Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) |
๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา
2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā
ราชามจฺจกถาวณฺณนา
Rājāmaccakathāvaṇṇanā
๑๕๐. เอวํ เม สุตํ…เป.… ราชคเหติ สามญฺญผลสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนา – ราชคเหติ เอวํนามเก นคเรฯ ตญฺหิ มนฺธาตุมหาโควินฺทาทีหิ ปริคฺคหิตตฺตา ราชคหนฺติ วุจฺจติฯ อเญฺญปิ เอตฺถ ปกาเร วณฺณยนฺติ, กิํ เตหิ? นามมตฺตเมตํ ตสฺส นครสฺสฯ ตํ ปเนตํ พุทฺธกาเล จ จกฺกวตฺติกาเล จ นครํ โหติ, เสสกาเล สุญฺญํ โหติ ยกฺขปริคฺคหิตํ, เตสํ วสนวนํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคิปริทีปนเมตํฯ อิธ ปน ฐานคมนนิสชฺชสยนปฺปเภเทสุ อิริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํฯ เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติ เจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา วิหรตีติ วุจฺจติฯ
150.Evaṃme sutaṃ…pe… rājagaheti sāmaññaphalasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā – rājagaheti evaṃnāmake nagare. Tañhi mandhātumahāgovindādīhi pariggahitattā rājagahanti vuccati. Aññepi ettha pakāre vaṇṇayanti, kiṃ tehi? Nāmamattametaṃ tassa nagarassa. Taṃ panetaṃ buddhakāle ca cakkavattikāle ca nagaraṃ hoti, sesakāle suññaṃ hoti yakkhapariggahitaṃ, tesaṃ vasanavanaṃ hutvā tiṭṭhati. Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgiparidīpanametaṃ. Idha pana ṭhānagamananisajjasayanappabhedesu iriyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ. Tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharati ceva veditabbo. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā viharatīti vuccati.
ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเนติ อิทมสฺส ยํ โคจรคามํ อุปนิสฺสาย วิหรติ, ตสฺส สมีปนิวาสนฎฺฐานปริทีปนํฯ ตสฺมา – ราชคเห วิหรติ ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเนติ ราชคหสมีเป ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน วิหรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สมีปเตฺถ เหตํ ภุมฺมวจนํฯ ตตฺถ ชีวตีติ ชีวโก, กุมาเรน ภโตติ โกมารภโจฺจฯ ยถาห – ‘‘กิํ ภเณ, เอตํ กาเกหิ สมฺปริกิณฺณนฺติ? ทารโก เทวาติฯ ชีวติ ภเณติ? ชีวติ, เทวาติฯ เตน หิ, ภเณ ตํ ทารกํ อมฺหากํ อเนฺตปุรํ เนตฺวา ธาตีนํ เทถ โปเสตุนฺติฯ ตสฺส ชีวตีติ ชีวโกติ นามํ อกํสุฯ กุมาเรน โปสาปิโตติ โกมารภโจฺจติ นามํ อกํสู’’ติ (มหาว. ๓๒๘) อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาเรน ปน ชีวกวตฺถุขนฺธเก อาคตเมวฯ วินิจฺฉยกถาปิสฺส สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถายํ วุตฺตาฯ
Jīvakassa komārabhaccassa ambavaneti idamassa yaṃ gocaragāmaṃ upanissāya viharati, tassa samīpanivāsanaṭṭhānaparidīpanaṃ. Tasmā – rājagahe viharati jīvakassa komārabhaccassa ambavaneti rājagahasamīpe jīvakassa komārabhaccassa ambavane viharatīti evamettha attho veditabbo. Samīpatthe hetaṃ bhummavacanaṃ. Tattha jīvatīti jīvako, kumārena bhatoti komārabhacco. Yathāha – ‘‘kiṃ bhaṇe, etaṃ kākehi samparikiṇṇanti? Dārako devāti. Jīvati bhaṇeti? Jīvati, devāti. Tena hi, bhaṇe taṃ dārakaṃ amhākaṃ antepuraṃ netvā dhātīnaṃ detha posetunti. Tassa jīvatīti jīvakoti nāmaṃ akaṃsu. Kumārena posāpitoti komārabhaccoti nāmaṃ akaṃsū’’ti (mahāva. 328) ayaṃ panettha saṅkhepo. Vitthārena pana jīvakavatthukhandhake āgatameva. Vinicchayakathāpissa samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāyaṃ vuttā.
อยํ ปน ชีวโก เอกสฺมิํ สมเย ภควโต โทสาภิสนฺนํ กายํ วิเรเจตฺวา สิเวยฺยกํ ทุสฺสยุคํ ทตฺวา วตฺถานุโมทนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย จิเนฺตสิ – ‘‘มยา ทิวสสฺส ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ พุทฺธุปฎฺฐานํ คนฺตพฺพํ, อิทญฺจ เวฬุวนํ อติทูเร, มยฺหํ ปน อมฺพวนํ อุยฺยานํ อาสนฺนตรํ, ยํนูนาหํ เอตฺถ ภควโต วิหารํ กาเรยฺย’’นฺติฯ โส ตสฺมิํ อมฺพวเน รตฺติฎฺฐานทิวาฐานเลณกุฎิมณฺฑปาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ภควโต อนุจฺฉวิกํ คนฺธกุฎิํ การาเปตฺวา อมฺพวนํ อฎฺฐารสหตฺถุเพฺพเธน ตมฺพปฎฺฎวเณฺณน ปากาเรน ปริกฺขิปาเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ สจีวรภเตฺตน สนฺตเปฺปตฺวา ทกฺขิโณทกํ ปาเตตฺวา วิหารํ นิยฺยาเตสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน’’ติฯ
Ayaṃ pana jīvako ekasmiṃ samaye bhagavato dosābhisannaṃ kāyaṃ virecetvā siveyyakaṃ dussayugaṃ datvā vatthānumodanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāya cintesi – ‘‘mayā divasassa dvattikkhattuṃ buddhupaṭṭhānaṃ gantabbaṃ, idañca veḷuvanaṃ atidūre, mayhaṃ pana ambavanaṃ uyyānaṃ āsannataraṃ, yaṃnūnāhaṃ ettha bhagavato vihāraṃ kāreyya’’nti. So tasmiṃ ambavane rattiṭṭhānadivāṭhānaleṇakuṭimaṇḍapādīni sampādetvā bhagavato anucchavikaṃ gandhakuṭiṃ kārāpetvā ambavanaṃ aṭṭhārasahatthubbedhena tambapaṭṭavaṇṇena pākārena parikkhipāpetvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ sacīvarabhattena santappetvā dakkhiṇodakaṃ pātetvā vihāraṃ niyyātesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘jīvakassa komārabhaccassa ambavane’’ti.
อฑฺฒเตฬเสหิ ภิกฺขุสเตหีติ อฑฺฒสเตน อูเนหิ เตรสหิ ภิกฺขุสเตหิฯ ราชาติอาทีสุ ราชติ อตฺตโน อิสฺสริยสมฺปตฺติยา จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ มหาชนํ รเญฺชติ วเฑฺฒตีติ ราชาฯ มคธานํ อิสฺสโรติ มาคโธฯ อชาโตเยว รโญฺญ สตฺตุ ภวิสฺสตีติ เนมิตฺตเกหิ นิทฺทิโฎฺฐติ อชาตสตฺตุฯ
Aḍḍhateḷasehi bhikkhusatehīti aḍḍhasatena ūnehi terasahi bhikkhusatehi. Rājātiādīsu rājati attano issariyasampattiyā catūhi saṅgahavatthūhi mahājanaṃ rañjeti vaḍḍhetīti rājā. Magadhānaṃ issaroti māgadho. Ajātoyeva rañño sattu bhavissatīti nemittakehi niddiṭṭhoti ajātasattu.
ตสฺมิํ กิร กุจฺฉิคเต เทวิยา เอวรูโป โทหโฬ อุปฺปชฺชิ – ‘‘อโห วตาหํ รโญฺญ ทกฺขิณพาหุโลหิตํ ปิเวยฺย’’นฺติ, สา ‘‘ภาริเย ฐาเน โทหโฬ อุปฺปโนฺน, น สกฺกา กสฺสจิ อาโรเจตุ’’นฺติ ตํ กเถตุํ อสโกฺกนฺตี กิสา ทุพฺพณฺณา อโหสิฯ ตํ ราชา ปุจฺฉิ – ‘‘ภเทฺท, ตุยฺหํ อตฺตภาโว น ปกติวโณฺณ, กิํ การณ’’นฺติ? ‘‘มา ปุจฺฉ, มหาราชาติ’’ฯ ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ อตฺตโน อชฺฌาสยํ มยฺหํ อกเถนฺตี กสฺส กเถสฺสสี’’ติ ตถา ตถา นิพนฺธิตฺวา กถาเปสิฯ สุตฺวา จ – ‘‘พาเล, กิํ เอตฺถ ตุยฺหํ ภาริยสญฺญา อโหสี’’ติ เวชฺชํ ปโกฺกสาเปตฺวา สุวณฺณสตฺถเกน พาหุํ ผาลาเปตฺวา สุวณฺณสรเกน โลหิตํ คเหตฺวา อุทเกน สมฺภินฺทิตฺวา ปาเยสิฯ เนมิตฺตกา ตํ สุตฺวา – ‘‘เอส คโพฺภ รโญฺญ สตฺตุ ภวิสฺสติ, อิมินา ราชา หญฺญิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ เทวี สุตฺวา – ‘‘มยฺหํ กิร กุจฺฉิโต นิกฺขโนฺต ราชานํ มาเรสฺสตี’’ติ คพฺภํ ปาเตตุกามา อุยฺยานํ คนฺตฺวา กุจฺฉิํ มทฺทาเปสิ, คโพฺภ น ปตติฯ สา ปุนปฺปุนํ คนฺตฺวา ตเถว กาเรสิฯ ราชา กิมตฺถํ อยํ อภิณฺหํ อุยฺยานํ คจฺฉตีติ ปริวีมํสโนฺต ตํ การณํ สุตฺวา – ‘‘ภเทฺท, ตว กุจฺฉิยํ ปุโตฺตติ วา ธีตาติ วา น ปญฺญายติ, อตฺตโน นิพฺพตฺตทารกํ เอวมกาสีติ มหา อคุณราสิปิ โน ชมฺพุทีปตเล อาวิภวิสฺสติ, มา ตฺวํ เอวํ กโรหี’’ติ นิวาเรตฺวา อารกฺขํ อทาสิฯ สา คพฺภวุฎฺฐานกาเล ‘‘มาเรสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตทาปิ อารกฺขมนุสฺสา ทารกํ อปนยิํสุฯ อถาปเรน สมเยน วุฑฺฒิปฺปตฺตํ กุมารํ เทวิยา ทเสฺสสุํฯ สา ตํ ทิสฺวาว ปุตฺตสิเนหํ อุปฺปาเทสิ, เตน นํ มาเรตุํ นาสกฺขิฯ ราชาปิ อนุกฺกเมน ปุตฺตสฺส โอปรชฺชมทาสิฯ
Tasmiṃ kira kucchigate deviyā evarūpo dohaḷo uppajji – ‘‘aho vatāhaṃ rañño dakkhiṇabāhulohitaṃ piveyya’’nti, sā ‘‘bhāriye ṭhāne dohaḷo uppanno, na sakkā kassaci ārocetu’’nti taṃ kathetuṃ asakkontī kisā dubbaṇṇā ahosi. Taṃ rājā pucchi – ‘‘bhadde, tuyhaṃ attabhāvo na pakativaṇṇo, kiṃ kāraṇa’’nti? ‘‘Mā puccha, mahārājāti’’. ‘‘Bhadde, tvaṃ attano ajjhāsayaṃ mayhaṃ akathentī kassa kathessasī’’ti tathā tathā nibandhitvā kathāpesi. Sutvā ca – ‘‘bāle, kiṃ ettha tuyhaṃ bhāriyasaññā ahosī’’ti vejjaṃ pakkosāpetvā suvaṇṇasatthakena bāhuṃ phālāpetvā suvaṇṇasarakena lohitaṃ gahetvā udakena sambhinditvā pāyesi. Nemittakā taṃ sutvā – ‘‘esa gabbho rañño sattu bhavissati, iminā rājā haññissatī’’ti byākariṃsu. Devī sutvā – ‘‘mayhaṃ kira kucchito nikkhanto rājānaṃ māressatī’’ti gabbhaṃ pātetukāmā uyyānaṃ gantvā kucchiṃ maddāpesi, gabbho na patati. Sā punappunaṃ gantvā tatheva kāresi. Rājā kimatthaṃ ayaṃ abhiṇhaṃ uyyānaṃ gacchatīti parivīmaṃsanto taṃ kāraṇaṃ sutvā – ‘‘bhadde, tava kucchiyaṃ puttoti vā dhītāti vā na paññāyati, attano nibbattadārakaṃ evamakāsīti mahā aguṇarāsipi no jambudīpatale āvibhavissati, mā tvaṃ evaṃ karohī’’ti nivāretvā ārakkhaṃ adāsi. Sā gabbhavuṭṭhānakāle ‘‘māressāmī’’ti cintesi. Tadāpi ārakkhamanussā dārakaṃ apanayiṃsu. Athāparena samayena vuḍḍhippattaṃ kumāraṃ deviyā dassesuṃ. Sā taṃ disvāva puttasinehaṃ uppādesi, tena naṃ māretuṃ nāsakkhi. Rājāpi anukkamena puttassa oparajjamadāsi.
อเถกสฺมิํ สมเย เทวทโตฺต รโหคโต จิเนฺตสิ – ‘‘สาริปุตฺตสฺส ปริสา มหาโมคฺคลฺลานสฺส ปริสา มหากสฺสปสฺส ปริสาติ, เอวมิเม วิสุํ วิสุํ ธุรา, อหมฺปิ เอกํ ธุรํ นีหรามี’’ติฯ โส ‘‘น สกฺกา วินา ลาเภน ปริสํ อุปฺปาเทตุํ, หนฺทาหํ ลาภํ นิพฺพเตฺตมี’’ติ จิเนฺตตฺวา ขนฺธเก อาคตนเยน อชาตสตฺตุํ กุมารํ อิทฺธิปาฎิหาริเยน ปสาเทตฺวา สายํ ปาตํ ปญฺจหิ รถสเตหิ อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตํ อติวิสฺสตฺถํ ญตฺวา เอกทิวสํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘‘ปุเพฺพ โข, กุมาร, มนุสฺสา ทีฆายุกา, เอตรหิ อปฺปายุกา, เตน หิ ตฺวํ กุมาร, ปิตรํ หนฺตฺวา ราชา โหหิ, อหํ ภควนฺตํ หนฺตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ กุมารํ ปิตุวเธ อุโยฺยเชติฯ
Athekasmiṃ samaye devadatto rahogato cintesi – ‘‘sāriputtassa parisā mahāmoggallānassa parisā mahākassapassa parisāti, evamime visuṃ visuṃ dhurā, ahampi ekaṃ dhuraṃ nīharāmī’’ti. So ‘‘na sakkā vinā lābhena parisaṃ uppādetuṃ, handāhaṃ lābhaṃ nibbattemī’’ti cintetvā khandhake āgatanayena ajātasattuṃ kumāraṃ iddhipāṭihāriyena pasādetvā sāyaṃ pātaṃ pañcahi rathasatehi upaṭṭhānaṃ āgacchantaṃ ativissatthaṃ ñatvā ekadivasaṃ upasaṅkamitvā etadavoca – ‘‘pubbe kho, kumāra, manussā dīghāyukā, etarahi appāyukā, tena hi tvaṃ kumāra, pitaraṃ hantvā rājā hohi, ahaṃ bhagavantaṃ hantvā buddho bhavissāmī’’ti kumāraṃ pituvadhe uyyojeti.
โส – ‘‘อโยฺย เทวทโตฺต มหานุภาโว, เอตสฺส อวิทิตํ นาม นตฺถี’’ติ อูรุยา โปตฺถนิยํ พนฺธิตฺวา ทิวา ทิวสฺส ภีโต อุพฺพิโคฺค อุสฺสงฺกี อุตฺรโสฺต อเนฺตปุรํ ปวิสิตฺวา วุตฺตปฺปการํ วิปฺปการํ อกาสิฯ อถ นํ อมจฺจา คเหตฺวา อนุยุญฺชิตฺวา – ‘‘กุมาโร จ หนฺตโพฺพ, เทวทโตฺต จ, สเพฺพ จ ภิกฺขู หนฺตพฺพา’’ติ สมฺมนฺตยิตฺวา รโญฺญ อาณาวเสน กริสฺสามาติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ
So – ‘‘ayyo devadatto mahānubhāvo, etassa aviditaṃ nāma natthī’’ti ūruyā potthaniyaṃ bandhitvā divā divassa bhīto ubbiggo ussaṅkī utrasto antepuraṃ pavisitvā vuttappakāraṃ vippakāraṃ akāsi. Atha naṃ amaccā gahetvā anuyuñjitvā – ‘‘kumāro ca hantabbo, devadatto ca, sabbe ca bhikkhū hantabbā’’ti sammantayitvā rañño āṇāvasena karissāmāti rañño ārocesuṃ.
ราชา เย อมจฺจา มาเรตุกามา อเหสุํ, เตสํ ฐานนฺตรานิ อจฺฉินฺทิตฺวา, เย น มาเรตุกามา, เต อุเจฺจสุ ฐาเนสุ ฐเปตฺวา กุมารํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิสฺส ปน ตฺวํ, กุมาร, มํ มาเรตุกาโมสี’’ติ? ‘‘รเชฺชนมฺหิ, เทว, อตฺถิโก’’ติฯ ราชา ตสฺส รชฺชํ อทาสิฯ
Rājā ye amaccā māretukāmā ahesuṃ, tesaṃ ṭhānantarāni acchinditvā, ye na māretukāmā, te uccesu ṭhānesu ṭhapetvā kumāraṃ pucchi – ‘‘kissa pana tvaṃ, kumāra, maṃ māretukāmosī’’ti? ‘‘Rajjenamhi, deva, atthiko’’ti. Rājā tassa rajjaṃ adāsi.
โส มยฺหํ มโนรโถ นิปฺผโนฺนติ เทวทตฺตสฺส อาโรเจสิฯ ตโต นํ โส อาห – ‘‘ตฺวํ สิงฺคาลํ อโนฺตกตฺวา เภริปริโยนทฺธปุริโส วิย สุกิจฺจการิมฺหีติ มญฺญสิ, กติปาเหเนว เต ปิตา ตยา กตํ อวมานํ จิเนฺตตฺวา สยเมว ราชา ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ, ภเนฺต, กิํ กโรมีติ? มูลฆจฺจํ ฆาเตหีติฯ นนุ, ภเนฺต, มยฺหํ ปิตา น สตฺถวโชฺฌติ? อาหารุปเจฺฉเทน นํ มาเรหีติฯ โส ปิตรํ ตาปนเคเห ปกฺขิปาเปสิ, ตาปนเคหํ นาม กมฺมกรณตฺถาย กตํ ธูมฆรํฯ ‘‘มม มาตรํ ฐเปตฺวา อญฺญสฺส ทฎฺฐุํ มา เทถา’’ติ อาหฯ เทวี สุวณฺณสรเก ภตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา อุจฺฉเงฺคนาทาย ปวิสติฯ ราชา ตํ ภุญฺชิตฺวา ยาเปติฯ โส – ‘‘มยฺหํ ปิตา กถํ ยาเปตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา – ‘‘มยฺหํ มาตุ อุจฺฉงฺคํ กตฺวา ปวิสิตุํ มา เทถา’’ติ อาหฯ ตโต ปฎฺฐาย เทวี โมฬิยํ ปกฺขิปิตฺวา ปวิสติฯ ตมฺปิ สุตฺวา ‘‘โมฬิํ พนฺธิตฺวา ปวิสิตุํ มา เทถา’’ติฯ ตโต สุวณฺณปาทุกาสุ ภตฺตํ ฐเปตฺวา ปิทหิตฺวา ปาทุกา อารุยฺห ปวิสติฯ ราชา เตน ยาเปติฯ ปุน ‘‘กถํ ยาเปตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘ปาทุกา อารุยฺห ปวิสิตุมฺปิ มา เทถา’’ติ อาหฯ ตโต ปฎฺฐาย เทวี คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา สรีรํ จตุมธุเรน มเกฺขตฺวา ปารุปิตฺวา ปวิสติฯ ราชา ตสฺสา สรีรํ เลหิตฺวา ยาเปติฯ ปุน ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย มยฺหํ มาตุ ปเวสนํ นิวาเรถา’’ติ อาหฯ เทวี ทฺวารมูเล ฐตฺวา ‘‘สามิ, พิมฺพิสาร, เอตํ ทหรกาเล มาเรตุํ น อทาสิ, อตฺตโน สตฺตุํ อตฺตนาว โปเสสิ, อิทํ ปน ทานิ เต ปจฺฉิมทสฺสนํ, นาหํ อิโต ปฎฺฐาย ตุเมฺห ปสฺสิตุํ ลภามิ, สเจ มยฺหํ โทโส อตฺถิ, ขมถ เทวา’’ติ โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา นิวตฺติฯ
So mayhaṃ manoratho nipphannoti devadattassa ārocesi. Tato naṃ so āha – ‘‘tvaṃ siṅgālaṃ antokatvā bheripariyonaddhapuriso viya sukiccakārimhīti maññasi, katipāheneva te pitā tayā kataṃ avamānaṃ cintetvā sayameva rājā bhavissatī’’ti. Atha, bhante, kiṃ karomīti? Mūlaghaccaṃ ghātehīti. Nanu, bhante, mayhaṃ pitā na satthavajjhoti? Āhārupacchedena naṃ mārehīti. So pitaraṃ tāpanagehe pakkhipāpesi, tāpanagehaṃ nāma kammakaraṇatthāya kataṃ dhūmagharaṃ. ‘‘Mama mātaraṃ ṭhapetvā aññassa daṭṭhuṃ mā dethā’’ti āha. Devī suvaṇṇasarake bhattaṃ pakkhipitvā ucchaṅgenādāya pavisati. Rājā taṃ bhuñjitvā yāpeti. So – ‘‘mayhaṃ pitā kathaṃ yāpetī’’ti pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā – ‘‘mayhaṃ mātu ucchaṅgaṃ katvā pavisituṃ mā dethā’’ti āha. Tato paṭṭhāya devī moḷiyaṃ pakkhipitvā pavisati. Tampi sutvā ‘‘moḷiṃ bandhitvā pavisituṃ mā dethā’’ti. Tato suvaṇṇapādukāsu bhattaṃ ṭhapetvā pidahitvā pādukā āruyha pavisati. Rājā tena yāpeti. Puna ‘‘kathaṃ yāpetī’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘pādukā āruyha pavisitumpi mā dethā’’ti āha. Tato paṭṭhāya devī gandhodakena nhāyitvā sarīraṃ catumadhurena makkhetvā pārupitvā pavisati. Rājā tassā sarīraṃ lehitvā yāpeti. Puna pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘ito paṭṭhāya mayhaṃ mātu pavesanaṃ nivārethā’’ti āha. Devī dvāramūle ṭhatvā ‘‘sāmi, bimbisāra, etaṃ daharakāle māretuṃ na adāsi, attano sattuṃ attanāva posesi, idaṃ pana dāni te pacchimadassanaṃ, nāhaṃ ito paṭṭhāya tumhe passituṃ labhāmi, sace mayhaṃ doso atthi, khamatha devā’’ti roditvā kanditvā nivatti.
ตโต ปฎฺฐาย รโญฺญ อาหาโร นตฺถิฯ ราชา มคฺคผลสุเขน จงฺกเมน ยาเปติฯ อติวิย อสฺส อตฺตภาโว วิโรจติฯ โส – ‘‘กถํ, เม ภเณ, ปิตา ยาเปตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘จงฺกเมน, เทว, ยาเปติ; อติวิย จสฺส อตฺตภาโว วิโรจตี’’ติ สุตฺวา ‘จงฺกมํ ทานิสฺส หาเรสฺสามี’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘มยฺหํ ปิตุ ปาเท ขุเรน ผาเลตฺวา โลณเตเลน มเกฺขตฺวา ขทิรงฺคาเรหิ วีตจฺจิเตหิ ปจถา’’ติ นฺหาปิเต เปเสสิฯ ราชา เต ทิสฺวา – ‘‘นูน มยฺหํ ปุโตฺต เกนจิ สญฺญโตฺต ภวิสฺสติ, อิเม มม มสฺสุกรณตฺถายาคตา’’ติ จิเนฺตสิฯ เต คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ ‘กสฺมา อาคตตฺถา’ติ จ ปุฎฺฐา ตํ สาสนํ อาโรเจสุํฯ ‘‘ตุมฺหากํ รโญฺญ มนํ กโรถา’’ติ จ วุตฺตา ‘นิสีท, เทวา’ติ วตฺวา จ ราชานํ วนฺทิตฺวา – ‘‘เทว, มยํ รโญฺญ อาณํ กโรม, มา อมฺหากํ กุชฺฌิตฺถ, นยิทํ ตุมฺหาทิสานํ ธมฺมราชูนํ อนุจฺฉวิก’’นฺติ วตฺวา วามหเตฺถน โคปฺผเก คเหตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน ขุรํ คเหตฺวา ปาทตลานิ ผาเลตฺวา โลณเตเลน มเกฺขตฺวา ขทิรงฺคาเรหิ วีตจฺจิเตหิ ปจิํสุฯ ราชา กิร ปุเพฺพ เจติยงฺคเณ สอุปาหโน อคมาสิ, นิสชฺชนตฺถาย ปญฺญตฺตกฎสารกญฺจ อโธเตหิ ปาเทหิ อกฺกมิ, ตสฺสายํ นิสฺสโนฺทติ วทนฺติฯ รโญฺญ พลวเวทนา อุปฺปนฺนาฯ โส – ‘‘อโห พุโทฺธ, อโห ธโมฺม, อโห สโงฺฆ’’ติ อนุสฺสรโนฺตเยว เจติยงฺคเณ ขิตฺตมาลา วิย มิลายิตฺวา จาตุมหาราชิกเทวโลเก เวสฺสวณสฺส ปริจารโก ชนวสโภ นาม ยโกฺข หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ
Tato paṭṭhāya rañño āhāro natthi. Rājā maggaphalasukhena caṅkamena yāpeti. Ativiya assa attabhāvo virocati. So – ‘‘kathaṃ, me bhaṇe, pitā yāpetī’’ti pucchitvā ‘‘caṅkamena, deva, yāpeti; ativiya cassa attabhāvo virocatī’’ti sutvā ‘caṅkamaṃ dānissa hāressāmī’ti cintetvā – ‘‘mayhaṃ pitu pāde khurena phāletvā loṇatelena makkhetvā khadiraṅgārehi vītaccitehi pacathā’’ti nhāpite pesesi. Rājā te disvā – ‘‘nūna mayhaṃ putto kenaci saññatto bhavissati, ime mama massukaraṇatthāyāgatā’’ti cintesi. Te gantvā vanditvā aṭṭhaṃsu. ‘Kasmā āgatatthā’ti ca puṭṭhā taṃ sāsanaṃ ārocesuṃ. ‘‘Tumhākaṃ rañño manaṃ karothā’’ti ca vuttā ‘nisīda, devā’ti vatvā ca rājānaṃ vanditvā – ‘‘deva, mayaṃ rañño āṇaṃ karoma, mā amhākaṃ kujjhittha, nayidaṃ tumhādisānaṃ dhammarājūnaṃ anucchavika’’nti vatvā vāmahatthena gopphake gahetvā dakkhiṇahatthena khuraṃ gahetvā pādatalāni phāletvā loṇatelena makkhetvā khadiraṅgārehi vītaccitehi paciṃsu. Rājā kira pubbe cetiyaṅgaṇe saupāhano agamāsi, nisajjanatthāya paññattakaṭasārakañca adhotehi pādehi akkami, tassāyaṃ nissandoti vadanti. Rañño balavavedanā uppannā. So – ‘‘aho buddho, aho dhammo, aho saṅgho’’ti anussarantoyeva cetiyaṅgaṇe khittamālā viya milāyitvā cātumahārājikadevaloke vessavaṇassa paricārako janavasabho nāma yakkho hutvā nibbatti.
ตํ ทิวสเมว อชาตสตฺตุสฺส ปุโตฺต ชาโต, ปุตฺตสฺส ชาตภาวญฺจ ปิตุมตภาวญฺจ นิเวเทตุํ เทฺว เลขา เอกกฺขเณเยว อาคตาฯ อมจฺจา – ‘‘ปฐมํ ปุตฺตสฺส ชาตภาวํ อาโรเจสฺสามา’’ติ ตํ เลขํ รโญฺญ หเตฺถ ฐเปสุํฯ รโญฺญ ตงฺขเณเยว ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิตฺวา สกลสรีรํ โขเภตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ อาหจฺจ อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ปิตุคุณมญฺญาสิ – ‘‘มยิ ชาเตปิ มยฺหํ ปิตุ เอวเมว สิเนโห อุปฺปโนฺน’’ติฯ โส – ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, มยฺหํ ปิตรํ วิสฺสเชฺชถา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ วิสฺสชฺชาเปถ, เทวา’’ติ อิตรํ เลขํ หเตฺถ ฐปยิํสุฯ
Taṃ divasameva ajātasattussa putto jāto, puttassa jātabhāvañca pitumatabhāvañca nivedetuṃ dve lekhā ekakkhaṇeyeva āgatā. Amaccā – ‘‘paṭhamaṃ puttassa jātabhāvaṃ ārocessāmā’’ti taṃ lekhaṃ rañño hatthe ṭhapesuṃ. Rañño taṅkhaṇeyeva puttasineho uppajjitvā sakalasarīraṃ khobhetvā aṭṭhimiñjaṃ āhacca aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe pituguṇamaññāsi – ‘‘mayi jātepi mayhaṃ pitu evameva sineho uppanno’’ti. So – ‘‘gacchatha, bhaṇe, mayhaṃ pitaraṃ vissajjethā’’ti āha. ‘‘Kiṃ vissajjāpetha, devā’’ti itaraṃ lekhaṃ hatthe ṭhapayiṃsu.
โส ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา โรทมาโน มาตุสมีปํ คนฺตฺวา – ‘‘อโหสิ นุ, โข, อมฺม, มยฺหํ ปิตุ มยิ ชาเต สิเนโห’’ติ? สา อาห – ‘‘พาลปุตฺต, กิํ วเทสิ, ตว ทหรกาเล องฺคุลิยา ปีฬกา อุฎฺฐหิฯ อถ ตํ โรทมานํ สญฺญาเปตุํ อสโกฺกนฺตา ตํ คเหตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส ตว ปิตุ สนฺติกํ อคมํสุฯ ปิตา เต องฺคุลิํ มุเข ฐเปสิฯ ปีฬกา มุเขเยว ภิชฺชิฯ อถ โข ปิตา ตว สิเนเหน ตํ โลหิตมิสฺสกํ ปุพฺพํ อนิฎฺฐุภิตฺวาว อโชฺฌหริฯ เอวรูโป เต ปิตุ สิเนโห’’ติฯ โส โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา ปิตุ สรีรกิจฺจํ อกาสิฯ
So taṃ pavattiṃ sutvā rodamāno mātusamīpaṃ gantvā – ‘‘ahosi nu, kho, amma, mayhaṃ pitu mayi jāte sineho’’ti? Sā āha – ‘‘bālaputta, kiṃ vadesi, tava daharakāle aṅguliyā pīḷakā uṭṭhahi. Atha taṃ rodamānaṃ saññāpetuṃ asakkontā taṃ gahetvā vinicchayaṭṭhāne nisinnassa tava pitu santikaṃ agamaṃsu. Pitā te aṅguliṃ mukhe ṭhapesi. Pīḷakā mukheyeva bhijji. Atha kho pitā tava sinehena taṃ lohitamissakaṃ pubbaṃ aniṭṭhubhitvāva ajjhohari. Evarūpo te pitu sineho’’ti. So roditvā paridevitvā pitu sarīrakiccaṃ akāsi.
เทวทโตฺตปิ อชาตสตฺตุํ อุปสงฺกมิตฺวา – ‘‘ปุริเส, มหาราช, อาณาเปหิ, เย สมณํ โคตมํ ชีวิตา โวโรเปสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา เตน ทิเนฺน ปุริเส เปเสตฺวา สยํ คิชฺฌกูฎํ อารุยฺห ยเนฺตน สิลํ ปวิชฺฌิตฺวา นาฬาคิริหตฺถิํ มุญฺจาเปตฺวาปิ เกนจิ อุปาเยน ภควนฺตํ มาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ปริหีนลาภสกฺกาโร ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจิตฺวา ตานิ อลภมาโน เตหิ ชนํ สญฺญาเปสฺสามีติ สงฺฆเภทํ กตฺวา สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนสุ ปริสํ อาทาย ปกฺกเนฺตสุ อุณฺหโลหิตํ มุเขน ฉเฑฺฑตฺวา นวมาเส คิลานมเญฺจ นิปชฺชิตฺวา วิปฺปฎิสารชาโต – ‘‘กุหิํ เอตรหิ สตฺถา วสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เชตวเน’’ติ วุเตฺต มญฺจเกน มํ อาหริตฺวา สตฺถารํ ทเสฺสถาติ วตฺวา อาหริยมาโน ภควโต ทสฺสนารหสฺส กมฺมสฺส อกตตฺตา เชตวเน โปกฺขรณีสมีเปเยว เทฺวธา ภินฺนํ ปถวิํ ปวิสิตฺวา มหานิรเย ปติฎฺฐิโตติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถารกถานโย ขนฺธเก อาคโตฯ อาคตตฺตา ปน สพฺพํ น วุตฺตนฺติฯ เอวํ อชาโตเยว รโญฺญ สตฺตุ ภวิสฺสตีติ เนมิตฺตเกหิ นิทฺทิโฎฺฐติ อชาตสตฺตุฯ
Devadattopi ajātasattuṃ upasaṅkamitvā – ‘‘purise, mahārāja, āṇāpehi, ye samaṇaṃ gotamaṃ jīvitā voropessantī’’ti vatvā tena dinne purise pesetvā sayaṃ gijjhakūṭaṃ āruyha yantena silaṃ pavijjhitvā nāḷāgirihatthiṃ muñcāpetvāpi kenaci upāyena bhagavantaṃ māretuṃ asakkonto parihīnalābhasakkāro pañca vatthūni yācitvā tāni alabhamāno tehi janaṃ saññāpessāmīti saṅghabhedaṃ katvā sāriputtamoggallānesu parisaṃ ādāya pakkantesu uṇhalohitaṃ mukhena chaḍḍetvā navamāse gilānamañce nipajjitvā vippaṭisārajāto – ‘‘kuhiṃ etarahi satthā vasatī’’ti pucchitvā ‘‘jetavane’’ti vutte mañcakena maṃ āharitvā satthāraṃ dassethāti vatvā āhariyamāno bhagavato dassanārahassa kammassa akatattā jetavane pokkharaṇīsamīpeyeva dvedhā bhinnaṃ pathaviṃ pavisitvā mahāniraye patiṭṭhitoti. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārakathānayo khandhake āgato. Āgatattā pana sabbaṃ na vuttanti. Evaṃ ajātoyeva rañño sattu bhavissatīti nemittakehi niddiṭṭhoti ajātasattu.
เวเทหิปุโตฺตติ อยํ โกสลรโญฺญ ธีตาย ปุโตฺต, น วิเทหรโญฺญฯ เวเทหีติ ปน ปณฺฑิตาธิวจนเมตํฯ ยถาห – ‘‘เวเทหิกา คหปตานี (ม. นิ. ๑.๒๒๖), อโยฺย อานโนฺท เวเทหมุนี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔)ฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – วิทนฺติ เอเตนาติ เวโท, ญาณเสฺสตํ อธิวจนํฯ เวเทน อีหติ ฆฎติ วายมตีติ เวเทหีฯ เวเทหิยา ปุโตฺต เวเทหิปุโตฺตฯ
Vedehiputtoti ayaṃ kosalarañño dhītāya putto, na videharañño. Vedehīti pana paṇḍitādhivacanametaṃ. Yathāha – ‘‘vedehikā gahapatānī (ma. ni. 1.226), ayyo ānando vedehamunī’’ti (saṃ. ni. 2.154). Tatrāyaṃ vacanattho – vidanti etenāti vedo, ñāṇassetaṃ adhivacanaṃ. Vedena īhati ghaṭati vāyamatīti vedehī. Vedehiyā putto vedehiputto.
ตทหูติ ตสฺมิํ อหุ, ตสฺมิํ ทิวเสติ อโตฺถฯ อุปวสนฺติ เอตฺถาติ อุโปสโถ, อุปวสนฺตีติ สีเลน วา อนสเนน วา อุเปตา หุตฺวา วสนฺตีติ อโตฺถฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถุทฺธาโร – ‘‘อายามาวุโส, กปฺปิน, อุโปสถํ คมิสฺสามา’’ติอาทีสุ ปาติโมกฺขุเทฺทโส อุโปสโถฯ ‘‘เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข, วิสาเข, อุโปสโถ อุปวุโตฺถ’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๔๓) สีลํฯ ‘‘สุทฺธสฺส เว สทา ผคฺคุ, สุทฺธสฺสุโปสโถ สทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๗๙) อุปวาโสฯ ‘‘อุโปสโถ นาม นาคราชา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๔๖) ปญฺญตฺติ ฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ตทหุโปสเถ สภิกฺขุกา อาวาสา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๘๑) อุปวสิตพฺพทิวโสฯ อิธาปิ โสเยว อธิเปฺปโตฯ โส ปเนส อฎฺฐมี จาตุทฺทสี ปนฺนรสีเภเทน ติวิโธฯ ตสฺมา เสสทฺวยนิวารณตฺถํ ปนฺนรเสติ วุตฺตํฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘อุปวสนฺติ เอตฺถาติ อุโปสโถ’’ติฯ
Tadahūti tasmiṃ ahu, tasmiṃ divaseti attho. Upavasanti etthāti uposatho, upavasantīti sīlena vā anasanena vā upetā hutvā vasantīti attho. Ayaṃ panettha atthuddhāro – ‘‘āyāmāvuso, kappina, uposathaṃ gamissāmā’’tiādīsu pātimokkhuddeso uposatho. ‘‘Evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgato kho, visākhe, uposatho upavuttho’’tiādīsu (a. ni. 8.43) sīlaṃ. ‘‘Suddhassa ve sadā phaggu, suddhassuposatho sadā’’tiādīsu (ma. ni. 1.79) upavāso. ‘‘Uposatho nāma nāgarājā’’tiādīsu (dī. ni. 2.246) paññatti . ‘‘Na, bhikkhave, tadahuposathe sabhikkhukā āvāsā’’tiādīsu (mahāva. 181) upavasitabbadivaso. Idhāpi soyeva adhippeto. So panesa aṭṭhamī cātuddasī pannarasībhedena tividho. Tasmā sesadvayanivāraṇatthaṃ pannaraseti vuttaṃ. Teneva vuttaṃ – ‘‘upavasanti etthāti uposatho’’ti.
โกมุทิยาติ กุมุทวติยาฯ ตทา กิร กุมุทานิ สุปุปฺผิตานิ โหนฺติ, ตานิ เอตฺถ สนฺตีติ โกมุทีฯ จาตุมาสินิยาติ จาตุมาสิยา, สา หิ จตุนฺนํ มาสานํ ปริโยสานภูตาติ จาตุมาสีฯ อิธ ปน จาตุมาสินีติ วุจฺจติฯ มาสปุณฺณตาย อุตุปุณฺณตาย สํวจฺฉรปุณฺณตาย ปุณฺณา สมฺปุณฺณาติ ปุณฺณาฯ มา อิติ จโนฺท วุจฺจติ, โส เอตฺถ ปุโณฺณติ ปุณฺณมาฯ เอวํ ปุณฺณาย ปุณฺณมายาติ อิมสฺมิํ ปททฺวเย จ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Komudiyāti kumudavatiyā. Tadā kira kumudāni supupphitāni honti, tāni ettha santīti komudī. Cātumāsiniyāti cātumāsiyā, sā hi catunnaṃ māsānaṃ pariyosānabhūtāti cātumāsī. Idha pana cātumāsinīti vuccati. Māsapuṇṇatāya utupuṇṇatāya saṃvaccharapuṇṇatāya puṇṇā sampuṇṇāti puṇṇā. Mā iti cando vuccati, so ettha puṇṇoti puṇṇamā. Evaṃ puṇṇāya puṇṇamāyāti imasmiṃ padadvaye ca attho veditabbo.
ราชามจฺจปริวุโตติ เอวรูปาย รชตฆฎวินิคฺคตาหิ ขีรธาราหิ โธวิยมานทิสาภาคาย วิย, รชตวิมานวิจฺจุเตหิ มุตฺตาวฬิสุมนกุสุมทามเสตทุกูลกุมุทวิสเรหิ สมฺปริกิณฺณาย วิย จ, จตุรุปกฺกิเลสวิมุตฺตปุณฺณจนฺทปฺปภาสมุทโยภาสิตาย รตฺติยา ราชามเจฺจหิ ปริวุโตติ อโตฺถฯ อุปริปาสาทวรคโตติ ปาสาทวรสฺส อุปริคโตฯ มหารเห สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต กญฺจนาสเน นิสิโนฺน โหติฯ กสฺมา นิสิโนฺน? นิทฺทาวิโนทนตฺถํฯ อยญฺหิ ราชา ปิตริ อุปกฺกนฺตทิวสโต ปฎฺฐาย – ‘‘นิทฺทํ โอกฺกมิสฺสามี’’ติ นิมีลิตมเตฺตสุเยว อกฺขีสุ สตฺติสตอพฺภาหโต วิย กนฺทมาโนเยว ปพุชฺฌิฯ กิเมตนฺติ จ วุเตฺต, น กิญฺจีติ วทติฯ เตนสฺส อมนาปา นิทฺทา, อิติ นิทฺทาวิโนทนตฺถํ นิสิโนฺนฯ อปิ จ ตสฺมิํ ทิวเส นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ โหติฯ สพฺพํ นครํ สิตฺตสมฺมฎฺฐํ วิปฺปกิณฺณวาลุกํ ปญฺจวณฺณกุสุมลาชปุณฺณฆฎปฎิมณฺฑิตฆรทฺวารํ สมุสฺสิตธชปฎากวิจิตฺรสมุชฺชลิตทีปมาลาลงฺกตสพฺพทิสาภาคํ วีถิสภาเคน รจฺฉาสภาเคน นกฺขตฺตกีฬํ อนุภวมาเนน มหาชเนน สมากิณฺณํ โหติฯ อิติ นกฺขตฺตทิวสตายปิ นิสิโนฺนติ วทนฺติฯ เอวํ ปน วตฺวาปิ – ‘‘ราชกุลสฺส นาม สทาปิ นกฺขตฺตเมว, นิทฺทาวิโนทนตฺถํเยว ปเนส นิสิโนฺน’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตํฯ
Rājāmaccaparivutoti evarūpāya rajataghaṭaviniggatāhi khīradhārāhi dhoviyamānadisābhāgāya viya, rajatavimānaviccutehi muttāvaḷisumanakusumadāmasetadukūlakumudavisarehi samparikiṇṇāya viya ca, caturupakkilesavimuttapuṇṇacandappabhāsamudayobhāsitāya rattiyā rājāmaccehi parivutoti attho. Uparipāsādavaragatoti pāsādavarassa uparigato. Mahārahe samussitasetacchatte kañcanāsane nisinno hoti. Kasmā nisinno? Niddāvinodanatthaṃ. Ayañhi rājā pitari upakkantadivasato paṭṭhāya – ‘‘niddaṃ okkamissāmī’’ti nimīlitamattesuyeva akkhīsu sattisataabbhāhato viya kandamānoyeva pabujjhi. Kimetanti ca vutte, na kiñcīti vadati. Tenassa amanāpā niddā, iti niddāvinodanatthaṃ nisinno. Api ca tasmiṃ divase nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ hoti. Sabbaṃ nagaraṃ sittasammaṭṭhaṃ vippakiṇṇavālukaṃ pañcavaṇṇakusumalājapuṇṇaghaṭapaṭimaṇḍitagharadvāraṃ samussitadhajapaṭākavicitrasamujjalitadīpamālālaṅkatasabbadisābhāgaṃ vīthisabhāgena racchāsabhāgena nakkhattakīḷaṃ anubhavamānena mahājanena samākiṇṇaṃ hoti. Iti nakkhattadivasatāyapi nisinnoti vadanti. Evaṃ pana vatvāpi – ‘‘rājakulassa nāma sadāpi nakkhattameva, niddāvinodanatthaṃyeva panesa nisinno’’ti sanniṭṭhānaṃ kataṃ.
อุทานํ อุทาเนสีติ อุทาหารํ อุทาหริ, ยถา หิ ยํ เตลํ มานํ คเหตุํ น สโกฺกติ, วิสฺสนฺทิตฺวา คจฺฉติ, ตํ อวเสโกติ วุจฺจติฯ ยญฺจ ชลํ ตฬากํ คเหตุํ น สโกฺกติ, อโชฺฌตฺถริตฺวา คจฺฉติ, ตํ โอโฆติ วุจฺจติ; เอวเมว ยํ ปีติวจนํ หทยํ คเหตุํ น สโกฺกติ, อธิกํ หุตฺวา อโนฺต อสณฺฐหิตฺวา พหินิกฺขมติ, ตํ อุทานนฺติ วุจฺจติฯ เอวรูปํ ปีติมยํ วจนํ นิจฺฉาเรสีติ อโตฺถฯ
Udānaṃudānesīti udāhāraṃ udāhari, yathā hi yaṃ telaṃ mānaṃ gahetuṃ na sakkoti, vissanditvā gacchati, taṃ avasekoti vuccati. Yañca jalaṃ taḷākaṃ gahetuṃ na sakkoti, ajjhottharitvā gacchati, taṃ oghoti vuccati; evameva yaṃ pītivacanaṃ hadayaṃ gahetuṃ na sakkoti, adhikaṃ hutvā anto asaṇṭhahitvā bahinikkhamati, taṃ udānanti vuccati. Evarūpaṃ pītimayaṃ vacanaṃ nicchāresīti attho.
โทสินาติ โทสาปคตา, อพฺภา, มหิกา, ธูโม, รโช, ราหูติ อิเมหิ ปญฺจหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิรหิตาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา รมณียาติอาทีนิ ปญฺจ โถมนวจนานิฯ สา หิ มหาชนสฺส มนํ รมยตีติ รมณียาฯ วุตฺตโทสวิมุตฺตาย จนฺทปฺปภาย โอภาสิตตฺตา อติวิย สุรูปาติ อภิรูปาฯ ทสฺสิตุํ ยุตฺตาติ ทสฺสนียาฯ จิตฺตํ ปสาเทตีติ ปาสาทิกาฯ ทิวสมาสาทีนํ ลกฺขณํ ภวิตุํ ยุตฺตาติ ลกฺขญฺญาฯ
Dosināti dosāpagatā, abbhā, mahikā, dhūmo, rajo, rāhūti imehi pañcahi upakkilesehi virahitāti vuttaṃ hoti. Tasmā ramaṇīyātiādīni pañca thomanavacanāni. Sā hi mahājanassa manaṃ ramayatīti ramaṇīyā. Vuttadosavimuttāya candappabhāya obhāsitattā ativiya surūpāti abhirūpā. Dassituṃ yuttāti dassanīyā. Cittaṃ pasādetīti pāsādikā. Divasamāsādīnaṃ lakkhaṇaṃ bhavituṃ yuttāti lakkhaññā.
กํ นุ ขฺวชฺชาติ กํ นุ โข อชฺชฯ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วาติ สมิตปาปตาย สมณํฯ พาหิตปาปตาย พฺราหฺมณํฯ ยํ โน ปยิรุปาสโตติ วจนพฺยตฺตโย เอส, ยํ อมฺหากํ ปญฺหปุจฺฉนวเสน ปยิรุปาสนฺตานํ มธุรํ ธมฺมํ สุตฺวา จิตฺตํ ปสีเทยฺยาติ อโตฺถฯ อิติ ราชา อิมินา สเพฺพนปิ วจเนน โอภาสนิมิตฺตกมฺมํ อกาสิฯ กสฺส อกาสีติ? ชีวกสฺสฯ กิมตฺถํ? ภควโต ทสฺสนตฺถํฯ กิํ ภควนฺตํ สยํ ทสฺสนาย อุปคนฺตุํ น สโกฺกตีติ? อาม, น สโกฺกติฯ กสฺมา? มหาปราธตายฯ
Kaṃ nu khvajjāti kaṃ nu kho ajja. Samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vāti samitapāpatāya samaṇaṃ. Bāhitapāpatāya brāhmaṇaṃ. Yaṃ no payirupāsatoti vacanabyattayo esa, yaṃ amhākaṃ pañhapucchanavasena payirupāsantānaṃ madhuraṃ dhammaṃ sutvā cittaṃ pasīdeyyāti attho. Iti rājā iminā sabbenapi vacanena obhāsanimittakammaṃ akāsi. Kassa akāsīti? Jīvakassa. Kimatthaṃ? Bhagavato dassanatthaṃ. Kiṃ bhagavantaṃ sayaṃ dassanāya upagantuṃ na sakkotīti? Āma, na sakkoti. Kasmā? Mahāparādhatāya.
เตน หิ ภควโต อุปฎฺฐาโก อริยสาวโก อตฺตโน ปิตา มาริโต, เทวทโตฺต จ ตเมว นิสฺสาย ภควโต พหุํ อนตฺถมกาสิ, อิติ มหาปราโธ เอส, ตาย มหาปราธตาย สยํ คนฺตุํ น สโกฺกติฯ ชีวโก ปน ภควโต อุปฎฺฐาโก, ตสฺส ปิฎฺฐิฉายาย ภควนฺตํ ปสฺสิสฺสามีติ โอภาสนิมิตฺตกมฺมํ อกาสิฯ กิํ ชีวโก ปน – ‘‘มยฺหํ อิทํ โอภาสนิมิตฺตกมฺม’’นฺติ ชานาตีติ? อาม ชานาติฯ อถ กสฺมา ตุณฺหี อโหสีติ? วิเกฺขปปเจฺฉทนตฺถํฯ
Tena hi bhagavato upaṭṭhāko ariyasāvako attano pitā mārito, devadatto ca tameva nissāya bhagavato bahuṃ anatthamakāsi, iti mahāparādho esa, tāya mahāparādhatāya sayaṃ gantuṃ na sakkoti. Jīvako pana bhagavato upaṭṭhāko, tassa piṭṭhichāyāya bhagavantaṃ passissāmīti obhāsanimittakammaṃ akāsi. Kiṃ jīvako pana – ‘‘mayhaṃ idaṃ obhāsanimittakamma’’nti jānātīti? Āma jānāti. Atha kasmā tuṇhī ahosīti? Vikkhepapacchedanatthaṃ.
ตสฺสญฺหิ ปริสติ ฉนฺนํ สตฺถารานํ อุปฎฺฐากา พหู สนฺนิปติตา, เต อสิกฺขิตานํ ปยิรุปาสเนน สยมฺปิ อสิกฺขิตาวฯ เต มยิ ภควโต คุณกถํ อารเทฺธ อนฺตรนฺตรา อุฎฺฐายุฎฺฐาย อตฺตโน สตฺถารานํ คุณํ กเถสฺสนฺติ, เอวํ เม สตฺถุ คุณกถา ปริโยสานํ น คมิสฺสติฯ ราชา ปน อิเมสํ กุลูปเก อุปสงฺกมิตฺวา คหิตาสารตาย เตสํ คุณกถาย อนตฺตมโน หุตฺวา มํ ปฎิปุจฺฉิสฺสติ, อถาหํ นิพฺพิเกฺขปํ สตฺถุ คุณํ กเถตฺวา ราชานํ สตฺถุ สนฺติกํ คเหตฺวา คมิสฺสามีติ ชานโนฺตว วิเกฺขปปเจฺฉทนตฺถํ ตุณฺหี อโหสีติฯ
Tassañhi parisati channaṃ satthārānaṃ upaṭṭhākā bahū sannipatitā, te asikkhitānaṃ payirupāsanena sayampi asikkhitāva. Te mayi bhagavato guṇakathaṃ āraddhe antarantarā uṭṭhāyuṭṭhāya attano satthārānaṃ guṇaṃ kathessanti, evaṃ me satthu guṇakathā pariyosānaṃ na gamissati. Rājā pana imesaṃ kulūpake upasaṅkamitvā gahitāsāratāya tesaṃ guṇakathāya anattamano hutvā maṃ paṭipucchissati, athāhaṃ nibbikkhepaṃ satthu guṇaṃ kathetvā rājānaṃ satthu santikaṃ gahetvā gamissāmīti jānantova vikkhepapacchedanatthaṃ tuṇhī ahosīti.
เตปิ อมจฺจา เอวํ จิเนฺตสุํ – ‘‘อชฺช ราชา ปญฺจหิ ปเทหิ รตฺติํ โถเมติ, อทฺธา กิญฺจิ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ธมฺมํ โสตุกาโม, ยสฺส เจส ธมฺมํ สุตฺวา ปสีทิสฺสติ, ตสฺส จ มหนฺตํ สกฺการํ กริสฺสติ, ยสฺส ปน กุลูปโก สมโณ ราชกุลูปโก โหติ, ภทฺทํ ตสฺสา’’ติฯ
Tepi amaccā evaṃ cintesuṃ – ‘‘ajja rājā pañcahi padehi rattiṃ thometi, addhā kiñci samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchitvā dhammaṃ sotukāmo, yassa cesa dhammaṃ sutvā pasīdissati, tassa ca mahantaṃ sakkāraṃ karissati, yassa pana kulūpako samaṇo rājakulūpako hoti, bhaddaṃ tassā’’ti.
๑๕๑-๑๕๒. เต เอวํ จิเนฺตตฺวา – ‘‘อหํ อตฺตโน กุลูปกสมณสฺส วณฺณํ วตฺวา ราชานํ คเหตฺวา คมิสฺสามิ, อหํ คมิสฺสามี’’ติ อตฺตโน อตฺตโน กุลูปกานํ วณฺณํ กเถตุํ อารทฺธาฯ เตนาห – ‘‘เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร ราชามโจฺจ’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปูรโณติ ตสฺส สตฺถุปฎิญฺญสฺส นามํฯ กสฺสโปติ โคตฺตํฯ โส กิร อญฺญตรสฺส กุลสฺส เอกูนทาสสตํ ปูรยมาโน ชาโต, เตนสฺส ปูรโณติ นามํ อกํสุฯ มงฺคลทาสตฺตา จสฺส ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติ วตฺตา นตฺถิ, อกตํ วา น กตนฺติฯ โส ‘‘กิมหํ เอตฺถ วสามี’’ติ ปลายิฯ อถสฺส โจรา วตฺถานิ อจฺฉินฺทิํสุ, โส ปเณฺณน วา ติเณน วา ปฎิจฺฉาเทตุมฺปิ อชานโนฺต ชาตรูเปเนว เอกํ คามํ ปาวิสิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ สมโณ อรหา อปฺปิโจฺฉ, นตฺถิ อิมินา สทิโส’’ติ ปูวภตฺตาทีนิ คเหตฺวา อุปสงฺกมนฺติฯ โส – ‘‘มยฺหํ สาฎกํ อนิวตฺถภาเวน อิทํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ตโต ปฎฺฐาย สาฎกํ ลภิตฺวาปิ น นิวาเสสิ, ตเทว ปพฺพชฺชํ อคฺคเหสิ, ตสฺส สนฺติเก อเญฺญปิ อเญฺญปีติ ปญฺจสตมนุสฺสา ปพฺพชิํสุฯ ตํ สนฺธายาห – ‘‘ปูรโณ กสฺสโป’’ติฯ
151-152. Te evaṃ cintetvā – ‘‘ahaṃ attano kulūpakasamaṇassa vaṇṇaṃ vatvā rājānaṃ gahetvā gamissāmi, ahaṃ gamissāmī’’ti attano attano kulūpakānaṃ vaṇṇaṃ kathetuṃ āraddhā. Tenāha – ‘‘evaṃ vutte aññataro rājāmacco’’tiādi. Tattha pūraṇoti tassa satthupaṭiññassa nāmaṃ. Kassapoti gottaṃ. So kira aññatarassa kulassa ekūnadāsasataṃ pūrayamāno jāto, tenassa pūraṇoti nāmaṃ akaṃsu. Maṅgaladāsattā cassa ‘‘dukkaṭa’’nti vattā natthi, akataṃ vā na katanti. So ‘‘kimahaṃ ettha vasāmī’’ti palāyi. Athassa corā vatthāni acchindiṃsu, so paṇṇena vā tiṇena vā paṭicchādetumpi ajānanto jātarūpeneva ekaṃ gāmaṃ pāvisi. Manussā taṃ disvā ‘‘ayaṃ samaṇo arahā appiccho, natthi iminā sadiso’’ti pūvabhattādīni gahetvā upasaṅkamanti. So – ‘‘mayhaṃ sāṭakaṃ anivatthabhāvena idaṃ uppanna’’nti tato paṭṭhāya sāṭakaṃ labhitvāpi na nivāsesi, tadeva pabbajjaṃ aggahesi, tassa santike aññepi aññepīti pañcasatamanussā pabbajiṃsu. Taṃ sandhāyāha – ‘‘pūraṇo kassapo’’ti.
ปพฺพชิตสมูหสงฺขาโต สโงฺฆ อสฺส อตฺถีติ สงฺฆีฯ เสฺวว คโณ อสฺส อตฺถีติ คณีฯ อาจารสิกฺขาปนวเสน ตสฺส คณสฺส อาจริโยติ คณาจริโยฯ ญาโตติ ปญฺญาโต ปากโฎฯ ‘‘อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐฯ อปฺปิจฺฉตาย วตฺถมฺปิ น นิวาเสตี’’ติ เอวํ สมุคฺคโต ยโส อสฺส อตฺถีติ ยสสฺสีฯ ติตฺถกโรติ ลทฺธิกโรฯ สาธุสมฺมโตติ อยํ สาธุ, สุนฺทโร, สปฺปุริโสติ เอวํ สมฺมโตฯ พหุชนสฺสาติ อสฺสุตวโต อนฺธพาลปุถุชฺชนสฺสฯ ปพฺพชิตโต ปฎฺฐาย อติกฺกนฺตา พหู รตฺติโย ชานาตีติ รตฺตญฺญูฯ จิรํ ปพฺพชิตสฺส อสฺสาติ จิรปพฺพชิโต, อจิรปพฺพชิตสฺส หิ กถา โอกปฺปนียา น โหติ, เตนาห ‘‘จิรปพฺพชิโต’’ติฯ อทฺธคโตติ อทฺธานํ คโต, เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ อตีโตติ อธิปฺปาโยฯ วโยอนุปฺปโตฺตติ ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปโตฺตฯ อิทํ อุภยมฺปิ – ‘‘ทหรสฺส กถา โอกปฺปนียา น โหตี’’ติ เอตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Pabbajitasamūhasaṅkhāto saṅgho assa atthīti saṅghī. Sveva gaṇo assa atthīti gaṇī. Ācārasikkhāpanavasena tassa gaṇassa ācariyoti gaṇācariyo. Ñātoti paññāto pākaṭo. ‘‘Appiccho santuṭṭho. Appicchatāya vatthampi na nivāsetī’’ti evaṃ samuggato yaso assa atthīti yasassī. Titthakaroti laddhikaro. Sādhusammatoti ayaṃ sādhu, sundaro, sappurisoti evaṃ sammato. Bahujanassāti assutavato andhabālaputhujjanassa. Pabbajitato paṭṭhāya atikkantā bahū rattiyo jānātīti rattaññū. Ciraṃ pabbajitassa assāti cirapabbajito, acirapabbajitassa hi kathā okappanīyā na hoti, tenāha ‘‘cirapabbajito’’ti. Addhagatoti addhānaṃ gato, dve tayo rājaparivaṭṭe atītoti adhippāyo. Vayoanuppattoti pacchimavayaṃ anuppatto. Idaṃ ubhayampi – ‘‘daharassa kathā okappanīyā na hotī’’ti etaṃ sandhāya vuttaṃ.
ตุณฺหี อโหสีติ สุวณฺณวณฺณํ มธุรรสํ อมฺพปกฺกํ ขาทิตุกาโม ปุริโส อาหริตฺวา หเตฺถ ฐปิตํ กาชรปกฺกํ ทิสฺวา วิย ฌานาภิญฺญาทิคุณยุตฺตํ ติลกฺขณพฺภาหตํ มธุรํ ธมฺมกถํ โสตุกาโม ปุเพฺพ ปูรณสฺส ทสฺสเนนาปิ อนตฺตมโน อิทานิ คุณกถาย สุฎฺฐุตรํ อนตฺตมโน หุตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อนตฺตมโน สมาโนปิ ปน ‘‘สจาหํ เอตํ ตเชฺชตฺวา คีวายํ คเหตฺวา นีหราเปสฺสามิ, ‘โย โย กเถสิ, ตํ ตํ ราชา เอวํ กโรตี’ติ ภีโต อโญฺญปิ โกจิ กิญฺจิ น กเถสฺสตี’’ติ อมนาปมฺปิ ตํ กถํ อธิวาเสตฺวา ตุณฺหี เอว อโหสิฯ อถโญฺญ – ‘‘อหํ อตฺตโน กุลูปกสฺส วณฺณํ กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา วตฺตุํ อารภิฯ เตน วุตฺตํ – อญฺญตโรปิ โขติอาทิฯ ตํ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Tuṇhīahosīti suvaṇṇavaṇṇaṃ madhurarasaṃ ambapakkaṃ khāditukāmo puriso āharitvā hatthe ṭhapitaṃ kājarapakkaṃ disvā viya jhānābhiññādiguṇayuttaṃ tilakkhaṇabbhāhataṃ madhuraṃ dhammakathaṃ sotukāmo pubbe pūraṇassa dassanenāpi anattamano idāni guṇakathāya suṭṭhutaraṃ anattamano hutvā tuṇhī ahosi. Anattamano samānopi pana ‘‘sacāhaṃ etaṃ tajjetvā gīvāyaṃ gahetvā nīharāpessāmi, ‘yo yo kathesi, taṃ taṃ rājā evaṃ karotī’ti bhīto aññopi koci kiñci na kathessatī’’ti amanāpampi taṃ kathaṃ adhivāsetvā tuṇhī eva ahosi. Athañño – ‘‘ahaṃ attano kulūpakassa vaṇṇaṃ kathessāmī’’ti cintetvā vattuṃ ārabhi. Tena vuttaṃ – aññataropi khotiādi. Taṃ sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.
เอตฺถ ปน มกฺขลีติ ตสฺส นามํฯ โคสาลาย ชาตตฺตา โคสาโลติ ทุติยํ นามํฯ ตํ กิร สกทฺทมาย ภูมิยา เตลฆฎํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตํ – ‘‘ตาต, มา ขลี’’ติ สามิโก อาหฯ โส ปมาเทน ขลิตฺวา ปติตฺวา สามิกสฺส ภเยน ปลายิตุํ อารโทฺธฯ สามิโก อุปธาวิตฺวา ทุสฺสกเณฺณ อคฺคเหสิฯ โส สาฎกํ ฉเฑฺฑตฺวา อเจลโก หุตฺวา ปลายิฯ เสสํ ปูรณสทิสเมวฯ
Ettha pana makkhalīti tassa nāmaṃ. Gosālāya jātattā gosāloti dutiyaṃ nāmaṃ. Taṃ kira sakaddamāya bhūmiyā telaghaṭaṃ gahetvā gacchantaṃ – ‘‘tāta, mā khalī’’ti sāmiko āha. So pamādena khalitvā patitvā sāmikassa bhayena palāyituṃ āraddho. Sāmiko upadhāvitvā dussakaṇṇe aggahesi. So sāṭakaṃ chaḍḍetvā acelako hutvā palāyi. Sesaṃ pūraṇasadisameva.
๑๕๓. อชิโตติ ตสฺส นามํฯ เกสกมฺพลํ ธาเรตีติ เกสกมฺพโลฯ อิติ นามทฺวยํ สํสนฺทิตฺวา อชิโต เกสกมฺพโลติ วุจฺจติ ฯ ตตฺถ เกสกมฺพโล นาม มนุสฺสเกเสหิ กตกมฺพโลฯ ตโต ปฎิกิฎฺฐตรํ วตฺถํ นาม นตฺถิฯ ยถาห – ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยานิ กานิจิ ตนฺตาวุตานํ วตฺถานํ, เกสกมฺพโล เตสํ ปฎิกิโฎฺฐ อกฺขายติฯ เกสกมฺพโล, ภิกฺขเว, สีเต สีโต, อุเณฺห อุโณฺห, ทุพฺพโณฺณ ทุคฺคโนฺธ ทุกฺขสมฺผโสฺส’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๓๘)ฯ
153.Ajitoti tassa nāmaṃ. Kesakambalaṃ dhāretīti kesakambalo. Iti nāmadvayaṃ saṃsanditvā ajito kesakambaloti vuccati . Tattha kesakambalo nāma manussakesehi katakambalo. Tato paṭikiṭṭhataraṃ vatthaṃ nāma natthi. Yathāha – ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, yāni kānici tantāvutānaṃ vatthānaṃ, kesakambalo tesaṃ paṭikiṭṭho akkhāyati. Kesakambalo, bhikkhave, sīte sīto, uṇhe uṇho, dubbaṇṇo duggandho dukkhasamphasso’’ti (a. ni. 3.138).
๑๕๔. ปกุโธติ ตสฺส นามํฯ กจฺจายโนติ โคตฺตํฯ อิติ นามโคตฺตํ สํสนฺทิตฺวา ปกุโธ กจฺจายโนติ วุจฺจติฯ สีตุทกปฎิกฺขิตฺตโก เอส, วจฺจํ กตฺวาปิ อุทกกิจฺจํ น กโรติ, อุโณฺหทกํ วา กญฺชิยํ วา ลภิตฺวา กโรติ, นทิํ วา มโคฺคทกํ วา อติกฺกมฺม – ‘‘สีลํ เม ภินฺน’’นฺติ วาลิกถูปํ กตฺวา สีลํ อธิฎฺฐาย คจฺฉติฯ เอวรูโป นิสฺสิรีกลทฺธิโก เอสฯ
154.Pakudhoti tassa nāmaṃ. Kaccāyanoti gottaṃ. Iti nāmagottaṃ saṃsanditvā pakudho kaccāyanoti vuccati. Sītudakapaṭikkhittako esa, vaccaṃ katvāpi udakakiccaṃ na karoti, uṇhodakaṃ vā kañjiyaṃ vā labhitvā karoti, nadiṃ vā maggodakaṃ vā atikkamma – ‘‘sīlaṃ me bhinna’’nti vālikathūpaṃ katvā sīlaṃ adhiṭṭhāya gacchati. Evarūpo nissirīkaladdhiko esa.
๑๕๕. สญฺจโยติ ตสฺส นามํฯ เพลฎฺฐสฺส ปุโตฺตติ เพลฎฺฐปุโตฺตฯ
155.Sañcayoti tassa nāmaṃ. Belaṭṭhassa puttoti belaṭṭhaputto.
๑๕๖. อมฺหากํ คณฺฐนกิเลโส ปลิพนฺธนกิเลโส นตฺถิ, กิเลสคณฺฐรหิตา มยนฺติ เอวํวาทิตาย ลทฺธนามวเสน นิคโณฺฐฯ นาฎสฺส ปุโตฺต นาฎปุโตฺตฯ
156. Amhākaṃ gaṇṭhanakileso palibandhanakileso natthi, kilesagaṇṭharahitā mayanti evaṃvāditāya laddhanāmavasena nigaṇṭho. Nāṭassa putto nāṭaputto.
โกมารภจฺจชีวกกถาวณฺณนา
Komārabhaccajīvakakathāvaṇṇanā
๑๕๗. อถ โข ราชาติ ราชา กิร เตสํ วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ยสฺส ยสฺส วจนํ น โสตุกาโม, โส โส เอว กเถสิฯ ยสฺส ปนมฺหิ วจนํ โสตุกาโม, เอส นาควสํ ปิวิตฺวา ฐิโต สุปโณฺณ วิย ตุณฺหีภูโต, อนโตฺถ วต เม’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ชีวโก อุปสนฺตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต อุปฎฺฐาโก, สยมฺปิ อุปสโนฺต, ตสฺมา วตฺตสมฺปโนฺน ภิกฺขุ วิย ตุณฺหีภูโตว นิสิโนฺน, น เอส มยิ อกเถเนฺต กเถสฺสติ, หตฺถิมฺหิ โข ปน มทฺทเนฺต หตฺถิเสฺสว ปาโท คเหตโพฺพ’’ติ เตน สทฺธิํ สยํ มเนฺตตุมารโทฺธฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ราชา’’ติฯ ตตฺถ กิํ ตุณฺหีติ เกน การเณน ตุณฺหีฯ อิเมสํ อมจฺจานํ อตฺตโน อตฺตโน กุลูปกสมณสฺส วณฺณํ กเถนฺตานํ มุขํ นปฺปโหติ ฯ กิํ ยถา เอเตสํ, เอวํ ตว กุลูปกสมโณ นตฺถิ, กิํ ตฺวํ ทลิโทฺท, น เต มม ปิตรา อิสฺสริยํ ทินฺนํ, อุทาหุ อสฺสโทฺธติ ปุจฺฉติฯ
157.Athakho rājāti rājā kira tesaṃ vacanaṃ sutvā cintesi – ‘‘ahaṃ yassa yassa vacanaṃ na sotukāmo, so so eva kathesi. Yassa panamhi vacanaṃ sotukāmo, esa nāgavasaṃ pivitvā ṭhito supaṇṇo viya tuṇhībhūto, anattho vata me’’ti. Athassa etadahosi – ‘‘jīvako upasantassa buddhassa bhagavato upaṭṭhāko, sayampi upasanto, tasmā vattasampanno bhikkhu viya tuṇhībhūtova nisinno, na esa mayi akathente kathessati, hatthimhi kho pana maddante hatthisseva pādo gahetabbo’’ti tena saddhiṃ sayaṃ mantetumāraddho. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho rājā’’ti. Tattha kiṃ tuṇhīti kena kāraṇena tuṇhī. Imesaṃ amaccānaṃ attano attano kulūpakasamaṇassa vaṇṇaṃ kathentānaṃ mukhaṃ nappahoti . Kiṃ yathā etesaṃ, evaṃ tava kulūpakasamaṇo natthi, kiṃ tvaṃ daliddo, na te mama pitarā issariyaṃ dinnaṃ, udāhu assaddhoti pucchati.
ตโต ชีวกสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ ราชา มํ กุลูปกสมณสฺส คุณํ กถาเปติ, น ทานิ เม ตุณฺหีภาวสฺส กาโล, ยถา โข ปนิเม ราชานํ วนฺทิตฺวา นิสินฺนาว อตฺตโน กุลูปกสมณานํ คุณํ กถยิํสุ, น มยฺหํ เอวํ สตฺถุคุเณ กเถตุํ ยุตฺต’’นฺติ อุฎฺฐายาสนา ภควโต วิหาราภิมุโข ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสิ ปคฺคเหตฺวา – ‘‘มหาราช, มา มํ เอวํ จินฺตยิตฺถ, ‘อยํ ยํ วา ตํ วา สมณํ อุปสงฺกมตี’ติ, มม สตฺถุโน หิ มาตุกุจฺฉิโอกฺกมเน, มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมเน, มหาภินิกฺขมเน, สโมฺพธิยํ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน จ, ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิตฺถ, เอวํ ยมกปาฎิหาริยํ อกาสิ, เอวํ เทโวโรหณํ, อหํ สตฺถุโน คุเณ กถยิสฺสามิ, เอกคฺคจิโตฺต สุณ, มหาราชา’’ติ วตฺวา – ‘‘อยํ เทว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตํ โข ปน ภควนฺตนฺติ อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ อุปโยควจนํ, ตสฺส โข ปน ภควโตติ อโตฺถฯ กลฺยาโณติ กลฺยาณคุณสมนฺนาคโต, เสโฎฺฐติ วุตฺตํ โหติฯ กิตฺติสโทฺทติ กิตฺติเยวฯ ถุติโฆโส วาฯ อพฺภุคฺคโตติ สเทวกํ โลกํ อโชฺฌตฺถริตฺวา อุคฺคโตฯ กินฺติ? ‘‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… ภควา’’ติฯ
Tato jīvakassa etadahosi – ‘‘ayaṃ rājā maṃ kulūpakasamaṇassa guṇaṃ kathāpeti, na dāni me tuṇhībhāvassa kālo, yathā kho panime rājānaṃ vanditvā nisinnāva attano kulūpakasamaṇānaṃ guṇaṃ kathayiṃsu, na mayhaṃ evaṃ satthuguṇe kathetuṃ yutta’’nti uṭṭhāyāsanā bhagavato vihārābhimukho pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasi paggahetvā – ‘‘mahārāja, mā maṃ evaṃ cintayittha, ‘ayaṃ yaṃ vā taṃ vā samaṇaṃ upasaṅkamatī’ti, mama satthuno hi mātukucchiokkamane, mātukucchito nikkhamane, mahābhinikkhamane, sambodhiyaṃ, dhammacakkappavattane ca, dasasahassilokadhātu kampittha, evaṃ yamakapāṭihāriyaṃ akāsi, evaṃ devorohaṇaṃ, ahaṃ satthuno guṇe kathayissāmi, ekaggacitto suṇa, mahārājā’’ti vatvā – ‘‘ayaṃ deva, bhagavā arahaṃ sammāsambuddho’’tiādimāha. Tattha taṃ kho pana bhagavantanti itthambhūtākhyānatthe upayogavacanaṃ, tassa kho pana bhagavatoti attho. Kalyāṇoti kalyāṇaguṇasamannāgato, seṭṭhoti vuttaṃ hoti. Kittisaddoti kittiyeva. Thutighoso vā. Abbhuggatoti sadevakaṃ lokaṃ ajjhottharitvā uggato. Kinti? ‘‘Itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho…pe… bhagavā’’ti.
ตตฺรายํ ปทสมฺพโนฺธ – โส ภควา อิติปิ อรหํ อิติปิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… อิติปิ ภควาติฯ อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ อารกตฺตา อรีนํ, อรานญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ, อิเมหิ ตาว การเณหิ โส ภควา อรหนฺติ เวทิตโพฺพติอาทินา นเยน มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา สพฺพาเนว เจตานิ ปทานิ วิสุทฺธิมเคฺค พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วิตฺถาริตานีติ ตโต เนสํ วิตฺถาโร คเหตโพฺพฯ
Tatrāyaṃ padasambandho – so bhagavā itipi arahaṃ itipi sammāsambuddho…pe… itipi bhagavāti. Iminā ca iminā ca kāraṇenāti vuttaṃ hoti. Tattha ārakattā arīnaṃ, arānañca hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti, imehi tāva kāraṇehi so bhagavā arahanti veditabbotiādinā nayena mātikaṃ nikkhipitvā sabbāneva cetāni padāni visuddhimagge buddhānussatiniddese vitthāritānīti tato nesaṃ vitthāro gahetabbo.
ชีวโก ปน เอกเมกสฺส ปทสฺส อตฺถํ นิฎฺฐาเปตฺวา – ‘‘เอวํ, มหาราช, อรหํ มยฺหํ สตฺถา, เอวํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… เอวํ ภควา’’ติ วตฺวา – ‘‘ตํ, เทโว, ภควนฺตํ ปยิรุปาสตุ, อเปฺปว นาม เทวสฺส ตํ ภควนฺตํ ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ ตํ เทโว ปยิรุปาสตูติ วทโนฺต ‘‘มหาราช, ตุมฺหาทิสานญฺหิ สเตนปิ สหเสฺสนปิ สตสหเสฺสนปิ ปุฎฺฐสฺส มยฺหํ สตฺถุโน สเพฺพสํ จิตฺตํ คเหตฺวา กเถตุํ ถาโม จ พลญฺจ อตฺถิ, วิสฺสโตฺถ อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺยาสิ มหาราชา’’ติ อาหฯ
Jīvako pana ekamekassa padassa atthaṃ niṭṭhāpetvā – ‘‘evaṃ, mahārāja, arahaṃ mayhaṃ satthā, evaṃ sammāsambuddho…pe… evaṃ bhagavā’’ti vatvā – ‘‘taṃ, devo, bhagavantaṃ payirupāsatu, appeva nāma devassa taṃ bhagavantaṃ payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti āha. Ettha ca taṃ devo payirupāsatūti vadanto ‘‘mahārāja, tumhādisānañhi satenapi sahassenapi satasahassenapi puṭṭhassa mayhaṃ satthuno sabbesaṃ cittaṃ gahetvā kathetuṃ thāmo ca balañca atthi, vissattho upasaṅkamitvā puccheyyāsi mahārājā’’ti āha.
รโญฺญปิ ภควโต คุณกถํ สุณนฺตสฺส สกลสรีรํ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎํ อโหสิฯ โส ตงฺขณเญฺญว คนฺตุกาโม หุตฺวา – ‘‘อิมาย โข ปน เวลาย มยฺหํ ทสพลสฺส สนฺติกํ คจฺฉโต น อโญฺญ โกจิ ขิปฺปํ ยานานิ โยเชตุํ สกฺขิสฺสติ อญฺญตฺร ชีวกา’’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘เตน หิ, สมฺม ชีวก, หตฺถิยานานิ กปฺปาเปหี’’ติ อาหฯ
Raññopi bhagavato guṇakathaṃ suṇantassa sakalasarīraṃ pañcavaṇṇāya pītiyā nirantaraṃ phuṭaṃ ahosi. So taṅkhaṇaññeva gantukāmo hutvā – ‘‘imāya kho pana velāya mayhaṃ dasabalassa santikaṃ gacchato na añño koci khippaṃ yānāni yojetuṃ sakkhissati aññatra jīvakā’’ti cintetvā – ‘‘tena hi, samma jīvaka, hatthiyānāni kappāpehī’’ti āha.
๑๕๘. ตตฺถ เตน หีติ อุโยฺยชนเตฺถ นิปาโตฯ คจฺฉ, สมฺม ชีวกาติ วุตฺตํ โหติฯ หตฺถิยานานีติ อเนเกสุ อสฺสรถาทีสุ ยาเนสุ วิชฺชมาเนสุปิ หตฺถิยานํ อุตฺตมํ; อุตฺตมสฺส สนฺติกํ อุตฺตมยาเนเนว คนฺตพฺพนฺติ จ, อสฺสยานรถยานานิ สสทฺทานิ, ทูรโตว เตสํ สโทฺท สุยฺยติ, หตฺถิยานสฺส ปทานุปทํ คจฺฉนฺตาปิ สทฺทํ น สุณนฺติฯ นิพฺพุตสฺส ปน โข ภควโต สนฺติเก นิพฺพุเตเหว ยาเนหิ คนฺตพฺพนฺติ จ จินฺตยิตฺวา หตฺถิยานานีติ อาหฯ
158. Tattha tena hīti uyyojanatthe nipāto. Gaccha, samma jīvakāti vuttaṃ hoti. Hatthiyānānīti anekesu assarathādīsu yānesu vijjamānesupi hatthiyānaṃ uttamaṃ; uttamassa santikaṃ uttamayāneneva gantabbanti ca, assayānarathayānāni sasaddāni, dūratova tesaṃ saddo suyyati, hatthiyānassa padānupadaṃ gacchantāpi saddaṃ na suṇanti. Nibbutassa pana kho bhagavato santike nibbuteheva yānehi gantabbanti ca cintayitvā hatthiyānānīti āha.
ปญฺจมตฺตานิ หตฺถินิกาสตานีติ ปญฺจ กเรณุสตานิฯ กปฺปาเปตฺวาติ อาโรหณสชฺชานิ กาเรตฺวาฯ อาโรหณียนฺติ อาโรหณโยคฺคํ, โอปคุยฺหนฺติ อโตฺถฯ กิํ ปเนส รญฺญา วุตฺตํ อกาสิ อวุตฺตนฺติ? อวุตฺตํฯ กสฺมา? ปณฺฑิตตายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ราชา อิมาย เวลาย คจฺฉามีติ วทติ, ราชาโน จ นาม พหุปจฺจตฺถิกาฯ สเจ อนฺตรามเคฺค โกจิ อนฺตราโย โหติ, มมฺปิ ครหิสฺสนฺติ – ‘‘ชีวโก ราชา เม กถํ คณฺหาตีติ อกาเลปิ ราชานํ คเหตฺวา นิกฺขมตี’’ติฯ ภควนฺตมฺปิ ครหิสฺสนฺติ ‘‘สมโณ โคตโม, ‘มยฺหํ กถา วตฺตตี’ติ กาลํ อสลฺลเกฺขตฺวาว ธมฺมํ กเถตี’’ติฯ ตสฺมา ยถา เนว มยฺหํ, น ภควโต, ครหา อุปฺปชฺชติ; รโญฺญ จ รกฺขา สุสํวิหิตา โหติ, ตถา กริสฺสามี’’ติฯ
Pañcamattāni hatthinikāsatānīti pañca kareṇusatāni. Kappāpetvāti ārohaṇasajjāni kāretvā. Ārohaṇīyanti ārohaṇayoggaṃ, opaguyhanti attho. Kiṃ panesa raññā vuttaṃ akāsi avuttanti? Avuttaṃ. Kasmā? Paṇḍitatāya. Evaṃ kirassa ahosi – rājā imāya velāya gacchāmīti vadati, rājāno ca nāma bahupaccatthikā. Sace antarāmagge koci antarāyo hoti, mampi garahissanti – ‘‘jīvako rājā me kathaṃ gaṇhātīti akālepi rājānaṃ gahetvā nikkhamatī’’ti. Bhagavantampi garahissanti ‘‘samaṇo gotamo, ‘mayhaṃ kathā vattatī’ti kālaṃ asallakkhetvāva dhammaṃ kathetī’’ti. Tasmā yathā neva mayhaṃ, na bhagavato, garahā uppajjati; rañño ca rakkhā susaṃvihitā hoti, tathā karissāmī’’ti.
ตโต อิตฺถิโย นิสฺสาย ปุริสานํ ภยํ นาม นตฺถิ, ‘สุขํ อิตฺถิปริวุโต คมิสฺสามี’ติ ปญฺจ หตฺถินิกาสตานิ กปฺปาเปตฺวา ปญฺจ อิตฺถิสตานิ ปุริสเวสํ คาหาเปตฺวา – ‘‘อสิโตมรหตฺถา ราชานํ ปริวาเรยฺยาถา’’ติ วตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘อิมสฺส รโญฺญ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, พุทฺธา จ นาม อุปนิสฺสยํ ทิสฺวาว ธมฺมํ กเถนฺติฯ หนฺทาหํ, มหาชนํ สนฺนิปาตาเปมิ, เอวญฺหิ สติ สตฺถา กสฺสจิเทว อุปนิสฺสเยน ธมฺมํ เทเสสฺสติ, สา มหาชนสฺส อุปการาย ภวิสฺสตี’’ติฯ โส ตตฺถ ตตฺถ สาสนํ เปเสสิ, เภริํ จราเปสิ – ‘‘อชฺช ราชา ภควโต สนฺติกํ คจฺฉติ, สเพฺพ อตฺตโน วิภวานุรูเปน รโญฺญ อารกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติฯ
Tato itthiyo nissāya purisānaṃ bhayaṃ nāma natthi, ‘sukhaṃ itthiparivuto gamissāmī’ti pañca hatthinikāsatāni kappāpetvā pañca itthisatāni purisavesaṃ gāhāpetvā – ‘‘asitomarahatthā rājānaṃ parivāreyyāthā’’ti vatvā puna cintesi – ‘‘imassa rañño imasmiṃ attabhāve maggaphalānaṃ upanissayo natthi, buddhā ca nāma upanissayaṃ disvāva dhammaṃ kathenti. Handāhaṃ, mahājanaṃ sannipātāpemi, evañhi sati satthā kassacideva upanissayena dhammaṃ desessati, sā mahājanassa upakārāya bhavissatī’’ti. So tattha tattha sāsanaṃ pesesi, bheriṃ carāpesi – ‘‘ajja rājā bhagavato santikaṃ gacchati, sabbe attano vibhavānurūpena rañño ārakkhaṃ gaṇhantū’’ti.
ตโต มหาชโน จิเนฺตสิ – ‘‘ราชา กิร สตฺถุทสฺสนตฺถํ คจฺฉติ, กีทิสี วต โภ ธมฺมเทสนา ภวิสฺสติ, กิํ โน นกฺขตฺตกีฬาย, ตเตฺถว คมิสฺสามา’’ติฯ สเพฺพ คนฺธมาลาทีนิ คเหตฺวา รโญฺญ อาคมนํ อากงฺขมานา มเคฺค อฎฺฐํสุฯ ชีวโกปิ รโญฺญ ปฎิเวเทสิ – ‘‘กปฺปิตานิ โข เต, เทว, หตฺถิยานานิ, ยสฺส ทานิ กาลํ มญฺญสี’’ติฯ ตตฺถ ยสฺส ทานิ กาลํ มญฺญสีติ อุปจารวจนเมตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยํ ตยา อาณตฺตํ, ตํ มยา กตํ, อิทานิ ตฺวํ ยสฺส คมนสฺส วา อคมนสฺส วา กาลํ มญฺญสิ, ตเทว อตฺตโน รุจิยา กโรหี’’ติฯ
Tato mahājano cintesi – ‘‘rājā kira satthudassanatthaṃ gacchati, kīdisī vata bho dhammadesanā bhavissati, kiṃ no nakkhattakīḷāya, tattheva gamissāmā’’ti. Sabbe gandhamālādīni gahetvā rañño āgamanaṃ ākaṅkhamānā magge aṭṭhaṃsu. Jīvakopi rañño paṭivedesi – ‘‘kappitāni kho te, deva, hatthiyānāni, yassa dāni kālaṃ maññasī’’ti. Tattha yassa dāni kālaṃ maññasīti upacāravacanametaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yaṃ tayā āṇattaṃ, taṃ mayā kataṃ, idāni tvaṃ yassa gamanassa vā agamanassa vā kālaṃ maññasi, tadeva attano ruciyā karohī’’ti.
๑๕๙. ปเจฺจกา อิตฺถิโยติ ปาฎิเยกฺกา อิตฺถิโย, เอเกกิสฺสา หตฺถินิยา เอเกกํ อิตฺถินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อุกฺกาสุ ธาริยมานาสูติ ทณฺฑทีปิกาสุ ธาริยมานาสุฯ มหจฺจ ราชานุภาเวนาติ มหตา ราชานุภาเวนฯ มหจฺจาติปิ ปาฬิ, มหติยาติ อโตฺถ, ลิงฺควิปริยาโย เอสฯ ราชานุภาโว วุจฺจติ ราชิทฺธิฯ กา ปนสฺส ราชิทฺธิ? ติโยชนสตานํ ทฺวินฺนํ มหารฎฺฐานํ อิสฺสริยสิรีฯ ตสฺส หิ อสุกทิวสํ ราชา ตถาคตํ อุปสงฺกมิสฺสตีติ ปฐมตรํ สํวิทหเน อสติปิ ตงฺขณเญฺญว ปญฺจ อิตฺถิสตานิ ปุริสเวสํ คเหตฺวา ปฎิมุกฺกเวฐนานิ อํเส อาสตฺตขคฺคานิ มณิทณฺฑโตมเร คเหตฺวา นิกฺขมิํสุฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ปเจฺจกา อิตฺถิโย อาโรเปตฺวา’’ติฯ
159.Paccekā itthiyoti pāṭiyekkā itthiyo, ekekissā hatthiniyā ekekaṃ itthinti vuttaṃ hoti. Ukkāsu dhāriyamānāsūti daṇḍadīpikāsu dhāriyamānāsu. Mahacca rājānubhāvenāti mahatā rājānubhāvena. Mahaccātipi pāḷi, mahatiyāti attho, liṅgavipariyāyo esa. Rājānubhāvo vuccati rājiddhi. Kā panassa rājiddhi? Tiyojanasatānaṃ dvinnaṃ mahāraṭṭhānaṃ issariyasirī. Tassa hi asukadivasaṃ rājā tathāgataṃ upasaṅkamissatīti paṭhamataraṃ saṃvidahane asatipi taṅkhaṇaññeva pañca itthisatāni purisavesaṃ gahetvā paṭimukkaveṭhanāni aṃse āsattakhaggāni maṇidaṇḍatomare gahetvā nikkhamiṃsu. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘paccekā itthiyo āropetvā’’ti.
อปราปิ โสฬสสหสฺสขตฺติยนาฎกิตฺถิโย ราชานํ ปริวาเรสุํฯ ตาสํ ปริยเนฺต ขุชฺชวามนกกิราตาทโยฯ ตาสํ ปริยเนฺต อเนฺตปุรปาลกา วิสฺสาสิกปุริสาฯ เตสํ ปริยเนฺต วิจิตฺรเวสวิลาสิโน สฎฺฐิสหสฺสมตฺตา มหามตฺตาฯ เตสํ ปริยเนฺต วิวิธาลงฺการปฎิมณฺฑิตา นานปฺปการอาวุธหตฺถา วิชฺชาธรตรุณา วิย นวุติสหสฺสมตฺตา รฎฺฐิยปุตฺตาฯ เตสํ ปริยเนฺต สตคฺฆนิกานิ นิวาเสตฺวา ปญฺจสตคฺฆนิกานิ เอกํสํ กตฺวา สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กญฺจนมาลาทินานาภรณโสภิตา ทสสหสฺสมตฺตา พฺราหฺมณา ทกฺขิณหตฺถํ อุสฺสาเปตฺวา ชยสทฺทํ โฆสนฺตา คจฺฉนฺติฯ เตสํ ปริยเนฺต ปญฺจงฺคิกานิ ตูริยานิฯ เตสํ ปริยเนฺต ธนุปนฺติปริเกฺขโปฯ ตสฺส ปริยเนฺต หตฺถิฆฎาฯ หตฺถีนํ ปริยเนฺต คีวาย คีวํ ปหรมานา อสฺสปนฺติฯ อสฺสปริยเนฺต อญฺญมญฺญํ สงฺฆฎฺฎนรถาฯ รถปริยเนฺต พาหาย พาหํ ปหรยมานา โยธาฯ เตสํ ปริยเนฺต อตฺตโน อตฺตโน อนุรูปาย อาภรณสมฺปตฺติยา วิโรจมานา อฎฺฐารส เสนิโยฯ อิติ ยถา ปริยเนฺต ฐตฺวา ขิโตฺต สโร ราชานํ น ปาปุณาติ, เอวํ ชีวโก โกมารภโจฺจ รโญฺญ ปริสํ สํวิทหิตฺวา อตฺตนา รโญฺญ อวิทูเรเนว คจฺฉติ – ‘‘สเจ โกจิ อุปทฺทโว โหติ, ปฐมตร รโญฺญ ชีวิตทานํ ทสฺสามี’’ติฯ อุกฺกานํ ปน เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วาติ ปริเจฺฉโท นตฺถีติ เอวรูปิํ ราชิทฺธิํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘มหจฺจราชานุภาเวน เยน ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวนํ, เตน ปายาสี’’ติฯ
Aparāpi soḷasasahassakhattiyanāṭakitthiyo rājānaṃ parivāresuṃ. Tāsaṃ pariyante khujjavāmanakakirātādayo. Tāsaṃ pariyante antepurapālakā vissāsikapurisā. Tesaṃ pariyante vicitravesavilāsino saṭṭhisahassamattā mahāmattā. Tesaṃ pariyante vividhālaṅkārapaṭimaṇḍitā nānappakāraāvudhahatthā vijjādharataruṇā viya navutisahassamattā raṭṭhiyaputtā. Tesaṃ pariyante satagghanikāni nivāsetvā pañcasatagghanikāni ekaṃsaṃ katvā sunhātā suvilittā kañcanamālādinānābharaṇasobhitā dasasahassamattā brāhmaṇā dakkhiṇahatthaṃ ussāpetvā jayasaddaṃ ghosantā gacchanti. Tesaṃ pariyante pañcaṅgikāni tūriyāni. Tesaṃ pariyante dhanupantiparikkhepo. Tassa pariyante hatthighaṭā. Hatthīnaṃ pariyante gīvāya gīvaṃ paharamānā assapanti. Assapariyante aññamaññaṃ saṅghaṭṭanarathā. Rathapariyante bāhāya bāhaṃ paharayamānā yodhā. Tesaṃ pariyante attano attano anurūpāya ābharaṇasampattiyā virocamānā aṭṭhārasa seniyo. Iti yathā pariyante ṭhatvā khitto saro rājānaṃ na pāpuṇāti, evaṃ jīvako komārabhacco rañño parisaṃ saṃvidahitvā attanā rañño avidūreneva gacchati – ‘‘sace koci upaddavo hoti, paṭhamatara rañño jīvitadānaṃ dassāmī’’ti. Ukkānaṃ pana ettakāni satāni vā sahassāni vāti paricchedo natthīti evarūpiṃ rājiddhiṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘mahaccarājānubhāvena yena jīvakassa komārabhaccassa ambavanaṃ, tena pāyāsī’’ti.
อหุเทว ภยนฺติ เอตฺถ จิตฺตุตฺราสภยํ, ญาณภยํ, อารมฺมณภยํ, โอตฺตปฺปภยนฺติ จตุพฺพิธํ ภยํ, ตตฺถ ‘‘ชาติํ ปฎิจฺจ ภยํ ภยานก’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํ จิตฺตุตฺราสภยํ นามฯ ‘‘เตปิ ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน ภยํ สํเวคํ สนฺตาสํ อาปชฺชนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๗๘) เอวมาคตํ ญาณภยํ นามฯ ‘‘เอตํ นูน ตํ ภยเภรวํ อาคจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๙) เอตฺถ วุตฺตํ อารมฺมณภยํ นามฯ
Ahudeva bhayanti ettha cittutrāsabhayaṃ, ñāṇabhayaṃ, ārammaṇabhayaṃ, ottappabhayanti catubbidhaṃ bhayaṃ, tattha ‘‘jātiṃ paṭicca bhayaṃ bhayānaka’’ntiādinā nayena vuttaṃ cittutrāsabhayaṃ nāma. ‘‘Tepi tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā yebhuyyena bhayaṃ saṃvegaṃ santāsaṃ āpajjantī’’ti (saṃ. ni. 3.78) evamāgataṃ ñāṇabhayaṃ nāma. ‘‘Etaṃ nūna taṃ bhayabheravaṃ āgacchatī’’ti (ma. ni. 1.49) ettha vuttaṃ ārammaṇabhayaṃ nāma.
‘‘ภีรุํ ปสํสนฺติ, น หิ ตตฺถ สูรํ;
‘‘Bhīruṃ pasaṃsanti, na hi tattha sūraṃ;
ภยา หิ สโนฺต, น กโรนฺติ ปาป’’นฺติ ฯ (สํ. นิ. ๑.๓๓);
Bhayā hi santo, na karonti pāpa’’nti . (saṃ. ni. 1.33);
อิทํ โอตฺตปฺปภยํ นามฯ เตสุ อิธ จิตฺตุตฺราสภยํ, อหุ อโหสีติ อโตฺถฯ ฉมฺภิตตฺตนฺติ ฉมฺภิตสฺส ภาโวฯ สกลสรีรจลนนฺติ อโตฺถฯ โลมหํโสติ โลมหํสนํ, อุทฺธํ ฐิตโลมตาติ อโตฺถฯ โส ปนายํ โลมหํโส ธมฺมสฺสวนาทีสุ ปีติอุปฺปตฺติกาเล ปีติยาปิ โหติ ฯ ภีรุกชาติกานํ สมฺปหารปิสาจาทิทสฺสเนสุ ภเยนาปิฯ อิธ ภยโลมหํโสติ เวทิตโพฺพฯ
Idaṃ ottappabhayaṃ nāma. Tesu idha cittutrāsabhayaṃ, ahu ahosīti attho. Chambhitattanti chambhitassa bhāvo. Sakalasarīracalananti attho. Lomahaṃsoti lomahaṃsanaṃ, uddhaṃ ṭhitalomatāti attho. So panāyaṃ lomahaṃso dhammassavanādīsu pītiuppattikāle pītiyāpi hoti . Bhīrukajātikānaṃ sampahārapisācādidassanesu bhayenāpi. Idha bhayalomahaṃsoti veditabbo.
กสฺมา ปเนส ภีโตติ? อนฺธกาเรนาติ เอเก วทนฺติฯ ราชคเห กิร ทฺวตฺติํส มหาทฺวารานิ, จตุสฎฺฐิ ขุทฺทกทฺวารานิฯ ชีวกสฺส อมฺพวนํ ปาการสฺส จ คิชฺฌกูฎสฺส จ อนฺตรา โหติฯ โส ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพตจฺฉายาย ปาวิสิ, ตตฺถ ปพฺพตกูเฎน จโนฺท ฉาทิโต, ปพฺพตจฺฉายาย จ รุกฺขจฺฉายาย จ อนฺธการํ อโหสีติ, ตมฺปิ อการณํฯ ตทา หิ อุกฺกานํ สตสหสฺสานมฺปิ ปริเจฺฉโท นตฺถิฯ
Kasmā panesa bhītoti? Andhakārenāti eke vadanti. Rājagahe kira dvattiṃsa mahādvārāni, catusaṭṭhi khuddakadvārāni. Jīvakassa ambavanaṃ pākārassa ca gijjhakūṭassa ca antarā hoti. So pācīnadvārena nikkhamitvā pabbatacchāyāya pāvisi, tattha pabbatakūṭena cando chādito, pabbatacchāyāya ca rukkhacchāyāya ca andhakāraṃ ahosīti, tampi akāraṇaṃ. Tadā hi ukkānaṃ satasahassānampi paricchedo natthi.
อยํ ปน อปฺปสทฺทตํ นิสฺสาย ชีวเก อาสงฺกาย ภีโตฯ ชีวโก กิรสฺส อุปริปาสาเทเยว อาโรเจสิ – ‘‘มหาราช อปฺปสทฺทกาโม ภควา, อปฺปสเทฺทเนว อุปสงฺกมิตโพฺพ’’ติฯ ตสฺมา ราชา ตูริยสทฺทํ นิวาเรสิฯ ตูริยานิ เกวลํ คหิตมตฺตาเนว โหนฺติ, วาจมฺปิ อุจฺจํ อนิจฺฉารยมานา อจฺฉราสญฺญาย คจฺฉนฺติฯ อมฺพวเนปิ กสฺสจิ ขิปิตสโทฺทปิ น สุยฺยติฯ ราชาโน จ นาม สทฺทาภิรตา โหนฺติฯ โส ตํ อปฺปสทฺทตํ นิสฺสาย อุกฺกณฺฐิโต ชีวเกปิ อาสงฺกํ อุปฺปาเทสิฯ ‘‘อยํ ชีวโก มยฺหํ อมฺพวเน อฑฺฒเตฬสานิ ภิกฺขุสตานี’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ ขิปิตสทฺทมตฺตมฺปิ น สุยฺยติ, อภูตํ มเญฺญ, เอส วเญฺจตฺวา มํ นครโต นีหริตฺวา ปุรโต พลกายํ อุปฎฺฐเปตฺวา มํ คณฺหิตฺวา อตฺตนา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตุกาโมฯ อยญฺหิ ปญฺจนฺนํ หตฺถีนํ พลํ ธาเรติฯ มม จ อวิทูเรเนว คจฺฉติ, สนฺติเก จ เม อาวุธหโตฺถ เอกปุริโสปิ นตฺถิฯ อโห วต เม อนโตฺถ’’ติฯ เอวํ ภายิตฺวา จ ปน อภีโต วิย สนฺธาเรตุมฺปิ นาสกฺขิฯ อตฺตโน ภีตภาวํ ตสฺส อาวิ อกาสิฯ เตน วุตฺตํฯ ‘‘อถ โข ราชา…เป.… น นิโคฺฆโส’’ติฯ ตตฺถ สมฺมาติ วยสฺสาภิลาโป เอส, กจฺจิ มํ วยสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ น ปลเมฺภสีติ ยํ นตฺถิ ตํ อตฺถีติ วตฺวา กจฺจิ มํ น วิปฺปลมฺภยสิฯ นิโคฺฆโสติ กถาสลฺลาปนิโคฺฆโสฯ
Ayaṃ pana appasaddataṃ nissāya jīvake āsaṅkāya bhīto. Jīvako kirassa uparipāsādeyeva ārocesi – ‘‘mahārāja appasaddakāmo bhagavā, appasaddeneva upasaṅkamitabbo’’ti. Tasmā rājā tūriyasaddaṃ nivāresi. Tūriyāni kevalaṃ gahitamattāneva honti, vācampi uccaṃ anicchārayamānā accharāsaññāya gacchanti. Ambavanepi kassaci khipitasaddopi na suyyati. Rājāno ca nāma saddābhiratā honti. So taṃ appasaddataṃ nissāya ukkaṇṭhito jīvakepi āsaṅkaṃ uppādesi. ‘‘Ayaṃ jīvako mayhaṃ ambavane aḍḍhateḷasāni bhikkhusatānī’’ti āha. Ettha ca khipitasaddamattampi na suyyati, abhūtaṃ maññe, esa vañcetvā maṃ nagarato nīharitvā purato balakāyaṃ upaṭṭhapetvā maṃ gaṇhitvā attanā chattaṃ ussāpetukāmo. Ayañhi pañcannaṃ hatthīnaṃ balaṃ dhāreti. Mama ca avidūreneva gacchati, santike ca me āvudhahattho ekapurisopi natthi. Aho vata me anattho’’ti. Evaṃ bhāyitvā ca pana abhīto viya sandhāretumpi nāsakkhi. Attano bhītabhāvaṃ tassa āvi akāsi. Tena vuttaṃ. ‘‘Atha kho rājā…pe… na nigghoso’’ti. Tattha sammāti vayassābhilāpo esa, kacci maṃ vayassāti vuttaṃ hoti. Na palambhesīti yaṃ natthi taṃ atthīti vatvā kacci maṃ na vippalambhayasi. Nigghosoti kathāsallāpanigghoso.
มา ภายิ, มหาราชาติ ชีวโก – ‘‘อยํ ราชา มํ น ชานาติ ‘นายํ ปรํ ชีวิตา โวโรเปตี’ติ; สเจ โข ปน นํ น อสฺสาเสสฺสามิ, วินเสฺสยฺยา’’ติ จินฺตยิตฺวา ทฬฺหํ กตฺวา สมสฺสาเสโนฺต ‘‘มา ภายิ มหาราชา’’ติ วตฺวา ‘‘น ตํ เทวา’’ติอาทิมาหฯ อภิกฺกมาติ อภิมุโข กม คจฺฉ, ปวิสาติ อโตฺถฯ สกิํ วุเตฺต ปน ทฬฺหํ น โหตีติ ตรมาโนว ทฺวิกฺขตฺตุํ อาหฯ เอเต มณฺฑลมาเฬ ทีปา ฌายนฺตีติ มหาราช, โจรพลํ นาม น ทีเป ชาเลตฺวา ติฎฺฐติ, เอเต จ มณฺฑลมาเฬ ทีปา ชลนฺติฯ เอตาย ทีปสญฺญาย ยาหิ มหาราชาติ วทติฯ
Mā bhāyi, mahārājāti jīvako – ‘‘ayaṃ rājā maṃ na jānāti ‘nāyaṃ paraṃ jīvitā voropetī’ti; sace kho pana naṃ na assāsessāmi, vinasseyyā’’ti cintayitvā daḷhaṃ katvā samassāsento ‘‘mā bhāyi mahārājā’’ti vatvā ‘‘na taṃ devā’’tiādimāha. Abhikkamāti abhimukho kama gaccha, pavisāti attho. Sakiṃ vutte pana daḷhaṃ na hotīti taramānova dvikkhattuṃ āha. Ete maṇḍalamāḷe dīpā jhāyantīti mahārāja, corabalaṃ nāma na dīpe jāletvā tiṭṭhati, ete ca maṇḍalamāḷe dīpā jalanti. Etāya dīpasaññāya yāhi mahārājāti vadati.
สามญฺญผลปุจฺฉาวณฺณนา
Sāmaññaphalapucchāvaṇṇanā
๑๖๐. นาคสฺส ภูมีติ ยตฺถ สกฺกา หตฺถิํ อภิรูเฬฺหน คนฺตุํ, อยํ นาคสฺส ภูมิ นามฯ นาคา ปโจฺจโรหิตฺวาติ วิหารสฺส พหิทฺวารโกฎฺฐเก หตฺถิโต โอโรหิตฺวาฯ ภูมิยํ ปติฎฺฐิตสมกาลเมว ปน ภควโต เตโช รโญฺญ สรีรํ ผริฯ อถสฺส ตาวเทว สกลสรีรโต เสทา มุจฺจิํสุ, สาฎกา ปีเฬตฺวา อปเนตพฺพา วิย อเหสุํฯ อตฺตโน อปราธํ สริตฺวา มหาภยํ อุปฺปชฺชิฯ โส อุชุกํ ภควโต สนฺติกํ คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต ชีวกํ หเตฺถ คเหตฺวา อารามจาริกํ จรมาโน วิย ‘‘อิทํ เต สมฺม ชีวก สุฎฺฐุ การิตํ อิทํ สุฎฺฐุ การิต’’นฺติ วิหารสฺส วณฺณํ ภณมาโน อนุกฺกเมน เยน มณฺฑลมาฬสฺส ทฺวารํ เตนุปสงฺกมิ, สมฺปโตฺตติ อโตฺถฯ
160.Nāgassa bhūmīti yattha sakkā hatthiṃ abhirūḷhena gantuṃ, ayaṃ nāgassa bhūmi nāma. Nāgā paccorohitvāti vihārassa bahidvārakoṭṭhake hatthito orohitvā. Bhūmiyaṃ patiṭṭhitasamakālameva pana bhagavato tejo rañño sarīraṃ phari. Athassa tāvadeva sakalasarīrato sedā mucciṃsu, sāṭakā pīḷetvā apanetabbā viya ahesuṃ. Attano aparādhaṃ saritvā mahābhayaṃ uppajji. So ujukaṃ bhagavato santikaṃ gantuṃ asakkonto jīvakaṃ hatthe gahetvā ārāmacārikaṃ caramāno viya ‘‘idaṃ te samma jīvaka suṭṭhu kāritaṃ idaṃ suṭṭhu kārita’’nti vihārassa vaṇṇaṃ bhaṇamāno anukkamena yena maṇḍalamāḷassa dvāraṃ tenupasaṅkami, sampattoti attho.
กหํ ปน สมฺมาติ กสฺมา ปุจฺฉีติฯ เอเก ตาว ‘‘อชานโนฺต’’ติ วทนฺติฯ อิมินา กิร ทหรกาเล ปิตรา สทฺธิํ อาคมฺม ภควา ทิฎฺฐปุโพฺพ, ปจฺฉา ปน ปาปมิตฺตสํสเคฺคน ปิตุฆาตํ กตฺวา อภิมาเร เปเสตฺวา ธนปาลํ มุญฺจาเปตฺวา มหาปราโธ หุตฺวา ภควโต สมฺมุขีภาวํ น อุปคตปุโพฺพติ อสญฺชานโนฺต ปุจฺฉตีติฯ ตํ อการณํ, ภควา หิ อากิณฺณวรลกฺขโณ อนุพฺยญฺชนปฎิมณฺฑิโต ฉพฺพณฺณาหิ รสฺมีหิ สกลํ อารามํ โอภาเสตฺวา ตาราคณปริวุโต วิย ปุณฺณจโนฺท ภิกฺขุคณปริวุโต มณฺฑลมาฬมเชฺฌ นิสิโนฺน, ตํ โก น ชาเนยฺยฯ อยํ ปน อตฺตโน อิสฺสริยลีลาย ปุจฺฉติฯ ปกติ เหสา ราชกุลานํ, ยํ ชานนฺตาปิ อชานนฺตา วิย ปุจฺฉนฺติฯ ชีวโก ปน ตํ สุตฺวา – ‘อยํ ราชา ปถวิยํ ฐตฺวา กุหิํ ปถวีติ, นภํ อุโลฺลเกตฺวา กุหิํ จนฺทิมสูริยาติ, สิเนรุมูเล ฐตฺวา กุหิํ สิเนรูติ วทมาโน วิย ทสพลสฺส ปุรโต ฐตฺวา กุหิํ ภควา’ติ ปุจฺฉติฯ ‘‘หนฺทสฺส ภควนฺตํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา ‘‘เอโส มหาราชา’’ติอาทิมาหฯ ปุรกฺขโตติ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนสฺส ปุรโต นิสิโนฺนฯ
Kahaṃ pana sammāti kasmā pucchīti. Eke tāva ‘‘ajānanto’’ti vadanti. Iminā kira daharakāle pitarā saddhiṃ āgamma bhagavā diṭṭhapubbo, pacchā pana pāpamittasaṃsaggena pitughātaṃ katvā abhimāre pesetvā dhanapālaṃ muñcāpetvā mahāparādho hutvā bhagavato sammukhībhāvaṃ na upagatapubboti asañjānanto pucchatīti. Taṃ akāraṇaṃ, bhagavā hi ākiṇṇavaralakkhaṇo anubyañjanapaṭimaṇḍito chabbaṇṇāhi rasmīhi sakalaṃ ārāmaṃ obhāsetvā tārāgaṇaparivuto viya puṇṇacando bhikkhugaṇaparivuto maṇḍalamāḷamajjhe nisinno, taṃ ko na jāneyya. Ayaṃ pana attano issariyalīlāya pucchati. Pakati hesā rājakulānaṃ, yaṃ jānantāpi ajānantā viya pucchanti. Jīvako pana taṃ sutvā – ‘ayaṃ rājā pathaviyaṃ ṭhatvā kuhiṃ pathavīti, nabhaṃ ulloketvā kuhiṃ candimasūriyāti, sinerumūle ṭhatvā kuhiṃ sinerūti vadamāno viya dasabalassa purato ṭhatvā kuhiṃ bhagavā’ti pucchati. ‘‘Handassa bhagavantaṃ dassessāmī’’ti cintetvā yena bhagavā tenañjaliṃ paṇāmetvā ‘‘eso mahārājā’’tiādimāha. Purakkhatoti parivāretvā nisinnassa purato nisinno.
๑๖๑. เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ ยตฺถ ภควา ตตฺถ คโต, ภควโต สนฺติกํ อุปคโตติ อโตฺถฯ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสีติ ภควนฺตํ วา ภิกฺขุสํฆํ วา อสงฺฆฎฺฎยมาโน อตฺตโน ฐาตุํ อนุจฺฉวิเก เอกสฺมิํ ปเทเส ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอโกว อฎฺฐาสิฯ ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตนฺติ ยโต ยโต อนุวิโลเกติ, ตโต ตโต ตุณฺหีภูตเมวาติ อโตฺถฯ ตตฺถ หิ เอกภิกฺขุสฺสปิ หตฺถกุกฺกุจฺจํ วา ปาทกุกฺกุจฺจํ วา ขิปิตสโทฺท วา นตฺถิ, สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ นาฎกปริวารํ ภควโต อภิมุเข ฐิตํ ราชานํ วา ราชปริสํ วา เอกภิกฺขุปิ น โอโลเกสิฯ สเพฺพ ภควนฺตํเยว โอโลกยมานา นิสีทิํสุฯ
161.Yena bhagavā tenupasaṅkamīti yattha bhagavā tattha gato, bhagavato santikaṃ upagatoti attho. Ekamantaṃ aṭṭhāsīti bhagavantaṃ vā bhikkhusaṃghaṃ vā asaṅghaṭṭayamāno attano ṭhātuṃ anucchavike ekasmiṃ padese bhagavantaṃ abhivādetvā ekova aṭṭhāsi. Tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūtanti yato yato anuviloketi, tato tato tuṇhībhūtamevāti attho. Tattha hi ekabhikkhussapi hatthakukkuccaṃ vā pādakukkuccaṃ vā khipitasaddo vā natthi, sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ nāṭakaparivāraṃ bhagavato abhimukhe ṭhitaṃ rājānaṃ vā rājaparisaṃ vā ekabhikkhupi na olokesi. Sabbe bhagavantaṃyeva olokayamānā nisīdiṃsu.
ราชา เตสํ อุปสเม ปสีทิตฺวา วิคตปงฺกตาย วิปฺปสนฺนรหทมิว อุปสนฺตินฺทฺริยํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปุนปฺปุนํ อนุวิโลเกตฺวา อุทานํ อุทาเนสิฯ ตตฺถ อิมินาติ เยน กายิเกน จ วาจสิเกน จ มานสิเกน จ สีลูปสเมน ภิกฺขุสโงฺฆ อุปสโนฺต, อิมินา อุปสเมนาติ ทีเปติฯ ตตฺถ ‘‘อโห วต เม ปุโตฺต ปพฺพชิตฺวา อิเม ภิกฺขู วิย อุปสโนฺต ภเวยฺยา’’ติ นยิทํ สนฺธาย เอส เอวมาหฯ อยํ ปน ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา ปสโนฺน ปุตฺตํ อนุสฺสริฯ ทุลฺลภญฺหิ ลทฺธา อจฺฉริยํ วา ทิสฺวา ปิยานํ ญาติมิตฺตาทีนํ อนุสฺสรณํ นาม โลกสฺส ปกติเยวฯ อิติ ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา ปุตฺตํ อนุสฺสรมาโน เอส เอวมาหฯ
Rājā tesaṃ upasame pasīditvā vigatapaṅkatāya vippasannarahadamiva upasantindriyaṃ bhikkhusaṅghaṃ punappunaṃ anuviloketvā udānaṃ udānesi. Tattha imināti yena kāyikena ca vācasikena ca mānasikena ca sīlūpasamena bhikkhusaṅgho upasanto, iminā upasamenāti dīpeti. Tattha ‘‘aho vata me putto pabbajitvā ime bhikkhū viya upasanto bhaveyyā’’ti nayidaṃ sandhāya esa evamāha. Ayaṃ pana bhikkhusaṅghaṃ disvā pasanno puttaṃ anussari. Dullabhañhi laddhā acchariyaṃ vā disvā piyānaṃ ñātimittādīnaṃ anussaraṇaṃ nāma lokassa pakatiyeva. Iti bhikkhusaṅghaṃ disvā puttaṃ anussaramāno esa evamāha.
อปิ จ ปุเตฺต อาสงฺกาย ตสฺส อุปสมํ อิจฺฉมาโน เปส เอวมาหฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ, ปุโตฺต เม ปุจฺฉิสฺสติ – ‘‘มยฺหํ ปิตา ทหโรฯ อยฺยโก เม กุหิ’’นฺติฯ โส ‘‘ปิตรา เต ฆาติโต’’ติ สุตฺวา ‘‘อหมฺปิ ปิตรํ ฆาเตตฺวา รชฺชํ กาเรสฺสามี’’ติ มญฺญิสฺสติฯ อิติ ปุเตฺต อาสงฺกาย ตสฺส อุปสมํ อิจฺฉมาโน เปส เอวมาหฯ กิญฺจาปิ หิ เอส เอวมาหฯ อถ โข นํ ปุโตฺต ฆาเตสฺสติเยวฯ ตสฺมิญฺหิ วํเส ปิตุวโธ ปญฺจปริวเฎฺฎ คโตฯ อชาตสตฺตุ พิมฺพิสารํ ฆาเตสิ, อุทโย อชาตสตฺตุํ ฯ ตสฺส ปุโตฺต มหามุณฺฑิโก นาม อุทยํฯ ตสฺส ปุโตฺต อนุรุโทฺธ นาม มหามุณฺฑิกํฯ ตสฺส ปุโตฺต นาคทาโส นาม อนุรุทฺธํฯ นาคทาสํ ปน – ‘‘วํสเจฺฉทกราชาโน อิเม, กิํ อิเมหี’’ติ รฎฺฐวาสิโน กุปิตา ฆาเตสุํฯ
Api ca putte āsaṅkāya tassa upasamaṃ icchamāno pesa evamāha. Evaṃ kirassa ahosi, putto me pucchissati – ‘‘mayhaṃ pitā daharo. Ayyako me kuhi’’nti. So ‘‘pitarā te ghātito’’ti sutvā ‘‘ahampi pitaraṃ ghātetvā rajjaṃ kāressāmī’’ti maññissati. Iti putte āsaṅkāya tassa upasamaṃ icchamāno pesa evamāha. Kiñcāpi hi esa evamāha. Atha kho naṃ putto ghātessatiyeva. Tasmiñhi vaṃse pituvadho pañcaparivaṭṭe gato. Ajātasattu bimbisāraṃ ghātesi, udayo ajātasattuṃ . Tassa putto mahāmuṇḍiko nāma udayaṃ. Tassa putto anuruddho nāma mahāmuṇḍikaṃ. Tassa putto nāgadāso nāma anuruddhaṃ. Nāgadāsaṃ pana – ‘‘vaṃsacchedakarājāno ime, kiṃ imehī’’ti raṭṭhavāsino kupitā ghātesuṃ.
อคมา โข ตฺวนฺติ กสฺมา เอวมาห? ภควา กิร รโญฺญ วจีเภเท อกเตเยว จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ราชา อาคนฺตฺวา ตุณฺหี นิรโว ฐิโต, กิํ นุ โข จิเนฺตสี’’ติฯ อถสฺส จิตฺตํ ญตฺวา – ‘‘อยํ มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ อสโกฺกโนฺต ภิกฺขุสงฺฆํ อนุวิโลเกตฺวา ปุตฺตํ อนุสฺสริ, น โข ปนายํ มยิ อนาลปเนฺต กิญฺจิ กเถตุํ สกฺขิสฺสติ, กโรมิ เตน สทฺธิํ กถาสลฺลาป’’นฺติฯ ตสฺมา รโญฺญ วจนานนฺตรํ ‘‘อคมา โข ตฺวํ, มหาราช, ยถาเปม’’นฺติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ยถา นาม อุนฺนเม วุฎฺฐํ อุทกํ เยน นินฺนํ เตน คจฺฉติ, เอวเมว ตฺวํ ภิกฺขุสงฺฆํ อนุวิโลเกตฺวา เยน เปมํ เตน คโตติฯ
Agamā kho tvanti kasmā evamāha? Bhagavā kira rañño vacībhede akateyeva cintesi – ‘‘ayaṃ rājā āgantvā tuṇhī niravo ṭhito, kiṃ nu kho cintesī’’ti. Athassa cittaṃ ñatvā – ‘‘ayaṃ mayā saddhiṃ sallapituṃ asakkonto bhikkhusaṅghaṃ anuviloketvā puttaṃ anussari, na kho panāyaṃ mayi anālapante kiñci kathetuṃ sakkhissati, karomi tena saddhiṃ kathāsallāpa’’nti. Tasmā rañño vacanānantaraṃ ‘‘agamā kho tvaṃ, mahārāja, yathāpema’’nti āha. Tassattho – mahārāja, yathā nāma unname vuṭṭhaṃ udakaṃ yena ninnaṃ tena gacchati, evameva tvaṃ bhikkhusaṅghaṃ anuviloketvā yena pemaṃ tena gatoti.
อถ รโญฺญ เอตทโหสิ – ‘‘อโห อจฺฉริยา พุทฺธคุณา, มยา สทิโส ภควโต อปราธการโก นาม นตฺถิ, มยา หิสฺส อคฺคุปฎฺฐาโก ฆาติโต, เทวทตฺตสฺส จ กถํ คเหตฺวา อภิมารา เปสิตา, นาฬาคิริ มุโตฺต, มํ นิสฺสาย เทวทเตฺตน สิลา ปวิทฺธา, เอวํ มหาปราธํ นาม มํ อาลปโต ทสพลสฺส มุขํ นปฺปโหติ; อโห ภควา ปญฺจหากาเรหิ ตาทิลกฺขเณ สุปฺปติฎฺฐิโตฯ เอวรูปํ นาม สตฺถารํ ปหาย พหิทฺธา น ปริเยสิสฺสามา’’ติ โส โสมนสฺสชาโต ภควนฺตํ อาลปโนฺต ‘‘ปิโย เม, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ
Atha rañño etadahosi – ‘‘aho acchariyā buddhaguṇā, mayā sadiso bhagavato aparādhakārako nāma natthi, mayā hissa aggupaṭṭhāko ghātito, devadattassa ca kathaṃ gahetvā abhimārā pesitā, nāḷāgiri mutto, maṃ nissāya devadattena silā paviddhā, evaṃ mahāparādhaṃ nāma maṃ ālapato dasabalassa mukhaṃ nappahoti; aho bhagavā pañcahākārehi tādilakkhaṇe suppatiṭṭhito. Evarūpaṃ nāma satthāraṃ pahāya bahiddhā na pariyesissāmā’’ti so somanassajāto bhagavantaṃ ālapanto ‘‘piyo me, bhante’’tiādimāha.
๑๖๒. ภิกฺขุสงฺฆสฺส อญฺชลิํ ปณาเมตฺวาติ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อิโตจิโต จ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ วนฺทเนฺตน จ ภควา ปิฎฺฐิโต กาตโพฺพ โหติ, ครุกาโรปิ เจส น โหติฯ ราชานํ วนฺทิตฺวา อุปราชานํ วนฺทเนฺตนปิ หิ รโญฺญ อคารโว กโต โหติฯ ตสฺมา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ฐิตฎฺฐาเนเยว ภิกฺขุสงฺฆสฺส อญฺชลิํ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ กญฺจิเทว เทสนฺติ กญฺจิ โอกาสํฯ
162.Bhikkhusaṅghassaañjaliṃ paṇāmetvāti evaṃ kirassa ahosi bhagavantaṃ vanditvā itocito ca gantvā bhikkhusaṅghaṃ vandantena ca bhagavā piṭṭhito kātabbo hoti, garukāropi cesa na hoti. Rājānaṃ vanditvā uparājānaṃ vandantenapi hi rañño agāravo kato hoti. Tasmā bhagavantaṃ vanditvā ṭhitaṭṭhāneyeva bhikkhusaṅghassa añjaliṃ paṇāmetvā ekamantaṃ nisīdi. Kañcideva desanti kañci okāsaṃ.
อถสฺส ภควา ปญฺหปุจฺฉเน อุสฺสาหํ ชเนโนฺต อาห – ‘‘ปุจฺฉ, มหาราช, ยทากงฺขสี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘ปุจฺฉ ยทิ อากงฺขสิ, น เม ปญฺหวิสฺสชฺชเน ภาโร อตฺถิ’’ฯ อถ วา ‘‘ปุจฺฉ, ยํ อากงฺขสิ, สพฺพํ เต วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิ, อสาธารณํ ปเจฺจกพุทฺธอคฺคสาวกมหาสาวเกหิฯ เต หิ ยทากงฺขสีติ น วทนฺติ, สุตฺวา เวทิสฺสามาติ วทนฺติฯ พุทฺธา ปน – ‘‘ปุจฺฉ, อาวุโส, ยทากงฺขสี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓๗), วา ‘‘ปุจฺฉ, มหาราช, ยทากงฺขสี’’ติ วา,
Athassa bhagavā pañhapucchane ussāhaṃ janento āha – ‘‘puccha, mahārāja, yadākaṅkhasī’’ti. Tassattho – ‘‘puccha yadi ākaṅkhasi, na me pañhavissajjane bhāro atthi’’. Atha vā ‘‘puccha, yaṃ ākaṅkhasi, sabbaṃ te vissajjessāmī’’ti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi, asādhāraṇaṃ paccekabuddhaaggasāvakamahāsāvakehi. Te hi yadākaṅkhasīti na vadanti, sutvā vedissāmāti vadanti. Buddhā pana – ‘‘puccha, āvuso, yadākaṅkhasī’’ti (saṃ. ni. 1.237), vā ‘‘puccha, mahārāja, yadākaṅkhasī’’ti vā,
‘‘ปุจฺฉ, วาสว, มํ ปญฺหํ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสิ;
‘‘Puccha, vāsava, maṃ pañhaṃ, yaṃ kiñci manasicchasi;
ตสฺส ตเสฺสว ปญฺหสฺส, อหํ อนฺตํ กโรมิ เต’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๕๖) วา;
Tassa tasseva pañhassa, ahaṃ antaṃ karomi te’’ti. (dī. ni. 2.356) vā;
เตน หิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, สเก อาสเน นิสีทิตฺวา ปุจฺฉ, ยทากงฺขสีติ วา,
Tena hi tvaṃ, bhikkhu, sake āsane nisīditvā puccha, yadākaṅkhasīti vā,
‘‘พาวริสฺส จ ตุยฺหํ วา, สเพฺพสํ สพฺพสํสยํ;
‘‘Bāvarissa ca tuyhaṃ vā, sabbesaṃ sabbasaṃsayaṃ;
กตาวกาสา ปุจฺฉโวฺห, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉถา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๓๖) วา;
Katāvakāsā pucchavho, yaṃ kiñci manasicchathā’’ti. (su. ni. 1036) vā;
‘‘ปุจฺฉ มํ, สภิย, ปญฺหํ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสิ;
‘‘Puccha maṃ, sabhiya, pañhaṃ, yaṃ kiñci manasicchasi;
ตสฺส ตเสฺสว ปญฺหสฺส, อหํ อนฺตํ กโรมิ เต’’ติฯ (สุ. นิ. ๕๑๗) วา;
Tassa tasseva pañhassa, ahaṃ antaṃ karomi te’’ti. (su. ni. 517) vā;
เตสํ เตสํ ยกฺขนรินฺทเทวสมณพฺราหฺมณปริพฺพาชกานํ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรนฺติฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ยํ ภควา พุทฺธภูมิํ ปตฺวา เอตํ ปวารณํ ปวาเรยฺยฯ โย โพธิสตฺตภูมิยํ ปเทสญาเณ ฐิโต –
Tesaṃ tesaṃ yakkhanarindadevasamaṇabrāhmaṇaparibbājakānaṃ sabbaññupavāraṇaṃ pavārenti. Anacchariyañcetaṃ, yaṃ bhagavā buddhabhūmiṃ patvā etaṃ pavāraṇaṃ pavāreyya. Yo bodhisattabhūmiyaṃ padesañāṇe ṭhito –
‘‘โกณฺฑญฺญ , ปญฺหานิ วิยากโรหิ;
‘‘Koṇḍañña , pañhāni viyākarohi;
ยาจนฺติ ตํ อิสโย สาธุรูปาฯ
Yācanti taṃ isayo sādhurūpā.
โกณฺฑญฺญ, เอโส มนุเชสุ ธโมฺม;
Koṇḍañña, eso manujesu dhammo;
ยํ วุทฺธมาคจฺฉติ เอส ภาโร’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๖๐);
Yaṃ vuddhamāgacchati esa bhāro’’ti. (jā. 2.17.60);
เอวํ สกฺกาทีนํ อตฺถาย อิสีหิ ยาจิโต –
Evaṃ sakkādīnaṃ atthāya isīhi yācito –
‘‘กตาวกาสา ปุจฺฉนฺตุ โภโนฺต,
‘‘Katāvakāsā pucchantu bhonto,
ยํ กิญฺจิ ปญฺหํ มนสาภิปตฺถิตํ;
Yaṃ kiñci pañhaṃ manasābhipatthitaṃ;
อหญฺหิ ตํ ตํ โว วิยากริสฺสํ,
Ahañhi taṃ taṃ vo viyākarissaṃ,
ญตฺวา สยํ โลกมิมํ ปรญฺจา’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๖๑);
Ñatvā sayaṃ lokamimaṃ parañcā’’ti. (jā. 2.17.61);
เอวํ สรภงฺคกาเลฯ สมฺภวชาตเก จ สกลชมฺพุทีปํ ติกฺขตฺตุํ วิจริตฺวา ปญฺหานํ อนฺตกรํ อทิสฺวา สุจิรเตน พฺราหฺมเณน, ปญฺหํ ปุฎฺฐุํ โอกาเส การิเต ชาติยา สตฺตวสฺสิโก รถิกาย ปํสุํ กีฬโนฺต ปลฺลงฺกมาภุชิตฺวา อนฺตรวีถิยํ นิสิโนฺนว –
Evaṃ sarabhaṅgakāle. Sambhavajātake ca sakalajambudīpaṃ tikkhattuṃ vicaritvā pañhānaṃ antakaraṃ adisvā suciratena brāhmaṇena, pañhaṃ puṭṭhuṃ okāse kārite jātiyā sattavassiko rathikāya paṃsuṃ kīḷanto pallaṅkamābhujitvā antaravīthiyaṃ nisinnova –
‘‘ตคฺฆ เต อหมกฺขิสฺสํ, ยถาปิ กุสโล ตถา;
‘‘Taggha te ahamakkhissaṃ, yathāpi kusalo tathā;
ราชา จ โข ตํ ชานาติ, ยทิ กาหติ วา น วา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๑๗๒);
Rājā ca kho taṃ jānāti, yadi kāhati vā na vā’’ti. (jā. 1.16.172);
สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิฯ
Sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi.
๑๖๓. เอวํ ภควตา สพฺพญฺญุปวารณาย ปวาริตาย อตฺตมโน ราชา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต – ‘‘ยถา นุ โข อิมานิ, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สิปฺปเมว สิปฺปายตนํฯ ปุถุสิปฺปายตนานีติ พหูนิ สิปฺปานิฯ เสยฺยถิทนฺติ กตเม ปน เตฯ หตฺถาโรหาติอาทีหิ เย ตํ ตํ สิปฺปํ นิสฺสาย ชีวนฺติ, เต ทเสฺสติฯ อยญฺหิ อสฺสาธิปฺปาโย – ‘‘ยถา อิเมสํ สิปฺปูปชีวีนํ ตํ ตํ สิปฺปํ นิสฺสาย สนฺทิฎฺฐิกํ สิปฺปผลํ ปญฺญายติฯ สกฺกา นุ โข เอวํ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปญฺญาเปตุ’’นฺติฯ ตสฺมา สิปฺปายตนานิ อาหริตฺวา สิปฺปูปชีวิโน ทเสฺสติฯ
163. Evaṃ bhagavatā sabbaññupavāraṇāya pavāritāya attamano rājā pañhaṃ pucchanto – ‘‘yathā nu kho imāni, bhante’’tiādimāha. Tattha sippameva sippāyatanaṃ. Puthusippāyatanānīti bahūni sippāni. Seyyathidanti katame pana te. Hatthārohātiādīhi ye taṃ taṃ sippaṃ nissāya jīvanti, te dasseti. Ayañhi assādhippāyo – ‘‘yathā imesaṃ sippūpajīvīnaṃ taṃ taṃ sippaṃ nissāya sandiṭṭhikaṃ sippaphalaṃ paññāyati. Sakkā nu kho evaṃ sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ paññāpetu’’nti. Tasmā sippāyatanāni āharitvā sippūpajīvino dasseti.
ตตฺถ หตฺถาโรหาติ สเพฺพปิ หตฺถาจริยหตฺถิเวชฺชหตฺถิเมณฺฑาทโย ทเสฺสติฯ อสฺสาโรหาติ สเพฺพปิ อสฺสาจริยอสฺสเวชฺชอสฺสเมณฺฑาทโยฯ รถิกาติ สเพฺพปิ รถาจริยรถโยธรถรกฺขาทโยฯ ธนุคฺคหาติ ธนุอาจริยา อิสฺสาสาฯ เจลกาติ เย ยุเทฺธ ชยธชํ คเหตฺวา ปุรโต คจฺฉนฺติฯ จลกาติ อิธ รโญฺญ ฐานํ โหตุ, อิธ อสุกมหามตฺตสฺสาติ เอวํ เสนาพฺยูหการกาฯ ปิณฺฑทายกาติ สาหสิกมหาโยธาฯ เต กิร ปรเสนํ ปวิสิตฺวา ปรสีสํ ปิณฺฑมิว เฉตฺวา เฉตฺวา ทยนฺติ, อุปฺปติตฺวา อุปฺปติตฺวา นิคฺคจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เย วา สงฺคามมเชฺฌ โยธานํ ภตฺตปาติํ คเหตฺวา ปริวิสนฺติ, เตสเมฺปตํ นามํฯ อุคฺคา ราชปุตฺตาติ อุคฺคตุคฺคตา สงฺคามาวจรา ราชปุตฺตาฯ ปกฺขนฺทิโนติ เย ‘‘กสฺส สีสํ วา อาวุธํ วา อาหรามา’’ติ ‘‘วตฺวา อสุกสฺสา’’ติ วุตฺตา สงฺคามํ ปกฺขนฺทิตฺวา ตเทว อาหรนฺติ, อิเม ปกฺขนฺทนฺตีติ ปกฺขนฺทิโนฯ มหานาคาติ มหานาคา วิย มหานาคา, หตฺถิอาทีสุปิ อภิมุขํ อาคจฺฉเนฺตสุ อนิวตฺติตโยธานเมตํ อธิวจนํฯ สูราติ เอกนฺตสูรา, เย สชาลิกาปิ สจมฺมิกาปิ สมุทฺทํ ตริตุํ สโกฺกนฺติฯ จมฺมโยธิโนติ เย จมฺมกญฺจุกํ วา ปวิสิตฺวา สรปริตฺตาณจมฺมํ วา คเหตฺวา ยุชฺฌนฺติฯ ทาสิกปุตฺตาติ พลวสิเนหา ฆรทาสโยธาฯ อาฬาริกาติ ปูวิกาฯ กปฺปกาติ นฺหาปิกาฯ นฺหาปกาติ เย นฺหาเปนฺติฯ สูทาติ ภตฺตการกาฯ มาลาการาทโย ปากฎาเยวฯ คณกาติ อจฺฉิทฺทกปาฐกาฯ มุทฺทิกาติ หตฺถมุทฺทาย คณนํ นิสฺสาย ชีวิโนฯ ยานิ วา ปนญฺญานิปีติ อยการทนฺตการจิตฺตการาทีนิฯ เอวํคตานีติ เอวํ ปวตฺตานิฯ เต ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ เต หตฺถาโรหาทโย ตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ ทเสฺสตฺวา ราชกุลโต มหาสมฺปตฺติํ ลภมานา สนฺทิฎฺฐิกเมว สิปฺปผลํ อุปชีวนฺติฯ สุเขนฺตีติ สุขิตํ กโรนฺติฯ ปีเณนฺตีติ ปีณิตํ ถามพลูเปตํ กโรนฺติฯ อุทฺธคฺคิกาทีสุ อุปริ ผลนิพฺพตฺตนโต อุทฺธํ อคฺคมสฺสา อตฺถีติ อุทฺธคฺคิกาฯ สคฺคํ อรหตีติ โสวคฺคิกาฯ สุโข วิปาโก อสฺสาติ สุขวิปากาฯ สุฎฺฐุ อเคฺค รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพอายุวณฺณสุขยสอาธิปเตยฺยสงฺขาเต ทส ธเมฺม สํวเตฺตติ นิพฺพเตฺตตีติ สคฺคสํวตฺตนิกาฯ ตํ เอวรูปํ ทกฺขิณํ ทานํ ปติฎฺฐเปนฺตีติ อโตฺถฯ สามญฺญผลนฺติ เอตฺถ ปรมตฺถโต มโคฺค สามญฺญํฯ อริยผลํ สามญฺญผลํฯ ยถาห – ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, สามญฺญํ? อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธิฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สามญฺญํฯ กตมานิ จ, ภิกฺขเว, สามญฺญผลานิ? โสตาปตฺติผลํ…เป.… อรหตฺตผล’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๓๕)ฯ ตํ เอส ราชา น ชานาติฯ อุปริ อาคตํ ปน ทาสกสฺสโกปมํ สนฺธาย ปุจฺฉติฯ
Tattha hatthārohāti sabbepi hatthācariyahatthivejjahatthimeṇḍādayo dasseti. Assārohāti sabbepi assācariyaassavejjaassameṇḍādayo. Rathikāti sabbepi rathācariyarathayodharatharakkhādayo. Dhanuggahāti dhanuācariyā issāsā. Celakāti ye yuddhe jayadhajaṃ gahetvā purato gacchanti. Calakāti idha rañño ṭhānaṃ hotu, idha asukamahāmattassāti evaṃ senābyūhakārakā. Piṇḍadāyakāti sāhasikamahāyodhā. Te kira parasenaṃ pavisitvā parasīsaṃ piṇḍamiva chetvā chetvā dayanti, uppatitvā uppatitvā niggacchantīti attho. Ye vā saṅgāmamajjhe yodhānaṃ bhattapātiṃ gahetvā parivisanti, tesampetaṃ nāmaṃ. Uggārājaputtāti uggatuggatā saṅgāmāvacarā rājaputtā. Pakkhandinoti ye ‘‘kassa sīsaṃ vā āvudhaṃ vā āharāmā’’ti ‘‘vatvā asukassā’’ti vuttā saṅgāmaṃ pakkhanditvā tadeva āharanti, ime pakkhandantīti pakkhandino. Mahānāgāti mahānāgā viya mahānāgā, hatthiādīsupi abhimukhaṃ āgacchantesu anivattitayodhānametaṃ adhivacanaṃ. Sūrāti ekantasūrā, ye sajālikāpi sacammikāpi samuddaṃ tarituṃ sakkonti. Cammayodhinoti ye cammakañcukaṃ vā pavisitvā saraparittāṇacammaṃ vā gahetvā yujjhanti. Dāsikaputtāti balavasinehā gharadāsayodhā. Āḷārikāti pūvikā. Kappakāti nhāpikā. Nhāpakāti ye nhāpenti. Sūdāti bhattakārakā. Mālākārādayo pākaṭāyeva. Gaṇakāti acchiddakapāṭhakā. Muddikāti hatthamuddāya gaṇanaṃ nissāya jīvino. Yāni vā panaññānipīti ayakāradantakāracittakārādīni. Evaṃgatānīti evaṃ pavattāni. Te diṭṭheva dhammeti te hatthārohādayo tāni puthusippāyatanāni dassetvā rājakulato mahāsampattiṃ labhamānā sandiṭṭhikameva sippaphalaṃ upajīvanti. Sukhentīti sukhitaṃ karonti. Pīṇentīti pīṇitaṃ thāmabalūpetaṃ karonti. Uddhaggikādīsu upari phalanibbattanato uddhaṃ aggamassā atthīti uddhaggikā. Saggaṃ arahatīti sovaggikā. Sukho vipāko assāti sukhavipākā. Suṭṭhu agge rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbaāyuvaṇṇasukhayasaādhipateyyasaṅkhāte dasa dhamme saṃvatteti nibbattetīti saggasaṃvattanikā. Taṃ evarūpaṃ dakkhiṇaṃ dānaṃ patiṭṭhapentīti attho. Sāmaññaphalanti ettha paramatthato maggo sāmaññaṃ. Ariyaphalaṃ sāmaññaphalaṃ. Yathāha – ‘‘katamañca, bhikkhave, sāmaññaṃ? Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhi. Idaṃ vuccati, bhikkhave, sāmaññaṃ. Katamāni ca, bhikkhave, sāmaññaphalāni? Sotāpattiphalaṃ…pe… arahattaphala’’nti (saṃ. ni. 5.35). Taṃ esa rājā na jānāti. Upari āgataṃ pana dāsakassakopamaṃ sandhāya pucchati.
อถ ภควา ปญฺหํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม พหู อญฺญติตฺถิยสาวกา ราชามจฺจา อิธาคตา, เต กณฺหปกฺขญฺจ สุกฺกปกฺขญฺจ ทีเปตฺวา กถียมาเน อมฺหากํ ราชา มหเนฺตน อุสฺสาเหน อิธาคโต, ตสฺสาคตกาลโต ปฎฺฐาย สมโณ โคตโม สมณโกลาหลํ สมณภณฺฑนเมว กเถตีติ อุชฺฌายิสฺสนฺติ, น สกฺกจฺจํ ธมฺมํ โสสฺสนฺติ, รญฺญา ปน กถียมาเน อุชฺฌายิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, ราชานเมว อนุวตฺติสฺสนฺติฯ อิสฺสรานุวตฺตโก หิ โลโกฯ ‘หนฺทาหํ รโญฺญว ภารํ กโรมี’ติ รโญฺญ ภารํ กโรโนฺต ‘‘อภิชานาสิ โน ตฺว’’นฺติอาทิมาหฯ
Atha bhagavā pañhaṃ avissajjetvāva cintesi – ‘‘ime bahū aññatitthiyasāvakā rājāmaccā idhāgatā, te kaṇhapakkhañca sukkapakkhañca dīpetvā kathīyamāne amhākaṃ rājā mahantena ussāhena idhāgato, tassāgatakālato paṭṭhāya samaṇo gotamo samaṇakolāhalaṃ samaṇabhaṇḍanameva kathetīti ujjhāyissanti, na sakkaccaṃ dhammaṃ sossanti, raññā pana kathīyamāne ujjhāyituṃ na sakkhissanti, rājānameva anuvattissanti. Issarānuvattako hi loko. ‘Handāhaṃ raññova bhāraṃ karomī’ti rañño bhāraṃ karonto ‘‘abhijānāsi no tva’’ntiādimāha.
๑๖๔. ตตฺถ อภิชานาสิ โน ตฺวนฺติ อภิชานาสิ นุ ตฺวํฯ อยญฺจ โน-สโทฺท ปรโต ปุจฺฉิตาติ ปเทน โยเชตโพฺพฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – ‘‘มหาราช, ตฺวํ อิมํ ปญฺหํ อเญฺญ สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉิตา นุ, อภิชานาสิ จ นํ ปุฎฺฐภาวํ, น เต สมฺมุฎฺฐ’’นฺติฯ สเจ เต อครูติ สเจ ตุยฺหํ ยถา เต พฺยากริํสุ, ตถา อิธ ภาสิตุํ ภาริยํ น โหติ, ยทิ น โกจิ อผาสุกภาโว อตฺถิ, ภาสสฺสูติ อโตฺถฯ น โข เม ภเนฺตติ กิํ สนฺธายาห? ปณฺฑิตปติรูปกานญฺหิ สนฺติเก กเถตุํ ทุกฺขํ โหติ, เต ปเท ปเท อกฺขเร อกฺขเร โทสเมว วทนฺติฯ เอกนฺตปณฺฑิตา ปน กถํ สุตฺวา สุกถิตํ ปสํสนฺติ, ทุกฺกถิเตสุ ปาฬิปทอตฺถพฺยญฺชเนสุ ยํ ยํ วิรุชฺฌติ, ตํ ตํ อุชุกํ กตฺวา เทนฺติฯ ภควตา จ สทิโส เอกนฺตปณฺฑิโต นาม นตฺถิฯ เตนาห – ‘‘น โข เม, ภเนฺต, ครุ; ยตฺถสฺส ภควา นิสิโนฺน ภควนฺตรูโป วา’’ติฯ
164. Tattha abhijānāsi no tvanti abhijānāsi nu tvaṃ. Ayañca no-saddo parato pucchitāti padena yojetabbo. Idañhi vuttaṃ hoti – ‘‘mahārāja, tvaṃ imaṃ pañhaṃ aññe samaṇabrāhmaṇe pucchitā nu, abhijānāsi ca naṃ puṭṭhabhāvaṃ, na te sammuṭṭha’’nti. Sace te agarūti sace tuyhaṃ yathā te byākariṃsu, tathā idha bhāsituṃ bhāriyaṃ na hoti, yadi na koci aphāsukabhāvo atthi, bhāsassūti attho. Na kho me bhanteti kiṃ sandhāyāha? Paṇḍitapatirūpakānañhi santike kathetuṃ dukkhaṃ hoti, te pade pade akkhare akkhare dosameva vadanti. Ekantapaṇḍitā pana kathaṃ sutvā sukathitaṃ pasaṃsanti, dukkathitesu pāḷipadaatthabyañjanesu yaṃ yaṃ virujjhati, taṃ taṃ ujukaṃ katvā denti. Bhagavatā ca sadiso ekantapaṇḍito nāma natthi. Tenāha – ‘‘na kho me, bhante, garu; yatthassa bhagavā nisinno bhagavantarūpo vā’’ti.
ปูรณกสฺสปวาทวณฺณนา
Pūraṇakassapavādavaṇṇanā
๑๖๕. เอกมิทาหนฺติ เอกํ อิธ อหํฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวาติ สโมฺมทชนกํ สริตพฺพยุตฺตกํ กถํ ปริโยสาเปตฺวาฯ
165.Ekamidāhanti ekaṃ idha ahaṃ. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvāti sammodajanakaṃ saritabbayuttakaṃ kathaṃ pariyosāpetvā.
๑๖๖. ‘‘กโรโต โข, มหาราช, การยโต’’ติอาทีสุ กโรโตติ สหตฺถา กโรนฺตสฺสฯ การยโตติ อาณตฺติยา กาเรนฺตสฺสฯ ฉินฺทโตติ ปเรสํ หตฺถาทีนิ ฉินฺทนฺตสฺสฯ ปจโตติ ปเร ทเณฺฑน ปีเฬนฺตสฺสฯ โสจยโตติ ปรสฺส ภณฺฑหรณาทีหิ โสจยโตฯ โสจาปยโตติ โสกํ สยํ กโรนฺตสฺสปิ ปเรหิ การาเปนฺตสฺสปิ ฯ กิลมโตติ อาหารุปเจฺฉทพนฺธนาคารปฺปเวสนาทีหิ สยํ กิลมนฺตสฺสปิ ปเรหิ กิลมาเปนฺตสฺสปิฯ ผนฺทโต ผนฺทาปยโตติ ปรํ ผนฺทนฺตํ ผนฺทนกาเล สยมฺปิ ผนฺทโต ปรมฺปิ ผนฺทาปยโตฯ ปาณมติปาตาปยโตติ ปาณํ หนนฺตสฺสปิ หนาเปนฺตสฺสปิฯ เอวํ สพฺพตฺถ กรณการณวเสเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
166.‘‘Karoto kho, mahārāja, kārayato’’tiādīsu karototi sahatthā karontassa. Kārayatoti āṇattiyā kārentassa. Chindatoti paresaṃ hatthādīni chindantassa. Pacatoti pare daṇḍena pīḷentassa. Socayatoti parassa bhaṇḍaharaṇādīhi socayato. Socāpayatoti sokaṃ sayaṃ karontassapi parehi kārāpentassapi . Kilamatoti āhārupacchedabandhanāgārappavesanādīhi sayaṃ kilamantassapi parehi kilamāpentassapi. Phandato phandāpayatoti paraṃ phandantaṃ phandanakāle sayampi phandato parampi phandāpayato. Pāṇamatipātāpayatoti pāṇaṃ hanantassapi hanāpentassapi. Evaṃ sabbattha karaṇakāraṇavaseneva attho veditabbo.
สนฺธินฺติ ฆรสนฺธิํฯ นิโลฺลปนฺติ มหาวิโลปํฯ เอกาคาริกนฺติ เอกเมว ฆรํ ปริวาเรตฺวา วิลุปฺปนํฯ ปริปเนฺถติ อาคตาคตานํ อจฺฉินฺทนตฺถํ มเคฺค ติฎฺฐโตฯ กโรโต น กรียติ ปาปนฺติ ยํ กิญฺจิ ปาปํ กโรมีติ สญฺญาย กโรโตปิ ปาปํ น กรียติ, นตฺถิ ปาปํฯ สตฺตา ปน ปาปํ กโรมาติ เอวํสญฺญิโน โหนฺตีติ ทีเปติฯ ขุรปริยเนฺตนาติ ขุรเนมินา, ขุรธารสทิสปริยเนฺตน วาฯ เอกํ มํสขลนฺติ เอกํ มํสราสิํฯ ปุญฺชนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ ตโตนิทานนฺติ เอกมํสขลกรณนิทานํฯ
Sandhinti gharasandhiṃ. Nillopanti mahāvilopaṃ. Ekāgārikanti ekameva gharaṃ parivāretvā viluppanaṃ. Paripantheti āgatāgatānaṃ acchindanatthaṃ magge tiṭṭhato. Karoto na karīyati pāpanti yaṃ kiñci pāpaṃ karomīti saññāya karotopi pāpaṃ na karīyati, natthi pāpaṃ. Sattā pana pāpaṃ karomāti evaṃsaññino hontīti dīpeti. Khurapariyantenāti khuraneminā, khuradhārasadisapariyantena vā. Ekaṃ maṃsakhalanti ekaṃ maṃsarāsiṃ. Puñjanti tasseva vevacanaṃ. Tatonidānanti ekamaṃsakhalakaraṇanidānaṃ.
ทกฺขิณนฺติ ทกฺขิณตีเร มนุสฺสา กกฺขฬา ทารุณา, เต สนฺธาย ‘‘หนโนฺต’’ติอาทิมาหฯ อุตฺตรตีเร สตฺตา สทฺธา โหนฺติ ปสนฺนา พุทฺธมามกา ธมฺมมามกา สงฺฆมามกา, เต สนฺธาย ททโนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยชโนฺตติ มหายาคํ กโรโนฺตฯ ทเมนาติ อินฺทฺริยทเมน อุโปสถกเมฺมน วาฯ สํยเมนาติ สีลสํยเมนฯ สจฺจวเชฺชนาติ สจฺจวจเนนฯ อาคโมติ อาคมนํ, ปวตฺตีติ อโตฺถฯ สพฺพถาปิ ปาปปุญฺญานํ กิริยเมว ปฎิกฺขิปติฯ
Dakkhiṇanti dakkhiṇatīre manussā kakkhaḷā dāruṇā, te sandhāya ‘‘hananto’’tiādimāha. Uttaratīre sattā saddhā honti pasannā buddhamāmakā dhammamāmakā saṅghamāmakā, te sandhāya dadantotiādimāha. Tattha yajantoti mahāyāgaṃ karonto. Damenāti indriyadamena uposathakammena vā. Saṃyamenāti sīlasaṃyamena. Saccavajjenāti saccavacanena. Āgamoti āgamanaṃ, pavattīti attho. Sabbathāpi pāpapuññānaṃ kiriyameva paṭikkhipati.
อมฺพํ ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากโรติ นาม, โย กีทิโส อโมฺพ กีทิสานิ วา อมฺพสฺส ขนฺธปณฺณปุปฺผผลานีติ วุเตฺต เอทิโส ลพุโช เอทิสานิ วา ลพุชสฺส ขนฺธปณฺณปุปฺผผลานีติ พฺยากโรติฯ วิชิเตติ อาณาปวตฺติเทเสฯ อปสาเทตพฺพนฺติ วิเหเฐตพฺพํฯ อนภินนฺทิตฺวาติ ‘‘สาธุ สาธู’’ติ เอวํ ปสํสํ อกตฺวาฯ อปฺปฎิโกฺกสิตฺวาติ พาลทุพฺภาสิตํ ตยา ภาสิตนฺติ เอวํ อปฺปฎิพาหิตฺวาฯ อนุคฺคณฺหโนฺตติ สารโต อคฺคณฺหโนฺตฯ อนิกฺกุชฺชโนฺตติ สารวเสเนว อิทํ นิสฺสรณํ, อยํ ปรมโตฺถติ หทเย อฎฺฐเปโนฺตฯ พฺยญฺชนํ ปน เตน อุคฺคหิตเญฺจว นิกฺกุชฺชิตญฺจฯ
Ambaṃ puṭṭho labujaṃ byākaroti nāma, yo kīdiso ambo kīdisāni vā ambassa khandhapaṇṇapupphaphalānīti vutte ediso labujo edisāni vā labujassa khandhapaṇṇapupphaphalānīti byākaroti. Vijiteti āṇāpavattidese. Apasādetabbanti viheṭhetabbaṃ. Anabhinanditvāti ‘‘sādhu sādhū’’ti evaṃ pasaṃsaṃ akatvā. Appaṭikkositvāti bāladubbhāsitaṃ tayā bhāsitanti evaṃ appaṭibāhitvā. Anuggaṇhantoti sārato aggaṇhanto. Anikkujjantoti sāravaseneva idaṃ nissaraṇaṃ, ayaṃ paramatthoti hadaye aṭṭhapento. Byañjanaṃ pana tena uggahitañceva nikkujjitañca.
มกฺขลิโคสาลวาทวณฺณนา
Makkhaligosālavādavaṇṇanā
๑๖๗-๑๖๙. มกฺขลิวาเท ปจฺจโยติ เหตุเววจนเมว, อุภเยนาปิ วิชฺชมานเมว กายทุจฺจริตาทีนํ สํกิเลสปจฺจยํ, กายสุจริตาทีนญฺจ วิสุทฺธิปจฺจยํ ปฎิกฺขิปติฯ อตฺตกาเรติ อตฺตกาโรฯ เยน อตฺตนา กตกเมฺมน อิเม สตฺตา เทวตฺตมฺปิ มารตฺตมฺปิ พฺรหฺมตฺตมฺปิ สาวกโพธิมฺปิ ปเจฺจกโพธิมฺปิ สพฺพญฺญุตมฺปิ ปาปุณนฺติ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปติฯ ทุติยปเทน ยํ ปรการํ ปรสฺส โอวาทานุสาสนิํ นิสฺสาย ฐเปตฺวา มหาสตฺตํ อวเสโส ชโน มนุสฺสโสภคฺยตํ อาทิํ กตฺวา ยาว อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตํ ปรการํ ปฎิกฺขิปติฯ เอวมยํ พาโล ชินจเกฺก ปหารํ เทติ นามฯ นตฺถิ ปุริสกาเรติ เยน ปุริสกาเรน สตฺตา วุตฺตปฺปการา สมฺปตฺติโย ปาปุณนฺติ , ตมฺปิ ปฎิกฺขิปติฯ นตฺถิ พลนฺติ ยมฺหิ อตฺตโน พเล ปติฎฺฐิตา สตฺตา วีริยํ กตฺวา ตา สมฺปตฺติโย ปาปุณนฺติ, ตํ พลํ ปฎิกฺขิปติฯ นตฺถิ วีริยนฺติอาทีนิ สพฺพานิ ปุริสการเววจนาเนวฯ ‘‘อิทํ โน วีริเยน อิทํ ปุริสถาเมน, อิทํ ปุริสปรกฺกเมน ปวตฺต’’นฺติ เอวํ ปวตฺตวจนปฎิเกฺขปกรณวเสน ปเนตานิ วิสุํ อาทิยนฺติฯ
167-169. Makkhalivāde paccayoti hetuvevacanameva, ubhayenāpi vijjamānameva kāyaduccaritādīnaṃ saṃkilesapaccayaṃ, kāyasucaritādīnañca visuddhipaccayaṃ paṭikkhipati. Attakāreti attakāro. Yena attanā katakammena ime sattā devattampi mārattampi brahmattampi sāvakabodhimpi paccekabodhimpi sabbaññutampi pāpuṇanti, tampi paṭikkhipati. Dutiyapadena yaṃ parakāraṃ parassa ovādānusāsaniṃ nissāya ṭhapetvā mahāsattaṃ avaseso jano manussasobhagyataṃ ādiṃ katvā yāva arahattaṃ pāpuṇāti, taṃ parakāraṃ paṭikkhipati. Evamayaṃ bālo jinacakke pahāraṃ deti nāma. Natthi purisakāreti yena purisakārena sattā vuttappakārā sampattiyo pāpuṇanti , tampi paṭikkhipati. Natthi balanti yamhi attano bale patiṭṭhitā sattā vīriyaṃ katvā tā sampattiyo pāpuṇanti, taṃ balaṃ paṭikkhipati. Natthi vīriyantiādīni sabbāni purisakāravevacanāneva. ‘‘Idaṃ no vīriyena idaṃ purisathāmena, idaṃ purisaparakkamena pavatta’’nti evaṃ pavattavacanapaṭikkhepakaraṇavasena panetāni visuṃ ādiyanti.
สเพฺพ สตฺตาติ โอฎฺฐโคณคทฺรภาทโย อนวเสเส ปริคฺคณฺหาติฯ สเพฺพ ปาณาติ เอกินฺทฺริโย ปาโณ, ทฺวินฺทฺริโย ปาโณติอาทิวเสน วทติฯ สเพฺพ ภูตาติ อณฺฑโกสวตฺถิโกเสสุ ภูเต สนฺธาย วทติฯ สเพฺพ ชีวาติ สาลิยวโคธุมาทโย สนฺธาย วทติฯ เตสุ หิ โส วิรูหนภาเวน ชีวสญฺญีฯ อวสา อพลา อวีริยาติ เตสํ อตฺตโน วโส วา พลํ วา วีริยํ วา นตฺถิฯ นิยติสงฺคติภาวปริณตาติ เอตฺถ นิยตีติ นิยตาฯ สงฺคตีติ ฉนฺนํ อภิชาตีนํ ตตฺถ ตตฺถ คมนํฯ ภาโวติ สภาโวเยวฯ เอวํ นิยติยา จ สงฺคติยา จ ภาเวน จ ปริณตา นานปฺปการตํ ปตฺตาฯ เยน หิ ยถา ภวิตพฺพํ, โส ตเถว ภวติฯ เยน น ภวิตพฺพํ, โส น ภวตีติ ทเสฺสติฯ ฉเสฺววาภิชาตีสูติ ฉสุ เอว อภิชาตีสุ ฐตฺวา สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ ปฎิสํเวเทนฺติฯ อญฺญา สุขทุกฺขภูมิ นตฺถีติ ทเสฺสติฯ
Sabbe sattāti oṭṭhagoṇagadrabhādayo anavasese pariggaṇhāti. Sabbe pāṇāti ekindriyo pāṇo, dvindriyo pāṇotiādivasena vadati. Sabbe bhūtāti aṇḍakosavatthikosesu bhūte sandhāya vadati. Sabbe jīvāti sāliyavagodhumādayo sandhāya vadati. Tesu hi so virūhanabhāvena jīvasaññī. Avasā abalā avīriyāti tesaṃ attano vaso vā balaṃ vā vīriyaṃ vā natthi. Niyatisaṅgatibhāvapariṇatāti ettha niyatīti niyatā. Saṅgatīti channaṃ abhijātīnaṃ tattha tattha gamanaṃ. Bhāvoti sabhāvoyeva. Evaṃ niyatiyā ca saṅgatiyā ca bhāvena ca pariṇatā nānappakārataṃ pattā. Yena hi yathā bhavitabbaṃ, so tatheva bhavati. Yena na bhavitabbaṃ, so na bhavatīti dasseti. Chasvevābhijātīsūti chasu eva abhijātīsu ṭhatvā sukhañca dukkhañca paṭisaṃvedenti. Aññā sukhadukkhabhūmi natthīti dasseti.
โยนิปมุขสตสหสฺสานีติ ปมุขโยนีนํ อุตฺตมโยนีนํ จุทฺทสสตสหสฺสานิ อญฺญานิ จ สฎฺฐิสตานิ อญฺญานิ จ ฉสตานิฯ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานีติ ปญฺจกมฺมสตานิ จฯ เกวลํ ตกฺกมตฺตเกน นิรตฺถกํ ทิฎฺฐิํ ทีเปติฯ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘ปญฺจ จ กมฺมานีติ ปญฺจินฺทฺริยวเสน ภณติฯ ตีณีติ กายกมฺมาทิวเสนา’’ติฯ กเมฺม จ อุปฑฺฒกเมฺม จาติ เอตฺถ ปนสฺส กายกมฺมญฺจ วจีกมฺมญฺจ กมฺมนฺติ ลทฺธิ, มโนกมฺมํ อุปฑฺฒกมฺมนฺติฯ ทฺวฎฺฐิปฎิปทาติ ทฺวาสฎฺฐิ ปฎิปทาติ วทติฯ ทฺวฎฺฐนฺตรกปฺปาติ เอกสฺมิํ กเปฺป จตุสฎฺฐิ อนฺตรกปฺปา นาม โหนฺติฯ อยํ ปน อเญฺญ เทฺว อชานโนฺต เอวมาหฯ
Yonipamukhasatasahassānīti pamukhayonīnaṃ uttamayonīnaṃ cuddasasatasahassāni aññāni ca saṭṭhisatāni aññāni ca chasatāni. Pañca ca kammunosatānīti pañcakammasatāni ca. Kevalaṃ takkamattakena niratthakaṃ diṭṭhiṃ dīpeti. Pañca ca kammāni tīṇi ca kammānītiādīsupi eseva nayo. Keci panāhu – ‘‘pañca ca kammānīti pañcindriyavasena bhaṇati. Tīṇīti kāyakammādivasenā’’ti. Kamme ca upaḍḍhakamme cāti ettha panassa kāyakammañca vacīkammañca kammanti laddhi, manokammaṃ upaḍḍhakammanti. Dvaṭṭhipaṭipadāti dvāsaṭṭhi paṭipadāti vadati. Dvaṭṭhantarakappāti ekasmiṃ kappe catusaṭṭhi antarakappā nāma honti. Ayaṃ pana aññe dve ajānanto evamāha.
ฉฬาภิชาติโยติ กณฺหาภิชาติ, นีลาภิชาติ, โลหิตาภิชาติ, หลิทฺทาภิชาติ, สุกฺกาภิชาติ, ปรมสุกฺกาภิชาตีติ อิมา ฉ อภิชาติโย วทติฯ ตตฺถ โอรพฺภิกา, สากุณิกา, มาควิกา, สูกริกา, ลุทฺทา, มจฺฉฆาตกา โจรา, โจรฆาตกา, พนฺธนาคาริกา, เย วา ปนเญฺญปิ เกจิ กุรูรกมฺมนฺตา, อยํ กณฺหาภิชาตีติ (อ. นิ. ๖.๕๗) วทติฯ ภิกฺขู นีลาภิชาตีติ วทติ, เต กิร จตูสุ ปจฺจเยสุ กณฺฎเก ปกฺขิปิตฺวา ขาทนฺติฯ ‘‘ภิกฺขู กณฺฎกวุตฺติกา’’ติ (อ. นิ. ๖.๕๗) อยญฺหิสฺส ปาฬิเยวฯ อถ วา กณฺฎกวุตฺติกา เอว นาม เอเก ปพฺพชิตาติ วทติฯ โลหิตาภิชาติ นาม นิคณฺฐา เอกสาฎกาติ วทติฯ อิเม กิร ปุริเมหิ ทฺวีหิ ปณฺฑรตราฯ คิหี โอทาตวสนา อเจลกสาวกา หลิทฺทาภิชาตีติ วทติฯ เอวํ อตฺตโน ปจฺจยทายเก นิคเณฺฐหิปิ เชฎฺฐกตเร กโรติฯ อาชีวกา อาชีวกินิโย สุกฺกาภิชาตีติ วทติฯ เต กิร ปุริเมหิ จตูหิ ปณฺฑรตราฯ นโนฺท, วโจฺฉ, กิโส, สงฺกิโจฺฉ, มกฺขลิโคสาโล, ปรมสุกฺกาภิชาตีติ (อ. นิ. ๖.๕๗) วทติฯ เต กิร สเพฺพหิ ปณฺฑรตราฯ
Chaḷābhijātiyoti kaṇhābhijāti, nīlābhijāti, lohitābhijāti, haliddābhijāti, sukkābhijāti, paramasukkābhijātīti imā cha abhijātiyo vadati. Tattha orabbhikā, sākuṇikā, māgavikā, sūkarikā, luddā, macchaghātakā corā, coraghātakā, bandhanāgārikā, ye vā panaññepi keci kurūrakammantā, ayaṃ kaṇhābhijātīti (a. ni. 6.57) vadati. Bhikkhū nīlābhijātīti vadati, te kira catūsu paccayesu kaṇṭake pakkhipitvā khādanti. ‘‘Bhikkhū kaṇṭakavuttikā’’ti (a. ni. 6.57) ayañhissa pāḷiyeva. Atha vā kaṇṭakavuttikā eva nāma eke pabbajitāti vadati. Lohitābhijāti nāma nigaṇṭhā ekasāṭakāti vadati. Ime kira purimehi dvīhi paṇḍaratarā. Gihī odātavasanā acelakasāvakā haliddābhijātīti vadati. Evaṃ attano paccayadāyake nigaṇṭhehipi jeṭṭhakatare karoti. Ājīvakā ājīvakiniyo sukkābhijātīti vadati. Te kira purimehi catūhi paṇḍaratarā. Nando, vaccho, kiso, saṅkiccho, makkhaligosālo, paramasukkābhijātīti (a. ni. 6.57) vadati. Te kira sabbehi paṇḍaratarā.
อฎฺฐ ปุริสภูมิโยติ มนฺทภูมิ, ขิฑฺฑาภูมิ, ปทวีมํสภูมิ, อุชุคตภูมิ, เสกฺขภูมิ, สมณภูมิ , ชินภูมิ, ปนฺนภูมีติ อิมา อฎฺฐ ปุริสภูมิโยติ วทติฯ ตตฺถ ชาตทิวสโต ปฎฺฐาย สตฺตทิวเส สมฺพาธฎฺฐานโต นิกฺขนฺตตฺตา สตฺตา มนฺทา โหนฺติ โมมูหา, อยํ มนฺทภูมีติ วทติฯ เย ปน ทุคฺคติโต อาคตา โหนฺติ, เต อภิณฺหํ โรทนฺติ เจว วิรวนฺติ จ, สุคติโต อาคตา ตํ อนุสฺสริตฺวา หสนฺติ, อยํ ขิฑฺฑาภูมิ นามฯ มาตาปิตูนํ หตฺถํ วา ปาทํ วา มญฺจํ วา ปีฐํ วา คเหตฺวา ภูมิยํ ปทนิกฺขิปนํ ปทวีมํสภูมิ นามฯ ปทสา คนฺตุํ สมตฺถกาเล อุชุคตภูมิ นามฯ สิปฺปานิ สิกฺขิตกาเล เสกฺขภูมิ นามฯ ฆรา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตกาเล สมณภูมิ นามฯ อาจริยํ เสวิตฺวา ชานนกาเล ชินภูมิ นามฯ ภิกฺขุ จ ปนฺนโก ชิโน น กิญฺจิ อาหาติ เอวํ อลาภิํ สมณํ ปนฺนภูมีติ วทติฯ
Aṭṭha purisabhūmiyoti mandabhūmi, khiḍḍābhūmi, padavīmaṃsabhūmi, ujugatabhūmi, sekkhabhūmi, samaṇabhūmi , jinabhūmi, pannabhūmīti imā aṭṭha purisabhūmiyoti vadati. Tattha jātadivasato paṭṭhāya sattadivase sambādhaṭṭhānato nikkhantattā sattā mandā honti momūhā, ayaṃ mandabhūmīti vadati. Ye pana duggatito āgatā honti, te abhiṇhaṃ rodanti ceva viravanti ca, sugatito āgatā taṃ anussaritvā hasanti, ayaṃ khiḍḍābhūmi nāma. Mātāpitūnaṃ hatthaṃ vā pādaṃ vā mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā gahetvā bhūmiyaṃ padanikkhipanaṃ padavīmaṃsabhūmi nāma. Padasā gantuṃ samatthakāle ujugatabhūmi nāma. Sippāni sikkhitakāle sekkhabhūmi nāma. Gharā nikkhamma pabbajitakāle samaṇabhūmi nāma. Ācariyaṃ sevitvā jānanakāle jinabhūmi nāma. Bhikkhu ca pannako jino na kiñci āhāti evaṃ alābhiṃ samaṇaṃ pannabhūmīti vadati.
เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเตติ เอกูนปญฺญาสอาชีวกวุตฺติสตานิฯ ปริพฺพาชกสเตติ ปริพฺพาชกปพฺพชฺชาสตานิฯ นาคาวาสสเตติ นาคมณฺฑลสตานิฯ วีเส อินฺทฺริยสเตติ วีสตินฺทฺริยสตานิฯ ติํเส นิรยสเตติ ติํส นิรยสตานิฯ รโชธาตุโยติ รชโอกิรณฎฺฐานานิ, หตฺถปิฎฺฐิปาทปิฎฺฐาทีนิ สนฺธาย วทติฯ สตฺต สญฺญีคพฺภาติ โอฎฺฐโคณคทฺรภอชปสุมิคมหิํเส สนฺธาย วทติฯ สตฺต อสญฺญีคพฺภาติ สาลิวีหิยวโคธูมกงฺคุวรกกุทฺรูสเก สนฺธาย วทติฯ นิคณฺฐิคพฺภาติ คณฺฐิมฺหิ ชาตคพฺภา, อุจฺฉุเวฬุนฬาทโย สนฺธาย วทติฯ สตฺต เทวาติ พหู เทวาฯ โส ปน สตฺตาติ วทติฯ มนุสฺสาปิ อนนฺตา, โส สตฺตาติ วทติฯ สตฺต ปิสาจาติ ปิสาจา มหนฺตมหนฺตา สตฺตาติ วทติฯ สราติ มหาสรา, กณฺณมุณฺฑรถการอโนตตฺตสีหปฺปปาตฉทฺทนฺตมนฺทากินีกุณาลทเห คเหตฺวา วทติฯ
Ekūnapaññāsa ājīvakasateti ekūnapaññāsaājīvakavuttisatāni. Paribbājakasateti paribbājakapabbajjāsatāni. Nāgāvāsasateti nāgamaṇḍalasatāni. Vīse indriyasateti vīsatindriyasatāni. Tiṃse nirayasateti tiṃsa nirayasatāni. Rajodhātuyoti rajaokiraṇaṭṭhānāni, hatthapiṭṭhipādapiṭṭhādīni sandhāya vadati. Satta saññīgabbhāti oṭṭhagoṇagadrabhaajapasumigamahiṃse sandhāya vadati. Satta asaññīgabbhāti sālivīhiyavagodhūmakaṅguvarakakudrūsake sandhāya vadati. Nigaṇṭhigabbhāti gaṇṭhimhi jātagabbhā, ucchuveḷunaḷādayo sandhāya vadati. Satta devāti bahū devā. So pana sattāti vadati. Manussāpi anantā, so sattāti vadati. Sattapisācāti pisācā mahantamahantā sattāti vadati. Sarāti mahāsarā, kaṇṇamuṇḍarathakāraanotattasīhappapātachaddantamandākinīkuṇāladahe gahetvā vadati.
ปวุฎาติ คณฺฐิกาฯ ปปาตาติ มหาปปาตาฯ ปปาตสตานีติ ขุทฺทกปปาตสตานิฯ สุปินาติ มหาสุปินาฯ สุปินสตานีติ ขุทฺทกสุปินสตานิฯ มหากปฺปิโนติ มหากปฺปานํฯ ตตฺถ เอกมฺหา มหาสรา วสฺสสเต วสฺสสเต กุสเคฺคน เอกํ อุทกพินฺทุํ นีหริตฺวา สตฺตกฺขตฺตุํ ตมฺหิ สเร นิรุทเก กเต เอโก มหากโปฺปติ วทติฯ เอวรูปานํ มหากปฺปานํ จตุราสีติสตสหสฺสานิ เขเปตฺวา พาเล จ ปณฺฑิเต จ ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรนฺตีติ อยมสฺส ลทฺธิฯ ปณฺฑิโตปิ กิร อนฺตรา วิสุชฺฌิตุํ น สโกฺกติฯ พาโลปิ ตโต อุทฺธํ น คจฺฉติฯ
Pavuṭāti gaṇṭhikā. Papātāti mahāpapātā. Papātasatānīti khuddakapapātasatāni. Supināti mahāsupinā. Supinasatānīti khuddakasupinasatāni. Mahākappinoti mahākappānaṃ. Tattha ekamhā mahāsarā vassasate vassasate kusaggena ekaṃ udakabinduṃ nīharitvā sattakkhattuṃ tamhi sare nirudake kate eko mahākappoti vadati. Evarūpānaṃ mahākappānaṃ caturāsītisatasahassāni khepetvā bāle ca paṇḍite ca dukkhassantaṃ karontīti ayamassa laddhi. Paṇḍitopi kira antarā visujjhituṃ na sakkoti. Bālopi tato uddhaṃ na gacchati.
สีเลนาติ อเจลกสีเลน วา อเญฺญน วา เยน เกนจิฯ วเตนาติ ตาทิเสเนว วเตนฯ ตเปนาติ ตโปกเมฺมนฯ อปริปกฺกํ ปริปาเจติ นาม, โย ‘‘อหํ ปณฺฑิโต’’ติ อนฺตรา วิสุชฺฌติฯ ปริปกฺกํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺติํ กโรติ นาม โย ‘‘อหํ พาโล’’ติ วุตฺตปริมาณํ กาลํ อติกฺกมิตฺวา ยาติฯ เหวํ นตฺถีติ เอวํ นตฺถิฯ ตญฺหิ อุภยมฺปิ น สกฺกา กาตุนฺติ ทีเปติฯ โทณมิเตติ โทเณน มิตํ วิยฯ สุขทุเกฺขติ สุขทุกฺขํฯ ปริยนฺตกเตติ วุตฺตปริมาเณน กาเลน กตปริยเนฺตฯ นตฺถิ หายนวฑฺฒเนติ นตฺถิ หายนวฑฺฒนานิฯ น สํสาโร ปณฺฑิตสฺส หายติ, น พาลสฺส วฑฺฒตีติ อโตฺถฯ อุกฺกํสาวกํเสติ อุกฺกํสาวกํสาฯ หายนวฑฺฒนานเมตํ อธิวจนํฯ
Sīlenāti acelakasīlena vā aññena vā yena kenaci. Vatenāti tādiseneva vatena. Tapenāti tapokammena. Aparipakkaṃ paripāceti nāma, yo ‘‘ahaṃ paṇḍito’’ti antarā visujjhati. Paripakkaṃ phussa phussa byantiṃ karoti nāma yo ‘‘ahaṃ bālo’’ti vuttaparimāṇaṃ kālaṃ atikkamitvā yāti. Hevaṃ natthīti evaṃ natthi. Tañhi ubhayampi na sakkā kātunti dīpeti. Doṇamiteti doṇena mitaṃ viya. Sukhadukkheti sukhadukkhaṃ. Pariyantakateti vuttaparimāṇena kālena katapariyante. Natthihāyanavaḍḍhaneti natthi hāyanavaḍḍhanāni. Na saṃsāro paṇḍitassa hāyati, na bālassa vaḍḍhatīti attho. Ukkaṃsāvakaṃseti ukkaṃsāvakaṃsā. Hāyanavaḍḍhanānametaṃ adhivacanaṃ.
อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาย สาเธโนฺต ‘‘เสยฺยถาปิ นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุตฺตคุเฬติ เวเฐตฺวา กตสุตฺตคุเฬฯ นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลตีติ ปพฺพเต วา รุกฺขเคฺค วา ฐตฺวา ขิตฺตํ สุตฺตปฺปมาเณน นิเพฺพฐิยมานเมว คจฺฉติ, สุเตฺต ขีเณ ตเตฺถว ติฎฺฐติ, น คจฺฉติฯ เอวเมว วุตฺตกาลโต อุทฺธํ น คจฺฉตีติ ทเสฺสติฯ
Idāni tamatthaṃ upamāya sādhento ‘‘seyyathāpi nāmā’’tiādimāha. Tattha suttaguḷeti veṭhetvā katasuttaguḷe. Nibbeṭhiyamānameva paletīti pabbate vā rukkhagge vā ṭhatvā khittaṃ suttappamāṇena nibbeṭhiyamānameva gacchati, sutte khīṇe tattheva tiṭṭhati, na gacchati. Evameva vuttakālato uddhaṃ na gacchatīti dasseti.
อชิตเกสกมฺพลวาทวณฺณนา
Ajitakesakambalavādavaṇṇanā
๑๗๐-๑๗๒. อชิตวาเท นตฺถิ ทินฺนนฺติ ทินฺนผลาภาวํ สนฺธาย วทติฯ ยิฎฺฐํ วุจฺจติ มหายาโคฯ หุตนฺติ ปเหณกสกฺกาโร อธิเปฺปโตฯ ตมฺปิ อุภยํ ผลาภาวเมว สนฺธาย ปฎิกฺขิปติฯ สุกตทุกฺกฎานนฺติ สุกตทุกฺกฎานํ, กุสลากุสลานนฺติ อโตฺถฯ ผลํ วิปาโกติ ยํ ผลนฺติ วา วิปาโกติ วา วุจฺจติ, ตํ นตฺถีติ วทติฯ นตฺถิ อยํ โลโกติ ปรโลเก ฐิตสฺส อยํ โลโก นตฺถิ, นตฺถิ ปโร โลโกติ อิธ โลเก ฐิตสฺสาปิ ปโร โลโก นตฺถิ, สเพฺพ ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนฺตีติ ทเสฺสติฯ นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตาติ เตสุ สมฺมาปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺตีนํ ผลาภาววเสน วทติฯ นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกาติ จวิตฺวา อุปปชฺชนกา สตฺตา นาม นตฺถีติ วทติฯ
170-172. Ajitavāde natthi dinnanti dinnaphalābhāvaṃ sandhāya vadati. Yiṭṭhaṃ vuccati mahāyāgo. Hutanti paheṇakasakkāro adhippeto. Tampi ubhayaṃ phalābhāvameva sandhāya paṭikkhipati. Sukatadukkaṭānanti sukatadukkaṭānaṃ, kusalākusalānanti attho. Phalaṃ vipākoti yaṃ phalanti vā vipākoti vā vuccati, taṃ natthīti vadati. Natthi ayaṃ lokoti paraloke ṭhitassa ayaṃ loko natthi, natthi paro lokoti idha loke ṭhitassāpi paro loko natthi, sabbe tattha tattheva ucchijjantīti dasseti. Natthi mātā natthi pitāti tesu sammāpaṭipattimicchāpaṭipattīnaṃ phalābhāvavasena vadati. Natthi sattā opapātikāti cavitvā upapajjanakā sattā nāma natthīti vadati.
จาตุมหาภูติโกติ จตุมหาภูตมโยฯ ปถวี ปถวิกายนฺติ อชฺฌตฺติกปถวีธาตุ พาหิรปถวีธาตุํฯ อนุเปตีติ อนุยายติฯ อนุปคจฺฉตีติ ตเสฺสว เววจนํฯ อนุคจฺฉตีติปิ อโตฺถฯ อุภเยนาปิ อุเปติ, อุปคจฺฉตีติ ทเสฺสติฯ อาปาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อินฺทฺริยานีติ มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิ อากาสํ ปกฺขนฺทนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมาติ นิปนฺนมเญฺจน ปญฺจมา, มโญฺจ เจว จตฺตาโร มญฺจปาเท คเหตฺวา ฐิตา จตฺตาโร ปุริสา จาติ อโตฺถฯ ยาวาฬาหนาติ ยาว สุสานาฯ ปทานีติ ‘อยํ เอวํ สีลวา อโหสิ, เอวํ ทุสฺสีโล’ติอาทินา นเยน ปวตฺตานิ คุณาคุณปทานิ, สรีรเมว วา เอตฺถ ปทานีติ อธิเปฺปตํฯ กาโปตกานีติ กโปตวณฺณานิ, ปาราวตปกฺขวณฺณานีติ อโตฺถฯ ภสฺสนฺตาติ ภสฺมนฺตา, อยเมว วา ปาฬิฯ อาหุติโยติ ยํ ปเหณกสกฺการาทิเภทํ ทินฺนทานํ, สพฺพํ ตํ ฉาริกาวสานเมว โหติ, น ตโต ปรํ ผลทายกํ หุตฺวา คจฺฉตีติ อโตฺถฯ ทตฺตุปญฺญตฺตนฺติ ทตฺตูหิ พาลมนุเสฺสหิ ปญฺญตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘พาเลหิ อพุทฺธีหิ ปญฺญตฺตมิทํ ทานํ, น ปณฺฑิเตหิฯ พาลา เทนฺติ, ปณฺฑิตา คณฺหนฺตี’ติ ทเสฺสติฯ
Cātumahābhūtikoti catumahābhūtamayo. Pathavī pathavikāyanti ajjhattikapathavīdhātu bāhirapathavīdhātuṃ. Anupetīti anuyāyati. Anupagacchatīti tasseva vevacanaṃ. Anugacchatītipi attho. Ubhayenāpi upeti, upagacchatīti dasseti. Āpādīsupi eseva nayo. Indriyānīti manacchaṭṭhāni indriyāni ākāsaṃ pakkhandanti. Āsandipañcamāti nipannamañcena pañcamā, mañco ceva cattāro mañcapāde gahetvā ṭhitā cattāro purisā cāti attho. Yāvāḷāhanāti yāva susānā. Padānīti ‘ayaṃ evaṃ sīlavā ahosi, evaṃ dussīlo’tiādinā nayena pavattāni guṇāguṇapadāni, sarīrameva vā ettha padānīti adhippetaṃ. Kāpotakānīti kapotavaṇṇāni, pārāvatapakkhavaṇṇānīti attho. Bhassantāti bhasmantā, ayameva vā pāḷi. Āhutiyoti yaṃ paheṇakasakkārādibhedaṃ dinnadānaṃ, sabbaṃ taṃ chārikāvasānameva hoti, na tato paraṃ phaladāyakaṃ hutvā gacchatīti attho. Dattupaññattanti dattūhi bālamanussehi paññattaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘bālehi abuddhīhi paññattamidaṃ dānaṃ, na paṇḍitehi. Bālā denti, paṇḍitā gaṇhantī’ti dasseti.
ตตฺถ ปูรโณ ‘‘กโรโต น กรียติ ปาป’’นฺติ วทโนฺต กมฺมํ ปฎิพาหติฯ อชิโต ‘‘กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชตี’’ติ วทโนฺต วิปากํ ปฎิพาหติฯ มกฺขลิ ‘‘นตฺถิ เหตู’’ติ วทโนฺต อุภยํ ปฎิพาหติฯ ตตฺถ กมฺมํ ปฎิพาหเนฺตนาปิ วิปาโก ปฎิพาหิโต โหติ, วิปากํ ปฎิพาหเนฺตนาปิ กมฺมํ ปฎิพาหิตํ โหติฯ อิติ สเพฺพเปเต อตฺถโต อุภยปฺปฎิพาหกา อเหตุกวาทา เจว อกิริยวาทา จ นตฺถิกวาทา จ โหนฺติฯ
Tattha pūraṇo ‘‘karoto na karīyati pāpa’’nti vadanto kammaṃ paṭibāhati. Ajito ‘‘kāyassa bhedā ucchijjatī’’ti vadanto vipākaṃ paṭibāhati. Makkhali ‘‘natthi hetū’’ti vadanto ubhayaṃ paṭibāhati. Tattha kammaṃ paṭibāhantenāpi vipāko paṭibāhito hoti, vipākaṃ paṭibāhantenāpi kammaṃ paṭibāhitaṃ hoti. Iti sabbepete atthato ubhayappaṭibāhakā ahetukavādā ceva akiriyavādā ca natthikavādā ca honti.
เย วา ปน เตสํ ลทฺธิํ คเหตฺวา รตฺติฎฺฐาเน ทิวาฐาเน นิสินฺนา สชฺฌายนฺติ วีมํสนฺติ, เตสํ ‘‘กโรโต น กรียติ ปาปํ, นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย, มโต อุจฺฉิชฺชตี’’ติ ตสฺมิํ อารมฺมเณ มิจฺฉาสติ สนฺติฎฺฐติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, ชวนานิ ชวนฺติ, ปฐมชวเน สเตกิจฺฉา โหนฺติ, ตถา ทุติยาทีสุ, สตฺตเม พุทฺธานมฺปิ อเตกิจฺฉา อนิวตฺติโน อริฎฺฐกณฺฎกสทิสาฯ ตตฺถ โกจิ เอกํ ทสฺสนํ โอกฺกมติ, โกจิ เทฺว, โกจิ ตีณิปิ, เอกสฺมิํ โอกฺกเนฺตปิ, ทฺวีสุ ตีสุ โอกฺกเนฺตสุปิ, นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโกว โหติ; ปโตฺต สคฺคมคฺคาวรณเญฺจว โมกฺขมคฺคาวรณญฺจ, อภโพฺพ ตสฺสตฺตภาวสฺส อนนฺตรํ สคฺคมฺปิ คนฺตุํ, ปเคว โมกฺขํฯ วฎฺฎขาณุ นาเมส สโตฺต ปถวิโคปโก, เยภุเยฺยน เอวรูปสฺส ภวโต วุฎฺฐานํ นตฺถิฯ
Ye vā pana tesaṃ laddhiṃ gahetvā rattiṭṭhāne divāṭhāne nisinnā sajjhāyanti vīmaṃsanti, tesaṃ ‘‘karoto na karīyati pāpaṃ, natthi hetu, natthi paccayo, mato ucchijjatī’’ti tasmiṃ ārammaṇe micchāsati santiṭṭhati, cittaṃ ekaggaṃ hoti, javanāni javanti, paṭhamajavane satekicchā honti, tathā dutiyādīsu, sattame buddhānampi atekicchā anivattino ariṭṭhakaṇṭakasadisā. Tattha koci ekaṃ dassanaṃ okkamati, koci dve, koci tīṇipi, ekasmiṃ okkantepi, dvīsu tīsu okkantesupi, niyatamicchādiṭṭhikova hoti; patto saggamaggāvaraṇañceva mokkhamaggāvaraṇañca, abhabbo tassattabhāvassa anantaraṃ saggampi gantuṃ, pageva mokkhaṃ. Vaṭṭakhāṇu nāmesa satto pathavigopako, yebhuyyena evarūpassa bhavato vuṭṭhānaṃ natthi.
‘‘ตสฺมา อกลฺยาณชนํ, อาสีวิสมิโวรคํ;
‘‘Tasmā akalyāṇajanaṃ, āsīvisamivoragaṃ;
อารกา ปริวเชฺชยฺย, ภูติกาโม วิจกฺขโณ’’ติฯ
Ārakā parivajjeyya, bhūtikāmo vicakkhaṇo’’ti.
ปกุธกจฺจายนวาทวณฺณนา
Pakudhakaccāyanavādavaṇṇanā
๑๗๓-๑๗๕. ปกุธวาเท อกฎาติ อกตาฯ อกฎวิธาติ อกตวิธานาฯ เอวํ กโรหีติ เกนจิ การาปิตาปิ น โหนฺตีติ อโตฺถฯ อนิมฺมิตาติ อิทฺธิยาปิ น นิมฺมิตาฯ อนิมฺมาตาติ อนิมฺมาปิตา, เกจิ อนิมฺมาเปตพฺพาติ ปทํ วทนฺติ, ตํ เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถายํ ทิสฺสติฯ วญฺฌาทิปทตฺตยํ วุตฺตตฺถเมวฯ น อิญฺชนฺตีติ เอสิกตฺถโมฺภ วิย ฐิตตฺตา น จลนฺติฯ น วิปริณมนฺตีติ ปกติํ น ชหนฺติฯ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺตีติ น อญฺญมญฺญํ อุปหนนฺติฯ นาลนฺติ น สมตฺถาฯ ปถวิกาโยติอาทีสุ ปถวีเยว ปถวิกาโย, ปถวิสมูโห วาฯ ตตฺถาติ เตสุ ชีวสตฺตเมสุ กาเยสุฯ สตฺตนฺนํ เตฺวว กายานนฺติ ยถา มุคฺคราสิอาทีสุ ปหตํ สตฺถํ มุคฺคาทีนํ อนฺตเรน ปวิสติ, เอวํ สตฺตนฺนํ กายานํ อนฺตเรน ฉิเทฺทน วิวเรน สตฺถํ ปวิสติฯ ตตฺถ อหํ อิมํ ชีวิตา โวโรเปมีติ เกวลํ สญฺญามตฺตเมว โหตีติ ทเสฺสติฯ
173-175. Pakudhavāde akaṭāti akatā. Akaṭavidhāti akatavidhānā. Evaṃ karohīti kenaci kārāpitāpi na hontīti attho. Animmitāti iddhiyāpi na nimmitā. Animmātāti animmāpitā, keci animmāpetabbāti padaṃ vadanti, taṃ neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāyaṃ dissati. Vañjhādipadattayaṃ vuttatthameva. Na iñjantīti esikatthambho viya ṭhitattā na calanti. Na vipariṇamantīti pakatiṃ na jahanti. Na aññamaññaṃ byābādhentīti na aññamaññaṃ upahananti. Nālanti na samatthā. Pathavikāyotiādīsu pathavīyeva pathavikāyo, pathavisamūho vā. Tatthāti tesu jīvasattamesu kāyesu. Sattannaṃ tveva kāyānanti yathā muggarāsiādīsu pahataṃ satthaṃ muggādīnaṃ antarena pavisati, evaṃ sattannaṃ kāyānaṃ antarena chiddena vivarena satthaṃ pavisati. Tattha ahaṃ imaṃ jīvitā voropemīti kevalaṃ saññāmattameva hotīti dasseti.
นิคณฺฐนาฎปุตฺตวาทวณฺณนา
Nigaṇṭhanāṭaputtavādavaṇṇanā
๑๗๖-๑๗๘. นาฎปุตฺตวาเท จาตุยามสํวรสํวุโตติ จตุโกฎฺฐาเสน สํวเรน สํวุโตฯ สพฺพวาริวาริโต จาติ วาริตสพฺพอุทโก ปฎิกฺขิตฺตสพฺพสีโตทโกติ อโตฺถฯ โส กิร สีโตทเก สตฺตสญฺญี โหติ, ตสฺมา น ตํ วฬเญฺชติฯ สพฺพวาริยุโตฺตติ สเพฺพน ปาปวารเณน ยุโตฺตฯ สพฺพวาริธุโตติ สเพฺพน ปาปวารเณน ธุตปาโปฯ สพฺพวาริผุโฎติ สเพฺพน ปาปวารเณน ผุโฎฺฐฯ คตโตฺตติ โกฎิปฺปตฺตจิโตฺตฯ ยตโตฺตติ สํยตจิโตฺตฯ ฐิตโตฺตติ สุปฺปติฎฺฐิตจิโตฺตฯ เอตสฺส วาเท กิญฺจิ สาสนานุโลมมฺปิ อตฺถิ, อสุทฺธลทฺธิตาย ปน สพฺพา ทิฎฺฐิเยว ชาตาฯ
176-178. Nāṭaputtavāde cātuyāmasaṃvarasaṃvutoti catukoṭṭhāsena saṃvarena saṃvuto. Sabbavārivāritocāti vāritasabbaudako paṭikkhittasabbasītodakoti attho. So kira sītodake sattasaññī hoti, tasmā na taṃ vaḷañjeti. Sabbavāriyuttoti sabbena pāpavāraṇena yutto. Sabbavāridhutoti sabbena pāpavāraṇena dhutapāpo. Sabbavāriphuṭoti sabbena pāpavāraṇena phuṭṭho. Gatattoti koṭippattacitto. Yatattoti saṃyatacitto. Ṭhitattoti suppatiṭṭhitacitto. Etassa vāde kiñci sāsanānulomampi atthi, asuddhaladdhitāya pana sabbā diṭṭhiyeva jātā.
สญฺจยเพลฎฺฐปุตฺตวาทวณฺณนา
Sañcayabelaṭṭhaputtavādavaṇṇanā
๑๗๙-๑๘๑. สญฺจยวาโท อมราวิเกฺขเป วุตฺตนโย เอวฯ
179-181. Sañcayavādo amarāvikkhepe vuttanayo eva.
ปฐมสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลวณฺณนา
Paṭhamasandiṭṭhikasāmaññaphalavaṇṇanā
๑๘๒. โสหํ , ภเนฺตติ โส อหํ ภเนฺต, วาลุกํ ปีเฬตฺวา เตลํ อลภมาโน วิย ติตฺถิยวาเทสุ สารํ อลภโนฺต ภควนฺตํ ปุจฺฉามีติ อโตฺถฯ
182.Sohaṃ, bhanteti so ahaṃ bhante, vālukaṃ pīḷetvā telaṃ alabhamāno viya titthiyavādesu sāraṃ alabhanto bhagavantaṃ pucchāmīti attho.
๑๘๓. ยถา เต ขเมยฺยาติ ยถา เต รุเจฺจยฺยฯ ทาโสติ อโนฺตชาตธนกฺกีตกรมรานีตสามํทาสโพฺยปคตานํ อญฺญตโรฯ กมฺมกาโรติ อนลโส กมฺมกรณสีโลเยวฯ ทูรโต ทิสฺวา ปฐมเมว อุฎฺฐหตีติ ปุพฺพุฎฺฐายีฯ เอวํ อุฎฺฐิโต สามิโน อาสนํ ปญฺญเปตฺวา ปาทโธวนาทิกตฺตพฺพกิจฺจํ กตฺวา ปจฺฉา นิปตติ นิสีทตีติ ปจฺฉานิปาตีฯ สามิกมฺหิ วา สยนโต อวุฎฺฐิเต ปุเพฺพเยว วุฎฺฐาตีติ ปุพฺพุฎฺฐายีฯ ปจฺจูสกาลโต ปฎฺฐาย ยาว สามิโน รตฺติํ นิโทฺทกฺกมนํ, ตาว สพฺพกิจฺจานิ กตฺวา ปจฺฉา นิปตติ, เสยฺยํ กเปฺปตีติ ปจฺฉานิปาตีฯ กิํ กโรมิ, กิํ กโรมีติ เอวํ กิํการเมว ปฎิสุณโนฺต วิจรตีติ กิํ การปฎิสฺสาวีฯ มนาปเมว กิริยํ กโรตีติ มนาปจารีฯ ปิยเมว วทตีติ ปิยวาทีฯ สามิโน ตุฎฺฐปหฎฺฐํ มุขํ อุโลฺลกยมาโน วิจรตีติ มุขุโลฺลกโกฯ
183.Yathā te khameyyāti yathā te rucceyya. Dāsoti antojātadhanakkītakaramarānītasāmaṃdāsabyopagatānaṃ aññataro. Kammakāroti analaso kammakaraṇasīloyeva. Dūrato disvā paṭhamameva uṭṭhahatīti pubbuṭṭhāyī. Evaṃ uṭṭhito sāmino āsanaṃ paññapetvā pādadhovanādikattabbakiccaṃ katvā pacchā nipatati nisīdatīti pacchānipātī. Sāmikamhi vā sayanato avuṭṭhite pubbeyeva vuṭṭhātīti pubbuṭṭhāyī. Paccūsakālato paṭṭhāya yāva sāmino rattiṃ niddokkamanaṃ, tāva sabbakiccāni katvā pacchā nipatati, seyyaṃ kappetīti pacchānipātī. Kiṃ karomi, kiṃ karomīti evaṃ kiṃkārameva paṭisuṇanto vicaratīti kiṃ kārapaṭissāvī. Manāpameva kiriyaṃ karotīti manāpacārī. Piyameva vadatīti piyavādī. Sāmino tuṭṭhapahaṭṭhaṃ mukhaṃ ullokayamāno vicaratīti mukhullokako.
เทโว มเญฺญติ เทโว วิยฯ โส วตสฺสาหํ ปุญฺญานิ กเรยฺยนฺติ โส วต อหํ เอวรูโป อสฺสํ, ยทิ ปุญฺญานิ กเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘โส วตสฺส’สฺส’’นฺติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ ยํนูนาหนฺติ สเจ ทานํ ทสฺสามิ, ยํ ราชา เอกทิวสํ เทติ, ตโต สตภาคมฺปิ ยาวชีวํ น สกฺขิสฺสามิ ทาตุนฺติ ปพฺพชฺชายํ อุสฺสาหํ กตฺวา เอวํ จินฺตนภาวํ ทเสฺสติฯ
Devo maññeti devo viya. Sovatassāhaṃ puññāni kareyyanti so vata ahaṃ evarūpo assaṃ, yadi puññāni kareyyanti attho. ‘‘So vatassa’ssa’’ntipi pāṭho, ayamevattho. Yaṃnūnāhanti sace dānaṃ dassāmi, yaṃ rājā ekadivasaṃ deti, tato satabhāgampi yāvajīvaṃ na sakkhissāmi dātunti pabbajjāyaṃ ussāhaṃ katvā evaṃ cintanabhāvaṃ dasseti.
กาเยน สํวุโตติ กาเยน ปิหิโต หุตฺวา อกุสลสฺส ปเวสนทฺวารํ ถเกตฺวาติ อโตฺถฯ เอเสว นโย เสสปททฺวเยปิฯ ฆาสจฺฉาทนปรมตายาติ ฆาสจฺฉาทเนน ปรมตาย อุตฺตมตาย, เอตทตฺถมฺปิ อเนสนํ ปหาย อคฺคสเลฺลเขน สนฺตุโฎฺฐติ อโตฺถฯ อภิรโต ปวิเวเกติ ‘‘กายวิเวโก จ วิเวกฎฺฐกายานํ, จิตฺตวิเวโก จ เนกฺขมฺมาภิรตานํ, ปรมโวทานปฺปตฺตานํ อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ เอวํ วุเตฺต ติวิเธปิ วิเวเก รโต; คณสงฺคณิกํ ปหาย กาเยน เอโก วิหรติ, จิตฺตกิเลสสงฺคณิกํ ปหาย อฎฺฐสมาปตฺติวเสน เอโก วิหรติ, ผลสมาปตฺติํ วา นิโรธสมาปตฺติํ วา ปวิสิตฺวา นิพฺพานํ ปตฺวา วิหรตีติ อโตฺถฯ ยเคฺฆติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ
Kāyena saṃvutoti kāyena pihito hutvā akusalassa pavesanadvāraṃ thaketvāti attho. Eseva nayo sesapadadvayepi. Ghāsacchādanaparamatāyāti ghāsacchādanena paramatāya uttamatāya, etadatthampi anesanaṃ pahāya aggasallekhena santuṭṭhoti attho. Abhirato paviveketi ‘‘kāyaviveko ca vivekaṭṭhakāyānaṃ, cittaviveko ca nekkhammābhiratānaṃ, paramavodānappattānaṃ upadhiviveko ca nirupadhīnaṃ puggalānaṃ visaṅkhāragatāna’’nti evaṃ vutte tividhepi viveke rato; gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya kāyena eko viharati, cittakilesasaṅgaṇikaṃ pahāya aṭṭhasamāpattivasena eko viharati, phalasamāpattiṃ vā nirodhasamāpattiṃ vā pavisitvā nibbānaṃ patvā viharatīti attho. Yaggheti codanatthe nipāto.
๑๘๔. อาสเนนปิ นิมเนฺตยฺยามาติ นิสินฺนาสนํ ปโปฺผเฎตฺวา อิธ นิสีทถาติ วเทยฺยามฯ อภินิมเนฺตยฺยามปิ นนฺติ อภิหริตฺวาปิ นํ นิมเนฺตยฺยามฯ ตตฺถ ทุวิโธ อภิหาโร – วาจาย เจว กาเยน จฯ ตุมฺหากํ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ อมฺหากํ จีวราทีหิ วเทยฺยาถ เยนโตฺถติ วทโนฺต หิ วาจาย อภิหริตฺวา นิมเนฺตติ นามฯ จีวราทิเวกลฺลํ สลฺลเกฺขตฺวา อิทํ คณฺหาถาติ ตานิ เทโนฺต ปน กาเยน อภิหริตฺวา นิมเนฺตติ นามฯ ตทุภยมฺปิ สนฺธาย อภินิมเนฺตยฺยามปิ นนฺติ อาหฯ เอตฺถ จ คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาโรติ ยํ กิญฺจิ คิลานสฺส สปฺปายํ โอสธํฯ วจนโตฺถ ปน วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ รกฺขาวรณคุตฺตินฺติ รกฺขาสงฺขาตเญฺจว อาวรณสงฺขาตญฺจ คุตฺติํฯ สา ปเนสา น อาวุธหเตฺถ ปุริเส ฐเปเนฺตน ธมฺมิกา นาม สํวิทหิตา โหติฯ ยถา ปน อเวลาย กฎฺฐหาริกปณฺณหาริกาทโย วิหารํ น ปวิสนฺติ, มิคลุทฺทกาทโย วิหารสีมาย มิเค วา มเจฺฉ วา น คณฺหนฺติ, เอวํ สํวิทหเนฺตน ธมฺมิกา นาม รกฺขา สํวิหิตา โหติ, ตํ สนฺธายาห – ‘‘ธมฺมิก’’นฺติฯ
184.Āsanenapinimanteyyāmāti nisinnāsanaṃ papphoṭetvā idha nisīdathāti vadeyyāma. Abhinimanteyyāmapi nanti abhiharitvāpi naṃ nimanteyyāma. Tattha duvidho abhihāro – vācāya ceva kāyena ca. Tumhākaṃ icchiticchitakkhaṇe amhākaṃ cīvarādīhi vadeyyātha yenatthoti vadanto hi vācāya abhiharitvā nimanteti nāma. Cīvarādivekallaṃ sallakkhetvā idaṃ gaṇhāthāti tāni dento pana kāyena abhiharitvā nimanteti nāma. Tadubhayampi sandhāya abhinimanteyyāmapi nanti āha. Ettha ca gilānapaccayabhesajjaparikkhāroti yaṃ kiñci gilānassa sappāyaṃ osadhaṃ. Vacanattho pana visuddhimagge vutto. Rakkhāvaraṇaguttinti rakkhāsaṅkhātañceva āvaraṇasaṅkhātañca guttiṃ. Sā panesā na āvudhahatthe purise ṭhapentena dhammikā nāma saṃvidahitā hoti. Yathā pana avelāya kaṭṭhahārikapaṇṇahārikādayo vihāraṃ na pavisanti, migaluddakādayo vihārasīmāya mige vā macche vā na gaṇhanti, evaṃ saṃvidahantena dhammikā nāma rakkhā saṃvihitā hoti, taṃ sandhāyāha – ‘‘dhammika’’nti.
๑๘๕. ยทิ เอวํ สเนฺตติ ยทิ ตว ทาโส ตุยฺหํ สนฺติกา อภิวาทนาทีนิ ลเภยฺยฯ เอวํ สเนฺตฯ อทฺธาติ เอกํสวจนเมตํฯ ปฐมนฺติ ภณโนฺต อญฺญสฺสาปิ อตฺถิตํ ทีเปติฯ เตเนว จ ราชา สกฺกา ปน, ภเนฺต, อญฺญมฺปีติอาทิมาหฯ
185.Yadi evaṃ santeti yadi tava dāso tuyhaṃ santikā abhivādanādīni labheyya. Evaṃ sante. Addhāti ekaṃsavacanametaṃ. Paṭhamanti bhaṇanto aññassāpi atthitaṃ dīpeti. Teneva ca rājā sakkā pana, bhante, aññampītiādimāha.
ทุติยสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลวณฺณนา
Dutiyasandiṭṭhikasāmaññaphalavaṇṇanā
๑๘๖-๑๘๘. กสตีติ กสฺสโกฯ เคหสฺส ปติ, เอกเคหมเตฺต เชฎฺฐโกติ คหปติโกฯ พลิสงฺขาตํ กรํ กโรตีติ กรการโกฯ ธญฺญราสิํ ธนราสิญฺจ วเฑฺฒตีติ ราสิวฑฺฒโกฯ
186-188. Kasatīti kassako. Gehassa pati, ekagehamatte jeṭṭhakoti gahapatiko. Balisaṅkhātaṃ karaṃ karotīti karakārako. Dhaññarāsiṃ dhanarāsiñca vaḍḍhetīti rāsivaḍḍhako.
อปฺปํ วาติ ปริตฺตกํ วา อนฺตมโส ตณฺฑุลนาฬิมตฺตกมฺปิฯ โภคกฺขนฺธนฺติ โภคราสิํฯ มหนฺตํ วาติ วิปุลํ วาฯ ยถา หิ มหนฺตํ ปหาย ปพฺพชิตุํ ทุกฺกรํ, เอวํ อปฺปมฺปีติ ทสฺสนตฺถํ อุภยมาหฯ ทาสวาเร ปน ยสฺมา ทาโส อตฺตโนปิ อนิสฺสโร, ปเคว โภคานํฯ ยญฺหิ ตสฺส ธนํ, ตํ สามิกานเญฺญว โหติ, ตสฺมา โภคคฺคหณํ น กตํฯ ญาติเยว ญาติปริวโฎฺฎฯ
Appaṃvāti parittakaṃ vā antamaso taṇḍulanāḷimattakampi. Bhogakkhandhanti bhogarāsiṃ. Mahantaṃ vāti vipulaṃ vā. Yathā hi mahantaṃ pahāya pabbajituṃ dukkaraṃ, evaṃ appampīti dassanatthaṃ ubhayamāha. Dāsavāre pana yasmā dāso attanopi anissaro, pageva bhogānaṃ. Yañhi tassa dhanaṃ, taṃ sāmikānaññeva hoti, tasmā bhogaggahaṇaṃ na kataṃ. Ñātiyeva ñātiparivaṭṭo.
ปณีตตรสามญฺญผลวณฺณนา
Paṇītatarasāmaññaphalavaṇṇanā
๑๘๙. สกฺกา ปน, ภเนฺต, อญฺญมฺปิ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิธ เอวเมวาติ น วุตฺตํฯ ตํ กสฺมาติ เจ, เอวเมวาติ หิ วุจฺจมาเน ปโหติ ภควา สกลมฺปิ รตฺตินฺทิวํ ตโต วา ภิโยฺยปิ เอวรูปาหิ อุปมาหิ สามญฺญผลํ ทีเปตุํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ เอตสฺส ภควโต วจนสวเน ปริยนฺตํ นาม นตฺถิ, ตถาปิ อโตฺถ ตาทิโสเยว ภวิสฺสตีติ จิเนฺตตฺวา อุปริ วิเสสํ ปุจฺฉโนฺต เอวเมวาติ อวตฺวา – ‘‘อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจา’’ติ อาหฯ ตตฺถ อภิกฺกนฺตตรนฺติ อภิมนาปตรํ อติเสฎฺฐตรนฺติ อโตฺถฯ ปณีตตรนฺติ อุตฺตมตรํฯ เตน หีติ อุโยฺยชนเตฺถ นิปาโตฯ สวเน อุโยฺยเชโนฺต หิ นํ เอวมาหฯ สุโณหีติ อภิกฺกนฺตตรญฺจ ปณีตตรญฺจ สามญฺญผลํ สุณาติฯ
189.Sakkā pana, bhante, aññampi diṭṭheva dhammeti idha evamevāti na vuttaṃ. Taṃ kasmāti ce, evamevāti hi vuccamāne pahoti bhagavā sakalampi rattindivaṃ tato vā bhiyyopi evarūpāhi upamāhi sāmaññaphalaṃ dīpetuṃ. Tattha kiñcāpi etassa bhagavato vacanasavane pariyantaṃ nāma natthi, tathāpi attho tādisoyeva bhavissatīti cintetvā upari visesaṃ pucchanto evamevāti avatvā – ‘‘abhikkantatarañca paṇītatarañcā’’ti āha. Tattha abhikkantataranti abhimanāpataraṃ atiseṭṭhataranti attho. Paṇītataranti uttamataraṃ. Tena hīti uyyojanatthe nipāto. Savane uyyojento hi naṃ evamāha. Suṇohīti abhikkantatarañca paṇītatarañca sāmaññaphalaṃ suṇāti.
สาธุกํ มนสิกโรหีติ เอตฺถ ปน สาธุกํ สาธูติ เอกตฺถเมตํฯ อยญฺหิ สาธุ-สโทฺท อายาจนสมฺปฎิจฺฉนสมฺปหํสนสุนฺทร ทฬฺหีกมฺมาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สงฺขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๙๕) หิ อายาจเน ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเนฯ ‘‘สาธุ สาธุ, สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙) สมฺปหํสเนฯ
Sādhukaṃ manasikarohīti ettha pana sādhukaṃ sādhūti ekatthametaṃ. Ayañhi sādhu-saddo āyācanasampaṭicchanasampahaṃsanasundara daḷhīkammādīsu dissati. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṅkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.95) hi āyācane dissati. ‘‘Sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane. ‘‘Sādhu sādhu, sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349) sampahaṃsane.
‘‘สาธุ ธมฺมรุจิ ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;
‘‘Sādhu dhammaruci rājā, sādhu paññāṇavā naro;
สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๐๑);
Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’nti. (jā. 2.17.101);
อาทีสุ สุนฺทเรฯ ‘‘เตน หิ, พฺราหฺมณ, สุโณหิ สาธุกํ มนสิ กโรหี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๑๙๒) สาธุกสโทฺทเยว ทฬฺหีกเมฺม, อาณตฺติยนฺติปิ วุจฺจติ ฯ อิธาปิ อสฺส เอเตฺถว ทฬฺหีกเมฺม จ อาณตฺติยญฺจ เวทิตโพฺพฯ สุนฺทเรปิ วฎฺฎติฯ ทฬฺหีกมฺมเตฺถน หิ ทฬฺหมิมํ ธมฺมํ สุณาหิ, สุคฺคหิตํ คณฺหโนฺตฯ อาณตฺติอเตฺถน มม อาณตฺติยา สุณาหิ, สุนฺทรเตฺถน สุนฺทรมิมํ ภทฺทกํ ธมฺมํ สุณาหีติ เอวํ ทีปิตํ โหติฯ
Ādīsu sundare. ‘‘Tena hi, brāhmaṇa, suṇohi sādhukaṃ manasi karohī’’tiādīsu (a. ni. 5.192) sādhukasaddoyeva daḷhīkamme, āṇattiyantipi vuccati . Idhāpi assa ettheva daḷhīkamme ca āṇattiyañca veditabbo. Sundarepi vaṭṭati. Daḷhīkammatthena hi daḷhamimaṃ dhammaṃ suṇāhi, suggahitaṃ gaṇhanto. Āṇattiatthena mama āṇattiyā suṇāhi, sundaratthena sundaramimaṃ bhaddakaṃ dhammaṃ suṇāhīti evaṃ dīpitaṃ hoti.
มนสิ กโรหีติ อาวชฺช, สมนฺนาหราติ อโตฺถ, อวิกฺขิตฺตจิโตฺต หุตฺวา นิสาเมหิ, จิเตฺต กโรหีติ อธิปฺปาโยฯ อปิ เจตฺถ สุโณหีติ โสตินฺทฺริยวิเกฺขปนิวารณเมตํฯ สาธุกํ มนสิ กโรหีติ มนสิกาเร ทฬฺหีกมฺมนิโยชเนน มนินฺทฺริยวิเกฺขปนิวารณํฯ ปุริมเญฺจตฺถ พฺยญฺชนวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ, ปจฺฉิมํ อตฺถวิปลฺลาสคฺคาหวารณํฯ ปุริเมน จ ธมฺมสฺสวเน นิโยเชติ, ปจฺฉิเมน สุตานํ ธมฺมานํ ธารณูปปริกฺขาทีสุฯ ปุริเมน จ สพฺยญฺชโน อยํ ธโมฺม, ตสฺมา สวนีโยติ ทีเปติ ฯ ปจฺฉิเมน สโตฺถ, ตสฺมา สาธุกํ มนสิ กาตโพฺพติฯ สาธุกปทํ วา อุภยปเทหิ โยเชตฺวา ยสฺมา อยํ ธโมฺม ธมฺมคมฺภีโร เจว เทสนาคมฺภีโร จ, ตสฺมา สุณาหิ สาธุกํ, ยสฺมา อตฺถคมฺภีโร จ ปฎิเวธคมฺภีโร จ, ตสฺมา สาธุกํ มนสิ กโรหีติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ ภาสิสฺสามีติ สกฺกา มหาราชาติ เอวํ ปฎิญฺญาตํ สามญฺญผลเทสนํ วิตฺถารโต ภาสิสฺสามิฯ ‘‘เทเสสฺสามี’’ติ หิ สงฺขิตฺตทีปนํ โหติฯ ภาสิสฺสามีติ วิตฺถารทีปนํฯ เตนาห วงฺคีสเตฺถโร –
Manasi karohīti āvajja, samannāharāti attho, avikkhittacitto hutvā nisāmehi, citte karohīti adhippāyo. Api cettha suṇohīti sotindriyavikkhepanivāraṇametaṃ. Sādhukaṃ manasi karohīti manasikāre daḷhīkammaniyojanena manindriyavikkhepanivāraṇaṃ. Purimañcettha byañjanavipallāsaggāhavāraṇaṃ, pacchimaṃ atthavipallāsaggāhavāraṇaṃ. Purimena ca dhammassavane niyojeti, pacchimena sutānaṃ dhammānaṃ dhāraṇūpaparikkhādīsu. Purimena ca sabyañjano ayaṃ dhammo, tasmā savanīyoti dīpeti . Pacchimena sattho, tasmā sādhukaṃ manasi kātabboti. Sādhukapadaṃ vā ubhayapadehi yojetvā yasmā ayaṃ dhammo dhammagambhīro ceva desanāgambhīro ca, tasmā suṇāhi sādhukaṃ, yasmā atthagambhīro ca paṭivedhagambhīro ca, tasmā sādhukaṃ manasi karohīti evaṃ yojanā veditabbā. Bhāsissāmīti sakkā mahārājāti evaṃ paṭiññātaṃ sāmaññaphaladesanaṃ vitthārato bhāsissāmi. ‘‘Desessāmī’’ti hi saṅkhittadīpanaṃ hoti. Bhāsissāmīti vitthāradīpanaṃ. Tenāha vaṅgīsatthero –
‘‘สงฺขิเตฺตนปิ เทเสติ, วิตฺถาเรนปิ ภาสติ;
‘‘Saṅkhittenapi deseti, vitthārenapi bhāsati;
สาฬิกายิว นิโคฺฆโส, ปฎิภานํ อุทีรยี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๑๔);
Sāḷikāyiva nigghoso, paṭibhānaṃ udīrayī’’ti. (saṃ. ni. 1.214);
เอวํ วุเตฺต อุสฺสาหชาโต หุตฺวา – ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ภควโต ปจฺจโสฺสสิ ภควโต วจนํ สมฺปฎิจฺฉิ, ปฎิคฺคเหสีติ วุตฺตํ โหติฯ
Evaṃ vutte ussāhajāto hutvā – ‘‘evaṃ, bhante’’ti kho rājā māgadho ajātasattu vedehiputto bhagavato paccassosi bhagavato vacanaṃ sampaṭicchi, paṭiggahesīti vuttaṃ hoti.
๑๙๐. อถสฺส ภควา เอตทโวจ, เอตํ อโวจ, อิทานิ วตฺตพฺพํ ‘‘อิธ มหาราชา’’ติอาทิํ สกลํ สุตฺตํ อโวจาติ อโตฺถฯ ตตฺถ อิธาติ เทสาปเทเส นิปาโต, สฺวายํ กตฺถจิ โลกํ อุปาทาย วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติฯ กตฺถจิ สาสนํ ยถาห – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, ปฐโม สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ กตฺถจิ โอกาสํฯ ยถาห –
190. Athassa bhagavā etadavoca, etaṃ avoca, idāni vattabbaṃ ‘‘idha mahārājā’’tiādiṃ sakalaṃ suttaṃ avocāti attho. Tattha idhāti desāpadese nipāto, svāyaṃ katthaci lokaṃ upādāya vuccati. Yathāha – ‘‘idha tathāgato loke uppajjatī’’ti. Katthaci sāsanaṃ yathāha – ‘‘idheva, bhikkhave, paṭhamo samaṇo, idha dutiyo samaṇo’’ti (a. ni. 4.241). Katthaci okāsaṃ. Yathāha –
‘‘อิเธว ติฎฺฐมานสฺส, เทวภูตสฺส เม สโต;
‘‘Idheva tiṭṭhamānassa, devabhūtassa me sato;
ปุนรายุ จ เม ลโทฺธ, เอวํ ชานาหิ มาริสา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๖๙);
Punarāyu ca me laddho, evaṃ jānāhi mārisā’’ti. (dī. ni. 2.369);
กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมวฯ ยถาห ‘‘อิธาหํ, ภิกฺขเว, ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐)ฯ อิธ ปน โลกํ อุปาทาย วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ มหาราชาติ ยถา ปฎิญฺญาตํ เทสนํ เทเสตุํ ปุน มหาราชาติ อาลปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘มหาราช อิมสฺมิํ โลเก ตถาคโต อุปฺปชฺชติ อรหํ…เป.… พุโทฺธ ภควา’’ติฯ ตตฺถ ตถาคตสโทฺท พฺรหฺมชาเล วุโตฺตฯ อรหนฺติอาทโย วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาฯ โลเก อุปฺปชฺชตีติ เอตฺถ ปน โลโกติ – โอกาสโลโก สตฺตโลโก สงฺขารโลโกติ ติวิโธฯ อิธ ปน สตฺตโลโก อธิเปฺปโตฯ สตฺตโลเก อุปฺปชฺชมาโนปิ จ ตถาคโต น เทวโลเก, น พฺรหฺมโลเก, มนุสฺสโลเกว อุปฺปชฺชติฯ มนุสฺสโลเกปิ น อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ, อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬฯ ตตฺราปิ น สพฺพฎฺฐาเนสุ, ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย คชงฺคลํ นาม นิคโม ตสฺสาปเรน มหาสาโล, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา โอรโต มเชฺฌ, ปุรตฺถิมทกฺขิณาย ทิสาย สลฬวตี นาม นทีฯ ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ, ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ, ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ, อุตฺตราย ทิสาย อุสิรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา โอรโต มเชฺฌ’’ติ เอวํ ปริจฺฉิเนฺน อายามโต ติโยชนสเต, วิตฺถารโต อฑฺฒเตยฺยโยชนสเต, ปริเกฺขปโต นวโยชนสเต มชฺฌิมปเทเส อุปฺปชฺชติฯ น เกวลญฺจ ตถาคโต, ปเจฺจกพุทฺธา, อคฺคสาวกา, อสีติมหาเถรา, พุทฺธมาตา, พุทฺธปิตา, จกฺกวตฺตี ราชา อเญฺญ จ สารปฺปตฺตา พฺราหฺมณคหปติกา เอเตฺถวุปฺปชฺชนฺติฯ
Katthaci padapūraṇamattameva. Yathāha ‘‘idhāhaṃ, bhikkhave, bhuttāvī assaṃ pavārito’’ti (ma. ni. 1.30). Idha pana lokaṃ upādāya vuttoti veditabbo. Mahārājāti yathā paṭiññātaṃ desanaṃ desetuṃ puna mahārājāti ālapati. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘mahārāja imasmiṃ loke tathāgato uppajjati arahaṃ…pe… buddho bhagavā’’ti. Tattha tathāgatasaddo brahmajāle vutto. Arahantiādayo visuddhimagge vitthāritā. Loke uppajjatīti ettha pana lokoti – okāsaloko sattaloko saṅkhāralokoti tividho. Idha pana sattaloko adhippeto. Sattaloke uppajjamānopi ca tathāgato na devaloke, na brahmaloke, manussalokeva uppajjati. Manussalokepi na aññasmiṃ cakkavāḷe, imasmiṃyeva cakkavāḷe. Tatrāpi na sabbaṭṭhānesu, ‘‘puratthimāya disāya gajaṅgalaṃ nāma nigamo tassāparena mahāsālo, tato parā paccantimā janapadā orato majjhe, puratthimadakkhiṇāya disāya salaḷavatī nāma nadī. Tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe, dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe, pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe, uttarāya disāya usiraddhajo nāma pabbato, tato parā paccantimā janapadā orato majjhe’’ti evaṃ paricchinne āyāmato tiyojanasate, vitthārato aḍḍhateyyayojanasate, parikkhepato navayojanasate majjhimapadese uppajjati. Na kevalañca tathāgato, paccekabuddhā, aggasāvakā, asītimahātherā, buddhamātā, buddhapitā, cakkavattī rājā aññe ca sārappattā brāhmaṇagahapatikā etthevuppajjanti.
ตตฺถ ตถาคโต สุชาตาย ทินฺนมธุปายาสโภชนโต ยาว อรหตฺตมโคฺค, ตาว อุปฺปชฺชติ นาม, อรหตฺตผเล อุปฺปโนฺน นามฯ มหาภินิกฺขมนโต วา ยาว อรหตฺตมโคฺคฯ ตุสิตภวนโต วา ยาว อรหตฺตมโคฺคฯ ทีปงฺกรปาทมูลโต วา ยาว อรหตฺตมโคฺค, ตาว อุปฺปชฺชติ นาม, อรหตฺตผเล อุปฺปโนฺน นามฯ อิธ สพฺพปฐมํ อุปฺปนฺนภาวํ สนฺธาย อุปฺปชฺชตีติ วุตฺตํฯ ตถาคโต โลเก อุปฺปโนฺน โหตีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ
Tattha tathāgato sujātāya dinnamadhupāyāsabhojanato yāva arahattamaggo, tāva uppajjati nāma, arahattaphale uppanno nāma. Mahābhinikkhamanato vā yāva arahattamaggo. Tusitabhavanato vā yāva arahattamaggo. Dīpaṅkarapādamūlato vā yāva arahattamaggo, tāva uppajjati nāma, arahattaphale uppanno nāma. Idha sabbapaṭhamaṃ uppannabhāvaṃ sandhāya uppajjatīti vuttaṃ. Tathāgato loke uppanno hotīti ayañhettha attho.
โส อิมํ โลกนฺติ โส ภควา อิมํ โลกํฯ อิทานิ วตฺตพฺพํ นิทเสฺสติฯ สเทวกนฺติ สห เทเวหิ สเทวกํฯ เอวํ สห มาเรน สมารกํ, สห พฺรหฺมุนา สพฺรหฺมกํ, สห สมณพฺราหฺมเณหิ สสฺสมณพฺราหฺมณิํฯ ปชาตตฺตา ปชา, ตํ ปชํฯ สห เทวมนุเสฺสหิ สเทวมนุสฺสํฯ ตตฺถ สเทวกวจเนน ปญฺจ กามาวจรเทวคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ สมารก – วจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํฯ สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณํฯ สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณํ, สมิตปาปพาหิตปาปสมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจฯ ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํฯ สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ ปเทหิ โอกาสโลเกน สทฺธิํ สตฺตโลโกฯ ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโกว คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
So imaṃ lokanti so bhagavā imaṃ lokaṃ. Idāni vattabbaṃ nidasseti. Sadevakanti saha devehi sadevakaṃ. Evaṃ saha mārena samārakaṃ, saha brahmunā sabrahmakaṃ, saha samaṇabrāhmaṇehi sassamaṇabrāhmaṇiṃ. Pajātattā pajā, taṃ pajaṃ. Saha devamanussehi sadevamanussaṃ. Tattha sadevakavacanena pañca kāmāvacaradevaggahaṇaṃ veditabbaṃ. Samāraka – vacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ. Sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇaṃ. Sassamaṇabrāhmaṇīvacanena sāsanassa paccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇaṃ, samitapāpabāhitapāpasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañca. Pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ. Sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇaṃ. Evamettha tīhi padehi okāsalokena saddhiṃ sattaloko. Dvīhi pajāvasena sattalokova gahitoti veditabbo.
อปโร นโย, สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรเทวโลโก คหิโตฯ สมารกคฺคหเณน ฉ กามาวจรเทวโลโกฯ สพฺรหฺมกคฺคหเณน รูปี พฺรหฺมโลโกฯ สสฺสมณพฺราหฺมณาทิคฺคหเณน จตุปริสวเสน สมฺมุติเทเวหิ วา สห มนุสฺสโลโก, อวเสสสพฺพสตฺตโลโก วาฯ
Aparo nayo, sadevakaggahaṇena arūpāvacaradevaloko gahito. Samārakaggahaṇena cha kāmāvacaradevaloko. Sabrahmakaggahaṇena rūpī brahmaloko. Sassamaṇabrāhmaṇādiggahaṇena catuparisavasena sammutidevehi vā saha manussaloko, avasesasabbasattaloko vā.
อปิ เจตฺถ สเทวกวจเนน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต สพฺพสฺส โลกสฺส สจฺฉิกตภาวมาหฯ ตโต เยสํ อโหสิ – ‘‘มาโร มหานุภาโว ฉ กามาวจริสฺสโร วสวตฺตี, กิํ โสปิ เอเตน สจฺฉิกโต’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต ‘‘สมารก’’นฺติ อาหฯ เยสํ ปน อโหสิ – ‘‘พฺรหฺมา มหานุภาโว เอกงฺคุลิยา เอกสฺมิํ จกฺกวาฬสหเสฺส อาโลกํ ผรติ, ทฺวีหิ …เป.… ทสหิ องฺคุลีหิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อาโลกํ ผรติฯ อนุตฺตรญฺจ ฌานสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทติ, กิํ โสปิ สจฺฉิกโต’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต สพฺรหฺมกนฺติ อาหฯ ตโต เย จิเนฺตสุํ – ‘‘ปุถู สมณพฺราหฺมณา สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกา, กิํ เตปิ สจฺฉิกตา’’ติ, เตสํ วิมติํ วิธมโนฺต สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชนฺติ อาหฯ เอวํ อุกฺกฎฺฐุกฺกฎฺฐานํ สจฺฉิกตภาวํ ปกาเสตฺวา อถ สมฺมุติเทเว อวเสสมนุเสฺส จ อุปาทาย อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน เสสสตฺตโลกสฺส สจฺฉิกตภาวํ ปกาเสโนฺต สเทวมนุสฺสนฺติ อาหฯ อยเมตฺถ ภาวานุกฺกโมฯ
Api cettha sadevakavacanena ukkaṭṭhaparicchedato sabbassa lokassa sacchikatabhāvamāha. Tato yesaṃ ahosi – ‘‘māro mahānubhāvo cha kāmāvacarissaro vasavattī, kiṃ sopi etena sacchikato’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto ‘‘samāraka’’nti āha. Yesaṃ pana ahosi – ‘‘brahmā mahānubhāvo ekaṅguliyā ekasmiṃ cakkavāḷasahasse ālokaṃ pharati, dvīhi …pe… dasahi aṅgulīhi dasasu cakkavāḷasahassesu ālokaṃ pharati. Anuttarañca jhānasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedeti, kiṃ sopi sacchikato’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto sabrahmakanti āha. Tato ye cintesuṃ – ‘‘puthū samaṇabrāhmaṇā sāsanassa paccatthikā, kiṃ tepi sacchikatā’’ti, tesaṃ vimatiṃ vidhamanto sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajanti āha. Evaṃ ukkaṭṭhukkaṭṭhānaṃ sacchikatabhāvaṃ pakāsetvā atha sammutideve avasesamanusse ca upādāya ukkaṭṭhaparicchedavasena sesasattalokassa sacchikatabhāvaṃ pakāsento sadevamanussanti āha. Ayamettha bhāvānukkamo.
โปราณา ปนาหุ สเทวกนฺติ เทเวหิ สทฺธิํ อวเสสโลกํฯ สมารกนฺติ มาเรน สทฺธิํ อวเสสโลกํฯ สพฺรหฺมกนฺติ พฺรเหฺมหิ สทฺธิํ อวเสสโลกํฯ เอวํ สเพฺพปิ ติภวูปเค สเตฺต ตีหากาเรหิ ตีสุ ปเทสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ทฺวีหิ ปเทหิ ปริยาทิยโนฺต สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสนฺติ อาหฯ เอวํ ปญฺจหิปิ ปเทหิ เตน เตนากาเรน เตธาตุกเมว ปริยาทินฺนนฺติฯ
Porāṇā panāhu sadevakanti devehi saddhiṃ avasesalokaṃ. Samārakanti mārena saddhiṃ avasesalokaṃ. Sabrahmakanti brahmehi saddhiṃ avasesalokaṃ. Evaṃ sabbepi tibhavūpage satte tīhākārehi tīsu padesu pakkhipitvā puna dvīhi padehi pariyādiyanto sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussanti āha. Evaṃ pañcahipi padehi tena tenākārena tedhātukameva pariyādinnanti.
สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺถ ปน สยนฺติ สามํ อปรเนโยฺย หุตฺวาฯ อภิญฺญาติ อภิญฺญาย, อธิเกน ญาเณน ญตฺวาติ อโตฺถฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวา, เอเตน อนุมานาทิปฎิเกฺขโป กโต โหติฯ ปเวเทตีติ โพเธติ วิญฺญาเปติ ปกาเสติฯ
Sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedetīti ettha pana sayanti sāmaṃ aparaneyyo hutvā. Abhiññāti abhiññāya, adhikena ñāṇena ñatvāti attho. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā, etena anumānādipaṭikkhepo kato hoti. Pavedetīti bodheti viññāpeti pakāseti.
โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ…เป.… ปริโยสานกลฺยาณนฺติ โส ภควา สเตฺตสุ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ หิตฺวาปิ อนุตฺตรํ วิเวกสุขํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตญฺจ โข อปฺปํ วา พหุํ วา เทเสโนฺต อาทิกลฺยาณาทิปฺปการเมว เทเสติฯ อาทิมฺหิปิ, กลฺยาณํ ภทฺทกํ อนวชฺชเมว กตฺวา เทเสติ, มเชฺฌปิ, ปริโยสาเนปิ, กลฺยาณํ ภทฺทกํ อนวชฺชเมว กตฺวา เทเสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ อตฺถิ เทสนาย อาทิมชฺฌปริโยสานํ, อตฺถิ สาสนสฺสฯ เทสนาย ตาว จตุปฺปทิกายปิ คาถาย ปฐมปาโท อาทิ นาม, ตโต เทฺว มชฺฌํ นาม, อเนฺต เอโก ปริโยสานํ นามฯ เอกานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส นิทานํ อาทิ, อิทมโวจาติ ปริโยสานํ, อุภินฺนมนฺตรา มชฺฌํฯ อเนกานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส ปฐมานุสนฺธิ อาทิ, อเนฺต อนุสนฺธิ ปริโยสานํ, มเชฺฌ เอโก วา เทฺว วา พหู วา มชฺฌเมวฯ
So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ…pe… pariyosānakalyāṇanti so bhagavā sattesu kāruññataṃ paṭicca hitvāpi anuttaraṃ vivekasukhaṃ dhammaṃ deseti. Tañca kho appaṃ vā bahuṃ vā desento ādikalyāṇādippakārameva deseti. Ādimhipi, kalyāṇaṃ bhaddakaṃ anavajjameva katvā deseti, majjhepi, pariyosānepi, kalyāṇaṃ bhaddakaṃ anavajjameva katvā desetīti vuttaṃ hoti. Tattha atthi desanāya ādimajjhapariyosānaṃ, atthi sāsanassa. Desanāya tāva catuppadikāyapi gāthāya paṭhamapādo ādi nāma, tato dve majjhaṃ nāma, ante eko pariyosānaṃ nāma. Ekānusandhikassa suttassa nidānaṃ ādi, idamavocāti pariyosānaṃ, ubhinnamantarā majjhaṃ. Anekānusandhikassa suttassa paṭhamānusandhi ādi, ante anusandhi pariyosānaṃ, majjhe eko vā dve vā bahū vā majjhameva.
สาสนสฺส ปน สีลสมาธิวิปสฺสนา อาทิ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธํ ทิฎฺฐิ จ อุชุกา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๖๙)ฯ ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, มชฺฌิมา ปฎิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา’’ติ เอวํ วุโตฺต ปน อริยมโคฺค มชฺฌํ นามฯ ผลเญฺจว นิพฺพานญฺจ ปริโยสานํ นามฯ ‘‘เอตทตฺถมิทํ, พฺราหฺมณ, พฺรหฺมจริยํ, เอตํ สารํ, เอตํ ปริโยสาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๓๒๔) หิ เอตฺถ ผลํ ปริโยสานนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘นิพฺพาโนคธํ หิ, อาวุโส วิสาข, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ, นิพฺพานปรายนํ นิพฺพานปริโยสาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๖๖) เอตฺถ นิพฺพานํ ปริโยสานนฺติ วุตฺตํฯ อิธ เทสนาย อาทิมชฺฌปริโยสานํ อธิเปฺปตํฯ ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต อาทิมฺหิ สีลํ ทเสฺสตฺวา มเชฺฌ มคฺคํ ปริโยสาเน นิพฺพานํ ทเสฺสติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณ’’นฺติฯ ตสฺมา อโญฺญปิ ธมฺมกถิโก ธมฺมํ กเถโนฺต –
Sāsanassa pana sīlasamādhivipassanā ādi nāma. Vuttampi cetaṃ – ‘‘ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddhaṃ diṭṭhi ca ujukā’’ti (saṃ. ni. 5.369). ‘‘Atthi, bhikkhave, majjhimā paṭipadā tathāgatena abhisambuddhā’’ti evaṃ vutto pana ariyamaggo majjhaṃ nāma. Phalañceva nibbānañca pariyosānaṃ nāma. ‘‘Etadatthamidaṃ, brāhmaṇa, brahmacariyaṃ, etaṃ sāraṃ, etaṃ pariyosāna’’nti (ma. ni. 1.324) hi ettha phalaṃ pariyosānanti vuttaṃ. ‘‘Nibbānogadhaṃ hi, āvuso visākha, brahmacariyaṃ vussati, nibbānaparāyanaṃ nibbānapariyosāna’’nti (ma. ni. 1.466) ettha nibbānaṃ pariyosānanti vuttaṃ. Idha desanāya ādimajjhapariyosānaṃ adhippetaṃ. Bhagavā hi dhammaṃ desento ādimhi sīlaṃ dassetvā majjhe maggaṃ pariyosāne nibbānaṃ dasseti. Tena vuttaṃ – ‘‘so dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇa’’nti. Tasmā aññopi dhammakathiko dhammaṃ kathento –
‘‘อาทิมฺหิ สีลํ ทเสฺสยฺย, มเชฺฌ มคฺคํ วิภาวเย;
‘‘Ādimhi sīlaṃ dasseyya, majjhe maggaṃ vibhāvaye;
ปริโยสานมฺหิ นิพฺพานํ, เอสา กถิกสณฺฐิตี’’ติฯ
Pariyosānamhi nibbānaṃ, esā kathikasaṇṭhitī’’ti.
สาตฺถํ สพฺยญฺชนนฺติ ยสฺส หิ ยาคุภตฺตอิตฺถิปุริสาทิวณฺณนานิสฺสิตา เทสนา โหติ, น โส สาตฺถํ เทเสติฯ ภควา ปน ตถารูปํ เทสนํ ปหาย จตุสติปฎฺฐานาทินิสฺสิตํ เทสนํ เทเสติฯ ตสฺมา สาตฺถํ เทเสตีติ วุจฺจติฯ ยสฺส ปน เทสนา เอกพฺยญฺชนาทิยุตฺตา วา สพฺพนิโรฎฺฐพฺยญฺชนา วา สพฺพวิสฺสฎฺฐสพฺพนิคฺคหีตพฺยญฺชนา วา, ตสฺส ทมิฬกิราตสวราทิมิลกฺขูนํ ภาสา วิย พฺยญฺชนปาริปูริยา อภาวโต อพฺยญฺชนา นาม เทสนา โหติฯ ภควา ปน –
Sātthaṃ sabyañjananti yassa hi yāgubhattaitthipurisādivaṇṇanānissitā desanā hoti, na so sātthaṃ deseti. Bhagavā pana tathārūpaṃ desanaṃ pahāya catusatipaṭṭhānādinissitaṃ desanaṃ deseti. Tasmā sātthaṃ desetīti vuccati. Yassa pana desanā ekabyañjanādiyuttā vā sabbaniroṭṭhabyañjanā vā sabbavissaṭṭhasabbaniggahītabyañjanā vā, tassa damiḷakirātasavarādimilakkhūnaṃ bhāsā viya byañjanapāripūriyā abhāvato abyañjanā nāma desanā hoti. Bhagavā pana –
‘‘สิถิลํ ธนิตญฺจ ทีฆรสฺสํ, ครุกํ ลหุกญฺจ นิคฺคหีตํ;
‘‘Sithilaṃ dhanitañca dīgharassaṃ, garukaṃ lahukañca niggahītaṃ;
สมฺพนฺธววตฺถิตํ วิมุตฺตํ, ทสธา พฺยญฺชนพุทฺธิยา ปเภโท’’ติฯ
Sambandhavavatthitaṃ vimuttaṃ, dasadhā byañjanabuddhiyā pabhedo’’ti.
เอวํ วุตฺตํ ทสวิธํ พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา ปริปุณฺณพฺยญฺชนเมว กตฺวา ธมฺมํ เทเสติ, ตสฺมา สพฺยญฺชนํ ธมฺมํ เทเสตีติ วุจฺจติฯ เกวลปริปุณฺณนฺติ เอตฺถ เกวลนฺติ สกลาธิวจนํฯ ปริปุณฺณนฺติ อนูนาธิกวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ สกลปริปุณฺณเมว เทเสติ, เอกเทสนาปิ อปริปุณฺณา นตฺถีติฯ อุปเนตพฺพอปเนตพฺพสฺส อภาวโต เกวลปริปุณฺณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปริสุทฺธนฺติ นิรุปกฺกิเลสํฯ โย หิ อิมํ ธมฺมเทสนํ นิสฺสาย ลาภํ วา สกฺการํ วา ลภิสฺสามีติ เทเสติ, ตสฺส อปริสุทฺธา เทสนา โหติฯ ภควา ปน โลกามิสนิรเปโกฺข หิตผรเณน เมตฺตาภาวนาย มุทุหทโย อุลฺลุมฺปนสภาวสณฺฐิเตน จิเตฺตน เทเสติฯ ตสฺมา ปริสุทฺธํ ธมฺมํ เทเสตีติ วุจฺจติฯ
Evaṃ vuttaṃ dasavidhaṃ byañjanaṃ amakkhetvā paripuṇṇabyañjanameva katvā dhammaṃ deseti, tasmā sabyañjanaṃ dhammaṃ desetīti vuccati. Kevalaparipuṇṇanti ettha kevalanti sakalādhivacanaṃ. Paripuṇṇanti anūnādhikavacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti sakalaparipuṇṇameva deseti, ekadesanāpi aparipuṇṇā natthīti. Upanetabbaapanetabbassa abhāvato kevalaparipuṇṇanti veditabbaṃ. Parisuddhanti nirupakkilesaṃ. Yo hi imaṃ dhammadesanaṃ nissāya lābhaṃ vā sakkāraṃ vā labhissāmīti deseti, tassa aparisuddhā desanā hoti. Bhagavā pana lokāmisanirapekkho hitapharaṇena mettābhāvanāya muduhadayo ullumpanasabhāvasaṇṭhitena cittena deseti. Tasmā parisuddhaṃ dhammaṃ desetīti vuccati.
พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตีติ เอตฺถ ปนายํ พฺรหฺมจริย-สโทฺท ทาเน เวยฺยาวเจฺจ ปญฺจสิกฺขาปทสีเล อปฺปมญฺญาสุ เมถุนวิรติยํ สทารสโนฺตเส วีริเย อุโปสถเงฺคสุ อริยมเคฺค สาสเนติ อิเมสฺวเตฺถสุ ทิสฺสติฯ
Brahmacariyaṃ pakāsetīti ettha panāyaṃ brahmacariya-saddo dāne veyyāvacce pañcasikkhāpadasīle appamaññāsu methunaviratiyaṃ sadārasantose vīriye uposathaṅgesu ariyamagge sāsaneti imesvatthesu dissati.
‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ,
กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เต นาค, มหาวิมานํฯ
Idañca te nāga, mahāvimānaṃ.
อหญฺจ ภริยา จ มนุสฺสโลเก,
Ahañca bhariyā ca manussaloke,
สทฺธา อุโภ ทานปตี อหุมฺหา;
Saddhā ubho dānapatī ahumhā;
โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ,
Opānabhūtaṃ me gharaṃ tadāsi,
สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จฯ
Santappitā samaṇabrāhmaṇā ca.
ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ,
Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ,
ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
Tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,
Iddhī jutī balavīriyūpapatti,
อิทญฺจ เม ธีร มหาวิมาน’’นฺติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๕๙๕);
Idañca me dhīra mahāvimāna’’nti. (jā. 2.17.1595);
อิมสฺมิญฺหิ ปุณฺณกชาตเก ทานํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ
Imasmiñhi puṇṇakajātake dānaṃ brahmacariyanti vuttaṃ.
‘‘เกน ปาณิ กามทโท, เกน ปาณิ มธุสฺสโว;
‘‘Kena pāṇi kāmadado, kena pāṇi madhussavo;
เกน เต พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติฯ
Kena te brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhati.
เตน ปาณิ กามทโท, เตน ปาณิ มธุสฺสโว;
Tena pāṇi kāmadado, tena pāṇi madhussavo;
เตน เม พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌตี’’ติฯ (เป. ว. ๒๗๕,๒๗๗);
Tena me brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhatī’’ti. (pe. va. 275,277);
อิมสฺมิํ องฺกุรเปตวตฺถุมฺหิ เวยฺยาวจฺจํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘เอวํ, โข ตํ ภิกฺขเว, ติตฺติริยํ นาม พฺรหฺมจริยํ อโหสี’’ติ (จูฬว. ๓๑๑) อิมสฺมิํ ติตฺติรชาตเก ปญฺจสิกฺขาปทสีลํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ตํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย…เป.… ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๒๙) อิมสฺมิํ มหาโควินฺทสุเตฺต จตโสฺส อปฺปมญฺญาโย พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตาฯ ‘‘ปเร อพฺรหฺมจารี ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ พฺรหฺมจารี ภวิสฺสามา’’ติ (ม. นิ. ๑.๘๓) อิมสฺมิํ สเลฺลขสุเตฺต เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตาฯ
Imasmiṃ aṅkurapetavatthumhi veyyāvaccaṃ brahmacariyanti vuttaṃ. ‘‘Evaṃ, kho taṃ bhikkhave, tittiriyaṃ nāma brahmacariyaṃ ahosī’’ti (cūḷava. 311) imasmiṃ tittirajātake pañcasikkhāpadasīlaṃ brahmacariyanti vuttaṃ. ‘‘Taṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ neva nibbidāya na virāgāya na nirodhāya…pe… yāvadeva brahmalokūpapattiyā’’ti (dī. ni. 2.329) imasmiṃ mahāgovindasutte catasso appamaññāyo brahmacariyanti vuttā. ‘‘Pare abrahmacārī bhavissanti, mayamettha brahmacārī bhavissāmā’’ti (ma. ni. 1.83) imasmiṃ sallekhasutte methunavirati brahmacariyanti vuttā.
‘‘มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม,
‘‘Mayañca bhariyā nātikkamāma,
อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;
Amhe ca bhariyā nātikkamanti;
อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม,
Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma,
ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๙๗);
Tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. (jā. 1.4.97);
มหาธมฺมปาลชาตเก สทารสโนฺตโส พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา, ตปสฺสี สุทํ โหมี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๕) โลมหํสนสุเตฺต วีริยํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ
Mahādhammapālajātake sadārasantoso brahmacariyanti vutto. ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgataṃ brahmacariyaṃ caritā, tapassī sudaṃ homī’’ti (ma. ni. 1.155) lomahaṃsanasutte vīriyaṃ brahmacariyanti vuttaṃ.
‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;
‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌตี’’ติฯ (ชา. ๑.๘.๗๕);
Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhatī’’ti. (jā. 1.8.75);
เอวํ นิมิชาตเก อตฺตทมนวเสน กโต อฎฺฐงฺคิโก อุโปสโถ พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘อิทํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย…เป.… อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๒๙) มหาโควินฺทสุตฺตสฺมิํเยว อริยมโคฺค พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิต’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๗๔) ปาสาทิกสุเตฺต สิกฺขตฺตยสงฺคหิตํ สกลสาสนํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ อิมสฺมิมฺปิ ฐาเน อิทเมว พฺรหฺมจริยนฺติ อธิเปฺปตํฯ ตสฺมา พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตีติ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ…เป.… ปริสุทฺธํฯ เอวํ เทเสโนฺต จ สิกฺขตฺตยสงฺคหิตํ สกลสาสนํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูตํ จริยํฯ พฺรหฺมภูตานํ วา พุทฺธาทีนํ จริยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Evaṃ nimijātake attadamanavasena kato aṭṭhaṅgiko uposatho brahmacariyanti vutto. ‘‘Idaṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya…pe… ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti (dī. ni. 2.329) mahāgovindasuttasmiṃyeva ariyamaggo brahmacariyanti vutto. ‘‘Tayidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsita’’nti (dī. ni. 3.174) pāsādikasutte sikkhattayasaṅgahitaṃ sakalasāsanaṃ brahmacariyanti vuttaṃ. Imasmimpi ṭhāne idameva brahmacariyanti adhippetaṃ. Tasmā brahmacariyaṃ pakāsetīti so dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ…pe… parisuddhaṃ. Evaṃ desento ca sikkhattayasaṅgahitaṃ sakalasāsanaṃ brahmacariyaṃ pakāsetīti evamettha attho daṭṭhabbo. Brahmacariyanti seṭṭhaṭṭhena brahmabhūtaṃ cariyaṃ. Brahmabhūtānaṃ vā buddhādīnaṃ cariyanti vuttaṃ hoti.
๑๙๑. ตํ ธมฺมนฺติ ตํ วุตฺตปฺปการสมฺปทํ ธมฺมํฯ สุณาติ คหปติ วาติ กสฺมา ปฐมํ คหปติํ นิทฺทิสติ? นิหตมานตฺตา, อุสฺสนฺนตฺตา จฯ เยภุเยฺยน หิ ขตฺติยกุลโต ปพฺพชิตา ชาติํ นิสฺสาย มานํ กโรนฺติฯ พฺราหฺมณกุลา ปพฺพชิตา มเนฺต นิสฺสาย มานํ กโรนฺติฯ หีนชจฺจกุลา ปพฺพชิตา อตฺตโน อตฺตโน วิชาติตาย ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกนฺติฯ คหปติทารกา ปน กเจฺฉหิ เสทํ มุญฺจเนฺตหิ ปิฎฺฐิยา โลณํ ปุปฺผมานาย ภูมิํ กสิตฺวา ตาทิสสฺส มานสฺส อภาวโต นิหตมานทปฺปา โหนฺติฯ เต ปพฺพชิตฺวา มานํ วา ทปฺปํ วา อกตฺวา ยถาพลํ สกลพุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตา สโกฺกนฺติ อรหเตฺต ปติฎฺฐาตุํฯ อิตเรหิ จ กุเลหิ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตา นาม น พหุกา, คหปติกาว พหุกาฯ อิติ นิหตมานตฺตา อุสฺสนฺนตฺตา จ ปฐมํ คหปติํ นิทฺทิสตีติฯ
191.Taṃ dhammanti taṃ vuttappakārasampadaṃ dhammaṃ. Suṇāti gahapati vāti kasmā paṭhamaṃ gahapatiṃ niddisati? Nihatamānattā, ussannattā ca. Yebhuyyena hi khattiyakulato pabbajitā jātiṃ nissāya mānaṃ karonti. Brāhmaṇakulā pabbajitā mante nissāya mānaṃ karonti. Hīnajaccakulā pabbajitā attano attano vijātitāya patiṭṭhātuṃ na sakkonti. Gahapatidārakā pana kacchehi sedaṃ muñcantehi piṭṭhiyā loṇaṃ pupphamānāya bhūmiṃ kasitvā tādisassa mānassa abhāvato nihatamānadappā honti. Te pabbajitvā mānaṃ vā dappaṃ vā akatvā yathābalaṃ sakalabuddhavacanaṃ uggahetvā vipassanāya kammaṃ karontā sakkonti arahatte patiṭṭhātuṃ. Itarehi ca kulehi nikkhamitvā pabbajitā nāma na bahukā, gahapatikāva bahukā. Iti nihatamānattā ussannattā ca paṭhamaṃ gahapatiṃ niddisatīti.
อญฺญตรสฺมิํ วาติ อิตเรสํ วา กุลานํ อญฺญตรสฺมิํฯ ปจฺจาชาโตติ ปติชาโตฯ ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภตีติ ปริสุทฺธํ ธมฺมํ สุตฺวา ธมฺมสฺสามิมฺหิ ตถาคเต – ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ สทฺธํ ปฎิลภติฯ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขตีติ เอวํ ปจฺจเวกฺขติฯ สมฺพาโธ ฆราวาโสติ สเจปิ สฎฺฐิหเตฺถ ฆเร โยชนสตนฺตเรปิ วา เทฺว ชายมฺปติกา วสนฺติ, ตถาปิ เนสํ สกิญฺจนสปลิโพธเฎฺฐน ฆราวาโส สมฺพาโธเยวฯ รโชปโถติ ราครชาทีนํ อุฎฺฐานฎฺฐานนฺติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อาคมนปโถติปิ วทนฺติฯ อลคฺคนเฎฺฐน อโพฺภกาโส วิยาติ อโพฺภกาโสฯ ปพฺพชิโต หิ กูฎาคารรตนปาสาทเทววิมานาทีสุ ปิหิตทฺวารวาตปาเนสุ ปฎิจฺฉเนฺนสุ วสโนฺตปิ เนว ลคฺคติ, น สชฺชติ, น พชฺฌติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา’’ติฯ อปิ จ สมฺพาโธ ฆราวาโส กุสลกิริยาย โอกาสาภาวโตฯ รโชปโถ อสํวุตสงฺการฎฺฐานํ วิย รชานํ กิเลสรชานํ สนฺนิปาตฎฺฐานโตฯ อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา กุสลกิริยาย ยถาสุขํ โอกาสสพฺภาวโตฯ
Aññatarasmiṃ vāti itaresaṃ vā kulānaṃ aññatarasmiṃ. Paccājātoti patijāto. Tathāgate saddhaṃ paṭilabhatīti parisuddhaṃ dhammaṃ sutvā dhammassāmimhi tathāgate – ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti saddhaṃ paṭilabhati. Iti paṭisañcikkhatīti evaṃ paccavekkhati. Sambādho gharāvāsoti sacepi saṭṭhihatthe ghare yojanasatantarepi vā dve jāyampatikā vasanti, tathāpi nesaṃ sakiñcanasapalibodhaṭṭhena gharāvāso sambādhoyeva. Rajopathoti rāgarajādīnaṃ uṭṭhānaṭṭhānanti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Āgamanapathotipi vadanti. Alagganaṭṭhena abbhokāso viyāti abbhokāso. Pabbajito hi kūṭāgāraratanapāsādadevavimānādīsu pihitadvāravātapānesu paṭicchannesu vasantopi neva laggati, na sajjati, na bajjhati. Tena vuttaṃ – ‘‘abbhokāso pabbajjā’’ti. Api ca sambādho gharāvāso kusalakiriyāya okāsābhāvato. Rajopatho asaṃvutasaṅkāraṭṭhānaṃ viya rajānaṃ kilesarajānaṃ sannipātaṭṭhānato. Abbhokāso pabbajjā kusalakiriyāya yathāsukhaṃ okāsasabbhāvato.
นยิทํ สุกรํ…เป.… ปพฺพเชยฺยนฺติ เอตฺถายํ สเงฺขปกถา, ยเทตํ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกมฺปิ ทิวสํ อขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํ, จริตพฺพํ เอกทิวสมฺปิ จ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํ ฯ สงฺขลิขิตนฺติ ลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ จริตพฺพํฯ อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ…เป.… จริตุํ, ยํนูนาหํ เกเส จ มสฺสุญฺจ โอหาเรตฺวา กสายรสปีตตาย กาสายานิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตานํ อนุจฺฉวิกานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา ปริทหิตฺวา อคารสฺมา นิกฺขมิตฺวา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยนฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อคารสฺส หิตํ กสิวาณิชฺชาทิกมฺมํ อคาริยนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ปพฺพชฺชาย นตฺถิ, ตสฺมา ปพฺพชฺชา อนคาริยนฺติ ญาตพฺพา, ตํ อนคาริยํฯ ปพฺพเชยฺยนฺติ ปฎิปเชฺชยฺยํฯ
Nayidaṃsukaraṃ…pe… pabbajeyyanti etthāyaṃ saṅkhepakathā, yadetaṃ sikkhattayabrahmacariyaṃ ekampi divasaṃ akhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ, caritabbaṃ ekadivasampi ca kilesamalena amalīnaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ . Saṅkhalikhitanti likhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ caritabbaṃ. Idaṃ na sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ…pe… carituṃ, yaṃnūnāhaṃ kese ca massuñca ohāretvā kasāyarasapītatāya kāsāyāni brahmacariyaṃ carantānaṃ anucchavikāni vatthāni acchādetvā paridahitvā agārasmā nikkhamitvā anagāriyaṃ pabbajeyyanti. Ettha ca yasmā agārassa hitaṃ kasivāṇijjādikammaṃ agāriyanti vuccati, tañca pabbajjāya natthi, tasmā pabbajjā anagāriyanti ñātabbā, taṃ anagāriyaṃ. Pabbajeyyanti paṭipajjeyyaṃ.
๑๙๒-๑๙๓. อปฺปํ วาติ สหสฺสโต เหฎฺฐา โภคกฺขโนฺธ อโปฺป นาม โหติ, สหสฺสโต ปฎฺฐาย มหาฯ อาพนฺธนเฎฺฐน ญาติเยว ญาติปริวโฎฺฎฯ โสปิ วีสติยา เหฎฺฐา อโปฺป นาม โหติ, วีสติยา ปฎฺฐาย มหาฯ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ ปาติโมกฺขสํวเรน สมนฺนาคโตฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ อาจาเรน เจว โคจเรน จ สมฺปโนฺนฯ อณุมเตฺตสูติ อปฺปมตฺตเกสุฯ วเชฺชสูติ อกุสลธเมฺมสุฯ ภยทสฺสาวีติ ภยทสฺสีฯ สมาทายาติ สมฺมา อาทิยิตฺวาฯ สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ สิกฺขาปเทสุ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ สมาทิยิตฺวา สิกฺขติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ
192-193.Appaṃ vāti sahassato heṭṭhā bhogakkhandho appo nāma hoti, sahassato paṭṭhāya mahā. Ābandhanaṭṭhena ñātiyeva ñātiparivaṭṭo. Sopi vīsatiyā heṭṭhā appo nāma hoti, vīsatiyā paṭṭhāya mahā. Pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti pātimokkhasaṃvarena samannāgato. Ācāragocarasampannoti ācārena ceva gocarena ca sampanno. Aṇumattesūti appamattakesu. Vajjesūti akusaladhammesu. Bhayadassāvīti bhayadassī. Samādāyāti sammā ādiyitvā. Sikkhati sikkhāpadesūti sikkhāpadesu taṃ taṃ sikkhāpadaṃ samādiyitvā sikkhati. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge vutto.
กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต กุสเลน ปริสุทฺธาชีโวติ เอตฺถ อาจารโคจรคฺคหเณเนว จ กุสเล กายกมฺมวจีกเมฺม คหิเตปิ ยสฺมา อิทํ อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ นาม น อากาเส วา รุกฺขคฺคาทีสุ วา อุปฺปชฺชติ, กายวจีทฺวาเรสุเยว ปน อุปฺปชฺชติ; ตสฺมา ตสฺส อุปฺปตฺติทฺวารทสฺสนตฺถํ กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต กุสเลนาติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน เตน สมนฺนาคโต, ตสฺมา ปริสุทฺธาชีโวฯ สมณมุณฺฑิกปุตฺตสุตฺตนฺตวเสน (ม. นิ. ๒.๒๖๐) วา เอวํ วุตฺตํฯ ตตฺถ หิ ‘‘กตเม จ, ถปติ, กุสลา สีลา? กุสลํ กายกมฺมํ, กุสลํ วจีกมฺมํ, ปริสุทฺธํ อาชีวมฺปิ โข อหํ ถปติ สีลสฺมิํ วทามี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน เตน สมนฺนาคโต, ตสฺมา ปริสุทฺธาชีโวติ เวทิตโพฺพฯ
Kāyakammavacīkammena samannāgato kusalena parisuddhājīvoti ettha ācāragocaraggahaṇeneva ca kusale kāyakammavacīkamme gahitepi yasmā idaṃ ājīvapārisuddhisīlaṃ nāma na ākāse vā rukkhaggādīsu vā uppajjati, kāyavacīdvāresuyeva pana uppajjati; tasmā tassa uppattidvāradassanatthaṃ kāyakammavacīkammena samannāgato kusalenāti vuttaṃ. Yasmā pana tena samannāgato, tasmā parisuddhājīvo. Samaṇamuṇḍikaputtasuttantavasena (ma. ni. 2.260) vā evaṃ vuttaṃ. Tattha hi ‘‘katame ca, thapati, kusalā sīlā? Kusalaṃ kāyakammaṃ, kusalaṃ vacīkammaṃ, parisuddhaṃ ājīvampi kho ahaṃ thapati sīlasmiṃ vadāmī’’ti vuttaṃ. Yasmā pana tena samannāgato, tasmā parisuddhājīvoti veditabbo.
สีลสมฺปโนฺนติ พฺรหฺมชาเล วุเตฺตน ติวิเธน สีเลน สมนฺนาคโต โหติฯ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโรติ มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวาโร โหติฯ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโตติ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติอาทีสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ สติยา เจว สมฺปชเญฺญน จ สมนฺนาคโต โหติฯ สนฺตุโฎฺฐติ จตูสุ ปจฺจเยสุ ติวิเธน สโนฺตเสน สนฺตุโฎฺฐ โหติฯ
Sīlasampannoti brahmajāle vuttena tividhena sīlena samannāgato hoti. Indriyesu guttadvāroti manacchaṭṭhesu indriyesu pihitadvāro hoti. Satisampajaññena samannāgatoti abhikkante paṭikkantetiādīsu sattasu ṭhānesu satiyā ceva sampajaññena ca samannāgato hoti. Santuṭṭhoti catūsu paccayesu tividhena santosena santuṭṭho hoti.
จูฬสีลวณฺณนา
Cūḷasīlavaṇṇanā
๑๙๔-๒๑๑. เอวํ มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา อนุปุเพฺพน ภาเชโนฺต ‘‘กถญฺจ, มหาราช, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมินฺติ อิทมฺปิ อสฺส ภิกฺขุโน ปาณาติปาตา เวรมณิ สีลสฺมิํ เอกํ สีลํ โหตีติ อโตฺถฯ ปจฺจตฺตวจนเตฺถ วา เอตํ ภุมฺมํฯ มหาอฎฺฐกถายญฺหิ อิทมฺปิ ตสฺส สมณสฺส สีลนฺติ อยเมว อโตฺถ วุโตฺตฯ เสสํ พฺรหฺมชาเล วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิทมสฺส โหติ สีลสฺมินฺติ อิทํ อสฺส สีลํ โหตีติ อโตฺถฯ
194-211. Evaṃ mātikaṃ nikkhipitvā anupubbena bhājento ‘‘kathañca, mahārāja, bhikkhu sīlasampanno hotī’’tiādimāha. Tattha idampissa hoti sīlasminti idampi assa bhikkhuno pāṇātipātā veramaṇi sīlasmiṃ ekaṃ sīlaṃ hotīti attho. Paccattavacanatthe vā etaṃ bhummaṃ. Mahāaṭṭhakathāyañhi idampi tassa samaṇassa sīlanti ayameva attho vutto. Sesaṃ brahmajāle vuttanayeneva veditabbaṃ. Idamassa hoti sīlasminti idaṃ assa sīlaṃ hotīti attho.
๒๑๒. น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ สีลสํวรโตติ ยานิ อสํวรมูลกานิ ภยานิ อุปฺปชฺชนฺติ, เตสุ ยํ อิทํ ภยํ สีลสํวรโต ภเวยฺย, ตํ กุโตจิ เอกสํวรโตปิ น สมนุปสฺสติฯ กสฺมา? สํวรโต อสํวรมูลกสฺส ภยสฺส อภาวาฯ มุทฺธาภิสิโตฺตติ ยถาวิธานวิหิเตน ขตฺติยาภิเสเกน มุทฺธนิ อวสิโตฺตฯ ยทิทํ ปจฺจตฺถิกโตติ ยํ กุโตจิ เอกปจฺจตฺถิกโตปิ ภยํ ภเวยฺย, ตํ น สมนุปสฺสติฯ กสฺมา? ยสฺมา นิหตปจฺจามิโตฺตฯ อชฺฌตฺตนฺติ นิยกชฺฌตฺตํ, อตฺตโน สนฺตาเนติ อโตฺถฯ อนวชฺชสุขนฺติ อนวชฺชํ อนินฺทิตํ กุสลํ สีลปทฎฺฐาเนหิ อวิปฺปฎิสารปาโมชฺชปีติปสฺสทฺธิธเมฺมหิ ปริคฺคหิตํ กายิกเจตสิกสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ เอวํ โข, มหาราช, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหตีติ เอวํ นิรนฺตรํ วิตฺถาเรตฺวา ทสฺสิเตน ติวิเธน สีเลน สมนฺนาคโต ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน นาม โหตีติ สีลกถํ นิฎฺฐาเปสิฯ
212.Na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ sīlasaṃvaratoti yāni asaṃvaramūlakāni bhayāni uppajjanti, tesu yaṃ idaṃ bhayaṃ sīlasaṃvarato bhaveyya, taṃ kutoci ekasaṃvaratopi na samanupassati. Kasmā? Saṃvarato asaṃvaramūlakassa bhayassa abhāvā. Muddhābhisittoti yathāvidhānavihitena khattiyābhisekena muddhani avasitto. Yadidaṃ paccatthikatoti yaṃ kutoci ekapaccatthikatopi bhayaṃ bhaveyya, taṃ na samanupassati. Kasmā? Yasmā nihatapaccāmitto. Ajjhattanti niyakajjhattaṃ, attano santāneti attho. Anavajjasukhanti anavajjaṃ aninditaṃ kusalaṃ sīlapadaṭṭhānehi avippaṭisārapāmojjapītipassaddhidhammehi pariggahitaṃ kāyikacetasikasukhaṃ paṭisaṃvedeti. Evaṃ kho, mahārāja, bhikkhu sīlasampanno hotīti evaṃ nirantaraṃ vitthāretvā dassitena tividhena sīlena samannāgato bhikkhu sīlasampanno nāma hotīti sīlakathaṃ niṭṭhāpesi.
อินฺทฺริยสํวรกถา
Indriyasaṃvarakathā
๒๑๓. อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารภาชนีเย จกฺขุนา รูปนฺติ อยํ จกฺขุสโทฺท กตฺถจิ พุทฺธจกฺขุมฺหิ วตฺตติ, ยถาห – ‘‘พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสี’’ติ (มหาว. ๙)ฯ กตฺถจิ สพฺพญฺญุตญฺญาณสงฺขาเต สมนฺตจกฺขุมฺหิ, ยถาห – ‘‘ตถูปมํ ธมฺมมยํ, สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขู’’ติ (มหาว. ๘)ฯ กตฺถจิ ธมฺมจกฺขุมฺหิ ‘‘วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาที’’ติ (มหาว. ๑๖) หิ เอตฺถ อริยมคฺคตฺตยปญฺญาฯ ‘‘จกฺขุํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาที’’ติ (มหาว. ๑๕) เอตฺถ ปุเพฺพนิวาสาทิญาณํ ปญฺญาจกฺขูติ วุจฺจติฯ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๔) อาคตฎฺฐาเนสุ ทิพฺพจกฺขุมฺหิ วตฺตติฯ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จา’’ติ เอตฺถ ปสาทจกฺขุมฺหิ วตฺตติฯ อิธ ปนายํ ปสาทจกฺขุโวหาเรน จกฺขุวิญฺญาเณ วตฺตติ, ตสฺมา จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ทิสฺวาติ อยเมตฺถโตฺถฯ เสสปเทสุ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตํฯ อพฺยาเสกสุขนฺติ กิเลสพฺยาเสกวิรหิตตฺตา อพฺยาเสกํ อสมฺมิสฺสํ ปริสุทฺธํ อธิจิตฺตสุขํ ปฎิสํเวเทตีติฯ
213. Indriyesu guttadvārabhājanīye cakkhunā rūpanti ayaṃ cakkhusaddo katthaci buddhacakkhumhi vattati, yathāha – ‘‘buddhacakkhunā lokaṃ volokesī’’ti (mahāva. 9). Katthaci sabbaññutaññāṇasaṅkhāte samantacakkhumhi, yathāha – ‘‘tathūpamaṃ dhammamayaṃ, sumedha, pāsādamāruyha samantacakkhū’’ti (mahāva. 8). Katthaci dhammacakkhumhi ‘‘virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādī’’ti (mahāva. 16) hi ettha ariyamaggattayapaññā. ‘‘Cakkhuṃ udapādi ñāṇaṃ udapādī’’ti (mahāva. 15) ettha pubbenivāsādiñāṇaṃ paññācakkhūti vuccati. ‘‘Dibbena cakkhunā’’ti (ma. ni. 1.284) āgataṭṭhānesu dibbacakkhumhi vattati. ‘‘Cakkhuñca paṭicca rūpe cā’’ti ettha pasādacakkhumhi vattati. Idha panāyaṃ pasādacakkhuvohārena cakkhuviññāṇe vattati, tasmā cakkhuviññāṇena rūpaṃ disvāti ayametthattho. Sesapadesu yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ visuddhimagge vuttaṃ. Abyāsekasukhanti kilesabyāsekavirahitattā abyāsekaṃ asammissaṃ parisuddhaṃ adhicittasukhaṃ paṭisaṃvedetīti.
สติสมฺปชญฺญกถา
Satisampajaññakathā
๒๑๔. สติสมฺปชญฺญภาชนียมฺหิ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติ เอตฺถ ตาว อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ คมนํ, ปฎิกฺกนฺตํ นิวตฺตนํ, ตทุภยมฺปิ จตูสุ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ คมเน ตาว ปุรโต กายํ อภิหรโนฺต อภิกฺกมติ นาม ฯ ปฎินิวตฺตโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ ฐาเนปิ ฐิตโกว กายํ ปุรโต โอนาเมโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉโต อปนาเมโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิสชฺชาย นิสินฺนโกว อาสนสฺส ปุริมองฺคาภิมุโข สํสรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉิมองฺคปเทสํ ปจฺจาสํสรโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิปชฺชเนปิ เอเสว นโยฯ
214. Satisampajaññabhājanīyamhi abhikkante paṭikkanteti ettha tāva abhikkantaṃ vuccati gamanaṃ, paṭikkantaṃ nivattanaṃ, tadubhayampi catūsu iriyāpathesu labbhati. Gamane tāva purato kāyaṃ abhiharanto abhikkamati nāma . Paṭinivattanto paṭikkamati nāma. Ṭhānepi ṭhitakova kāyaṃ purato onāmento abhikkamati nāma, pacchato apanāmento paṭikkamati nāma. Nisajjāya nisinnakova āsanassa purimaaṅgābhimukho saṃsaranto abhikkamati nāma, pacchimaaṅgapadesaṃ paccāsaṃsaranto paṭikkamati nāma. Nipajjanepi eseva nayo.
สมฺปชานการี โหตีติ สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการีฯ สมฺปชญฺญเมว วา การีฯ โส หิ อภิกฺกนฺตาทีสุ สมฺปชญฺญํ กโรเตวฯ น กตฺถจิ สมฺปชญฺญวิรหิโต โหติฯ ตตฺถ สาตฺถกสมฺปชญฺญํ, สปฺปายสมฺปชญฺญํ, โคจรสมฺปชญฺญํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ อภิกฺกมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อคนฺตฺวา – ‘‘กินฺนุ เม เอตฺถ คเตน อโตฺถ อตฺถิ นตฺถี’’ติ อตฺถานตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ จ อโตฺถติ เจติยทสฺสนโพธิสงฺฆเถรอสุภทสฺสนาทิวเสน ธมฺมโต วุฑฺฒิฯ เจติยํ วา โพธิํ วา ทิสฺวาปิ หิ พุทฺธารมฺมณํ, สงฺฆทสฺสเนน สงฺฆารมฺมณํ, ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เถเร ทิสฺวา เตสํ โอวาเท ปติฎฺฐาย, อสุภํ ทิสฺวา ตตฺถ ปฐมชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา เอเตสํ ทสฺสนํ สาตฺถกนฺติ วุตฺตํฯ เกจิ ปน อามิสโตปิ วุฑฺฒิ อโตฺถเยว, ตํ นิสฺสาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย ปฎิปนฺนตฺตาติ วทนฺติฯ
Sampajānakārī hotīti sampajaññena sabbakiccakārī. Sampajaññameva vā kārī. So hi abhikkantādīsu sampajaññaṃ karoteva. Na katthaci sampajaññavirahito hoti. Tattha sātthakasampajaññaṃ, sappāyasampajaññaṃ, gocarasampajaññaṃ asammohasampajaññanti catubbidhaṃ sampajaññaṃ. Tattha abhikkamanacitte uppanne cittavaseneva agantvā – ‘‘kinnu me ettha gatena attho atthi natthī’’ti atthānatthaṃ pariggahetvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha ca atthoti cetiyadassanabodhisaṅghatheraasubhadassanādivasena dhammato vuḍḍhi. Cetiyaṃ vā bodhiṃ vā disvāpi hi buddhārammaṇaṃ, saṅghadassanena saṅghārammaṇaṃ, pītiṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. There disvā tesaṃ ovāde patiṭṭhāya, asubhaṃ disvā tattha paṭhamajjhānaṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā etesaṃ dassanaṃ sātthakanti vuttaṃ. Keci pana āmisatopi vuḍḍhi atthoyeva, taṃ nissāya brahmacariyānuggahāya paṭipannattāti vadanti.
ตสฺมิํ ปน คมเน สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคเหตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ เสยฺยถิทํ – เจติยทสฺสนํ ตาว สาตฺถกํ, สเจ ปน เจติยสฺส มหาปูชาย ทสทฺวาทสโยชนนฺตเร ปริสา สนฺนิปตนฺติ, อตฺตโน วิภวานุรูปา อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ อลงฺกตปฎิยตฺตา จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิย สญฺจรนฺติฯ ตตฺร จสฺส อิเฎฺฐ อารมฺมเณ โลโภ โหติ, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขเน โมโห อุปฺปชฺชติ, กายสํสคฺคาปตฺติํ วา อาปชฺชติฯ ชีวิตพฺรหฺมจริยานํ วา อนฺตราโย โหติ, เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติฯ วุตฺตปฺปการอนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ โพธิทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ สงฺฆทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ สเจ ปน อโนฺตคาเม มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ กโรเนฺตสุ มนุเสฺสสุ วุตฺตปฺปกาเรเนว ชนสนฺนิปาโต เจว อนฺตราโย จ โหติ, เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติฯ อนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ มหาปริสปริวารานํ เถรานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ
Tasmiṃ pana gamane sappāyāsappāyaṃ pariggahetvā sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Seyyathidaṃ – cetiyadassanaṃ tāva sātthakaṃ, sace pana cetiyassa mahāpūjāya dasadvādasayojanantare parisā sannipatanti, attano vibhavānurūpā itthiyopi purisāpi alaṅkatapaṭiyattā cittakammarūpakāni viya sañcaranti. Tatra cassa iṭṭhe ārammaṇe lobho hoti, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhane moho uppajjati, kāyasaṃsaggāpattiṃ vā āpajjati. Jīvitabrahmacariyānaṃ vā antarāyo hoti, evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti. Vuttappakāraantarāyābhāve sappāyaṃ. Bodhidassanepi eseva nayo. Saṅghadassanampi sātthaṃ. Sace pana antogāme mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sabbarattiṃ dhammassavanaṃ karontesu manussesu vuttappakāreneva janasannipāto ceva antarāyo ca hoti, evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti. Antarāyābhāve sappāyaṃ. Mahāparisaparivārānaṃ therānaṃ dassanepi eseva nayo.
อสุภทสฺสนมฺปิ สาตฺถํ, ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทหรภิกฺขุ สามเณรํ คเหตฺวา ทนฺตกฎฺฐตฺถาย คโตฯ สามเณโร มคฺคา โอกฺกมิตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต อสุภํ ทิสฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตีณิ ผลานิ สจฺฉิกตฺวา อุปริมคฺคตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทหโร ตํ อปสฺสโนฺต สามเณราติ ปโกฺกสิฯ โส ‘มยา ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุนา สทฺธิํ เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพาฯ อญฺญสฺมิมฺปิ ทิวเส อุปริ วิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’ติ จิเนฺตตฺวา กิํ, ภเนฺตติ ปฎิวจนมทาสิฯ ‘เอหี’ติ จ วุเตฺต เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวา, ‘ภเนฺต, อิมินา ตาว มเคฺคเนว คนฺตฺวา มยา ฐิโตกาเส มุหุตฺตํ ปุรตฺถาภิมุโข ฐตฺวา โอโลเกถา’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา เตน ปตฺตวิเสสเมว ปาปุณิฯ เอวํ เอกํ อสุภํ ทฺวินฺนํ ชนานํ อตฺถาย ชาตํฯ เอวํ สาตฺถมฺปิ ปเนตํ ปุริสสฺส มาตุคามาสุภํ อสปฺปายํ, มาตุคามสฺส จ ปุริสาสุภํ อสปฺปายํ, สภาคเมว สปฺปายนฺติ เอวํ สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ นามฯ
Asubhadassanampi sātthaṃ, tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu – eko kira daharabhikkhu sāmaṇeraṃ gahetvā dantakaṭṭhatthāya gato. Sāmaṇero maggā okkamitvā purato gacchanto asubhaṃ disvā paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasanto tīṇi phalāni sacchikatvā uparimaggatthāya kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā aṭṭhāsi. Daharo taṃ apassanto sāmaṇerāti pakkosi. So ‘mayā pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhunā saddhiṃ dve kathā nāma na kathitapubbā. Aññasmimpi divase upari visesaṃ nibbattessāmī’ti cintetvā kiṃ, bhanteti paṭivacanamadāsi. ‘Ehī’ti ca vutte ekavacaneneva āgantvā, ‘bhante, iminā tāva maggeneva gantvā mayā ṭhitokāse muhuttaṃ puratthābhimukho ṭhatvā olokethā’ti āha. So tathā katvā tena pattavisesameva pāpuṇi. Evaṃ ekaṃ asubhaṃ dvinnaṃ janānaṃ atthāya jātaṃ. Evaṃ sātthampi panetaṃ purisassa mātugāmāsubhaṃ asappāyaṃ, mātugāmassa ca purisāsubhaṃ asappāyaṃ, sabhāgameva sappāyanti evaṃ sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ nāma.
เอวํ ปริคฺคหิตสาตฺถกสปฺปายสฺส ปน อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจรํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขาจารโคจเร ตํ คเหตฺวาว คมนํ โคจรสมฺปชญฺญํ นามฯ ตสฺสาวิภาวนตฺถํ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํ –
Evaṃ pariggahitasātthakasappāyassa pana aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu attano cittaruciyaṃ kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocaraṃ uggahetvā bhikkhācāragocare taṃ gahetvāva gamanaṃ gocarasampajaññaṃ nāma. Tassāvibhāvanatthaṃ idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ –
อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ, น ปจฺจาหรติ; เอกโจฺจ ปจฺจาหรติ, น หรติ; เอกโจฺจ ปน เนว หรติ, น ปจฺจาหรติ; เอกโจฺจ หรติ จ, ปจฺจาหรติ จาติฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย จ อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา ตถา รตฺติยา ปฐมยาเม, มชฺฌิมยาเม เสยฺยํ กเปฺปตฺวา ปจฺฉิมยาเมปิ นิสชฺชจงฺกเมหิ วีตินาเมตฺวา ปเคว เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา, ปานียํ ปริโภชนียํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อาจริยุปชฺฌายวตฺตาทีนิ สพฺพานิ ขนฺธกวตฺตานิ สมาทาย วตฺตติฯ โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา เทฺว ตโย ปลฺลเงฺก อุสุมํ คาหาเปโนฺต กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตฺวา ภิกฺขาจารเวลายํ อุฎฺฐหิตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ปตฺตจีวรมาทาย เสนาสนโต นิกฺขมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา, สเจ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ โหติ, ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว เจติยงฺคณํ ปวิสติฯ อญฺญํ เจ กมฺมฎฺฐานํ โหติ, โสปานมูเล ฐตฺวา หเตฺถน คหิตภณฺฑํ วิย ตํ ฐเปตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา เจติยงฺคณํ อารุยฺห, มหนฺตํ เจติยํ เจ, ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ ขุทฺทกํ เจติยํ เจ, ตเถว ปทกฺขิณํ กตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ เจติยํ วนฺทิตฺวา โพธิยงฺคณํ ปเตฺตนาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจาการํ ทเสฺสตฺวา โพธิ วนฺทิตพฺพาฯ โส เอวํ เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา ปฎิสามิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปฎิสามิตภณฺฑกํ หเตฺถน คณฺหโนฺต วิย นิกฺขิตฺตกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามสมีเป กมฺมฎฺฐานสีเสเนว จีวรํ ปารุปิตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ อถ นํ มนุสฺสา ทิสฺวา อโยฺย โน อาคโตติ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนสาลาย วา เคเห วา นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ยาว ภตฺตํ น นิฎฺฐาติ, ตาว ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา ปุรโต เต นิสีทิตฺวา ปญฺหํ วา ปุจฺฉนฺติ, ธมฺมํ วา โสตุกามา โหนฺติฯ สเจปิ น กถาเปนฺติ, ชนสงฺคหตฺถํ ธมฺมกถา นาม กาตพฺพา เยวาติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติฯ ธมฺมกถา หิ กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิ, ตสฺมา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ธมฺมกถํ กเถตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา นิวตฺติยมาเนหิปิ มนุเสฺสหิ อนุคโตว คามโต นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ เต นิวเตฺตตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชติฯ
Idhekacco bhikkhu harati, na paccāharati; ekacco paccāharati, na harati; ekacco pana neva harati, na paccāharati; ekacco harati ca, paccāharati cāti. Tattha yo bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya ca āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetvā tathā rattiyā paṭhamayāme, majjhimayāme seyyaṃ kappetvā pacchimayāmepi nisajjacaṅkamehi vītināmetvā pageva cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā bodhirukkhe udakaṃ āsiñcitvā, pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paccupaṭṭhapetvā ācariyupajjhāyavattādīni sabbāni khandhakavattāni samādāya vattati. So sarīraparikammaṃ katvā senāsanaṃ pavisitvā dve tayo pallaṅke usumaṃ gāhāpento kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitvā bhikkhācāravelāyaṃ uṭṭhahitvā kammaṭṭhānasīseneva pattacīvaramādāya senāsanato nikkhamitvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova cetiyaṅgaṇaṃ gantvā, sace buddhānussatikammaṭṭhānaṃ hoti, taṃ avissajjetvāva cetiyaṅgaṇaṃ pavisati. Aññaṃ ce kammaṭṭhānaṃ hoti, sopānamūle ṭhatvā hatthena gahitabhaṇḍaṃ viya taṃ ṭhapetvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā cetiyaṅgaṇaṃ āruyha, mahantaṃ cetiyaṃ ce, tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditabbaṃ. Khuddakaṃ cetiyaṃ ce, tatheva padakkhiṇaṃ katvā aṭṭhasu ṭhānesu vanditabbaṃ. Cetiyaṃ vanditvā bodhiyaṅgaṇaṃ pattenāpi buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccākāraṃ dassetvā bodhi vanditabbā. So evaṃ cetiyañca bodhiñca vanditvā paṭisāmitaṭṭhānaṃ gantvā paṭisāmitabhaṇḍakaṃ hatthena gaṇhanto viya nikkhittakammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmasamīpe kammaṭṭhānasīseneva cīvaraṃ pārupitvā gāmaṃ piṇḍāya pavisati. Atha naṃ manussā disvā ayyo no āgatoti paccuggantvā pattaṃ gahetvā āsanasālāya vā gehe vā nisīdāpetvā yāguṃ datvā yāva bhattaṃ na niṭṭhāti, tāva pāde dhovitvā telena makkhetvā purato te nisīditvā pañhaṃ vā pucchanti, dhammaṃ vā sotukāmā honti. Sacepi na kathāpenti, janasaṅgahatthaṃ dhammakathā nāma kātabbā yevāti aṭṭhakathācariyā vadanti. Dhammakathā hi kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi, tasmā kammaṭṭhānasīseneva dhammakathaṃ kathetvā kammaṭṭhānasīseneva āhāraṃ paribhuñjitvā anumodanaṃ katvā nivattiyamānehipi manussehi anugatova gāmato nikkhamitvā tattha te nivattetvā maggaṃ paṭipajjati.
อถ นํ ปุเรตรํ นิกฺขมิตฺวา พหิคาเม กตภตฺตกิจฺจา สามเณรทหรภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรมสฺส คณฺหนฺติฯ โปราณกภิกฺขู กิร อมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาจริโยติ น มุขํ โอโลเกตฺวา วตฺตํ กโรนฺติ, สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนว กโรนฺติฯ เต ตํ ปุจฺฉนฺติ – ‘‘ภเนฺต, เอเต มนุสฺสา ตุมฺหากํ กิํ โหนฺติ, มาติปกฺขโต สมฺพนฺธา ปิติปกฺขโต’’ติ? กิํ ทิสฺวา ปุจฺฉถาติ? ตุเมฺหสุ เอเตสํ เปมํ พหุมานนฺติฯ อาวุโส, ยํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรํ, ตํ เอเต อมฺหากํ กโรนฺติ, ปตฺตจีวรมฺปิ โน เอเตสํ สนฺตกเมว, เอเตสํ อานุภาเวน เนว ภเย ภยํ, น ฉาตเก ฉาตกํ ชานามฯ อีทิสา นาม อมฺหากํ อุปการิโน นตฺถีติ เตสํ คุเณ กเถโนฺต คจฺฉติฯ อยํ วุจฺจติ หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Atha naṃ puretaraṃ nikkhamitvā bahigāme katabhattakiccā sāmaṇeradaharabhikkhū disvā paccuggantvā pattacīvaramassa gaṇhanti. Porāṇakabhikkhū kira amhākaṃ upajjhāyo ācariyoti na mukhaṃ oloketvā vattaṃ karonti, sampattaparicchedeneva karonti. Te taṃ pucchanti – ‘‘bhante, ete manussā tumhākaṃ kiṃ honti, mātipakkhato sambandhā pitipakkhato’’ti? Kiṃ disvā pucchathāti? Tumhesu etesaṃ pemaṃ bahumānanti. Āvuso, yaṃ mātāpitūhipi dukkaraṃ, taṃ ete amhākaṃ karonti, pattacīvarampi no etesaṃ santakameva, etesaṃ ānubhāvena neva bhaye bhayaṃ, na chātake chātakaṃ jānāma. Īdisā nāma amhākaṃ upakārino natthīti tesaṃ guṇe kathento gacchati. Ayaṃ vuccati harati na paccāharatīti.
ยสฺส ปน ปเคว วุตฺตปฺปการํ วตฺตปฎิปตฺติํ กโรนฺตสฺส กมฺมชเตโชธาตุ ปชฺชลติ, อนุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อุปาทินฺนกํ คณฺหาติ, สรีรโต เสทา มุญฺจนฺติ, กมฺมฎฺฐานํ วีถิํ นาโรหติ, โส ปเคว ปตฺตจีวรมาทาย เวคสา เจติยํ วนฺทิตฺวา โครูปานํ นิกฺขมนเวลายเมว คามํ ยาคุภิกฺขาย ปวิสิตฺวา ยาคุํ ลภิตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา ปิวติ, อถสฺส ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อโชฺฌหรณมเตฺตเนว กมฺมชเตโชธาตุ อุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อนุปาทินฺนกํ คณฺหาติ, ฆฎสเตน นฺหาโต วิย เตโชธาตุ ปริฬาหนิพฺพานํ ปตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน ยาคุํ ปริภุญฺชิตฺวา ปตฺตญฺจ มุขญฺจ โธวิตฺวา อนฺตราภเตฺต กมฺมฎฺฐานํ มนสิกตฺวา อวเสสฎฺฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน อาหารญฺจ ปริภุญฺชิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย โปงฺขานุโปงฺขํ อุปฎฺฐหมานํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อาคจฺฉติ, อยํ วุจฺจติ ปจฺจาหรติ น หรตีติฯ เอทิสา จ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา พุทฺธสาสเน อรหตฺตปฺปตฺตา นาม คณนปถํ วีติวตฺตาฯ สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลายํ วา น ตํ อาสนมตฺถิ, ยตฺถ ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตา ภิกฺขู นตฺถีติฯ
Yassa pana pageva vuttappakāraṃ vattapaṭipattiṃ karontassa kammajatejodhātu pajjalati, anupādinnakaṃ muñcitvā upādinnakaṃ gaṇhāti, sarīrato sedā muñcanti, kammaṭṭhānaṃ vīthiṃ nārohati, so pageva pattacīvaramādāya vegasā cetiyaṃ vanditvā gorūpānaṃ nikkhamanavelāyameva gāmaṃ yāgubhikkhāya pavisitvā yāguṃ labhitvā āsanasālaṃ gantvā pivati, athassa dvattikkhattuṃ ajjhoharaṇamatteneva kammajatejodhātu upādinnakaṃ muñcitvā anupādinnakaṃ gaṇhāti, ghaṭasatena nhāto viya tejodhātu pariḷāhanibbānaṃ patvā kammaṭṭhānasīsena yāguṃ paribhuñjitvā pattañca mukhañca dhovitvā antarābhatte kammaṭṭhānaṃ manasikatvā avasesaṭṭhāne piṇḍāya caritvā kammaṭṭhānasīsena āhārañca paribhuñjitvā tato paṭṭhāya poṅkhānupoṅkhaṃ upaṭṭhahamānaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā āgacchati, ayaṃ vuccati paccāharatina haratīti. Edisā ca bhikkhū yāguṃ pivitvā vipassanaṃ ārabhitvā buddhasāsane arahattappattā nāma gaṇanapathaṃ vītivattā. Sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāyaṃ vā na taṃ āsanamatthi, yattha yāguṃ pivitvā arahattappattā bhikkhū natthīti.
โย ปน ปมาทวิหารี โหติ, นิกฺขิตฺตธุโร สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตขีลวินิพนฺธจิโตฺต วิหรโนฺต – ‘‘กมฺมฎฺฐานํ นาม อตฺถี’’ติ สญฺญมฺปิ อกตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา อนนุโลมิเกน คิหิสํสเคฺคน สํสโฎฺฐ จริตฺวา จ ภุญฺชิตฺวา จ ตุโจฺฉ นิกฺขมติ, อยํ วุจฺจติ เนว หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Yo pana pamādavihārī hoti, nikkhittadhuro sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetokhīlavinibandhacitto viharanto – ‘‘kammaṭṭhānaṃ nāma atthī’’ti saññampi akatvā gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā ananulomikena gihisaṃsaggena saṃsaṭṭho caritvā ca bhuñjitvā ca tuccho nikkhamati, ayaṃ vuccati neva harati na paccāharatīti.
โย ปนายํ – ‘‘หรติ จ ปจฺจาหรติ จา’’ติ วุโตฺต, โส คตปจฺจาคตวตฺตวเสเนว เวทิตโพฺพฯ อตฺตกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ, ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฎา, น ภยฎฺฎา, น ชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา, ทุกฺขา มุจฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตา, ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถ, ตถา ฐาเน, นิสชฺชาย, สยเน อุปฺปนฺนกิเลสํ สยเนว นิคฺคณฺหถา’’ติฯ
Yo panāyaṃ – ‘‘harati ca paccāharati cā’’ti vutto, so gatapaccāgatavattavaseneva veditabbo. Attakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti, ‘‘āvuso, tumhe na iṇaṭṭā, na bhayaṭṭā, na jīvikāpakatā pabbajitā, dukkhā muccitukāmā panettha pabbajitā, tasmā gamane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhatha, tathā ṭhāne, nisajjāya, sayane uppannakilesaṃ sayaneva niggaṇhathā’’ti.
เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติ, ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติ, อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ โส ‘‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนวิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ตเตฺถว อริยภูมิํ โอกฺกมติ; ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ นิสีทตีติ โสเยว นโยฯ อริยภูมิํ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติ, น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติ, อุทฺธรติ เจ, ปฎินิวตฺติตฺวา ปุริมปเทสํเยว เอติฯ อาลินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิยฯ
Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti, tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati, athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati. So ‘‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannavitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā tattheva ariyabhūmiṃ okkamati; tathā asakkonto nisīdati. Athassa pacchato āgacchantopi nisīdatīti soyeva nayo. Ariyabhūmiṃ okkamituṃ asakkontopi taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati, na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati, uddharati ce, paṭinivattitvā purimapadesaṃyeva eti. Ālindakavāsī mahāphussadevatthero viya.
โส กิร เอกูนวีสติวสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต เอว วิหาสิ, มนุสฺสาปิ อทฺทสํสุ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ จ กโรนฺตา เถรํ ตถาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติ, กินฺนุ โข มคฺคมูโฬฺห, อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุตฺตจิเตฺตเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิ, อรหตฺตปฺปตฺตทิวเส จสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อคมํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสี มหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ – ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิ, กิํ โส โอภาโส’’ติ? เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ, มณิโอภาโสปีติ เอวมาทิมาหฯ ตโต ‘ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺห’ติ นิพโทฺธ ‘อามา’ติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิฯ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย จฯ
So kira ekūnavīsativassāni gatapaccāgatavattaṃ pūrento eva vihāsi, manussāpi addasaṃsu antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni ca karontā theraṃ tathāgacchantaṃ disvā – ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati, kinnu kho maggamūḷho, udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayuttacitteneva samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi, arahattappattadivase cassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi. Cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsī mahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi – ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi, kiṃ so obhāso’’ti? Thero vikkhepaṃ karonto obhāso nāma dīpobhāsopi hoti, maṇiobhāsopīti evamādimāha. Tato ‘paṭicchādetha tumhe’ti nibaddho ‘āmā’ti paṭijānitvā ārocesi. Kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya ca.
โสปิ กิร คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต – ปฐมํ ตาว ภควโต มหาปธานํ ปูเชสฺสามีติ สตฺตวสฺสานิ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาสิฯ ปุน โสฬสวสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต, วิยุเตฺตน อุทฺธเฎ ปฎินิวเตฺตโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา ‘‘คาวี นุ ปพฺพชิโต นู’’ติ อาสงฺกนียปเทเส ฐตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา กจฺฉกนฺตรโต อุทเกน ปตฺตํ โธวิตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กโรติฯ กิํ การณา? มา เม ภิกฺขํ ทาตุํ วา วนฺทิตุํ วา อาคเต มนุเสฺส ‘ทีฆายุกา โหถา’ติ วจนมเตฺตนาปิ กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสีติฯ ‘‘อชฺช, ภเนฺต, กติมี’’ติ ทิวสํ วา ภิกฺขุคณนํ วา ปญฺหํ วา ปุจฺฉิโต ปน อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจติฯ สเจ ทิวสาทีนิ ปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลาย คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวาว ยาติฯ
Sopi kira gatapaccāgatavattaṃ pūrento – paṭhamaṃ tāva bhagavato mahāpadhānaṃ pūjessāmīti sattavassāni ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāsi. Puna soḷasavassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. So kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto, viyuttena uddhaṭe paṭinivattento gāmasamīpaṃ gantvā ‘‘gāvī nu pabbajito nū’’ti āsaṅkanīyapadese ṭhatvā cīvaraṃ pārupitvā kacchakantarato udakena pattaṃ dhovitvā udakagaṇḍūsaṃ karoti. Kiṃ kāraṇā? Mā me bhikkhaṃ dātuṃ vā vandituṃ vā āgate manusse ‘dīghāyukā hothā’ti vacanamattenāpi kammaṭṭhānavikkhepo ahosīti. ‘‘Ajja, bhante, katimī’’ti divasaṃ vā bhikkhugaṇanaṃ vā pañhaṃ vā pucchito pana udakaṃ gilitvā āroceti. Sace divasādīni pucchakā na honti, nikkhamanavelāya gāmadvāre niṭṭhubhitvāva yāti.
กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ปญฺญาสภิกฺขู วิย จฯ เต กิร อาสฬฺหิปุณฺณมายํ กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อญฺญมญฺญํ นาลปิสฺสามา’’ติ, คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุฯ ทิวสาทีสุ ปุจฺฉิเตสุ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนํ ทิสฺวา ชานิํสุ – ‘‘อเชฺชโก อาคโต, อชฺช เทฺว’’ติฯ เอวญฺจ จิเนฺตสุํ – ‘‘กินฺนุ โข เอเต อเมฺหหิเยว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ, อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิฯ สเจ อญฺญมญฺญมฺปิ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติฯ เอถ เน อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’’ติ, สเพฺพ วิหารํ คนฺตฺวา ปญฺญาสาย ภิกฺขูสุ เทฺวปิ ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต โย เตสุ จกฺขุมา ปุริโส, โส อาห – ‘‘น โภ กลหการกานํ วสโนกาโส อีทิโส โหติ, สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณโพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สูปฎฺฐปิตํ ปานียํ ปริโภชนีย’’นฺติ, เต ตโตว นิวตฺตาฯ เตปิ ภิกฺขู อโนฺต เตมาเสเยว อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ
Kalambatitthavihāre vassūpagatā paññāsabhikkhū viya ca. Te kira āsaḷhipuṇṇamāyaṃ katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘arahattaṃ appatvā aññamaññaṃ nālapissāmā’’ti, gāmañca piṇḍāya pavisantā udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu. Divasādīsu pucchitesu vuttanayeneva paṭipajjiṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṃ disvā jāniṃsu – ‘‘ajjeko āgato, ajja dve’’ti. Evañca cintesuṃ – ‘‘kinnu kho ete amhehiyeva saddhiṃ na sallapanti, udāhu aññamaññampi. Sace aññamaññampi na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti. Etha ne aññamaññaṃ khamāpessāmā’’ti, sabbe vihāraṃ gantvā paññāsāya bhikkhūsu dvepi bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato yo tesu cakkhumā puriso, so āha – ‘‘na bho kalahakārakānaṃ vasanokāso īdiso hoti, susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, sūpaṭṭhapitaṃ pānīyaṃ paribhojanīya’’nti, te tatova nivattā. Tepi bhikkhū anto temāseyeva arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.
เอวํ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย, กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา, ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ จ ปิณฺฑาย จรมาโน น ตุริตตุริโต วิย ชเวน คจฺฉติฯ น หิ ชเวน ปิณฺฑปาติยธุตงฺคํ นาม กิญฺจิ อตฺถิฯ วิสมภูมิภาคปฺปตฺตํ ปน อุทกสกฎํ วิย นิจฺจโล หุตฺวา คจฺฉติฯ อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ทาตุกามํ วา อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตฺวา ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ ปฎิลภิตฺวา อาทาย อโนฺตคาเม วา พหิคาเม วา วิหารเมว วา อาคนฺตฺวา ยถา ผาสุเก ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา อกฺขพฺภญฺชน – วณเลปนปุตฺตมํสูปมวเสน ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย…เป.… ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ยถา ปุเรภตฺตํ, เอวํ ปจฺฉาภตฺตํ ปุริมยามํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานเมว มนสิ กโรติ, อยํ วุจฺจติ หรติ จ ปจฺจาหรติ จาติฯ
Evaṃ kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya, kalambatitthavihāre vassūpagatabhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ gantvā udakagaṇḍūsaṃ katvā vīthiyo sallakkhetvā, yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha ca piṇḍāya caramāno na turitaturito viya javena gacchati. Na hi javena piṇḍapātiyadhutaṅgaṃ nāma kiñci atthi. Visamabhūmibhāgappattaṃ pana udakasakaṭaṃ viya niccalo hutvā gacchati. Anugharaṃ paviṭṭho ca dātukāmaṃ vā adātukāmaṃ vā sallakkhetvā tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ paṭilabhitvā ādāya antogāme vā bahigāme vā vihārameva vā āgantvā yathā phāsuke patirūpe okāse nisīditvā kammaṭṭhānaṃ manasikaronto āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā akkhabbhañjana – vaṇalepanaputtamaṃsūpamavasena paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti, neva davāya na madāya na maṇḍanāya na vibhūsanāya…pe… bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā muhuttaṃ bhattakilamathaṃ paṭippassambhetvā yathā purebhattaṃ, evaṃ pacchābhattaṃ purimayāmaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānameva manasi karoti, ayaṃ vuccati harati ca paccāharati cāti.
อิทํ ปน หรณปจฺจาหรณสงฺขาตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ, อถ มชฺฌิมวเย; โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ, อถ มรณสมเย; โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ, อถ เทวปุโตฺต หุตฺวา; โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ, อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ นิพฺพโตฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติฯ โน เจ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ โหติ; เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย ทารุจีริโย มหาปโญฺญ วา, เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺต มหิทฺธิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร มหาโมคฺคลฺลาโน ธุตวาโท วา, เสยฺยถาปิ เถโร มหากสฺสโป ทิพฺพจกฺขุโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร อนุรุโทฺธ วินยธโร วา, เสยฺยถาปิ เถโร อุปาลิ ธมฺมกถิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต อารญฺญิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร เรวโต พหุสฺสุโต วา, เสยฺยถาปิ เถโร อานโนฺท ภิกฺขากาโม วา, เสยฺยถาปิ เถโร ราหุโล พุทฺธปุโตฺตติฯ อิติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ยฺวายํ หรติ จ ปจฺจาหรติ จ, ตสฺส โคจรสมฺปชญฺญํ สิขาปตฺตํ โหติฯ
Idaṃ pana haraṇapaccāharaṇasaṅkhātaṃ gatapaccāgatavattaṃ pūrento yadi upanissayasampanno hoti, paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti. No ce paṭhamavaye pāpuṇāti, atha majjhimavaye; no ce majjhimavaye pāpuṇāti, atha maraṇasamaye; no ce maraṇasamaye pāpuṇāti, atha devaputto hutvā; no ce devaputto hutvā pāpuṇāti, anuppanne buddhe nibbatto paccekabodhiṃ sacchikaroti. No ce paccekabodhiṃ sacchikaroti, atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño hoti; seyyathāpi thero bāhiyo dārucīriyo mahāpañño vā, seyyathāpi thero sāriputto mahiddhiko vā, seyyathāpi thero mahāmoggallāno dhutavādo vā, seyyathāpi thero mahākassapo dibbacakkhuko vā, seyyathāpi thero anuruddho vinayadharo vā, seyyathāpi thero upāli dhammakathiko vā, seyyathāpi thero puṇṇo mantāṇiputto āraññiko vā, seyyathāpi thero revato bahussuto vā, seyyathāpi thero ānando bhikkhākāmo vā, seyyathāpi thero rāhulo buddhaputtoti. Iti imasmiṃ catukke yvāyaṃ harati ca paccāharati ca, tassa gocarasampajaññaṃ sikhāpattaṃ hoti.
อภิกฺกมาทีสุ ปน อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ, ตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อิธ ภิกฺขุ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา ยถา อนฺธพาลปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ – ‘‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา, ‘‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติ, ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต ‘‘อภิกฺกมามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิสงฺฆาโต อภิกฺกมติฯ ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย; ตถา อติหรณวีติหรเณสุฯ โวสฺสชฺชเน เตโชธาตุ วาโยธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา พลวติโย, ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุชฺฌเนสุฯ ตตฺถ อุทฺธรเณ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา อติหรณํ น ปาปุณนฺติ, ตถา อติหรเณ ปวตฺตา วีติหรณํ, วีติหรเณ ปวตฺตา โวสฺสชฺชนํ, โวสฺสชฺชเน ปวตฺตา สนฺนิเกฺขปนํ, สนฺนิเกฺขปเน ปวตฺตา สนฺนิรุชฺฌนํ น ปาปุณนฺติฯ ตตฺถ ตเตฺถว ปพฺพํ ปพฺพํ สนฺธิ สนฺธิ โอธิ โอธิ หุตฺวา ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลานิ วิย ปฎปฎายนฺตา ภิชฺชนฺติฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ, กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมนํ? ปรมตฺถโต หิ ธาตูนํเยว คมนํ, ธาตูนํ ฐานํ, ธาตูนํ นิสชฺชนํ, ธาตูนํ สยนํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ โกฎฺฐาเส สทฺธิํ รูเปนฯ
Abhikkamādīsu pana asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ, taṃ evaṃ veditabbaṃ – idha bhikkhu abhikkamanto vā paṭikkamanto vā yathā andhabālaputhujjanā abhikkamādīsu – ‘‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’’ti vā, ‘‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’’ti vā sammuyhanti, tathā asammuyhanto ‘‘abhikkamāmī’’ti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhisaṅghāto abhikkamati. Tassevaṃ abhikkamato ekekapāduddharaṇe pathavīdhātu āpodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo; tathā atiharaṇavītiharaṇesu. Vossajjane tejodhātu vāyodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā balavatiyo, tathā sannikkhepanasannirujjhanesu. Tattha uddharaṇe pavattā rūpārūpadhammā atiharaṇaṃ na pāpuṇanti, tathā atiharaṇe pavattā vītiharaṇaṃ, vītiharaṇe pavattā vossajjanaṃ, vossajjane pavattā sannikkhepanaṃ, sannikkhepane pavattā sannirujjhanaṃ na pāpuṇanti. Tattha tattheva pabbaṃ pabbaṃ sandhi sandhi odhi odhi hutvā tattakapāle pakkhittatilāni viya paṭapaṭāyantā bhijjanti. Tattha ko eko abhikkamati, kassa vā ekassa abhikkamanaṃ? Paramatthato hi dhātūnaṃyeva gamanaṃ, dhātūnaṃ ṭhānaṃ, dhātūnaṃ nisajjanaṃ, dhātūnaṃ sayanaṃ. Tasmiṃ tasmiṃ koṭṭhāse saddhiṃ rūpena.
อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌติ;
Aññaṃ uppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhati;
อวีจิมนุสมฺพโนฺธ, นทีโสโตว วตฺตตีติฯ
Avīcimanusambandho, nadīsotova vattatīti.
เอวํ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามาติฯ
Evaṃ abhikkamādīsu asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ nāmāti.
นิฎฺฐิโต อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหตีติ ปทสฺส อโตฺถฯ
Niṭṭhito abhikkante paṭikkante sampajānakārī hotīti padassa attho.
อาโลกิเต วิโลกิเตติ เอตฺถ ปน อาโลกิตํ นาม ปุรโต เปกฺขณํฯ วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขณํฯ อญฺญานิปิ เหฎฺฐา อุปริ ปจฺฉโต เปกฺขณวเสน โอโลกิตอุโลฺลกิตาปโลกิตานิ นาม โหนฺติ, ตานิ อิธ น คหิตานิฯ สารุปฺปวเสน ปน อิมาเนว เทฺว คหิตานิ, อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวาติฯ
Ālokite vilokiteti ettha pana ālokitaṃ nāma purato pekkhaṇaṃ. Vilokitaṃ nāma anudisāpekkhaṇaṃ. Aññānipi heṭṭhā upari pacchato pekkhaṇavasena olokitaullokitāpalokitāni nāma honti, tāni idha na gahitāni. Sāruppavasena pana imāneva dve gahitāni, iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevāti.
ตตฺถ ‘‘อาโลเกสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อโนโลเกตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํ, ตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ กายสกฺขิํ กตฺวา เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ – ‘เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต น อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสวิสฺสนฺตี’ติฯ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา ทิสา…เป.… อุตฺตรา ทิสา…เป.… ทกฺขิณา ทิสา…เป.… อุทฺธํ…เป.… อโธ…เป.… อนุทิสา อนุวิโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อนุวิโลเกติ – ‘เอวํ เม อนุทิสํ อนุวิโลกยโต น อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสวิสฺสนฺตี’ติฯ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหตี’’ติฯ
Tattha ‘‘ālokessāmī’’ti citte uppanne cittavaseneva anoloketvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ, taṃ āyasmantaṃ nandaṃ kāyasakkhiṃ katvā veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘sace, bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi – ‘evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato na abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssavissantī’ti. Itiha tattha sampajāno hoti (a. ni. 8.9). Sace, bhikkhave, nandassa pacchimā disā…pe… uttarā disā…pe… dakkhiṇā disā…pe… uddhaṃ…pe… adho…pe… anudisā anuviloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando anudisaṃ anuviloketi – ‘evaṃ me anudisaṃ anuvilokayato na abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssavissantī’ti. Itiha tattha sampajāno hotī’’ti.
อปิ จ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตเจติยทสฺสนาทิวเสเนว สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพา, กมฺมฎฺฐานสฺส ปน อวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญํฯ ตสฺมา เอตฺถ ขนฺธธาตุอายตนกมฺมฎฺฐานิเกหิ อตฺตโน กมฺมฎฺฐานวเสเนว, กสิณาทิกมฺมฎฺฐานิเกหิ วา ปน กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาโลกนํ วิโลกนํ กาตพฺพํฯ อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม อาโลเกตา วา วิโลเกตา วา นตฺถิ, ‘อาโลเกสฺสามี’ติ ปน จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน เหฎฺฐิมํ อกฺขิทลํ อโธ สีทติ, อุปริมํ อุทฺธํ ลเงฺฆติฯ โกจิ ยนฺตเกน วิวรโนฺต นาม นตฺถิฯ ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาเธนฺตํ อุปฺปชฺชตีติ เอวํ ปชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามฯ อปิ จ มูลปริญฺญา อาคนฺตุกตาว กาลิกภาววเสน เปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ มูลปริญฺญาวเสน ตาว –
Api ca idhāpi pubbe vuttacetiyadassanādivaseneva sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā, kammaṭṭhānassa pana avijahanameva gocarasampajaññaṃ. Tasmā ettha khandhadhātuāyatanakammaṭṭhānikehi attano kammaṭṭhānavaseneva, kasiṇādikammaṭṭhānikehi vā pana kammaṭṭhānasīseneva ālokanaṃ vilokanaṃ kātabbaṃ. Abbhantare attā nāma āloketā vā viloketā vā natthi, ‘ālokessāmī’ti pana citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena heṭṭhimaṃ akkhidalaṃ adho sīdati, uparimaṃ uddhaṃ laṅgheti. Koci yantakena vivaranto nāma natthi. Tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhentaṃ uppajjatīti evaṃ pajānanaṃ panettha asammohasampajaññaṃ nāma. Api ca mūlapariññā āgantukatāva kālikabhāvavasena pettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Mūlapariññāvasena tāva –
ภวงฺคาวชฺชนเญฺจว, ทสฺสนํ สมฺปฎิจฺฉนํ;
Bhavaṅgāvajjanañceva, dassanaṃ sampaṭicchanaṃ;
สนฺตีรณํ โวฎฺฐพฺพนํ, ชวนํ ภวติ สตฺตมํฯ
Santīraṇaṃ voṭṭhabbanaṃ, javanaṃ bhavati sattamaṃ.
ตตฺถ ภวงฺคํ อุปปตฺติภวสฺส องฺคกิจฺจํ สาธยมานํ ปวตฺตติ, ตํ อาวเฎฺฎตฺวา กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา, ตํนิโรธา จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาธยมานํ, ตํนิโรธา วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ สาธยมานา, ตํนิโรธา วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ สาธยมานา, ตํนิโรธา กิริยมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา , ตํนิโรธา สตฺตกฺขตฺตุํ ชวนํ ชวติฯ ตตฺถ ปฐมชวเนปิ – ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ นาม น โหติฯ ทุติยชวเนปิ…เป.… สตฺตมชวเนปิฯ เอเตสุ ปน ยุทฺธมณฺฑเล โยเธสุ วิย เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสุ – ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนาทิวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ โหติฯ เอวํ ตาเวตฺถ มูลปริญฺญาวเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha bhavaṅgaṃ upapattibhavassa aṅgakiccaṃ sādhayamānaṃ pavattati, taṃ āvaṭṭetvā kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā, taṃnirodhā cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhayamānaṃ, taṃnirodhā vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ sādhayamānā, taṃnirodhā vipākamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ sādhayamānā, taṃnirodhā kiriyamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā , taṃnirodhā sattakkhattuṃ javanaṃ javati. Tattha paṭhamajavanepi – ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanadussanamuyhanavasena ālokitavilokitaṃ nāma na hoti. Dutiyajavanepi…pe… sattamajavanepi. Etesu pana yuddhamaṇḍale yodhesu viya heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesu – ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanādivasena ālokitavilokitaṃ hoti. Evaṃ tāvettha mūlapariññāvasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถมาคเต ภวงฺคจลนโต อุทฺธํ สกกิจฺจนิปฺผาทนวเสน อาวชฺชนาทีสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธสุ อวสาเน ชวนํ อุปฺปชฺชติ, ตํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนานํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาคนฺตุกปุริโส วิย โหติฯ ตสฺส ยถา ปรเคเห กิญฺจิ ยาจิตุํ ปวิฎฺฐสฺส อาคนฺตุกปุริสสฺส เคหสฺสามิเกสุ ตุณฺหีมาสิเนสุ อาณากรณํ น ยุตฺตํ, เอวํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาวชฺชนาทีสุปิ อรชฺชเนฺตสุ อทุสฺสเนฺตสุ อมุยฺหเนฺตสุ จ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนํ อยุตฺตนฺติ เอวํ อาคนฺตุกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthamāgate bhavaṅgacalanato uddhaṃ sakakiccanipphādanavasena āvajjanādīsu uppajjitvā niruddhesu avasāne javanaṃ uppajjati, taṃ pubbe uppannānaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āgantukapuriso viya hoti. Tassa yathā paragehe kiñci yācituṃ paviṭṭhassa āgantukapurisassa gehassāmikesu tuṇhīmāsinesu āṇākaraṇaṃ na yuttaṃ, evaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āvajjanādīsupi arajjantesu adussantesu amuyhantesu ca rajjanadussanamuyhanaṃ ayuttanti evaṃ āgantukabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ยานิ ปเนตานิ จกฺขุทฺวาเร โวฎฺฐพฺพนปริโยสานานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตานิ สทฺธิํ สมฺปยุตฺตธเมฺมหิ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, อญฺญมญฺญํ น ปสฺสนฺตีติ, อิตฺตรานิ ตาวกาลิกานิ โหนฺติฯ ตตฺถ ยถา เอกสฺมิํ ฆเร สเพฺพสุ มานุสเกสุ มเตสุ อวเสสสฺส เอกสฺส ตงฺขณเญฺญว มรณธมฺมสฺส น ยุตฺตา นจฺจคีตาทีสุ อภิรติ นามฯ เอวเมว เอกทฺวาเร สสมฺปยุเตฺตสุ อาวชฺชนาทีสุ ตตฺถ ตเตฺถว มเตสุ อวเสสสฺส ตงฺขเณเยว มรณธมฺมสฺส ชวนสฺสาปิ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อภิรติ นาม น ยุตฺตาติฯ เอวํ ตาวกาลิกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Yāni panetāni cakkhudvāre voṭṭhabbanapariyosānāni cittāni uppajjanti, tāni saddhiṃ sampayuttadhammehi tattha tattheva bhijjanti, aññamaññaṃ na passantīti, ittarāni tāvakālikāni honti. Tattha yathā ekasmiṃ ghare sabbesu mānusakesu matesu avasesassa ekassa taṅkhaṇaññeva maraṇadhammassa na yuttā naccagītādīsu abhirati nāma. Evameva ekadvāre sasampayuttesu āvajjanādīsu tattha tattheva matesu avasesassa taṅkhaṇeyeva maraṇadhammassa javanassāpi rajjanadussanamuyhanavasena abhirati nāma na yuttāti. Evaṃ tāvakālikabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิ จ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสน เปตํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ หิ จกฺขุ เจว รูปา จ รูปกฺขโนฺธ, ทสฺสนํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผสฺสาทิกา สงฺขารกฺขโนฺธฯ เอวเมเตสํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ?
Api ca khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasena petaṃ veditabbaṃ. Ettha hi cakkhu ceva rūpā ca rūpakkhandho, dassanaṃ viññāṇakkhandho, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phassādikā saṅkhārakkhandho. Evametesaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi?
ตถา จกฺขุ จกฺขายตนํ, รูปํ รูปายตนํ, ทสฺสนํ มนายตนํ, เวทนาทโย สมฺปยุตฺตธมฺมา ธมฺมายตนํฯ เอวเมเตสํ จตุนฺนํ อายตนานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ?
Tathā cakkhu cakkhāyatanaṃ, rūpaṃ rūpāyatanaṃ, dassanaṃ manāyatanaṃ, vedanādayo sampayuttadhammā dhammāyatanaṃ. Evametesaṃ catunnaṃ āyatanānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi?
ตถา จกฺขุ จกฺขุธาตุ, รูปํ รูปธาตุ, ทสฺสนํ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนาทโย ธมฺมา ธมฺมธาตุฯ เอวเมตาสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ?
Tathā cakkhu cakkhudhātu, rūpaṃ rūpadhātu, dassanaṃ cakkhuviññāṇadhātu, taṃsampayuttā vedanādayo dhammā dhammadhātu. Evametāsaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi?
ตถา จกฺขุ นิสฺสยปจฺจโย, รูปา อารมฺมณปจฺจโย, อาวชฺชนํ อนนฺตรสมนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตปจฺจโย , อาโลโก อุปนิสฺสยปจฺจโย, เวทนาทโย สหชาตปจฺจโยฯ เอวเมเตสํ ปจฺจยานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกตีติ? เอวเมตฺถ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนปิ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tathā cakkhu nissayapaccayo, rūpā ārammaṇapaccayo, āvajjanaṃ anantarasamanantarūpanissayanatthivigatapaccayo , āloko upanissayapaccayo, vedanādayo sahajātapaccayo. Evametesaṃ paccayānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketīti? Evamettha khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapi asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
สมิญฺชิเต ปสาริเตติ ปพฺพานํ สมิญฺชนปสารเณฯ ตตฺถ จิตฺตวเสเนว สมิญฺชนปสารณํ อกตฺวา หตฺถปาทานํ สมิญฺชนปสารณปจฺจยา อตฺถานตฺถํ ปริคฺคณฺหิตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ หตฺถปาเท อติจิรํ สมิเญฺชตฺวา วา ปสาเรตฺวา วา ฐิตสฺส ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคตํ น ลภติ, กมฺมฎฺฐานํ ปริปตติ, วิเสสํ นาธิคจฺฉติฯ กาเล สมิเญฺชนฺตสฺส กาเล ปสาเรนฺตสฺส ปน ตา เวทนา นุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ ผาติํ คจฺฉติ, วิเสสมธิคจฺฉตีติ , เอวํ อตฺถานตฺถปริคฺคณฺหนํ เวทิตพฺพํฯ
Samiñjite pasāriteti pabbānaṃ samiñjanapasāraṇe. Tattha cittavaseneva samiñjanapasāraṇaṃ akatvā hatthapādānaṃ samiñjanapasāraṇapaccayā atthānatthaṃ pariggaṇhitvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha hatthapāde aticiraṃ samiñjetvā vā pasāretvā vā ṭhitassa khaṇe khaṇe vedanā uppajjati, cittaṃ ekaggataṃ na labhati, kammaṭṭhānaṃ paripatati, visesaṃ nādhigacchati. Kāle samiñjentassa kāle pasārentassa pana tā vedanā nuppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ phātiṃ gacchati, visesamadhigacchatīti , evaṃ atthānatthapariggaṇhanaṃ veditabbaṃ.
อเตฺถ ปน สติปิ สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ ตตฺรายํ นโย –
Atthe pana satipi sappāyāsappāyaṃ pariggaṇhitvā sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Tatrāyaṃ nayo –
มหาเจติยงฺคเณ กิร ทหรภิกฺขู สชฺฌายํ คณฺหนฺติ, เตสํ ปิฎฺฐิปเสฺสสุ ทหรภิกฺขุนิโย ธมฺมํ สุณนฺติฯ ตเตฺรโก ทหโร หตฺถํ ปสาเรโนฺต กายสํสคฺคํ ปตฺวา เตเนว การเณน คิหี ชาโตฯ อปโร ภิกฺขุ ปาทํ ปสาเรโนฺต อคฺคิมฺหิ ปสาเรสิ, อฎฺฐิมาหจฺจ ปาโท ฌายิฯ อปโร วมฺมิเก ปสาเรสิ, โส อาสีวิเสน ฑโฎฺฐฯ อปโร จีวรกุฎิทณฺฑเก ปสาเรสิ, ตํ มณิสโปฺป ฑํสิฯ ตสฺมา เอวรูเป อสปฺปาเย อปสาเรตฺวา สปฺปาเย ปสาเรตพฺพํฯ อิทเมตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ
Mahācetiyaṅgaṇe kira daharabhikkhū sajjhāyaṃ gaṇhanti, tesaṃ piṭṭhipassesu daharabhikkhuniyo dhammaṃ suṇanti. Tatreko daharo hatthaṃ pasārento kāyasaṃsaggaṃ patvā teneva kāraṇena gihī jāto. Aparo bhikkhu pādaṃ pasārento aggimhi pasāresi, aṭṭhimāhacca pādo jhāyi. Aparo vammike pasāresi, so āsīvisena ḍaṭṭho. Aparo cīvarakuṭidaṇḍake pasāresi, taṃ maṇisappo ḍaṃsi. Tasmā evarūpe asappāye apasāretvā sappāye pasāretabbaṃ. Idamettha sappāyasampajaññaṃ.
โคจรสมฺปชญฺญํ ปน มหาเถรวตฺถุนา ทีเปตพฺพํ – มหาเถโร กิร ทิวาฐาเน นิสิโนฺน อเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ กถยมาโน สหสา หตฺถํ สมิเญฺชตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิเญฺชสิฯ ตํ อเนฺตวาสิกา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สหสา หตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิญฺชิยิตฺถา’’ติ? ยโต ปฎฺฐายาหํ, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตุํ อารโทฺธ, น เม กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา หโตฺถ สมิญฺชิตปุโพฺพ, อิทานิ ปน เม ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กถยมาเนน กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา สมิญฺชิโตฯ ตสฺมา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สมิเญฺชสินฺติฯ สาธุ , ภเนฺต, ภิกฺขุนา นาม เอวรูเปน ภวิตพฺพนฺติฯ เอวเมตฺถาปิ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Gocarasampajaññaṃ pana mahātheravatthunā dīpetabbaṃ – mahāthero kira divāṭhāne nisinno antevāsikehi saddhiṃ kathayamāno sahasā hatthaṃ samiñjetvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjesi. Taṃ antevāsikā pucchiṃsu – ‘‘kasmā, bhante, sahasā hatthaṃ samiñjitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjiyitthā’’ti? Yato paṭṭhāyāhaṃ, āvuso, kammaṭṭhānaṃ manasikātuṃ āraddho, na me kammaṭṭhānaṃ muñcitvā hattho samiñjitapubbo, idāni pana me tumhehi saddhiṃ kathayamānena kammaṭṭhānaṃ muñcitvā samiñjito. Tasmā puna yathāṭhāne ṭhapetvā samiñjesinti. Sādhu , bhante, bhikkhunā nāma evarūpena bhavitabbanti. Evametthāpi kammaṭṭhānāvijahanameva gocarasampajaññanti veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ สมิเญฺชโนฺต วา ปสาเรโนฺต วา นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน ปน สุตฺตากฑฺฒนวเสน ทารุยนฺตสฺส หตฺถปาทลจลนํ วิย สมิญฺชนปสารณํ โหตีติ เอวํ ปริชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci samiñjento vā pasārento vā natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphārena pana suttākaḍḍhanavasena dāruyantassa hatthapādalacalanaṃ viya samiñjanapasāraṇaṃ hotīti evaṃ parijānanaṃ panettha asammohasampajaññanti veditabbaṃ.
สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณติ เอตฺถ สงฺฆาฎิจีวรานํ นิวาสนปารุปนวเสน ปตฺตสฺส ภิกฺขาปฎิคฺคหณาทิวเสน ปริโภโค ธารณํ นามฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิจีวรธารเณ ตาว นิวาเสตฺวา วา ปารุปิตฺวา วา ปิณฺฑาย จรโต อามิสลาโภ สีตสฺส ปฎิฆาตายาติอาทินา นเยน ภควตา วุตฺตปฺปกาโรเยว จ อโตฺถ อโตฺถ นามฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Saṅghāṭipattacīvaradhāraṇeti ettha saṅghāṭicīvarānaṃ nivāsanapārupanavasena pattassa bhikkhāpaṭiggahaṇādivasena paribhogo dhāraṇaṃ nāma. Tattha saṅghāṭicīvaradhāraṇe tāva nivāsetvā vā pārupitvā vā piṇḍāya carato āmisalābho sītassa paṭighātāyātiādinā nayena bhagavatā vuttappakāroyeva ca attho attho nāma. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อุณฺหปกติกสฺส ปน ทุพฺพลสฺส จ จีวรํ สุขุมํ สปฺปายํ, สีตาลุกสฺส ฆนํ ทุปฎฺฎํฯ วิปรีตํ อสปฺปายํฯ ยสฺส กสฺสจิ ชิณฺณํ อสปฺปายเมว, อคฺคฬาทิทาเนน หิสฺส ตํ ปลิโพธกรํ โหติฯ ตถา ปฎฺฎุณฺณทุกูลาทิเภทํ โลภนียจีวรํฯ ตาทิสญฺหิ อรเญฺญ เอกกสฺส นิวาสนฺตรายกรํ ชีวิตนฺตรายกรญฺจาปิ โหติฯ นิปฺปริยาเยน ปน ยํ นิมิตฺตกมฺมาทิมิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ, ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ อสปฺปายํฯ วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uṇhapakatikassa pana dubbalassa ca cīvaraṃ sukhumaṃ sappāyaṃ, sītālukassa ghanaṃ dupaṭṭaṃ. Viparītaṃ asappāyaṃ. Yassa kassaci jiṇṇaṃ asappāyameva, aggaḷādidānena hissa taṃ palibodhakaraṃ hoti. Tathā paṭṭuṇṇadukūlādibhedaṃ lobhanīyacīvaraṃ. Tādisañhi araññe ekakassa nivāsantarāyakaraṃ jīvitantarāyakarañcāpi hoti. Nippariyāyena pana yaṃ nimittakammādimicchājīvavasena uppannaṃ, yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ asappāyaṃ. Viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ. Kammaṭṭhānāvijahanavaseneva gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ จีวรํ ปารุเปโนฺต นตฺถิ, วุตฺตปฺปกาเรน จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน จีวรปารุปนํ โหติฯ ตตฺถ จีวรมฺปิ อเจตนํ, กาโยปิ อเจตโนฯ จีวรํ น ชานาติ – ‘‘มยา กาโย ปารุปิโต’’ติฯ กาโยปิ น ชานาติ – ‘‘อหํ จีวเรน ปารุปิโต’’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ ปฎิจฺฉาเทนฺติ ปฎปิโลติกายโปตฺถกรูปปฎิจฺฉาทเน วิยฯ ตสฺมา เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสํฯ
Abbhantare attā nāma koci cīvaraṃ pārupento natthi, vuttappakārena cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana cīvarapārupanaṃ hoti. Tattha cīvarampi acetanaṃ, kāyopi acetano. Cīvaraṃ na jānāti – ‘‘mayā kāyo pārupito’’ti. Kāyopi na jānāti – ‘‘ahaṃ cīvarena pārupito’’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ paṭicchādenti paṭapilotikāyapotthakarūpapaṭicchādane viya. Tasmā neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassaṃ.
นาควมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ หิ เกจิ มาลาคนฺธธูมวตฺถาทีหิ สกฺการํ กโรนฺติ, เกจิ คูถมุตฺตกทฺทมทณฺฑสตฺถปฺปหาราทีหิ อสกฺการํฯ น เตหิ นาควมฺมิกรุกฺขาทโย โสมนสฺสํ วา โทมนสฺสํ วา กโรนฺติฯ เอวเมว เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ , น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสนฺติ, เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Nāgavammikacetiyarukkhādīsu hi keci mālāgandhadhūmavatthādīhi sakkāraṃ karonti, keci gūthamuttakaddamadaṇḍasatthappahārādīhi asakkāraṃ. Na tehi nāgavammikarukkhādayo somanassaṃ vā domanassaṃ vā karonti. Evameva neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ , na asundaraṃ labhitvā domanassanti, evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ปตฺตธารเณปิ ปตฺตํ สหสาว อคฺคเหตฺวา อิมํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จรมาโน ภิกฺขํ ลภิสฺสามีติ, เอวํ ปตฺตคฺคหณปจฺจยา ปฎิลภิตพฺพํ อตฺถวเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Pattadhāraṇepi pattaṃ sahasāva aggahetvā imaṃ gahetvā piṇḍāya caramāno bhikkhaṃ labhissāmīti, evaṃ pattaggahaṇapaccayā paṭilabhitabbaṃ atthavasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
กิสทุพฺพลสรีรสฺส ปน ครุปโตฺต อสปฺปาโย, ยสฺส กสฺสจิ จตุปญฺจคณฺฐิกาหโต ทุพฺพิโสธนีโย อสปฺปาโยวฯ ทุโทฺธตปโตฺตปิ น วฎฺฎติ, ตํ โธวนฺตเสฺสว จสฺส ปลิโพโธ โหติฯ มณิวณฺณปโตฺต ปน โลภนีโย, จีวเร วุตฺตนเยเนว อสปฺปาโย, นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ลโทฺธ ปน ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, อยํ เอกนฺตอสปฺปาโยวฯ วิปรีโต สปฺปาโยฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Kisadubbalasarīrassa pana garupatto asappāyo, yassa kassaci catupañcagaṇṭhikāhato dubbisodhanīyo asappāyova. Duddhotapattopi na vaṭṭati, taṃ dhovantasseva cassa palibodho hoti. Maṇivaṇṇapatto pana lobhanīyo, cīvare vuttanayeneva asappāyo, nimittakammādivasena laddho pana yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, ayaṃ ekantaasappāyova. Viparīto sappāyo. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ. Kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ปตฺตํ คณฺหโนฺต นตฺถิ, วุตฺตปฺปกาเรน จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสเนว ปตฺตคฺคหณํ นาม โหติฯ ตตฺถ ปโตฺตปิ อเจตโน, หตฺถาปิ อเจตนาฯ ปโตฺต น ชานาติ – ‘‘อหํ หเตฺถหิ คหิโต’’ติฯ หตฺถาปิ น ชานนฺติ – ‘‘อเมฺหหิ ปโตฺต คหิโต’’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ คณฺหนฺติ, สณฺฑาเสน อคฺคิวณฺณปตฺตคฺคหเณ วิยาติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci pattaṃ gaṇhanto natthi, vuttappakārena cittakiriyavāyodhātuvipphāravaseneva pattaggahaṇaṃ nāma hoti. Tattha pattopi acetano, hatthāpi acetanā. Patto na jānāti – ‘‘ahaṃ hatthehi gahito’’ti. Hatthāpi na jānanti – ‘‘amhehi patto gahito’’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ gaṇhanti, saṇḍāsena aggivaṇṇapattaggahaṇe viyāti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิ จ ยถา ฉินฺนหตฺถปาเท วณมุเขหิ ปคฺฆริตปุพฺพโลหิตกิมิกุเล นีลมกฺขิกสมฺปริกิเณฺณ อนาถสาลายํ นิปเนฺน อนาถมนุเสฺส ทิสฺวา, เย ทยาลุกา ปุริสา, เต เตสํ วณมตฺตโจฬกานิ เจว กปาลาทีหิ จ เภสชฺชานิ อุปนาเมนฺติฯ ตตฺถ โจฬกานิปิ เกสญฺจิ สณฺหานิ, เกสญฺจิ ถูลานิ ปาปุณนฺติฯ เภสชฺชกปาลกานิปิ เกสญฺจิ สุสณฺฐานานิ, เกสญฺจิ ทุสฺสณฺฐานานิ ปาปุณนฺติ, น เต ตตฺถ สุมนา วา ทุมฺมนา วา โหนฺติ ฯ วณปฎิจฺฉาทนมเตฺตเนว หิ โจฬเกน, เภสชฺชปฎิคฺคหณมเตฺตเนว จ กปาลเกน เตสํ อโตฺถฯ เอวเมว โย ภิกฺขุ วณโจฬกํ วิย จีวรํ, เภสชฺชกปาลกํ วิย จ ปตฺตํ, กปาเล เภสชฺชมิว จ ปเตฺต ลทฺธํ ภิกฺขํ สลฺลเกฺขติ, อยํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ อสโมฺมหสมฺปชเญฺญน อุตฺตมสมฺปชานการีติ เวทิตโพฺพฯ
Api ca yathā chinnahatthapāde vaṇamukhehi paggharitapubbalohitakimikule nīlamakkhikasamparikiṇṇe anāthasālāyaṃ nipanne anāthamanusse disvā, ye dayālukā purisā, te tesaṃ vaṇamattacoḷakāni ceva kapālādīhi ca bhesajjāni upanāmenti. Tattha coḷakānipi kesañci saṇhāni, kesañci thūlāni pāpuṇanti. Bhesajjakapālakānipi kesañci susaṇṭhānāni, kesañci dussaṇṭhānāni pāpuṇanti, na te tattha sumanā vā dummanā vā honti . Vaṇapaṭicchādanamatteneva hi coḷakena, bhesajjapaṭiggahaṇamatteneva ca kapālakena tesaṃ attho. Evameva yo bhikkhu vaṇacoḷakaṃ viya cīvaraṃ, bhesajjakapālakaṃ viya ca pattaṃ, kapāle bhesajjamiva ca patte laddhaṃ bhikkhaṃ sallakkheti, ayaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe asammohasampajaññena uttamasampajānakārīti veditabbo.
อสิตาทีสุ อสิเตติ ปิณฺฑปาตโภชเนฯ ปีเตติ ยาคุอาทิปาเนฯ ขายิเตติ ปิฎฺฐขชฺชาทิขาทเนฯ สายิเตติ มธุผาณิตาทิสายเนฯ ตตฺถ เนว ทวายาติอาทินา นเยน วุโตฺต อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถ อโตฺถ นามฯ ตเสฺสว วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Asitādīsu asiteti piṇḍapātabhojane. Pīteti yāguādipāne. Khāyiteti piṭṭhakhajjādikhādane. Sāyiteti madhuphāṇitādisāyane. Tattha neva davāyātiādinā nayena vutto aṭṭhavidhopi attho attho nāma. Tasseva vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ลูขปณีตติตฺตมธุรรสาทีสุ ปน เยน โภชเนน ยสฺส ผาสุ น โหติ, ตํ ตสฺส อสปฺปายํฯ ยํ ปน นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ปฎิลทฺธํ, ยญฺจสฺส ภุญฺชโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ เอกนฺตอสปฺปายเมว, วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Lūkhapaṇītatittamadhurarasādīsu pana yena bhojanena yassa phāsu na hoti, taṃ tassa asappāyaṃ. Yaṃ pana nimittakammādivasena paṭiladdhaṃ, yañcassa bhuñjato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ ekantaasappāyameva, viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ. Kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ภุญฺชโก นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปตฺตปฺปฎิคฺคหณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว หตฺถสฺส ปเตฺต โอตารณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปกรณํ อาโลปอุทฺธารณํ มุขวิวรณญฺจ โหติ, น โกจิ กุญฺจิกาย ยนฺตเกน วา หนุกฎฺฐีนิ วิวรติฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปสฺส มุเข ฐปนํ, อุปริทนฺตานํ มุสลกิจฺจสาธนํ, เหฎฺฐิมทนฺตานํ อุทุกฺขลกิจฺจสาธนํ, ชิวฺหาย หตฺถกิจฺจสาธนญฺจ โหติฯ อิติ ตตฺถ อคฺคชิวฺหาย ตนุกเขโฬ มูลชิวฺหาย พหลเขโฬ มเกฺขติฯ ตํ เหฎฺฐาทนฺตอุทุกฺขเล ชิวฺหาหตฺถปริวตฺตกํ เขโฬทเกน เตมิตํ อุปริทนฺตมุสลสญฺจุณฺณิตํ โกจิ กฎจฺฉุนา วา ทพฺพิยา วา อโนฺตปเวเสโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุยาว ปวิสติฯ ปวิฎฺฐํ ปวิฎฺฐํ โกจิ ปลาลสนฺถารํ กตฺวา ธาเรโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐติฯ ฐิตํ ฐิตํ โกจิ อุทฺธนํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ปจโนฺต นาม นตฺถิ, เตโชธาตุยาว ปจฺจติฯ ปกฺกํ ปกฺกํ โกจิ ทณฺฑเกน วา ยฎฺฐิยา วา พหิ นีหารโก นาม นตฺถิ, วาโยธาตุเยว นีหรติฯ อิติ วาโยธาตุ ปฎิหรติ จ, วีติหรติ จ, ธาเรติ จ, ปริวเตฺตติ จ, สญฺจุเณฺณติ จ, วิโสเสติ จ, นีหรติ จฯ ปถวีธาตุ ธาเรติ จ, ปริวเตฺตติ จ, สญฺจุเณฺณติ จ, วิโสเสติ จฯ อาโปธาตุ สิเนเหติ จ, อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลติฯ เตโชธาตุ อโนฺตปวิฎฺฐํ ปริปาเจติฯ อากาสธาตุ อญฺชโส โหติฯ วิญฺญาณธาตุ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคมนฺวาย อาภุชตีติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci bhuñjako natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pattappaṭiggahaṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva hatthassa patte otāraṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopakaraṇaṃ ālopauddhāraṇaṃ mukhavivaraṇañca hoti, na koci kuñcikāya yantakena vā hanukaṭṭhīni vivarati. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopassa mukhe ṭhapanaṃ, uparidantānaṃ musalakiccasādhanaṃ, heṭṭhimadantānaṃ udukkhalakiccasādhanaṃ, jivhāya hatthakiccasādhanañca hoti. Iti tattha aggajivhāya tanukakheḷo mūlajivhāya bahalakheḷo makkheti. Taṃ heṭṭhādantaudukkhale jivhāhatthaparivattakaṃ kheḷodakena temitaṃ uparidantamusalasañcuṇṇitaṃ koci kaṭacchunā vā dabbiyā vā antopavesento nāma natthi, vāyodhātuyāva pavisati. Paviṭṭhaṃ paviṭṭhaṃ koci palālasanthāraṃ katvā dhārento nāma natthi, vāyodhātuvaseneva tiṭṭhati. Ṭhitaṃ ṭhitaṃ koci uddhanaṃ katvā aggiṃ jāletvā pacanto nāma natthi, tejodhātuyāva paccati. Pakkaṃ pakkaṃ koci daṇḍakena vā yaṭṭhiyā vā bahi nīhārako nāma natthi, vāyodhātuyeva nīharati. Iti vāyodhātu paṭiharati ca, vītiharati ca, dhāreti ca, parivatteti ca, sañcuṇṇeti ca, visoseti ca, nīharati ca. Pathavīdhātu dhāreti ca, parivatteti ca, sañcuṇṇeti ca, visoseti ca. Āpodhātu sineheti ca, allattañca anupāleti. Tejodhātu antopaviṭṭhaṃ paripāceti. Ākāsadhātu añjaso hoti. Viññāṇadhātu tattha tattha sammāpayogamanvāya ābhujatīti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิ จ คมนโต ปริเยสนโต ปริโภคโต อาสยโต นิธานโต อปริปกฺกโต ปริปกฺกโต ผลโต นิสฺสนฺทโต สมฺมกฺขนโตติ, เอวํ ทสวิธปฎิกูลภาวปจฺจเวกฺขณโต เปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ วิตฺถารกถา ปเนตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค อาหารปฎิกูลสญฺญานิเทฺทสโต คเหตพฺพาฯ
Api ca gamanato pariyesanato paribhogato āsayato nidhānato aparipakkato paripakkato phalato nissandato sammakkhanatoti, evaṃ dasavidhapaṭikūlabhāvapaccavekkhaṇato pettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Vitthārakathā panettha visuddhimagge āhārapaṭikūlasaññāniddesato gahetabbā.
อุจฺจารปสฺสาวกเมฺมติ อุจฺจารสฺส จ ปสฺสาวสฺส จ กรเณฯ ตตฺถ ปตฺตกาเล อุจฺจารปสฺสาวํ อกโรนฺตสฺส สกลสรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, อกฺขีนิ ภมนฺติ, จิตฺตํ น เอกคฺคํ โหติ, อเญฺญ จ โรคา อุปฺปชฺชนฺติฯ กโรนฺตสฺส ปน สพฺพํ ตํ น โหตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uccārapassāvakammeti uccārassa ca passāvassa ca karaṇe. Tattha pattakāle uccārapassāvaṃ akarontassa sakalasarīrato sedā muccanti, akkhīni bhamanti, cittaṃ na ekaggaṃ hoti, aññe ca rogā uppajjanti. Karontassa pana sabbaṃ taṃ na hotīti ayamettha attho. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อฎฺฐาเน อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติ โหติ, อยโส วฑฺฒติ, ชีวิตนฺตราโย โหติ, ปติรูเป ฐาเน กโรนฺตสฺส สพฺพํ ตํ น โหตีติ อิทเมตฺถ สปฺปายํ ตสฺส วเสน สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Aṭṭhāne uccārapassāvaṃ karontassa pana āpatti hoti, ayaso vaḍḍhati, jīvitantarāyo hoti, patirūpe ṭhāne karontassa sabbaṃ taṃ na hotīti idamettha sappāyaṃ tassa vasena sappāyasampajaññaṃ. Kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ กโรโนฺต นตฺถิ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ โหติ ฯ ยถา วา ปน ปเกฺก คเณฺฑ คณฺฑเภเทน ปุพฺพโลหิตํ อกามตาย นิกฺขมติฯ ยถา จ อติภริตา อุทกภาชนา อุทกํ อกามตาย นิกฺขมติฯ เอวํ ปกฺกาสยมุตฺตวตฺถีสุ สนฺนิจิตา อุจฺจารปสฺสาวา วายุเวคสมุปฺปีฬิตา อกามตายปิ นิกฺขมนฺติฯ โส ปนายํ เอวํ นิกฺขมโนฺต อุจฺจารปสฺสาโว เนว ตสฺส ภิกฺขุโน อตฺตโน โหติ, น ปรสฺส, เกวลํ สรีรนิสฺสโนฺทว โหติฯ ยถา กิํ? ยถา อุทกตุมฺพโต ปุราณุทกํ ฉเฑฺฑนฺตสฺส เนว ตํ อตฺตโน โหติ, น ปเรสํ; เกวลํ ปฎิชคฺคนมตฺตเมว โหติ; เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma uccārapassāvakammaṃ karonto natthi, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana uccārapassāvakammaṃ hoti . Yathā vā pana pakke gaṇḍe gaṇḍabhedena pubbalohitaṃ akāmatāya nikkhamati. Yathā ca atibharitā udakabhājanā udakaṃ akāmatāya nikkhamati. Evaṃ pakkāsayamuttavatthīsu sannicitā uccārapassāvā vāyuvegasamuppīḷitā akāmatāyapi nikkhamanti. So panāyaṃ evaṃ nikkhamanto uccārapassāvo neva tassa bhikkhuno attano hoti, na parassa, kevalaṃ sarīranissandova hoti. Yathā kiṃ? Yathā udakatumbato purāṇudakaṃ chaḍḍentassa neva taṃ attano hoti, na paresaṃ; kevalaṃ paṭijagganamattameva hoti; evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
คตาทีสุ คเตติ คมเนฯ ฐิเตติ ฐาเนฯ นิสิเนฺนติ นิสชฺชายฯ สุเตฺตติ สยเนฯ ชาคริเตติ ชาครเณฯ ภาสิเตติ กถเนฯ ตุณฺหีภาเวติ อกถเนฯ ‘‘คจฺฉโนฺต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ, นิสิโนฺน วา นิสิโนฺนมฺหีติ ปชานาติ, สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาตี’’ติ อิมสฺมิญฺหิ สุเตฺต อทฺธานอิริยาปถา กถิตาฯ ‘‘อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต อาโลกิเต วิโลกิเต สมิญฺชิเต ปสาริเต’’ติ อิมสฺมิํ มชฺฌิมาฯ ‘‘คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต’’ติ อิธ ปน ขุทฺทกจุณฺณิยอิริยาปถา กถิตาฯ ตสฺมา เตสุปิ วุตฺตนเยเนว สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ
Gatādīsu gateti gamane. Ṭhiteti ṭhāne. Nisinneti nisajjāya. Sutteti sayane. Jāgariteti jāgaraṇe. Bhāsiteti kathane. Tuṇhībhāveti akathane. ‘‘Gacchanto vā gacchāmīti pajānāti, ṭhito vā ṭhitomhīti pajānāti, nisinno vā nisinnomhīti pajānāti, sayāno vā sayānomhīti pajānātī’’ti imasmiñhi sutte addhānairiyāpathā kathitā. ‘‘Abhikkante paṭikkante ālokite vilokite samiñjite pasārite’’ti imasmiṃ majjhimā. ‘‘Gate ṭhite nisinne sutte jāgarite’’ti idha pana khuddakacuṇṇiyairiyāpathā kathitā. Tasmā tesupi vuttanayeneva sampajānakāritā veditabbā.
ติปิฎกมหาสิวเตฺถโร ปนาห – โย จิรํ คนฺตฺวา วา จงฺกมิตฺวา วา อปรภาเค ฐิโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘จงฺกมนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ ฯ อยํ คเต สมฺปชานการี นามฯ
Tipiṭakamahāsivatthero panāha – yo ciraṃ gantvā vā caṅkamitvā vā aparabhāge ṭhito iti paṭisañcikkhati – ‘‘caṅkamanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti . Ayaṃ gate sampajānakārī nāma.
โย สชฺฌายํ วา กโรโนฺต, ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชโนฺต, กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต จิรํ ฐตฺวา อปรภาเค นิสิโนฺน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ฐิตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อยํ ฐิเต สมฺปชานการี นามฯ
Yo sajjhāyaṃ vā karonto, pañhaṃ vā vissajjento, kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto ciraṃ ṭhatvā aparabhāge nisinno iti paṭisañcikkhati – ‘‘ṭhitakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Ayaṃ ṭhite sampajānakārī nāma.
โย สชฺฌายาทิกรณวเสเนว จิรํ นิสีทิตฺวา อปรภาเค อุฎฺฐาย อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘นิสินฺนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อยํ นิสิเนฺน สมฺปชานการี นามฯ
Yo sajjhāyādikaraṇavaseneva ciraṃ nisīditvā aparabhāge uṭṭhāya iti paṭisañcikkhati – ‘‘nisinnakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Ayaṃ nisinne sampajānakārī nāma.
โย ปน นิปนฺนโก สชฺฌายํ วา กโรโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา อปรภาเค อุฎฺฐาย อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘สยนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อยํ สุเตฺต ชาคริเต จ สมฺปชานการี นามฯ กิริยมยจิตฺตานญฺหิ อปฺปวตฺตนํ โสปฺปํ นาม, ปวตฺตนํ ชาคริตํ นามฯ
Yo pana nipannako sajjhāyaṃ vā karonto kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto niddaṃ okkamitvā aparabhāge uṭṭhāya iti paṭisañcikkhati – ‘‘sayanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Ayaṃ sutte jāgarite ca sampajānakārī nāma. Kiriyamayacittānañhi appavattanaṃ soppaṃ nāma, pavattanaṃ jāgaritaṃ nāma.
โย ปน ภาสมาโน – ‘‘อยํ สโทฺท นาม โอเฎฺฐ จ ปฎิจฺจ, ทเนฺต จ ชิวฺหญฺจ ตาลุญฺจ ปฎิจฺจ, จิตฺตสฺส จ ตทนุรูปํ ปโยคํ ปฎิจฺจ ชายตี’’ติ สโต สมฺปชาโนว ภาสติฯ จิรํ วา ปน กาลํ สชฺฌายํ วา กตฺวา, ธมฺมํ วา กเถตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ วา ปวเตฺตตฺวา, ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชตฺวา, อปรภาเค ตุณฺหีภูโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ภาสิตกาเล อุปฺปนฺนา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อยํ ภาสิเต สมฺปชานการี นามฯ
Yo pana bhāsamāno – ‘‘ayaṃ saddo nāma oṭṭhe ca paṭicca, dante ca jivhañca tāluñca paṭicca, cittassa ca tadanurūpaṃ payogaṃ paṭicca jāyatī’’ti sato sampajānova bhāsati. Ciraṃ vā pana kālaṃ sajjhāyaṃ vā katvā, dhammaṃ vā kathetvā, kammaṭṭhānaṃ vā pavattetvā, pañhaṃ vā vissajjetvā, aparabhāge tuṇhībhūto iti paṭisañcikkhati – ‘‘bhāsitakāle uppannā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Ayaṃ bhāsite sampajānakārī nāma.
โย ตุณฺหีภูโต จิรํ ธมฺมํ วา กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกตฺวา อปรภาเค อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ตุณฺหีภูตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อุปาทารูปปฺปวตฺติยญฺหิ สติ ภาสติ นาม, อสติ ตุณฺหี ภวติ นามาติฯ อยํ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นามาติฯ
Yo tuṇhībhūto ciraṃ dhammaṃ vā kammaṭṭhānaṃ vā manasikatvā aparabhāge iti paṭisañcikkhati – ‘‘tuṇhībhūtakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Upādārūpappavattiyañhi sati bhāsati nāma, asati tuṇhī bhavati nāmāti. Ayaṃ tuṇhībhāve sampajānakārī nāmāti.
ตยิทํ มหาสิวเตฺถเรน วุตฺตํ อสโมฺมหธุรํ มหาสติปฎฺฐานสุเตฺต อธิเปฺปตํฯ อิมสฺมิํ ปน สามญฺญผเล สพฺพมฺปิ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํ ลพฺภติฯ ตสฺมา วุตฺตนเยเนว เจตฺถ จตุนฺนํ สมฺปชญฺญานํ วเสน สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ สมฺปชานการีติ จ สพฺพปเทสุ สติสมฺปยุตฺตเสฺสว สมฺปชญฺญสฺส วเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโตติ เอตสฺส หิ ปทสฺส อยํ วิตฺถาโรฯ วิภงฺคปฺปกรเณ ปน – ‘‘สโต สมฺปชาโน อภิกฺกมติ, สโต สมฺปชาโน ปฎิกฺกมตี’’ติ เอวํ เอตานิ ปทานิ วิภตฺตาเนวฯ เอวํ, โข มหาราชาติ เอวํ สติสมฺปยุตฺตสฺส สมฺปชญฺญสฺส วเสน อภิกฺกมาทีนิ ปวเตฺตโนฺต สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต นาม โหตีติ อโตฺถฯ
Tayidaṃ mahāsivattherena vuttaṃ asammohadhuraṃ mahāsatipaṭṭhānasutte adhippetaṃ. Imasmiṃ pana sāmaññaphale sabbampi catubbidhaṃ sampajaññaṃ labbhati. Tasmā vuttanayeneva cettha catunnaṃ sampajaññānaṃ vasena sampajānakāritā veditabbā. Sampajānakārīti ca sabbapadesu satisampayuttasseva sampajaññassa vasena attho veditabbo. Satisampajaññena samannāgatoti etassa hi padassa ayaṃ vitthāro. Vibhaṅgappakaraṇe pana – ‘‘sato sampajāno abhikkamati, sato sampajāno paṭikkamatī’’ti evaṃ etāni padāni vibhattāneva. Evaṃ, kho mahārājāti evaṃ satisampayuttassa sampajaññassa vasena abhikkamādīni pavattento satisampajaññena samannāgato nāma hotīti attho.
สโนฺตสกถา
Santosakathā
๒๑๕. อิธ, มหาราช, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหตีติ เอตฺถ สนฺตุโฎฺฐติ อิตรีตรปจฺจยสโนฺตเสน สมนฺนาคโตฯ โส ปเนส สโนฺตโส ทฺวาทสวิโธ โหติ, เสยฺยถิทํ – จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ ตสฺสายํ ปเภทวณฺณนา –
215.Idha, mahārāja, bhikkhu santuṭṭho hotīti ettha santuṭṭhoti itarītarapaccayasantosena samannāgato. So panesa santoso dvādasavidho hoti, seyyathidaṃ – cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho. Evaṃ piṇḍapātādīsu. Tassāyaṃ pabhedavaṇṇanā –
อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ, สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วาฯ โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ปกติทุพฺพโล วา โหติ, อาพาธชราภิภูโต วา, ครุจีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติฯ โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ปณีตปจฺจยลาภี โหติฯ โส ปตฺตจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆปตฺตจีวรํ พหูนิ วา ปน ปตฺตจีวรานิ ลภิตฺวา อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ, อิทํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ, อิทํ อปฺปลาภีนํ โหตูติ ทตฺวา เตสํ ปุราณจีวรํ วา คเหตฺวา สงฺการกูฎาทิโต วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา เตหิ สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha bhikkhu cīvaraṃ labhati, sundaraṃ vā asundaraṃ vā. So teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhati. Ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana pakatidubbalo vā hoti, ābādhajarābhibhūto vā, garucīvaraṃ pārupanto kilamati. So sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo paṇītapaccayalābhī hoti. So pattacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghapattacīvaraṃ bahūni vā pana pattacīvarāni labhitvā idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ, idaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ, idaṃ appalābhīnaṃ hotūti datvā tesaṃ purāṇacīvaraṃ vā gahetvā saṅkārakūṭādito vā nantakāni uccinitvā tehi saṅghāṭiṃ katvā dhārentopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ลภติ, เยนสฺส ปริภุเตฺตน อผาสุ โหติฯ โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร พหุํ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติฯ โส ตํ จีวรํ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภีคิลานานํ ทตฺวา เตสํ วา เสสกํ ปิณฺฑาย วา จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhati. Ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ labhati, yenassa paribhuttena aphāsu hoti. So sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bahuṃ paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati. So taṃ cīvaraṃ viya theracirapabbajitabahussutaappalābhīgilānānaṃ datvā tesaṃ vā sesakaṃ piṇḍāya vā caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เสนาสนํ ลภติ, มนาปํ วา อมนาปํ วา, โส เตน เนว โสมนสฺสํ, น โทมนสฺสํ อุปฺปาเทติ; อนฺตมโส ติณสนฺถารเกนปิ ยถาลเทฺธเนว ตุสฺสติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu senāsanaṃ labhati, manāpaṃ vā amanāpaṃ vā, so tena neva somanassaṃ, na domanassaṃ uppādeti; antamaso tiṇasanthārakenapi yathāladdheneva tussati. Ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathābalasantoso.
อปโร มหาปุโญฺญ เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ พหูนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติฯ โส ตานิ จีวรํ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภีคิลานานํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ โยปิ – ‘‘อุตฺตมเสนาสนํ นาม ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส ปุน ปฎิพุชฺฌโต กามวิตกฺกา ปาตุภวนฺตี’’ติ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา ตาทิสํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติฯ โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโพฺภกาสรุกฺขมูลาทีสุ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมฺปิสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Aparo mahāpuñño leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni bahūni paṇītasenāsanāni labhati. So tāni cīvaraṃ viya theracirapabbajitabahussutaappalābhīgilānānaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso. Yopi – ‘‘uttamasenāsanaṃ nāma pamādaṭṭhānaṃ, tattha nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa puna paṭibujjhato kāmavitakkā pātubhavantī’’ti paṭisañcikkhitvā tādisaṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati. So taṃ paṭikkhipitvā abbhokāsarukkhamūlādīsu vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayampissa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ, ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส ยํ ลภติ, เตเนว ตุสฺสติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติฯ โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตลํ คเหตฺวา อญฺญเทว วา ปริเยสิตฺวา เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati, lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so yaṃ labhati, teneva tussati, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhati. Ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Yo pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati. So taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telaṃ gahetvā aññadeva vā pariyesitvā bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso.
อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติฯ โส ตํ จีวรํ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภีคิลานานํ ทตฺวา เตสํ อาภเตน เยน เกนจิ ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีฎกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ – ‘‘คณฺหาหิ, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ, อถ มุตฺตหรีฎกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิตนฺติ จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีฎเกเนว เภสชฺชํ กโรโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati. So taṃ cīvaraṃ viya theracirapabbajitabahussutaappalābhīgilānānaṃ datvā tesaṃ ābhatena yena kenaci yāpentopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharīṭakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ – ‘‘gaṇhāhi, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati, atha muttaharīṭakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇitanti catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharīṭakeneva bhesajjaṃ karonto paramasantuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
อิมินา ปน ทฺวาทสวิเธน อิตรีตรปจฺจยสโนฺตเสน สมนฺนาคตสฺส ภิกฺขุโน อฎฺฐ ปริกฺขารา วฎฺฎนฺติฯ ตีณิ จีวรานิ, ปโตฺต, ทนฺตกฎฺฐเจฺฉทนวาสิ, เอกา สูจิ, กายพนฺธนํ ปริสฺสาวนนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Iminā pana dvādasavidhena itarītarapaccayasantosena samannāgatassa bhikkhuno aṭṭha parikkhārā vaṭṭanti. Tīṇi cīvarāni, patto, dantakaṭṭhacchedanavāsi, ekā sūci, kāyabandhanaṃ parissāvananti. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ;
‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsi sūci ca bandhanaṃ;
ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ
Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti.
เต สเพฺพ กายปริหาริกาปิ โหนฺติ กุจฺฉิปริหาริกาปิฯ กถํ? ติจีวรํ ตาว นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ วิจรณกาเล กายํ ปริหรติ, โปเสตีติ กายปริหาริกํ โหติฯ จีวรกเณฺณน อุทกํ ปริสฺสาเวตฺวา ปิวนกาเล ขาทิตพฺพผลาผลคหณกาเล จ กุจฺฉิํ ปริหรติ; โปเสตีติ กุจฺฉิปริหาริกํ โหติฯ
Te sabbe kāyaparihārikāpi honti kucchiparihārikāpi. Kathaṃ? Ticīvaraṃ tāva nivāsetvā ca pārupitvā ca vicaraṇakāle kāyaṃ pariharati, posetīti kāyaparihārikaṃ hoti. Cīvarakaṇṇena udakaṃ parissāvetvā pivanakāle khāditabbaphalāphalagahaṇakāle ca kucchiṃ pariharati; posetīti kucchiparihārikaṃ hoti.
ปโตฺตปิ เตน อุทกํ อุทฺธริตฺวา นฺหานกาเล กุฎิปริภณฺฑกรณกาเล จ กายปริหาริโก โหติฯ อาหารํ คเหตฺวา ภุญฺชนกาเล กุจฺฉิปริหาริโกฯ
Pattopi tena udakaṃ uddharitvā nhānakāle kuṭiparibhaṇḍakaraṇakāle ca kāyaparihāriko hoti. Āhāraṃ gahetvā bhuñjanakāle kucchiparihāriko.
วาสิปิ ตาย ทนฺตกฎฺฐเจฺฉทนกาเล มญฺจปีฐานํ องฺคปาทจีวรกุฎิทณฺฑกสชฺชนกาเล จ กายปริหาริกา โหติฯ อุจฺฉุเฉทนนาฬิเกราทิตจฺฉนกาเล กุจฺฉิปริหาริกาฯ
Vāsipi tāya dantakaṭṭhacchedanakāle mañcapīṭhānaṃ aṅgapādacīvarakuṭidaṇḍakasajjanakāle ca kāyaparihārikā hoti. Ucchuchedananāḷikerāditacchanakāle kucchiparihārikā.
สูจิปิ จีวรสิพฺพนกาเล กายปริหาริกา โหติฯ ปูวํ วา ผลํ วา วิชฺฌิตฺวา ขาทนกาเล กุจฺฉิปริหาริกาฯ
Sūcipi cīvarasibbanakāle kāyaparihārikā hoti. Pūvaṃ vā phalaṃ vā vijjhitvā khādanakāle kucchiparihārikā.
กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา วิจรณกาเล กายปริหาริกํฯ อุจฺฉุอาทีนิ พนฺธิตฺวา คหณกาเล กุจฺฉิปริหาริกํฯ
Kāyabandhanaṃ bandhitvā vicaraṇakāle kāyaparihārikaṃ. Ucchuādīni bandhitvā gahaṇakāle kucchiparihārikaṃ.
ปริสฺสาวนํ เตน อุทกํ ปริสฺสาเวตฺวา นฺหานกาเล, เสนาสนปริภณฺฑกรณกาเล จ กายปริหาริกํฯ ปานียํ ปริสฺสาวนกาเล, เตเนว ติลตณฺฑุลปุถุกาทีนิ คเหตฺวา ขาทนกาเล จ กุจฺฉิปริหาริยํฯ อยํ ตาว อฎฺฐปริกฺขาริกสฺส ปริกฺขารมตฺตาฯ นวปริกฺขาริกสฺส ปน เสยฺยํ ปวิสนฺตสฺส ตตฺรฎฺฐกํ ปจฺจตฺถรณํ วา กุญฺจิกา วา วฎฺฎติฯ ทสปริกฺขาริกสฺส นิสีทนํ วา จมฺมขณฺฑํ วา วฎฺฎติฯ เอกาทสปริกฺขาริกสฺส ปน กตฺตรยฎฺฐิ วา เตลนาฬิกา วา วฎฺฎติฯ ทฺวาทสปริกฺขาริกสฺส ฉตฺตํ วา อุปาหนํ วา วฎฺฎติฯ เอเตสุ จ อฎฺฐปริกฺขาริโกว สนฺตุโฎฺฐ, อิตเร อสนฺตุฎฺฐา มหิจฺฉา มหาภาราติ น วตฺตพฺพาฯ เอเตปิ หิ อปฺปิจฺฉาว สนฺตุฎฺฐาว สุภราว สลฺลหุกวุตฺติโนวฯ ภควา ปน น ยิมํ สุตฺตํ เตสํ วเสน กเถสิ, อฎฺฐปริกฺขาริกสฺส วเสน กเถสิฯ โส หิ ขุทฺทกวาสิญฺจ สูจิญฺจ ปริสฺสาวเน ปกฺขิปิตฺวา ปตฺตสฺส อโนฺต ฐเปตฺวา ปตฺตํ อํสกูเฎ ลเคฺคตฺวา ติจีวรํ กายปฎิพทฺธํ กตฺวา เยนิจฺฉกํ สุขํ ปกฺกมติฯ ปฎินิวเตฺตตฺวา คเหตพฺพํ นามสฺส น โหติฯ อิติ อิมสฺส ภิกฺขุโน สลฺลหุกวุตฺติตํ ทเสฺสโนฺต ภควา – ‘‘สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กายปริหาริเกนาติ กายปริหรณมตฺตเกนฯ กุจฺฉิปริหาริเกนาติ กุจฺฉิปริหรณมตฺตเกนฯ สมาทาเยว ปกฺกมตีติ อฎฺฐปริกฺขารมตฺตกํ สพฺพํ คเหตฺวาว กายปฎิพทฺธํ กตฺวาว คจฺฉติฯ ‘‘มม วิหาโร ปริเวณํ อุปฎฺฐาโก’’ติ อาสโงฺค วา พโนฺธ วา น โหติฯ โส ชิยา มุโตฺต สโร วิย, ยูถา อปกฺกโนฺต มทหตฺถี วิย จ อิจฺฉิติจฺฉิตํ เสนาสนํ วนสณฺฑํ รุกฺขมูลํ วนปพฺภารํ ปริภุญฺชโนฺต เอโกว ติฎฺฐติ, เอโกว นิสีทติฯ สพฺพิริยาปเถสุ เอโกว อทุติโยฯ
Parissāvanaṃ tena udakaṃ parissāvetvā nhānakāle, senāsanaparibhaṇḍakaraṇakāle ca kāyaparihārikaṃ. Pānīyaṃ parissāvanakāle, teneva tilataṇḍulaputhukādīni gahetvā khādanakāle ca kucchiparihāriyaṃ. Ayaṃ tāva aṭṭhaparikkhārikassa parikkhāramattā. Navaparikkhārikassa pana seyyaṃ pavisantassa tatraṭṭhakaṃ paccattharaṇaṃ vā kuñcikā vā vaṭṭati. Dasaparikkhārikassa nisīdanaṃ vā cammakhaṇḍaṃ vā vaṭṭati. Ekādasaparikkhārikassa pana kattarayaṭṭhi vā telanāḷikā vā vaṭṭati. Dvādasaparikkhārikassa chattaṃ vā upāhanaṃ vā vaṭṭati. Etesu ca aṭṭhaparikkhārikova santuṭṭho, itare asantuṭṭhā mahicchā mahābhārāti na vattabbā. Etepi hi appicchāva santuṭṭhāva subharāva sallahukavuttinova. Bhagavā pana na yimaṃ suttaṃ tesaṃ vasena kathesi, aṭṭhaparikkhārikassa vasena kathesi. So hi khuddakavāsiñca sūciñca parissāvane pakkhipitvā pattassa anto ṭhapetvā pattaṃ aṃsakūṭe laggetvā ticīvaraṃ kāyapaṭibaddhaṃ katvā yenicchakaṃ sukhaṃ pakkamati. Paṭinivattetvā gahetabbaṃ nāmassa na hoti. Iti imassa bhikkhuno sallahukavuttitaṃ dassento bhagavā – ‘‘santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarenā’’tiādimāha. Tattha kāyaparihārikenāti kāyapariharaṇamattakena. Kucchiparihārikenāti kucchipariharaṇamattakena. Samādāyeva pakkamatīti aṭṭhaparikkhāramattakaṃ sabbaṃ gahetvāva kāyapaṭibaddhaṃ katvāva gacchati. ‘‘Mama vihāro pariveṇaṃ upaṭṭhāko’’ti āsaṅgo vā bandho vā na hoti. So jiyā mutto saro viya, yūthā apakkanto madahatthī viya ca icchiticchitaṃ senāsanaṃ vanasaṇḍaṃ rukkhamūlaṃ vanapabbhāraṃ paribhuñjanto ekova tiṭṭhati, ekova nisīdati. Sabbiriyāpathesu ekova adutiyo.
‘‘จาตุทฺทิโส อปฺปฎิโฆ จ โหติ,
‘‘Cātuddiso appaṭigho ca hoti,
สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน;
Santussamāno itarītarena;
ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภี,
Parissayānaṃ sahitā achambhī,
เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๒);
Eko care khaggavisāṇakappo’’ti. (su. ni. 42);
เอวํ วณฺณิตํ ขคฺควิสาณกปฺปตํ อาปชฺชติฯ
Evaṃ vaṇṇitaṃ khaggavisāṇakappataṃ āpajjati.
อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาย สาเธโนฺต – ‘‘เสยฺยถาปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปกฺขี สกุโณติ ปกฺขยุโตฺต สกุโณฯ เฑตีติ อุปฺปตติฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – สกุณา นาม ‘‘อสุกสฺมิํ ปเทเส รุโกฺข ปริปกฺกผโล’’ติ ญตฺวา นานาทิสาหิ อาคนฺตฺวา นขปตฺตตุณฺฑาทีหิ ตสฺส ผลานิ วิชฺฌนฺตา วิธุนนฺตา ขาทนฺติฯ ‘อิทํ อชฺชตนาย, อิทํ สฺวาตนาย ภวิสฺสตี’ติ เตสํ น โหติฯ ผเล ปน ขีเณ เนว รุกฺขสฺส อารกฺขํ ฐเปนฺติ, น ตตฺถ ปตฺตํ วา นขํ วา ตุณฺฑํ วา ฐเปนฺติฯ อถ โข ตสฺมิํ รุเกฺข อนเปโกฺข หุตฺวา, โย ยํ ทิสาภาคํ อิจฺฉติ, โส เตน สปตฺตภาโรว อุปฺปติตฺวา คจฺฉติฯ เอวเมว อยํ ภิกฺขุ นิสฺสโงฺค นิรเปโกฺข เยน กามํ ปกฺกมติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สมาทาเยว ปกฺกมตี’’ติฯ
Idāni tamatthaṃ upamāya sādhento – ‘‘seyyathāpī’’tiādimāha. Tattha pakkhī sakuṇoti pakkhayutto sakuṇo. Ḍetīti uppatati. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – sakuṇā nāma ‘‘asukasmiṃ padese rukkho paripakkaphalo’’ti ñatvā nānādisāhi āgantvā nakhapattatuṇḍādīhi tassa phalāni vijjhantā vidhunantā khādanti. ‘Idaṃ ajjatanāya, idaṃ svātanāya bhavissatī’ti tesaṃ na hoti. Phale pana khīṇe neva rukkhassa ārakkhaṃ ṭhapenti, na tattha pattaṃ vā nakhaṃ vā tuṇḍaṃ vā ṭhapenti. Atha kho tasmiṃ rukkhe anapekkho hutvā, yo yaṃ disābhāgaṃ icchati, so tena sapattabhārova uppatitvā gacchati. Evameva ayaṃ bhikkhu nissaṅgo nirapekkho yena kāmaṃ pakkamati. Tena vuttaṃ ‘‘samādāyeva pakkamatī’’ti.
นีวรณปฺปหานกถา
Nīvaraṇappahānakathā
๒๑๖. โส อิมินา จาติอาทินา กิํ ทเสฺสติ? อรญฺญวาสสฺส ปจฺจยสมฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ ยสฺส หิ อิเม จตฺตาโร ปจฺจยา นตฺถิ, ตสฺส อรญฺญวาโส น อิชฺฌติฯ ติรจฺฉานคเตหิ วา วนจรเกหิ วา สทฺธิํ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติฯ อรเญฺญ อธิวตฺถา เทวตา – ‘‘กิํ เอวรูปสฺส ปาปภิกฺขุโน อรญฺญวาเสนา’’ติ เภรวสทฺทํ สาเวนฺติ, หเตฺถหิ สีสํ ปหริตฺวา ปลายนาการํ กโรนฺติฯ ‘‘อสุโก ภิกฺขุ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อิทญฺจิทญฺจ ปาปกมฺมํ อกาสี’’ติ อยโส ปตฺถรติฯ ยสฺส ปเนเต จตฺตาโร ปจฺจยา อตฺถิ, ตสฺส อรญฺญวาโส อิชฺฌติฯ โส หิ อตฺตโน สีลํ ปจฺจเวกฺขโนฺต กิญฺจิ กาฬกํ วา ติลกํ วา อปสฺสโนฺต ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ ขยวยโต สมฺมสโนฺต อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ อรเญฺญ อธิวตฺถา เทวตา อตฺตมนา วณฺณํ ภณนฺติฯ อิติสฺส อุทเก ปกฺขิตฺตเตลพินฺทุ วิย ยโส วิตฺถาริโก โหติฯ
216.Soiminā cātiādinā kiṃ dasseti? Araññavāsassa paccayasampattiṃ dasseti. Yassa hi ime cattāro paccayā natthi, tassa araññavāso na ijjhati. Tiracchānagatehi vā vanacarakehi vā saddhiṃ vattabbataṃ āpajjati. Araññe adhivatthā devatā – ‘‘kiṃ evarūpassa pāpabhikkhuno araññavāsenā’’ti bheravasaddaṃ sāventi, hatthehi sīsaṃ paharitvā palāyanākāraṃ karonti. ‘‘Asuko bhikkhu araññaṃ pavisitvā idañcidañca pāpakammaṃ akāsī’’ti ayaso pattharati. Yassa panete cattāro paccayā atthi, tassa araññavāso ijjhati. So hi attano sīlaṃ paccavekkhanto kiñci kāḷakaṃ vā tilakaṃ vā apassanto pītiṃ uppādetvā taṃ khayavayato sammasanto ariyabhūmiṃ okkamati. Araññe adhivatthā devatā attamanā vaṇṇaṃ bhaṇanti. Itissa udake pakkhittatelabindu viya yaso vitthāriko hoti.
ตตฺถ วิวิตฺตนฺติ สุญฺญํ, อปฺปสทฺทํ, อปฺปนิโคฺฆสนฺติ อโตฺถฯ เอตเทว หิ สนฺธาย วิภเงฺค – ‘‘วิวิตฺตนฺติ สนฺติเก เจปิ เสนาสนํ โหติ, ตญฺจ อนากิณฺณํ คหเฎฺฐหิ ปพฺพชิเตหิฯ เตน ตํ วิวิตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ เสติ เจว อาสติ จ เอตฺถาติ เสนาสนํ มญฺจปีฐาทีนเมตํ อธิวจนํฯ เตนาห – ‘‘เสนาสนนฺติ มโญฺจปิ เสนาสนํ , ปีฐมฺปิ, ภิสิปิ, พิโมฺพหนมฺปิ, วิหาโรปิ, อฑฺฒโยโคปิ, ปาสาโทปิ, หมฺมิยมฺปิ, คุหาปิ, อโฎฺฎปิ, มาโฬปิ เลณมฺปิ, เวฬุคุโมฺพปิ, รุกฺขมูลมฺปิ, มณฺฑโปปิ, เสนาสนํ, ยตฺถ วา ปน ภิกฺขู ปฎิกฺกมนฺติ, สพฺพเมตํ เสนาสน’’นฺติ (วิภ. ๕๒๗)ฯ
Tattha vivittanti suññaṃ, appasaddaṃ, appanigghosanti attho. Etadeva hi sandhāya vibhaṅge – ‘‘vivittanti santike cepi senāsanaṃ hoti, tañca anākiṇṇaṃ gahaṭṭhehi pabbajitehi. Tena taṃ vivitta’’nti vuttaṃ. Seti ceva āsati ca etthāti senāsanaṃ mañcapīṭhādīnametaṃ adhivacanaṃ. Tenāha – ‘‘senāsananti mañcopi senāsanaṃ , pīṭhampi, bhisipi, bimbohanampi, vihāropi, aḍḍhayogopi, pāsādopi, hammiyampi, guhāpi, aṭṭopi, māḷopi leṇampi, veḷugumbopi, rukkhamūlampi, maṇḍapopi, senāsanaṃ, yattha vā pana bhikkhū paṭikkamanti, sabbametaṃ senāsana’’nti (vibha. 527).
อปิ จ – ‘‘วิหาโร อฑฺฒโยโค ปาสาโท หมฺมิยํ คุหา’’ติ อิทํ วิหารเสนาสนํ นามฯ ‘‘มโญฺจ ปีฐํ ภิสิ พิโมฺพหน’’นฺติ อิทํ มญฺจปีฐเสนาสนํ นามฯ ‘‘จิมิลิกา จมฺมขโณฺฑ ติณสนฺถาโร ปณฺณสนฺถาโร’’ติ อิทํ สนฺถตเสนาสนํ นามฯ ‘‘ยตฺถ วา ปน ภิกฺขู ปฎิกฺกมนฺตี’’ติ อิทํ โอกาสเสนาสนํ นามาติฯ เอวํ จตุพฺพิธํ เสนาสนํ โหติ, ตํ สพฺพํ เสนาสนคฺคหเณน สงฺคหิตเมวฯ
Api ca – ‘‘vihāro aḍḍhayogo pāsādo hammiyaṃ guhā’’ti idaṃ vihārasenāsanaṃ nāma. ‘‘Mañco pīṭhaṃ bhisi bimbohana’’nti idaṃ mañcapīṭhasenāsanaṃ nāma. ‘‘Cimilikā cammakhaṇḍo tiṇasanthāro paṇṇasanthāro’’ti idaṃ santhatasenāsanaṃ nāma. ‘‘Yattha vā pana bhikkhū paṭikkamantī’’ti idaṃ okāsasenāsanaṃ nāmāti. Evaṃ catubbidhaṃ senāsanaṃ hoti, taṃ sabbaṃ senāsanaggahaṇena saṅgahitameva.
อิธ ปนสฺส สกุณสทิสสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุโน อนุจฺฉวิกเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต อรญฺญํ รุกฺขมูลนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อรญฺญนฺติ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลา สพฺพเมตํ อรญฺญนฺติฯ อิทํ ภิกฺขุนีนํ วเสน อาคตํฯ ‘‘อารญฺญกํ นาม เสนาสนํ ปญฺจธนุสติกํ ปจฺฉิม’’นฺติ (ปารา. ๖๕๔) อิทํ ปน อิมสฺส ภิกฺขุโน อนุรูปํฯ ตสฺส ลกฺขณํ วิสุทฺธิมเคฺค ธุตงฺคนิเทฺทเส วุตฺตํฯ รุกฺขมูลนฺติ ยํ กิญฺจิ สนฺทจฺฉายํ วิวิตฺตรุกฺขมูลํฯ ปพฺพตนฺติ เสลํฯ ตตฺถ หิ อุทกโสณฺฑีสุ อุทกกิจฺจํ กตฺวา สีตาย รุกฺขจฺฉายาย นิสินฺนสฺส นานาทิสาสุ ขายมานาสุ สีเตน วาเตน พีชิยมานสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ กนฺทรนฺติ กํ วุจฺจติ อุทกํ, เตน ทาริตํ, อุทเกน ภินฺนํ ปพฺพตปเทสํฯ ยํ นทีตุมฺพนฺติปิ, นทีกุญฺชนฺติปิ วทนฺติฯ ตตฺถ หิ รชตปฎฺฎสทิสา วาลิกา โหติ, มตฺถเก มณิวิตานํ วิย วนคหณํ, มณิขนฺธสทิสํ อุทกํ สนฺทติฯ เอวรูปํ กนฺทรํ โอรุยฺห ปานียํ ปิวิตฺวา คตฺตานิ สีตานิ กตฺวา วาลิกํ อุสฺสาเปตฺวา ปํสุกูลจีวรํ ปญฺญเปตฺวา นิสินฺนสฺส สมณธมฺมํ กโรโต จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ คิริคุหนฺติ ทฺวินฺนํ ปพฺพตานํ อนฺตเร, เอกสฺมิํเยว วา อุมคฺคสทิสํ มหาวิวรํ สุสานลกฺขณํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตํฯ วนปตฺถนฺติ คามนฺตํ อติกฺกมิตฺวา มนุสฺสานํ อนุปจารฎฺฐานํ, ยตฺถ น กสนฺติ น วปนฺติ, เตเนวาห – ‘‘วนปตฺถนฺติ ทูรานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจน’’นฺติอาทิฯ อโพฺภกาสนฺติ อจฺฉนฺนํฯ อากงฺขมาโน ปเนตฺถ จีวรกุฎิํ กตฺวา วสติฯ ปลาลปุญฺชนฺติ ปลาลราสิฯ มหาปลาลปุญฺชโต หิ ปลาลํ นิกฺกฑฺฒิตฺวา ปพฺภารเลณสทิเส อาลเย กโรนฺติ, คจฺฉคุมฺภาทีนมฺปิ อุปริ ปลาลํ ปกฺขิปิตฺวา เหฎฺฐา นิสินฺนา สมณธมฺมํ กโรนฺติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
Idha panassa sakuṇasadisassa cātuddisassa bhikkhuno anucchavikasenāsanaṃ dassento araññaṃ rukkhamūlantiādimāha. Tattha araññanti nikkhamitvā bahi indakhīlā sabbametaṃ araññanti. Idaṃ bhikkhunīnaṃ vasena āgataṃ. ‘‘Āraññakaṃ nāma senāsanaṃ pañcadhanusatikaṃ pacchima’’nti (pārā. 654) idaṃ pana imassa bhikkhuno anurūpaṃ. Tassa lakkhaṇaṃ visuddhimagge dhutaṅganiddese vuttaṃ. Rukkhamūlanti yaṃ kiñci sandacchāyaṃ vivittarukkhamūlaṃ. Pabbatanti selaṃ. Tattha hi udakasoṇḍīsu udakakiccaṃ katvā sītāya rukkhacchāyāya nisinnassa nānādisāsu khāyamānāsu sītena vātena bījiyamānassa cittaṃ ekaggaṃ hoti. Kandaranti kaṃ vuccati udakaṃ, tena dāritaṃ, udakena bhinnaṃ pabbatapadesaṃ. Yaṃ nadītumbantipi, nadīkuñjantipi vadanti. Tattha hi rajatapaṭṭasadisā vālikā hoti, matthake maṇivitānaṃ viya vanagahaṇaṃ, maṇikhandhasadisaṃ udakaṃ sandati. Evarūpaṃ kandaraṃ oruyha pānīyaṃ pivitvā gattāni sītāni katvā vālikaṃ ussāpetvā paṃsukūlacīvaraṃ paññapetvā nisinnassa samaṇadhammaṃ karoto cittaṃ ekaggaṃ hoti. Giriguhanti dvinnaṃ pabbatānaṃ antare, ekasmiṃyeva vā umaggasadisaṃ mahāvivaraṃ susānalakkhaṇaṃ visuddhimagge vuttaṃ. Vanapatthanti gāmantaṃ atikkamitvā manussānaṃ anupacāraṭṭhānaṃ, yattha na kasanti na vapanti, tenevāha – ‘‘vanapatthanti dūrānametaṃ senāsanānaṃ adhivacana’’ntiādi. Abbhokāsanti acchannaṃ. Ākaṅkhamāno panettha cīvarakuṭiṃ katvā vasati. Palālapuñjanti palālarāsi. Mahāpalālapuñjato hi palālaṃ nikkaḍḍhitvā pabbhāraleṇasadise ālaye karonti, gacchagumbhādīnampi upari palālaṃ pakkhipitvā heṭṭhā nisinnā samaṇadhammaṃ karonti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
ปจฺฉาภตฺตนฺติ ภตฺตสฺส ปจฺฉโตฯ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺตติ ปิณฺฑปาตปริเยสนโต ปฎิกฺกโนฺตฯ ปลฺลงฺกนฺติ สมนฺตโต อูรุพทฺธาสนํฯ อาภุชิตฺวาติ พนฺธิตฺวาฯ อุชุํ กายํ ปณิธายาติ อุปริมํ สรีรํ อุชุํ ฐเปตฺวา อฎฺฐารส ปิฎฺฐิกณฺฎกฎฺฐิเก โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาเทตฺวาฯ เอวญฺหิ นิสินฺนสฺส จมฺมมํสนฺหารูนิ น ปณมนฺติฯ อถสฺส ยา เตสํ ปณมนปจฺจยา ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตา นุปฺปชฺชนฺติฯ ตาสุ อนุปฺปชฺชมานาสุ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ น ปริปตติ, วุฑฺฒิํ ผาติํ เวปุลฺลํ อุปคจฺฉติฯ ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ กมฺมฎฺฐานาภิมุขํ สติํ ฐปยิตฺวาฯ มุขสมีเป วา กตฺวาติ อโตฺถฯ เตเนว วิภเงฺค วุตฺตํ – ‘‘อยํ สติ อุปฎฺฐิตา โหติ สูปฎฺฐิตา นาสิกเคฺค วา มุขนิมิเตฺต วา, เตน วุจฺจติ ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติ (วิภ. ๕๓๗)ฯ อถวา ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐฯ มุขนฺติ นิยฺยานโฎฺฐฯ สตีติ อุปฎฺฐานโฎฺฐฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘ปริมุขํ สติ’’นฺติฯ เอวํ ปฎิสมฺภิทายํ วุตฺตนเยนเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺรายํ สเงฺขโป – ‘‘ปริคฺคหิตนิยฺยานสติํ กตฺวา’’ติฯ
Pacchābhattanti bhattassa pacchato. Piṇḍapātapaṭikkantoti piṇḍapātapariyesanato paṭikkanto. Pallaṅkanti samantato ūrubaddhāsanaṃ. Ābhujitvāti bandhitvā. Ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyāti uparimaṃ sarīraṃ ujuṃ ṭhapetvā aṭṭhārasa piṭṭhikaṇṭakaṭṭhike koṭiyā koṭiṃ paṭipādetvā. Evañhi nisinnassa cammamaṃsanhārūni na paṇamanti. Athassa yā tesaṃ paṇamanapaccayā khaṇe khaṇe vedanā uppajjeyyuṃ, tā nuppajjanti. Tāsu anuppajjamānāsu cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ na paripatati, vuḍḍhiṃ phātiṃ vepullaṃ upagacchati. Parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvāti kammaṭṭhānābhimukhaṃ satiṃ ṭhapayitvā. Mukhasamīpe vā katvāti attho. Teneva vibhaṅge vuttaṃ – ‘‘ayaṃ sati upaṭṭhitā hoti sūpaṭṭhitā nāsikagge vā mukhanimitte vā, tena vuccati parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā’’ti (vibha. 537). Athavā parīti pariggahaṭṭho. Mukhanti niyyānaṭṭho. Satīti upaṭṭhānaṭṭho. Tena vuccati – ‘‘parimukhaṃ sati’’nti. Evaṃ paṭisambhidāyaṃ vuttanayenapettha attho daṭṭhabbo. Tatrāyaṃ saṅkhepo – ‘‘pariggahitaniyyānasatiṃ katvā’’ti.
๒๑๗. อภิชฺฌํ โลเกติ เอตฺถ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา โลโก, ตสฺมา ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ราคํ ปหาย กามจฺฉนฺทํ วิกฺขเมฺภตฺวาติ อยเมตฺถโตฺถฯ วิคตาภิเชฺฌนาติ วิกฺขมฺภนวเสน ปหีนตฺตา วิคตาภิเชฺฌน, น จกฺขุวิญฺญาณสทิเสนาติ อโตฺถฯ อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธตีติ อภิชฺฌาโต จิตฺตํ ปริโมเจติฯ ยถา ตํ สา มุญฺจติ เจว, มุญฺจิตฺวา จ น ปุน คณฺหติ, เอวํ กโรตีติ อโตฺถฯ พฺยาปาทปโทสํ ปหายาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ พฺยาปชฺชติ อิมินา จิตฺตํ ปูติกุมฺมาสาทโย วิย ปุริมปกติํ วิชหตีติ พฺยาปาโทฯ วิการาปตฺติยา ปทุสฺสติ, ปรํ วา ปทูเสติ วินาเสตีติ ปโทโสฯ อุภยเมตํ โกธเสฺสวาธิวจนํ ฯ ถินํ จิตฺตเคลญฺญํฯ มิทฺธํ เจตสิกเคลญฺญํ, ถินญฺจ มิทฺธญฺจ ถินมิทฺธํฯ อาโลกสญฺญีติ รตฺติมฺปิ ทิวาทิฎฺฐาโลกสญฺชานนสมตฺถาย วิคตนีวรณาย ปริสุทฺธาย สญฺญาย สมนฺนาคโตฯ สโต สมฺปชาโนติ สติยา จ ญาเณน จ สมนฺนาคโตฯ อิทํ อุภยํ อาโลกสญฺญาย อุปการตฺตา วุตฺตํฯ อุทฺธจฺจญฺจ กุกฺกุจฺจญฺจ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํฯ ติณฺณวิจิกิโจฺฉติ วิจิกิจฺฉํ ตริตฺวา อติกฺกมิตฺวา ฐิโตฯ ‘‘กถมิทํ กถมิท’’นฺติ เอวํ นปฺปวตฺตตีติ อกถํกถีฯ กุสเลสุ ธเมฺมสูติ อนวเชฺชสุ ธเมฺมสุฯ ‘‘อิเม นุ โข กุสลา กถมิเม กุสลา’’ติ เอวํ น วิจิกิจฺฉติฯ น กงฺขตีติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ อิเมสุ ปน นีวรเณสุ วจนตฺถลกฺขณาทิเภทโต ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตํฯ
217.Abhijjhaṃ loketi ettha lujjanapalujjanaṭṭhena pañcupādānakkhandhā loko, tasmā pañcasu upādānakkhandhesu rāgaṃ pahāya kāmacchandaṃ vikkhambhetvāti ayametthattho. Vigatābhijjhenāti vikkhambhanavasena pahīnattā vigatābhijjhena, na cakkhuviññāṇasadisenāti attho. Abhijjhāya cittaṃ parisodhetīti abhijjhāto cittaṃ parimoceti. Yathā taṃ sā muñcati ceva, muñcitvā ca na puna gaṇhati, evaṃ karotīti attho. Byāpādapadosaṃ pahāyātiādīsupi eseva nayo. Byāpajjati iminā cittaṃ pūtikummāsādayo viya purimapakatiṃ vijahatīti byāpādo. Vikārāpattiyā padussati, paraṃ vā padūseti vināsetīti padoso. Ubhayametaṃ kodhassevādhivacanaṃ . Thinaṃ cittagelaññaṃ. Middhaṃ cetasikagelaññaṃ, thinañca middhañca thinamiddhaṃ. Ālokasaññīti rattimpi divādiṭṭhālokasañjānanasamatthāya vigatanīvaraṇāya parisuddhāya saññāya samannāgato. Sato sampajānoti satiyā ca ñāṇena ca samannāgato. Idaṃ ubhayaṃ ālokasaññāya upakārattā vuttaṃ. Uddhaccañca kukkuccañca uddhaccakukkuccaṃ. Tiṇṇavicikicchoti vicikicchaṃ taritvā atikkamitvā ṭhito. ‘‘Kathamidaṃ kathamida’’nti evaṃ nappavattatīti akathaṃkathī. Kusalesu dhammesūti anavajjesu dhammesu. ‘‘Ime nu kho kusalā kathamime kusalā’’ti evaṃ na vicikicchati. Na kaṅkhatīti attho. Ayamettha saṅkhepo. Imesu pana nīvaraṇesu vacanatthalakkhaṇādibhedato yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ visuddhimagge vuttaṃ.
๒๑๘. ยา ปนายํ เสยฺยถาปิ มหาราชาติ อุปมา วุตฺตาฯ ตตฺถ อิณํ อาทายาติ วฑฺฒิยา ธนํ คเหตฺวาฯ พฺยนฺติํ กเรยฺยาติ วิคตนฺตํ กเรยฺย , ยถา เตสํ กากณิกมโตฺตปิ ปริยโนฺต นาม นาวสิสฺสติ, เอวํ กเรยฺย; สพฺพโส ปฎินิยฺยาเตยฺยาติ อโตฺถฯ ตโต นิทานนฺติ อาณณฺยนิทานํฯ โส หิ ‘‘อณโณมฺหี’’ติ อาวชฺชโนฺต พลวปาโมชฺชํ ลภติ, โสมนสฺสํ อธิคจฺฉติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺส’’นฺติฯ
218. Yā panāyaṃ seyyathāpi mahārājāti upamā vuttā. Tattha iṇaṃ ādāyāti vaḍḍhiyā dhanaṃ gahetvā. Byantiṃ kareyyāti vigatantaṃ kareyya , yathā tesaṃ kākaṇikamattopi pariyanto nāma nāvasissati, evaṃ kareyya; sabbaso paṭiniyyāteyyāti attho. Tato nidānanti āṇaṇyanidānaṃ. So hi ‘‘aṇaṇomhī’’ti āvajjanto balavapāmojjaṃ labhati, somanassaṃ adhigacchati, tena vuttaṃ – ‘‘labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassa’’nti.
๒๑๙. วิสภาคเวทนุปฺปตฺติยา กกเจเนว จตุอิริยาปถํ ฉินฺทโนฺต อาพาธตีติ อาพาโธ, สฺวาสฺส อตฺถีติ อาพาธิโกฯ ตํ สมุฎฺฐาเนน ทุเกฺขน ทุกฺขิโตฯ อธิมตฺตคิลาโนติ พาฬฺหคิลาโนฯ นจฺฉาเทยฺยาติ อธิมตฺตพฺยาธิปเรตตาย น รุเจฺจยฺยฯ พลมตฺตาติ พลเมว, พลญฺจสฺส กาเย น ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ ตโตนิทานนฺติ อาโรคฺยนิทานํฯ ตสฺส หิ – ‘‘อโรโคมฺหี’’ติ อาวชฺชยโต ตทุภยํ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺส’’นฺติฯ
219. Visabhāgavedanuppattiyā kakaceneva catuiriyāpathaṃ chindanto ābādhatīti ābādho, svāssa atthīti ābādhiko. Taṃ samuṭṭhānena dukkhena dukkhito. Adhimattagilānoti bāḷhagilāno. Nacchādeyyāti adhimattabyādhiparetatāya na rucceyya. Balamattāti balameva, balañcassa kāye na bhaveyyāti attho. Tatonidānanti ārogyanidānaṃ. Tassa hi – ‘‘arogomhī’’ti āvajjayato tadubhayaṃ hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassa’’nti.
๒๒๐. น จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยติ กากณิกมตฺตมฺปิ โภคานํ วโย น ภเวยฺยฯ ตโตนิทานนฺติ พนฺธนาโมกฺขนิทานํฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว สพฺพปเทสุ โยเชตพฺพํฯ
220.Na cassa kiñci bhogānaṃ vayoti kākaṇikamattampi bhogānaṃ vayo na bhaveyya. Tatonidānanti bandhanāmokkhanidānaṃ. Sesaṃ vuttanayeneva sabbapadesu yojetabbaṃ.
๒๒๑-๒๒๒. อนตฺตาธีโนติ น อตฺตนิ อธีโน, อตฺตโน รุจิยา กิญฺจิ กาตุํ น ลภติฯ ปราธีโนติ ปเรสุ อธีโน ปรเสฺสว รุจิยา วตฺตติฯ น เยน กามํ คโมติ เยน ทิสาภาเคนสฺส คนฺตุกามตา โหติ, อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ คมนาย, เตน คนฺตุํ น ลภติฯ ทาสพฺยาติ ทาสภาวาฯ ภุชิโสฺสติ อตฺตโน สนฺตโกฯ ตโตนิทานนฺติ ภุชิสฺสนิทานํฯ กนฺตารทฺธานมคฺคนฺติ กนฺตารํ อทฺธานมคฺคํ, นิรุทกํ ทีฆมคฺคนฺติ อโตฺถฯ ตโตนิทานนฺติ เขมนฺตภูมินิทานํฯ
221-222.Anattādhīnoti na attani adhīno, attano ruciyā kiñci kātuṃ na labhati. Parādhīnoti paresu adhīno parasseva ruciyā vattati. Na yena kāmaṃ gamoti yena disābhāgenassa gantukāmatā hoti, icchā uppajjati gamanāya, tena gantuṃ na labhati. Dāsabyāti dāsabhāvā. Bhujissoti attano santako. Tatonidānanti bhujissanidānaṃ. Kantāraddhānamagganti kantāraṃ addhānamaggaṃ, nirudakaṃ dīghamagganti attho. Tatonidānanti khemantabhūminidānaṃ.
๒๒๓. อิเม ปญฺจ นีวรเณ อปฺปหีเนติ เอตฺถ ภควา อปฺปหีนกามจฺฉนฺทนีวรณํ อิณสทิสํ, เสสานิ โรคาทิสทิสานิ กตฺวา ทเสฺสติฯ ตตฺรายํ สทิสตาฯ โย หิ ปเรสํ อิณํ คเหตฺวา วินาเสติ, โส เตหิ อิณํ เทหีติ วุจฺจมาโนปิ ผรุสํ วุจฺจมาโนปิ พชฺฌมาโนปิ วธียมาโนปิ กิญฺจิ ปฎิพาหิตุํ น สโกฺกติ, สพฺพํ ติติกฺขติฯ ติติกฺขาการณํ หิสฺส ตํ อิณํ โหติฯ เอวเมว โย ยมฺหิ กามจฺฉเนฺทน รชฺชติ, ตณฺหาสหคเตน ตํ วตฺถุํ คณฺหติ, โส เตน ผรุสํ วุจฺจมาโนปิ พชฺฌมาโนปิ วธียมาโนปิ สพฺพํ ติติกฺขติ, ติติกฺขาการณํ หิสฺส โส กามจฺฉโนฺท โหติ, ฆรสามิเกหิ วธียมานานํ อิตฺถีนํ วิยาติ, เอวํ อิณํ วิย กามจฺฉโนฺท ทฎฺฐโพฺพฯ
223.Ime pañca nīvaraṇe appahīneti ettha bhagavā appahīnakāmacchandanīvaraṇaṃ iṇasadisaṃ, sesāni rogādisadisāni katvā dasseti. Tatrāyaṃ sadisatā. Yo hi paresaṃ iṇaṃ gahetvā vināseti, so tehi iṇaṃ dehīti vuccamānopi pharusaṃ vuccamānopi bajjhamānopi vadhīyamānopi kiñci paṭibāhituṃ na sakkoti, sabbaṃ titikkhati. Titikkhākāraṇaṃ hissa taṃ iṇaṃ hoti. Evameva yo yamhi kāmacchandena rajjati, taṇhāsahagatena taṃ vatthuṃ gaṇhati, so tena pharusaṃ vuccamānopi bajjhamānopi vadhīyamānopi sabbaṃ titikkhati, titikkhākāraṇaṃ hissa so kāmacchando hoti, gharasāmikehi vadhīyamānānaṃ itthīnaṃ viyāti, evaṃ iṇaṃ viya kāmacchando daṭṭhabbo.
ยถา ปน ปิตฺตโรคาตุโร มธุสกฺกราทีสุปิ ทิเนฺนสุ ปิตฺตโรคาตุรตาย เตสํ รสํ น วินฺทติ, ‘‘ติตฺตกํ ติตฺตก’’นฺติ อุคฺคิรติเยวฯ เอวเมว พฺยาปนฺนจิโตฺต หิตกาเมหิ อาจริยุปชฺฌาเยหิ อปฺปมตฺตกมฺปิ โอวทิยมาโน โอวาทํ น คณฺหติฯ ‘‘อติ วิย เม ตุเมฺห อุปทฺทเวถา’’ติอาทีนิ วตฺวา วิพฺภมติฯ ปิตฺตโรคาตุรตาย โส ปุริโส มธุสกฺกราทีนํ วิย โกธาตุรตาย ฌานสุขาทิเภทํ สาสนรสํ น วินฺทตีติฯ เอวํ โรโค วิย พฺยาปาโท ทฎฺฐโพฺพฯ
Yathā pana pittarogāturo madhusakkarādīsupi dinnesu pittarogāturatāya tesaṃ rasaṃ na vindati, ‘‘tittakaṃ tittaka’’nti uggiratiyeva. Evameva byāpannacitto hitakāmehi ācariyupajjhāyehi appamattakampi ovadiyamāno ovādaṃ na gaṇhati. ‘‘Ati viya me tumhe upaddavethā’’tiādīni vatvā vibbhamati. Pittarogāturatāya so puriso madhusakkarādīnaṃ viya kodhāturatāya jhānasukhādibhedaṃ sāsanarasaṃ na vindatīti. Evaṃ rogo viya byāpādo daṭṭhabbo.
ยถา ปน นกฺขตฺตทิวเส พนฺธนาคาเร พโทฺธ ปุริโส นกฺขตฺตสฺส เนว อาทิํ น มชฺฌํ น ปริโยสานํ ปสฺสติฯ โส ทุติยทิวเส มุโตฺต อโห หิโยฺย นกฺขตฺตํ มนาปํ, อโห นจฺจํ, อโห คีตนฺติอาทีนิ สุตฺวาปิ ปฎิวจนํ น เทติฯ กิํ การณา? นกฺขตฺตสฺส อนนุภูตตฺตาฯ เอวเมว ถินมิทฺธาภิภูโต ภิกฺขุ วิจิตฺตนเยปิ ธมฺมสฺสวเน ปวตฺตมาเน เนว ตสฺส อาทิํ น มชฺฌํ น ปริโยสานํ ชานาติฯ โสปิ อุฎฺฐิเต ธมฺมสฺสวเน อโห ธมฺมสฺสวนํ, อโห การณํ, อโห อุปมาติ ธมฺมสฺสวนสฺส วณฺณํ ภณมานานํ สุตฺวาปิ ปฎิวจนํ น เทติฯ กิํ การณา? ถินมิทฺธวเสน ธมฺมกถาย อนนุภูตตฺตาฯ เอวํ พนฺธนาคารํ วิย ถินมิทฺธํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yathā pana nakkhattadivase bandhanāgāre baddho puriso nakkhattassa neva ādiṃ na majjhaṃ na pariyosānaṃ passati. So dutiyadivase mutto aho hiyyo nakkhattaṃ manāpaṃ, aho naccaṃ, aho gītantiādīni sutvāpi paṭivacanaṃ na deti. Kiṃ kāraṇā? Nakkhattassa ananubhūtattā. Evameva thinamiddhābhibhūto bhikkhu vicittanayepi dhammassavane pavattamāne neva tassa ādiṃ na majjhaṃ na pariyosānaṃ jānāti. Sopi uṭṭhite dhammassavane aho dhammassavanaṃ, aho kāraṇaṃ, aho upamāti dhammassavanassa vaṇṇaṃ bhaṇamānānaṃ sutvāpi paṭivacanaṃ na deti. Kiṃ kāraṇā? Thinamiddhavasena dhammakathāya ananubhūtattā. Evaṃ bandhanāgāraṃ viya thinamiddhaṃ daṭṭhabbaṃ.
ยถา ปน นกฺขตฺตํ กีฬโนฺตปิ ทาโส – ‘‘อิทํ นาม อจฺจายิกํ กรณียํ อตฺถิ, สีฆํ ตตฺถ คจฺฉาหิฯ โน เจ คจฺฉสิ, หตฺถปาทํ วา เต ฉินฺทามิ กณฺณนาสํ วา’’ติ วุโตฺต สีฆํ คจฺฉติเยว ฯ นกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวิตุํ น ลภติ, กสฺมา? ปราธีนตาย, เอวเมว วินเย อปกตญฺญุนา วิเวกตฺถาย อรญฺญํ ปวิเฎฺฐนาปิ กิสฺมิญฺจิเทว อนฺตมโส กปฺปิยมํเสปิ อกปฺปิยมํสสญฺญาย อุปฺปนฺนาย วิเวกํ ปหาย สีลวิโสธนตฺถํ วินยธรสฺส สนฺติกํ คนฺตพฺพํ โหติ, วิเวกสุขํ อนุภวิตุํ น ลภติ, กสฺมา? อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจาภิภูตตายาติฯ เอวํ ทาสพฺยํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yathā pana nakkhattaṃ kīḷantopi dāso – ‘‘idaṃ nāma accāyikaṃ karaṇīyaṃ atthi, sīghaṃ tattha gacchāhi. No ce gacchasi, hatthapādaṃ vā te chindāmi kaṇṇanāsaṃ vā’’ti vutto sīghaṃ gacchatiyeva . Nakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavituṃ na labhati, kasmā? Parādhīnatāya, evameva vinaye apakataññunā vivekatthāya araññaṃ paviṭṭhenāpi kismiñcideva antamaso kappiyamaṃsepi akappiyamaṃsasaññāya uppannāya vivekaṃ pahāya sīlavisodhanatthaṃ vinayadharassa santikaṃ gantabbaṃ hoti, vivekasukhaṃ anubhavituṃ na labhati, kasmā? Uddhaccakukkuccābhibhūtatāyāti. Evaṃ dāsabyaṃ viya uddhaccakukkuccaṃ daṭṭhabbaṃ.
ยถา ปน กนฺตารทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน ปุริโส โจเรหิ มนุสฺสานํ วิลุโตฺตกาสํ ปหโตกาสญฺจ ทิสฺวา ทณฺฑกสเทฺทนปิ สกุณสเทฺทนปิ ‘‘โจรา อาคตา’’ติ อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิโตว โหติ, คจฺฉติปิ ติฎฺฐติปิ นิวตฺตติปิ, คตฎฺฐานโต อคตฎฺฐานเมว พหุตรํ โหติฯ โส กิเจฺฉน กสิเรน เขมนฺตภูมิํ ปาปุณาติ วา น วา ปาปุณาติฯ เอวเมว ยสฺส อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิจิกิจฺฉา อุปฺปนฺนา โหติ, โส – ‘‘พุโทฺธ นุ โข, โน นุ โข พุโทฺธ’’ติอาทินา นเยน วิจิกิจฺฉโนฺต อธิมุจฺจิตฺวา สทฺธาย คณฺหิตุํ น สโกฺกติฯ อสโกฺกโนฺต มคฺคํ วา ผลํ วา น ปาปุณาตีติฯ ยถา กนฺตารทฺธานมเคฺค – ‘‘โจรา อตฺถิ นตฺถี’’ติ ปุนปฺปุนํ อาสปฺปนปริสปฺปนํ อปริโยคาหนํ ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปฺปาเทโนฺต เขมนฺตปตฺติยา อนฺตรายํ กโรติ, เอวํ วิจิกิจฺฉาปิ – ‘‘พุโทฺธ นุ โข, น พุโทฺธ’’ติอาทินา นเยน ปุนปฺปุนํ อาสปฺปนปริสปฺปนํ อปริโยคาหนํ ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปฺปาทยมานา อริยภูมิปฺปตฺติยา อนฺตรายํ กโรตีติ กนฺตารทฺธานมโคฺค วิย วิจิกิจฺฉา ทฎฺฐพฺพาฯ
Yathā pana kantāraddhānamaggappaṭipanno puriso corehi manussānaṃ viluttokāsaṃ pahatokāsañca disvā daṇḍakasaddenapi sakuṇasaddenapi ‘‘corā āgatā’’ti ussaṅkitaparisaṅkitova hoti, gacchatipi tiṭṭhatipi nivattatipi, gataṭṭhānato agataṭṭhānameva bahutaraṃ hoti. So kicchena kasirena khemantabhūmiṃ pāpuṇāti vā na vā pāpuṇāti. Evameva yassa aṭṭhasu ṭhānesu vicikicchā uppannā hoti, so – ‘‘buddho nu kho, no nu kho buddho’’tiādinā nayena vicikicchanto adhimuccitvā saddhāya gaṇhituṃ na sakkoti. Asakkonto maggaṃ vā phalaṃ vā na pāpuṇātīti. Yathā kantāraddhānamagge – ‘‘corā atthi natthī’’ti punappunaṃ āsappanaparisappanaṃ apariyogāhanaṃ chambhitattaṃ cittassa uppādento khemantapattiyā antarāyaṃ karoti, evaṃ vicikicchāpi – ‘‘buddho nu kho, na buddho’’tiādinā nayena punappunaṃ āsappanaparisappanaṃ apariyogāhanaṃ chambhitattaṃ cittassa uppādayamānā ariyabhūmippattiyā antarāyaṃ karotīti kantāraddhānamaggo viya vicikicchā daṭṭhabbā.
๒๒๔. อิทานิ – ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, อาณณฺย’’นฺติ เอตฺถ ภควา ปหีนกามจฺฉนฺทนีวรณํ อาณณฺยสทิสํ, เสสานิ อาโรคฺยาทิสทิสานิ กตฺวา ทเสฺสติฯ ตตฺรายํ สทิสตา, ยถา หิ ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชตฺวา สมิทฺธตํ ปโตฺต – ‘‘อิทํ อิณํ นาม ปลิโพธมูล’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สวฑฺฒิกํ อิณํ นิยฺยาเตตฺวา ปณฺณํ ผาลาเปยฺยฯ อถสฺส ตโต ปฎฺฐาย เนว โกจิ ทูตํ เปเสติ, น ปณฺณํฯ โส อิณสามิเก ทิสฺวาปิ สเจ อิจฺฉติ, อาสนา อุฎฺฐหติ, โน เจ น อุฎฺฐหติ, กสฺมา? เตหิ สทฺธิํ นิเลฺลปตาย อลคฺคตายฯ เอวเมว ภิกฺขุ – ‘‘อยํ กามจฺฉโนฺท นาม ปลิโพธมูล’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา กามจฺฉนฺทนีวรณํ ปชหติฯ เต ปน ฉ ธเมฺม มหาสติปฎฺฐาเน วณฺณยิสฺสามฯ ตเสฺสวํ ปหีนกามจฺฉนฺทสฺส ยถา อิณมุตฺตสฺส ปุริสสฺส อิณสฺสามิเก ทิสฺวา เนว ภยํ น ฉมฺภิตตฺตํ โหติฯ เอวเมว ปรวตฺถุมฺหิ เนว สโงฺค น พโทฺธ โหติฯ ทิพฺพานิปิ รูปานิ ปสฺสโต กิเลโส น สมุทาจรติฯ ตสฺมา ภควา อาณณฺยมิว กามจฺฉนฺทปฺปหานํ อาหฯ
224. Idāni – ‘‘seyyathāpi, mahārāja, āṇaṇya’’nti ettha bhagavā pahīnakāmacchandanīvaraṇaṃ āṇaṇyasadisaṃ, sesāni ārogyādisadisāni katvā dasseti. Tatrāyaṃ sadisatā, yathā hi puriso iṇaṃ ādāya kammante payojetvā samiddhataṃ patto – ‘‘idaṃ iṇaṃ nāma palibodhamūla’’nti cintetvā savaḍḍhikaṃ iṇaṃ niyyātetvā paṇṇaṃ phālāpeyya. Athassa tato paṭṭhāya neva koci dūtaṃ peseti, na paṇṇaṃ. So iṇasāmike disvāpi sace icchati, āsanā uṭṭhahati, no ce na uṭṭhahati, kasmā? Tehi saddhiṃ nillepatāya alaggatāya. Evameva bhikkhu – ‘‘ayaṃ kāmacchando nāma palibodhamūla’’nti cintetvā cha dhamme bhāvetvā kāmacchandanīvaraṇaṃ pajahati. Te pana cha dhamme mahāsatipaṭṭhāne vaṇṇayissāma. Tassevaṃ pahīnakāmacchandassa yathā iṇamuttassa purisassa iṇassāmike disvā neva bhayaṃ na chambhitattaṃ hoti. Evameva paravatthumhi neva saṅgo na baddho hoti. Dibbānipi rūpāni passato kileso na samudācarati. Tasmā bhagavā āṇaṇyamiva kāmacchandappahānaṃ āha.
ยถา ปน โส ปิตฺตโรคาตุโร ปุริโส เภสชฺชกิริยาย ตํ โรคํ วูปสเมตฺวา ตโต ปฎฺฐาย มธุสกฺกราทีนํ รสํ วินฺทติฯ เอวเมว ภิกฺขุ ‘‘อยํ พฺยาปาโท นาม มหา อนตฺถกโร’’ติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา พฺยาปาทนีวรณํ ปชหติฯ สพฺพนีวรเณสุ ฉ ธเมฺม มหาสติปฎฺฐาเนเยว วณฺณยิสฺสามฯ น เกวลญฺจ เตเยว, เยปิ ถินมิทฺธาทีนํ ปหานาย ภาเวตพฺพา, เตปิ สเพฺพ ตเตฺถว วณฺณยิสฺสามฯ โส เอวํ ปหีนพฺยาปาโท ยถา ปิตฺตโรควิมุโตฺต ปุริโส มธุสกฺกราทีนํ รสํ สมฺปิยายมาโน ปฎิเสวติ, เอวเมว อาจารปณฺณตฺติอาทีนิ สิกฺขาปทานิ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สมฺปิยายมาโน สิกฺขติฯ ตสฺมา ภควา อาโรคฺยมิว พฺยาปาทปฺปหานํ อาหฯ
Yathā pana so pittarogāturo puriso bhesajjakiriyāya taṃ rogaṃ vūpasametvā tato paṭṭhāya madhusakkarādīnaṃ rasaṃ vindati. Evameva bhikkhu ‘‘ayaṃ byāpādo nāma mahā anatthakaro’’ti cha dhamme bhāvetvā byāpādanīvaraṇaṃ pajahati. Sabbanīvaraṇesu cha dhamme mahāsatipaṭṭhāneyeva vaṇṇayissāma. Na kevalañca teyeva, yepi thinamiddhādīnaṃ pahānāya bhāvetabbā, tepi sabbe tattheva vaṇṇayissāma. So evaṃ pahīnabyāpādo yathā pittarogavimutto puriso madhusakkarādīnaṃ rasaṃ sampiyāyamāno paṭisevati, evameva ācārapaṇṇattiādīni sikkhāpadāni sirasā sampaṭicchitvā sampiyāyamāno sikkhati. Tasmā bhagavā ārogyamiva byāpādappahānaṃ āha.
ยถา โส นกฺขตฺตทิวเส พนฺธนาคารํ ปเวสิโต ปุริโส อปรสฺมิํ นกฺขตฺตทิวเส – ‘‘ปุเพฺพปิ อหํ ปมาทโทเสน พโทฺธ, เตน นกฺขตฺตํ นานุภวิํฯ อิทานิ อปฺปมโตฺต ภวิสฺสามี’’ติ ยถาสฺส ปจฺจตฺถิกา โอกาสํ น ลภนฺติ, เอวํ อปฺปมโตฺต หุตฺวา นกฺขตฺตํ อนุภวิตฺวา – ‘อโห นกฺขตฺตํ, อโห นกฺขตฺต’นฺติ อุทานํ อุทาเนสิ, เอวเมว ภิกฺขุ – ‘‘อิทํ ถินมิทฺธํ นาม มหาอนตฺถกร’’นฺติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา ถินมิทฺธนีวรณํ ปชหติ, โส เอวํ ปหีนถินมิโทฺธ ยถา พนฺธนา มุโตฺต ปุริโส สตฺตาหมฺปิ นกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวติ, เอวเมว ธมฺมนกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา ภควา พนฺธนา โมกฺขมิว ถินมิทฺธปฺปหานํ อาหฯ
Yathā so nakkhattadivase bandhanāgāraṃ pavesito puriso aparasmiṃ nakkhattadivase – ‘‘pubbepi ahaṃ pamādadosena baddho, tena nakkhattaṃ nānubhaviṃ. Idāni appamatto bhavissāmī’’ti yathāssa paccatthikā okāsaṃ na labhanti, evaṃ appamatto hutvā nakkhattaṃ anubhavitvā – ‘aho nakkhattaṃ, aho nakkhatta’nti udānaṃ udānesi, evameva bhikkhu – ‘‘idaṃ thinamiddhaṃ nāma mahāanatthakara’’nti cha dhamme bhāvetvā thinamiddhanīvaraṇaṃ pajahati, so evaṃ pahīnathinamiddho yathā bandhanā mutto puriso sattāhampi nakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavati, evameva dhammanakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavanto saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā bhagavā bandhanā mokkhamiva thinamiddhappahānaṃ āha.
ยถา ปน ทาโส กิญฺจิเทว มิตฺตํ อุปนิสฺสาย สามิกานํ ธนํ ทตฺวา อตฺตานํ ภุชิสฺสํ กตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ยํ อิจฺฉติ, ตํ กโรติฯ เอวเมว ภิกฺขุ – ‘‘อิทํ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ นาม มหา อนตฺถกร’’นฺติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปชหติฯ โส เอวํ ปหีนอุทฺธจฺจกุกฺกุโจฺจ ยถา ภุชิโสฺส ปุริโส ยํ อิจฺฉติ, ตํ กโรติ, น ตํ โกจิ พลกฺกาเรน ตโต นิวเตฺตติ , เอวเมว ยถา สุขํ เนกฺขมฺมปฎิปทํ ปฎิปชฺชติ, น ตํ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ พลกฺกาเรน ตโต นิวเตฺตติฯ ตสฺมา ภควา ภุชิสฺสํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปฺปหานํ อาหฯ
Yathā pana dāso kiñcideva mittaṃ upanissāya sāmikānaṃ dhanaṃ datvā attānaṃ bhujissaṃ katvā tato paṭṭhāya yaṃ icchati, taṃ karoti. Evameva bhikkhu – ‘‘idaṃ uddhaccakukkuccaṃ nāma mahā anatthakara’’nti cha dhamme bhāvetvā uddhaccakukkuccaṃ pajahati. So evaṃ pahīnauddhaccakukkucco yathā bhujisso puriso yaṃ icchati, taṃ karoti, na taṃ koci balakkārena tato nivatteti , evameva yathā sukhaṃ nekkhammapaṭipadaṃ paṭipajjati, na taṃ uddhaccakukkuccaṃ balakkārena tato nivatteti. Tasmā bhagavā bhujissaṃ viya uddhaccakukkuccappahānaṃ āha.
ยถา พลวา ปุริโส หตฺถสารํ คเหตฺวา สชฺชาวุโธ สปริวาโร กนฺตารํ ปฎิปเชฺชยฺย, ตํ โจรา ทูรโตว ทิสฺวา ปลาเยยฺยุํฯ โส โสตฺถินา ตํ กนฺตารํ นิตฺถริตฺวา เขมนฺตํ ปโตฺต หฎฺฐตุโฎฺฐ อสฺสฯ เอวเมว ภิกฺขุ ‘‘อยํ วิจิกิจฺฉา นาม มหา อนตฺถการิกา’’ติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา วิจิกิจฺฉํ ปชหติ ฯ โส เอวํ ปหีนวิจิกิโจฺฉ ยถา พลวา ปุริโส สชฺชาวุโธ สปริวาโร นิพฺภโย โจเร ติณํ วิย อคเณตฺวา โสตฺถินา นิกฺขมิตฺวา เขมนฺตภูมิํ ปาปุณาติ, เอวเมว ภิกฺขุ ทุจฺจริตกนฺตารํ นิตฺถริตฺวา ปรมํ เขมนฺตภูมิํ อมตํ มหานิพฺพานํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา ภควา เขมนฺตภูมิํ วิย วิจิกิจฺฉาปหานํ อาหฯ
Yathā balavā puriso hatthasāraṃ gahetvā sajjāvudho saparivāro kantāraṃ paṭipajjeyya, taṃ corā dūratova disvā palāyeyyuṃ. So sotthinā taṃ kantāraṃ nittharitvā khemantaṃ patto haṭṭhatuṭṭho assa. Evameva bhikkhu ‘‘ayaṃ vicikicchā nāma mahā anatthakārikā’’ti cha dhamme bhāvetvā vicikicchaṃ pajahati . So evaṃ pahīnavicikiccho yathā balavā puriso sajjāvudho saparivāro nibbhayo core tiṇaṃ viya agaṇetvā sotthinā nikkhamitvā khemantabhūmiṃ pāpuṇāti, evameva bhikkhu duccaritakantāraṃ nittharitvā paramaṃ khemantabhūmiṃ amataṃ mahānibbānaṃ pāpuṇāti. Tasmā bhagavā khemantabhūmiṃ viya vicikicchāpahānaṃ āha.
๒๒๕. ปาโมชฺชํ ชายตีติ ตุฎฺฐากาโร ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายตีติ ตุฎฺฐสฺส สกลสรีรํ โขภยมานา ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภตีติ ปีติสมฺปยุตฺตจิตฺตสฺส ปุคฺคลสฺส นามกาโย ปสฺสมฺภติ, วิคตทรโถ โหติฯ สุขํ เวเทตีติ กายิกมฺปิ เจตสิกมฺปิ สุขํ เวทยติฯ จิตฺตํ สมาธิยตีติ อิมินา เนกฺขมฺมสุเขน สุขิตสฺส อุปจารวเสนปิ อปฺปนาวเสนปิ จิตฺตํ สมาธิยติฯ
225.Pāmojjaṃ jāyatīti tuṭṭhākāro jāyati. Pamuditassa pīti jāyatīti tuṭṭhassa sakalasarīraṃ khobhayamānā pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhatīti pītisampayuttacittassa puggalassa nāmakāyo passambhati, vigatadaratho hoti. Sukhaṃ vedetīti kāyikampi cetasikampi sukhaṃ vedayati. Cittaṃ samādhiyatīti iminā nekkhammasukhena sukhitassa upacāravasenapi appanāvasenapi cittaṃ samādhiyati.
ปฐมชฺฌานกถา
Paṭhamajjhānakathā
๒๒๖. โส วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตีติอาทิ ปน อุปจารสมาธินา สมาหิเต จิเตฺต อุปริวิเสสทสฺสนตฺถํ อปฺปนาสมาธินา สมาหิเต จิเตฺต ตสฺส สมาธิโน ปเภททสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิมเมว กายนฺติ อิมํ กรชกายํฯ อภิสเนฺทตีติ เตเมติ เสฺนเหติ, สพฺพตฺถ ปวตฺตปีติสุขํ กโรติฯ ปริสเนฺทตีติ สมนฺตโต สเนฺทติฯ ปริปูเรตีติ วายุนา ภสฺตํ วิย ปูเรติฯ ปริปฺผรตีติ สมนฺตโต ผุสติฯ สพฺพาวโต กายสฺสาติ อสฺส ภิกฺขุโน สพฺพโกฎฺฐาสวโต กายสฺส กิญฺจิ อุปาทินฺนกสนฺตติปวตฺติฎฺฐาเน ฉวิมํสโลหิตานุคตํ อณุมตฺตมฺปิ ฐานํ ปฐมชฺฌานสุเขน อผุฎํ นาม น โหติฯ
226.So vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatītiādi pana upacārasamādhinā samāhite citte uparivisesadassanatthaṃ appanāsamādhinā samāhite citte tassa samādhino pabhedadassanatthaṃ vuttanti veditabbaṃ. Imameva kāyanti imaṃ karajakāyaṃ. Abhisandetīti temeti sneheti, sabbattha pavattapītisukhaṃ karoti. Parisandetīti samantato sandeti. Paripūretīti vāyunā bhastaṃ viya pūreti. Parippharatīti samantato phusati. Sabbāvato kāyassāti assa bhikkhuno sabbakoṭṭhāsavato kāyassa kiñci upādinnakasantatipavattiṭṭhāne chavimaṃsalohitānugataṃ aṇumattampi ṭhānaṃ paṭhamajjhānasukhena aphuṭaṃ nāma na hoti.
๒๒๗. ทโกฺขติ เฉโก ปฎิพโล นฺหานียจุณฺณานิ กาตุเญฺจว ปโยเชตุญฺจ สเนฺนตุญฺจฯ กํสถาเลติ เยน เกนจิ โลเหน กตภาชเนฯ มตฺติกภาชนํ ปน ถิรํ น โหติฯ สเนฺนนฺตสฺส ภิชฺชติฯ ตสฺมา ตํ น ทเสฺสติฯ ปริโปฺผสกํ ปริโปฺผสกนฺติ สิญฺจิตฺวา สิญฺจิตฺวาฯ สเนฺนยฺยาติ วามหเตฺถน กํสถาลํ คเหตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน ปมาณยุตฺตํ อุทกํ สิญฺจิตฺวา สิญฺจิตฺวา ปริมทฺทโนฺต ปิณฺฑํ กเรยฺยฯ เสฺนหานุคตาติ อุทกสิเนเหน อนุคตาฯ เสฺนหปเรตาติ อุทกสิเนเหน ปริคฺคหิตาฯ สนฺตรพาหิราติ สทฺธิํ อโนฺตปเทเสน เจว พหิปเทเสน จ สพฺพตฺถกเมว อุทกสิเนเหน ผุฎาติ อโตฺถฯ น จ ปคฺฆรณีติ น จ พินฺทุ พินฺทุ อุทกํ ปคฺฆรติ, สกฺกา โหติ หเตฺถนปิ ทฺวีหิปิ ตีหิปิ องฺคุลีหิ คเหตุํ โอวฎฺฎิกายปิ กาตุนฺติ อโตฺถฯ
227.Dakkhoti cheko paṭibalo nhānīyacuṇṇāni kātuñceva payojetuñca sannetuñca. Kaṃsathāleti yena kenaci lohena katabhājane. Mattikabhājanaṃ pana thiraṃ na hoti. Sannentassa bhijjati. Tasmā taṃ na dasseti. Paripphosakaṃparipphosakanti siñcitvā siñcitvā. Sanneyyāti vāmahatthena kaṃsathālaṃ gahetvā dakkhiṇahatthena pamāṇayuttaṃ udakaṃ siñcitvā siñcitvā parimaddanto piṇḍaṃ kareyya. Snehānugatāti udakasinehena anugatā. Snehaparetāti udakasinehena pariggahitā. Santarabāhirāti saddhiṃ antopadesena ceva bahipadesena ca sabbatthakameva udakasinehena phuṭāti attho. Na ca paggharaṇīti na ca bindu bindu udakaṃ paggharati, sakkā hoti hatthenapi dvīhipi tīhipi aṅgulīhi gahetuṃ ovaṭṭikāyapi kātunti attho.
ทุติยชฺฌานกถา
Dutiyajjhānakathā
๒๒๘-๒๒๙. ทุติยชฺฌานสุขูปมายํ อุพฺภิโททโกติ อุพฺภินฺนอุทโก, น เหฎฺฐา อุพฺภิชฺชิตฺวา อุคฺคจฺฉนกอุทโกฯ อโนฺตเยว ปน อุพฺภิชฺชนกอุทโกติ อโตฺถฯ อายมุขนฺติ อาคมนมโคฺคฯ เทโวติ เมโฆฯ กาเลน กาลนฺติ กาเล กาเล, อนฺวทฺธมาสํ วา อนุทสาหํ วาติ อโตฺถฯ ธารนฺติ วุฎฺฐิํฯ น อนุปฺปเวเจฺฉยฺยาติ น จ ปเวเสยฺย, น วเสฺสยฺยาติ อโตฺถฯ สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวาติ สีตํ ธารํ อุคฺคนฺตฺวา รหทํ ปูรยมานํ อุพฺภิชฺชิตฺวาฯ เหฎฺฐา อุคฺคจฺฉนอุทกญฺหิ อุคฺคนฺตฺวา อุคฺคนฺตฺวา ภิชฺชนฺตํ อุทกํ โขเภติ, จตูหิ ทิสาหิ ปวิสนอุทกํ ปุราณปณฺณติณกฎฺฐทณฺฑกาทีหิ อุทกํ โขเภติ, วุฎฺฐิอุทกํ ธารานิปาตปุพฺพุฬเกหิ อุทกํ โขเภติฯ สนฺนิสินฺนเมว ปน หุตฺวา อิทฺธินิมฺมิตมิว อุปฺปชฺชมานํ อุทกํ อิมํ ปเทสํ ผรติ, อิมํ ปเทสํ น ผรตีติ นตฺถิ, เตน อผุโฎกาโส นาม น โหตีติฯ ตตฺถ รหโท วิย กรชกาโยฯ อุทกํ วิย ทุติยชฺฌานสุขํฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
228-229. Dutiyajjhānasukhūpamāyaṃ ubbhidodakoti ubbhinnaudako, na heṭṭhā ubbhijjitvā uggacchanakaudako. Antoyeva pana ubbhijjanakaudakoti attho. Āyamukhanti āgamanamaggo. Devoti megho. Kālena kālanti kāle kāle, anvaddhamāsaṃ vā anudasāhaṃ vāti attho. Dhāranti vuṭṭhiṃ. Na anuppaveccheyyāti na ca paveseyya, na vasseyyāti attho. Sītā vāridhārā ubbhijjitvāti sītaṃ dhāraṃ uggantvā rahadaṃ pūrayamānaṃ ubbhijjitvā. Heṭṭhā uggacchanaudakañhi uggantvā uggantvā bhijjantaṃ udakaṃ khobheti, catūhi disāhi pavisanaudakaṃ purāṇapaṇṇatiṇakaṭṭhadaṇḍakādīhi udakaṃ khobheti, vuṭṭhiudakaṃ dhārānipātapubbuḷakehi udakaṃ khobheti. Sannisinnameva pana hutvā iddhinimmitamiva uppajjamānaṃ udakaṃ imaṃ padesaṃ pharati, imaṃ padesaṃ na pharatīti natthi, tena aphuṭokāso nāma na hotīti. Tattha rahado viya karajakāyo. Udakaṃ viya dutiyajjhānasukhaṃ. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.
ตติยชฺฌานกถา
Tatiyajjhānakathā
๒๓๐-๒๓๑. ตติยชฺฌานสุขูปมายํ อุปฺปลานิ เอตฺถ สนฺตีติ อุปฺปลินีฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ เสตรตฺตนีเลสุ ยํ กิญฺจิ อุปฺปลํ อุปฺปลเมวฯ อูนกสตปตฺตํ ปุณฺฑรีกํ, สตปตฺตํ ปทุมํฯ ปตฺตนิยมํ วา วินาปิ เสตํ ปทุมํ, รตฺตํ ปุณฺฑรีกนฺติ อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ อุทกานุคฺคตานีติ อุทกโต น อุคฺคตานิฯ อโนฺต นิมุคฺคโปสีนีติ อุทกตลสฺส อโนฺต นิมุคฺคานิเยว หุตฺวา โปสีนิ, วฑฺฒีนีติ อโตฺถฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
230-231. Tatiyajjhānasukhūpamāyaṃ uppalāni ettha santīti uppalinī. Sesapadadvayepi eseva nayo. Ettha ca setarattanīlesu yaṃ kiñci uppalaṃ uppalameva. Ūnakasatapattaṃ puṇḍarīkaṃ, satapattaṃ padumaṃ. Pattaniyamaṃ vā vināpi setaṃ padumaṃ, rattaṃ puṇḍarīkanti ayamettha vinicchayo. Udakānuggatānīti udakato na uggatāni. Anto nimuggaposīnīti udakatalassa anto nimuggāniyeva hutvā posīni, vaḍḍhīnīti attho. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.
จตุตฺถชฺฌานกถา
Catutthajjhānakathā
๒๓๒-๒๓๓. จตุตฺถชฺฌานสุขูปมายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตนาติ เอตฺถ นิรุปกฺกิเลสเฎฺฐน ปริสุทฺธํ, ปภสฺสรเฎฺฐน ปริโยทาตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โอทาเตน วเตฺถนาติ อิทํ อุตุผรณตฺถํ วุตฺตํฯ กิลิฎฺฐวเตฺถน หิ อุตุผรณํ น โหติ, ตงฺขณโธตปริสุเทฺธน อุตุผรณํ พลวํ โหติฯ อิมิสฺสาย หิ อุปมาย วตฺถํ วิย กรชกาโย, อุตุผรณํ วิย จตุตฺถชฺฌานสุขํฯ ตสฺมา ยถา สุนฺหาตสฺส ปุริสสฺส ปริสุทฺธํ วตฺถํ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสินฺนสฺส สรีรโต อุตุ สพฺพเมว วตฺถํ ผรติฯ น โกจิ วตฺถสฺส อผุโฎกาโส โหติฯ เอวํ จตุตฺถชฺฌานสุเขน ภิกฺขุโน กรชกายสฺส น โกจิ โอกาโส อผุโฎ โหตีติฯ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อิเมสํ ปน จตุนฺนํ ฌานานํ อนุปทวณฺณนา จ ภาวนานโย จ วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตติ อิธ น วิตฺถาริโตฯ
232-233. Catutthajjhānasukhūpamāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātenāti ettha nirupakkilesaṭṭhena parisuddhaṃ, pabhassaraṭṭhena pariyodātanti veditabbaṃ. Odātena vatthenāti idaṃ utupharaṇatthaṃ vuttaṃ. Kiliṭṭhavatthena hi utupharaṇaṃ na hoti, taṅkhaṇadhotaparisuddhena utupharaṇaṃ balavaṃ hoti. Imissāya hi upamāya vatthaṃ viya karajakāyo, utupharaṇaṃ viya catutthajjhānasukhaṃ. Tasmā yathā sunhātassa purisassa parisuddhaṃ vatthaṃ sasīsaṃ pārupitvā nisinnassa sarīrato utu sabbameva vatthaṃ pharati. Na koci vatthassa aphuṭokāso hoti. Evaṃ catutthajjhānasukhena bhikkhuno karajakāyassa na koci okāso aphuṭo hotīti. Evamettha attho daṭṭhabbo. Imesaṃ pana catunnaṃ jhānānaṃ anupadavaṇṇanā ca bhāvanānayo ca visuddhimagge vuttoti idha na vitthārito.
เอตฺตาวตา เจส รูปชฺฌานลาภีเยว, น อรูปชฺฌานลาภีติ น เวทิตโพฺพฯ น หิ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จุทฺทสหากาเรหิ จิณฺณวสีภาวํ วินา อุปริ อภิญฺญาธิคโม โหติฯ ปาฬิยํ ปน รูปชฺฌานานิเยว อาคตานิฯ อรูปชฺฌานานิ อาหริตฺวา กเถตพฺพานิฯ
Ettāvatā cesa rūpajjhānalābhīyeva, na arūpajjhānalābhīti na veditabbo. Na hi aṭṭhasu samāpattīsu cuddasahākārehi ciṇṇavasībhāvaṃ vinā upari abhiññādhigamo hoti. Pāḷiyaṃ pana rūpajjhānāniyeva āgatāni. Arūpajjhānāni āharitvā kathetabbāni.
วิปสฺสนาญาณกถา
Vipassanāñāṇakathā
๒๓๔. โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺตติ โส จุทฺทสหากาเรหิ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จิณฺณวสีภาโว ภิกฺขูติ ทเสฺสติ ฯ เสสเมตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรตีติ เอตฺถ ญาณทสฺสนนฺติ มคฺคญาณมฺปิ, วุจฺจติ ผลญาณมฺปิ, สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ, ปจฺจเวกฺขณญาณมฺปิ, วิปสฺสนาญาณมฺปิฯ ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ (มหานิ. ๑.๒๕๗) เอตฺถ หิ มคฺคญาณํ ญาณทสฺสนนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๒๘) เอตฺถ ผลญาณํฯ ‘‘ภควโตปิ โข ญาณทสฺสนํ อุทปาทิ สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาลาโม’’ติ (มหาว. ๑๐) เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาตี’’ติ (มหาว. ๑๖) เอตฺถ ปจฺจเวกฺขณญาณํ อิธ ปน ญาณทสฺสนาย จิตฺตนฺติ อิทํ วิปสฺสนาญาณํ ญาณทสฺสนนฺติ วุตฺตนฺติฯ
234.So evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatteti so cuddasahākārehi aṭṭhasu samāpattīsu ciṇṇavasībhāvo bhikkhūti dasseti . Sesamettha visuddhimagge vuttanayena veditabbaṃ. Ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharatīti ettha ñāṇadassananti maggañāṇampi, vuccati phalañāṇampi, sabbaññutaññāṇampi, paccavekkhaṇañāṇampi, vipassanāñāṇampi. ‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, ñāṇadassanavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti (mahāni. 1.257) ettha hi maggañāṇaṃ ñāṇadassananti vuttaṃ. ‘‘Ayamañño uttarimanussadhammo alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti (ma. ni. 1.328) ettha phalañāṇaṃ. ‘‘Bhagavatopi kho ñāṇadassanaṃ udapādi sattāhakālaṅkato āḷāro kālāmo’’ti (mahāva. 10) ettha sabbaññutaññāṇaṃ. ‘‘Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi akuppā me vimutti, ayamantimā jātī’’ti (mahāva. 16) ettha paccavekkhaṇañāṇaṃ idha pana ñāṇadassanāya cittanti idaṃ vipassanāñāṇaṃ ñāṇadassananti vuttanti.
อภินีหรตีติ วิปสฺสนาญาณสฺส นิพฺพตฺตนตฺถาย ตนฺนินฺนํ ตโปฺปณํ ตปฺปพฺภารํ กโรติฯ รูปีติ อาทีนมโตฺถ วุโตฺตเยวฯ โอทนกุมฺมาสูปจโยติ โอทเนน เจว กุมฺมาเสน จ อุปจิโต วฑฺฒิโตฯ อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺมติ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจธโมฺมฯ ทุคฺคนฺธวิฆาตตฺถาย ตนุวิเลปเนน อุจฺฉาทนธโมฺมฯ องฺคปจฺจงฺคาพาธวิโนทนตฺถาย ขุทฺทกสมฺพาหเนน ปริมทฺทนธโมฺมฯ ทหรกาเล วา อูรูสุ สยาเปตฺวา คพฺภาวาเสน ทุสฺสณฺฐิตานํ เตสํ เตสํ องฺคานํ สณฺฐานสมฺปาทนตฺถํ อญฺฉนปีฬนาทิวเสน ปริมทฺทนธโมฺมฯ เอวํ ปริหริโตปิ เภทนวิทฺธํสนธโมฺม ภิชฺชติ เจว วิกิรติ จ, เอวํ สภาโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ รูปี จาตุมหาภูติโกติอาทีสุ ฉหิ ปเทหิ สมุทโย กถิโตฯ อนิจฺจปเทน สทฺธิํ ปจฺฉิเมหิ ทฺวีหิ อตฺถงฺคโมฯ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธนฺติ เอตฺถ จาตุมหาภูติเก กาเย นิสฺสิตญฺจ ปฎิพทฺธญฺจฯ
Abhinīharatīti vipassanāñāṇassa nibbattanatthāya tanninnaṃ tappoṇaṃ tappabbhāraṃ karoti. Rūpīti ādīnamattho vuttoyeva. Odanakummāsūpacayoti odanena ceva kummāsena ca upacito vaḍḍhito. Aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammoti hutvā abhāvaṭṭhena aniccadhammo. Duggandhavighātatthāya tanuvilepanena ucchādanadhammo. Aṅgapaccaṅgābādhavinodanatthāya khuddakasambāhanena parimaddanadhammo. Daharakāle vā ūrūsu sayāpetvā gabbhāvāsena dussaṇṭhitānaṃ tesaṃ tesaṃ aṅgānaṃ saṇṭhānasampādanatthaṃ añchanapīḷanādivasena parimaddanadhammo. Evaṃ pariharitopi bhedanaviddhaṃsanadhammo bhijjati ceva vikirati ca, evaṃ sabhāvoti attho. Tattha rūpī cātumahābhūtikotiādīsu chahi padehi samudayo kathito. Aniccapadena saddhiṃ pacchimehi dvīhi atthaṅgamo. Ettha sitaṃ ettha paṭibaddhanti ettha cātumahābhūtike kāye nissitañca paṭibaddhañca.
๒๓๕. สุโภติ สุนฺทโรฯ ชาติมาติ ปริสุทฺธากรสมุฎฺฐิโตฯ สุปริกมฺมกโตติ สุฎฺฐุ กตปริกโมฺม อปนีตปาสาณสกฺขโรฯ อโจฺฉติ ตนุจฺฉวิฯ วิปฺปสโนฺนติ สุฎฺฐุ ปสโนฺนฯ สพฺพาการสมฺปโนฺนติ โธวนเวธนาทีหิ สเพฺพหิ อากาเรหิ สมฺปโนฺนฯ นีลนฺติอาทีหิ วณฺณสมฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ ตาทิสญฺหิ อาวุตํ ปากฎํ โหติฯ เอวเมว โขติ เอตฺถ เอวํ อุปมาสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํฯ มณิ วิย หิ กรชกาโยฯ อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณํฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย วิปสฺสนาลาภี ภิกฺขุ, หเตฺถ กริตฺวา ปจฺจเวกฺขโต อยํ โข มณีติ มณิโน อาวิภูตกาโล วิย วิปสฺสนาญาณํ, อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน จาตุมหาภูติกกายสฺส อาวิภูตกาโล, ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตนฺติ สุตฺตสฺสาวิภูตกาโล วิย วิปสฺสนาญาณํ, อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ตทารมฺมณานํ ผสฺสปญฺจมกานํ วา สพฺพจิตฺตเจตสิกานํ วา วิปสฺสนาญาณเสฺสว วา อาวิภูตกาโลติฯ
235.Subhoti sundaro. Jātimāti parisuddhākarasamuṭṭhito. Suparikammakatoti suṭṭhu kataparikammo apanītapāsāṇasakkharo. Acchoti tanucchavi. Vippasannoti suṭṭhu pasanno. Sabbākārasampannoti dhovanavedhanādīhi sabbehi ākārehi sampanno. Nīlantiādīhi vaṇṇasampattiṃ dasseti. Tādisañhi āvutaṃ pākaṭaṃ hoti. Evameva khoti ettha evaṃ upamāsaṃsandanaṃ veditabbaṃ. Maṇi viya hi karajakāyo. Āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇaṃ. Cakkhumā puriso viya vipassanālābhī bhikkhu, hatthe karitvā paccavekkhato ayaṃ kho maṇīti maṇino āvibhūtakālo viya vipassanāñāṇaṃ, abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno cātumahābhūtikakāyassa āvibhūtakālo, tatridaṃ suttaṃ āvutanti suttassāvibhūtakālo viya vipassanāñāṇaṃ, abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno tadārammaṇānaṃ phassapañcamakānaṃ vā sabbacittacetasikānaṃ vā vipassanāñāṇasseva vā āvibhūtakāloti.
อิทญฺจ วิปสฺสนาญาณํ มคฺคญาณานนฺตรํฯ เอวํ สเนฺตปิ ยสฺมา อภิญฺญาวาเร อารเทฺธ เอตสฺส อนฺตราวาโร นตฺถิ ตสฺมา อิเธว ทสฺสิตํฯ ยสฺมา จ อนิจฺจาทิวเสน อกตสมฺมสนสฺส ทิพฺพาย โสตธาตุยา เภรวํ สทฺทํ สุณโต, ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติยา เภรเว ขเนฺธ อนุสฺสรโต, ทิเพฺพน จกฺขุนา เภรวมฺปิ รูปํ ปสฺสโต ภยสนฺตาโส อุปฺปชฺชติ, น อนิจฺจาทิวเสน กตสมฺมสนสฺส ตสฺมา อภิญฺญํ ปตฺตสฺส ภยวิโนทนเหตุสมฺปาทนตฺถมฺปิ อิทํ อิเธว ทสฺสิตํฯ อปิ จ ยสฺมา วิปสฺสนาสุขํ นาเมตํ มคฺคผลสุขสมฺปาทกํ ปาฎิเยกฺกํ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ตสฺมาปิ อาทิโตว อิทํ อิธ ทสฺสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Idañca vipassanāñāṇaṃ maggañāṇānantaraṃ. Evaṃ santepi yasmā abhiññāvāre āraddhe etassa antarāvāro natthi tasmā idheva dassitaṃ. Yasmā ca aniccādivasena akatasammasanassa dibbāya sotadhātuyā bheravaṃ saddaṃ suṇato, pubbenivāsānussatiyā bherave khandhe anussarato, dibbena cakkhunā bheravampi rūpaṃ passato bhayasantāso uppajjati, na aniccādivasena katasammasanassa tasmā abhiññaṃ pattassa bhayavinodanahetusampādanatthampi idaṃ idheva dassitaṃ. Api ca yasmā vipassanāsukhaṃ nāmetaṃ maggaphalasukhasampādakaṃ pāṭiyekkaṃ sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ tasmāpi āditova idaṃ idha dassitanti veditabbaṃ.
มโนมยิทฺธิญาณกถา
Manomayiddhiñāṇakathā
๒๓๖-๒๓๗. มโนมยนฺติ มเนน นิพฺพตฺติตํฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคินฺติ สเพฺพหิ อเงฺคหิ จ ปจฺจเงฺคหิ จ สมนฺนาคตํฯ อหีนินฺทฺริยนฺติ สณฺฐานวเสน อวิกลินฺทฺริยํฯ อิทฺธิมตา นิมฺมิตรูปญฺหิ สเจ อิทฺธิมา โอทาโต ตมฺปิ โอทาตํฯ สเจ อวิทฺธกโณฺณ ตมฺปิ อวิทฺธกณฺณนฺติ เอวํ สพฺพากาเรหิ เตน สทิสเมว โหติฯ มุญฺชมฺหา อีสิกนฺติอาทิ อุปมาตฺตยมฺปิ หิ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมว วุตฺตํฯ มุญฺชสทิสา เอว หิ ตสฺส อโนฺต อีสิกา โหติฯ โกสิสทิโสเยว อสิ, วฎฺฎาย โกสิยา วฎฺฎํ อสิเมว ปกฺขิปนฺติ, ปตฺถฎาย ปตฺถฎํ ฯ กรณฺฑาติ อิทมฺปิ อหิกญฺจุกสฺส นามํ, น วิลีวกรณฺฑกสฺสฯ อหิกญฺจุโก หิ อหินา สทิโสว โหติฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘ปุริโส อหิํ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺยา’’ติ หเตฺถน อุทฺธรมาโน วิย ทสฺสิโต, อถ โข จิเตฺตเนวสฺส อุทฺธรณํ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ อหิ นาม สชาติยํ ฐิโต, กฎฺฐนฺตรํ วา รุกฺขนฺตรํ วา นิสฺสาย, ตจโต สรีรํ นิกฺกฑฺฒนปฺปโยคสงฺขาเตน ถาเมน, สรีรํ ขาทยมานํ วิย ปุราณตจํ ชิคุจฺฉโนฺตติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ สยเมว กญฺจุกํ ปชหติ, น สกฺกา ตโต อเญฺญน อุทฺธริตุํ, ตสฺมา จิเตฺตน อุทฺธรณํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิติ มุญฺชาทิสทิสํ อิมสฺส ภิกฺขุโน สรีรํ, อีสิกาทิสทิสํ นิมฺมิตรูปนฺติฯ อิทเมตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํฯ นิมฺมานวิธานํ ปเนตฺถ ปรโต จ อิทฺธิวิธาทิปญฺจอภิญฺญากถา สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาติ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ อุปมามตฺตเมว หิ อิธ อธิกํฯ
236-237.Manomayanti manena nibbattitaṃ. Sabbaṅgapaccaṅginti sabbehi aṅgehi ca paccaṅgehi ca samannāgataṃ. Ahīnindriyanti saṇṭhānavasena avikalindriyaṃ. Iddhimatā nimmitarūpañhi sace iddhimā odāto tampi odātaṃ. Sace aviddhakaṇṇo tampi aviddhakaṇṇanti evaṃ sabbākārehi tena sadisameva hoti. Muñjamhā īsikantiādi upamāttayampi hi sadisabhāvadassanatthameva vuttaṃ. Muñjasadisā eva hi tassa anto īsikā hoti. Kosisadisoyeva asi, vaṭṭāya kosiyā vaṭṭaṃ asimeva pakkhipanti, patthaṭāya patthaṭaṃ . Karaṇḍāti idampi ahikañcukassa nāmaṃ, na vilīvakaraṇḍakassa. Ahikañcuko hi ahinā sadisova hoti. Tattha kiñcāpi ‘‘puriso ahiṃ karaṇḍā uddhareyyā’’ti hatthena uddharamāno viya dassito, atha kho cittenevassa uddharaṇaṃ veditabbaṃ. Ayañhi ahi nāma sajātiyaṃ ṭhito, kaṭṭhantaraṃ vā rukkhantaraṃ vā nissāya, tacato sarīraṃ nikkaḍḍhanappayogasaṅkhātena thāmena, sarīraṃ khādayamānaṃ viya purāṇatacaṃ jigucchantoti imehi catūhi kāraṇehi sayameva kañcukaṃ pajahati, na sakkā tato aññena uddharituṃ, tasmā cittena uddharaṇaṃ sandhāya idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Iti muñjādisadisaṃ imassa bhikkhuno sarīraṃ, īsikādisadisaṃ nimmitarūpanti. Idamettha opammasaṃsandanaṃ. Nimmānavidhānaṃ panettha parato ca iddhividhādipañcaabhiññākathā sabbākārena visuddhimagge vitthāritāti tattha vuttanayeneva veditabbā. Upamāmattameva hi idha adhikaṃ.
อิทฺธิวิธญาณาทิกถา
Iddhividhañāṇādikathā
๒๓๘-๒๓๙. ตตฺถ เฉกกุมฺภการาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณลาภี ภิกฺขุ ทฎฺฐโพฺพฯ สุปริกมฺมกตมตฺติกาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิจฺฉิติจฺฉิตภาชนวิกติอาทิกรณํ วิย ตสฺส ภิกฺขุโน วิกุพฺพนํ ทฎฺฐพฺพํฯ
238-239. Tattha chekakumbhakārādayo viya iddhividhañāṇalābhī bhikkhu daṭṭhabbo. Suparikammakatamattikādayo viya iddhividhañāṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Icchiticchitabhājanavikatiādikaraṇaṃ viya tassa bhikkhuno vikubbanaṃ daṭṭhabbaṃ.
๒๔๐-๒๔๑. ทิพฺพโสตธาตุอุปมายํ ยสฺมา กนฺตารทฺธานมโคฺค สาสโงฺก โหติ สปฺปฎิภโยฯ ตตฺถ อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิเตน ‘อยํ เภริสโทฺท’, ‘อยํ มุทิงฺคสโทฺท’ติ น สกฺกา ววตฺถเปตุํ, ตสฺมา กนฺตารคฺคหณํ อกตฺวา เขมมคฺคํ ทเสฺสโนฺต อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺนติ อาหฯ อปฺปฎิภยญฺหิ เขมมคฺคํ สีเส สาฎกํ กตฺวา สณิกํ ปฎิปโนฺน วุตฺตปฺปกาเร สเทฺท สุขํ ววตฺถเปติฯ ตสฺส สวเนน เตสํ เตสํ สทฺทานํ อาวิภูตกาโล วิย โยคิโน ทูรสนฺติกเภทานํ ทิพฺพานเญฺจว มานุสฺสกานญฺจ สทฺทานํ อาวิภูตกาโล เวทิตโพฺพฯ
240-241. Dibbasotadhātuupamāyaṃ yasmā kantāraddhānamaggo sāsaṅko hoti sappaṭibhayo. Tattha ussaṅkitaparisaṅkitena ‘ayaṃ bherisaddo’, ‘ayaṃ mudiṅgasaddo’ti na sakkā vavatthapetuṃ, tasmā kantāraggahaṇaṃ akatvā khemamaggaṃ dassento addhānamaggappaṭipannoti āha. Appaṭibhayañhi khemamaggaṃ sīse sāṭakaṃ katvā saṇikaṃ paṭipanno vuttappakāre sadde sukhaṃ vavatthapeti. Tassa savanena tesaṃ tesaṃ saddānaṃ āvibhūtakālo viya yogino dūrasantikabhedānaṃ dibbānañceva mānussakānañca saddānaṃ āvibhūtakālo veditabbo.
๒๔๒-๒๔๓. เจโตปริยญาณูปมายํ ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพเนฺนน สมนฺนาคโตฯ มณฺฑนกชาติโกติ ยุวาปิ สมาโน น อาลสิโย น กิลิฎฺฐวตฺถสรีโร, อถ โข มณฺฑนปกติโก, ทิวสสฺส เทฺว ตโย วาเร นฺหายิตฺวา สุทฺธวตฺถปริทหนอลงฺการกรณสีโลติ อโตฺถฯ สกณิกนฺติ กาฬติลกวงฺคมุขทูสิปีฬกาทีนํ อญฺญตเรน สโทสํฯ ตตฺถ ยถา ตสฺส มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขโต มุเข โทโส ปากโฎ โหติ, เอวํ เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ปเรสํ โสฬสวิธํ จิตฺตํ ปากฎํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
242-243. Cetopariyañāṇūpamāyaṃ daharoti taruṇo. Yuvāti yobbannena samannāgato. Maṇḍanakajātikoti yuvāpi samāno na ālasiyo na kiliṭṭhavatthasarīro, atha kho maṇḍanapakatiko, divasassa dve tayo vāre nhāyitvā suddhavatthaparidahanaalaṅkārakaraṇasīloti attho. Sakaṇikanti kāḷatilakavaṅgamukhadūsipīḷakādīnaṃ aññatarena sadosaṃ. Tattha yathā tassa mukhanimittaṃ paccavekkhato mukhe doso pākaṭo hoti, evaṃ cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno paresaṃ soḷasavidhaṃ cittaṃ pākaṭaṃ hotīti veditabbaṃ.
๒๔๔-๒๔๕. ปุเพฺพนิวาสญาณูปมายํ ตํ ทิวสํ กตกิริยา ปากฎา โหตีติ ตํ ทิวสํ คตคามตฺตยเมว คหิตํฯ ตตฺถ คามตฺตยคตปุริโส วิย ปุเพฺพนิวาสญาณลาภี ทฎฺฐโพฺพ, ตโย คามา วิย ตโย ภวา ทฎฺฐพฺพา, ตสฺส ปุริสสฺส ตีสุ คาเมสุ ตํ ทิวสํ กตกิริยาย อาวิภาโว วิย ปุเพฺพนิวาสาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ตีสุ ภเวสุ กตกิริยาย ปากฎภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ
244-245. Pubbenivāsañāṇūpamāyaṃ taṃ divasaṃ katakiriyā pākaṭā hotīti taṃ divasaṃ gatagāmattayameva gahitaṃ. Tattha gāmattayagatapuriso viya pubbenivāsañāṇalābhī daṭṭhabbo, tayo gāmā viya tayo bhavā daṭṭhabbā, tassa purisassa tīsu gāmesu taṃ divasaṃ katakiriyāya āvibhāvo viya pubbenivāsāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno tīsu bhavesu katakiriyāya pākaṭabhāvo daṭṭhabbo.
๒๔๖-๒๔๗. ทิพฺพจกฺขูปมายํ วีถิํ สญฺจรเนฺตติ อปราปรํ สญฺจรเนฺตฯ วีถิํ จรเนฺตติปิ ปาโฐฯ อยเมวโตฺถฯ ตตฺถ นครมเชฺฌ สิงฺฆาฎกมฺหิ ปาสาโท วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน กรชกาโย ทฎฺฐโพฺพ, ปาสาเท ฐิโต จกฺขุมา ปุริโส วิย อยเมว ทิพฺพจกฺขุํ ปตฺวา ฐิโต ภิกฺขุ, เคหํ ปวิสนฺตา วิย ปฎิสนฺธิวเสน มาตุกุจฺฉิยํ ปวิสนฺตา, เคหา นิกฺขมนฺตา วิย มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนฺตา, รถิกาย วีถิํ สญฺจรนฺตา วิย อปราปรํ สญฺจรณกสตฺตา, ปุรโต อโพฺภกาสฎฺฐาเน มเชฺฌ สิงฺฆาฎเก นิสินฺนา วิย ตีสุ ภเวสุ ตตฺถ ตตฺถ นิพฺพตฺตสตฺตา, ปาสาทตเล ฐิตปุริสสฺส เตสํ มนุสฺสานํ อาวิภูตกาโล วิย ทิพฺพจกฺขุญาณาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ตีสุ ภเวสุ นิพฺพตฺตสตฺตานํ อาวิภูตกาโล ทฎฺฐโพฺพฯ อิทญฺจ เทสนาสุขตฺถเมว วุตฺตํฯ อารุเปฺป ปน ทิพฺพจกฺขุสฺส โคจโร นตฺถีติฯ
246-247. Dibbacakkhūpamāyaṃ vīthiṃ sañcaranteti aparāparaṃ sañcarante. Vīthiṃ carantetipi pāṭho. Ayamevattho. Tattha nagaramajjhe siṅghāṭakamhi pāsādo viya imassa bhikkhuno karajakāyo daṭṭhabbo, pāsāde ṭhito cakkhumā puriso viya ayameva dibbacakkhuṃ patvā ṭhito bhikkhu, gehaṃ pavisantā viya paṭisandhivasena mātukucchiyaṃ pavisantā, gehā nikkhamantā viya mātukucchito nikkhamantā, rathikāya vīthiṃ sañcarantā viya aparāparaṃ sañcaraṇakasattā, purato abbhokāsaṭṭhāne majjhe siṅghāṭake nisinnā viya tīsu bhavesu tattha tattha nibbattasattā, pāsādatale ṭhitapurisassa tesaṃ manussānaṃ āvibhūtakālo viya dibbacakkhuñāṇāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno tīsu bhavesu nibbattasattānaṃ āvibhūtakālo daṭṭhabbo. Idañca desanāsukhatthameva vuttaṃ. Āruppe pana dibbacakkhussa gocaro natthīti.
อาสวกฺขยญาณกถา
Āsavakkhayañāṇakathā
๒๔๘. โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺตติ อิธ วิปสฺสนาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตํ เวทิตพฺพํฯ อาสวานํ ขยญาณายาติ อาสวานํ ขยญาณนิพฺพตฺตนตฺถายฯ เอตฺถ จ อาสวานํ ขโย นาม มโคฺคปิ ผลมฺปิ นิพฺพานมฺปิ ภโงฺคปิ วุจฺจติฯ ‘‘ขเย ญาณํ, อนุปฺปาเท ญาณ’’นฺติ เอตฺถ หิ มโคฺค อาสวานํ ขโยติ วุโตฺตฯ ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) เอตฺถ ผลํฯ
248.So evaṃ samāhite citteti idha vipassanāpādakaṃ catutthajjhānacittaṃ veditabbaṃ. Āsavānaṃ khayañāṇāyāti āsavānaṃ khayañāṇanibbattanatthāya. Ettha ca āsavānaṃ khayo nāma maggopi phalampi nibbānampi bhaṅgopi vuccati. ‘‘Khaye ñāṇaṃ, anuppāde ñāṇa’’nti ettha hi maggo āsavānaṃ khayoti vutto. ‘‘Āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’ti (ma. ni. 1.438) ettha phalaṃ.
‘‘ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส, นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน;
‘‘Paravajjānupassissa, niccaṃ ujjhānasaññino;
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ, อารา โส อาสวกฺขยา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๕๓);
Āsavā tassa vaḍḍhanti, ārā so āsavakkhayā’’ti. (dha. pa. 253);
เอตฺถ นิพฺพานํฯ ‘‘อาสวานํ ขโย วโย เภโท อนิจฺจตา อนฺตรธาน’’นฺติ เอตฺถ ภโงฺคฯ อิธ ปน นิพฺพานํ อธิเปฺปตํฯ อรหตฺตมโคฺคปิ วฎฺฎติเยวฯ
Ettha nibbānaṃ. ‘‘Āsavānaṃ khayo vayo bhedo aniccatā antaradhāna’’nti ettha bhaṅgo. Idha pana nibbānaṃ adhippetaṃ. Arahattamaggopi vaṭṭatiyeva.
จิตฺตํ อภินีหรตีติ วิปสฺสนา จิตฺตํ ตนฺนินฺนํ ตโปฺปณํ ตปฺปพฺภารํ กโรติฯ โส อิทํ ทุกฺขนฺติอาทีสุ ‘‘เอตฺตกํ ทุกฺขํ, น อิโต ภิโยฺย’’ติ สพฺพมฺปิ ทุกฺขสจฺจํ สรสลกฺขณปฎิเวเธน ยถาภูตํ ปชานาตีติ อโตฺถฯ ตสฺส จ ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺติกํ ตณฺหํ ‘‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’’ติฯ ตทุภยมฺปิ ยํ ฐานํ ปตฺวา นิรุชฺฌติ, ตํ เตสํ อปฺปวตฺติํ นิพฺพานํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’’ติ; ตสฺส จ สมฺปาปกํ อริยมคฺคํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติ สรสลกฺขณปฎิเวเธน ยถาภูตํ ปชานาตีติ อโตฺถฯ
Cittaṃabhinīharatīti vipassanā cittaṃ tanninnaṃ tappoṇaṃ tappabbhāraṃ karoti. So idaṃ dukkhantiādīsu ‘‘ettakaṃ dukkhaṃ, na ito bhiyyo’’ti sabbampi dukkhasaccaṃ sarasalakkhaṇapaṭivedhena yathābhūtaṃ pajānātīti attho. Tassa ca dukkhassa nibbattikaṃ taṇhaṃ ‘‘ayaṃ dukkhasamudayo’’ti. Tadubhayampi yaṃ ṭhānaṃ patvā nirujjhati, taṃ tesaṃ appavattiṃ nibbānaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodho’’ti; tassa ca sampāpakaṃ ariyamaggaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’’ti sarasalakkhaṇapaṭivedhena yathābhūtaṃ pajānātīti attho.
เอวํ สรูปโต สจฺจานิ ทเสฺสตฺวา ปุน กิเลสวเสน ปริยายโต ทเสฺสโนฺต ‘‘อิเม อาสวา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโตติ ตสฺส ภิกฺขุโน เอวํ ชานนฺตสฺส เอวํ ปสฺสนฺตสฺส, สห วิปสฺสนาย โกฎิปฺปตฺตํ มคฺคํ กเถสิฯ กามาสวาติ กามาสวโตฯ วิมุจฺจตีติ อิมินา มคฺคกฺขณํ ทเสฺสติฯ วิมุตฺตสฺมินฺติ อิมินา ผลกฺขณํฯ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตีติ อิมินา ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ ขีณา ชาตีติอาทีหิ ตสฺส ภูมิํฯ เตน หิ ญาเณน ขีณาสโว ปจฺจเวกฺขโนฺต ขีณา ชาตีติอาทีนิ ปชานาติฯ
Evaṃ sarūpato saccāni dassetvā puna kilesavasena pariyāyato dassento ‘‘ime āsavā’’tiādimāha. Tassa evaṃ jānato evaṃ passatoti tassa bhikkhuno evaṃ jānantassa evaṃ passantassa, saha vipassanāya koṭippattaṃ maggaṃ kathesi. Kāmāsavāti kāmāsavato. Vimuccatīti iminā maggakkhaṇaṃ dasseti. Vimuttasminti iminā phalakkhaṇaṃ. Vimuttamiti ñāṇaṃ hotīti iminā paccavekkhaṇañāṇaṃ. Khīṇā jātītiādīhi tassa bhūmiṃ. Tena hi ñāṇena khīṇāsavo paccavekkhanto khīṇā jātītiādīni pajānāti.
กตมา ปนสฺส ชาติ ขีณา? กถญฺจ นํ ปชานาตีติ? น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา, ปุเพฺพว ขีณตฺตาฯ น อนาคตา, อนาคเต วายามาภาวโตฯ น ปจฺจุปฺปนฺนา, วิชฺชมานตฺตาฯ ยา ปน มคฺคสฺส อภาวิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺย เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธปฺปเภทา ชาติ, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณาฯ ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา ‘‘กิเลสาภาเว วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฺปฎิสนฺธิกํว โหตี’’ติ ชานโนฺต ปชานาติฯ
Katamā panassa jāti khīṇā? Kathañca naṃ pajānātīti? Na tāvassa atītā jāti khīṇā, pubbeva khīṇattā. Na anāgatā, anāgate vāyāmābhāvato. Na paccuppannā, vijjamānattā. Yā pana maggassa abhāvitattā uppajjeyya ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhappabhedā jāti, sā maggassa bhāvitattā āyatiṃ anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā. Taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā ‘‘kilesābhāve vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ appaṭisandhikaṃva hotī’’ti jānanto pajānāti.
วุสิตนฺติ วุตฺถํ ปริวุตฺถํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ สทฺธิํ สตฺต เสกฺขา พฺรหฺมจริยวาสํ วสนฺติ นาม, ขีณาสโว วุตฺถวาโส, ตสฺมา โส อตฺตโน พฺรหฺมจริยวาสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต วุสิตํ พฺรหฺมจริยนฺติ ปชานาติฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสน โสฬสวิธํ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตํฯ เตน เตน มเคฺคน ปหาตพฺพกิเลสา ปหีนา, ทุกฺขมูลํ สมุจฺฉินฺนนฺติ อโตฺถฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณกาทโย หิ ตํ กิจฺจํ กโรนฺติ, ขีณาสโว กตกรณีโยฯ ตสฺมา โส อตฺตโน กรณียํ ปจฺจเวกฺขโนฺต กตํ กรณียนฺติ ปชานาติฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํ โสฬสกิจฺจภาวาย กิเลสกฺขยภาวาย วา กตฺตพฺพํ มคฺคภาวนากิจฺจํ เม นตฺถีติ ปชานาติฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวโต อิมสฺมา เอวํ ปการาฯ อิทานิ วตฺตมานขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ นตฺถิฯ อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิย, เต จริมกจิตฺตนิโรเธน อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายิสฺสนฺติ อปณฺณตฺติกภาวญฺจ คมิสฺสนฺตีติ ปชานาติฯ
Vusitanti vutthaṃ parivutthaṃ. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Puthujjanakalyāṇakena hi saddhiṃ satta sekkhā brahmacariyavāsaṃ vasanti nāma, khīṇāsavo vutthavāso, tasmā so attano brahmacariyavāsaṃ paccavekkhanto vusitaṃ brahmacariyanti pajānāti. Kataṃkaraṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasena soḷasavidhaṃ kiccaṃ niṭṭhāpitaṃ. Tena tena maggena pahātabbakilesā pahīnā, dukkhamūlaṃ samucchinnanti attho. Puthujjanakalyāṇakādayo hi taṃ kiccaṃ karonti, khīṇāsavo katakaraṇīyo. Tasmā so attano karaṇīyaṃ paccavekkhanto kataṃ karaṇīyanti pajānāti. Nāparaṃ itthattāyāti idāni puna itthabhāvāya evaṃ soḷasakiccabhāvāya kilesakkhayabhāvāya vā kattabbaṃ maggabhāvanākiccaṃ me natthīti pajānāti. Atha vā itthattāyāti itthabhāvato imasmā evaṃ pakārā. Idāni vattamānakhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ natthi. Ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlakā rukkhā viya, te carimakacittanirodhena anupādāno viya jātavedo nibbāyissanti apaṇṇattikabhāvañca gamissantīti pajānāti.
๒๔๙. ปพฺพตสเงฺขเปติ ปพฺพตมตฺถเกฯ อนาวิโลติ นิกฺกทฺทโมฯ สิปฺปิโย จ สมฺพุกา จ สิปฺปิสมฺพุกํฯ สกฺขรา จ กถลานิ จ สกฺขรกถลํฯ มจฺฉานํ คุมฺพา ฆฎาติ มจฺฉคุมฺพํฯ ติฎฺฐนฺตมฺปิ จรนฺตมฺปีติ เอตฺถ สกฺขรกถลํ ติฎฺฐติเยว, อิตรานิ จรนฺติปิ ติฎฺฐนฺติปิฯ ยถา ปน อนฺตรนฺตรา ฐิตาสุปิ นิสินฺนาสุปิ วิชฺชมานาสุปิ ‘‘เอตา คาโว จรนฺตี’’ติ จรนฺติโย อุปาทาย อิตราปิ จรนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ เอวํ ติฎฺฐนฺตเมว สกฺขรกถลํ อุปาทาย อิตรมฺปิ ทฺวยํ ติฎฺฐนฺตนฺติ วุตฺตํฯ อิตรญฺจ ทฺวยํ จรนฺตํ อุปาทาย สกฺขรกถลมฺปิ จรนฺตนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ จกฺขุมโต ปุริสสฺส ตีเร ฐตฺวา ปสฺสโต สิปฺปิกสมฺพุกาทีนํ วิภูตกาโล วิย อาสวานํ ขยาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน จตุนฺนํ สจฺจานํ วิภูตกาโล ทฎฺฐโพฺพติฯ
249.Pabbatasaṅkhepeti pabbatamatthake. Anāviloti nikkaddamo. Sippiyo ca sambukā ca sippisambukaṃ. Sakkharā ca kathalāni ca sakkharakathalaṃ. Macchānaṃ gumbā ghaṭāti macchagumbaṃ. Tiṭṭhantampi carantampīti ettha sakkharakathalaṃ tiṭṭhatiyeva, itarāni carantipi tiṭṭhantipi. Yathā pana antarantarā ṭhitāsupi nisinnāsupi vijjamānāsupi ‘‘etā gāvo carantī’’ti carantiyo upādāya itarāpi carantīti vuccanti. Evaṃ tiṭṭhantameva sakkharakathalaṃ upādāya itarampi dvayaṃ tiṭṭhantanti vuttaṃ. Itarañca dvayaṃ carantaṃ upādāya sakkharakathalampi carantanti vuttaṃ. Tattha cakkhumato purisassa tīre ṭhatvā passato sippikasambukādīnaṃ vibhūtakālo viya āsavānaṃ khayāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno catunnaṃ saccānaṃ vibhūtakālo daṭṭhabboti.
เอตฺตาวตา วิปสฺสนาญาณํ, มโนมยญาณํ, อิทฺธิวิธญาณํ, ทิพฺพโสตญาณํ, เจโตปริยญาณํ, ปุเพฺพนิวาสญาณํ, ทิพฺพจกฺขุวเสน นิปฺผนฺนํ อนาคตํสญาณยถากมฺมูปคญาณทฺวยํ, ทิพฺพจกฺขุญาณํ, อาสวกฺขยญาณนฺติ ทส ญาณานิ นิทฺทิฎฺฐานิ โหนฺติฯ เตสํ อารมฺมณวิภาโค ชานิตโพฺพ – ตตฺถ วิปสฺสนาญาณํ ปริตฺตมหคฺคตอตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธาวเสน สตฺตวิธารมฺมณํฯ มโนมยญาณํ นิมฺมิตพฺพรูปายตนมตฺตเมว อารมฺมณํ กโรตีติ ปริตฺตปจฺจุปฺปนฺนพหิทฺธารมฺมณํฯ อาสวกฺขยญาณํ อปฺปมาณพหิทฺธานวตฺตพฺพารมฺมณํฯ อวเสสานํ อารมฺมณเภโท วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ อุตฺตริตรํ วา ปณีตตรํ วาติ เยน เกนจิ ปริยาเยน อิโต เสฎฺฐตรํ สามญฺญผลํ นาม นตฺถีติ ภควา อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Ettāvatā vipassanāñāṇaṃ, manomayañāṇaṃ, iddhividhañāṇaṃ, dibbasotañāṇaṃ, cetopariyañāṇaṃ, pubbenivāsañāṇaṃ, dibbacakkhuvasena nipphannaṃ anāgataṃsañāṇayathākammūpagañāṇadvayaṃ, dibbacakkhuñāṇaṃ, āsavakkhayañāṇanti dasa ñāṇāni niddiṭṭhāni honti. Tesaṃ ārammaṇavibhāgo jānitabbo – tattha vipassanāñāṇaṃ parittamahaggataatītānāgatapaccuppannaajjhattabahiddhāvasena sattavidhārammaṇaṃ. Manomayañāṇaṃ nimmitabbarūpāyatanamattameva ārammaṇaṃ karotīti parittapaccuppannabahiddhārammaṇaṃ. Āsavakkhayañāṇaṃ appamāṇabahiddhānavattabbārammaṇaṃ. Avasesānaṃ ārammaṇabhedo visuddhimagge vutto. Uttaritaraṃ vā paṇītataraṃ vāti yena kenaci pariyāyena ito seṭṭhataraṃ sāmaññaphalaṃ nāma natthīti bhagavā arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi.
อชาตสตฺตุอุปาสกตฺตปฎิเวทนากถา
Ajātasattuupāsakattapaṭivedanākathā
๒๕๐. ราชา ตตฺถ ตตฺถ สาธุการํ ปวเตฺตโนฺต อาทิมชฺฌปริโยสานํ สกฺกจฺจํ สุตฺวา ‘‘จิรํ วตมฺหิ อิเม ปเญฺห ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉโนฺต, ถุเส โกเฎฺฎโนฺต วิย กิญฺจิ สารํ นาลตฺถํ, อโห วต ภควโต คุณสมฺปทา, โย เม ทีปสหสฺสํ ชาเลโนฺต วิย มหนฺตํ อาโลกํ กตฺวา อิเม ปเญฺห วิสฺสเชฺชสิฯ สุจิรํ วตมฺหิ ทสพลสฺส คุณานุภาวํ อชานโนฺต วญฺจิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา พุทฺธคุณานุสฺสรณสมฺภูตาย ปญฺจวิธาย ปีติยา ผุฎสรีโร อตฺตโน ปสาทํ อาวิกโรโนฺต อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสิฯ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอวํ วุเตฺต ราชา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ
250. Rājā tattha tattha sādhukāraṃ pavattento ādimajjhapariyosānaṃ sakkaccaṃ sutvā ‘‘ciraṃ vatamhi ime pañhe puthū samaṇabrāhmaṇe pucchanto, thuse koṭṭento viya kiñci sāraṃ nālatthaṃ, aho vata bhagavato guṇasampadā, yo me dīpasahassaṃ jālento viya mahantaṃ ālokaṃ katvā ime pañhe vissajjesi. Suciraṃ vatamhi dasabalassa guṇānubhāvaṃ ajānanto vañcito’’ti cintetvā buddhaguṇānussaraṇasambhūtāya pañcavidhāya pītiyā phuṭasarīro attano pasādaṃ āvikaronto upāsakattaṃ paṭivedesi. Taṃ dassetuṃ ‘‘evaṃ vutte rājā’’tiādi āraddhaṃ.
ตตฺถ อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺตติ อยํ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทเนสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อภิกฺกนฺตา ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๐) หิ ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ เม ปุคฺคโล ขมติ, อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ
Tattha abhikkantaṃ, bhanteti ayaṃ abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanesu dissati. ‘‘Abhikkantā bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho’’tiādīsu (a. ni. 8.20) hi khaye dissati. ‘‘Ayaṃ me puggalo khamati, imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’tiādīsu (a. ni. 4.100) sundare.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๗);
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. (vi. va. 857);
อาทีสุ อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ โภ, โคตมา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเนฯ อิธาปิ อพฺภนุโมทเนเยวฯ ยสฺมา จ อพฺภนุโมทเน, ตสฺมา ‘สาธุ สาธุ ภเนฺต’ติ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Ādīsu abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ bho, gotamā’’tiādīsu (pārā. 15) abbhanumodane. Idhāpi abbhanumodaneyeva. Yasmā ca abbhanumodane, tasmā ‘sādhu sādhu bhante’ti vuttaṃ hotīti veditabbo.
ภเย โกเธ ปสํสายํ, ตุริเต โกตูหลจฺฉเร;
Bhaye kodhe pasaṃsāyaṃ, turite kotūhalacchare;
หาเส โสเก ปสาเท จ, กเร อาเมฑิตํ พุโธติฯ
Hāse soke pasāde ca, kare āmeḍitaṃ budhoti.
อิมินา จ ลกฺขเณน อิธ ปสาทวเสน, ปสํสาวเสน จายํ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อถวา อภิกฺกนฺตนฺติ อภิกนฺตํ อติอิฎฺฐํ อติมนาปํ อติสุนฺทรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Iminā ca lakkhaṇena idha pasādavasena, pasaṃsāvasena cāyaṃ dvikkhattuṃ vuttoti veditabbo. Athavā abhikkantanti abhikantaṃ atiiṭṭhaṃ atimanāpaṃ atisundaranti vuttaṃ hoti.
เอตฺถ เอเกน อภิกฺกนฺตสเทฺทน เทสนํ โถเมติ, เอเกน อตฺตโน ปสาทํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย, อภิกฺกนฺตํ ภเนฺต, ยทิทํ ภควโต ธมฺมเทสนา, ‘อภิกฺกนฺตํ’ ยทิทํ ภควโต ธมฺมเทสนํ อาคมฺม มม ปสาโทติฯ ภควโตเยว วา วจนํ เทฺว เทฺว อเตฺถ สนฺธาย โถเมติฯ ภควโต วจนํ อภิกฺกนฺตํ โทสนาสนโต, อภิกฺกนฺตํ คุณาธิคมนโตฯ ตถา สทฺธาชนนโต, ปญฺญาชนนโต, สาตฺถโต, สพฺยญฺชนโต, อุตฺตานปทโต, คมฺภีรตฺถโต, กณฺณสุขโต, หทยงฺคมโต, อนตฺตุกฺกํสนโต , อปรวมฺภนโต, กรุณาสีตลโต, ปญฺญาวทาตโต, อาปาถรมณียโต, วิมทฺทกฺขมโต, สุยฺยมานสุขโต, วีมํสิยมานหิตโตติ เอวมาทีหิ โยเชตพฺพํฯ
Ettha ekena abhikkantasaddena desanaṃ thometi, ekena attano pasādaṃ. Ayañhettha adhippāyo, abhikkantaṃ bhante, yadidaṃ bhagavato dhammadesanā, ‘abhikkantaṃ’ yadidaṃ bhagavato dhammadesanaṃ āgamma mama pasādoti. Bhagavatoyeva vā vacanaṃ dve dve atthe sandhāya thometi. Bhagavato vacanaṃ abhikkantaṃ dosanāsanato, abhikkantaṃ guṇādhigamanato. Tathā saddhājananato, paññājananato, sātthato, sabyañjanato, uttānapadato, gambhīratthato, kaṇṇasukhato, hadayaṅgamato, anattukkaṃsanato , aparavambhanato, karuṇāsītalato, paññāvadātato, āpātharamaṇīyato, vimaddakkhamato, suyyamānasukhato, vīmaṃsiyamānahitatoti evamādīhi yojetabbaṃ.
ตโต ปรมฺปิ จตูหิ อุปมาหิ เทสนํเยว โถเมติฯ ตตฺถ นิกฺกุชฺชิตนฺติ อโธมุขฐปิตํ เหฎฺฐามุขชาตํ วาฯ อุกฺกุเชฺชยฺยาติ อุปริ มุขํ กเรยฺยฯ ปฎิจฺฉนฺนนฺติ ติณปณฺณาทิฉาทิตํฯ วิวเรยฺยาติ อุคฺฆาเฎยฺยฯ มูฬฺหสฺส วาติ ทิสามูฬฺหสฺสฯ มคฺคํ อาจิเกฺขยฺยาติ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘เอส มโคฺค’’ติ วเทยฺย, อนฺธกาเรติ กาฬปกฺขจาตุทฺทสี อฑฺฒรตฺตฆนวนสณฺฑเมฆปฎเลหิ จตุรเงฺค ตเมฯ อยํ ตาว อนุตฺตานปทโตฺถฯ อยํ ปน สาธิปฺปายโยชนาฯ ยถา โกจิ นิกฺกุชฺชิตํ อุกฺกุเชฺชยฺย, เอวํ สทฺธมฺมวิมุขํ อสทฺธเมฺม ปติตํ มํ อสทฺธมฺมา วุฎฺฐาเปนฺตนฯ ยถา ปฎิจฺฉนฺนํ วิวเรยฺย, เอวํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนนฺตรธานา ปภุติ มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺนํ สาสนํ วิวรเนฺตน, ยถา มูฬฺหสฺส มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, เอวํ กุมฺมคฺคมิจฺฉามคฺคปฺปฎิปนฺนสฺส เม สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาวิกโรเนฺตน, ยถา อนฺธกาเร เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, เอวํ โมหนฺธการนิมุคฺคสฺส เม พุทฺธาทิรตนรูปานิ อปสฺสโต ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธํสกเทสนาปโชฺชตธารเกน มยฺหํ ภควตา เอเตหิ ปริยาเยหิ ปกาสิตตฺตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตติฯ
Tato parampi catūhi upamāhi desanaṃyeva thometi. Tattha nikkujjitanti adhomukhaṭhapitaṃ heṭṭhāmukhajātaṃ vā. Ukkujjeyyāti upari mukhaṃ kareyya. Paṭicchannanti tiṇapaṇṇādichāditaṃ. Vivareyyāti ugghāṭeyya. Mūḷhassa vāti disāmūḷhassa. Maggaṃ ācikkheyyāti hatthe gahetvā ‘‘esa maggo’’ti vadeyya, andhakāreti kāḷapakkhacātuddasī aḍḍharattaghanavanasaṇḍameghapaṭalehi caturaṅge tame. Ayaṃ tāva anuttānapadattho. Ayaṃ pana sādhippāyayojanā. Yathā koci nikkujjitaṃ ukkujjeyya, evaṃ saddhammavimukhaṃ asaddhamme patitaṃ maṃ asaddhammā vuṭṭhāpentana. Yathā paṭicchannaṃ vivareyya, evaṃ kassapassa bhagavato sāsanantaradhānā pabhuti micchādiṭṭhigahanapaṭicchannaṃ sāsanaṃ vivarantena, yathā mūḷhassa maggaṃ ācikkheyya, evaṃ kummaggamicchāmaggappaṭipannassa me saggamokkhamaggaṃ āvikarontena, yathā andhakāre telapajjotaṃ dhāreyya, evaṃ mohandhakāranimuggassa me buddhādiratanarūpāni apassato tappaṭicchādakamohandhakāraviddhaṃsakadesanāpajjotadhārakena mayhaṃ bhagavatā etehi pariyāyehi pakāsitattā anekapariyāyena dhammo pakāsitoti.
เอวํ เทสนํ โถเมตฺวา อิมาย เทสนาย รตนตฺตเย ปสนฺนจิโตฺต ปสนฺนาการํ กโรโนฺต เอสาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอสาหนฺติ เอโส อหํ ฯ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามีติ ภควา เม สรณํ, ปรายนํ, อฆสฺส ตาตา, หิตสฺส จ วิธาตาติฯ อิมินา อธิปฺปาเยน ภควนฺตํ คจฺฉามิ ภชามิ เสวามิ ปยิรุปาสามิ, เอวํ วา ชานามิ พุชฺฌามีติฯ เยสญฺหิ ธาตูนํ คติอโตฺถ, พุทฺธิปิ เตสํ อโตฺถฯ ตสฺมา คจฺฉามีติ อิมสฺส ชานามิ พุชฺฌามีติ อยมฺปิ อโตฺถ วุโตฺตฯ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจาติ เอตฺถ ปน อธิคตมเคฺค สจฺฉิกตนิโรเธ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน จตูสุ อปาเยสุ อปตมาเน ธาเรตีติ ธโมฺม, โส อตฺถโต อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจฯ วุตฺตเญฺจตํ – ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔) วิตฺถาโรฯ น เกวลญฺจ อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจฯ อปิ จ โข อริยผเลหิ สทฺธิํ ปริยตฺติธโมฺมปิ ฯ วุตฺตเญฺหตํ ฉตฺตมาณวกวิมาเน –
Evaṃ desanaṃ thometvā imāya desanāya ratanattaye pasannacitto pasannākāraṃ karonto esāhantiādimāha. Tattha esāhanti eso ahaṃ . Bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmīti bhagavā me saraṇaṃ, parāyanaṃ, aghassa tātā, hitassa ca vidhātāti. Iminā adhippāyena bhagavantaṃ gacchāmi bhajāmi sevāmi payirupāsāmi, evaṃ vā jānāmi bujjhāmīti. Yesañhi dhātūnaṃ gatiattho, buddhipi tesaṃ attho. Tasmā gacchāmīti imassa jānāmi bujjhāmīti ayampi attho vutto. Dhammañca bhikkhusaṅghañcāti ettha pana adhigatamagge sacchikatanirodhe yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne catūsu apāyesu apatamāne dhāretīti dhammo, so atthato ariyamaggo ceva nibbānañca. Vuttañcetaṃ – ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (a. ni. 4.34) vitthāro. Na kevalañca ariyamaggo ceva nibbānañca. Api ca kho ariyaphalehi saddhiṃ pariyattidhammopi . Vuttañhetaṃ chattamāṇavakavimāne –
‘‘ราควิราคมเนชมโสกํ, ธมฺมมสงฺขตมปฺปฎิกูลํ;
‘‘Rāgavirāgamanejamasokaṃ, dhammamasaṅkhatamappaṭikūlaṃ;
มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตํ, ธมฺมมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๗);
Madhuramimaṃ paguṇaṃ suvibhattaṃ, dhammamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 887);
เอตฺถ หิ ราควิราโคติ มโคฺค กถิโตฯ อเนชมโสกนฺติ ผลํฯ ธมฺมมสงฺขตนฺติ นิพฺพานํฯ อปฺปฎิกูลํ มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตนฺติ ปิฎกตฺตเยน วิภตฺตา ธมฺมกฺขนฺธาติฯ ทิฎฺฐิสีลสํฆาเตน สํหโตติ สโงฺฆ, โส อตฺถโต อฎฺฐ อริยปุคฺคลสมูโหฯ วุตฺตเญฺหตํ ตสฺมิเญฺญว วิมาเน –
Ettha hi rāgavirāgoti maggo kathito. Anejamasokanti phalaṃ. Dhammamasaṅkhatanti nibbānaṃ. Appaṭikūlaṃ madhuramimaṃ paguṇaṃ suvibhattanti piṭakattayena vibhattā dhammakkhandhāti. Diṭṭhisīlasaṃghātena saṃhatoti saṅgho, so atthato aṭṭha ariyapuggalasamūho. Vuttañhetaṃ tasmiññeva vimāne –
‘‘ยตฺถ จ ทินฺนมหปฺผลมาหุ, จตูสุ สุจีสุ ปุรีสยุเคสุ;
‘‘Yattha ca dinnamahapphalamāhu, catūsu sucīsu purīsayugesu;
อฎฺฐ จ ปุคฺคลธมฺมทสา เต, สงฺฆมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๘);
Aṭṭha ca puggaladhammadasā te, saṅghamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 888);
ภิกฺขูนํ สโงฺฆ ภิกฺขุสโงฺฆฯ เอตฺตาวตา ราชา ตีณิ สรณคมนานิ ปฎิเวเทสิฯ
Bhikkhūnaṃ saṅgho bhikkhusaṅgho. Ettāvatā rājā tīṇi saraṇagamanāni paṭivedesi.
สรณคมนกถา
Saraṇagamanakathā
อิทานิ เตสุ สรณคมเนสุ โกสลฺลตฺถํ สรณํ, สรณคมนํ, โย จ สรณํ คจฺฉติ, สรณคมนปฺปเภโท, สรณคมนผลํ, สงฺกิเลโส, เภโทติ, อยํ วิธิ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ – สรณตฺถโต ตาว หิํสตีติ สรณํฯ สรณคตานํ เตเนว สรณคมเนน ภยํ สนฺตาสํ ทุกฺขํ ทุคฺคติปริกิเลสํ หนติ วินาเสตีติ อโตฺถ, รตนตฺตยเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ
Idāni tesu saraṇagamanesu kosallatthaṃ saraṇaṃ, saraṇagamanaṃ, yo ca saraṇaṃ gacchati, saraṇagamanappabhedo, saraṇagamanaphalaṃ, saṅkileso, bhedoti, ayaṃ vidhi veditabbo. Seyyathidaṃ – saraṇatthato tāva hiṃsatīti saraṇaṃ. Saraṇagatānaṃ teneva saraṇagamanena bhayaṃ santāsaṃ dukkhaṃ duggatiparikilesaṃ hanati vināsetīti attho, ratanattayassevetaṃ adhivacanaṃ.
อถ วา หิเต ปวตฺตเนน อหิตา จ นิวตฺตเนน สตฺตานํ ภยํ หิํสติ พุโทฺธฯ ภวกนฺตารา อุตฺตารเณน อสฺสาสทาเนน จ ธโมฺม; อปฺปกานมฺปิ การานํ วิปุลผลปฎิลาภกรเณน สโงฺฆ ฯ ตสฺมา อิมินาปิ ปริยาเยน รตนตฺตยํ สรณํฯ ตปฺปสาทตคฺครุตาหิ วิหตกิเลโส ตปฺปรายณตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํฯ ตํ สมงฺคีสโตฺต สรณํ คจฺฉติฯ วุตฺตปฺปกาเรน จิตฺตุปฺปาเทน เอตานิ เม ตีณิ รตนานิ สรณํ, เอตานิ ปรายณนฺติ เอวํ อุเปตีติ อโตฺถฯ เอวํ ตาว สรณํ, สรณคมนํ, โย จ สรณํ คจฺฉติ, อิทํ ตยํ เวทิตพฺพํฯ
Atha vā hite pavattanena ahitā ca nivattanena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsati buddho. Bhavakantārā uttāraṇena assāsadānena ca dhammo; appakānampi kārānaṃ vipulaphalapaṭilābhakaraṇena saṅgho . Tasmā imināpi pariyāyena ratanattayaṃ saraṇaṃ. Tappasādataggarutāhi vihatakileso tapparāyaṇatākārappavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ. Taṃ samaṅgīsatto saraṇaṃ gacchati. Vuttappakārena cittuppādena etāni me tīṇi ratanāni saraṇaṃ, etāni parāyaṇanti evaṃ upetīti attho. Evaṃ tāva saraṇaṃ, saraṇagamanaṃ, yo ca saraṇaṃ gacchati, idaṃ tayaṃ veditabbaṃ.
สรณคมนปฺปเภเท ปน ทุวิธํ สรณคมนํ – โลกุตฺตรํ โลกิยญฺจฯ ตตฺถ โลกุตฺตรํ ทิฎฺฐสจฺจานํ มคฺคกฺขเณ สรณคมนุปกฺกิเลสสมุเจฺฉเทน อารมฺมณโต นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌติฯ โลกิยํ ปุถุชฺชนานํ สรณคมนุปกฺกิเลสวิกฺขมฺภเนน อารมฺมณโต พุทฺธาทิคุณารมฺมณํ หุตฺวา อิชฺฌติฯ ตํ อตฺถโต พุทฺธาทีสุ วตฺถูสุ สทฺธาปฎิลาโภ สทฺธามูลิกา จ สมฺมาทิฎฺฐิ ทสสุ ปุญฺญกิริยวตฺถูสุ ทิฎฺฐิชุกมฺมนฺติ วุจฺจติฯ ตยิทํ จตุธา วตฺตติ – อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน, ตปฺปรายณตาย, สิสฺสภาวูปคมเนน, ปณิปาเตนาติฯ
Saraṇagamanappabhede pana duvidhaṃ saraṇagamanaṃ – lokuttaraṃ lokiyañca. Tattha lokuttaraṃ diṭṭhasaccānaṃ maggakkhaṇe saraṇagamanupakkilesasamucchedena ārammaṇato nibbānārammaṇaṃ hutvā kiccato sakalepi ratanattaye ijjhati. Lokiyaṃ puthujjanānaṃ saraṇagamanupakkilesavikkhambhanena ārammaṇato buddhādiguṇārammaṇaṃ hutvā ijjhati. Taṃ atthato buddhādīsu vatthūsu saddhāpaṭilābho saddhāmūlikā ca sammādiṭṭhi dasasu puññakiriyavatthūsu diṭṭhijukammanti vuccati. Tayidaṃ catudhā vattati – attasanniyyātanena, tapparāyaṇatāya, sissabhāvūpagamanena, paṇipātenāti.
ตตฺถ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ นาม – ‘‘อชฺชาทิํ กตฺวา อหํ อตฺตานํ พุทฺธสฺส นิยฺยาเตมิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺสา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีนํ อตฺตปริจฺจชนํฯ ตปฺปรายณตา นาม ‘‘อชฺชาทิํ กตฺวา ‘อหํ พุทฺธปรายโณ, ธมฺมปรายโณ, สงฺฆปรายโณ’ติฯ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ ตปฺปรายณภาโวฯ สิสฺสภาวูปคมนํ นาม – ‘‘อชฺชาทิํ กตฺวา – ‘อหํ พุทฺธสฺส อเนฺตวาสิโก, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺส อเนฺตวาสิโก’ติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ สิสฺสภาวูปคโมฯ ปณิปาโต นาม – ‘‘อชฺชาทิํ กตฺวา อหํ อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมํ พุทฺธาทีนํเยว ติณฺณํ วตฺถูนํ กโรมี’ติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีสุ ปรมนิปจฺจากาโรฯ อิเมสญฺหิ จตุนฺนํ อาการานํ อญฺญตรมฺปิ กโรเนฺตน คหิตํเยว โหติ สรณํฯ
Tattha attasanniyyātanaṃ nāma – ‘‘ajjādiṃ katvā ahaṃ attānaṃ buddhassa niyyātemi, dhammassa, saṅghassā’’ti evaṃ buddhādīnaṃ attapariccajanaṃ. Tapparāyaṇatā nāma ‘‘ajjādiṃ katvā ‘ahaṃ buddhaparāyaṇo, dhammaparāyaṇo, saṅghaparāyaṇo’ti. Maṃ dhārethā’’ti evaṃ tapparāyaṇabhāvo. Sissabhāvūpagamanaṃ nāma – ‘‘ajjādiṃ katvā – ‘ahaṃ buddhassa antevāsiko, dhammassa, saṅghassa antevāsiko’ti maṃ dhārethā’’ti evaṃ sissabhāvūpagamo. Paṇipāto nāma – ‘‘ajjādiṃ katvā ahaṃ abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammasāmīcikammaṃ buddhādīnaṃyeva tiṇṇaṃ vatthūnaṃ karomī’ti maṃ dhārethā’’ti evaṃ buddhādīsu paramanipaccākāro. Imesañhi catunnaṃ ākārānaṃ aññatarampi karontena gahitaṃyeva hoti saraṇaṃ.
อปิ จ ภควโต อตฺตานํ ปริจฺจชามิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺส, อตฺตานํ ปริจฺจชามิ, ชีวิตํ ปริจฺจชามิ, ปริจฺจโตฺตเยว เม อตฺตา, ปริจฺจตฺตํเยว ชีวิตํ, ชีวิตปริยนฺติกํ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, พุโทฺธ เม สรณํ เลณํ ตาณนฺติ ; เอวมฺปิ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘สตฺถารญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สุคตญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔)ฯ เอวมฺปิ มหากสฺสปสฺส สรณคมนํ วิย สิสฺสภาวูปคมนํ เวทิตพฺพํฯ
Api ca bhagavato attānaṃ pariccajāmi, dhammassa, saṅghassa, attānaṃ pariccajāmi, jīvitaṃ pariccajāmi, pariccattoyeva me attā, pariccattaṃyeva jīvitaṃ, jīvitapariyantikaṃ buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmi, buddho me saraṇaṃ leṇaṃ tāṇanti ; evampi attasanniyyātanaṃ veditabbaṃ. ‘‘Satthārañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyyaṃ, sugatañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyyaṃ, sammāsambuddhañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyya’’nti (saṃ. ni. 2.154). Evampi mahākassapassa saraṇagamanaṃ viya sissabhāvūpagamanaṃ veditabbaṃ.
‘‘โส อหํ วิจริสฺสามิ, คามา คามํ ปุรา ปุรํ;
‘‘So ahaṃ vicarissāmi, gāmā gāmaṃ purā puraṃ;
นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมต’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๙๔);
Namassamāno sambuddhaṃ, dhammassa ca sudhammata’’nti. (su. ni. 194);
เอวมฺปิ อาฬวกาทีนํ สรณคมนํ วิย ตปฺปรายณตา เวทิตพฺพาฯ อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควโต ปาทานิ มุเขน จ ปริจุมฺพติ, ปาณีหิ จ ปริสมฺพาหติ, นามญฺจ สาเวติ – ‘‘พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม พฺราหฺมโณ, พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม พฺราหฺมโณ’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๙๔) เอวมฺปิ ปณิปาโต ทฎฺฐโพฺพฯ
Evampi āḷavakādīnaṃ saraṇagamanaṃ viya tapparāyaṇatā veditabbā. Atha kho brahmāyu brāhmaṇo uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā bhagavato pādesu sirasā nipatitvā bhagavato pādāni mukhena ca paricumbati, pāṇīhi ca parisambāhati, nāmañca sāveti – ‘‘brahmāyu ahaṃ, bho gotama brāhmaṇo, brahmāyu ahaṃ, bho gotama brāhmaṇo’’ti (ma. ni. 2.394) evampi paṇipāto daṭṭhabbo.
โส ปเนส ญาติภยาจริยทกฺขิเณยฺยวเสน จตุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ทกฺขิเณยฺยปณิปาเตน สรณคมนํ โหติ, น อิตเรหิฯ เสฎฺฐวเสเนว หิ สรณํ คณฺหาติ, เสฎฺฐวเสน จ ภิชฺชติฯ ตสฺมา โย สากิโย วา โกลิโย วา – ‘‘พุโทฺธ อมฺหากํ ญาตโก’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา – ‘‘สมโณ โคตโม ราชปูชิโต มหานุภาโว อวนฺทียมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยา’’ติ ภเยน วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา โพธิสตฺตกาเล ภควโต สนฺติเก กิญฺจิ อุคฺคหิตํ สรมาโน พุทฺธกาเล วา –
So panesa ñātibhayācariyadakkhiṇeyyavasena catubbidho hoti. Tattha dakkhiṇeyyapaṇipātena saraṇagamanaṃ hoti, na itarehi. Seṭṭhavaseneva hi saraṇaṃ gaṇhāti, seṭṭhavasena ca bhijjati. Tasmā yo sākiyo vā koliyo vā – ‘‘buddho amhākaṃ ñātako’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā – ‘‘samaṇo gotamo rājapūjito mahānubhāvo avandīyamāno anatthampi kareyyā’’ti bhayena vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā bodhisattakāle bhagavato santike kiñci uggahitaṃ saramāno buddhakāle vā –
‘‘จตุธา วิภเช โภเค, ปณฺฑิโต ฆรมาวสํ;
‘‘Catudhā vibhaje bhoge, paṇḍito gharamāvasaṃ;
เอเกน โภคํ ภุเญฺชยฺย, ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย;
Ekena bhogaṃ bhuñjeyya, dvīhi kammaṃ payojaye;
จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย, อาปทาสุ ภวิสฺสตี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕);
Catutthañca nidhāpeyya, āpadāsu bhavissatī’’ti. (dī. ni. 3.265);
เอวรูปํ อนุสาสนิํ อุคฺคเหตฺวา – ‘‘อาจริโย เม’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย ปน – ‘‘อยํ โลเก อคฺคทกฺขิเณโยฺย’’ติ วนฺทติ, เตเนว คหิตํ โหติ สรณํฯ
Evarūpaṃ anusāsaniṃ uggahetvā – ‘‘ācariyo me’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo pana – ‘‘ayaṃ loke aggadakkhiṇeyyo’’ti vandati, teneva gahitaṃ hoti saraṇaṃ.
เอวํ คหิตสรณสฺส จ อุปาสกสฺส วา อุปาสิกาย วา อญฺญติตฺถิเยสุ ปพฺพชิตมฺปิ ญาติํ – ‘‘ญาตโก เม อย’’นฺติ วนฺทโต สรณคมนํ น ภิชฺชติ, ปเคว อปพฺพชิตํฯ ตถา ราชานํ ภยวเสน วนฺทโตฯ โส หิ รฎฺฐปูชิตตฺตา อวนฺทียมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยาติฯ ตถา ยํ กิญฺจิ สิปฺปํ สิกฺขาปกํ ติตฺถิยมฺปิ – ‘‘อาจริโย เม อย’’นฺติ วนฺทโตปิ น ภิชฺชติ, เอวํ สรณคมนปฺปเภโท เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ gahitasaraṇassa ca upāsakassa vā upāsikāya vā aññatitthiyesu pabbajitampi ñātiṃ – ‘‘ñātako me aya’’nti vandato saraṇagamanaṃ na bhijjati, pageva apabbajitaṃ. Tathā rājānaṃ bhayavasena vandato. So hi raṭṭhapūjitattā avandīyamāno anatthampi kareyyāti. Tathā yaṃ kiñci sippaṃ sikkhāpakaṃ titthiyampi – ‘‘ācariyo me aya’’nti vandatopi na bhijjati, evaṃ saraṇagamanappabhedo veditabbo.
เอตฺถ จ โลกุตฺตรสฺส สรณคมนสฺส จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผลํ, สพฺพทุกฺขกฺขโย อานิสํสผลํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Ettha ca lokuttarassa saraṇagamanassa cattāri sāmaññaphalāni vipākaphalaṃ, sabbadukkhakkhayo ānisaṃsaphalaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;
‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ
Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati.
ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;
Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;
อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ
Ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.
เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;
Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;
เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๒);
Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 192);
อปิ จ นิจฺจาทิโต อนุปคมนาทิวเสน เปตสฺส อานิสํสผลํ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺย…เป.… กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต…เป.… กญฺจิ ธมฺมํ อตฺตโต อุปคเจฺฉยฺย…เป.… มาตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย…เป.… ปิตรํ…เป.… อรหนฺตํ…เป.… ปทุฎฺฐจิโตฺต ตถาคตสฺส โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย…เป.…. สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย…เป.… อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๙๐)ฯ โลกิยสฺส ปน สรณคมนสฺส ภวสมฺปทาปิ โภคสมฺปทาปิ ผลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Api ca niccādito anupagamanādivasena petassa ānisaṃsaphalaṃ veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo kañci saṅkhāraṃ niccato upagaccheyya…pe… kañci saṅkhāraṃ sukhato…pe… kañci dhammaṃ attato upagaccheyya…pe… mātaraṃ jīvitā voropeyya…pe… pitaraṃ…pe… arahantaṃ…pe… paduṭṭhacitto tathāgatassa lohitaṃ uppādeyya…pe…. saṅghaṃ bhindeyya…pe… aññaṃ satthāraṃ uddiseyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (a. ni. 1.290). Lokiyassa pana saraṇagamanassa bhavasampadāpi bhogasampadāpi phalameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;
‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;
ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๓๗);
Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressantī’’ti. (saṃ. ni. 1.37);
อปรมฺปิ วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อสีติยา เทวตาสหเสฺสหิ สทฺธิํ เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ…เป.… เอกมนฺตํ ฐิตํ โข สกฺกํ เทวานมินฺทํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ – ‘‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, พุทฺธํ สรณคมนํ โหติฯ พุทฺธํ สรณคมนเหตุ โข, เทวานมินฺท, เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติ…เป.… เต อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺติ – ทิเพฺพน อายุนา, ทิเพฺพน วเณฺณน, ทิเพฺพน สุเขน, ทิเพฺพน ยเสน, ทิเพฺพน อาธิปเตเยฺยน, ทิเพฺพหิ รูเปหิ สเทฺทหิ คเนฺธหิ รเสหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑)ฯ เอส นโย ธเมฺม จ สเงฺฆ จฯ อปิ จ เวลามสุตฺตาทีนํ วเสนาปิ สรณคมนสฺส ผลวิเสโส เวทิตโพฺพฯ เอวํ สรณคมนสฺส ผลํ เวทิตพฺพํฯ
Aparampi vuttaṃ – ‘‘atha kho sakko devānamindo asītiyā devatāsahassehi saddhiṃ yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami…pe… ekamantaṃ ṭhitaṃ kho sakkaṃ devānamindaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca – ‘‘sādhu kho, devānaminda, buddhaṃ saraṇagamanaṃ hoti. Buddhaṃ saraṇagamanahetu kho, devānaminda, evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjanti…pe… te aññe deve dasahi ṭhānehi adhigaṇhanti – dibbena āyunā, dibbena vaṇṇena, dibbena sukhena, dibbena yasena, dibbena ādhipateyyena, dibbehi rūpehi saddehi gandhehi rasehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341). Esa nayo dhamme ca saṅghe ca. Api ca velāmasuttādīnaṃ vasenāpi saraṇagamanassa phalaviseso veditabbo. Evaṃ saraṇagamanassa phalaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ จ โลกิยสรณคมนํ ตีสุ วตฺถูสุ อญฺญาณสํสยมิจฺฉาญาณาทีหิ สํกิลิสฺสติ, น มหาชุติกํ โหติ, น มหาวิปฺผารํฯ โลกุตฺตรสฺส นตฺถิ สํกิเลโสฯ โลกิยสฺส จ สรณคมนสฺส ทุวิโธ เภโท – สาวโชฺช จ อนวโชฺช จฯ ตตฺถ สาวโชฺช อญฺญสตฺถาราทีสุ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีหิ โหติ, โส จ อนิฎฺฐผโล โหติฯ อนวโชฺช กาลกิริยาย โหติ, โส อวิปากตฺตา อผโลฯ โลกุตฺตรสฺส ปน เนวตฺถิ เภโทฯ ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก อญฺญํ สตฺถารํ น อุทฺทิสตีติฯ เอวํ สรณคมนสฺส สํกิเลโส จ เภโท จ เวทิตโพฺพติฯ
Tattha ca lokiyasaraṇagamanaṃ tīsu vatthūsu aññāṇasaṃsayamicchāñāṇādīhi saṃkilissati, na mahājutikaṃ hoti, na mahāvipphāraṃ. Lokuttarassa natthi saṃkileso. Lokiyassa ca saraṇagamanassa duvidho bhedo – sāvajjo ca anavajjo ca. Tattha sāvajjo aññasatthārādīsu attasanniyyātanādīhi hoti, so ca aniṭṭhaphalo hoti. Anavajjo kālakiriyāya hoti, so avipākattā aphalo. Lokuttarassa pana nevatthi bhedo. Bhavantarepi hi ariyasāvako aññaṃ satthāraṃ na uddisatīti. Evaṃ saraṇagamanassa saṃkileso ca bhedo ca veditabboti.
อุปาสกํ มํ ภเนฺต ภควา ธาเรตูติ มํ ภควา ‘‘อุปาสโก อย’’นฺติ เอวํ ธาเรตุ, ชานาตูติ อโตฺถฯ อุปาสกวิธิโกสลฺลตฺถํ ปเนตฺถ – โก อุปาสโก? กสฺมา อุปาสโกติ วุจฺจติ ? กิมสฺส สีลํ? โก อาชีโว? กา วิปตฺติ? กา สมฺปตฺตีติ? อิทํ ปกิณฺณกํ เวทิตพฺพํฯ
Upāsakaṃ maṃ bhante bhagavā dhāretūti maṃ bhagavā ‘‘upāsako aya’’nti evaṃ dhāretu, jānātūti attho. Upāsakavidhikosallatthaṃ panettha – ko upāsako? Kasmā upāsakoti vuccati ? Kimassa sīlaṃ? Ko ājīvo? Kā vipatti? Kā sampattīti? Idaṃ pakiṇṇakaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ โก อุปาสโกติ โย โกจิ สรณคโต คหโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยโต โข, มหานาม, พุทฺธํ สรณํ คโต โหติ, ธมฺมํ สรณํ คโต โหติ, สงฺฆํ สรณํ คโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข, มหานาม, อุปาสโก โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ
Tattha ko upāsakoti yo koci saraṇagato gahaṭṭho. Vuttañhetaṃ – ‘‘yato kho, mahānāma, buddhaṃ saraṇaṃ gato hoti, dhammaṃ saraṇaṃ gato hoti, saṅghaṃ saraṇaṃ gato hoti. Ettāvatā kho, mahānāma, upāsako hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).
กสฺมา อุปาสโกติ รตนตฺตยํ อุปาสนโตฯ โส หิ พุทฺธํ อุปาสตีติ อุปาสโก, ตถา ธมฺมํ สํฆํฯ
Kasmā upāsakoti ratanattayaṃ upāsanato. So hi buddhaṃ upāsatīti upāsako, tathā dhammaṃ saṃghaṃ.
กิมสฺส สีลนฺติ ปญฺจ เวรมณิโยฯ ยถาห – ‘‘ยโต โข, มหานาม, อุปาสโก ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา… กาเมสุมิจฺฉาจารา… มุสาวาทา… สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติ, เอตฺตาวตา โข, มหานาม, อุปาสโก สีลวา โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ
Kimassasīlanti pañca veramaṇiyo. Yathāha – ‘‘yato kho, mahānāma, upāsako pāṇātipātā paṭivirato hoti, adinnādānā… kāmesumicchācārā… musāvādā… surāmerayamajjapamādaṭṭhānā paṭivirato hoti, ettāvatā kho, mahānāma, upāsako sīlavā hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).
โก อาชีโวติ ปญฺจ มิจฺฉาวณิชฺชา ปหาย ธเมฺมน สเมน ชีวิตกปฺปนํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปญฺจิมา, ภิกฺขเว, วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียาฯ กตมา ปญฺจ? สตฺถวณิชฺชา, สตฺตวณิชฺชา, มํสวณิชฺชา, มชฺชวณิชฺชา, วิสวณิชฺชาฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียา’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๗)ฯ
Koājīvoti pañca micchāvaṇijjā pahāya dhammena samena jīvitakappanaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘pañcimā, bhikkhave, vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā. Katamā pañca? Satthavaṇijjā, sattavaṇijjā, maṃsavaṇijjā, majjavaṇijjā, visavaṇijjā. Imā kho, bhikkhave, pañca vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā’’ti (a. ni. 5.177).
กา วิปตฺตีติ ยา ตเสฺสว สีลสฺส จ อาชีวสฺส จ วิปตฺติ, อยมสฺส วิปตฺติฯ อปิ จ ยาย เอส จณฺฑาโล เจว โหติ, มลญฺจ ปติกุโฎฺฐ จ, สาปิสฺส วิปตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เต จ อตฺถโต อสฺสทฺธิยาทโย ปญฺจ ธมฺมา โหนฺติฯ ยถาห – ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกจณฺฑาโล จ โหติ, อุปาสกมลญฺจ, อุปาสกปติกุโฎฺฐ จฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? อสฺสโทฺธ โหติ, ทุสฺสีโล โหติ, โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, มงฺคลํ ปเจฺจติ, โน กมฺมํ, อิโต จ พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยสติ, ตตฺถ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ
Kā vipattīti yā tasseva sīlassa ca ājīvassa ca vipatti, ayamassa vipatti. Api ca yāya esa caṇḍālo ceva hoti, malañca patikuṭṭho ca, sāpissa vipattīti veditabbā. Te ca atthato assaddhiyādayo pañca dhammā honti. Yathāha – ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakacaṇḍālo ca hoti, upāsakamalañca, upāsakapatikuṭṭho ca. Katamehi pañcahi? Assaddho hoti, dussīlo hoti, kotūhalamaṅgaliko hoti, maṅgalaṃ pacceti, no kammaṃ, ito ca bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ pariyesati, tattha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).
กา สมฺปตฺตีติ ยา จสฺส สีลสมฺปทา เจว อาชีวสมฺปทา จ, สา สมฺปตฺติ; เย จสฺส รตนภาวาทิกรา สทฺธาทโย ปญฺจ ธมฺมาฯ ยถาห – ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกรตนญฺจ โหติ, อุปาสกปทุมญฺจ, อุปาสกปุณฺฑรีกญฺจฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? สโทฺธ โหติ, สีลวา โหติ, น โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, กมฺมํ ปเจฺจติ, โน มงฺคลํ, น อิโต พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ คเวสติ, อิธ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ
Kā sampattīti yā cassa sīlasampadā ceva ājīvasampadā ca, sā sampatti; ye cassa ratanabhāvādikarā saddhādayo pañca dhammā. Yathāha – ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakaratanañca hoti, upāsakapadumañca, upāsakapuṇḍarīkañca. Katamehi pañcahi? Saddho hoti, sīlavā hoti, na kotūhalamaṅgaliko hoti, kammaṃ pacceti, no maṅgalaṃ, na ito bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ gavesati, idha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).
อชฺชตเคฺคติ เอตฺถายํ อคฺคสโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสเฎฺฐสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺชตเคฺค, สมฺม โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๐) หิ อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย ฯ อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติอาทีสุ (กถา. ๒๘๑) โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา ติตฺตกคฺคํ วา วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๓๑๗) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๔) เสเฎฺฐฯ อิธ ปนายํ อาทิมฺหิ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อชฺชตเคฺคติ อชฺชตํ อาทิํ กตฺวาติ เอวเมตฺถโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อชฺชตนฺติ อชฺชภาวํฯ อชฺชทเคฺคติ วา ปาโฐ, ทกาโร ปทสนฺธิกโรฯ อชฺช อคฺคนฺติ อโตฺถฯ
Ajjataggeti etthāyaṃ aggasaddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhesu dissati. ‘‘Ajjatagge, samma dovārika, āvarāmi dvāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.70) hi ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya . Ucchaggaṃ veḷagga’’ntiādīsu (kathā. 281) koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā tittakaggaṃ vā vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’ntiādīsu (cūḷava. 317) koṭṭhāse. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādīsu (a. ni. 4.34) seṭṭhe. Idha panāyaṃ ādimhi daṭṭhabbo. Tasmā ajjataggeti ajjataṃ ādiṃ katvāti evametthattho veditabbo. Ajjatanti ajjabhāvaṃ. Ajjadaggeti vā pāṭho, dakāro padasandhikaro. Ajja agganti attho.
ปาณุเปตนฺติ ปาเณหิ อุเปตํฯ ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตติ, ตาว อุเปตํ อนญฺญสตฺถุกํ ตีหิ สรณคมเนหิ สรณํ คตํ อุปาสกํ กปฺปิยการกํ มํ ภควา ธาเรตุ ชานาตุฯ อหญฺหิ สเจปิ เม ติขิเณน อสินา สีสํ ฉิเนฺทยฺย, เนว พุทฺธํ ‘‘น พุโทฺธ’’ติ วา, ธมฺมํ ‘‘น ธโมฺม’’ติ วา, สงฺฆํ ‘‘น สโงฺฆ’’ติ วา วเทยฺยนฺติฯ
Pāṇupetanti pāṇehi upetaṃ. Yāva me jīvitaṃ pavattati, tāva upetaṃ anaññasatthukaṃ tīhi saraṇagamanehi saraṇaṃ gataṃ upāsakaṃ kappiyakārakaṃ maṃ bhagavā dhāretu jānātu. Ahañhi sacepi me tikhiṇena asinā sīsaṃ chindeyya, neva buddhaṃ ‘‘na buddho’’ti vā, dhammaṃ ‘‘na dhammo’’ti vā, saṅghaṃ ‘‘na saṅgho’’ti vā vadeyyanti.
เอวํ อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน สรณํ คนฺตฺวา อตฺตนา กตํ อปราธํ ปกาเสโนฺต อจฺจโย มํ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ อจฺจโยติ อปราโธฯ มํ อจฺจคมาติ มํ อติกฺกมฺม อภิภวิตฺวา ปวโตฺตฯ ธมฺมิกํ ธมฺมราชานนฺติ เอตฺถ ธมฺมํ จรตีติ ธมฺมิโกฯ ธเมฺมเนว ราชา ชาโต, น ปิตุฆาตนาทินา อธเมฺมนาติ ธมฺมราชาฯ ชีวิตา โวโรเปสินฺติ ชีวิตา วิโยเชสิํฯ ปฎิคฺคณฺหาตูติ ขมตุฯ อายติํ สํวรายาติ อนาคเต สํวรตฺถายฯ ปุน เอวรูปสฺส อปราธสฺส โทสสฺส ขลิตสฺส อกรณตฺถายฯ
Evaṃ attasanniyyātanena saraṇaṃ gantvā attanā kataṃ aparādhaṃ pakāsento accayo maṃ, bhantetiādimāha. Tattha accayoti aparādho. Maṃ accagamāti maṃ atikkamma abhibhavitvā pavatto. Dhammikaṃ dhammarājānanti ettha dhammaṃ caratīti dhammiko. Dhammeneva rājā jāto, na pitughātanādinā adhammenāti dhammarājā. Jīvitā voropesinti jīvitā viyojesiṃ. Paṭiggaṇhātūti khamatu. Āyatiṃ saṃvarāyāti anāgate saṃvaratthāya. Puna evarūpassa aparādhassa dosassa khalitassa akaraṇatthāya.
๒๕๑. ตคฺฆาติ เอกํเส นิปาโตฯ ยถา ธมฺมํ ปฎิกโรสีติ ยถา ธโมฺม ฐิโต ตเถว กโรสิ, ขมาเปสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามาติ ตํ ตว อปราธํ มยํ ขมามฯ วุฑฺฒิเหสา, มหาราช อริยสฺส วินเยติ เอสา, มหาราช, อริยสฺส วินเย พุทฺธสฺส ภควโต สาสเน วุฑฺฒิ นามฯ กตมา? ยายํ อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกริตฺวา อายติํ สํวราปชฺชนา, เทสนํ ปน ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กโรโนฺต – ‘‘โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ อาหฯ
251.Tagghāti ekaṃse nipāto. Yathā dhammaṃ paṭikarosīti yathā dhammo ṭhito tatheva karosi, khamāpesīti vuttaṃ hoti. Taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāmāti taṃ tava aparādhaṃ mayaṃ khamāma. Vuḍḍhihesā, mahārāja ariyassa vinayeti esā, mahārāja, ariyassa vinaye buddhassa bhagavato sāsane vuḍḍhi nāma. Katamā? Yāyaṃ accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaritvā āyatiṃ saṃvarāpajjanā, desanaṃ pana puggalādhiṭṭhānaṃ karonto – ‘‘yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti āha.
๒๕๒. เอวํ วุเตฺตติ เอวํ ภควตา วุเตฺตฯ หนฺท จ ทานิ มยํ ภเนฺตติ เอตฺถ หนฺทาติ วจสายเตฺถ นิปาโตฯ โส หิ คมนวจสายํ กตฺวา เอวมาหฯ พหุกิจฺจาติ พลวกิจฺจาฯ พหุกรณียาติ ตเสฺสว เววจนํฯ ยสฺสทานิ ตฺวนฺติ ยสฺส อิทานิ ตฺวํ มหาราช คมนสฺส กาลํ มญฺญสิ ชานาสิ, ตสฺส กาลํ ตฺวเมว ชานาสีติ วุตฺตํ โหติฯ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามีติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสิ ปติฎฺฐเปตฺวา ยาว ทสฺสนวิสยํ ภควโต อภิมุโขว ปฎิกฺกมิตฺวา ทสฺสนวิชหนฎฺฐานภูมิยํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ
252.Evaṃ vutteti evaṃ bhagavatā vutte. Handa ca dāni mayaṃ bhanteti ettha handāti vacasāyatthe nipāto. So hi gamanavacasāyaṃ katvā evamāha. Bahukiccāti balavakiccā. Bahukaraṇīyāti tasseva vevacanaṃ. Yassadāni tvanti yassa idāni tvaṃ mahārāja gamanassa kālaṃ maññasi jānāsi, tassa kālaṃ tvameva jānāsīti vuttaṃ hoti. Padakkhiṇaṃ katvā pakkāmīti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasi patiṭṭhapetvā yāva dassanavisayaṃ bhagavato abhimukhova paṭikkamitvā dassanavijahanaṭṭhānabhūmiyaṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā pakkāmi.
๒๕๓. ขตายํ, ภิกฺขเว, ราชาติ ขโต อยํ, ภิกฺขเว, ราชาฯ อุปหตายนฺติ อุปหโต อยํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยํ, ภิกฺขเว, ราชา ขโต อุปหโต ภินฺนปติโฎฺฐ ชาโต, ตถาเนน อตฺตนาว อตฺตา ขโต, ยถา อตฺตโน ปติฎฺฐา น ชาตาติฯ วิรชนฺติ ราครชาทิวิรหิตํฯ ราคมลาทีนํเยว วิคตตฺตา วีตมลํฯ ธมฺมจกฺขุนฺติ ธเมฺมสุ วา จกฺขุํ, ธมฺมมยํ วา จกฺขุํ, อเญฺญสุ ฐาเนสุ ติณฺณํ มคฺคานเมตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน โสตาปตฺติมคฺคเสฺสวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ อิมินา ปิตา ฆาติโต นาภวิสฺส, อิทานิ อิเธวาสเน นิสิโนฺน โสตาปตฺติมคฺคํ ปโตฺต อภวิสฺส, ปาปมิตฺตสํสเคฺคน ปนสฺส อนฺตราโย ชาโตฯ เอวํ สเนฺตปิ ยสฺมา อยํ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา รตนตฺตยํ สรณํ คโต, ตสฺมา มม สาสนมหนฺตตาย ยถา นาม โกจิ ปุริสสฺส วธํ กตฺวา ปุปฺผมุฎฺฐิมเตฺตน ทเณฺฑน มุเจฺจยฺย, เอวเมว โลหกุมฺภิยํ นิพฺพตฺติตฺวา ติํสวสฺสสหสฺสานิ อโธ ปตโนฺต เหฎฺฐิมตลํ ปตฺวา ติํสวสฺสสหสฺสานิ อุทฺธํ คจฺฉโนฺต ปุนปิ อุปริมตลํ ปาปุณิตฺวา มุจฺจิสฺสตีติ อิทมฺปิ กิร ภควตา วุตฺตเมว, ปาฬิยํ ปน น อารูฬฺหํฯ
253.Khatāyaṃ, bhikkhave, rājāti khato ayaṃ, bhikkhave, rājā. Upahatāyanti upahato ayaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayaṃ, bhikkhave, rājā khato upahato bhinnapatiṭṭho jāto, tathānena attanāva attā khato, yathā attano patiṭṭhā na jātāti. Virajanti rāgarajādivirahitaṃ. Rāgamalādīnaṃyeva vigatattā vītamalaṃ. Dhammacakkhunti dhammesu vā cakkhuṃ, dhammamayaṃ vā cakkhuṃ, aññesu ṭhānesu tiṇṇaṃ maggānametaṃ adhivacanaṃ. Idha pana sotāpattimaggasseva. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace iminā pitā ghātito nābhavissa, idāni idhevāsane nisinno sotāpattimaggaṃ patto abhavissa, pāpamittasaṃsaggena panassa antarāyo jāto. Evaṃ santepi yasmā ayaṃ tathāgataṃ upasaṅkamitvā ratanattayaṃ saraṇaṃ gato, tasmā mama sāsanamahantatāya yathā nāma koci purisassa vadhaṃ katvā pupphamuṭṭhimattena daṇḍena mucceyya, evameva lohakumbhiyaṃ nibbattitvā tiṃsavassasahassāni adho patanto heṭṭhimatalaṃ patvā tiṃsavassasahassāni uddhaṃ gacchanto punapi uparimatalaṃ pāpuṇitvā muccissatīti idampi kira bhagavatā vuttameva, pāḷiyaṃ pana na ārūḷhaṃ.
อิทํ ปน สุตฺตํ สุตฺวา รญฺญา โกจิ อานิสํโส ลโทฺธติ? มหาอานิสํโส ลโทฺธฯ อยญฺหิ ปิตุ มาริตกาลโต ปฎฺฐาย เนว รตฺติํ น ทิวา นิทฺทํ ลภติ, สตฺถารํ ปน อุปสงฺกมิตฺวา อิมาย มธุราย โอชวนฺติยา ธมฺมเทสนาย สุตกาลโต ปฎฺฐาย นิทฺทํ ลภิฯ ติณฺณํ รตนานํ มหาสกฺการํ อกาสิฯ โปถุชฺชนิกาย สทฺธาย สมนฺนาคโต นาม อิมินา รญฺญา สทิโส นาโหสิฯ อนาคเต ปน วิชิตาวี นาม ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสตีติ ฯ อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idaṃ pana suttaṃ sutvā raññā koci ānisaṃso laddhoti? Mahāānisaṃso laddho. Ayañhi pitu māritakālato paṭṭhāya neva rattiṃ na divā niddaṃ labhati, satthāraṃ pana upasaṅkamitvā imāya madhurāya ojavantiyā dhammadesanāya sutakālato paṭṭhāya niddaṃ labhi. Tiṇṇaṃ ratanānaṃ mahāsakkāraṃ akāsi. Pothujjanikāya saddhāya samannāgato nāma iminā raññā sadiso nāhosi. Anāgate pana vijitāvī nāma paccekabuddho hutvā parinibbāyissatīti . Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ
Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ
สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๒. สามญฺญผลสุตฺตํ • 2. Sāmaññaphalasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา • 2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā