cetopariyañāṇaṃ
๒๔๒. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ – สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สงฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘สอุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ , วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติฯ
242. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti – sarāgaṃ vā cittaṃ ‘sarāgaṃ citta’nti pajānāti, vītarāgaṃ vā cittaṃ ‘vītarāgaṃ citta’nti pajānāti, sadosaṃ vā cittaṃ ‘sadosaṃ citta’nti pajānāti, vītadosaṃ vā cittaṃ ‘vītadosaṃ citta’nti pajānāti, samohaṃ vā cittaṃ ‘samohaṃ citta’nti pajānāti, vītamohaṃ vā cittaṃ ‘vītamohaṃ citta’nti pajānāti, saṅkhittaṃ vā cittaṃ ‘saṅkhittaṃ citta’nti pajānāti, vikkhittaṃ vā cittaṃ ‘vikkhittaṃ citta’nti pajānāti, mahaggataṃ vā cittaṃ ‘mahaggataṃ citta’nti pajānāti, amahaggataṃ vā cittaṃ ‘amahaggataṃ citta’nti pajānāti, sauttaraṃ vā cittaṃ ‘sauttaraṃ citta’nti pajānāti, anuttaraṃ vā cittaṃ ‘anuttaraṃ citta’nti pajānāti, samāhitaṃ vā cittaṃ ‘samāhitaṃ citta’nti pajānāti, asamāhitaṃ vā cittaṃ ‘asamāhitaṃ citta’nti pajānāti , vimuttaṃ vā cittaṃ ‘vimuttaṃ citta’nti pajānāti, avimuttaṃ vā cittaṃ ‘avimuttaṃ citta’nti pajānāti.
๒๔๓. ‘‘เสยฺยถาปิ , มหาราช, อิตฺถี วา ปุริโส วา ทหโร ยุวา มณฺฑนชาติโก อาทาเส วา ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อเจฺฉ วา อุทกปเตฺต สกํ มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขมาโน สกณิกํ วา ‘สกณิก’นฺติ ชาเนยฺย, อกณิกํ วา ‘อกณิก’นฺติ ชาเนยฺย; เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ – สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สงฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘สอุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺต’’นฺติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
243. ‘‘Seyyathāpi , mahārāja, itthī vā puriso vā daharo yuvā maṇḍanajātiko ādāse vā parisuddhe pariyodāte acche vā udakapatte sakaṃ mukhanimittaṃ paccavekkhamāno sakaṇikaṃ vā ‘sakaṇika’nti jāneyya, akaṇikaṃ vā ‘akaṇika’nti jāneyya; evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti – sarāgaṃ vā cittaṃ ‘sarāgaṃ citta’nti pajānāti, vītarāgaṃ vā cittaṃ ‘vītarāgaṃ citta’nti pajānāti, sadosaṃ vā cittaṃ ‘sadosaṃ citta’nti pajānāti, vītadosaṃ vā cittaṃ ‘vītadosaṃ citta’nti pajānāti, samohaṃ vā cittaṃ ‘samohaṃ citta’nti pajānāti, vītamohaṃ vā cittaṃ ‘vītamohaṃ citta’nti pajānāti, saṅkhittaṃ vā cittaṃ ‘saṅkhittaṃ citta’nti pajānāti, vikkhittaṃ vā cittaṃ ‘vikkhittaṃ citta’nti pajānāti, mahaggataṃ vā cittaṃ ‘mahaggataṃ citta’nti pajānāti, amahaggataṃ vā cittaṃ ‘amahaggataṃ citta’nti pajānāti, sauttaraṃ vā cittaṃ ‘sauttaraṃ citta’nti pajānāti, anuttaraṃ vā cittaṃ ‘anuttaraṃ citta’nti pajānāti, samāhitaṃ vā cittaṃ ‘samāhitaṃ citta’nti pajānāti, asamāhitaṃ vā cittaṃ ‘asamāhitaṃ citta’nti pajānāti, vimuttaṃ vā cittaṃ ‘vimuttaṃ citta’’nti pajānāti, avimuttaṃ vā cittaṃ ‘avimuttaṃ citta’nti pajānāti. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ
Pubbenivāsānussatiñāṇaṃ
๒๔๔. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป, ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
244. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe, ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati.
๒๔๕. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺย, ตมฺหาปิ คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺยฯ โส ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคเจฺฉยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข สกมฺหา คามา อมุํ คามํ อคจฺฉิํ 93, ตตฺราปิ เอวํ อฎฺฐาสิํ, เอวํ นิสีทิํ, เอวํ อภาสิํ, เอวํ ตุณฺหี อโหสิํ, ตมฺหาปิ คามา อมุํ คามํ อคจฺฉิํ, ตตฺราปิ เอวํ อฎฺฐาสิํ, เอวํ นิสีทิํ, เอวํ อภาสิํ, เอวํ ตุณฺหี อโหสิํ, โสมฺหิ ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคโต’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป, ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติ, อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
245. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, puriso sakamhā gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya, tamhāpi gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya. So tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgaccheyya. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho sakamhā gāmā amuṃ gāmaṃ agacchiṃ 94, tatrāpi evaṃ aṭṭhāsiṃ, evaṃ nisīdiṃ, evaṃ abhāsiṃ, evaṃ tuṇhī ahosiṃ, tamhāpi gāmā amuṃ gāmaṃ agacchiṃ, tatrāpi evaṃ aṭṭhāsiṃ, evaṃ nisīdiṃ, evaṃ abhāsiṃ, evaṃ tuṇhī ahosiṃ, somhi tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgato’ti. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe, ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti, iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
ทิพฺพจกฺขุญาณํ
Dibbacakkhuñāṇaṃ
๒๔๖. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ
246. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā. Te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti.
๒๔๗. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, มเชฺฌ สิงฺฆาฎเก ปาสาโทฯ ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสเนฺตปิ นิกฺขมเนฺตปิ รถิกายปิ วีถิํ สญฺจรเนฺต 95 มเชฺฌ สิงฺฆาฎเก นิสิเนฺนปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘เอเต มนุสฺสา เคหํ ปวิสนฺติ, เอเต นิกฺขมนฺติ, เอเต รถิกาย วีถิํ สญฺจรนฺติ, เอเต มเชฺฌ สิงฺฆาฎเก นิสินฺนา’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต; ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ ‘อิทมฺปิ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ
247. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, majjhe siṅghāṭake pāsādo. Tattha cakkhumā puriso ṭhito passeyya manusse gehaṃ pavisantepi nikkhamantepi rathikāyapi vīthiṃ sañcarante 96 majjhe siṅghāṭake nisinnepi. Tassa evamassa – ‘ete manussā gehaṃ pavisanti, ete nikkhamanti, ete rathikāya vīthiṃ sañcaranti, ete majjhe siṅghāṭake nisinnā’ti. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā. Te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate; yathākammūpage satte pajānāti. ‘Idampi kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca.
อาสวกฺขยญาณํ
Āsavakkhayañāṇaṃ
๒๔๘. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ , อยํ ทุกฺขสมุทโยติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ ทุกฺขนิโรโธติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ อิเม อาสวาติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อาสวสมุทโยติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อาสวนิโรโธติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิ’ติ ญาณํ โหติ, ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ
248. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajānāti , ayaṃ dukkhasamudayoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ dukkhanirodhoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti. Ime āsavāti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ āsavasamudayoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ āsavanirodhoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati, ‘vimuttasmiṃ vimuttami’ti ñāṇaṃ hoti, ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.
๒๔๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, ปพฺพตสเงฺขเป อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโลฯ ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย สิปฺปิสมฺพุกมฺปิ สกฺขรกถลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ จรนฺตมฺปิ ติฎฺฐนฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ โข อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโลฯ ตตฺริเม สิปฺปิสมฺพุกาปิ สกฺขรกถลาปิ มจฺฉคุมฺพาปิ จรนฺติปิ ติฎฺฐนฺติปี’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ ‘โส อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ , ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ‘อิเม อาสวาติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ, ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ อิทํ โข, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุริเมหิ สนฺทิฎฺฐิเกหิ สามญฺญผเลหิ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจฯ อิมสฺมา จ ปน, มหาราช, สนฺทิฎฺฐิกา สามญฺญผลา อญฺญํ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ อุตฺตริตรํ วา ปณีตตรํ วา นตฺถี’’ติฯ
249. ‘‘Seyyathāpi, mahārāja, pabbatasaṅkhepe udakarahado accho vippasanno anāvilo. Tattha cakkhumā puriso tīre ṭhito passeyya sippisambukampi sakkharakathalampi macchagumbampi carantampi tiṭṭhantampi. Tassa evamassa – ‘ayaṃ kho udakarahado accho vippasanno anāvilo. Tatrime sippisambukāpi sakkharakathalāpi macchagumbāpi carantipi tiṭṭhantipī’ti. Evameva kho, mahārāja, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. ‘So idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti , ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. ‘Ime āsavāti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati, ‘vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti, ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Idaṃ kho, mahārāja, sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ purimehi sandiṭṭhikehi sāmaññaphalehi abhikkantatarañca paṇītatarañca. Imasmā ca pana, mahārāja, sandiṭṭhikā sāmaññaphalā aññaṃ sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ uttaritaraṃ vā paṇītataraṃ vā natthī’’ti.
อชาตสตฺตุอุปาสกตฺตปฎิเวทนา
Ajātasattuupāsakattapaṭivedanā
๒๕๐. เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺตฯ เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติ; เอวเมวํ, ภเนฺต, ภควตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโต ฯ เอสาหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คตํฯ อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ปิตรํ ธมฺมิกํ ธมฺมราชานํ อิสฺสริยการณา ชีวิตา โวโรเปสิํฯ ตสฺส เม, ภเนฺต ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ
250. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante. Seyyathāpi, bhante, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti; evamevaṃ, bhante, bhagavatā anekapariyāyena dhammo pakāsito . Esāhaṃ, bhante, bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gataṃ. Accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yohaṃ pitaraṃ dhammikaṃ dhammarājānaṃ issariyakāraṇā jīvitā voropesiṃ. Tassa me, bhante bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti.
๒๕๑. ‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, มหาราช, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยํ ตฺวํ ปิตรํ ธมฺมิกํ ธมฺมราชานํ ชีวิตา โวโรเปสิฯ ยโต จ โข ตฺวํ, มหาราช, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสิ, ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิเหสา, มหาราช, อริยสฺส วินเย, โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติฯ
251. ‘‘Taggha tvaṃ, mahārāja, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yaṃ tvaṃ pitaraṃ dhammikaṃ dhammarājānaṃ jīvitā voropesi. Yato ca kho tvaṃ, mahārāja, accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikarosi, taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāma. Vuddhihesā, mahārāja, ariyassa vinaye, yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti.
๒๕๒. เอวํ วุเตฺต, ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘หนฺท จ ทานิ มยํ, ภเนฺต, คจฺฉาม พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา’’ติฯ ‘‘ยสฺสทานิ ตฺวํ, มหาราช, กาลํ มญฺญสี’’ติฯ อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
252. Evaṃ vutte, rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘handa ca dāni mayaṃ, bhante, gacchāma bahukiccā mayaṃ bahukaraṇīyā’’ti. ‘‘Yassadāni tvaṃ, mahārāja, kālaṃ maññasī’’ti. Atha kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.
๒๕๓. อถ โข ภควา อจิรปกฺกนฺตสฺส รโญฺญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ขตายํ, ภิกฺขเว, ราชาฯ อุปหตายํ, ภิกฺขเว, ราชาฯ สจายํ, ภิกฺขเว, ราชา ปิตรํ ธมฺมิกํ ธมฺมราชานํ ชีวิตา น โวโรเปสฺสถ, อิมสฺมิเญฺญว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุปฺปชฺชิสฺสถา’’ติฯ อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
253. Atha kho bhagavā acirapakkantassa rañño māgadhassa ajātasattussa vedehiputtassa bhikkhū āmantesi – ‘‘khatāyaṃ, bhikkhave, rājā. Upahatāyaṃ, bhikkhave, rājā. Sacāyaṃ, bhikkhave, rājā pitaraṃ dhammikaṃ dhammarājānaṃ jīvitā na voropessatha, imasmiññeva āsane virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ uppajjissathā’’ti. Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
สามญฺญผลสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทุติยํฯ
Sāmaññaphalasuttaṃ niṭṭhitaṃ dutiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา • 2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา • 2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā