Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā)

    ๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา

    2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā

    ราชามจฺจกถาวณฺณนา

    Rājāmaccakathāvaṇṇanā

    ๑๕๐. ราชคเหติ เอตฺถ ทุคฺคชนปทฎฺฐานวิเสสสมฺปทาทิโยคโต ปธานภาเวน ราชูหิ คหิตนฺติ ราชคหนฺติ อาห ‘‘มนฺธาตุ…เป.… วุจฺจตี’’ติฯ ตตฺถ มหาโควิเนฺทน มหาสเตฺตน ปริคฺคหิตํ เรณุอาทีหิ ราชูหิ ปริคฺคหิตเมว โหตีติ มหาโควินฺทคฺคหณํฯ มหาโควิโนฺทติ มหานุภาโว เอโก ปุราตโน ราชาติ เกจิฯ ปริคฺคหิตตฺตาติ ราชธานีภาเวน ปริคฺคหิตตฺตาฯ ปกาเรติ นครมาปเนน รญฺญา การิตสพฺพเคหตฺตา ราชคหํ, คิชฺฌกูฎาทีหิ ปริกฺขิตฺตตฺตา ปพฺพตราเชหิ ปริกฺขิตฺตเคหสทิสนฺติปิ ราชคหํ, สมฺปนฺนภวนตาย ราชมานํ เคหนฺติ ปิ ราชคหํ, สํวิหิตารกฺขตาย อนตฺถาวหภาเวน อุปคตานํ ปฎิราชูนํ คหํ เคหภูตนฺติปิ ราชคหํ, ราชูหิ ทิสฺวา สมฺมา ปติฎฺฐาปิตตฺตา เตสํ คหํ เคหภูตนฺติปิ ราชคหํ, อารามรามเณยฺยกาทีหิ ราชเต, นิวาสสุขตาทินา สเตฺตหิ มมตฺตวเสน คยฺหติ, ปริคฺคยฺหตีติ วา ราชคหนฺติ เอทิเส ปกาเร โส ปเทโส ฐานวิเสสภาเวน อุฬารสตฺตปริโภโคติ อาห ‘‘ตํ ปเนต’’นฺติอาทิฯ เตสนฺติ ยกฺขานํฯ วสนวนนฺติ อาปานภูมิภูตํ อุปวนํฯ

    150.Rājagaheti ettha duggajanapadaṭṭhānavisesasampadādiyogato padhānabhāvena rājūhi gahitanti rājagahanti āha ‘‘mandhātu…pe… vuccatī’’ti. Tattha mahāgovindena mahāsattena pariggahitaṃ reṇuādīhi rājūhi pariggahitameva hotīti mahāgovindaggahaṇaṃ. Mahāgovindoti mahānubhāvo eko purātano rājāti keci. Pariggahitattāti rājadhānībhāvena pariggahitattā. Pakāreti nagaramāpanena raññā kāritasabbagehattā rājagahaṃ, gijjhakūṭādīhi parikkhittattā pabbatarājehi parikkhittagehasadisantipi rājagahaṃ, sampannabhavanatāya rājamānaṃ gehanti pi rājagahaṃ, saṃvihitārakkhatāya anatthāvahabhāvena upagatānaṃ paṭirājūnaṃ gahaṃ gehabhūtantipi rājagahaṃ, rājūhi disvā sammā patiṭṭhāpitattā tesaṃ gahaṃ gehabhūtantipi rājagahaṃ, ārāmarāmaṇeyyakādīhi rājate, nivāsasukhatādinā sattehi mamattavasena gayhati, pariggayhatīti vā rājagahanti edise pakāre so padeso ṭhānavisesabhāvena uḷārasattaparibhogoti āha ‘‘taṃ paneta’’ntiādi. Tesanti yakkhānaṃ. Vasanavananti āpānabhūmibhūtaṃ upavanaṃ.

    อวิเสเสนาติ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ’’ (ม. นิ. ๑.๖๙; ๓.๗๕; วิภ. ๕๐๘), ‘‘ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, (ที. นิ. ๑.๒๒๖; สํ. นิ. ๒.๑๕๒; อ. นิ. ๔.๑๒๓; ปารา. ๑๑) ‘‘เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ’’, (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗, ๔๕๙, ๕๐๙; ๒.๓๐๙, ๓๑๕, ๔๕๑, ๔๗๑; ๓.๒๓๐; วิภ. ๖๔๒) ‘‘สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธิํ สมาปชฺชิตฺวา วิหรตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๕๙) วิย สทฺทนฺตรสนฺนิธานสิเทฺธน วิเสสปรามสเนน วินาฯ อิริยาย กายิกกิริยาย ปวตฺตนูปายภาวโต ปโถติ อิริยาปโถฯ ฐานาทีนญฺหิ คตินิวตฺติ อาทิอวตฺถาหิ วินา น กญฺจิ กายิกกิริยํ ปวเตฺตตุํ สกฺกาฯ วิหรติ ปวตฺตติ เอเตน, วิหรณญฺจาติ วิหาโร, ทิพฺพภาวาวโห วิหาโร ทิพฺพวิหาโร, มหคฺคตชฺฌานานิฯ เนตฺติยํ ปน ‘‘จตโสฺส อารุปฺปสมาปตฺติโย อาเนญฺชา วิหารา’’ติ วุตฺตํ ฯ ตํ ตาสํ เมตฺตาฌานาทีนํ พฺรหฺมวิหารตา วิย ภาวนาวิเสสภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อฎฺฐกถาสุ ปน ทิพฺพภาวาวหสามญฺญโต ตาปิ ‘‘ทิพฺพวิหารา’’ เตฺวว วุตฺตาฯ หิตูปสํหาราทิวเสน ปวตฺติยา พฺรหฺมภูตา เสฎฺฐภูตา วิหาราติ พฺรหฺมวิหารา, เมตฺตาฌานาทิกาฯ อนญฺญสาธารณตฺตา อริยานํ วิหาราติ อริยวิหารา, จตโสฺสปิ ผลสมาปตฺติโยฯ สมงฺคีปริทีปนนฺติ สมงฺคิภาวปริทีปนํฯ อิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ อิตรวิหารสมาโยคปริทีปนสฺส วิเสสวจนสฺส อภาวโต, อิริยาปถสมาโยคปริทีปนสฺส จ อตฺถสิทฺธตฺตาฯ วิหรตีติ เอตฺถ วิ-สโทฺท วิเจฺฉทตฺถโชตโน, หรตีติ เนติ, ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ กสฺส เกน วิจฺฉินฺทนํ, กถํ กสฺส ปวตฺตนนฺติ อโนฺตลีนํ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘โส หี’’ติอาทิฯ

    Avisesenāti ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati’’ (ma. ni. 1.69; 3.75; vibha. 508), ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, (dī. ni. 1.226; saṃ. ni. 2.152; a. ni. 4.123; pārā. 11) ‘‘mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati’’, (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77, 459, 509; 2.309, 315, 451, 471; 3.230; vibha. 642) ‘‘sabbanimittānaṃ amanasikārā animittaṃ cetosamādhiṃ samāpajjitvā viharatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.459) viya saddantarasannidhānasiddhena visesaparāmasanena vinā. Iriyāya kāyikakiriyāya pavattanūpāyabhāvato pathoti iriyāpatho. Ṭhānādīnañhi gatinivatti ādiavatthāhi vinā na kañci kāyikakiriyaṃ pavattetuṃ sakkā. Viharati pavattati etena, viharaṇañcāti vihāro, dibbabhāvāvaho vihāro dibbavihāro, mahaggatajjhānāni. Nettiyaṃ pana ‘‘catasso āruppasamāpattiyo āneñjā vihārā’’ti vuttaṃ . Taṃ tāsaṃ mettājhānādīnaṃ brahmavihāratā viya bhāvanāvisesabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Aṭṭhakathāsu pana dibbabhāvāvahasāmaññato tāpi ‘‘dibbavihārā’’ tveva vuttā. Hitūpasaṃhārādivasena pavattiyā brahmabhūtā seṭṭhabhūtā vihārāti brahmavihārā, mettājhānādikā. Anaññasādhāraṇattā ariyānaṃ vihārāti ariyavihārā, catassopi phalasamāpattiyo. Samaṅgīparidīpananti samaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Iriyāpathasamāyogaparidīpanaṃ itaravihārasamāyogaparidīpanassa visesavacanassa abhāvato, iriyāpathasamāyogaparidīpanassa ca atthasiddhattā. Viharatīti ettha vi-saddo vicchedatthajotano, haratīti neti, pavattetīti attho. Tattha kassa kena vicchindanaṃ, kathaṃ kassa pavattananti antolīnaṃ codanaṃ sandhāyāha ‘‘so hī’’tiādi.

    โคจรคามทสฺสนตฺถํ ‘‘ราชคเห’’ติ วตฺวา พุทฺธานํ อนุรูปนิวาสนฎฺฐานทสฺสนตฺถํ ‘‘อมฺพวเน’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิทมสฺสา’’ติอาทิฯ เอตนฺติ เอตํ ‘‘ราชคเห’’ติ ภุมฺมวจนํ สมีปเตฺถ ‘‘คงฺคาย คาโว จรนฺติ, กูเป คคฺคกุล’’นฺติ จ ยถาฯ กุมาเรน ภโตติ กุมารภโต, โส เอว โกมารภโจฺจ ยถา ภิสคฺคเมว เภสชฺชํฯ โทสาภิสนฺนนฺติ วาตปิตฺตาทิวเสน อุสฺสนฺนโทสํฯ วิเรเจตฺวาติ โทสปโกปโต วิเวเจตฺวาฯ

    Gocaragāmadassanatthaṃ ‘‘rājagahe’’ti vatvā buddhānaṃ anurūpanivāsanaṭṭhānadassanatthaṃ ‘‘ambavane’’ti vuttanti āha ‘‘idamassā’’tiādi. Etanti etaṃ ‘‘rājagahe’’ti bhummavacanaṃ samīpatthe ‘‘gaṅgāya gāvo caranti, kūpe gaggakula’’nti ca yathā. Kumārena bhatoti kumārabhato, so eva komārabhacco yathā bhisaggameva bhesajjaṃ. Dosābhisannanti vātapittādivasena ussannadosaṃ. Virecetvāti dosapakopato vivecetvā.

    อฑฺฒเตฬสหีติ อเฑฺฒน เตรสหิ อฑฺฒเตรสหิ ภิกฺขุสเตหิฯ ตานิ ปน ปญฺญาสาย อูนานิ เตรสภิกฺขุสตานิ โหนฺตีติ อาห ‘‘อฑฺฒสเตนา’’ติอาทิฯ

    Aḍḍhateḷasahīti aḍḍhena terasahi aḍḍhaterasahi bhikkhusatehi. Tāni pana paññāsāya ūnāni terasabhikkhusatāni hontīti āha ‘‘aḍḍhasatenā’’tiādi.

    ราชตีติ ทิพฺพติ, โสภตีติ อโตฺถฯ รเญฺชตีติ รเมติฯ รโญฺญติ ปิตุ พิมฺพิสารรโญฺญฯ สาสนเฎฺฐน หิํสนเฎฺฐน สตฺตุฯ

    Rājatīti dibbati, sobhatīti attho. Rañjetīti rameti. Raññoti pitu bimbisārarañño. Sāsanaṭṭhena hiṃsanaṭṭhena sattu.

    ภาริเยติ ครุเก อเญฺญสํ อสกฺกุเณเยฺย วาฯ สุวณฺณสตฺถเกนาติ สุวณฺณมเยน สตฺถเกนฯ อโยมยญฺหิ รโญฺญ สรีรํ อุปเนตุํ อยุตฺตนฺติ วทติฯ สุวณฺณสตฺถเกนาติ วา สุวณฺณปริกฺขเตน สตฺถเกน พาหุํ ผาลาเปตฺวาติ สิราเวธวเสน พาหุํ ผลาเปตฺวา อุทเกน สมฺภินฺทิตฺวา ปาเยสิ เกวลสฺส โลหิตสฺส คพฺภินิตฺถิยา ทุชฺชีรภาวโตฯ ธุราติ ธุรภูตา, คณสฺส , โธรยฺหาติ อโตฺถฯ ธุรํ นีหรามีติ คณธุรํ คณพนฺธิยํ นิพฺพเตฺตมิฯ ‘‘ปุเพฺพ โข’’ติอาทิ ขนฺธกปาฬิ เอวฯ

    Bhāriyeti garuke aññesaṃ asakkuṇeyye vā. Suvaṇṇasatthakenāti suvaṇṇamayena satthakena. Ayomayañhi rañño sarīraṃ upanetuṃ ayuttanti vadati. Suvaṇṇasatthakenāti vā suvaṇṇaparikkhatena satthakena bāhuṃ phālāpetvāti sirāvedhavasena bāhuṃ phalāpetvā udakena sambhinditvā pāyesi kevalassa lohitassa gabbhinitthiyā dujjīrabhāvato. Dhurāti dhurabhūtā, gaṇassa , dhorayhāti attho. Dhuraṃ nīharāmīti gaṇadhuraṃ gaṇabandhiyaṃ nibbattemi. ‘‘Pubbe kho’’tiādi khandhakapāḷi eva.

    โปตฺถนิยนฺติ ฉุริกํ, ยํ ‘‘นขร’’นฺติปิ [โปถนิกนฺติ ฉุริกํ, ยํ ขรนฺติปิ (สารตฺถ. ฎี. ๓.๓๓๙) โปถนิกนฺติ ฉุริกํ, ขรนฺติปิ (วิ. วิ. ฎี. ๒.จูฬวคฺควณฺณนา ๓๓๙)] วุจฺจติฯ ทิวา ทิวสฺสาติ ทิวสฺสปิ ทิวา, มชฺฌนฺหิกเวลายนฺติ อโตฺถฯ

    Potthaniyanti churikaṃ, yaṃ ‘‘nakhara’’ntipi [pothanikanti churikaṃ, yaṃ kharantipi (sārattha. ṭī. 3.339) pothanikanti churikaṃ, kharantipi (vi. vi. ṭī. 2.cūḷavaggavaṇṇanā 339)] vuccati. Divā divassāti divassapi divā, majjhanhikavelāyanti attho.

    ตสฺสา สรีรํ เลหิตฺวา ยาเปติ อตฺตูปกฺกเมน มรณํ น ยุตฺตนฺติฯ น หิ อริยสาวกา อตฺตานํ วินิปาเตนฺตีติฯ มคฺคผลสุเขนาติ มคฺคผลสุขาวเหน โสตาปตฺติมคฺคผลสุขูปสญฺหิเตน จงฺกเมน ยาเปติฯ เจติยงฺคเณติ คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชนฎฺฐานภูเต เจติยงฺคเณ ฯ นิสชฺชนตฺถายาติ ภิกฺขุสงฺฆนิสีทนตฺถายฯ จาตุมหาราชิกเทวโลเก…เป.… ยโกฺข หุตฺวา นิพฺพตฺติ ตตฺถ พหุลํ นิพฺพตฺตปุพฺพตาย จิรปริจิตนิกนฺติวเสนฯ

    Tassā sarīraṃ lehitvā yāpeti attūpakkamena maraṇaṃ na yuttanti. Na hi ariyasāvakā attānaṃ vinipātentīti. Maggaphalasukhenāti maggaphalasukhāvahena sotāpattimaggaphalasukhūpasañhitena caṅkamena yāpeti.Cetiyaṅgaṇeti gandhapupphādīhi pūjanaṭṭhānabhūte cetiyaṅgaṇe . Nisajjanatthāyāti bhikkhusaṅghanisīdanatthāya. Cātumahārājikadevaloke…pe… yakkho hutvā nibbatti tattha bahulaṃ nibbattapubbatāya ciraparicitanikantivasena.

    โขเภตฺวาติ ปุตฺตสิเนหสฺส พลวภาวโต, สหชาตปีติเวคสฺส จ สวิปฺผารตาย ตํสมุฎฺฐานรูปธเมฺมหิ ผรณวเสน สกลสรีรํ อาโลเฬตฺวาฯ เตนาห ‘‘อฎฺฐิมิญฺชํ อาหจฺจ อฎฺฐาสี’’ติฯ ปิตุคุณนฺติ ปิตุ อตฺตนิ สิเนหคุณํฯ มุญฺจาเปตฺวาติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ปการโตฺถ, เตน ‘‘อภิมารกปุริสเปสนาทิปฺปกาเรนา’’ติ วุเตฺต เอว ปกาเร ปจฺจามสติฯ วิตฺถารกถานโยติ อชาตสตฺตุปสาทนาทิวเสน วิตฺถารโต วตฺตพฺพาย กถาย นยมตฺตํฯ กสฺมา ปเนตฺถ วิตฺถารนยา กถา น วุตฺตาติ อาห ‘‘อาคตตฺตา ปน สพฺพํ น วุตฺต’’นฺติฯ

    Khobhetvāti puttasinehassa balavabhāvato, sahajātapītivegassa ca savipphāratāya taṃsamuṭṭhānarūpadhammehi pharaṇavasena sakalasarīraṃ āloḷetvā. Tenāha ‘‘aṭṭhimiñjaṃ āhacca aṭṭhāsī’’ti. Pituguṇanti pitu attani sinehaguṇaṃ. Muñcāpetvāti ettha iti-saddo pakārattho, tena ‘‘abhimārakapurisapesanādippakārenā’’ti vutte eva pakāre paccāmasati. Vitthārakathānayoti ajātasattupasādanādivasena vitthārato vattabbāya kathāya nayamattaṃ. Kasmā panettha vitthāranayā kathā na vuttāti āha ‘‘āgatattā pana sabbaṃ na vutta’’nti.

    โกสลรโญฺญติ มหาโกสลรโญฺญฯ ปณฺฑิตาธิวจนนฺติ ปณฺฑิตเววจนํฯ วิทนฺตีติ ชานนฺติฯ เวเทน ญาเณน กรณภูเตน อีหติ ปวตฺตตีติ เวเทหิฯ

    Kosalaraññoti mahākosalarañño. Paṇḍitādhivacananti paṇḍitavevacanaṃ. Vidantīti jānanti. Vedena ñāṇena karaṇabhūtena īhati pavattatīti vedehi.

    เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ทิวเสฯ อนสเนน วาติ วา-สโทฺท อนิยมโตฺถ, เตน เอกจฺจมโนทุจฺจริตทุสฺสีลฺยาทีนิ สงฺคณฺหาติฯ ตถา หิ โคปาลกูโปสโถ อภิชฺฌาสหคตจิตฺตสฺส วเสน วุโตฺต, นิคณฺฐุโปสโถ โมสวชฺชาทิวเสนฯ ยถาห ‘‘โส เตน อภิชฺฌาสหคเตน เจตสา ทิวสํ อตินาเมตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๗๑), ‘‘อิติ ยสฺมิํ สมเย สเจฺจ สมาทเปตพฺพา, มุสาวาเท ตสฺมิํ สมเย สมาทเปนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๗๑) จ อาทิฯ เอตฺถาติ อุโปสถสเทฺทฯ อตฺถุทฺธาโรติ วตฺตพฺพอตฺถานํ อุทฺธารณํฯ

    Etthāti etasmiṃ divase. Anasanena vāti -saddo aniyamattho, tena ekaccamanoduccaritadussīlyādīni saṅgaṇhāti. Tathā hi gopālakūposatho abhijjhāsahagatacittassa vasena vutto, nigaṇṭhuposatho mosavajjādivasena. Yathāha ‘‘so tena abhijjhāsahagatena cetasā divasaṃ atināmetī’’ti (a. ni. 1.71), ‘‘iti yasmiṃ samaye sacce samādapetabbā, musāvāde tasmiṃ samaye samādapentī’’ti (a. ni. 1.71) ca ādi. Etthāti uposathasadde. Atthuddhāroti vattabbaatthānaṃ uddhāraṇaṃ.

    นนุ จ อตฺถมตฺตํ ปติ สทฺทา อภินิวิสนฺตีติ น เอเกน สเทฺทน อเนเก อตฺถา อภิธียนฺตีติ? สจฺจเมตํ สทฺทวิเสเส อเปกฺขิเต, เตสํ ปน อตฺถานํ อุโปสถสทฺทวจนียตา สามญฺญํ อุปาทาย วุจฺจมาโน อยํ วิจาโร อุโปสถสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาโรติ วุโตฺตฯ เหฎฺฐา ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทีสุ อาคเต อตฺถุทฺธาเรปิ เอเสว นโยฯ กามญฺจ ปาติโมกฺขุเทฺทสาทิวิสโยปิ อุโปสถสโทฺท สามญฺญรูโป เอว วิเสสสทฺทสฺส อวาจกภาวโต, ตาทิสํ ปน สามญฺญํ อนาทิยิตฺวา อยมโตฺถ วุโตฺตติ เวทิตพฺพํฯ สีลสุทฺธิวเสน อุเปเตหิ สมเคฺคหิ วสียติ อนุฎฺฐียตีติ อุโปสโถ, ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ สมาทานวเสน อธิฎฺฐานวเสน วา อุเปจฺจ อริยวาสาทิอตฺถํ วสิตพฺพโต อุโปสโถ, สีลํฯ อนสนาทิวเสน อุเปจฺจ วสิตพฺพโต อนุวสิตพฺพโต อุโปสโถฯ อุปวาโสติ สมาทานํฯ อุโปสถกุลภูตตาย นวมหตฺถินิกายปริยาปเนฺน หตฺถินาเค กิญฺจิ กิริยํ อนเปกฺขิตฺวา รูฬฺหิวเสน สมญฺญามตฺตํ อุโปสโถติ อาห ‘‘อุโปสโถ นาคราชาติอาทีสุ ปญฺญตฺตี’’ติฯ ทิวเส ปน อุโปสถสทฺทปฺปวตฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตา เอวฯ สุทฺธสฺส เว สทา ผคฺคูติ เอตฺถ ปน สุทฺธสฺสาติ สพฺพโส กิเลสมลาภาเวน สุทฺธสฺสฯ เวติ นิปาตมตฺตํฯ เวติ วา พฺยตฺตนฺติ อโตฺถฯ สทา ผคฺคูติ นิจฺจกาลมฺปิ ผคฺคุณนกฺขตฺตเมวฯ ยสฺส หิ ผคฺคุณมาเส อุตฺตรผคฺคุณทิวเส ติตฺถนฺหานํ กโรนฺตสฺส สํวจฺฉริกปาปปวาหนํ โหตีติ ลทฺธิ, ตํ ตโต วิเวเจตุํ อิทํ ภควตา วุตฺตํฯ สุทฺธสฺสุโปสโถ สทาติ ยถาวุตฺตสุทฺธิยา สุทฺธสฺส อุโปสถงฺคานิ วตสมาทานานิ จ อสมาทิยโตปิ นิจฺจํ อุโปสโถ, อุโปสถวาโส เอวาติ อโตฺถฯ ปญฺจทสนฺนํ ติถีนํ ปูรณวเสน ปนฺนรโสฯ

    Nanu ca atthamattaṃ pati saddā abhinivisantīti na ekena saddena aneke atthā abhidhīyantīti? Saccametaṃ saddavisese apekkhite, tesaṃ pana atthānaṃ uposathasaddavacanīyatā sāmaññaṃ upādāya vuccamāno ayaṃ vicāro uposathasaddassa atthuddhāroti vutto. Heṭṭhā ‘‘evaṃ me suta’’ntiādīsu āgate atthuddhārepi eseva nayo. Kāmañca pātimokkhuddesādivisayopi uposathasaddo sāmaññarūpo eva visesasaddassa avācakabhāvato, tādisaṃ pana sāmaññaṃ anādiyitvā ayamattho vuttoti veditabbaṃ. Sīlasuddhivasena upetehi samaggehi vasīyati anuṭṭhīyatīti uposatho, pātimokkhuddeso. Samādānavasena adhiṭṭhānavasena vā upecca ariyavāsādiatthaṃ vasitabbato uposatho, sīlaṃ. Anasanādivasena upecca vasitabbato anuvasitabbato uposatho. Upavāsoti samādānaṃ. Uposathakulabhūtatāya navamahatthinikāyapariyāpanne hatthināge kiñci kiriyaṃ anapekkhitvā rūḷhivasena samaññāmattaṃ uposathoti āha ‘‘uposatho nāgarājātiādīsu paññattī’’ti. Divase pana uposathasaddappavatti aṭṭhakathāyaṃ vuttā eva. Suddhassa ve sadā phaggūti ettha pana suddhassāti sabbaso kilesamalābhāvena suddhassa. Veti nipātamattaṃ. Veti vā byattanti attho. Sadā phaggūti niccakālampi phagguṇanakkhattameva. Yassa hi phagguṇamāse uttaraphagguṇadivase titthanhānaṃ karontassa saṃvaccharikapāpapavāhanaṃ hotīti laddhi, taṃ tato vivecetuṃ idaṃ bhagavatā vuttaṃ. Suddhassuposatho sadāti yathāvuttasuddhiyā suddhassa uposathaṅgāni vatasamādānāni ca asamādiyatopi niccaṃ uposatho, uposathavāso evāti attho. Pañcadasannaṃ tithīnaṃ pūraṇavasena pannaraso.

    พหุโส , อติสยโต วา กุมุทานิ เอตฺถ สนฺตีติ กุมุทวตี, ติสฺสํ กุมุทวติยาฯ จตุนฺนํ มาสานํ ปาริปูริภูตาติ จาตุมาสีฯ สา เอว ปาฬิยํ จาตุมาสินีติ วุตฺตาติ อาห ‘‘อิธ ปน จาตุมาสินีติ วุจฺจตี’’ติฯ ตทา กตฺติกมาสสฺส ปุณฺณตาย มาสปุณฺณตาฯ วสฺสานสฺส อุตุโน ปุณฺณตาย อุตุปุณฺณตาฯ กตฺติกมาสลกฺขิตสฺส สํวจฺฉรสฺส ปุณฺณตาย สํวจฺฉรปุณฺณตาฯ ‘‘มา’’ อิติ จโนฺท วุจฺจติ ตสฺส คติยา ทิวสสฺส มินิตพฺพโตฯ เอตฺถ ปุโณฺณติ เอติสฺสา รตฺติยา สพฺพกลาปาริปูริยา ปุโณฺณฯ ตทา หิ จโนฺท สพฺพโส ปริปุโณฺณ หุตฺวา ทิสฺสติฯ เอตฺถ จ ‘‘ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส’’ติ ปทานิ ทิวสวเสน วุตฺตานิ, ‘‘โกมุทิยา’’ติอาทีนิ รตฺติวเสนฯ

    Bahuso , atisayato vā kumudāni ettha santīti kumudavatī, tissaṃ kumudavatiyā. Catunnaṃ māsānaṃ pāripūribhūtāti cātumāsī. Sā eva pāḷiyaṃ cātumāsinīti vuttāti āha ‘‘idha pana cātumāsinīti vuccatī’’ti. Tadā kattikamāsassa puṇṇatāya māsapuṇṇatā. Vassānassa utuno puṇṇatāya utupuṇṇatā. Kattikamāsalakkhitassa saṃvaccharassa puṇṇatāya saṃvaccharapuṇṇatā. ‘‘Mā’’ iti cando vuccati tassa gatiyā divasassa minitabbato. Ettha puṇṇoti etissā rattiyā sabbakalāpāripūriyā puṇṇo. Tadā hi cando sabbaso paripuṇṇo hutvā dissati. Ettha ca ‘‘tadahuposathe pannarase’’ti padāni divasavasena vuttāni, ‘‘komudiyā’’tiādīni rattivasena.

    ราชามจฺจปริวุโตติ ราชกุลสมุทาคเตหิ อมเจฺจหิ ปริวุโตฯ อถ วา อนุยุตฺตกราชูหิ เจว อมเจฺจหิ จ ปริวุโตฯ จตุรุปกฺกิเลสาติ อพฺภา มหิกา ธูมรโช ราหูติ อิเมหิ จตูหิ อุปกฺกิเลเสหิฯ สนฺนิฎฺฐานํ กตํ อฎฺฐกถายํฯ

    Rājāmaccaparivutoti rājakulasamudāgatehi amaccehi parivuto. Atha vā anuyuttakarājūhi ceva amaccehi ca parivuto. Caturupakkilesāti abbhā mahikā dhūmarajo rāhūti imehi catūhi upakkilesehi. Sanniṭṭhānaṃ kataṃ aṭṭhakathāyaṃ.

    ปีติวจนนฺติ ปีติสมุฎฺฐานํ วจนํฯ ยญฺหิ วจนํ ปฎิคฺคาหกนิรเปกฺขํ เกวลํ อุฬาราย ปีติยา วเสน สรสโต สหสาว มุขโต นิจฺฉรติ, ตํ อิธ ‘‘อุทาน’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ เตนาห ‘‘ยํ ปีติวจนํ หทยํ คเหตุํ น สโกฺกตี’’ติอาทิฯ

    Pītivacananti pītisamuṭṭhānaṃ vacanaṃ. Yañhi vacanaṃ paṭiggāhakanirapekkhaṃ kevalaṃ uḷārāya pītiyā vasena sarasato sahasāva mukhato niccharati, taṃ idha ‘‘udāna’’nti adhippetaṃ. Tenāha ‘‘yaṃ pītivacanaṃ hadayaṃ gahetuṃ na sakkotī’’tiādi.

    โทเสหิ อิตา คตา อปคตาติ โทสินา ต-การสฺส น-การํ กตฺวา ยถา ‘‘กิเลเส ชิโต วิชิตาวีติ ชิโน’’ติฯ อนีย-สโทฺท กตฺตุอเตฺถ เวทิตโพฺพติ อาห ‘‘มนํ รมยตี’’ติ ‘‘รมณียา’’ติ ยถา ‘‘นิยฺยานิกา ธมฺมา’’ติฯ ชุณฺหวเสน รตฺติยา สุรูปตาติ อาห ‘‘วุตฺตโทสวิมุตฺตายา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อพฺภาทโย วุตฺตโทสา, ตพฺพิคเมเนว จสฺสา ทสฺสนียตา, เตน, อุตุสมฺปตฺติยา จ ปาสาทิกตา เวทิตพฺพาฯ ลกฺขณํ ภวิตุํ ยุตฺตาติ เอติสฺสา รตฺติยา ยุโตฺต ทิวโส มาโส อุตุ สํวจฺฉโรติ เอวํ ทิวสมาสอุตุสํวจฺฉรานํ สลฺลกฺขณํ ภวิตุํ ยุตฺตา ลกฺขญฺญา, ลกฺขณียาติ อโตฺถฯ

    Dosehi itā gatā apagatāti dosinā ta-kārassa na-kāraṃ katvā yathā ‘‘kilese jito vijitāvīti jino’’ti. Anīya-saddo kattuatthe veditabboti āha ‘‘manaṃ ramayatī’’ti ‘‘ramaṇīyā’’ti yathā ‘‘niyyānikā dhammā’’ti. Juṇhavasena rattiyā surūpatāti āha ‘‘vuttadosavimuttāyā’’tiādi. Tattha abbhādayo vuttadosā, tabbigameneva cassā dassanīyatā, tena, utusampattiyā ca pāsādikatā veditabbā. Lakkhaṇaṃ bhavituṃ yuttāti etissā rattiyā yutto divaso māso utu saṃvaccharoti evaṃ divasamāsautusaṃvaccharānaṃ sallakkhaṇaṃ bhavituṃ yuttā lakkhaññā, lakkhaṇīyāti attho.

    ‘‘ยํ โน ปยิรุปาสโต จิตฺตํ ปสีเทยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา’’ติ เอตฺถ ปรมตฺถสมโณ จ ปรมตฺถพฺราหฺมโณ จ อธิเปฺปโต, น ปพฺพชฺชามตฺตสมโณ, น ชาติมตฺตพฺราหฺมโณ จาติ อาห ‘‘สมิตปาปตาย สมณํฯ พาหิตปาปตาย พฺราหฺมณ’’นฺติฯ พหุวจเน วตฺตเพฺพ เอกวจนํ, เอกวจเน วา วตฺตเพฺพ พหุวจนํ วจนพฺยตโยฯ อฎฺฐกถายํ ปน เอกวจนวเสเนว พฺยตโย ทสฺสิโตฯ อตฺตนิ, ครุฎฺฐานิเย จ เอกสฺมิมฺปิ พหุวจนปฺปโยโค นิรูโฬฺหติฯ สเพฺพนปีติ ‘‘รมณียา วตา’’ติอาทินา สเพฺพน วจเนนฯ โอภาสนิมิตฺตกมฺมนฺติ โอภาสภูตนิมิตฺตกมฺมํ ปริพฺยตฺตํ นิมิตฺตกรณนฺติ อโตฺถฯ เทวทโตฺต จาติฯ -สโทฺท อตฺตูปนยเน, เตน ยถา ราชา อชาตสตฺตุ อตฺตโน ปิตุ อริยสาวกสฺส สตฺถุอุปฎฺฐากสฺส ฆาตเนน มหาปราโธ , เอวํ ภควโต มหาอนตฺถกรสฺส เทวทตฺตสฺส อวสฺสยภาเวน ปีติ อิมมตฺถํ อุปเนติฯ ตสฺส ปิฎฺฐิฉายายาติ ตสฺส ชีวกสฺส ปิฎฺฐิอปสฺสเยน, ตํ ปมุขํ กตฺวา ตํ อปสฺสายาติ อโตฺถฯ วิเกฺขปปเจฺฉทนตฺถนฺติ ภาวินิยา อตฺตโน กถาย อุปฺปชฺชนกวิเกฺขปนสฺส ปจฺฉินฺทนตฺถํ, อนุปฺปตฺติอตฺถนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ตสฺสํ หี’’ติอาทิฯ

    ‘‘Yaṃ no payirupāsato cittaṃ pasīdeyyā’’ti vuttattā ‘‘samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā’’ti ettha paramatthasamaṇo ca paramatthabrāhmaṇo ca adhippeto, na pabbajjāmattasamaṇo, na jātimattabrāhmaṇo cāti āha ‘‘samitapāpatāya samaṇaṃ. Bāhitapāpatāya brāhmaṇa’’nti. Bahuvacane vattabbe ekavacanaṃ, ekavacane vā vattabbe bahuvacanaṃ vacanabyatayo. Aṭṭhakathāyaṃ pana ekavacanavaseneva byatayo dassito. Attani, garuṭṭhāniye ca ekasmimpi bahuvacanappayogo nirūḷhoti. Sabbenapīti ‘‘ramaṇīyā vatā’’tiādinā sabbena vacanena. Obhāsanimittakammanti obhāsabhūtanimittakammaṃ paribyattaṃ nimittakaraṇanti attho. Devadatto cāti. Ca-saddo attūpanayane, tena yathā rājā ajātasattu attano pitu ariyasāvakassa satthuupaṭṭhākassa ghātanena mahāparādho , evaṃ bhagavato mahāanatthakarassa devadattassa avassayabhāvena pīti imamatthaṃ upaneti. Tassa piṭṭhichāyāyāti tassa jīvakassa piṭṭhiapassayena, taṃ pamukhaṃ katvā taṃ apassāyāti attho. Vikkhepapacchedanatthanti bhāviniyā attano kathāya uppajjanakavikkhepanassa pacchindanatthaṃ, anuppattiatthanti adhippāyo. Tenāha ‘‘tassaṃ hī’’tiādi.

    ๑๕๑. ‘‘โส กิรา’’ติอาทิ โปราณฎฺฐกถาย อาคตนโยฯ เอเสว นโย ปรโต มกฺขลิปทนิพฺพจเนปิ ฯ อุปสงฺกมนฺตีติ อุปคตาฯ ตเทว ปพฺพชฺชํ อคฺคเหสีติ ตเทว นคฺครูปํ ปพฺพชฺชํ กตฺวา คณฺหิฯ

    151.‘‘So kirā’’tiādi porāṇaṭṭhakathāya āgatanayo. Eseva nayo parato makkhalipadanibbacanepi . Upasaṅkamantīti upagatā. Tadeva pabbajjaṃ aggahesīti tadeva naggarūpaṃ pabbajjaṃ katvā gaṇhi.

    ปพฺพชิตสมูหสงฺขาโต สโงฺฆติ ปพฺพชิตสมูหตามเตฺตน สโงฺฆ, น นิยฺยานิกทิฎฺฐิสุวิสุทฺธสีลสามญฺญวเสน สํหตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อสฺส อตฺถีติ อสฺส สตฺถุปฎิญฺญสฺส ปริวารภูโต อตฺถิฯ เสฺววาติ ปพฺพชิตสมูหสงฺขาโตวฯ เกจิ ปน ‘‘ปพฺพชิตสมูหวเสน สงฺฆี, คหฎฺฐสมูหวเสน คณี’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํ คเณ เอว โลเก สงฺฆ-สทฺทสฺส นิรูฬฺหตฺตาฯ อาจารสิกฺขาปนวเสนาติ อเจลก วตจริยาทิอาจารสิกฺขาปนวเสนฯ ปากโฎติ สงฺฆีอาทิภาเวน ปกาสิโตฯ ‘‘อปฺปิโจฺฉ’’ติ วตฺวา ตตฺถ ลพฺภมานํ อปฺปิจฺฉตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปฺปิจฺฉตาย วตฺถมฺปิ น นิวาเสตี’’ติ วุตฺตํฯ น หิ ตสฺมิํ สาสนิเก วิย สนฺตคุณนิคูหณลกฺขณา อปฺปิจฺฉตา ลพฺภตีติฯ ยโสติ กิตฺติสโทฺทฯ ‘‘ตรนฺติ เอเตน สํสาโรฆ’’นฺติ เอวํ สมฺมตตฺตา ติตฺถํ วุจฺจติ ลทฺธีติ อาห ‘‘ติตฺถกโรติ ลทฺธิกโร’’ติฯ สาธุสมฺมโตติ ‘‘สาธู’’ติ สมฺมโต, น สาธูหิ สมฺมโตติ อาห ‘‘อยํ สาธู’’ติอาทิฯ ‘‘อิมานิ เม วตสมาทานานิ เอตฺตกํ กาลํ สุจิณานี’’ติ ปพฺพชิตโต ปฎฺฐาย อติกฺกนฺตา พหู รตฺติโย ชานาตีติ รตฺตญฺญูฯ ตา ปนสฺส รตฺติโย จิรกาลภูตาติ กตฺวา จิรํ ปพฺพชิตสฺส อสฺสาติ จิรปพฺพชิโตฯ ตตฺถ จิรปพฺพชิตตาคหเณน พุทฺธิสีลตํ ทเสฺสติ, รตฺตญฺญุตาคหเณน ตตฺถ สมฺปชานตํฯ อทฺธานนฺติ ทีฆกาลํฯ กิตฺตโก ปน โสติ อาห ‘‘เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ’’ติ, ทฺวินฺนํ ติณฺณํ ราชูนํ รชฺชํ อนุสาสนปฎิปาฎิโยติ อโตฺถฯ ‘‘อทฺธคโต’’ติ วตฺวา กตํ วโยคหณํ โอสานวยาเปกฺขนฺติ อาห ‘‘ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปโตฺต’’ติฯ อุภยนฺติ ‘‘อทฺธคโต, วโยอนุปฺปโตฺต’’ติ ปททฺวยํฯ

    Pabbajitasamūhasaṅkhātosaṅghoti pabbajitasamūhatāmattena saṅgho, na niyyānikadiṭṭhisuvisuddhasīlasāmaññavasena saṃhatattāti adhippāyo. Assa atthīti assa satthupaṭiññassa parivārabhūto atthi. Svevāti pabbajitasamūhasaṅkhātova. Keci pana ‘‘pabbajitasamūhavasena saṅghī, gahaṭṭhasamūhavasena gaṇī’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ gaṇe eva loke saṅgha-saddassa nirūḷhattā. Ācārasikkhāpanavasenāti acelaka vatacariyādiācārasikkhāpanavasena. Pākaṭoti saṅghīādibhāvena pakāsito. ‘‘Appiccho’’ti vatvā tattha labbhamānaṃ appicchattaṃ dassetuṃ ‘‘appicchatāya vatthampi na nivāsetī’’ti vuttaṃ. Na hi tasmiṃ sāsanike viya santaguṇanigūhaṇalakkhaṇā appicchatā labbhatīti. Yasoti kittisaddo. ‘‘Taranti etena saṃsārogha’’nti evaṃ sammatattā titthaṃ vuccati laddhīti āha ‘‘titthakaroti laddhikaro’’ti. Sādhusammatoti ‘‘sādhū’’ti sammato, na sādhūhi sammatoti āha ‘‘ayaṃ sādhū’’tiādi. ‘‘Imāni me vatasamādānāni ettakaṃ kālaṃ suciṇānī’’ti pabbajitato paṭṭhāya atikkantā bahū rattiyo jānātīti rattaññū. Tā panassa rattiyo cirakālabhūtāti katvā ciraṃ pabbajitassa assāti cirapabbajito. Tattha cirapabbajitatāgahaṇena buddhisīlataṃ dasseti, rattaññutāgahaṇena tattha sampajānataṃ. Addhānanti dīghakālaṃ. Kittako pana soti āha ‘‘dve tayo rājaparivaṭṭe’’ti, dvinnaṃ tiṇṇaṃ rājūnaṃ rajjaṃ anusāsanapaṭipāṭiyoti attho. ‘‘Addhagato’’ti vatvā kataṃ vayogahaṇaṃ osānavayāpekkhanti āha ‘‘pacchimavayaṃ anuppatto’’ti. Ubhayanti ‘‘addhagato, vayoanuppatto’’ti padadvayaṃ.

    ปุเพฺพ ปิตรา สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา เทสนาย สุตปุพฺพตํ สนฺธายาห ‘‘ฌานาภิญฺญาทิ…เป.… โสตุกาโม’’ติฯ ทสฺสเนนาติ น ทสฺสนมตฺตํ, ทิสฺวา ปน เตน สทฺธิํ อาลาปสลฺลาปํ กตฺวา ตโต อกิริยวาทํ สุตฺวา เตสํ อนตฺตมโน อโหสิฯ คุณกถายาติ อภูตคุณกถายฯ เตนาห ‘‘สุฎฺฐุตรํ อนตฺตมโน หุตฺวา’’ติฯ ยทิ อนตฺตมโน, กสฺมา ตุณฺหี อโหสีติ อาห ‘‘อนตฺตมโน สมาโนปี’’ติอาทิฯ

    Pubbe pitarā saddhiṃ satthu santikaṃ gantvā desanāya sutapubbataṃ sandhāyāha ‘‘jhānābhiññādi…pe… sotukāmo’’ti. Dassanenāti na dassanamattaṃ, disvā pana tena saddhiṃ ālāpasallāpaṃ katvā tato akiriyavādaṃ sutvā tesaṃ anattamano ahosi. Guṇakathāyāti abhūtaguṇakathāya. Tenāha ‘‘suṭṭhutaraṃ anattamano hutvā’’ti. Yadi anattamano, kasmā tuṇhī ahosīti āha ‘‘anattamano samānopī’’tiādi.

    ๑๕๒. โคสาลายาติ เอวํ นามเก คาเมฯ วสฺสานกาเล คุนฺนํ ติฎฺฐนสาลาติ เอเกฯ

    152.Gosālāyāti evaṃ nāmake gāme. Vassānakāle gunnaṃ tiṭṭhanasālāti eke.

    ๑๕๓. ปฎิกิฎฺฐตรนฺติ นิหีนตรํฯ ตนฺตาวุตานีติ ตเนฺต ปสาเรตฺวา วีตานิฯ ‘‘สีเต สีโต’’ติอาทินา ฉหากาเรหิ ตสฺส นิหีนสฺส นิหีนตรตํ ทเสฺสติฯ

    153.Paṭikiṭṭhataranti nihīnataraṃ. Tantāvutānīti tante pasāretvā vītāni. ‘‘Sīte sīto’’tiādinā chahākārehi tassa nihīnassa nihīnatarataṃ dasseti.

    ๑๕๔. วจฺจํ กตฺวาปีติ ปิ-สเทฺทน โภชนํ ภุญฺชิตฺวาปิ เกนจิ อสุจินา มกฺขิโต ปีติ อิมมตฺถํ สมฺปิเณฺฑติฯ วาลิกถูปํ กตฺวาติ วตฺตวเสน วาลิกาย ถูปํ กตฺวาฯ

    154.Vaccaṃ katvāpīti pi-saddena bhojanaṃ bhuñjitvāpi kenaci asucinā makkhito pīti imamatthaṃ sampiṇḍeti. Vālikathūpaṃ katvāti vattavasena vālikāya thūpaṃ katvā.

    ๑๕๖. ปลิพุทฺธนกิเลโสติ สํสาเร ปลิพุทฺธนกิโจฺจ ราคาทิกิเลโส เขตฺตวตฺถุปุตฺตทาราทิวิสโยฯ

    156.Palibuddhanakilesoti saṃsāre palibuddhanakicco rāgādikileso khettavatthuputtadārādivisayo.

    โกมารภจฺจชีวกกถาวณฺณนา

    Komārabhaccajīvakakathāvaṇṇanā

    ๑๕๗. น ยถาธิปฺปายํ วตฺตตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อนโตฺถ วต เม’’ติฯ ชีวกสฺส ตุณฺหีภาโว มม อธิปฺปายสฺส มทฺทนสทิโส, ตสฺมา ตํ ปุจฺฉิตฺวา กถาปเนน มม อธิปฺปาโย ปูเรตโพฺพติ อยเมตฺถ รโญฺญ อชฺฌาสโยติ ทเสฺสโนฺต ‘‘หตฺถิมฺหิ นุ โข ปนา’’ติอาทิมาหฯ กิํ ตุณฺหีติ กิํ การณา ตุณฺหี, กิํ ตํ การณํ, เยน ตุวํ ตุณฺหีติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘เกน การเณน ตุณฺหี’’ติฯ

    157. Na yathādhippāyaṃ vattatīti katvā vuttaṃ ‘‘anattho vata me’’ti. Jīvakassa tuṇhībhāvo mama adhippāyassa maddanasadiso, tasmā taṃ pucchitvā kathāpanena mama adhippāyo pūretabboti ayamettha rañño ajjhāsayoti dassento ‘‘hatthimhi nu kho panā’’tiādimāha. Kiṃ tuṇhīti kiṃ kāraṇā tuṇhī, kiṃ taṃ kāraṇaṃ, yena tuvaṃ tuṇhīti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘kena kāraṇena tuṇhī’’ti.

    กามํ สพฺพาปิ ตถาคตสฺส ปฎิปตฺติ อนญฺญสาธารณา อจฺฉริยอพฺภุตรูปา จ, ตถาปิ คโพฺภกฺกนฺติ- อภิชาติอภินิกฺขมนอภิสโมฺพธิธมฺมจกฺกปฺปวตฺตน- ยมกปาฎิหาริยเทโวโรหณานิ สเทวเก โลเก อติวิย สุปากฎานิ, น สกฺกา เกนจิ ปฎิพาหิตุนฺติ ตานิเยเวตฺถ อุทฺธฎานิฯ อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถติ อิตฺถํ เอวํ ปกาโร ภูโต ชาโตติ เอวํ กถนเตฺถฯ อุปโยควจนนฺติฯ ‘‘อพฺภุคฺคโต’’ติ เอตฺถ อภีติ อุปสโคฺค อิตฺถมฺภูตาขฺยานตฺถโชตโก, เตน โยคโต ‘‘ตํ โข ปน ภควนฺต’’นฺติ อิทํ สามิอเตฺถ อุปโยควจนํ, เตนาห ‘‘ตสฺส โข ปน ภควโตติ อโตฺถ’’ติฯ กลฺยาณคุณสมนฺนาคโตติ กลฺยาเณหิ คุเณหิ ยุโตฺต, ตํ นิสฺสิโต ตพฺพิสยตายาติ อธิปฺปาโยฯ เสโฎฺฐติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ กิเตฺตตพฺพโต กิตฺติ, สา เอว สทฺทนียโต สโทฺทติ อาห ‘‘กิตฺติสโทฺทติ กิตฺติเยวา’’ติฯ อภิตฺถวนวเสน ปวโตฺต สโทฺท ถุติโฆโสฯ อนญฺญสาธารณคุเณ อารพฺภ ปวตฺตตฺตา สเทวกํ โลกํ อโชฺฌตฺถริตฺวา อภิภวิตฺวา อุคฺคโตฯ

    Kāmaṃ sabbāpi tathāgatassa paṭipatti anaññasādhāraṇā acchariyaabbhutarūpā ca, tathāpi gabbhokkanti- abhijātiabhinikkhamanaabhisambodhidhammacakkappavattana- yamakapāṭihāriyadevorohaṇāni sadevake loke ativiya supākaṭāni, na sakkā kenaci paṭibāhitunti tāniyevettha uddhaṭāni. Itthambhūtākhyānattheti itthaṃ evaṃ pakāro bhūto jātoti evaṃ kathanatthe. Upayogavacananti. ‘‘Abbhuggato’’ti ettha abhīti upasaggo itthambhūtākhyānatthajotako, tena yogato ‘‘taṃ kho pana bhagavanta’’nti idaṃ sāmiatthe upayogavacanaṃ, tenāha ‘‘tassa kho pana bhagavatoti attho’’ti. Kalyāṇaguṇasamannāgatoti kalyāṇehi guṇehi yutto, taṃ nissito tabbisayatāyāti adhippāyo. Seṭṭhoti etthāpi eseva nayo. Kittetabbato kitti, sā eva saddanīyato saddoti āha ‘‘kittisaddoti kittiyevā’’ti. Abhitthavanavasena pavatto saddo thutighoso. Anaññasādhāraṇaguṇe ārabbha pavattattā sadevakaṃ lokaṃ ajjhottharitvā abhibhavitvā uggato.

    โส ภควาติ โย โส สมติํ สปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพกิเลเส ภญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ เทวานํ อติเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมา โลกนาโถ ภาคฺยวนฺตตาทีหิ การเณหิ สเทวเก โลเก ‘‘ภควา’’ติ สพฺพตฺถ ปตฺถฎกิตฺติสโทฺท, โส ภควาฯ ‘‘ภควา’’ติ จ อิทํ สตฺถุ นามกิตฺตนํฯ เตนาห อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ ‘‘ภควาติ เนตํ นามํ มาตรา กต’’นฺติอาทิ (มหานิ. ๘๔)ฯ ปรโต ปน ภควาติ คุณกิตฺตนํฯ

    So bhagavāti yo so samatiṃ sapāramiyo pūretvā sabbakilese bhañjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho devānaṃ atidevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā lokanātho bhāgyavantatādīhi kāraṇehi sadevake loke ‘‘bhagavā’’ti sabbattha patthaṭakittisaddo, so bhagavā. ‘‘Bhagavā’’ti ca idaṃ satthu nāmakittanaṃ. Tenāha āyasmā dhammasenāpati ‘‘bhagavāti netaṃ nāmaṃ mātarā kata’’ntiādi (mahāni. 84). Parato pana bhagavāti guṇakittanaṃ.

    ยถา กมฺมฎฺฐานิเกน ‘‘อรห’’นฺติอาทีสุ นวฎฺฐาเนสุ ปเจฺจกํ อิติ-สทฺทํ โยเชตฺวา พุทฺธคุณา อนุสฺสรียนฺติ, เอวํ พุทฺธคุณสงฺกิตฺตเกนาปีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิติปิ อรหํ, อิติปิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… อิติปิ ภควา’’ติ อาหฯ ‘‘อิติเปตํ อภูตํ, อิติเปตํ อตจฺฉ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕) วิย อิธ อิติ-สโทฺท อาสนฺนปจฺจกฺขกรณโตฺถ, ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, เตน จ เตสํ คุณานํ พหุภาโว ทีปิโตฯ ตานิ จ สงฺกิเตฺตเนฺตน วิญฺญุนา จิตฺตสฺส สมฺมุขีภูตาเนว กตฺวา สงฺกิเตฺตตพฺพานีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติ วุตฺตํ โหตี’’ติ อาหฯ เอวญฺหิ นิรูเปตฺวา กิเตฺตเนฺต ยสฺส สงฺกิเตฺตติ, ตสฺส ภควติ อติวิย อภิปฺปสาโท โหติฯ อารกตฺตาติ สุวิทูรตฺตาฯ อรีนนฺติ กิเลสารีนํฯ อรานนฺติ สํสารจกฺกสฺส อรานํฯ หตตฺตาติ วิหตตฺตาฯ ปจฺจยาทีนนฺติ จีวราทิปจฺจยานเญฺจว ปูชาวิเสสานญฺจฯ ตโตติ วิสุทฺธิมคฺคโตฯ ยถา จ วิสุทฺธิมคฺคโต, เอวํ ตํสํวณฺณนโตปิ เนสํ วิตฺถาโร คเหตโพฺพฯ

    Yathā kammaṭṭhānikena ‘‘araha’’ntiādīsu navaṭṭhānesu paccekaṃ iti-saddaṃ yojetvā buddhaguṇā anussarīyanti, evaṃ buddhaguṇasaṅkittakenāpīti dassento ‘‘itipi arahaṃ, itipi sammāsambuddho…pe… itipi bhagavā’’ti āha. ‘‘Itipetaṃ abhūtaṃ, itipetaṃ ataccha’’ntiādīsu (dī. ni. 1.5) viya idha iti-saddo āsannapaccakkhakaraṇattho, pi-saddo sampiṇḍanattho, tena ca tesaṃ guṇānaṃ bahubhāvo dīpito. Tāni ca saṅkittentena viññunā cittassa sammukhībhūtāneva katvā saṅkittetabbānīti dassento ‘‘iminā ca iminā ca kāraṇenāti vuttaṃ hotī’’ti āha. Evañhi nirūpetvā kittente yassa saṅkitteti, tassa bhagavati ativiya abhippasādo hoti. Ārakattāti suvidūrattā. Arīnanti kilesārīnaṃ. Arānanti saṃsāracakkassa arānaṃ. Hatattāti vihatattā. Paccayādīnanti cīvarādipaccayānañceva pūjāvisesānañca. Tatoti visuddhimaggato. Yathā ca visuddhimaggato, evaṃ taṃsaṃvaṇṇanatopi nesaṃ vitthāro gahetabbo.

    ยสฺมา ชีวโก พหุโส สตฺถุสนฺติเก พุทฺธคุเณ สุตฺวา ฐิโต, ทิฎฺฐสจฺจตาย จ สตฺถุสาสเน วิคตกถํกโถ เวสารชฺชปฺปโตฺต, ตสฺมา อาห ‘‘ชีวโก ปนา’’ติอาทิฯ ปญฺจวณฺณายาติ ขุทฺทิกาทิวเสน ปญฺจปฺปการายฯ นิรนฺตรํ ผุฎํ อโหสิ กตาธิการภาวโตฯ กมฺมนฺตรายวเสน หิสฺส รโญฺญ คุณสรีรํ ขตุปหตํ อโหสิฯ

    Yasmā jīvako bahuso satthusantike buddhaguṇe sutvā ṭhito, diṭṭhasaccatāya ca satthusāsane vigatakathaṃkatho vesārajjappatto, tasmā āha ‘‘jīvako panā’’tiādi. Pañcavaṇṇāyāti khuddikādivasena pañcappakārāya. Nirantaraṃ phuṭaṃ ahosi katādhikārabhāvato. Kammantarāyavasena hissa rañño guṇasarīraṃ khatupahataṃ ahosi.

    ๑๕๘. ‘‘อุตฺตม’’นฺติ วตฺวา น เกวลํ เสฎฺฐภาโว เอเวตฺถ การณํ, อถ โข อปฺปสทฺทตาปิ การณนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อสฺสยานรถยานานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ หตฺถิยาเนสุ นิพฺพิเสวนเมว คณฺหโนฺต หตฺถินิโยว กปฺปาเปสิฯ รโญฺญ อาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ อาสนฺนจารีภาเวน ตตฺถ อิตฺถิโยว นิสชฺชาปิตาฯ รโญฺญ ปเรสํ ทุรุปสงฺกมนภาวทสฺสนตฺถํ ตา ปุริสเวสํ คาหาเปตฺวา อาวุธหตฺถา การิตาฯ ปฎิเวเทสีติ ญาเปสิฯ ตเทวาติ คมนํ, อคมนเมว วาฯ

    158. ‘‘Uttama’’nti vatvā na kevalaṃ seṭṭhabhāvo evettha kāraṇaṃ, atha kho appasaddatāpi kāraṇanti dassetuṃ ‘‘assayānarathayānānī’’tiādi vuttaṃ. Hatthiyānesu nibbisevanameva gaṇhanto hatthiniyova kappāpesi. Rañño āsaṅkānivattanatthaṃ āsannacārībhāvena tattha itthiyova nisajjāpitā. Rañño paresaṃ durupasaṅkamanabhāvadassanatthaṃ tā purisavesaṃ gāhāpetvā āvudhahatthā kāritā. Paṭivedesīti ñāpesi. Tadevāti gamanaṃ, agamanameva vā.

    ๑๕๙. มหญฺจาติ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห ‘‘มหตาจา’’ติฯ มหจฺจาติ มหติยา , ลิงฺควิปลฺลาสวเสน วุตฺตํ, มหเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘ราชานุภาเวนา’’ติ ‘‘ทฺวินฺนํ มหารฎฺฐานํ อิสฺสริยสิรี’’ติ องฺคมคธรฎฺฐานํ อาธิปจฺจมาหฯ อาสตฺตขคฺคานีติ อํเส โอลมฺพนวเสน สนฺนทฺธอสีนิฯ กุลโภคอิสฺสริยาทิวเสน มหตี มตฺตา เอเตสนฺติ มหามตฺตา, มหานุภาวา ราชปุริสาฯ วิชฺชาธรตรุณา วิยาติ วิชฺชาธรกุมารา วิยฯ รฎฺฐิยปุตฺตาติ โภชปุตฺตาฯ หตฺถิฆฎาติ หตฺถิสมูหาฯ อญฺญมญฺญสงฺฆฎฺฎนาติ อวิเจฺฉทวเสน คมเนน อญฺญมญฺญสมฺพนฺธาฯ

    159.Mahañcāti karaṇatthe paccattavacananti āha ‘‘mahatācā’’ti. Mahaccāti mahatiyā , liṅgavipallāsavasena vuttaṃ, mahantenāti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘rājānubhāvenā’’ti ‘‘dvinnaṃ mahāraṭṭhānaṃ issariyasirī’’ti aṅgamagadharaṭṭhānaṃ ādhipaccamāha. Āsattakhaggānīti aṃse olambanavasena sannaddhaasīni. Kulabhogaissariyādivasena mahatī mattā etesanti mahāmattā, mahānubhāvā rājapurisā. Vijjādharataruṇā viyāti vijjādharakumārā viya. Raṭṭhiyaputtāti bhojaputtā. Hatthighaṭāti hatthisamūhā. Aññamaññasaṅghaṭṭanāti avicchedavasena gamanena aññamaññasambandhā.

    จิตฺตุตฺราโส สยํ ภายนเฎฺฐน ภยํ ยถา ตถา ภายตีติ กตฺวาฯ ญาณํ ภายิตเพฺพ เอว วตฺถุสฺมิํ ภยโต อุปฎฺฐิเต ‘‘ภายิตพฺพมิท’’นฺติ ภยโต ตีรณโต ภยํฯ เตเนวาห ‘‘ภยตุปฎฺฐานญาณํ ปน ภายติ นภายตีติ? น ภายติฯ ตญฺหิ อตีตา สงฺขารา นิรุทฺธา, ปจฺจุปฺปนฺนา นิรุชฺฌนฺติ, อนาคตา นิรุชฺฌิสฺสนฺตีติ ตีรณมตฺตเมว โหตี’’ติ (วิสุทฺธิ. ๒.๗๕๑)ฯ อารมฺมณํ ภายติ เอตสฺมาติ ภยํฯ โอตปฺปํ ปาปโต ภายติ เอเตนาติ ภยํฯ ภยานกนฺติ ภายนากาโรฯ ภยนฺติ ญาณภยํฯ สํเวคนฺติ สโหตฺตปฺปญาณํ สนฺตาสนฺติ สพฺพโส อุพฺพิชฺชนํฯ ภายิตพฺพเฎฺฐน ภยํ ภีมภาเวน เภรวนฺติ ภยเภรวํ, ภีตพฺพวตฺถุฯ เตนาห ‘‘อาคจฺฉตี’’ติฯ

    Cittutrāso sayaṃ bhāyanaṭṭhena bhayaṃ yathā tathā bhāyatīti katvā. Ñāṇaṃ bhāyitabbe eva vatthusmiṃ bhayato upaṭṭhite ‘‘bhāyitabbamida’’nti bhayato tīraṇato bhayaṃ. Tenevāha ‘‘bhayatupaṭṭhānañāṇaṃ pana bhāyati nabhāyatīti? Na bhāyati. Tañhi atītā saṅkhārā niruddhā, paccuppannā nirujjhanti, anāgatā nirujjhissantīti tīraṇamattameva hotī’’ti (visuddhi. 2.751). Ārammaṇaṃ bhāyati etasmāti bhayaṃ. Otappaṃ pāpato bhāyati etenāti bhayaṃ. Bhayānakanti bhāyanākāro. Bhayanti ñāṇabhayaṃ. Saṃveganti sahottappañāṇaṃ santāsanti sabbaso ubbijjanaṃ. Bhāyitabbaṭṭhena bhayaṃ bhīmabhāvena bheravanti bhayabheravaṃ, bhītabbavatthu. Tenāha ‘‘āgacchatī’’ti.

    ภีรุํ ปสํสนฺตีติ ปาปโต ภายนโต อุตฺตสนโต ภีรุํ ปสํสนฺติ ปณฺฑิตาฯ น หิ ตตฺถ สูรนฺติ ตสฺมิํ ปาปกรเณ สูรํ ปคพฺภธํสินํ น หิ ปสํสนฺติฯ เตนาห ‘‘ภยา หิ สโนฺต น กโรนฺติ ปาป’’นฺติฯ ตตฺถ ภยาติ ปาปุตฺราสโต, โอตฺตปฺปเหตูติ อโตฺถฯ สรีรจลนนฺติ ภยวเสนสรีรสํกโมฺปฯ เอเกติ อุตฺตรวิหารวาสิโนฯ ‘‘ราชคเห’’ติอาทิ เตสํ อธิปฺปายวิวรณํฯ กามํ วยตุโลฺย ‘‘วยโสฺส’’ติ วุจฺจติ, รูฬฺหิเรโส, โย โกจิ ปน สหาโย วยโสฺส, ตสฺมา วยสฺสาภิลาโปติ สหายาภิลาโปฯ น วิปฺปลเมฺภสีติ น วิสํวาเทสิฯ วินเสฺสยฺยาติ จิตฺตวิฆาเตน วิหเญฺญยฺยฯ

    Bhīruṃpasaṃsantīti pāpato bhāyanato uttasanato bhīruṃ pasaṃsanti paṇḍitā. Na hi tattha sūranti tasmiṃ pāpakaraṇe sūraṃ pagabbhadhaṃsinaṃ na hi pasaṃsanti. Tenāha ‘‘bhayā hi santo na karonti pāpa’’nti. Tattha bhayāti pāputrāsato, ottappahetūti attho. Sarīracalananti bhayavasenasarīrasaṃkampo. Eketi uttaravihāravāsino. ‘‘Rājagahe’’tiādi tesaṃ adhippāyavivaraṇaṃ. Kāmaṃ vayatulyo ‘‘vayasso’’ti vuccati, rūḷhireso, yo koci pana sahāyo vayasso, tasmā vayassābhilāpoti sahāyābhilāpo. Na vippalambhesīti na visaṃvādesi. Vinasseyyāti cittavighātena vihaññeyya.

    สามญฺญผลปุจฺฉาวณฺณนา

    Sāmaññaphalapucchāvaṇṇanā

    ๑๖๐. ภควโต เตโชติ พุทฺธานุภาโวฯ รโญฺญ สรีรํ ผริ ยถา ตํ โสณทณฺฑสฺส พฺราหฺมณสฺส ภควโต สนฺติกํ คจฺฉนฺตสฺส อโนฺตวนสณฺฑคตสฺสฯ เอเกติ อุตฺตรวิหารวาสิโนฯ

    160.Bhagavato tejoti buddhānubhāvo. Rañño sarīraṃ phari yathā taṃ soṇadaṇḍassa brāhmaṇassa bhagavato santikaṃ gacchantassa antovanasaṇḍagatassa. Eketi uttaravihāravāsino.

    ๑๖๑. เยน, เตนาติ จ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนนฺติ อาห ‘‘ยตฺถ ภควา, ตตฺถ คโต’’ติฯ ตทา ตสฺมิํ ภิกฺขุสเงฺฆ ตุณฺหีภาวสฺส อนวเสสโต พฺยาปิภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูต’’นฺติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ยโต ยโต…เป.… เมวาติ อโตฺถ’’ติฯ หตฺถสฺส กุกตตฺตา อสํยโม อสมฺปชญฺญกิริยา หตฺถกุกฺกุจฺจนฺติ เวทิตโพฺพฯ วา-สโทฺท อวุตฺตวิกปฺปโตฺถ, เตน ตทโญฺญ อสํยมภาโว วิภาวิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ ปน จกฺขุอสํยโม สพฺพปฐโม, ทุนฺนิวาโร จาติ ตทภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ กายิกวาจสิเกน อุปสเมน ลเทฺธน อิตโรปิ อนุมานโต ลโทฺธ เอว โหตีติ อาห ‘‘มานสิเกน จา’’ติฯ อุปสมนฺติ สํยมํ, อาจารสมฺปตฺตินฺติ อโตฺถฯ ปญฺจปริวเฎฺฎติ ปญฺจปุริสปริวเฎฺฎฯ ปญฺจหากาเรหีติ ‘‘อิฎฺฐานิเฎฺฐ ตาที’’ติ (มหานิ. ๓๘, ๑๙๒) เอวํ อาทินา อาคเตหิ, ปญฺจวิธอริยิทฺธิสิเทฺธหิ จ ปญฺจหิ ปกาเรหิฯ ตาทิลกฺขเณติ ตาทิภาเวฯ

    161.Yena, tenāti ca bhummatthe karaṇavacananti āha ‘‘yattha bhagavā, tattha gato’’ti. Tadā tasmiṃ bhikkhusaṅghe tuṇhībhāvassa anavasesato byāpibhāvaṃ dassetuṃ ‘‘tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūta’’nti vuttanti āha ‘‘yato yato…pe… mevāti attho’’ti. Hatthassa kukatattā asaṃyamo asampajaññakiriyā hatthakukkuccanti veditabbo. -saddo avuttavikappattho, tena tadañño asaṃyamabhāvo vibhāvitoti daṭṭhabbaṃ. Tattha pana cakkhuasaṃyamo sabbapaṭhamo, dunnivāro cāti tadabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘sabbālaṅkārapaṭimaṇḍita’’ntiādi vuttaṃ. Kāyikavācasikena upasamena laddhena itaropi anumānato laddho eva hotīti āha ‘‘mānasikena cā’’ti. Upasamanti saṃyamaṃ, ācārasampattinti attho. Pañcaparivaṭṭeti pañcapurisaparivaṭṭe. Pañcahākārehīti ‘‘iṭṭhāniṭṭhe tādī’’ti (mahāni. 38, 192) evaṃ ādinā āgatehi, pañcavidhaariyiddhisiddhehi ca pañcahi pakārehi. Tādilakkhaṇeti tādibhāve.

    ๑๖๒. น เม ปญฺหวิสฺสชฺชเน ภาโร อตฺถีติ สตฺถุ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาทสฺสนํฯ ยทากงฺขสีติ น วทนฺติ, กถํ ปน วทนฺตีติ อาห ‘‘สุตฺวา เวทิสฺสามา’’ติ ปเทสญาเณ ฐิตตฺตาฯ พุทฺธา ปน สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ยกฺขนรินฺทเทวสมณพฺราหฺมณปริพฺพาชกาน’’นฺติ อิทํ ‘‘ปุจฺฉาวุโส ยทากงฺขสี’’ติอาทีนิ (สํ. นิ. ๑.๒๓๗, ๒๔๖; สุ. นิ. อาฬวกสุเตฺต) สุตฺตปทานิ ปุจฺฉนฺตานํ เยสํ ปุคฺคลานํ วเสน อาคตานิ, ตํ ทสฺสนตฺถํฯ ‘‘ปุจฺฉาวุโส ยทากงฺขสี’’ติ อิทํ อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส โอกาสกรณํ, เสสานิ นรินฺทาทีนํฯ มนสิจฺฉสีติ มนสา อิจฺฉสิฯ ปุจฺฉโวฺห, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉถาติ พาวริสฺส สํสยํ มนสา ปุจฺฉโวฺหฯ ตุมฺหากํ ปน สเพฺพสํ ยํ กิญฺจิ สพฺพสํสยํ มนสา, อญฺญถา จ, ยถา อิจฺฉถ, ตถา ปุจฺฉโวฺหติ อธิปฺปาโยฯ

    162.Na me pañhavissajjane bhāro atthīti satthu sabbattha appaṭihatañāṇacāratādassanaṃ. Yadākaṅkhasīti na vadanti, kathaṃ pana vadantīti āha ‘‘sutvā vedissāmā’’ti padesañāṇe ṭhitattā. Buddhā pana sabbaññupavāraṇaṃ pavārentīti sambandho. ‘‘Yakkhanarindadevasamaṇabrāhmaṇaparibbājakāna’’nti idaṃ ‘‘pucchāvuso yadākaṅkhasī’’tiādīni (saṃ. ni. 1.237, 246; su. ni. āḷavakasutte) suttapadāni pucchantānaṃ yesaṃ puggalānaṃ vasena āgatāni, taṃ dassanatthaṃ. ‘‘Pucchāvuso yadākaṅkhasī’’ti idaṃ āḷavakassa yakkhassa okāsakaraṇaṃ, sesāni narindādīnaṃ. Manasicchasīti manasā icchasi. Pucchavho, yaṃ kiñci manasicchathāti bāvarissa saṃsayaṃ manasā pucchavho. Tumhākaṃ pana sabbesaṃ yaṃ kiñci sabbasaṃsayaṃ manasā, aññathā ca, yathā icchatha, tathā pucchavhoti adhippāyo.

    สาธุรูปาติ สาธุสภาวาฯ ธโมฺมติ ปเวณีธโมฺมฯ วุทฺธนฺติ สีลาทีหิ พุทฺธิปฺปตฺตํ, ครุนฺติ อโตฺถฯ เอส ภาโรติ เอส สํสยูปเจฺฉทนสงฺขาโต ภาโร, อาคโต ภาโร อวสฺสํ อาวหิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ ญตฺวา สยนฺติ ปรูปเทเสน วินา สยเมว ญตฺวาฯ

    Sādhurūpāti sādhusabhāvā. Dhammoti paveṇīdhammo. Vuddhanti sīlādīhi buddhippattaṃ, garunti attho. Esa bhāroti esa saṃsayūpacchedanasaṅkhāto bhāro, āgato bhāro avassaṃ āvahitabboti adhippāyo. Ñatvā sayanti parūpadesena vinā sayameva ñatvā.

    สุจิรเตนาติ เอวํ นามเกน พฺราหฺมเณนฯ ตคฺฆาติ เอกํเสนฯ ยถาปิ กุสโล ตถาติ ยถา สพฺพธมฺมกุสโล สพฺพวิทู ชานาติ กเถติ, ตถา อหมกฺขิสฺสํฯ ราชา จ โข ตํ ยทิ กาหติ วา น วาติ โย ตํ อิธ ปุจฺฉิตุํ เปเสสิ, โส ราชานํ ตยา ปุจฺฉิตํ กโรตุ วา มา วา, อหํ ปน เต อกฺขิสฺสํ อกฺขิสฺสามิ, อาจิกฺขิสฺสามีติ อโตฺถฯ

    Suciratenāti evaṃ nāmakena brāhmaṇena. Tagghāti ekaṃsena. Yathāpi kusalo tathāti yathā sabbadhammakusalo sabbavidū jānāti katheti, tathā ahamakkhissaṃ. Rājā ca kho taṃ yadi kāhati vā na vāti yo taṃ idha pucchituṃ pesesi, so rājānaṃ tayā pucchitaṃ karotu vā mā vā, ahaṃ pana te akkhissaṃ akkhissāmi, ācikkhissāmīti attho.

    ๑๖๓. สิปฺปนเฎฺฐน สิกฺขิตพฺพตาย จ สิปฺปเมว สิปฺปายตนํ ชีวิกาย การณภาวโต ฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส เต กตเมติ อโตฺถฯ ปุถุ สิปฺปายตนานีติ หิ สาธารณโต สิปฺปานิ อุทฺทิสิตฺวา อุปริ ตํตํสิปฺปูปชีวิโน นิทฺทิฎฺฐา ปุคฺคลาธิฎฺฐานกถาย ปปญฺจํ ปริหริตุํฯ อญฺญถา ยถาธิเปฺปตานิ ตาว สิปฺปายตนานิ ทเสฺสตฺวา ปุน ตํตํสิปฺปูปชีวีสุ ทสฺสิยมาเนสุ ปปโญฺจ สิยาติฯ เตนาห ‘‘หตฺถาโรหา’’ติอาทิฯ

    163. Sippanaṭṭhena sikkhitabbatāya ca sippameva sippāyatanaṃ jīvikāya kāraṇabhāvato . Seyyathidanti nipāto, tassa te katameti attho. Puthu sippāyatanānīti hi sādhāraṇato sippāni uddisitvā upari taṃtaṃsippūpajīvino niddiṭṭhā puggalādhiṭṭhānakathāya papañcaṃ pariharituṃ. Aññathā yathādhippetāni tāva sippāyatanāni dassetvā puna taṃtaṃsippūpajīvīsu dassiyamānesu papañco siyāti. Tenāha ‘‘hatthārohā’’tiādi.

    หตฺถิํ อาโรหนฺติ, อาโรหาปยนฺติ จาติ หตฺถาโรหาฯ เยหิ ปโยเคหิ ปุริโส หตฺถิโน อาโรหนโยโคฺค โหติ, หตฺถิสฺส ตํ ปโยคํ วิธายตํ สเพฺพสํ เปเตสํ คหณํฯ เตนาห ‘‘สเพฺพปี’’ติอาทิฯ ตตฺถ หตฺถาจริยา นาม เย หตฺถิโน หตฺถาโรหกานญฺจ สิกฺขปกาฯ หตฺถิเวชฺชา นาม หตฺถิภิสกฺกาฯ หตฺถิเมณฺฑา นาม หตฺถีนํ ปาทรกฺขกาฯ อาทิ-สเทฺทน หตฺถีนํ ยวสทายกาทิเก สงฺคณฺหาติฯ อสฺสาโรหา รถิกาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ รเถ นิยุตฺตา รถิกาฯ รถรกฺขา นาม รถสฺส อาณิรกฺขกาฯ ธนุํ คณฺหนฺติ, คณฺหาเปนฺติ จาติ ธนุคฺคหา, อิสฺสาสา ธนุสิปฺปสฺส สิกฺขาปกา จฯ เตนาห ‘‘ธนุอาจริยา อิสฺสาสา’’ติฯ เจเลน เจลปฎากาย ยุเทฺธ อกนฺติ คจฺฉนฺตีติ เจลกาติ อาห ‘‘เย ยุเทฺธ ชยธชํ คเหตฺวา ปุรโต คจฺฉนฺตี’’ติฯ ยถา ตถา ฐิเต เสนิเก พฺยูหกรณวเสน ตโต จลยนฺติ อุจฺจาเลนฺตีติ จลกาฯ สกุณคฺฆิอาทโย วิย มํสปิณฺฑํ ปรเสนาสมูหํ สาหสิกมหาโยธตาย เฉตฺวา เฉตฺวา ทยนฺติ อุปฺปติตฺวา อุปฺปติตฺวา คจฺฉนฺตีติ ปิณฺฑทายกาฯ ทุติยวิกเปฺป ปิเณฺฑ ทยนฺติ ชนสมฺมเทฺท อุปฺปตนฺตา วิย คจฺฉนฺตีติ ปิณฺฑทายกาติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อุคฺคตุคฺคตาติ ถามชวปรกฺกมาทิวเสน อติวิย อุคฺคตา อุคฺคาติ อโตฺถฯ ปกฺขนฺทนฺตีติ อตฺตโน วีรสูรภาเวน อสชฺชมานา ปรเสนํ อนุปวิสนฺตีติ อโตฺถฯ ถามชวพลปรกฺกมาทิสมฺปตฺติยา มหานาคา วิย มหานาคาฯ เอกนฺตสูราติ เอกากิสูรา อตฺตโน สูรภาเวเนว เอกากิโน หุตฺวา ยุชฺฌนกาฯ สชาลิกาติ สวมฺมิกาฯ สรปริตฺตาณจมฺมนฺติ จมฺมปริสิพฺพิตํ เขฎกํ, จมฺมมยํ วา ผลกํฯ ฆรทาสโยธาติ อโนฺตชาตโยธาฯ

    Hatthiṃ ārohanti, ārohāpayanti cāti hatthārohā. Yehi payogehi puriso hatthino ārohanayoggo hoti, hatthissa taṃ payogaṃ vidhāyataṃ sabbesaṃ petesaṃ gahaṇaṃ. Tenāha ‘‘sabbepī’’tiādi. Tattha hatthācariyā nāma ye hatthino hatthārohakānañca sikkhapakā. Hatthivejjā nāma hatthibhisakkā. Hatthimeṇḍā nāma hatthīnaṃ pādarakkhakā. Ādi-saddena hatthīnaṃ yavasadāyakādike saṅgaṇhāti. Assārohā rathikāti etthāpi eseva nayo. Rathe niyuttā rathikā. Ratharakkhā nāma rathassa āṇirakkhakā. Dhanuṃ gaṇhanti, gaṇhāpenti cāti dhanuggahā, issāsā dhanusippassa sikkhāpakā ca. Tenāha ‘‘dhanuācariyā issāsā’’ti. Celena celapaṭākāya yuddhe akanti gacchantīti celakāti āha ‘‘ye yuddhe jayadhajaṃ gahetvā purato gacchantī’’ti. Yathā tathā ṭhite senike byūhakaraṇavasena tato calayanti uccālentīti calakā. Sakuṇagghiādayo viya maṃsapiṇḍaṃ parasenāsamūhaṃ sāhasikamahāyodhatāya chetvā chetvā dayanti uppatitvā uppatitvā gacchantīti piṇḍadāyakā. Dutiyavikappe piṇḍe dayanti janasammadde uppatantā viya gacchantīti piṇḍadāyakāti attho veditabbo. Uggatuggatāti thāmajavaparakkamādivasena ativiya uggatā uggāti attho. Pakkhandantīti attano vīrasūrabhāvena asajjamānā parasenaṃ anupavisantīti attho. Thāmajavabalaparakkamādisampattiyā mahānāgā viya mahānāgā. Ekantasūrāti ekākisūrā attano sūrabhāveneva ekākino hutvā yujjhanakā. Sajālikāti savammikā. Saraparittāṇacammanti cammaparisibbitaṃ kheṭakaṃ, cammamayaṃ vā phalakaṃ. Gharadāsayodhāti antojātayodhā.

    อาฬารํ วุจฺจติ มหานสํ, ตตฺถ นิยุตฺตาติ อาฬาริกา, ภตฺตการาฯ ปูวิกาติ ปูวสมฺปาทกา, เย ปูวเมว นานปฺปการโต สมฺปาเทตฺวา วิกฺกิณนฺตา ชีวนฺติฯ เกสนขลิขนาทิวเสน มนุสฺสานํ อลงฺการวิธิํ กเปฺปนฺติ สํวิทหนฺตีติ กปฺปกาฯ นฺหาปกาติ จุณฺณวิเลปนาทีหิ มลหรณวณฺณสมฺปาทนวิธินา นฺหาเปนฺตีติ นฺหาปกาฯ นวนฺตาทิวิธินา ปวโตฺต คณนคโนฺถ อนฺตรา ฉิทฺทาภาเวน อจฺฉิทฺทโกติ วุจฺจติ, ตํ คณนํ อุปนิสฺสาย ชีวนฺตา อจฺฉิทฺทกปาฐกาฯ หเตฺถน อธิปฺปายวิญฺญาปนํ หตฺถมุทฺทา หตฺถ-สโทฺท เจตฺถ ตเทกเทเสสุ องฺคุลีสุ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘น ภุญฺชมาโน สพฺพํ หตฺถํ มุเข ปกฺขิปิสฺสามี’’ติอาทีสุ วิย, ตสฺมา องฺคุลิสโงฺกจนาทินา คณนา หตฺถมุทฺทาย คณนาฯ จิตฺตการาทีนีติฯ อาทิ-สเทฺทน ภมการโกฎฺฎกเลขก วิลีวการาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ สนฺทิฎฺฐิกเมวาติ อสมฺปรายิกตาย สามํ ทฎฺฐพฺพํ, สยํ อนุภวิตพฺพํ อตฺตปจฺจกฺขํ ทิฎฺฐธมฺมิกนฺติ อโตฺถฯ สุขิตนฺติ สุขปฺปตฺตํฯ อุปรีติ เทวโลเกฯ โส หิ มนุสฺสโลกโต อุปริโมฯ กมฺมสฺส กตตฺตา นิพฺพตฺตนโต ตสฺส ผลํ ตสฺส อคฺคิสิขา วิย โหติ, ตญฺจ อุทฺธํ เทวโลเกติ อาห ‘‘อุทฺธํ อคฺคํ อสฺสา อตฺถีติ อุทฺธคฺคิกา’’ติฯ สคฺคํ อรหตีติ อตฺตโน ผลภูตํ สคฺคํ อรหติ, ตตฺถ สา นิพฺพตฺตนารโหติ อโตฺถฯ สุขวิปากาติ อิฎฺฐวิปากวิปจฺจนีกาฯ สุฎฺฐุ อเคฺคติ อติวิย อุตฺตเม อุฬาเรฯ ทกฺขนฺติ วฑฺฒนฺติ เอตายาติ ทกฺขิณา, ปริจฺจาคมยํ ปุญฺญนฺติ อาห ‘‘ทกฺขิณํ ทาน’’นฺติฯ

    Āḷāraṃ vuccati mahānasaṃ, tattha niyuttāti āḷārikā, bhattakārā. Pūvikāti pūvasampādakā, ye pūvameva nānappakārato sampādetvā vikkiṇantā jīvanti. Kesanakhalikhanādivasena manussānaṃ alaṅkāravidhiṃ kappenti saṃvidahantīti kappakā. Nhāpakāti cuṇṇavilepanādīhi malaharaṇavaṇṇasampādanavidhinā nhāpentīti nhāpakā. Navantādividhinā pavatto gaṇanagantho antarā chiddābhāvena acchiddakoti vuccati, taṃ gaṇanaṃ upanissāya jīvantā acchiddakapāṭhakā. Hatthena adhippāyaviññāpanaṃ hatthamuddā hattha-saddo cettha tadekadesesu aṅgulīsu daṭṭhabbo. ‘‘Na bhuñjamāno sabbaṃ hatthaṃ mukhe pakkhipissāmī’’tiādīsu viya, tasmā aṅgulisaṅkocanādinā gaṇanā hatthamuddāya gaṇanā. Cittakārādīnīti. Ādi-saddena bhamakārakoṭṭakalekhaka vilīvakārādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Diṭṭheva dhammeti imasmiṃyeva attabhāve. Sandiṭṭhikamevāti asamparāyikatāya sāmaṃ daṭṭhabbaṃ, sayaṃ anubhavitabbaṃ attapaccakkhaṃ diṭṭhadhammikanti attho. Sukhitanti sukhappattaṃ. Uparīti devaloke. So hi manussalokato uparimo. Kammassa katattā nibbattanato tassa phalaṃ tassa aggisikhā viya hoti, tañca uddhaṃ devaloketi āha ‘‘uddhaṃ aggaṃ assā atthīti uddhaggikā’’ti. Saggaṃ arahatīti attano phalabhūtaṃ saggaṃ arahati, tattha sā nibbattanārahoti attho. Sukhavipākāti iṭṭhavipākavipaccanīkā. Suṭṭhu aggeti ativiya uttame uḷāre. Dakkhanti vaḍḍhanti etāyāti dakkhiṇā, pariccāgamayaṃ puññanti āha ‘‘dakkhiṇaṃ dāna’’nti.

    มโคฺค สามญฺญํ สมิตปาปสมณภาโวติ กตฺวาฯ ยสฺมา อยํ ราชา ปพฺพชิตานํ ทาสกสฺสกาทีนํ โลกโต อภิวาทนาทิลาโภ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลนฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อีทิสมตฺถํ ชานโนฺต’’ติ วีมํสโนฺต ปูรณาทิเก ปุจฺฉิตฺวา เตสํ กถาย อนาราธิตจิโตฺต ภควนฺตมฺปิ ตมตฺถํ ปุจฺฉิ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อุปริ อาคตํ ปน ทาสกสฺสโกปมํ สนฺธาย ปุจฺฉตี’’ติฯ

    Maggosāmaññaṃ samitapāpasamaṇabhāvoti katvā. Yasmā ayaṃ rājā pabbajitānaṃ dāsakassakādīnaṃ lokato abhivādanādilābho sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalanti cintetvā ‘‘atthi nu kho koci samaṇo vā brāhmaṇo vā īdisamatthaṃ jānanto’’ti vīmaṃsanto pūraṇādike pucchitvā tesaṃ kathāya anārādhitacitto bhagavantampi tamatthaṃ pucchi, tasmā vuttaṃ ‘‘upari āgataṃ pana dāsakassakopamaṃ sandhāya pucchatī’’ti.

    กณฺหปกฺขนฺติ ยถาปุจฺฉิเต อเตฺถ ลพฺภมานํ ทิฎฺฐิคตูปสญฺหิตํ สํกิเลสปกฺขํฯ สุกฺกปกฺขนฺติ ตพฺพิธุรํ อุปริสุตฺตาคตํ โวทานปกฺขํฯ สมณโกลาหลนฺติ สมณโกตูหลํ ตํตํสมณวาทานํ อญฺญมญฺญวิโรธํฯ สมณภณฺฑนนฺติ เตเนว วิโรเธน ‘‘เอวํวาทีนํ เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อยํ โทโส, เอวํวาทีนํ อยํ โทโส’’ติ เอวํ ตํตํวาทสฺส ปริภาสนํฯ รโญฺญ ภารํ กโรโนฺต อตฺตโน เทสนาโกสเลฺลนาติ อธิปฺปาโยฯ

    Kaṇhapakkhanti yathāpucchite atthe labbhamānaṃ diṭṭhigatūpasañhitaṃ saṃkilesapakkhaṃ. Sukkapakkhanti tabbidhuraṃ uparisuttāgataṃ vodānapakkhaṃ. Samaṇakolāhalanti samaṇakotūhalaṃ taṃtaṃsamaṇavādānaṃ aññamaññavirodhaṃ. Samaṇabhaṇḍananti teneva virodhena ‘‘evaṃvādīnaṃ tesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ ayaṃ doso, evaṃvādīnaṃ ayaṃ doso’’ti evaṃ taṃtaṃvādassa paribhāsanaṃ. Rañño bhāraṃ karonto attano desanākosallenāti adhippāyo.

    ๑๖๔. ปณฺฑิตปติรูปกานนฺติ อามํ วิย ปกฺกานํ ปณฺฑิตาภาสานํฯ

    164.Paṇḍitapatirūpakānanti āmaṃ viya pakkānaṃ paṇḍitābhāsānaṃ.

    ปูรณกสฺสปวาทวณฺณนา

    Pūraṇakassapavādavaṇṇanā

    ๑๖๕. เอกํ อิทาหนฺติ เอกาหํฯ อิธ-สโทฺท เจตฺถ นิปาตมตฺตํ, เอกาหํ สมยํ ติเจฺจว อโตฺถฯ สริตพฺพยุตฺตนฺติ อนุสฺสรณานุจฺฉวิกํฯ

    165.Ekaṃidāhanti ekāhaṃ. Idha-saddo cettha nipātamattaṃ, ekāhaṃ samayaṃ ticceva attho. Saritabbayuttanti anussaraṇānucchavikaṃ.

    ๑๖๖. สหตฺถา กโรนฺตสฺสาติ สหเตฺถเนว กโรนฺตสฺสฯ นิสฺสคฺคิยถาวราทโยปิ อิธ สหตฺถกรเณเนว สงฺคหิตาฯ หตฺถาทีนีติ หตฺถปาทกณฺณนาสาทีนิฯ ปจนํ ทหนํ วิพาธนนฺติ อาห ‘‘ทเณฺฑน อุปฺปีเฬนฺตสฺสา’’ติฯ ปปญฺจสูทนิยํ ‘‘ตเชฺชนฺตสฺส วา’’ติ อโตฺถ วุโตฺต, อิธ ปน ตชฺชนํ ปริภาสนํ ทเณฺฑเนว สงฺคเหตฺวา ‘‘ทเณฺฑน อุปฺปีเฬนฺตสฺส’’ อิเจฺจว วุตฺตํฯ โสกํ สยํ กโรนฺตสฺสาติ ปรสฺส โสกการณํ สยํ กโรนฺตสฺส, โสกํ วา อุปฺปาเทนฺตสฺสฯ ปเรหีติ อตฺตโน วจนกเรหิฯ สยมฺปิ ผนฺทโตติ ปรสฺส วิพาธนปโยเคน สยมฺปิ ผนฺทโตฯ ‘‘อติปาตาปยโต’’ติ ปทํ สุทฺธกตฺตุอเตฺถ เหตุกตฺตุอเตฺถ จ วตฺตตีติ อาห ‘‘หนนฺตสฺสาปิ หนาเปนฺตสฺสาปี’’ติฯ การณวเสนาติ การาปนวเสนฯ

    166.Sahatthā karontassāti sahattheneva karontassa. Nissaggiyathāvarādayopi idha sahatthakaraṇeneva saṅgahitā. Hatthādīnīti hatthapādakaṇṇanāsādīni. Pacanaṃ dahanaṃ vibādhananti āha ‘‘daṇḍena uppīḷentassā’’ti. Papañcasūdaniyaṃ ‘‘tajjentassa vā’’ti attho vutto, idha pana tajjanaṃ paribhāsanaṃ daṇḍeneva saṅgahetvā ‘‘daṇḍena uppīḷentassa’’ icceva vuttaṃ. Sokaṃ sayaṃkarontassāti parassa sokakāraṇaṃ sayaṃ karontassa, sokaṃ vā uppādentassa. Parehīti attano vacanakarehi. Sayampi phandatoti parassa vibādhanapayogena sayampi phandato. ‘‘Atipātāpayato’’ti padaṃ suddhakattuatthe hetukattuatthe ca vattatīti āha ‘‘hanantassāpi hanāpentassāpī’’ti. Kāraṇavasenāti kārāpanavasena.

    ฆรสฺส ภิตฺติ อโนฺต พหิ จ สนฺธิตา หุตฺวา ฐิตา ฆรสนฺธิฯ กิญฺจิปิ อเสเสตฺวา นิรวเสโส โลโป นิโลฺลโปฯ เอกาคาเร นิยุโตฺต วิโลโป เอกาคาริโกฯ ปริโต สพฺพโส ปเนฺถ หนนํ ปริปโนฺถฯ ปาปํ น กรียติ ปุเพฺพ อสญฺญโต อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา, ตสฺมา นตฺถิ ปาปํฯ ยทิ เอวํ กถํ สตฺตา ปาเป ปฎิปชฺชนฺตีติ อาห ‘‘สตฺตา ปน ปาปํ กโรมาติ เอวํ สญฺญิโน โหนฺตี’’ติฯ เอวํ กิรสฺส โหติ – อิเมสญฺหิ สตฺตานํ หิํสาทิกิริยา น อตฺตานํ ผุสติ ตสฺส นิจฺจตาย นิพฺพิการตฺตา สรีรํ ปน อเจตนํ กฎฺฐกลิงฺครูปมํ, ตสฺมิํ วิโกปิเตปิ น กิญฺจิ ปาปนฺติฯ ขุรเนมินาติ นิสิตขุรมยเนมินาฯ

    Gharassa bhitti anto bahi ca sandhitā hutvā ṭhitā gharasandhi. Kiñcipi asesetvā niravaseso lopo nillopo. Ekāgāre niyutto vilopo ekāgāriko. Parito sabbaso panthe hananaṃ paripantho. Pāpaṃ na karīyati pubbe asaññato uppādetuṃ asakkuṇeyyattā, tasmā natthi pāpaṃ. Yadi evaṃ kathaṃ sattā pāpe paṭipajjantīti āha ‘‘sattā pana pāpaṃ karomāti evaṃ saññino hontī’’ti. Evaṃ kirassa hoti – imesañhi sattānaṃ hiṃsādikiriyā na attānaṃ phusati tassa niccatāya nibbikārattā sarīraṃ pana acetanaṃ kaṭṭhakaliṅgarūpamaṃ, tasmiṃ vikopitepi na kiñci pāpanti. Khuranemināti nisitakhuramayaneminā.

    คงฺคาย ทกฺขิณา ทิสา อปฺปติรูปเทโส, อุตฺตรา ทิสา ปติรูปเทโสติ อธิปฺปาเยน‘‘ทกฺขิณญฺจ’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ทกฺขิณตีเร มนุสฺสา กกฺขฬา’’ติอาทิฯ มหายาคนฺติ มหาวิชิตยญฺญสทิสํ มหายาคํฯ อุโปสถกเมฺมน วาติ อุโปสถกเมฺมน จฯ ทม-สโทฺท หิ อินฺทฺริยสํวรสฺส อุโปสถสีลสฺส จ วาจโก อิธาธิเปฺปโตฯ เกจิ ปน ‘‘อุโปสถกเมฺมนาติ อิทํ อินฺทฺริยทมนสฺส วิเสสนํ, ตสฺมา ‘อุโปสถกมฺมภูเตน อินฺทฺริยทมเนนา’’ติ อตฺถํ วทนฺติ ฯ สีลสํยเมนาติ กายิกวาจสิกสํวเรน ฯ สจฺจวเชฺชนาติ สจฺจวาจาย, ตสฺสา วิสุํ วจนํ โลเก ครุตรปุญฺญสมฺมตภาวโตฯ ยถา หิ ปาปธเมฺมสุ มุสาวาโท ครุ, เอวํ ปุญฺญธเมฺมสุ สจฺจวาจาฯ เตนาห ภควา ‘‘เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺสา’’ติอาทิฯ ปวตฺตีติ โย ‘‘กโรตี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺส สนฺตาเน ผลุปฺปตฺติปจฺจยภาเวน อุปฺปตฺติฯ สพฺพถาติ ‘‘กโรโต’’ติอาทินา วุเตฺตน สพฺพปฺปกาเรนฯ กิริยเมว ปฎิกฺขิปติ, น รญฺญา ปุฎฺฐํ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ พฺยากโรตีติ อธิปฺปาโยฯ อิทํ อวธารณํ วิปากปฎิเกฺขปนิวตฺตนตฺถํฯ โย หิ กมฺมํ ปฎิกฺขิปติ, เตน อตฺถโต วิปาโกปิ ปฎิกฺขิโตฺต เอว นาม โหติฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘กมฺมํ ปฎิพาหเนฺตนาปี’’ติอาทิ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๗๐-๑๗๒)ฯ

    Gaṅgāya dakkhiṇā disā appatirūpadeso, uttarā disā patirūpadesoti adhippāyena‘‘dakkhiṇañca’’tiādi vuttanti āha ‘‘dakkhiṇatīre manussā kakkhaḷā’’tiādi. Mahāyāganti mahāvijitayaññasadisaṃ mahāyāgaṃ. Uposathakammena vāti uposathakammena ca. Dama-saddo hi indriyasaṃvarassa uposathasīlassa ca vācako idhādhippeto. Keci pana ‘‘uposathakammenāti idaṃ indriyadamanassa visesanaṃ, tasmā ‘uposathakammabhūtena indriyadamanenā’’ti atthaṃ vadanti . Sīlasaṃyamenāti kāyikavācasikasaṃvarena . Saccavajjenāti saccavācāya, tassā visuṃ vacanaṃ loke garutarapuññasammatabhāvato. Yathā hi pāpadhammesu musāvādo garu, evaṃ puññadhammesu saccavācā. Tenāha bhagavā ‘‘ekaṃ dhammaṃ atītassā’’tiādi. Pavattīti yo ‘‘karotī’’ti vuccati, tassa santāne phaluppattipaccayabhāvena uppatti. Sabbathāti ‘‘karoto’’tiādinā vuttena sabbappakārena. Kiriyameva paṭikkhipati, na raññā puṭṭhaṃ sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ byākarotīti adhippāyo. Idaṃ avadhāraṇaṃ vipākapaṭikkhepanivattanatthaṃ. Yo hi kammaṃ paṭikkhipati, tena atthato vipākopi paṭikkhitto eva nāma hoti. Tathā hi vakkhati ‘‘kammaṃ paṭibāhantenāpī’’tiādi (dī. ni. aṭṭha. 1.170-172).

    ปฎิราชูหิ อนภิภวนียภาเวน วิเสสโต ชิตนฺติ วิชิตํ, อาณาปวตฺติเทโสฯ ‘‘มา มยฺหํ วิชิเต วสถา’’ติ อปสาทนา ปพฺพชิตสฺส วิเหฐนา ปพฺพาชนาติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อปสาเทตพฺพนฺติ วิเหเฐตพฺพ’’นฺติฯ อุคฺคณฺหนํ เตน วุตฺตสฺส อตฺถสฺส ‘‘เอวเมต’’นฺติ อุปธารณํ สลฺลกฺขณํ, นิกุชฺชนํ ตสฺส อทฺธนิยภาวาปาทนวเสน จิเตฺตน สนฺธารณํฯ ตทุภยํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห ‘‘อนุคฺคณฺหโนฺต อนิกุชฺชโนฺต’’ติฯ เตนาห ‘‘สารวเสน อคฺคณฺหโนฺต’’ติอาทิฯ

    Paṭirājūhi anabhibhavanīyabhāvena visesato jitanti vijitaṃ, āṇāpavattideso. ‘‘Mā mayhaṃ vijite vasathā’’ti apasādanā pabbajitassa viheṭhanā pabbājanāti katvā vuttaṃ ‘‘apasādetabbanti viheṭhetabba’’nti. Uggaṇhanaṃ tena vuttassa atthassa ‘‘evameta’’nti upadhāraṇaṃ sallakkhaṇaṃ, nikujjanaṃ tassa addhaniyabhāvāpādanavasena cittena sandhāraṇaṃ. Tadubhayaṃ paṭikkhipanto āha ‘‘anuggaṇhanto anikujjanto’’ti. Tenāha ‘‘sāravasena aggaṇhanto’’tiādi.

    มกฺขลิโคสาลวาทวณฺณนา

    Makkhaligosālavādavaṇṇanā

    ๑๖๘. อุภเยนาติ เหตุปจฺจยปฎิเสธนวจเนนฯ สํกิเลสปจฺจยนฺติ สํกิลิสฺสนสฺส มลีนภาวสฺส การณํฯ วิสุทฺธิปจฺจยนฺติ สงฺกิกิเลสโต วิสุทฺธิยา โวทานสฺส การณํฯ อตฺตกาโรติ เตน เตน สเตฺตน อตฺตนา กาตพฺพกมฺมํ อตฺตนา นิปฺผาเทตพฺพปโยโคฯ ปรการนฺติ ปรสฺส วาหสา อิชฺฌนกปโยชนํฯ เตนาห ‘‘เยนา’’ติอาทิฯ มหาสตฺตนฺติ อนฺติมภวิกํ มหาโพธิสตฺตํ, ปเจฺจกโพธิสตฺตสฺสปิ เอเตฺถว สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ มนุสฺสโสภคฺยตนฺติ มนุเสฺสสุ สุภคภาวํฯ เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรนฯ กมฺมวาทสฺส กิริยวาทสฺส ปฎิกฺขิปเนน ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว กมฺมํ กณฺหํ กณฺหวิปาก’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๔.๒๓๒) นยปฺปวเตฺต ชินจเกฺก ปหารํ เทติ นามฯ นตฺถิ ปุริสกาเรติ ยถาวุตฺตอตฺตการปรการาภาวโต เอว สตฺตานํ ปจฺจตฺตปุริสกาโร นาม โกจิ นตฺถีติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘เยนา’’ติอาทิฯ นตฺถิ พลนฺติ สตฺตานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกนิพฺพานสมฺปตฺติอาวหํ พลํ นาม กิญฺจิ นตฺถิฯ เตนาห ‘‘ยมฺหี’’ติอาทิฯ นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํ, สํกิเลสิกมฺปิ จายํ พลํ ปฎิกฺขิปเตวฯ ยทิ วีริยาทีนิ ปุริสการเววจนานิ, กสฺมา วิสุํ คหณนฺติ อาห ‘‘อิทํ โน วีริเยนา’’ติอาทิฯ สทฺทตฺถโต ปน ตสฺสา ตสฺสา กิริยาย อุสฺสนฺนเฎฺฐน พลํฯ สูรวีรภาวาวหเฎฺฐน วีริยํฯ ตเทว ทฬฺหภาวโต, โปริสธุรํ วหเนฺตน ปวเตฺตตพฺพโต จ ปุริสถาโมฯ ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนปฺปวตฺติยา ปุริสปรกฺกโมติ วุโตฺตติ เวทิตพฺพํฯ

    168.Ubhayenāti hetupaccayapaṭisedhanavacanena. Saṃkilesapaccayanti saṃkilissanassa malīnabhāvassa kāraṇaṃ. Visuddhipaccayanti saṅkikilesato visuddhiyā vodānassa kāraṇaṃ. Attakāroti tena tena sattena attanā kātabbakammaṃ attanā nipphādetabbapayogo. Parakāranti parassa vāhasā ijjhanakapayojanaṃ. Tenāha ‘‘yenā’’tiādi. Mahāsattanti antimabhavikaṃ mahābodhisattaṃ, paccekabodhisattassapi ettheva saṅgaho veditabbo. Manussasobhagyatanti manussesu subhagabhāvaṃ. Evanti vuttappakārena. Kammavādassa kiriyavādassa paṭikkhipanena ‘‘atthi bhikkhave kammaṃ kaṇhaṃ kaṇhavipāka’’ntiādi (a. ni. 4.232) nayappavatte jinacakke pahāraṃ deti nāma. Natthi purisakāreti yathāvuttaattakāraparakārābhāvato eva sattānaṃ paccattapurisakāro nāma koci natthīti attho. Tenāha ‘‘yenā’’tiādi. Natthi balanti sattānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikanibbānasampattiāvahaṃ balaṃ nāma kiñci natthi. Tenāha ‘‘yamhī’’tiādi. Nidassanamattañcetaṃ, saṃkilesikampi cāyaṃ balaṃ paṭikkhipateva. Yadi vīriyādīni purisakāravevacanāni, kasmā visuṃ gahaṇanti āha ‘‘idaṃ no vīriyenā’’tiādi. Saddatthato pana tassā tassā kiriyāya ussannaṭṭhena balaṃ. Sūravīrabhāvāvahaṭṭhena vīriyaṃ. Tadeva daḷhabhāvato, porisadhuraṃ vahantena pavattetabbato ca purisathāmo. Paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanappavattiyā purisaparakkamoti vuttoti veditabbaṃ.

    สตฺตโยคโต รูปาทีสุ สตฺตวิสตฺตตาย สตฺตาฯ ปาณนโต อสฺสสนปสฺสสนวเสน ปวตฺติยา ปาณาฯ เต ปน โส เอกินฺทฺริยาทิวเสน วิภชิตฺวา วทตีติ อาห ‘‘เอกินฺทฺริโย’’ติอาทิฯ อณฺฑโกสาทีสุ ภวนโต ‘‘ภูตา’’ติ วุจฺจนฺตีติ อาห ‘‘อณฺฑโกส…เป.… วทตี’’ติ ฯ ชีวนโต ปาณํ ธาเรนฺตา วิย วฑฺฒนโต ชีวาฯ เตนาห ‘‘สาลิยวา’’ติอาทิฯ นตฺถิ เอเตสํ สํกิเลสวิสุทฺธีสุ วโสติ อวสาฯ นตฺถิ เนสํ พลํ วีริยํ จาติ อพลา อวีริยาฯ นิยตาติ อเจฺฉชฺชสุตฺตาวุตาเภชฺชมณิโน วิย นิยตปฺปวตฺติตาย คติชาติพนฺธาปวคฺควเสน นิยาโมฯ ตตฺถ ตตฺถ คมนนฺติ ฉนฺนํ อภิชาตีนํ ตาสุ ตาสุ คตีสุ อุปคมนํ สมวาเยน สมาคโมฯ สภาโวเยวาติ ยถา กณฺฎกสฺส ติขิณตา, กปิตฺถผลานํ ปริมณฺฑลตา, มิคปกฺขีนํ วิจิตฺตาการตา, เอวํ สพฺพสฺสาปิ โลกสฺส เหตุปจฺจเยน วินา ตถา ตถา ปริณาโม อยํ สภาโว เอว อกิตฺติโมเยวฯ เตนาห ‘‘เยน หี’’ติอาทิฯ ฉฬาภิชาติโย ปรโต วิตฺถารียนฺติฯ ‘‘สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ ปฎิสํเวเทนฺตี’’ติ วทโนฺต อทุกฺขมสุขภูมิํ สเพฺพน สพฺพํ น ชานาตีติ อุลฺลิงฺคโนฺต ‘‘อญฺญา อทุกฺขมสุขภูมิ นตฺถีติ ทเสฺสตี’’ติ อาหฯ

    Sattayogato rūpādīsu sattavisattatāya sattā. Pāṇanato assasanapassasanavasena pavattiyā pāṇā. Te pana so ekindriyādivasena vibhajitvā vadatīti āha ‘‘ekindriyo’’tiādi. Aṇḍakosādīsu bhavanato ‘‘bhūtā’’ti vuccantīti āha ‘‘aṇḍakosa…pe… vadatī’’ti . Jīvanato pāṇaṃ dhārentā viya vaḍḍhanato jīvā. Tenāha ‘‘sāliyavā’’tiādi. Natthi etesaṃ saṃkilesavisuddhīsu vasoti avasā. Natthi nesaṃ balaṃ vīriyaṃ cāti abalā avīriyā. Niyatāti acchejjasuttāvutābhejjamaṇino viya niyatappavattitāya gatijātibandhāpavaggavasena niyāmo. Tattha tattha gamananti channaṃ abhijātīnaṃ tāsu tāsu gatīsu upagamanaṃ samavāyena samāgamo. Sabhāvoyevāti yathā kaṇṭakassa tikhiṇatā, kapitthaphalānaṃ parimaṇḍalatā, migapakkhīnaṃ vicittākāratā, evaṃ sabbassāpi lokassa hetupaccayena vinā tathā tathā pariṇāmo ayaṃ sabhāvo eva akittimoyeva. Tenāha ‘‘yena hī’’tiādi. Chaḷābhijātiyo parato vitthārīyanti. ‘‘Sukhañca dukkhañca paṭisaṃvedentī’’ti vadanto adukkhamasukhabhūmiṃ sabbena sabbaṃ na jānātīti ulliṅganto ‘‘aññā adukkhamasukhabhūmi natthīti dassetī’’ti āha.

    ปมุขโยนีนนฺติ มนุสฺสติรจฺฉานาทีสุ ขตฺติยพฺราหฺมณาทิสีหพฺยคฺฆาทิวเสน ปธานโยนีนํฯ สฎฺฐิสตานีติ ฉสหสฺสานิฯ ‘‘ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานี’’ติ ปทสฺส อตฺถทสฺสนํ ‘‘ปญฺจกมฺมสตานิ จา’’ติฯ ‘‘เอเสว นโย’’ติ อิมินา ‘‘เกวลํ ตกฺกมตฺตเกน นิรตฺถกํ ทิฎฺฐิํ ทีเปตี’’ติ อิมเมวตฺถํ อติทิสติฯ เอตฺถ จ ‘‘ตกฺกมตฺตเกนา’’ติ อิมินา ยสฺมา ตกฺกิกา นิรงฺกุสตาย ปริกปฺปนสฺส ยํ กิญฺจิ อตฺตโน ปริกปฺปิตํ สารโต มญฺญมานา ตเถว อภินิวิสฺส ตกฺกทิฎฺฐิคาหํ คณฺหนฺติ, ตสฺมา น เตสํ ทิฎฺฐิวตฺถุสฺมิํ วิญฺญูหิ วิจารณา กาตพฺพาติ ทเสฺสติฯ เกจีติ อุตฺตรวิหารวาสิโนฯ เต หิ ‘‘ปญฺจ กมฺมานีติ จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายา อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ ‘ปญฺจ กมฺมานี’ติ ปญฺญาเปนฺตี’’ติ วทนฺติฯ กมฺมนฺติ ลทฺธีติ โอฬาริกภาวโต ปริปุณฺณกมฺมนฺติ ลทฺธิฯ มโนกมฺมํ อโนฬาริกตฺตา อุปฑฺฒกมฺมนฺติ ลทฺธีติ โยชนาฯ ทฺวฎฺฐิปฎิปทาติ ‘‘ทฺวาสฎฺฐิ ปฎิปทา’’ติ วตฺตเพฺพ สภาวนิรุตฺติํ อชานโนฺต ‘‘ทฺวฎฺฐิปฎิปทา’’ติ วทติฯ เอกสฺมิํ กเปฺปติ เอกสฺมิํ มหากเปฺป, ตตฺถาปิ จ วิวฎฺฎฎฺฐายีสญฺญิเต เอกสฺมิํ อสเงฺขฺยเยฺยกเปฺปฯ

    Pamukhayonīnanti manussatiracchānādīsu khattiyabrāhmaṇādisīhabyagghādivasena padhānayonīnaṃ. Saṭṭhisatānīti chasahassāni. ‘‘Pañca ca kammuno satānī’’ti padassa atthadassanaṃ ‘‘pañcakammasatāni cā’’ti. ‘‘Eseva nayo’’ti iminā ‘‘kevalaṃ takkamattakena niratthakaṃ diṭṭhiṃ dīpetī’’ti imamevatthaṃ atidisati. Ettha ca ‘‘takkamattakenā’’ti iminā yasmā takkikā niraṅkusatāya parikappanassa yaṃ kiñci attano parikappitaṃ sārato maññamānā tatheva abhinivissa takkadiṭṭhigāhaṃ gaṇhanti, tasmā na tesaṃ diṭṭhivatthusmiṃ viññūhi vicāraṇā kātabbāti dasseti. Kecīti uttaravihāravāsino. Te hi ‘‘pañca kammānīti cakkhusotaghānajivhākāyā imāni pañcindriyāni ‘pañca kammānī’ti paññāpentī’’ti vadanti. Kammanti laddhīti oḷārikabhāvato paripuṇṇakammanti laddhi. Manokammaṃ anoḷārikattā upaḍḍhakammanti laddhīti yojanā. Dvaṭṭhipaṭipadāti ‘‘dvāsaṭṭhi paṭipadā’’ti vattabbe sabhāvaniruttiṃ ajānanto ‘‘dvaṭṭhipaṭipadā’’ti vadati. Ekasmiṃ kappeti ekasmiṃ mahākappe, tatthāpi ca vivaṭṭaṭṭhāyīsaññite ekasmiṃ asaṅkhyeyyekappe.

    อุรเพฺภ หนนฺตีติ โอรพฺภิกาฯ เอวํ สูกริกาทโย เวทิตพฺพาฯ ลุทฺทาติ อเญฺญปิ เย เกจิ มาควิกเนสาทาฯ เต ปาปกมฺมปสุตตาย ‘‘กณฺหาภิชาตีติ วทติฯ ภิกฺขู’’ติ พุทฺธสาสเน ภิกฺขูฯ เต กิร ‘‘สฉนฺทราคา ปริภุญฺชนฺตี’’ติ อธิปฺปาเยน ‘‘จตูสุ ปจฺจเยสุ กณฺฎเก ปกฺขิปิตฺวา ขาทนฺตี’’ติ วทติฯ กสฺมาติ เจ? ยสฺมา ‘‘เต ปณีตปณีเต ปจฺจเย ปฎิเสวนฺตี’’ติ ตสฺส มิจฺฉาคาโห, ตสฺมา ญายลเทฺธปิ ปจฺจเย ภุญฺชมานา อาชีวกสมยสฺส วิโลมคาหิตาย ปจฺจเยสุ กณฺฎเก ปกฺขิปิตฺวา ขาทนฺติ นามาติ วทตีติ อปเรฯ เอเก ปพฺพชิตา, เย สวิเสสํ อตฺตกิลมถานุโยคํ อนุยุตฺตาฯ ตถา หิ เต กณฺฎเก วตฺตนฺตา วิย โหนฺตีติ ‘‘กณฺฎกวุตฺติกา’’ติ วุตฺตาฯ ฐตฺวา ภุญฺชนนหานปฎิเกฺขปาทิวตสมาโยเคน ปณฺฑรตรา‘‘อเจลกสาวกา’’ติ อาชีวกสาวเก วทติฯ เต กิร อาชีวกลทฺธิยา วิสุทฺธจิตฺตตาย นิคเณฺฐหิปิ ปณฺฑรตราฯ นนฺทาทโย หิ ตถารูปํ อาชีวกปฎิปตฺติํ อุกฺกํสํ ปาเปตฺวา ฐิตาฯ ตสฺมา นิคเณฺฐหิ อาชีวกสาวเกหิ จ ปณฺฑรตรา ปรมสุกฺกาภิชาตีติ อยํ ตสฺส ลทฺธิฯ

    Urabbhe hanantīti orabbhikā. Evaṃ sūkarikādayo veditabbā. Luddāti aññepi ye keci māgavikanesādā. Te pāpakammapasutatāya ‘‘kaṇhābhijātīti vadati. Bhikkhū’’ti buddhasāsane bhikkhū. Te kira ‘‘sachandarāgā paribhuñjantī’’ti adhippāyena ‘‘catūsu paccayesu kaṇṭake pakkhipitvā khādantī’’ti vadati. Kasmāti ce? Yasmā ‘‘te paṇītapaṇīte paccaye paṭisevantī’’ti tassa micchāgāho, tasmā ñāyaladdhepi paccaye bhuñjamānā ājīvakasamayassa vilomagāhitāya paccayesu kaṇṭake pakkhipitvā khādanti nāmāti vadatīti apare. Eke pabbajitā, ye savisesaṃ attakilamathānuyogaṃ anuyuttā. Tathā hi te kaṇṭake vattantā viya hontīti ‘‘kaṇṭakavuttikā’’ti vuttā. Ṭhatvā bhuñjananahānapaṭikkhepādivatasamāyogena paṇḍaratarā. ‘‘Acelakasāvakā’’ti ājīvakasāvake vadati. Te kira ājīvakaladdhiyā visuddhacittatāya nigaṇṭhehipi paṇḍaratarā. Nandādayo hi tathārūpaṃ ājīvakapaṭipattiṃ ukkaṃsaṃ pāpetvā ṭhitā. Tasmā nigaṇṭhehi ājīvakasāvakehi ca paṇḍaratarā paramasukkābhijātīti ayaṃ tassa laddhi.

    ปุริสภูมิโยติ ปธานปุคฺคเลน นิเทฺทโสฯ อิตฺถีนมฺปิ ตา ภูมิโย อิจฺฉเนฺตวฯ ‘‘ภิกฺขุ จ ปนฺนโก’’ติอาทิ เตสํ ปาฬิเยวฯ ตตฺถ ปนฺนโกติ ภิกฺขาย วิจรณโก, เตสํ วา ปฎิปตฺติยา ปฎิปนฺนโกฯ ชิโนติ ชิโณฺณ ชราวเสน หีนธาตุโก, อตฺตโน วา ปฎิปตฺติยา ปฎิปกฺขํ ชินิตฺวา ฐิโตฯ โส กิร ตถาภูโต ธมฺมมฺปิ กสฺสจิ น กเถสิฯ เตนาห ‘‘น กิญฺจิ อาหา’’ติฯ โอฎฺฐวทนาทิวิปฺปกาเร กเตปิ ขมนวเสน น กิญฺจิ วทตีติปิ วทนฺติฯ อลาภินฺติ ‘‘โส น กุมฺภิมุขา ปฎิคฺคณฺหาตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๓๙๔) นเยน วุตฺตอลาภเหตุสมาโยเคน อลาภิํ, ตโตเยว ชิฆจฺฉาทุพฺพลปเรตตาย สยนปรายนํ ‘‘สมณํ ปนฺนภูมี’’ติ วทติฯ

    Purisabhūmiyoti padhānapuggalena niddeso. Itthīnampi tā bhūmiyo icchanteva. ‘‘Bhikkhu ca pannako’’tiādi tesaṃ pāḷiyeva. Tattha pannakoti bhikkhāya vicaraṇako, tesaṃ vā paṭipattiyā paṭipannako. Jinoti jiṇṇo jarāvasena hīnadhātuko, attano vā paṭipattiyā paṭipakkhaṃ jinitvā ṭhito. So kira tathābhūto dhammampi kassaci na kathesi. Tenāha ‘‘na kiñci āhā’’ti. Oṭṭhavadanādivippakāre katepi khamanavasena na kiñci vadatītipi vadanti. Alābhinti ‘‘so na kumbhimukhā paṭiggaṇhātī’’tiādinā (dī. ni. 1.394) nayena vuttaalābhahetusamāyogena alābhiṃ, tatoyeva jighacchādubbalaparetatāya sayanaparāyanaṃ ‘‘samaṇaṃ pannabhūmī’’ti vadati.

    อาชีววุตฺติสตานีติ สตฺตานํ อาชีวภูตานิ ชีวิกาวุตฺติสตานิฯ ปสุคฺคหเณน เอฬกชาติ คหิตา, มิคคฺคหเณน รุรุควยาทิสพฺพมิคชาติฯ พหู เทวาติ จาตุมหาราชิกาทิพฺรหฺมกายิกาทิวเสน, เตสํ อนฺตรเภทวเสน พหู เทวาฯ ตตฺถ จาตุมหาราชิกานํ เอกจฺจเภโท มหาสมยสุตฺตวเสน (ที. นิ. ๒.๓๓๑) ทีเปตโพฺพฯ มนุสฺสาปิ อนนฺตาติ ทีปเทสกุลวํสาชีวาทิวิภาควเสน มนุสฺสาปิ อนนฺตเภทาฯ ปิสาจา เอว เปสาจาฯ เต อปรเปตาทโย มหนฺตมหนฺตาฯ ฉทฺทนฺตทหมนฺทากินิโย กุวาฬิยมุจลินฺทนาเมน วทติฯ

    Ājīvavuttisatānīti sattānaṃ ājīvabhūtāni jīvikāvuttisatāni. Pasuggahaṇena eḷakajāti gahitā, migaggahaṇena rurugavayādisabbamigajāti. Bahū devāti cātumahārājikādibrahmakāyikādivasena, tesaṃ antarabhedavasena bahū devā. Tattha cātumahārājikānaṃ ekaccabhedo mahāsamayasuttavasena (dī. ni. 2.331) dīpetabbo. Manussāpi anantāti dīpadesakulavaṃsājīvādivibhāgavasena manussāpi anantabhedā. Pisācā eva pesācā. Te aparapetādayo mahantamahantā. Chaddantadahamandākiniyo kuvāḷiyamucalindanāmena vadati.

    ปวุฎาติ ปพฺพคณฺฐิกาฯ ปณฺฑิโตปิ …เป.… อุทฺธํ น คจฺฉติ, กสฺมา? สตฺตานํ สํสรณกาลสฺส นิยตภาวโตฯ อปริปกฺกํ สํสรณนิมิตฺตํ สีลาทินา ปริปาเจติ นาม สีฆํเยว วิสุทฺธิปฺปตฺติยาฯ ปริปกฺกํ กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส ปตฺวา ปตฺวา กาเลน ปริปกฺกภาวานาปาทเนน พฺยนฺติํ กโรติ นามฯ

    Pavuṭāti pabbagaṇṭhikā. Paṇḍitopi…pe… uddhaṃ na gacchati, kasmā? Sattānaṃ saṃsaraṇakālassa niyatabhāvato. Aparipakkaṃ saṃsaraṇanimittaṃ sīlādinā paripāceti nāma sīghaṃyeva visuddhippattiyā. Paripakkaṃ kammaṃ phussa phussa patvā patvā kālena paripakkabhāvānāpādanena byantiṃ karoti nāma.

    สุตฺตคุเฬติ สุตฺตวฎฺฎิยํฯ ‘‘นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลตี’’ติ อุปมาย สตฺตานํ สํสาโร อนุกฺกเมน ขียเตว, น ตสฺส วฑฺฒตีติ ทเสฺสติ ปริจฺฉินฺนรูปตฺตาฯ

    Suttaguḷeti suttavaṭṭiyaṃ. ‘‘Nibbeṭhiyamānameva paletī’’ti upamāya sattānaṃ saṃsāro anukkamena khīyateva, na tassa vaḍḍhatīti dasseti paricchinnarūpattā.

    อชิตเกสกมฺพลวาทวณฺณนา

    Ajitakesakambalavādavaṇṇanā

    ๑๗๑. ทินฺนนฺติ เทยฺยธมฺมสีเสน ทานํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ทินฺนสฺส ผลาภาวํ วทตี’’ติ, ทินฺนํ ปน อนฺนาทิวตฺถุํ กถํ ปฎิกฺขิปติฯ เอเสว นโย ยิฎฺฐํ หุตนฺติ เอตฺถาปิฯ มหายาโคติ สพฺพสาธารณํ มหาทานํฯ ปาหุนกสกฺกาโรติ ปาหุนภาเวน กาตพฺพสกฺกาโรฯ ผลนฺติ อานิสํสผลํ, นิสฺสนฺทผลญฺจฯ วิปาโกติ สทิสผลํฯ ปรโลเก ฐิตสฺส อยํ โลโก นตฺถีติ ปรโลเก ฐิตสฺส กมฺมุนา ลทฺธโพฺพ อยํ โลโก น โหติฯ อิธโลเก ฐิตสฺสาปิ ปรโลโก นตฺถีติ อิธโลเก ฐิตสฺส กมฺมุนา ลทฺธโพฺพ ปรโลโก น โหติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘สเพฺพ ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนฺตี’’ติฯ อิเม สตฺตา ยตฺถ ยตฺถ ภเว, โยนิอาทีสุ จ ฐิตา ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนฺติ นิรุทยวินาสวเสน วินสฺสนฺติฯ ผลาภาววเสนาติ มาตาปิตูสุ สมฺมาปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺตีนํ ผลสฺส อภาววเสน ‘‘นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา’’ติ วทติ, น มาตาปิตูนํ, นาปิ เตสุ อิทานิ กยิรมานสกฺการาสกฺการานํ อภาววเสน เตสํ โลกปจฺจกฺขตฺตาฯ ปุพฺพุฬกสฺส วิย อิเมสํ สตฺตานํ อุปฺปาโท นาม เกวโล, น จวิตฺวา อาคมนปุพฺพโกติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘จวิตฺวา อุปปชฺชนกสตฺตา นาม นตฺถีติ วทตี’’ติฯ สมเณน นาม ยาถาวโต ชานเนฺตน กสฺสจิ กิญฺจิ อกเถตฺวา สญฺญเตน ภวิตพฺพํ, อญฺญถา อาโหปุริสิกา นาม สิยาฯ กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติ? ตถา จ อตฺตโน สมฺปาทนสฺส กสฺสจิ อวสฺสโย เอว น สิยา ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชนโตติ อาห ‘‘เย อิมญฺจ…เป.… ปเวเทนฺตี’’ติฯ

    171.Dinnanti deyyadhammasīsena dānaṃ vuttanti āha ‘‘dinnassa phalābhāvaṃ vadatī’’ti, dinnaṃ pana annādivatthuṃ kathaṃ paṭikkhipati. Eseva nayo yiṭṭhaṃ hutanti etthāpi. Mahāyāgoti sabbasādhāraṇaṃ mahādānaṃ. Pāhunakasakkāroti pāhunabhāvena kātabbasakkāro. Phalanti ānisaṃsaphalaṃ, nissandaphalañca. Vipākoti sadisaphalaṃ. Paraloke ṭhitassa ayaṃ loko natthīti paraloke ṭhitassa kammunā laddhabbo ayaṃ loko na hoti. Idhaloke ṭhitassāpi paraloko natthīti idhaloke ṭhitassa kammunā laddhabbo paraloko na hoti. Tattha kāraṇamāha ‘‘sabbetattha tattheva ucchijjantī’’ti. Ime sattā yattha yattha bhave, yoniādīsu ca ṭhitā tattha tattheva ucchijjanti nirudayavināsavasena vinassanti. Phalābhāvavasenāti mātāpitūsu sammāpaṭipattimicchāpaṭipattīnaṃ phalassa abhāvavasena ‘‘natthi mātā, natthi pitā’’ti vadati, na mātāpitūnaṃ, nāpi tesu idāni kayiramānasakkārāsakkārānaṃ abhāvavasena tesaṃ lokapaccakkhattā. Pubbuḷakassa viya imesaṃ sattānaṃ uppādo nāma kevalo, na cavitvā āgamanapubbakoti dassanatthaṃ ‘‘natthi sattā opapātikā’’ti vuttanti āha ‘‘cavitvā upapajjanakasattā nāma natthīti vadatī’’ti. Samaṇena nāma yāthāvato jānantena kassaci kiñci akathetvā saññatena bhavitabbaṃ, aññathā āhopurisikā nāma siyā. Kiñhi paro parassa karissati? Tathā ca attano sampādanassa kassaci avassayo eva na siyā tattha tattheva ucchijjanatoti āha ‘‘ye imañca…pe… pavedentī’’ti.

    จตูสุ มหาภูเตสุ นิยุโตฺตติ จาตุมหาภูติโกฯ ยถา ปน มตฺติกาย นิพฺพตฺตํ ภาชนํ มตฺติกามยํ, เอวํ อยํ จตูหิ มหาภูเตหิ นิพฺพโตฺตติ อาห ‘‘จตุมหาภูตมโย’’ติฯ อชฺฌตฺติกปถวีธาตูติ สตฺตสนฺตานคตา ปถวีธาตุฯ พาหิรปถวีธาตุนฺติ พหิทฺธา มหาปถวิํฯ อุปคจฺฉตีติ พาหิรปถวิกายโต ตเทกเทสภูตา ปถวี อาคนฺตฺวา อชฺฌตฺติกภาวปฺปตฺติยา สตฺตภาเวน สณฺฐิตา อิทานิ ฆฎาทิคตปถวี วิย ตเมว พาหิรปถวิกายํ อุเปติ อุปคจฺฉติ สพฺพโส เตน นิพฺพิเสสตํ เอกีภาวเมว คจฺฉติฯ อาปาทีสุปิ เอเสว นโยติ เอตฺถ ปชฺชุเนฺนน มหาสมุทฺทโต คหิตอาโป วิย วโสฺสทกภาเวน ปุนปิ มหาสมุทฺทเมว, สูริยรสฺมิโต คหิตํ อินฺทคฺคิสงฺขาตเตโช วิย ปุน สูริยรสฺมิํ, มหาวายุขนฺธโต นิคฺคตมหาวาโต วิย ตเมว วายุขนฺธํ อุเปติ อุปคจฺฉตีติ ทิฎฺฐิคติกสฺส อธิปฺปาโยฯ มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิ อากาสํ ปกฺขนฺทนฺติ เตสํ วิสยาภาวาติ วทนฺติฯ วิสยิคหเณน หิ วิสยาปิ คหิตา เอว โหนฺตีติฯ คุณาคุณปทานีติ คุณโทสโกฎฺฐาสาฯ สรีรเมว ปทานีติ อธิเปฺปตํ สรีเรน ตํตํกิริยาย ปชฺชิตพฺพโตฯ ทพฺพนฺติ มุยฺหนฺตีติ ทตฺตู, มูฬฺหปุคฺคลาฯ เตหิ ทตฺตูหิ พาลมนุเสฺสหิฯ ‘‘ปรโลโก อตฺถี’’ติ มติ เยสํ, เต อตฺถิกา, เตสํ วาโทติ อตฺถิกวาโท, ตํ อตฺถิกวาทํฯ

    Catūsu mahābhūtesu niyuttoti cātumahābhūtiko. Yathā pana mattikāya nibbattaṃ bhājanaṃ mattikāmayaṃ, evaṃ ayaṃ catūhi mahābhūtehi nibbattoti āha ‘‘catumahābhūtamayo’’ti. Ajjhattikapathavīdhātūti sattasantānagatā pathavīdhātu. Bāhirapathavīdhātunti bahiddhā mahāpathaviṃ. Upagacchatīti bāhirapathavikāyato tadekadesabhūtā pathavī āgantvā ajjhattikabhāvappattiyā sattabhāvena saṇṭhitā idāni ghaṭādigatapathavī viya tameva bāhirapathavikāyaṃ upeti upagacchati sabbaso tena nibbisesataṃ ekībhāvameva gacchati. Āpādīsupi eseva nayoti ettha pajjunnena mahāsamuddato gahitaāpo viya vassodakabhāvena punapi mahāsamuddameva, sūriyarasmito gahitaṃ indaggisaṅkhātatejo viya puna sūriyarasmiṃ, mahāvāyukhandhato niggatamahāvāto viya tameva vāyukhandhaṃ upeti upagacchatīti diṭṭhigatikassa adhippāyo. Manacchaṭṭhāni indriyāni ākāsaṃ pakkhandanti tesaṃ visayābhāvāti vadanti. Visayigahaṇena hi visayāpi gahitā eva hontīti. Guṇāguṇapadānīti guṇadosakoṭṭhāsā. Sarīrameva padānīti adhippetaṃ sarīrena taṃtaṃkiriyāya pajjitabbato. Dabbanti muyhantīti dattū, mūḷhapuggalā. Tehi dattūhi bālamanussehi. ‘‘Paraloko atthī’’ti mati yesaṃ, te atthikā, tesaṃ vādoti atthikavādo, taṃ atthikavādaṃ.

    กมฺมํ ปฎิพาหติ อกิริยวาทิภาวโตฯ วิปากํ ปฎิพาหติ สเพฺพน สพฺพํ อายติํ อุปปตฺติยา ปฎิกฺขิปนโตฯ อุภยํ ปฎิพาหติ สพฺพโส เหตุปฎิพาหเนเนว ผลสฺสปิ ปฎิกฺขิตฺตตฺตาฯ อุภยนฺติ หิ กมฺมํ วิปากญฺจาติ อุภยํฯ โส หิ ‘‘อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, วิสุชฺฌนฺติ จา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘; ม. นิ. ๒.๑๐๐, ๒๒๗; สํ. นิ. ๓.๒๑๒) วทโนฺต กมฺมสฺส วิย วิปากสฺสาปิ สํกิเลสวิสุทฺธีนํ ปจฺจยตฺตาภาววจนโต ตทุภยํ ปฎิพาหติ นามฯ วิปาโก ปฎิพาหิโต โหติ อสติ กเมฺม วิปากาภาวโตฯ กมฺมํ ปฎิพาหิตํ โหติ อสติ วิปาเก กมฺมสฺส นิรตฺถกภาวาปตฺติโตฯ อตฺถโตติ สรูเปนฯ อุภยปฺปฎิพาหกาติ วิสุํ วิสุํ ตํตํทิฎฺฐิทีปกภาเวน ปาฬิยํ อาคตาปิ ปเจฺจกํ ติวิธทิฎฺฐิกา เอว อุภยปฎิพาหกตฺตาฯ อุภยปฺปฎิพาหกาติ หิ เหตุวจนํฯ ‘‘อเหตุกวาทา เจวา’’ติอาทิ ปฎิญฺญาวจนํฯ โย หิ วิปากปฎิพาหเนน นตฺถิกทิฎฺฐิโก อุเจฺฉทวาที, โส อตฺถโต กมฺมปฎิพาหเนน อกิริยทิฎฺฐิโก, อุภยปฎิพาหเนน อเหตุกทิฎฺฐิโก จ โหติฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ

    Kammaṃpaṭibāhati akiriyavādibhāvato. Vipākaṃ paṭibāhati sabbena sabbaṃ āyatiṃ upapattiyā paṭikkhipanato. Ubhayaṃ paṭibāhati sabbaso hetupaṭibāhaneneva phalassapi paṭikkhittattā. Ubhayanti hi kammaṃ vipākañcāti ubhayaṃ. So hi ‘‘ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti, visujjhanti cā’’ti (dī. ni. 1.168; ma. ni. 2.100, 227; saṃ. ni. 3.212) vadanto kammassa viya vipākassāpi saṃkilesavisuddhīnaṃ paccayattābhāvavacanato tadubhayaṃ paṭibāhati nāma. Vipāko paṭibāhito hoti asati kamme vipākābhāvato. Kammaṃ paṭibāhitaṃ hoti asati vipāke kammassa niratthakabhāvāpattito. Atthatoti sarūpena. Ubhayappaṭibāhakāti visuṃ visuṃ taṃtaṃdiṭṭhidīpakabhāvena pāḷiyaṃ āgatāpi paccekaṃ tividhadiṭṭhikā eva ubhayapaṭibāhakattā. Ubhayappaṭibāhakāti hi hetuvacanaṃ. ‘‘Ahetukavādā cevā’’tiādi paṭiññāvacanaṃ. Yo hi vipākapaṭibāhanena natthikadiṭṭhiko ucchedavādī, so atthato kammapaṭibāhanena akiriyadiṭṭhiko, ubhayapaṭibāhanena ahetukadiṭṭhiko ca hoti. Sesadvayepi eseva nayo.

    สชฺฌายนฺตีติ ตํ ทิฎฺฐิทีปกํ คนฺถํ อุคฺคเหตฺวา ปฐนฺติฯ วีมํสนฺตีติ ตสฺส อตฺถํ วิจาเรนฺติฯ ‘‘เตส’’นฺติอาทิ วีมํสนาการทสฺสนํฯ ตสฺมิํ อารมฺมเณติ ยถาปริกปฺปิตกมฺมผลาภาวาทิเก ‘‘กโรโต น กรียติ ปาป’’นฺติ อาทินยปฺปวตฺตาย ลทฺธิยา อารมฺมเณฯ มิจฺฉาสติ สนฺติฎฺฐตีติ ‘‘กโรโต น กรียติ ปาป’’นฺติอาทิวเสน อนุสฺสวูปลเทฺธ อเตฺถ ตทาการปริวิตกฺกเนหิ สวิคฺคเห วิย สรูปโต จิตฺตสฺส ปจฺจุปฎฺฐิเต จิรกาลปริจเยน เอวเมตนฺติ นิชฺฌานกฺขมภาวูปคมเนน นิชฺฌานกฺขนฺติยา ตถาคหิเต ปุนปฺปุนํ ตเถว อาเสวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส มิจฺฉาวิตเกฺกน สมาทิยมานา มิจฺฉาวายามูปตฺถมฺภิตา อตํสภาวํ ‘‘ตํสภาว’’นฺติ คณฺหนฺตี มิจฺฉาสตีติ ลทฺธนามา ตํลทฺธิสหคตา ตณฺหา สนฺติฎฺฐติฯ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหตีติ ยถาสกํ วิตกฺกาทิปจฺจยลาเภน ตสฺมิํ อารมฺมเณ อวฎฺฐิตตาย อเนกคฺคตํ ปหาย เอกคฺคํ อปฺปิตํ วิย โหติฯ จิตฺตสีเสน มิจฺฉาสมาธิ เอว วุโตฺตฯ โสปิ หิ ปจฺจยวิเสเสหิ ลทฺธภาวนาพโล อีทิเส ฐาเน สมาธานปติรูปกิจฺจกโรเยว, วาฬวิชฺฌนาทีสุ วิยาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ชวนานิ ชวนฺตีติ อเนกกฺขตฺตุํ เตนากาเรน ปุพฺพภาคิเยสุ ชวนวาเรสุ ปวเตฺตสุ สพฺพปจฺฉิเม ชวนวาเร สตฺต ชวนานิ ชวนฺติฯ ปฐเม ชวเน สเตกิจฺฉา โหนฺติฯ ตถา ทุติยาทีสูติ ธมฺมสภาวทสฺสนมตฺตเมตํ, น ปน ตสฺมิํ ขเณ เตสํ ติกิจฺฉา เกนจิ สกฺกา กาตุํฯ

    Sajjhāyantīti taṃ diṭṭhidīpakaṃ ganthaṃ uggahetvā paṭhanti. Vīmaṃsantīti tassa atthaṃ vicārenti. ‘‘Tesa’’ntiādi vīmaṃsanākāradassanaṃ. Tasmiṃ ārammaṇeti yathāparikappitakammaphalābhāvādike ‘‘karoto na karīyati pāpa’’nti ādinayappavattāya laddhiyā ārammaṇe. Micchāsati santiṭṭhatīti ‘‘karoto na karīyati pāpa’’ntiādivasena anussavūpaladdhe atthe tadākāraparivitakkanehi saviggahe viya sarūpato cittassa paccupaṭṭhite cirakālaparicayena evametanti nijjhānakkhamabhāvūpagamanena nijjhānakkhantiyā tathāgahite punappunaṃ tatheva āsevantassa bahulīkarontassa micchāvitakkena samādiyamānā micchāvāyāmūpatthambhitā ataṃsabhāvaṃ ‘‘taṃsabhāva’’nti gaṇhantī micchāsatīti laddhanāmā taṃladdhisahagatā taṇhā santiṭṭhati. Cittaṃ ekaggaṃ hotīti yathāsakaṃ vitakkādipaccayalābhena tasmiṃ ārammaṇe avaṭṭhitatāya anekaggataṃ pahāya ekaggaṃ appitaṃ viya hoti. Cittasīsena micchāsamādhi eva vutto. Sopi hi paccayavisesehi laddhabhāvanābalo īdise ṭhāne samādhānapatirūpakiccakaroyeva, vāḷavijjhanādīsu viyāti daṭṭhabbaṃ. Javanāni javantīti anekakkhattuṃ tenākārena pubbabhāgiyesu javanavāresu pavattesu sabbapacchime javanavāre satta javanāni javanti. Paṭhame javane satekicchā honti. Tathā dutiyādīsūti dhammasabhāvadassanamattametaṃ, na pana tasmiṃ khaṇe tesaṃ tikicchā kenaci sakkā kātuṃ.

    ตตฺถาติ เตสุ ตีสุ มิจฺฉาทสฺสเนสุฯ โกจิ เอกํ ทสฺสนํ โอกฺกมตีติ ยสฺส เอกสฺมิํเยว อภินิเวโส อาเสวนา จ ปวตฺตา, โส เอกเมว ทสฺสนํ โอกฺกมติฯ ยสฺส ปน ทฺวีสุ ตีสุปิ วา อภินิเวโส อาเสวนา จ ปวตฺตา, โส เทฺว ตีณิปิ โอกฺกมติ, เอเตน ยา ปุเพฺพ อุภยปฎิพาหกตามุเขน ทีปิตา อตฺถสิทฺธา สพฺพทิฎฺฐิกตา, สา ปุพฺพภาคิยาฯ ยา ปน มิจฺฉตฺตนิยาโมกฺกนฺติภูตา, สา ยถาสกํ ปจฺจยสมุทาคมสิทฺธิโต ภินฺนารมฺมณานํ วิย วิเสสาธิคมานํ เอกชฺฌํ อนุปฺปตฺติยา อสงฺกิณฺณา เอวาติ ทเสฺสติฯ ‘‘เอกสฺมิํ โอกฺกเนฺตปี’’ติอาทินา ติสฺสนฺนมฺปิ ทิฎฺฐีนํ สมานพลตํ สมานผลตญฺจ ทเสฺสติฯ ตสฺมา ติโสฺสปิ เจตา เอกสฺส อุปฺปนฺนา อโพฺพกิณฺณา เอว, เอกาย วิปาเก ทิเนฺน อิตรา อนุพลปฺปทายิกาโย โหนฺติฯ ‘‘วฎฺฎขาณุ นาเมสา’’ติ อิทํ วจนํ เนยฺยตฺถํ, น นีตตฺถํฯ ตถา หิ ปปญฺจสูทนิยํ ‘‘กิํ ปเนส เอกสฺมิํเยว อตฺตภาเว นิยโต โหติ, อุทาหุ อญฺญสฺมิํ ปีติ? เอกสฺมิํเยว นิยโต, อาเสวนวเสน ปน ภวนฺตเรปิ ตํ ตํ ทิฎฺฐิํ โรเจติ เยวา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๒๙) วุตฺตํฯ อกุสลญฺหิ นาเมตํ อพลํ ทุพฺพลํ, น กุสลํ วิย สพลํ มหาพลํฯ ตสฺมา ‘‘เอกสฺมิํเยว อตฺตภาเว นิยโต’’ติ วุตฺตํฯ อญฺญถา สมฺมตฺตนิยาโม วิย มิจฺฉตฺตนิยาโมปิ อจฺจนฺติโก สิยา, น จ อจฺจนฺติโกฯ ยทิ เอวํ วฎฺฎขาณุโชตนา กถนฺติ อาห ‘‘อาเสวนวเสน ปนา’’ติอาทิฯ ตสฺมา ยถา ‘‘สกิํ นิมุโคฺคปิ นิมุโคฺค เอว พาโล’’ติ วุตฺตํ, เอวํ วฎฺฎขาณุโชตนาฯ ยาทิเส หิ ปจฺจเย ปฎิจฺจ อยํ ตํ ตํ ทสฺสนํ โอกฺกโนฺต ปุน กทาจิ ตปฺปฎิปเกฺข ปจฺจเย ปฎิจฺจ ตโต สีสุกฺขิปนมสฺส น โหตีติ น วตฺตพฺพํ, ตสฺมา ‘‘เยภุเยฺยน หิ เอวรูปสฺส ภวโต วุฎฺฐานํ นาม นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ

    Tatthāti tesu tīsu micchādassanesu. Koci ekaṃ dassanaṃ okkamatīti yassa ekasmiṃyeva abhiniveso āsevanā ca pavattā, so ekameva dassanaṃ okkamati. Yassa pana dvīsu tīsupi vā abhiniveso āsevanā ca pavattā, so dve tīṇipi okkamati, etena yā pubbe ubhayapaṭibāhakatāmukhena dīpitā atthasiddhā sabbadiṭṭhikatā, sā pubbabhāgiyā. Yā pana micchattaniyāmokkantibhūtā, sā yathāsakaṃ paccayasamudāgamasiddhito bhinnārammaṇānaṃ viya visesādhigamānaṃ ekajjhaṃ anuppattiyā asaṅkiṇṇā evāti dasseti. ‘‘Ekasmiṃ okkantepī’’tiādinā tissannampi diṭṭhīnaṃ samānabalataṃ samānaphalatañca dasseti. Tasmā tissopi cetā ekassa uppannā abbokiṇṇā eva, ekāya vipāke dinne itarā anubalappadāyikāyo honti. ‘‘Vaṭṭakhāṇu nāmesā’’ti idaṃ vacanaṃ neyyatthaṃ, na nītatthaṃ. Tathā hi papañcasūdaniyaṃ ‘‘kiṃ panesa ekasmiṃyeva attabhāve niyato hoti, udāhu aññasmiṃ pīti? Ekasmiṃyeva niyato, āsevanavasena pana bhavantarepi taṃ taṃ diṭṭhiṃ roceti yevā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 3.129) vuttaṃ. Akusalañhi nāmetaṃ abalaṃ dubbalaṃ, na kusalaṃ viya sabalaṃ mahābalaṃ. Tasmā ‘‘ekasmiṃyeva attabhāve niyato’’ti vuttaṃ. Aññathā sammattaniyāmo viya micchattaniyāmopi accantiko siyā, na ca accantiko. Yadi evaṃ vaṭṭakhāṇujotanā kathanti āha ‘‘āsevanavasena panā’’tiādi. Tasmā yathā ‘‘sakiṃ nimuggopi nimuggo eva bālo’’ti vuttaṃ, evaṃ vaṭṭakhāṇujotanā. Yādise hi paccaye paṭicca ayaṃ taṃ taṃ dassanaṃ okkanto puna kadāci tappaṭipakkhe paccaye paṭicca tato sīsukkhipanamassa na hotīti na vattabbaṃ, tasmā ‘‘yebhuyyena hi evarūpassa bhavato vuṭṭhānaṃ nāma natthī’’ti vuttaṃ.

    ตสฺมาติ ยสฺมา เอวํ สํสารขาณุภาวสฺสปิ ปจฺจโย อปณฺณกชาโต, ตสฺมาฯ ภูติกาโมติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถานํ วเสน อตฺตโน คุเณหิ วฑฺฒิกาโมฯ

    Tasmāti yasmā evaṃ saṃsārakhāṇubhāvassapi paccayo apaṇṇakajāto, tasmā. Bhūtikāmoti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthānaṃ vasena attano guṇehi vaḍḍhikāmo.

    ปกุธกจฺจายนวาทวณฺณนา

    Pakudhakaccāyanavādavaṇṇanā

    ๑๗๔. อกตาติ สเมน วิสเมน วา เกนจิ เหตุนา น กตา น วิหิตาฯ กตวิโธ กรณวิธิ นตฺถิ เอเตสนฺติ อกตวิธานา ฯ ปททฺวเยนาปิ โลเก เกนจิ เหตุปจฺจเยน เนสํ อนิพฺพตฺตนภาวํ ทเสฺสติฯ อิทฺธิยาปิ น นิมฺมิตาติ กสฺสจิ อิทฺธิมโต เจโตวสิปฺปตฺตสฺส เทวสฺส , อิสฺสราทิโน วา อิทฺธิยาปิ น นิมฺมิตาฯ อนิมฺมาปิตา กสฺสจิ อนิมฺมาปิตาฯ วุตฺตตฺถเมวาติ พฺรหฺมชาลวณฺณนายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐) วุตฺตตฺถเมวฯ วญฺฌาติ วญฺฌปสุวญฺฌตาลาทโย วิย อผลา, กสฺสจิ อชนกาติ อโตฺถ, เอเตน ปถวิกายาทีนํ รูปาทิชนกภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ รูปสทฺทาทโย หิ ปถวิกายาทีหิ อปฺปฎิพทฺธวุตฺติกาติ ตสฺส ลทฺธิฯ ปพฺพตกูฎํ วิย ฐิตาติ กูฎฎฺฐา, ยถา ปพฺพตกูฎํ เกนจิ อนิพฺพตฺติตํ, กสฺสจิ จ อนิพฺพตฺตกํ, เอวเมเต ปีติ อธิปฺปาโยฯ ยมิทํ ‘‘พีชโต องฺกุราทิ ชายตี’’ติ วุจฺจติ, ตํ วิชฺชมานเมว ตโต นิกฺขมติ, น อวิชฺชมานํ, อญฺญถา อญฺญโตปิ อญฺญสฺส อุปลทฺธิ สิยาติ อธิปฺปาโยฯ ฐิตตฺตาติ นิพฺพิการาภาเวน ฐิตตฺตาฯ น จลนฺตีติ วิการํ นาปชฺชนฺติฯ วิการาภาวโต หิ เตสํ สตฺตนฺนํ กายานํ เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตตาฯ อนิญฺชนญฺจ อตฺตโน ปกติยา อวฎฺฐานเมวฯ เตนาห ‘‘น วิปริณมนฺตี’’ติฯ อวิปริณามธมฺมตฺตา เอว หิ เต อญฺญมญฺญํ น พฺยาพาเธนฺติฯ สติ หิ วิการํ อาปาเทตพฺพตาย พฺยาพาธกตาปิ สิยา, ตถา อนุคฺคเหตพฺพตาย อนุคฺคาหกตาติ ตทภาวํ ทเสฺสตุํ ปาฬิยํ นาลนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปถวี เอว กาเยกเทสตฺตา ปถวิกาโยฯ ชีวสตฺตมานํ กายานํ นิจฺจตาย นิพฺพิการภาวโต น หนฺตพฺพตา, น ฆาเตตพฺพตา จาติ เนว โกจิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา, เตเนวาห ‘‘สตฺตนฺนํ เตฺวว กายาน’’นฺติอาทิฯ ยทิ โกจิ หนฺตา นตฺถิ, กถํ สตฺถปฺปหาโรติ อาห ‘‘ยถา มุคฺคราสิ อาทีสู’’ติอาทิฯ เกวลํ สญฺญามตฺตเมว โหติฯ หนนฆาตนาทิ ปน ปรมตฺถโต นเตฺถว กายานํ อวิโกปนียภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    174.Akatāti samena visamena vā kenaci hetunā na katā na vihitā. Katavidho karaṇavidhi natthi etesanti akatavidhānā. Padadvayenāpi loke kenaci hetupaccayena nesaṃ anibbattanabhāvaṃ dasseti. Iddhiyāpi na nimmitāti kassaci iddhimato cetovasippattassa devassa , issarādino vā iddhiyāpi na nimmitā. Animmāpitā kassaci animmāpitā. Vuttatthamevāti brahmajālavaṇṇanāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.30) vuttatthameva. Vañjhāti vañjhapasuvañjhatālādayo viya aphalā, kassaci ajanakāti attho, etena pathavikāyādīnaṃ rūpādijanakabhāvaṃ paṭikkhipati. Rūpasaddādayo hi pathavikāyādīhi appaṭibaddhavuttikāti tassa laddhi. Pabbatakūṭaṃ viya ṭhitāti kūṭaṭṭhā, yathā pabbatakūṭaṃ kenaci anibbattitaṃ, kassaci ca anibbattakaṃ, evamete pīti adhippāyo. Yamidaṃ ‘‘bījato aṅkurādi jāyatī’’ti vuccati, taṃ vijjamānameva tato nikkhamati, na avijjamānaṃ, aññathā aññatopi aññassa upaladdhi siyāti adhippāyo. Ṭhitattāti nibbikārābhāvena ṭhitattā. Na calantīti vikāraṃ nāpajjanti. Vikārābhāvato hi tesaṃ sattannaṃ kāyānaṃ esikaṭṭhāyiṭṭhitatā. Aniñjanañca attano pakatiyā avaṭṭhānameva. Tenāha ‘‘na vipariṇamantī’’ti. Avipariṇāmadhammattā eva hi te aññamaññaṃ na byābādhenti. Sati hi vikāraṃ āpādetabbatāya byābādhakatāpi siyā, tathā anuggahetabbatāya anuggāhakatāti tadabhāvaṃ dassetuṃ pāḷiyaṃ nālantiādi vuttaṃ. Pathavī eva kāyekadesattā pathavikāyo. Jīvasattamānaṃ kāyānaṃ niccatāya nibbikārabhāvato na hantabbatā, na ghātetabbatā cāti neva koci hantā vā ghātetā vā, tenevāha ‘‘sattannaṃ tveva kāyāna’’ntiādi. Yadi koci hantā natthi, kathaṃ satthappahāroti āha ‘‘yathā muggarāsi ādīsū’’tiādi. Kevalaṃ saññāmattameva hoti. Hananaghātanādi pana paramatthato nattheva kāyānaṃ avikopanīyabhāvatoti adhippāyo.

    นิคณฺฐนาฎปุตฺตวาทวณฺณนา

    Nigaṇṭhanāṭaputtavādavaṇṇanā

    ๑๗๗. จตฺตาโร ยามา ภาคา จตุยามา, จตุยามา เอว จาตุยามา, ภาคโตฺถ หิ อิธ ยาม-สโทฺท ยถา ‘‘รตฺติยา ปฐโม ยาโม’’ติ ฯ โส ปเนตฺถ ภาโค สํวรลกฺขโณติ อาห ‘‘จาตุยามสํวุโตติ จตุโกฎฺฐาเสน สํวเรน สํวุโต’’ติฯ ปฎิกฺขิตฺตสพฺพสีโตทโกติ ปฎิกฺขิตฺตสพฺพสีโตทกปริโภโคฯ สเพฺพน ปาปวารเณน ยุโตฺตติ สพฺพปฺปกาเรน สํวรลกฺขเณน สมนฺนาคโตฯ ธุตปาโปติ สเพฺพน นิชฺชรลกฺขเณน ปาปวารเณน วิธุตปาโปฯ ผุโฎฺฐติ อฎฺฐนฺนมฺปิ กมฺมานํ เขปเนน โมกฺขปฺปตฺติยา กมฺมกฺขยลกฺขเณน สเพฺพน ปาปวารเณน ผุโฎฺฐ ตํ ปตฺวา ฐิโตฯ โกฎิปฺปตฺตจิโตฺตติ โมกฺขาธิคเมเนว อุตฺตมมริยาทปฺปตฺตจิโตฺตฯ ยตโตฺตติ กายาทีสุ อินฺทฺริเยสุ สํยเมตพฺพสฺส อภาวโต สํยตจิโตฺตฯ สุปฺปติฎฺฐิตจิโตฺตติ นิเสฺสสโต สุฎฺฐุ ปติฎฺฐิตจิโตฺตฯ สาสนานุโลมํ นาม ปาปวารเณน ยุตฺตตาฯ เตนาห ‘‘ธุตปาโป’’ติอาทิฯ อสุทฺธลทฺธิตายาติ ‘‘อตฺถิ ชีโว, โส จ สิยา นิโจฺจ, สิยา อนิโจฺจ’’ติ เอวมาทิอสุทฺธลทฺธิตาย ฯ สพฺพาติ กมฺมปกติวิภาคาทิวิสยา สพฺพา นิชฺฌานกฺขนฺติโยฯ ทิฎฺฐิเย วาติ มิจฺฉาทิฎฺฐิโย เอว ชาตาฯ

    177. Cattāro yāmā bhāgā catuyāmā, catuyāmā eva cātuyāmā, bhāgattho hi idha yāma-saddo yathā ‘‘rattiyā paṭhamo yāmo’’ti . So panettha bhāgo saṃvaralakkhaṇoti āha ‘‘cātuyāmasaṃvutoti catukoṭṭhāsena saṃvarena saṃvuto’’ti. Paṭikkhittasabbasītodakoti paṭikkhittasabbasītodakaparibhogo. Sabbena pāpavāraṇena yuttoti sabbappakārena saṃvaralakkhaṇena samannāgato. Dhutapāpoti sabbena nijjaralakkhaṇena pāpavāraṇena vidhutapāpo. Phuṭṭhoti aṭṭhannampi kammānaṃ khepanena mokkhappattiyā kammakkhayalakkhaṇena sabbena pāpavāraṇena phuṭṭho taṃ patvā ṭhito. Koṭippattacittoti mokkhādhigameneva uttamamariyādappattacitto. Yatattoti kāyādīsu indriyesu saṃyametabbassa abhāvato saṃyatacitto. Suppatiṭṭhitacittoti nissesato suṭṭhu patiṭṭhitacitto. Sāsanānulomaṃ nāma pāpavāraṇena yuttatā. Tenāha ‘‘dhutapāpo’’tiādi. Asuddhaladdhitāyāti ‘‘atthi jīvo, so ca siyā nicco, siyā anicco’’ti evamādiasuddhaladdhitāya . Sabbāti kammapakativibhāgādivisayā sabbā nijjhānakkhantiyo. Diṭṭhiye vāti micchādiṭṭhiyo eva jātā.

    สญฺจยเพลฎฺฐปุตฺตวาทวณฺณนา

    Sañcayabelaṭṭhaputtavādavaṇṇanā

    ๑๗๙-๑๘๑. อมราวิเกฺขเป วุตฺตนโย เอวาติ พฺรหฺมชาเล อมราวิเกฺขปวาทสํวณฺณนายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๑-๖๓) วุตฺตนโย เอว วิเกฺขปพฺยากรณภาวโต, ตเถว เจตฺถ วิเกฺขปวาทสฺส อาคตตฺตาฯ

    179-181.Amarāvikkhepevuttanayo evāti brahmajāle amarāvikkhepavādasaṃvaṇṇanāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.61-63) vuttanayo eva vikkhepabyākaraṇabhāvato, tatheva cettha vikkhepavādassa āgatattā.

    ปฐมสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลวณฺณนา

    Paṭhamasandiṭṭhikasāmaññaphalavaṇṇanā

    ๑๘๓. ยถา เต รุเจฺจยฺยาติ อิทานิ มยา ปุจฺฉิยมาโน อโตฺถ ยถา ตว จิเตฺต โรเจยฺยฯ ฆรทาสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ชาโต อโนฺตชาโตฯ ธเนน กีโต ธนกฺกีโตฯ พนฺธคฺคาหคหิโต กรมรานีโตฯ สามนฺติ สยเมวฯ ทาสพฺยนฺติ ทาสภาวํฯ โกจิ ทาโสปิ สมาโน อลโส กมฺมํ อกโรโนฺต ‘‘กมฺมกาโร’’ติ น วุจฺจตีติ อาห ‘‘อนลโส กมฺมกรณสีโลเยวา’’ติฯ ปฐมเมวาติ อาสนฺนตรฎฺฐานูปสงฺกมนโต ปเคว ปุเรตรเมวฯ ปจฺฉาติ สามิกสฺส นิปชฺชาย ปจฺฉาฯ สยนโต อวุฎฺฐิเตติ รตฺติยา วิภายนเวลาย เสยฺยโต อวุฎฺฐิเตฯ ปจฺจูสกาลโต ปฎฺฐายาติ อตีตาย รตฺติยา ปจฺจูสกาลโต ปฎฺฐายฯ ยาว สามิโน รตฺติํ นิโทฺทกฺกมนนฺติ อปราย ปโทสเวลายํ ยาว นิโทฺทกฺกมนํฯ กิํ การนฺติ กิํ กรณียํ, กิํการภาวโต ปุจฺฉิตฺวา กาตพฺพเวยฺยาวจฺจนฺติ อโตฺถฯ

    183.Yathā te rucceyyāti idāni mayā pucchiyamāno attho yathā tava citte roceyya. Gharadāsiyā kucchismiṃ jāto antojāto. Dhanena kīto dhanakkīto. Bandhaggāhagahito karamarānīto. Sāmanti sayameva. Dāsabyanti dāsabhāvaṃ. Koci dāsopi samāno alaso kammaṃ akaronto ‘‘kammakāro’’ti na vuccatīti āha ‘‘analaso kammakaraṇasīloyevā’’ti. Paṭhamamevāti āsannataraṭṭhānūpasaṅkamanato pageva puretarameva. Pacchāti sāmikassa nipajjāya pacchā. Sayanato avuṭṭhiteti rattiyā vibhāyanavelāya seyyato avuṭṭhite. Paccūsakālato paṭṭhāyāti atītāya rattiyā paccūsakālato paṭṭhāya. Yāva sāmino rattiṃ niddokkamananti aparāya padosavelāyaṃ yāva niddokkamanaṃ. Kiṃ kāranti kiṃ karaṇīyaṃ, kiṃkārabhāvato pucchitvā kātabbaveyyāvaccanti attho.

    เทโว วิยาติ อาธิปจฺจปริวาราทิสมฺปตฺติสมนฺนาคโต ปธานเทโว วิยฯ โส วตสฺสาหนฺติ โส วต อสฺสํ อหํฯ โส ราชา วิย อหมฺปิ ภเวยฺยํ, กถํ ปุญฺญานิ กเรยฺยํ, ยทิ ปุญฺญานิ อุฬารานิ กเรยฺยนฺติ โยชนาฯ ‘‘โส วตสฺส’สฺส’’นฺติ ปาเฐ โส ราชา อสฺส อหํ อสฺสํ วต, ยทิ ปุญฺญานิ กเรยฺยนฺติ โยชนาฯ เตนาห ‘‘อยเมวโตฺถ’’ติฯ อสฺสนฺติ อุตฺตมปุริสปฺปโยเค อหํ-สโทฺท อปฺปยุโตฺตปิ ปยุโตฺต เอว โหติฯ ยาวชีวํ น สกฺขิสฺสามิ ทาตุนฺติ ยาวชีวํ ทานตฺถาย อุสฺสาหํ กโรโนฺตปิ ยํ ราชา เอกํ ทิวสํ เทติ , ตโต สตภาคมฺปิ ทาตุํ น สกฺขิสฺสามิฯ ตสฺมา ปพฺพชิสฺสามีติ ปพฺพชฺชายํ อุสฺสาหํ กตฺวาติ โยชนาฯ

    Devo viyāti ādhipaccaparivārādisampattisamannāgato padhānadevo viya. So vatassāhanti so vata assaṃ ahaṃ. So rājā viya ahampi bhaveyyaṃ, kathaṃ puññāni kareyyaṃ, yadi puññāni uḷārāni kareyyanti yojanā. ‘‘So vatassa’ssa’’nti pāṭhe so rājā assa ahaṃ assaṃ vata, yadi puññāni kareyyanti yojanā. Tenāha ‘‘ayamevattho’’ti. Assanti uttamapurisappayoge ahaṃ-saddo appayuttopi payutto eva hoti. Yāvajīvaṃ na sakkhissāmi dātunti yāvajīvaṃ dānatthāya ussāhaṃ karontopi yaṃ rājā ekaṃ divasaṃ deti , tato satabhāgampi dātuṃ na sakkhissāmi. Tasmā pabbajissāmīti pabbajjāyaṃ ussāhaṃ katvāti yojanā.

    กาเยน สํวุโตติ กาเยน สํวริตพฺพํ กายทฺวาเรน ปวตฺตนกํ ปาปธมฺมํ สํวริตฺวา วิหเรยฺยาติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘กาเยน ปิหิโต หุตฺวา’’ติอาทิฯ ฆาสจฺฉาทเนน ปรมตายาติ ฆาสจฺฉาทนปริเยสเน สเลฺลขวเสน ปรมตาย, อุกฺกฎฺฐภาเว สณฺฐิโต ฆาสจฺฉาทนเมว วา ปรมํ ปรา โกฎิ เอตสฺส, น ตโต ปรํ กิญฺจิ อามิสชาตํ ปริเยสติ ปจฺจาสิสติ จาติ ฆาสจฺฉาทนปรโม, ตพฺภาโว ฆาสจฺฉาทนปรมตา, ตสฺสา ฆาสจฺฉาทนปรมตายฯ วิเวกฎฺฐกายานนฺติ คณสงฺคณิกโต ปวิวิเตฺต ฐิตกายานํฯ เนกฺขมฺมาภิรตานนฺติ ฌานาภิรตานํฯ ตาย เอว ฌานาภิรติยา ปรมํ อุตฺตมํ โวทานํ วิสุทฺธิํ ปตฺตตาย ปรมโวทานปฺปตฺตานํฯ กิเลสูปธิอภิสงฺขารูปธีนํ อจฺจนฺตวิคเมน นิรุปธีนํฯ วิสงฺขารคตานนฺติ อธิคตนิพฺพานานํฯ เอตฺถ จ ปฐโม วิเวโก อิตเรหิ ทฺวีหิ วิเวเกหิ สหาปิ ปตฺตโพฺพ วินาปิ, ตถา ทุติโยฯ ตติโย ปน อิตเรหิ ทฺวีหิ สเหว ปตฺตโพฺพ, น วินาติ ทฎฺฐพฺพํฯ คเณ ชนสมาคเม สนฺนิปตนํ คณสงฺคณิกา, ตํ ปหาย เอโก วิหรติ จรติ ปุคฺคลวเสน อสหายตฺตาฯ จิเตฺต กิเลสานํ สนฺนิปตนํ จิตฺตกิเลสสงฺคณิกา, ตํ ปหาย เอโก วิหรติ กิเลสวเสน อสหายตฺตาฯ มคฺคสฺส เอกจิตฺตกฺขณิกตฺตา, โคตฺรภุอาทีนญฺจ อารมฺมณมตฺตตฺตา น เตสํ วเสน สาติสยา นิพฺพุติสุขสมฺผุสนา, ผลสมาปตฺตินิโรธสมาปตฺติวเสน สาติสยาติ อาห ‘‘ผลสมาปตฺติํ วา นิโรธสมาปตฺติํ วา ปวิสิตฺวา’’ติฯ ผลปริโยสาโน หิ นิโรโธติฯ

    Kāyenasaṃvutoti kāyena saṃvaritabbaṃ kāyadvārena pavattanakaṃ pāpadhammaṃ saṃvaritvā vihareyyāti ayamettha atthoti āha ‘‘kāyena pihito hutvā’’tiādi. Ghāsacchādanena paramatāyāti ghāsacchādanapariyesane sallekhavasena paramatāya, ukkaṭṭhabhāve saṇṭhito ghāsacchādanameva vā paramaṃ parā koṭi etassa, na tato paraṃ kiñci āmisajātaṃ pariyesati paccāsisati cāti ghāsacchādanaparamo, tabbhāvo ghāsacchādanaparamatā, tassā ghāsacchādanaparamatāya. Vivekaṭṭhakāyānanti gaṇasaṅgaṇikato pavivitte ṭhitakāyānaṃ. Nekkhammābhiratānanti jhānābhiratānaṃ. Tāya eva jhānābhiratiyā paramaṃ uttamaṃ vodānaṃ visuddhiṃ pattatāya paramavodānappattānaṃ. Kilesūpadhiabhisaṅkhārūpadhīnaṃ accantavigamena nirupadhīnaṃ. Visaṅkhāragatānanti adhigatanibbānānaṃ. Ettha ca paṭhamo viveko itarehi dvīhi vivekehi sahāpi pattabbo vināpi, tathā dutiyo. Tatiyo pana itarehi dvīhi saheva pattabbo, na vināti daṭṭhabbaṃ. Gaṇe janasamāgame sannipatanaṃ gaṇasaṅgaṇikā, taṃ pahāya eko viharati carati puggalavasena asahāyattā. Citte kilesānaṃ sannipatanaṃ cittakilesasaṅgaṇikā, taṃ pahāya eko viharati kilesavasena asahāyattā. Maggassa ekacittakkhaṇikattā, gotrabhuādīnañca ārammaṇamattattā na tesaṃ vasena sātisayā nibbutisukhasamphusanā, phalasamāpattinirodhasamāpattivasena sātisayāti āha ‘‘phalasamāpattiṃ vā nirodhasamāpattiṃ vā pavisitvā’’ti. Phalapariyosāno hi nirodhoti.

    ๑๘๔. อภิหริตฺวาติ อภิมุขีภาเวน เนตฺวาฯ ‘‘อหํ จีวราทีหิ ปโยชนํ สาเธสฺสามี’’ติ วจนเสโสฯ สปฺปายนฺติ สพฺพเคลญฺญปหรณวเสน อุปการาวหํฯ ภาวินา อนตฺถโต ปริปาลนวเสน โคปนา รกฺขาคุตฺติฯ ปจฺจุปฺปนฺนสฺส นิเสธวเสน อาวรณคุตฺติฯ

    184.Abhiharitvāti abhimukhībhāvena netvā. ‘‘Ahaṃ cīvarādīhi payojanaṃ sādhessāmī’’ti vacanaseso. Sappāyanti sabbagelaññapaharaṇavasena upakārāvahaṃ. Bhāvinā anatthato paripālanavasena gopanā rakkhāgutti. Paccuppannassa nisedhavasena āvaraṇagutti.

    ทุติยสนฺทิฎฺฐิกสามญฺญผลวณฺณนา

    Dutiyasandiṭṭhikasāmaññaphalavaṇṇanā

    ๑๘๖. กสตีติ กสิํ กโรติฯ คหปติโกติ เอตฺถ ก-สโทฺท อปฺปโตฺถติ อาห ‘‘เอกเคหมเตฺต เชฎฺฐโก’’ติ, เตน อเนกกุลเชฎฺฐกภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ กรํ กโรตีติ กรํ สมฺปาเทติฯ วเฑฺฒตีติ อุปรูปริ สมฺปาทเนน วเฑฺฒติฯ เอวํ อปฺปมฺปิ ปหาย ปพฺพชิตุํ ทุกฺกรนฺติ อยมโตฺถ ลฎุกิโกปมสุเตฺตน (ม. นิ. ๒.๑๕๑, ๑๕๒) ทีเปตโพฺพฯ เตนาห ‘‘เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส ทลิโทฺท อสฺสโก อนาฬฺหิโย, ตสฺสสฺส เอกํ อคารกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ กากาติทายิํ นปรมรูป’’นฺติ วิตฺถาโรฯ ยทิ อปฺปมฺปิ โภคํ ปหาย ปพฺพชิตุํ ทุกฺกรํ, กสฺมา ทาสวาเร โภคคฺคหณํ น กตนฺติ อาห ‘‘ทาสวาเร ปนา’’ติอาทิฯ ยถา จ ทาสสฺส โภคาปิ อโภคา ปรายตฺตภาวโต, เอวํ ญาตโย ปีติ ทาสวาเร ญาติปริวฎฺฎคฺคหณมฺปิ น กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    186.Kasatīti kasiṃ karoti. Gahapatikoti ettha ka-saddo appatthoti āha ‘‘ekagehamatte jeṭṭhako’’ti, tena anekakulajeṭṭhakabhāvaṃ paṭikkhipati. Karaṃ karotīti karaṃ sampādeti. Vaḍḍhetīti uparūpari sampādanena vaḍḍheti. Evaṃ appampi pahāya pabbajituṃ dukkaranti ayamattho laṭukikopamasuttena (ma. ni. 2.151, 152) dīpetabbo. Tenāha ‘‘seyyathāpi, udāyi, puriso daliddo assako anāḷhiyo, tassassa ekaṃ agārakaṃ oluggaviluggaṃ kākātidāyiṃ naparamarūpa’’nti vitthāro. Yadi appampi bhogaṃ pahāya pabbajituṃ dukkaraṃ, kasmā dāsavāre bhogaggahaṇaṃ na katanti āha ‘‘dāsavāre panā’’tiādi. Yathā ca dāsassa bhogāpi abhogā parāyattabhāvato, evaṃ ñātayo pīti dāsavāre ñātiparivaṭṭaggahaṇampi na katanti daṭṭhabbaṃ.

    ปณีตตรสามญฺญผลวณฺณนา

    Paṇītatarasāmaññaphalavaṇṇanā

    ๑๘๙. เอวรูปาหีติ ยถาวุตฺตทาสกสฺสกูปมาสทิสาหิ อุปมาหิ สามญฺญผลํ ทีเปตุํ ปโหติ ภควา สกลมฺปิ รตฺตินฺทิวํ ตโต ภิโยฺยปิ อนนฺตปฎิภานตาย วิจิตฺตนยเทสนภาวโตฯ ตถาปีติ สติปิ เทสนาย อุตฺตรุตฺตราธิกนานานยวิจิตฺตภาเวฯ

    189.Evarūpāhīti yathāvuttadāsakassakūpamāsadisāhi upamāhi sāmaññaphalaṃ dīpetuṃ pahoti bhagavā sakalampi rattindivaṃ tato bhiyyopi anantapaṭibhānatāya vicittanayadesanabhāvato. Tathāpīti satipi desanāya uttaruttarādhikanānānayavicittabhāve.

    เอกตฺถเมตํ ปทํ สาธุสทฺทเสฺสว ก-กาเรน วฑฺฒิตฺวา วุตฺตตฺตา, เตเนว สาธุก-สทฺทสฺส อตฺถํ วทเนฺตน อตฺถุทฺธารวเสน สาธุ-สโทฺท อุทาหโฎฯ อายาจเนติ อภิมุขยาจเน, อภิปตฺถนายนฺติ อโตฺถ ฯ สมฺปฎิจฺฉเนติ ปฎิคฺคณฺหเน ฯ สมฺปหํสเนติ สํวิชฺชมานคุณวเสน หํสเน โตสเน, อุทคฺคตากรเณติ อโตฺถฯ ธมฺมรุจีติ ปุญฺญกาโมฯ ปญฺญาณวาติ ปญฺญวาฯ อทฺทุโพฺภติ อทูสโก, อนุปฆาตโกติ อโตฺถฯ อิธาปีติ อิมสฺมิํ สามญฺญผเลปิฯ อยํ สาธุ-สโทฺทฯ ทฬฺหีกเมฺมติ สกฺกจฺจ กิริยายํฯ อาณตฺติยนฺติ อาณาปเนฯ ‘‘สุโณหิ สาธุกํ มนสิ กโรหี’’ติ หิ วุเตฺต สาธุก-สเทฺทน สวนมนสิการานํ สกฺกจฺจกิริยา วิย ตทาณาปนมฺปิ โชติตํ โหติ, อายาจนตฺถตา วิย จสฺส อาณาปนตฺถตา เวทิตพฺพาฯ สุนฺทเรปีติ สุนฺทรเตฺถปิฯ อิทานิ ยถาวุเตฺตน สาธุก-สทฺทสฺส อตฺถตฺตเยน ปกาสิตํ วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทฬฺหีกมฺมเตฺถน หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Ekatthametaṃ padaṃ sādhusaddasseva ka-kārena vaḍḍhitvā vuttattā, teneva sādhuka-saddassa atthaṃ vadantena atthuddhāravasena sādhu-saddo udāhaṭo. Āyācaneti abhimukhayācane, abhipatthanāyanti attho . Sampaṭicchaneti paṭiggaṇhane . Sampahaṃsaneti saṃvijjamānaguṇavasena haṃsane tosane, udaggatākaraṇeti attho. Dhammarucīti puññakāmo. Paññāṇavāti paññavā. Addubbhoti adūsako, anupaghātakoti attho. Idhāpīti imasmiṃ sāmaññaphalepi. Ayaṃ sādhu-saddo. Daḷhīkammeti sakkacca kiriyāyaṃ. Āṇattiyanti āṇāpane. ‘‘Suṇohi sādhukaṃ manasi karohī’’ti hi vutte sādhuka-saddena savanamanasikārānaṃ sakkaccakiriyā viya tadāṇāpanampi jotitaṃ hoti, āyācanatthatā viya cassa āṇāpanatthatā veditabbā. Sundarepīti sundaratthepi. Idāni yathāvuttena sādhuka-saddassa atthattayena pakāsitaṃ visesaṃ dassetuṃ ‘‘daḷhīkammatthena hī’’tiādi vuttaṃ.

    มนสิ กโรหีติ เอตฺถ มนสิกาโร น อารมฺมณปฎิปาทนลกฺขโณ, อถ โข วีถิปฎิปาทนชวนปฎิปาทนมนสิการปุพฺพกํ จิเตฺต ฐปนลกฺขโณติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อาวชฺชา’’ติอาทิมาหฯ โสตินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํ สวเน นิโยชนวเสน กิริยนฺตรปฎิเสธนภาวโต, โสตํ โอทหาติ อโตฺถฯ มนินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํ อญฺญจินฺตาปฎิเสธนโตฯ พฺยญฺชนวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ ‘‘สาธุก’’นฺติ วิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตาฯ ปจฺฉิมสฺส อตฺถวิปลฺลาสคฺคาหวารเณปิ เอเสว นโยฯ ธารณูปปริกฺขาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน ตุลนตีรณาทิเก, ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิเธ จ สงฺคณฺหาติฯ สพฺยญฺชโนติ เอตฺถ ยถาธิเปฺปตมตฺถํ พฺยญฺชยตีติ พฺยญฺชนํ, สภาวนิรุตฺติฯ สห พฺยญฺชเนนาติ สพฺยญฺชโน, พฺยญฺชนสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ สาโตฺถติ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต อนุธาตพฺพโต อโตฺถ, จตุปาริสุทฺธิสีลาทิโก ฯ เตน สห อเตฺถนาติ สาโตฺถ, อตฺถสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ ธมฺมคมฺภีโรติอาทีสุ ธโมฺม นาม ตนฺติฯ เทสนา นาม ตสฺสา มนสา ววตฺถาปิตาย ตนฺติยา เทสนาฯ อโตฺถ นาม ตนฺติยา อโตฺถฯ ปฎิเวโธ นาม ตนฺติยา, ตนฺติอตฺถสฺส จ ยถาภูตาวโพโธฯ ยสฺมา เจเต ธมฺมเทสนา อตฺถปฺปฎิเวธา สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท มนฺทพุทฺธีหิ ทุโกฺขคาหา, อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา จ, ตสฺมา คมฺภีราฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยสฺมา อยํ ธโมฺม…เป.… สาธุกํ มนสิ กโรหี’’ติฯ เอตฺถ จ ปฎิเวธสฺส ทุกฺกรภาวโต ธมฺมตฺถานํ, เทสนาญาณสฺส ทุกฺกรภาวโต เทสนาย ทุโกฺขคาหตา, ปฎิเวธสฺส ปน อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย, ญาณุปฺปตฺติยา จ ทุกฺกรภาวโต ทุโกฺขคาหตา เวทิตพฺพาฯ เทสนํ นาม อุทฺทิสนํ, ตสฺส นิทฺทิสนํ ภาสนนฺติ อิธาธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘วิตฺถารโต ภาสิสฺสามี’’ติฯ ปริพฺยตฺตํ กถนญฺหิ ภาสนํ, เตนาห ‘‘เทเสสฺสามีติ…เป.… วิตฺถารทีปน’’นฺติฯ

    Manasi karohīti ettha manasikāro na ārammaṇapaṭipādanalakkhaṇo, atha kho vīthipaṭipādanajavanapaṭipādanamanasikārapubbakaṃ citte ṭhapanalakkhaṇoti dassento ‘‘āvajjā’’tiādimāha. Sotindriyavikkhepavāraṇaṃ savane niyojanavasena kiriyantarapaṭisedhanabhāvato, sotaṃ odahāti attho. Manindriyavikkhepavāraṇaṃ aññacintāpaṭisedhanato. Byañjanavipallāsaggāhavāraṇaṃ ‘‘sādhuka’’nti visesetvā vuttattā. Pacchimassa atthavipallāsaggāhavāraṇepi eseva nayo. Dhāraṇūpaparikkhādīsūti ādi-saddena tulanatīraṇādike, diṭṭhiyā suppaṭividhe ca saṅgaṇhāti. Sabyañjanoti ettha yathādhippetamatthaṃ byañjayatīti byañjanaṃ, sabhāvanirutti. Saha byañjanenāti sabyañjano, byañjanasampannoti attho. Sātthoti araṇīyato upagantabbato anudhātabbato attho, catupārisuddhisīlādiko . Tena saha atthenāti sāttho, atthasampannoti attho. Dhammagambhīrotiādīsu dhammo nāma tanti. Desanā nāma tassā manasā vavatthāpitāya tantiyā desanā. Attho nāma tantiyā attho. Paṭivedho nāma tantiyā, tantiatthassa ca yathābhūtāvabodho. Yasmā cete dhammadesanā atthappaṭivedhā sasādīhi viya mahāsamuddo mandabuddhīhi dukkhogāhā, alabbhaneyyapatiṭṭhā ca, tasmā gambhīrā. Tena vuttaṃ ‘‘yasmā ayaṃ dhammo…pe… sādhukaṃ manasi karohī’’ti. Ettha ca paṭivedhassa dukkarabhāvato dhammatthānaṃ, desanāñāṇassa dukkarabhāvato desanāya dukkhogāhatā, paṭivedhassa pana uppādetuṃ asakkuṇeyyatāya, ñāṇuppattiyā ca dukkarabhāvato dukkhogāhatā veditabbā. Desanaṃ nāma uddisanaṃ, tassa niddisanaṃ bhāsananti idhādhippetanti āha ‘‘vitthārato bhāsissāmī’’ti. Paribyattaṃ kathanañhi bhāsanaṃ, tenāha ‘‘desessāmīti…pe… vitthāradīpana’’nti.

    ยถาวุตฺตมตฺถํ สุตฺตปเทน สมเตฺถตุํ ‘‘เตนาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สาฬิกายิว นิโคฺฆโสติ สาฬิกาย อาลาโป วิย มธุโร กณฺณสุโข เปมนีโยฯ ปฎิภานนฺติ สโทฺทฯ อุทีรยีติ อุจฺจารียติ, วุจฺจติ วาฯ

    Yathāvuttamatthaṃ suttapadena samatthetuṃ ‘‘tenāhā’’tiādi vuttaṃ. Sāḷikāyiva nigghosoti sāḷikāya ālāpo viya madhuro kaṇṇasukho pemanīyo. Paṭibhānanti saddo. Udīrayīti uccārīyati, vuccati vā.

    เอวํ วุเตฺต อุสฺสาหชาโตติ เอวํ ‘‘สุโณหิ สาธุกํ มนสิ กโรหิ ภาสิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘น กิร ภควา สเงฺขเปเนว เทเสสฺสติ, วิตฺถาเรนปิ ภาสิสฺสตี’’ติ สญฺชาตุสฺสาโห หฎฺฐตุโฎฺฐ หุตฺวาฯ

    Evaṃ vutte ussāhajātoti evaṃ ‘‘suṇohi sādhukaṃ manasi karohi bhāsissāmī’’ti vutte ‘‘na kira bhagavā saṅkhepeneva desessati, vitthārenapi bhāsissatī’’ti sañjātussāho haṭṭhatuṭṭho hutvā.

    ๑๙๐. ‘‘อิธา’’ติ อิมินา วุจฺจมานํ อธิกรณํ ตถาคตสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานภูตํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘เทสาปเทเส นิปาโต’’ติฯ ‘‘สฺวาย’’นฺติ สามญฺญโต อิธสทฺทมตฺตํ คณฺหาติ, น ยถาวิเสสิตพฺพํ อิธ-สทฺทํฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมวา’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๙๐)ฯ โลกํ อุปาทาย วุจฺจติ โลก-สเทฺทน สมานาธิกรณภาเวน วุตฺตตฺตา ฯ เสสปททฺวเย ปน ปทนฺตรสนฺนิธานมเตฺตน ตํ ตํ อุปาทาย วุตฺตตา ทฎฺฐพฺพาฯ อิธ ตถาคโต โลเกติ หิ ชาติเขตฺตํ, ตตฺถาปิ อยํ จกฺกวาโฬ ‘‘โลโก’’ติ อธิเปฺปโตฯ สมโณติ โสตาปโนฺนฯ ทุติโย สมโณติ สกทาคามีฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กตโม จ ภิกฺขเว สมโณ? อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ ‘‘กตโม จ ภิกฺขเว ทุติโย สมโณ? อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ โอกาสนฺติ กญฺจิ ปเทสํฯ อิเธว ติฎฺฐมานสฺสาติ อิมิสฺสา เอว อินฺทสาลคุหายํ ติฎฺฐมานสฺสฯ

    190.‘‘Idhā’’ti iminā vuccamānaṃ adhikaraṇaṃ tathāgatassa uppattiṭṭhānabhūtaṃ adhippetanti āha ‘‘desāpadese nipāto’’ti. ‘‘Svāya’’nti sāmaññato idhasaddamattaṃ gaṇhāti, na yathāvisesitabbaṃ idha-saddaṃ. Tathā hi vakkhati ‘‘katthaci padapūraṇamattamevā’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.190). Lokaṃ upādāya vuccati loka-saddena samānādhikaraṇabhāvena vuttattā . Sesapadadvaye pana padantarasannidhānamattena taṃ taṃ upādāya vuttatā daṭṭhabbā. Idha tathāgato loketi hi jātikhettaṃ, tatthāpi ayaṃ cakkavāḷo ‘‘loko’’ti adhippeto. Samaṇoti sotāpanno. Dutiyo samaṇoti sakadāgāmī. Vuttañhetaṃ ‘‘katamo ca bhikkhave samaṇo? Idha bhikkhave bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hotī’’tiādi (a. ni. 4.241). ‘‘Katamo ca bhikkhave dutiyo samaṇo? Idha bhikkhave bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā’’tiādi (a. ni. 4.241). Okāsanti kañci padesaṃ. Idheva tiṭṭhamānassāti imissā eva indasālaguhāyaṃ tiṭṭhamānassa.

    ปทปูรณมตฺตเมว โอกาสาปทิสนสฺสาปิ อสมฺภวโต อตฺถนฺตรสฺส อโพธนโตฯ อรหนฺติ อาทโย สทฺทา วิตฺถาริตาติ โยชนาฯ อตฺถโต วิตฺถารณํ สทฺทมุเขเนว โหตีติ สทฺทคฺคหณํฯ ยสฺมาฯ ‘‘อปเรหิปิ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโต’’ติอาทินา อุทานฎฺฐกถาทีสุ, (อุทา. อฎฺฐ. ๑๘; อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘) อรหนฺติ อาทโย วิสุทฺธิมคฺคฎีกายํ อปเรหิ ปกาเรหิ วิตฺถาริตา , ตสฺมาเตสุ วุตฺตานเยนปิ โส (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๑๒๙, ๑๓๐) อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตถาคตสฺส สตฺตนิกายโนฺตคธตาย ‘‘อิธ ปน สตฺตโลโก อธิเปฺปโต’’ติ วตฺวา ตตฺถายํ ยสฺมิํ สตฺตนิกาเย ยสฺมิญฺจ โอกาเส อุปฺปชฺชติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺตโลเก อุปฺปชฺชมาโนปิ จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘ตถาคโต น เทวโลเก อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ ปรโต อาคมิสฺสติฯ สารปฺปตฺตาติ กุลโภคิสฺสริยาทิวเสน สารภูตาฯ พฺราหฺมณคหปติกาติ พฺรหฺมายุโปกฺขรสาติอาทิพฺราหฺมณา เจว อนาถปิณฺฑิกาทิคหปติกา จฯ

    Padapūraṇamattameva okāsāpadisanassāpi asambhavato atthantarassa abodhanato. Arahanti ādayo saddā vitthāritāti yojanā. Atthato vitthāraṇaṃ saddamukheneva hotīti saddaggahaṇaṃ. Yasmā. ‘‘Aparehipi aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato’’tiādinā udānaṭṭhakathādīsu, (udā. aṭṭha. 18; itivu. aṭṭha. 38) arahanti ādayo visuddhimaggaṭīkāyaṃ aparehi pakārehi vitthāritā , tasmātesu vuttānayenapi so (visuddhi. ṭī. 1.129, 130) attho veditabbo. Tathāgatassa sattanikāyantogadhatāya ‘‘idha pana sattaloko adhippeto’’ti vatvā tatthāyaṃ yasmiṃ sattanikāye yasmiñca okāse uppajjati, taṃ dassetuṃ ‘‘sattaloke uppajjamānopi cā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Tathāgato na devaloke uppajjatī’’tiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ parato āgamissati. Sārappattāti kulabhogissariyādivasena sārabhūtā. Brāhmaṇagahapatikāti brahmāyupokkharasātiādibrāhmaṇā ceva anāthapiṇḍikādigahapatikā ca.

    ‘‘สุชาตายา’’ติอาทินา วุเตฺตสุ จตูสุ วิกเปฺปสุ ปฐโม วิกโปฺป พุทฺธภาวาย อาสนฺนตรปฎิปตฺติทสฺสนวเสน วุโตฺตฯ อาสนฺนตราย หิ ปฎิปตฺติยา ฐิโต ‘‘อุปฺปชฺชตีติ’’ วุจฺจติ อุปฺปาทสฺส เอกนฺติกตฺตา, ปเคว ปฎิปตฺติยา มตฺถเก ฐิโตฯ ทุติโย พุทฺธภาวาวหปพฺพชฺชโต ปฎฺฐาย อาสนฺนปฎิปตฺติทสฺสนวเสน, ตติโย พุทฺธกรธมฺม ปาริปูริโต ปฎฺฐาย พุทฺธภาวาย ปฎิปตฺติทสฺสนวเสนฯ น หิ มหาสตฺตานํ อุปฺปติภวูปปตฺติโต ปฎฺฐาย โพธิสมฺภารสมฺภรณํ นาม อตฺถิฯ จตุโตฺถ พุทฺธกรธมฺมสมารมฺภโต ปฎฺฐายฯ โพธิยา นิยตภาวปฺปตฺติโต ปภุติ หิ วิญฺญูหิ ‘‘พุโทฺธ อุปฺปชฺชตี’’ติ วตฺตุํ สกฺกา อุปฺปาทสฺส เอกนฺติกตฺตาฯ ยถา ปน สนฺทนฺติ นทิโยติ สนฺทนกิริยาย อวิเจฺฉทมุปาทาย วตฺตมานปฺปโยโค, เอวํ อุปฺปาทตฺถาย ปฎิปชฺชนกิริยาย อวิเจฺฉทมุปาทาย จตูสุ วิกเปฺปสุ ‘‘อุปฺปชฺชติ นามา’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพปฐมํ อุปฺปนฺนภาวนฺติ จตูสุ วิกเปฺปสุ สพฺพปฐมํ วุตฺตํ ตถาคตสฺส อุปฺปนฺนตาสงฺขาตํ อตฺถิภาวํฯ เตนาห ‘‘อุปฺปโนฺน โหตีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ’’ติฯ

    ‘‘Sujātāyā’’tiādinā vuttesu catūsu vikappesu paṭhamo vikappo buddhabhāvāya āsannatarapaṭipattidassanavasena vutto. Āsannatarāya hi paṭipattiyā ṭhito ‘‘uppajjatīti’’ vuccati uppādassa ekantikattā, pageva paṭipattiyā matthake ṭhito. Dutiyo buddhabhāvāvahapabbajjato paṭṭhāya āsannapaṭipattidassanavasena, tatiyo buddhakaradhamma pāripūrito paṭṭhāya buddhabhāvāya paṭipattidassanavasena. Na hi mahāsattānaṃ uppatibhavūpapattito paṭṭhāya bodhisambhārasambharaṇaṃ nāma atthi. Catuttho buddhakaradhammasamārambhato paṭṭhāya. Bodhiyā niyatabhāvappattito pabhuti hi viññūhi ‘‘buddho uppajjatī’’ti vattuṃ sakkā uppādassa ekantikattā. Yathā pana sandanti nadiyoti sandanakiriyāya avicchedamupādāya vattamānappayogo, evaṃ uppādatthāya paṭipajjanakiriyāya avicchedamupādāya catūsu vikappesu ‘‘uppajjati nāmā’’ti vuttaṃ. Sabbapaṭhamaṃ uppannabhāvanti catūsu vikappesu sabbapaṭhamaṃ vuttaṃ tathāgatassa uppannatāsaṅkhātaṃ atthibhāvaṃ. Tenāha ‘‘uppanno hotīti ayañhettha attho’’ti.

    โส ภควาติ โย ‘‘ตถาคโต อรห’’นฺติอาทินา กิตฺติตคุโณ, โส ภควาฯ ‘‘อิมํ โลก’’นฺติ นยิทํ มหาชนสฺส สมฺมุขมตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, อถ โข อนวเสสํ ปริยาทายาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, เตนาห ‘‘อิทานิ วตฺตพฺพํ นิทเสฺสตี’’ติฯ ปชาตตฺตาติ ยถาสกํ กมฺมกิเลเสหิ นิพฺพตฺตตฺตาฯ ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ ปาริเสสญาเยน อิตเรสํ ปทนฺตเรหิ สงฺคหิตตฺตาฯ สเทวกนฺติ จ อวยเวน วิคฺคโห สมุทาโย สมาสโตฺถฯ ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ ปจฺจาสตฺติญาเยนฯ ตตฺถ หิ โส ชาโต, ตํนิวาสี จฯ พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปจฺจตฺถิก …เป.… สมณพฺราหฺมณคฺคหณนฺติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ อปจฺจตฺถิกานํ, อสมิตาพาหิตปาปานญฺจ สมณพฺราหฺมณานํ สสฺสมณพฺราหฺมณีวจเนน คหิตตฺตาฯ กามํ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทิ วิเสสนานํ วเสน สตฺตวิสโย โลกสโทฺทติ วิญฺญายติ ตุลฺยโยควิสยตฺตา เตสํ, ‘‘สโลมโก สปกฺขโก’’ติอาทีสุ ปน อตุลฺยโยเคปิ อยํ สมาโส ลพฺภตีติ พฺยภิจารทสฺสนโต ปชาคหณนฺติ อาห ‘‘ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณ’’นฺติฯ

    So bhagavāti yo ‘‘tathāgato araha’’ntiādinā kittitaguṇo, so bhagavā. ‘‘Imaṃ loka’’nti nayidaṃ mahājanassa sammukhamattaṃ sandhāya vuttaṃ, atha kho anavasesaṃ pariyādāyāti dassetuṃ ‘‘sadevaka’’ntiādi vuttaṃ, tenāha ‘‘idāni vattabbaṃ nidassetī’’ti. Pajātattāti yathāsakaṃ kammakilesehi nibbattattā. Pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ pārisesañāyena itaresaṃ padantarehi saṅgahitattā. Sadevakanti ca avayavena viggaho samudāyo samāsattho. Chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ paccāsattiñāyena. Tattha hi so jāto, taṃnivāsī ca. Brahmakāyikādibrahmaggahaṇanti etthāpi eseva nayo. Paccatthika…pe… samaṇabrāhmaṇaggahaṇanti nidassanamattametaṃ apaccatthikānaṃ, asamitābāhitapāpānañca samaṇabrāhmaṇānaṃ sassamaṇabrāhmaṇīvacanena gahitattā. Kāmaṃ ‘‘sadevaka’’ntiādi visesanānaṃ vasena sattavisayo lokasaddoti viññāyati tulyayogavisayattā tesaṃ, ‘‘salomako sapakkhako’’tiādīsu pana atulyayogepi ayaṃ samāso labbhatīti byabhicāradassanato pajāgahaṇanti āha ‘‘pajāvacanena sattalokaggahaṇa’’nti.

    อรูปิโน สตฺตา อตฺตโน อาเนญฺชวิหาเรน วิหรนฺตา ทิพฺพนฺตีติ เทวาติ อิมํ นิพฺพจนํ ลภนฺตีติ อาห ‘‘สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรโลโก คหิโต’’ติฯ เตนาห ‘‘อากาสานญฺจายตนูปคานํ เทวานํ สหพฺยต’’นฺติ (อ. นิ. ๓.๑๑๗)ฯ สมารกคฺคหเณน ฉกามาวจรเทวโลโก คหิโต ตสฺส สวิเสสํ มารสฺส วเส วตฺตนโตฯ รูปี พฺรหฺมโลโก คหิโต อรูปีพฺรหฺมโลกสฺส วิสุํ คหิตตฺตาฯ จตุปริสวเสนาติ ขตฺติยาทิจตุปริสวเสน, อิตรา ปน จตโสฺส ปริสา สมารกาทิคฺคหเณน คหิตา เอวาติฯ อวเสสสพฺพสตฺตโลโก นาคครุฬาทิเภโทฯ

    Arūpino sattā attano āneñjavihārena viharantā dibbantīti devāti imaṃ nibbacanaṃ labhantīti āha ‘‘sadevakaggahaṇena arūpāvacaraloko gahito’’ti. Tenāha ‘‘ākāsānañcāyatanūpagānaṃ devānaṃ sahabyata’’nti (a. ni. 3.117). Samārakaggahaṇena chakāmāvacaradevaloko gahito tassa savisesaṃ mārassa vase vattanato. Rūpī brahmaloko gahito arūpībrahmalokassa visuṃ gahitattā. Catuparisavasenāti khattiyādicatuparisavasena, itarā pana catasso parisā samārakādiggahaṇena gahitā evāti. Avasesasabbasattaloko nāgagaruḷādibhedo.

    เอตฺตาวตา จ ภาคโส โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตน เตน วิเสเสน อภาคโส โลกํ คเหตฺวา โยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิ เจตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโตติ อุกฺกํสคติวิชานเนนฯ ปญฺจสุ หิ คตีสุ เทวคติปริยาปนฺนาว เสฎฺฐา, ตตฺถาปิ อรูปิโน ทูรสมุสฺสาริตกิเลสทุกฺขตาย, สนฺตปณีตอาเนญฺชวิหารสมงฺคิตาย, อติทีฆายุกตายาติ เอวมาทีหิ วิเสเสหิ อติวิย อุกฺกฎฺฐาฯ ‘‘พฺรหฺมา มหานุภาโว’’ติอาทิ ทสสหสฺสิยํ มหาพฺรหฺมุโน วเสน วทติฯ ‘‘อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต’’ติ หิ วุตฺตํฯ อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ นว โลกุตฺตรํฯ ภาวานุกฺกโมติ ภาววเสน ปเรสํ อชฺฌาสยวเสน ‘‘สเทวก’’นฺติอาทีนํ ปทานํ อนุกฺกโมฯ

    Ettāvatā ca bhāgaso lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetvā idāni tena tena visesena abhāgaso lokaṃ gahetvā yojanaṃ dassetuṃ ‘‘api cetthā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ukkaṭṭhaparicchedatoti ukkaṃsagativijānanena. Pañcasu hi gatīsu devagatipariyāpannāva seṭṭhā, tatthāpi arūpino dūrasamussāritakilesadukkhatāya, santapaṇītaāneñjavihārasamaṅgitāya, atidīghāyukatāyāti evamādīhi visesehi ativiya ukkaṭṭhā. ‘‘Brahmā mahānubhāvo’’tiādi dasasahassiyaṃ mahābrahmuno vasena vadati. ‘‘Ukkaṭṭhaparicchedato’’ti hi vuttaṃ. Anuttaranti seṭṭhaṃ nava lokuttaraṃ. Bhāvānukkamoti bhāvavasena paresaṃ ajjhāsayavasena ‘‘sadevaka’’ntiādīnaṃ padānaṃ anukkamo.

    ตีหากาเรหีติ เทวมารพฺรหฺมสหิตตาสงฺขาเตหิ ตีหิ ปกาเรหิฯ ตีสุ ปเทสูติ ‘‘สเทวก’’นฺติอาทีสุ ตีสุ ปเทสุฯ เตน เตนากาเรนาติ สเทวกตฺตาทินา เตน เตน ปกาเรนฯ เตธาตุกเมว ปริยาทินฺนนฺติ โปราณา ปนาหูติ โยชนาฯ

    Tīhākārehīti devamārabrahmasahitatāsaṅkhātehi tīhi pakārehi. Tīsu padesūti ‘‘sadevaka’’ntiādīsu tīsu padesu. Tena tenākārenāti sadevakattādinā tena tena pakārena. Tedhātukameva pariyādinnanti porāṇā panāhūti yojanā.

    อภิญฺญาติ ย-การโลเปนายํ นิเทฺทโส, อภิชานิตฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘อภิญฺญาย อธิเกน ญาเณน ญตฺวา’’ติฯ อนุมานาทิปฎิเกฺขโปติ อนุมานอุปมานอตฺถาปตฺติอาทิปฎิเกฺขโป เอกปฺปมาณตฺตาฯ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย หิ สพฺพปจฺจกฺขา พุทฺธา ภควโนฺตฯ

    Abhiññāti ya-kāralopenāyaṃ niddeso, abhijānitvāti ayamettha atthoti āha ‘‘abhiññāya adhikena ñāṇena ñatvā’’ti. Anumānādipaṭikkhepoti anumānaupamānaatthāpattiādipaṭikkhepo ekappamāṇattā. Sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya hi sabbapaccakkhā buddhā bhagavanto.

    อนุตฺตรํ วิเวกสุขนฺติ ผลสมาปตฺติสุขํ, เตน ฐิติมิสฺสาปิ [วีถิมิสฺสาปิ (สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนายํ) ธิติมิสฺสาปิ (ก)] กทาจิ ภควโต ธมฺมเทสนา โหตีติ หิตฺวาปีติ ปิ-สทฺทคฺคหณํฯ ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต ยสฺมิํ ขเณ ปริสา สาธุการํ วา เทติ, ยถาสุตํ วา ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขติ, ตํ ขณํ ปุพฺพภาเคน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, ยถาปริเจฺฉทญฺจ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสติฯ อุคฺฆฎิตญฺญุสฺส วเสน อปฺปํ วา วิปญฺจิตญฺญุสฺส, เนยฺยสฺส วา วเสน พหุํ วา เทเสโนฺตฯ ธมฺมสฺส กลฺยาณตา นิยฺยานิกตาย, นิยฺยานิกตา จ สพฺพโส อนวชฺชภาเวเนวาติ อาห ‘‘อนวชฺชเมว กตฺวา’’ติฯ เทสกายเตฺตน อาณาทิวิธินา อภิสชฺชนํ ปโพธนํ เทสนาติ สา ปริยตฺติธมฺมวเสน เวทิตพฺพาติ อาห ‘‘เทสนาย ตาว จตุปฺปทิกายปิ คาถายา’’ติอาทิฯ นิทานนิคมนานิปิ สตฺถุโน เทสนาย อนุวิธานโต ตทโนฺตคธานิ เอวาติ อาห ‘‘นิทานมาทิ, อิทํ เอโวจาติ ปริโยสาน’’นฺติฯ

    Anuttaraṃvivekasukhanti phalasamāpattisukhaṃ, tena ṭhitimissāpi [vīthimissāpi (sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanāyaṃ) dhitimissāpi (ka)] kadāci bhagavato dhammadesanā hotīti hitvāpīti pi-saddaggahaṇaṃ. Bhagavā hi dhammaṃ desento yasmiṃ khaṇe parisā sādhukāraṃ vā deti, yathāsutaṃ vā dhammaṃ paccavekkhati, taṃ khaṇaṃ pubbabhāgena paricchinditvā phalasamāpattiṃ samāpajjati, yathāparicchedañca samāpattito vuṭṭhāya ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dhammaṃ deseti. Ugghaṭitaññussa vasena appaṃ vā vipañcitaññussa, neyyassa vā vasena bahuṃ vā desento. Dhammassa kalyāṇatā niyyānikatāya, niyyānikatā ca sabbaso anavajjabhāvenevāti āha ‘‘anavajjameva katvā’’ti. Desakāyattena āṇādividhinā abhisajjanaṃ pabodhanaṃ desanāti sā pariyattidhammavasena veditabbāti āha ‘‘desanāya tāva catuppadikāyapi gāthāyā’’tiādi. Nidānanigamanānipi satthuno desanāya anuvidhānato tadantogadhāni evāti āha ‘‘nidānamādi, idaṃ evocāti pariyosāna’’nti.

    สาสิตพฺพปุคฺคลคเตน ยถาปราธาทิสาสิตพฺพภาเวน อนุสาสนํ ตทงฺควินยาทิวเสน วินยนํ สาสนนฺติ ตํ ปฎิปตฺติธมฺมวเสน เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘สีลสมาธิวิปสฺสนา’’ติอาทิฯ กุสลานํ ธมฺมานนฺติ อนวชฺชธมฺมานํ สีลสฺส, สมถวิปสฺสนานญฺจ สีลทิฎฺฐีนํ อาทิภาโว ตํ มูลกตฺตา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานํฯ อริยมคฺคสฺส อนฺตทฺวยวิคเมน มชฺฌิมปฎิปทาภาโว วิย, สมฺมาปฎิปตฺติยา อารพฺภนิปฺผตฺตีนํ เวมชฺฌตฺตาปิ มชฺฌภาโวติ วุตฺตํฯ ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว…เป.… มชฺฌํ นามา’’ติฯ ผลํ ปริโยสานํ นาม สอุปาทิเสสตาวเสน, นิพฺพานํ ปริโยสานํ นาม อนุปาทิเสสตาวเสนฯ อิทานิ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ สาสนสฺส ปริโยสานตํ อาคเมน ทเสฺสตุํ ‘‘เอตทตฺถมิท’’นฺติอาทิ อาหฯ อิธ เทสนาย อาทิมชฺฌปริโยสานํ อธิเปฺปตํ ‘‘สพฺยญฺชน’’นฺติอาทิ วจนโตฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ กตาวธิสทฺทปฺปพโนฺธ คาถาวเสน, สุตฺตวเสน จ ววตฺถิโต ปริยตฺติธโมฺม, โย อิธ ‘‘เทสนา’’ติ วุโตฺต, ตสฺส ปน อโตฺถ วิเสสโต สีลาทิ เอวาติ อาห ‘‘ภควา หิ ธมฺมํ เทเสโนฺต…เป.… ทเสฺสตี’’ติฯ ตตฺถ สีลํ ทเสฺสตฺวาติ สีลคฺคหเณน สสมฺภารํ สีลํ คหิตํ, ตถา มคฺคคฺคหเณน สสมฺภาโร มโคฺคติ ตทุภยวเสน อนวเสสโต ปริยตฺติ อตฺถํ ปริยาทิยติฯ เตนาติ สีลาทิทสฺสเนนฯ อตฺถวเสน หิ อิธ เทสนาย อาทิกลฺยาณาทิภาโว อธิเปฺปโตฯ กถิกสณฺฐิตีติ กถิกสฺส สณฺฐานํ กถนวเสน สมวฎฺฐานํฯ

    Sāsitabbapuggalagatena yathāparādhādisāsitabbabhāvena anusāsanaṃ tadaṅgavinayādivasena vinayanaṃ sāsananti taṃ paṭipattidhammavasena veditabbanti āha ‘‘sīlasamādhivipassanā’’tiādi. Kusalānaṃ dhammānanti anavajjadhammānaṃ sīlassa, samathavipassanānañca sīladiṭṭhīnaṃ ādibhāvo taṃ mūlakattā uttarimanussadhammānaṃ. Ariyamaggassa antadvayavigamena majjhimapaṭipadābhāvo viya, sammāpaṭipattiyā ārabbhanipphattīnaṃ vemajjhattāpi majjhabhāvoti vuttaṃ. ‘‘Atthi bhikkhave…pe… majjhaṃ nāmā’’ti. Phalaṃ pariyosānaṃ nāma saupādisesatāvasena, nibbānaṃ pariyosānaṃ nāma anupādisesatāvasena. Idāni tesaṃ dvinnampi sāsanassa pariyosānataṃ āgamena dassetuṃ ‘‘etadatthamida’’ntiādi āha. Idha desanāya ādimajjhapariyosānaṃ adhippetaṃ ‘‘sabyañjana’’ntiādi vacanato. Tasmiṃ tasmiṃ atthe katāvadhisaddappabandho gāthāvasena, suttavasena ca vavatthito pariyattidhammo, yo idha ‘‘desanā’’ti vutto, tassa pana attho visesato sīlādi evāti āha ‘‘bhagavā hi dhammaṃ desento…pe… dassetī’’ti. Tattha sīlaṃ dassetvāti sīlaggahaṇena sasambhāraṃ sīlaṃ gahitaṃ, tathā maggaggahaṇena sasambhāro maggoti tadubhayavasena anavasesato pariyatti atthaṃ pariyādiyati. Tenāti sīlādidassanena. Atthavasena hi idha desanāya ādikalyāṇādibhāvo adhippeto. Kathikasaṇṭhitīti kathikassa saṇṭhānaṃ kathanavasena samavaṭṭhānaṃ.

    น โส สาตฺถํ เทเสติ นิยฺยานตฺถวิรหโต ตสฺสา เทสนายฯ เอกพฺยญฺชนาทิยุตฺตา วาติ สิถิลาทิเภเทสุ พฺยญฺชเนสุ เอกปฺปกาเรเมว, ทฺวิปกาเรเมว วา พฺยญฺชเนน ยุตฺตา วา ทมิฬภาสา วิย ฯ วิวฎกรณตาย โอเฎฺฐ อผุสาเปตฺวา อุจฺจาเรตพฺพโต สพฺพนิโรฎฺฐพฺยญฺชนา วา กิราตภาสา วิยฯ สพฺพเสฺสว [สพฺพเตฺถว (สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนายํ ๑)] วิสฺสชฺชนียยุตฺตตาย สพฺพวิสฺสฎฺฐพฺยญฺชนา วา สวรภาสา [ยวนภาสา (สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนายํ)] วิยฯ สพฺพเสฺสว [สพฺพเตฺถว (สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนายํ)] สานุสารตาย สพฺพนิคฺคหิตพฺยญฺชนา วา ปารสิกาทิมิลกฺขุภาสา วิยฯ สพฺพาเปสา พฺยญฺชเนกเทสวเสน ปวตฺติยา อปริปุณฺณพฺยญฺชนาติ กตฺวา ‘‘อพฺยญฺชนา’’ติ วุตฺตาฯ

    Na so sātthaṃ deseti niyyānatthavirahato tassā desanāya. Ekabyañjanādiyuttā vāti sithilādibhedesu byañjanesu ekappakāremeva, dvipakāremeva vā byañjanena yuttā vā damiḷabhāsā viya . Vivaṭakaraṇatāya oṭṭhe aphusāpetvā uccāretabbato sabbaniroṭṭhabyañjanā vā kirātabhāsā viya. Sabbasseva [sabbattheva (sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanāyaṃ 1)] vissajjanīyayuttatāya sabbavissaṭṭhabyañjanā vā savarabhāsā [yavanabhāsā (sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanāyaṃ)] viya. Sabbasseva [sabbattheva (sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanāyaṃ)] sānusāratāya sabbaniggahitabyañjanā vā pārasikādimilakkhubhāsā viya. Sabbāpesā byañjanekadesavasena pavattiyā aparipuṇṇabyañjanāti katvā ‘‘abyañjanā’’ti vuttā.

    ฐานกรณานิ สิถิลานิ กตฺวา อุจฺจาเรตพฺพํ อกฺขรํ ปญฺจสุ วเคฺคสุ ปฐมตติยนฺติ เอวมาทิ สิถิลํฯ ตานิ อสิถิลานิ กตฺวา อุจฺจาเรตพฺพํ อกฺขรํ วเคฺคสุ ทุติยจตุตฺถนฺติ เอวมาทิ ธนิตํฯ ทฺวิมตฺตกาลํ ทีฆํฯ เอกมตฺตกาลํ รสฺสํ ตเทว ลหุกํฯ ลหุกเมว สํโยคปรํ, ทีฆญฺจ ครุกํฯ ฐานกรณานิ นิคฺคเหตฺวา อุจฺจาเรตพฺพํ นิคฺคหิตํฯ ปเรน สมฺพนฺธํ กตฺวา อุจฺจาเรตพฺพํ สมฺพนฺธํฯ ตถา นสมฺพนฺธํ ววตฺถิตํฯ ฐานกรณานิ นิสฺสฎฺฐานิ กตฺวา อุจฺจาเรตพฺพํ วิมุตฺตํฯ ทสธาติ เอวํ สิถิลาทิวเสน พฺยญฺชนพุทฺธิยา อกฺขรุปฺปาทกจิตฺตสฺส สพฺพากาเรน ปเภโทฯ สพฺพานิ หิ อกฺขรานิ จิตฺตสมุฎฺฐานานิ ยถาธิเปฺปตตฺถํ พฺยญฺชนโต พฺยญฺชนานิ จาติฯ

    Ṭhānakaraṇāni sithilāni katvā uccāretabbaṃ akkharaṃ pañcasu vaggesu paṭhamatatiyanti evamādi sithilaṃ. Tāni asithilāni katvā uccāretabbaṃ akkharaṃ vaggesu dutiyacatutthanti evamādi dhanitaṃ. Dvimattakālaṃ dīghaṃ. Ekamattakālaṃ rassaṃ tadeva lahukaṃ. Lahukameva saṃyogaparaṃ, dīghañca garukaṃ. Ṭhānakaraṇāni niggahetvā uccāretabbaṃ niggahitaṃ. Parena sambandhaṃ katvā uccāretabbaṃ sambandhaṃ. Tathā nasambandhaṃ vavatthitaṃ. Ṭhānakaraṇāni nissaṭṭhāni katvā uccāretabbaṃ vimuttaṃ. Dasadhāti evaṃ sithilādivasena byañjanabuddhiyā akkharuppādakacittassa sabbākārena pabhedo. Sabbāni hi akkharāni cittasamuṭṭhānāni yathādhippetatthaṃ byañjanato byañjanāni cāti.

    อมเกฺขตฺวาติ อมิเลเจฺฉตฺวา, อวินาเสตฺวา, อหาเปตฺวาติ วา อโตฺถฯ ภควา ยมตฺถํ ญาเปตุํ เอกํ คาถํ, เอกํ วากฺยํ วา เทเสติ, ตมตฺถํ ตาย เทสนาย ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนาย เอว เทเสตีติ อาห ‘‘ปริปุณฺณพฺยญฺชนเมว กตฺวา ธมฺมํ เทเสตี’’ติฯ อิธ เกวลสโทฺท อนวเสสวาจโก, น อโวมิสฺสกาทิวาจโกติ อาห ‘‘สกลาธิวจน’’นฺติฯ ปริปุณฺณนฺติ สพฺพโส ปุณฺณํ, ตํ ปน เกนจิ อูนํ, อธิกํ วา น โหตีติ ‘‘อนูนาธิกวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยทตฺถํ เทสิโต, ตสฺส สาธกตฺตา อนูนตา เวทิตพฺพา, ตพฺพิธุรสฺส ปน อสาธกตฺตา อนธิกตาฯ สกลนฺติ สพฺพภาควนฺตํฯ ปริปุณฺณนฺติ สพฺพโส ปริปุณฺณเมว, เตนาห ‘‘เอกเทสนาปิ อปริปุณฺณา นตฺถี’’ติฯ อปริสุทฺธา เทสนา โหติ ตณฺหาย สํกิลิฎฺฐตฺตาฯ โลกามิสํ จีวราทโย ปจฺจยา ตตฺถ อคธิตจิตฺตตาย โลกามิสนิรเปโกฺขฯ หิตผรเณนาติ หิตูปสํหาเรนฯ เมตฺตาภาวนาย กรณภูตาย มุทุหทโยฯ อุลฺลุมฺปนสภาวสณฺฐิเตนาติ สกลสํกิเลสโต, วฎฺฎทุกฺขโต จ อุทฺธรณาการาวฎฺฐิเตน จิเตฺตน, การุณาธิปฺปาเยนาติ อโตฺถฯ

    Amakkhetvāti amilecchetvā, avināsetvā, ahāpetvāti vā attho. Bhagavā yamatthaṃ ñāpetuṃ ekaṃ gāthaṃ, ekaṃ vākyaṃ vā deseti, tamatthaṃ tāya desanāya parimaṇḍalapadabyañjanāya eva desetīti āha ‘‘paripuṇṇabyañjanameva katvā dhammaṃ desetī’’ti. Idha kevalasaddo anavasesavācako, na avomissakādivācakoti āha ‘‘sakalādhivacana’’nti. Paripuṇṇanti sabbaso puṇṇaṃ, taṃ pana kenaci ūnaṃ, adhikaṃ vā na hotīti ‘‘anūnādhikavacana’’nti vuttaṃ. Tattha yadatthaṃ desito, tassa sādhakattā anūnatā veditabbā, tabbidhurassa pana asādhakattā anadhikatā. Sakalanti sabbabhāgavantaṃ. Paripuṇṇanti sabbaso paripuṇṇameva, tenāha ‘‘ekadesanāpi aparipuṇṇā natthī’’ti. Aparisuddhā desanā hoti taṇhāya saṃkiliṭṭhattā. Lokāmisaṃ cīvarādayo paccayā tattha agadhitacittatāya lokāmisanirapekkho. Hitapharaṇenāti hitūpasaṃhārena. Mettābhāvanāya karaṇabhūtāya muduhadayo. Ullumpanasabhāvasaṇṭhitenāti sakalasaṃkilesato, vaṭṭadukkhato ca uddharaṇākārāvaṭṭhitena cittena, kāruṇādhippāyenāti attho.

    ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ทสฺสาเมว, เอวญฺจ ทสฺสามี’’ติ สมาทาตพฺพเฎฺฐน วตํฯ ปณฺฑิตปญฺญตฺตตาย เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมํ พฺรหฺมานํ วา จริยนฺติ พฺรหฺมจริยํ ทานํฯ มจฺฉริยโลภาทินิคฺคณฺหเนน สุจิณฺณสฺสฯ อิทฺธีติ เทวิทฺธิฯ ชุตีติ ปภา, อานุภาโว วาฯ พลวีริยูปปตฺตีติ เอวํ มหตา พเลน จ วีริเยน จ สมนฺนาคโมฯ ปุญฺญนฺติ ปุญฺญผลํฯ เวยฺยาวจฺจํ พฺรหฺมจริยํ เสฎฺฐา จริยาติ กตฺวาฯ เอส นโย เสเสปิฯ

    ‘‘Ito paṭṭhāya dassāmeva, evañca dassāmī’’ti samādātabbaṭṭhena vataṃ. Paṇḍitapaññattatāya seṭṭhaṭṭhena brahmaṃ brahmānaṃ vā cariyanti brahmacariyaṃ dānaṃ. Macchariyalobhādiniggaṇhanena suciṇṇassa. Iddhīti deviddhi. Jutīti pabhā, ānubhāvo vā. Balavīriyūpapattīti evaṃ mahatā balena ca vīriyena ca samannāgamo. Puññanti puññaphalaṃ. Veyyāvaccaṃ brahmacariyaṃ seṭṭhā cariyāti katvā. Esa nayo sesepi.

    ตสฺมาติ ยสฺมา สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สกลํ สาสนํ อิธ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ อธิเปฺปตํ ตสฺมาฯ ‘‘พฺรหฺมจริย’’นฺติ อิมินา สมานาธิกรณานิ สพฺพปทานิ โยเชตฺวา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส ธมฺมํ เทเสติ…เป.… ปกาเสตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ อาหฯ

    Tasmāti yasmā sikkhattayasaṅgahaṃ sakalaṃ sāsanaṃ idha ‘‘brahmacariya’’nti adhippetaṃ tasmā. ‘‘Brahmacariya’’nti iminā samānādhikaraṇāni sabbapadāni yojetvā atthaṃ dassento ‘‘so dhammaṃ deseti…pe… pakāsetīti evamettha attho daṭṭhabbo’’ti āha.

    ๑๙๑. วุตฺตปฺปการสมฺปทนฺติ ยถาวุตฺตํ อาทิกลฺยาณตาทิคุณสมฺปทํ, ทูรสมุสฺสาริตมานเสฺสว สาสเน สมฺมาปฎิปตฺติ สมฺภวติ, น มานชาติกสฺสาติ อาห ‘‘นิหตมานตฺตา’’ติฯ อุสฺสนฺนตฺตาติ พหุลภาวโตฯ โภคาโรคฺยาทิวตฺถุกา มทา สุปฺปเหยฺยา โหนฺติ นิมิตฺตสฺส อนวตฺถานโต, น ตถา กุลวิชฺชามทา, ตสฺมา ขตฺติยพฺราหฺมณกุลานํ ปพฺพชิตานมฺปิ ชาติวิชฺชา นิสฺสาย มานชปฺปนํ ทุปฺปชหนฺติ อาห ‘‘เยภุเยฺยน หิ…เป.… มานํ กโรนฺตี’’ติฯ วิชาติตายาติ นิหีนชาติตายฯ ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกนฺตีติ สุวิสุทฺธํ กตฺวา สีลํ รกฺขิตุํ น สโกฺกนฺติฯ สีลวเสน หิ สาสเน ปติฎฺฐา, ปติฎฺฐาตุนฺติ วา สจฺจปฎิเวเธน โลกุตฺตราย ปติฎฺฐาย ปติฎฺฐาตุํฯ สา หิ นิปฺปริยายโต สาสเน ปติฎฺฐา นาม, เยภุเยฺยน จ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา สุชาตา เอว โหนฺติ, น ทุชฺชาตาฯ

    191.Vuttappakārasampadanti yathāvuttaṃ ādikalyāṇatādiguṇasampadaṃ, dūrasamussāritamānasseva sāsane sammāpaṭipatti sambhavati, na mānajātikassāti āha ‘‘nihatamānattā’’ti. Ussannattāti bahulabhāvato. Bhogārogyādivatthukā madā suppaheyyā honti nimittassa anavatthānato, na tathā kulavijjāmadā, tasmā khattiyabrāhmaṇakulānaṃ pabbajitānampi jātivijjā nissāya mānajappanaṃ duppajahanti āha ‘‘yebhuyyena hi…pe… mānaṃ karontī’’ti. Vijātitāyāti nihīnajātitāya. Patiṭṭhātuṃ na sakkontīti suvisuddhaṃ katvā sīlaṃ rakkhituṃ na sakkonti. Sīlavasena hi sāsane patiṭṭhā, patiṭṭhātunti vā saccapaṭivedhena lokuttarāya patiṭṭhāya patiṭṭhātuṃ. Sā hi nippariyāyato sāsane patiṭṭhā nāma, yebhuyyena ca upanissayasampannā sujātā eva honti, na dujjātā.

    ปริสุทฺธนฺติ ราคาทีนํ อจฺจนฺตเมว ปหานทีปนโต นิรุปกฺกิเลสตาย สพฺพโส ปริสุทฺธํฯ สทฺธํ ปฎิลภตีติ โปถุชฺชนิกสทฺธาวเสน สทฺทหติฯ วิญฺญูชาติกานญฺหิ ธมฺมสมฺปตฺติคฺคหณปุพฺพิกา สทฺธา สิทฺธิ ธมฺมปฺปมาณธมฺมปฺปสนฺนภาวโตฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา, โย เอวํ สฺวากฺขาตธโมฺม’’ติ สทฺธํ ปฎิลภติฯ ชายมฺปติกาติ ฆรณีปติกาฯ กามํ ‘‘ชายมฺปติกา’’ติ วุเตฺต ฆรสามิกฆรสามินีวเสน ทฺวินฺนํเยว คหณํ วิญฺญายติฯ ยสฺส ปน ปุริสสฺส อเนกา ปชาปติโย, ตตฺถ กิํ วตฺตพฺพํ, เอกายาปิ สํวาโส สมฺพาโธติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เทฺว’’ติ วุตฺตํฯ ราคาทินา สกิญฺจนเฎฺฐน, เขตฺตวตฺถุ อาทินา สปลิโพธเฎฺฐน ราครชาทีนํ อาคมนปถตาปิ อุฎฺฐานฎฺฐานตา เอวาติ เทฺวปิ วณฺณนา เอกตฺถา, พฺยญฺชนเมว นานํฯ อลคฺคนเฎฺฐนาติ อสฺสชฺชนเฎฺฐน อปฺปฎิพทฺธภาเวนฯ เอวํ อกุสลกุสลปฺปวตฺตีนํ ฐานภาเวน ฆราวาสปพฺพชฺชานํ สมฺพาธโพฺภกาสตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ กุสลปฺปวตฺติยา เอว อฎฺฐานฎฺฐานภาเวน เตสํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Parisuddhanti rāgādīnaṃ accantameva pahānadīpanato nirupakkilesatāya sabbaso parisuddhaṃ. Saddhaṃ paṭilabhatīti pothujjanikasaddhāvasena saddahati. Viññūjātikānañhi dhammasampattiggahaṇapubbikā saddhā siddhi dhammappamāṇadhammappasannabhāvato. ‘‘Sammāsambuddho vata so bhagavā, yo evaṃ svākkhātadhammo’’ti saddhaṃ paṭilabhati. Jāyampatikāti gharaṇīpatikā. Kāmaṃ ‘‘jāyampatikā’’ti vutte gharasāmikagharasāminīvasena dvinnaṃyeva gahaṇaṃ viññāyati. Yassa pana purisassa anekā pajāpatiyo, tattha kiṃ vattabbaṃ, ekāyāpi saṃvāso sambādhoti dassanatthaṃ ‘‘dve’’ti vuttaṃ. Rāgādinā sakiñcanaṭṭhena, khettavatthu ādinā sapalibodhaṭṭhena rāgarajādīnaṃ āgamanapathatāpi uṭṭhānaṭṭhānatā evāti dvepi vaṇṇanā ekatthā, byañjanameva nānaṃ. Alagganaṭṭhenāti assajjanaṭṭhena appaṭibaddhabhāvena. Evaṃ akusalakusalappavattīnaṃ ṭhānabhāvena gharāvāsapabbajjānaṃ sambādhabbhokāsataṃ dassetvā idāni kusalappavattiyā eva aṭṭhānaṭṭhānabhāvena tesaṃ taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ.

    สเงฺขปกถาติ วิสุํ วิสุํ ปทุทฺธารํ อกตฺวา สมาสโต อตฺถวณฺณนาฯ เอกมฺปิ ทิวสนฺติ เอกทิวสมตฺตมฺปิฯ อขณฺฑํ กตฺวาติ ทุกฺกฎมตฺตสฺสปิ อนาปชฺชเนน อขณฺฑิตํ กตฺวาฯ กิเลสมเลน อมลีนนฺติ ตณฺหาสํกิเลสาทินา อสํกิลิฎฺฐํ กตฺวาฯ ปริโยทาตเฎฺฐน นิมฺมลภาเวน สงฺขํ วิย ลิขิตํ โธตนฺติ สงฺขลิขิตนฺติ อาห ‘‘โธตสงฺขสปฺปฎิภาค’’นฺติฯ ‘‘อชฺฌาวสตา’’ติ ปทปฺปโยเคน ‘‘อคาร’’นฺติ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนนฺติ อาห ‘‘อคารมเชฺฌ’’ติฯ กสาเยน รตฺตานิ วตฺถานิ กาสายานีติ อาห ‘‘กสายรสปีตตายา’’ติฯ ปริทหิตฺวาติ นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จฯ อคารวาโส อคารํ อุตฺตรปทโลเปน, ตสฺส วฑฺฒิอาวหํ อคารสฺส หิตํฯ

    Saṅkhepakathāti visuṃ visuṃ paduddhāraṃ akatvā samāsato atthavaṇṇanā. Ekampi divasanti ekadivasamattampi. Akhaṇḍaṃ katvāti dukkaṭamattassapi anāpajjanena akhaṇḍitaṃ katvā. Kilesamalena amalīnanti taṇhāsaṃkilesādinā asaṃkiliṭṭhaṃ katvā. Pariyodātaṭṭhena nimmalabhāvena saṅkhaṃ viya likhitaṃ dhotanti saṅkhalikhitanti āha ‘‘dhotasaṅkhasappaṭibhāga’’nti. ‘‘Ajjhāvasatā’’ti padappayogena ‘‘agāra’’nti bhummatthe upayogavacananti āha ‘‘agāramajjhe’’ti. Kasāyena rattāni vatthāni kāsāyānīti āha ‘‘kasāyarasapītatāyā’’ti. Paridahitvāti nivāsetvā ceva pārupitvā ca. Agāravāso agāraṃ uttarapadalopena, tassa vaḍḍhiāvahaṃ agārassa hitaṃ.

    ๑๙๒. โภคกฺขโนฺธติ โภคสมุทาโยฯ อาพนฺธนเฎฺฐนาติ ‘‘ปุโตฺต นตฺตา’’ติอาทินา เปมวเสน สปริเจฺฉทํ พนฺธนเฎฺฐนฯ ‘‘อมฺหากเมเต’’ติ ญายนฺตีติ ญาตีฯ ปิตามหปิตุปุตฺตาทิวเสน ปริวตฺตนเฎฺฐน ปริวโฎฺฎฯ

    192.Bhogakkhandhoti bhogasamudāyo. Ābandhanaṭṭhenāti ‘‘putto nattā’’tiādinā pemavasena saparicchedaṃ bandhanaṭṭhena. ‘‘Amhākamete’’ti ñāyantīti ñātī. Pitāmahapituputtādivasena parivattanaṭṭhena parivaṭṭo.

    ๑๙๓. ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ ปาติโมกฺขสํวเรน ปิหิตกายวจีทฺวาโร, ตถาภูโต จ ยสฺมา เตน สํวเรน อุเปโต นาม โหติ , ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวเรน สมนฺนาคโต’’ติฯ ‘‘อาจารโคจรสมฺปโนฺน’’ติอาทิ ตเสฺสว ปาติโมกฺขสํวรสมนฺนาคมสฺส ปจฺจยทสฺสนํฯ อปฺปมตฺตเกสูติ อสญฺจิจฺจ อาปนฺนอนุขุทฺทเกสุ เจว สหสา อุปฺปนฺนอกุสลจิตฺตุปฺปาเทสุ จฯ ภยทสฺสาวีติ ภยทสฺสนสีโลฯ สมฺมา อาทิยิตฺวาติ สกฺกจฺจํ ยาวชีวํ อวีติกฺกมวเสน อาทิยิตฺวาฯ ตํ ตํ สิกฺขาปทนฺติ ตํ ตํ สิกฺขาโกฎฺฐาสํฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติ ปาเฐฯ สเงฺขโปติ สเงฺขปวณฺณนาฯ วิตฺถาโร วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔) วุโตฺต, ตสฺมา โส ตตฺถ, ตํสํวณฺณนาย (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๑๔) จ วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ

    193.Pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti pātimokkhasaṃvarena pihitakāyavacīdvāro, tathābhūto ca yasmā tena saṃvarena upeto nāma hoti , tasmā vuttaṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarena samannāgato’’ti. ‘‘Ācāragocarasampanno’’tiādi tasseva pātimokkhasaṃvarasamannāgamassa paccayadassanaṃ. Appamattakesūti asañcicca āpannaanukhuddakesu ceva sahasā uppannaakusalacittuppādesu ca. Bhayadassāvīti bhayadassanasīlo. Sammā ādiyitvāti sakkaccaṃ yāvajīvaṃ avītikkamavasena ādiyitvā. Taṃ taṃ sikkhāpadanti taṃ taṃ sikkhākoṭṭhāsaṃ. Etthāti etasmiṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’ti pāṭhe. Saṅkhepoti saṅkhepavaṇṇanā. Vitthāro visuddhimagge (visuddhi. 1.14) vutto, tasmā so tattha, taṃsaṃvaṇṇanāya (visuddhi. ṭī. 1.14) ca vuttanayena veditabbo.

    อาจารโคจรคฺคหเณเนวาติ ‘‘อาจารโคจรสมฺปโนฺน’’ติ วจเนเนวฯ เตนาห ‘‘กุสเล กายกมฺมวจีกเมฺม คหิเตปี’’ติฯ อธิกวจนํ อญฺญมตฺถํ โพเธตีติ กตฺวา ตสฺส อาชีวปาริสุทฺธิสีลสฺส อุปฺปตฺติทฺวารทสฺสนตฺถํ…เป.… กุสเลนาติ วุตฺตํ, สพฺพโส อเนสนปฺปหาเนน อนวเชฺชนาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ‘‘กตเม จ ถปติ กุสลา สีลา กุสลํ กายกมฺมํ กุสลํ วจีกมฺม’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๒๖๕) สีลสฺส กุสลกายวจีภาวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อาชีวปริสุทฺธมฺปิ โข อหํ ถปติ สีลสฺมิํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๖๕) เอวํ ปวตฺตาย มุณฺฑิกสุตฺตเทสนาย ‘‘กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต กุสเลน, ปริสุทฺธาชีโว’’ติ อยํ เทสนา เอกสงฺคหา อญฺญทตฺถุ สํสนฺทติ สเมตีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มุณฺฑิกสุตฺตวเสน วา เอวํ วุตฺต’’นฺติฯ สีลสฺมิํ วทามีติ ‘‘สีล’’นฺติ วทามิ, ‘‘สีลสฺมิํ อโนฺตคธํ ปริยาปนฺน’’นฺติ วทามีติ วา อโตฺถฯ ปริยาทานตฺถนฺติ ปริคฺคหตฺถํฯ

    Ācāragocaraggahaṇenevāti ‘‘ācāragocarasampanno’’ti vacaneneva. Tenāha ‘‘kusale kāyakammavacīkamme gahitepī’’ti. Adhikavacanaṃ aññamatthaṃ bodhetīti katvā tassa ājīvapārisuddhisīlassa uppattidvāradassanatthaṃ…pe… kusalenāti vuttaṃ, sabbaso anesanappahānena anavajjenāti attho. Yasmā ‘‘katame ca thapati kusalā sīlā kusalaṃ kāyakammaṃ kusalaṃ vacīkamma’’nti (ma. ni. 2.265) sīlassa kusalakāyavacībhāvaṃ dassetvā ‘‘ājīvaparisuddhampi kho ahaṃ thapati sīlasmiṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 2.265) evaṃ pavattāya muṇḍikasuttadesanāya ‘‘kāyakammavacīkammena samannāgato kusalena, parisuddhājīvo’’ti ayaṃ desanā ekasaṅgahā aññadatthu saṃsandati sametīti dassento āha ‘‘muṇḍikasuttavasena vā evaṃ vutta’’nti. Sīlasmiṃ vadāmīti ‘‘sīla’’nti vadāmi, ‘‘sīlasmiṃ antogadhaṃ pariyāpanna’’nti vadāmīti vā attho. Pariyādānatthanti pariggahatthaṃ.

    ติวิเธน สีเลนาติ จูฬสีลํ มชฺฌิมสีลํ มหาสีลนฺติ เอวํ ติวิเธน สีเลนฯ มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ, น กายปญฺจเมสุฯ ยถาลาภยถาพลยถาสารุปฺปปฺปการวเสน ติวิเธน สโนฺตเสนฯ

    Tividhena sīlenāti cūḷasīlaṃ majjhimasīlaṃ mahāsīlanti evaṃ tividhena sīlena. Manacchaṭṭhesu indriyesu, na kāyapañcamesu. Yathālābhayathābalayathāsāruppappakāravasena tividhena santosena.

    จูฬมชฺฌิมมหาสีลวณฺณนา

    Cūḷamajjhimamahāsīlavaṇṇanā

    ๑๙๔-๒๑๑. ‘‘สีลสฺมิ’’นฺติ อิทํ นิทฺธารเณ ภุมฺมนฺติ อาห ‘‘เอกํ สีลํ โหตีติ อโตฺถ’’ติฯ อยเมว อโตฺถติ ปจฺจตฺตวจนโตฺถ เอวฯ พฺรหฺมชาเลติ พฺรหฺมชาลวณฺณนายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗)ฯ

    194-211. ‘‘Sīlasmi’’nti idaṃ niddhāraṇe bhummanti āha ‘‘ekaṃ sīlaṃ hotīti attho’’ti. Ayameva atthoti paccattavacanattho eva. Brahmajāleti brahmajālavaṇṇanāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.7).

    ๒๑๒. อตฺตานุวาทปรานุวาททณฺฑภยาทีนิ อสํวรมูลกานิฯ สีลสฺสาสํวรโตติ สีลสฺส อสํวรณโต, สีลสํวราภาวโตติ อโตฺถฯ ภเวยฺยาติ อุปฺปเชฺชยฺยฯ ยถาวิธานวิหิเตนาติ ยถาวิธานสมฺปาทิเตนฯ อวิปฺปฎิสาราทินิมิตฺตํ อุปฺปนฺนเจตสิกสุขสมุฎฺฐาเนหิ ปณีตรูเปหิ ผุฎฺฐสรีรสฺส อุฬารํ กายิกํ สุขํ ภวตีติ อาห ‘‘อวิปฺปฎิสาร…เป.… ปฎิสํเวเทตี’’ติฯ

    212. Attānuvādaparānuvādadaṇḍabhayādīni asaṃvaramūlakāni. Sīlassāsaṃvaratoti sīlassa asaṃvaraṇato, sīlasaṃvarābhāvatoti attho. Bhaveyyāti uppajjeyya. Yathāvidhānavihitenāti yathāvidhānasampāditena. Avippaṭisārādinimittaṃ uppannacetasikasukhasamuṭṭhānehi paṇītarūpehi phuṭṭhasarīrassa uḷāraṃ kāyikaṃ sukhaṃ bhavatīti āha ‘‘avippaṭisāra…pe… paṭisaṃvedetī’’ti.

    อินฺทฺริยสํวรกถาวณฺณนา

    Indriyasaṃvarakathāvaṇṇanā

    ๒๑๓. วิเสโส กมฺมตฺถาเปกฺขตาย สามญฺญสฺส น เตหิ ปริจโตฺตติ อาห ‘‘จกฺขุ-สโทฺท กตฺถจิ พุทฺธจกฺขุมฺหิ วตฺตตี’’ติฯ วิชฺชมานเมว หิ อภิเธเยฺย วิเสสตฺถํ วิเสสนฺตรนิวตฺตนวเสน วิเสสสโทฺท วิภาเวติ, น อวิชฺชมานํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อเญฺญหิ อสาธารณํ พุทฺธานํเยว จกฺขุทสฺสนนฺติ พุทฺธจกฺขุ, อาสยานุสยญาณํ, อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณญฺจฯ สมนฺตโต สพฺพโส ทสฺสนเฎฺฐน สมนฺตจกฺขุ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ อริยมคฺคตฺตยปญฺญาติ เหฎฺฐิเม อริยมคฺคตฺตเย ปญฺญาฯ อิธาติ ‘‘จกฺขุนา รูป’’นฺติ อิมสฺมิํ ปาเฐฯ อยํ จกฺขุ-สโทฺท ปสาท…เป.… วตฺตติ นิสฺสยโวหาเร นิสฺสิตสฺส วตฺตพฺพโต ยถาฯ ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติฯ อสมฺมิสฺสนฺติ กิเลสทุเกฺขน อโวมิสฺสํฯ เตนาห ‘‘ปริสุทฺธ’’นฺติ ฯ สติ หิ สุวิสุเทฺธ อินฺทฺริยสํวเร, ปธานภูตปาปธมฺมวิคเมน อธิจิตฺตานุโยโค หตฺถคโต เอวํ โหตีติ อาห ‘‘อธิจิตฺตสุขํ ปฎิสํเวเทตี’’ติฯ

    213. Viseso kammatthāpekkhatāya sāmaññassa na tehi paricattoti āha ‘‘cakkhu-saddo katthaci buddhacakkhumhi vattatī’’ti. Vijjamānameva hi abhidheyye visesatthaṃ visesantaranivattanavasena visesasaddo vibhāveti, na avijjamānaṃ. Sesapadesupi eseva nayo. Aññehi asādhāraṇaṃ buddhānaṃyeva cakkhudassananti buddhacakkhu, āsayānusayañāṇaṃ, indriyaparopariyattañāṇañca. Samantato sabbaso dassanaṭṭhena samantacakkhu, sabbaññutaññāṇaṃ. Ariyamaggattayapaññāti heṭṭhime ariyamaggattaye paññā. Idhāti ‘‘cakkhunā rūpa’’nti imasmiṃ pāṭhe. Ayaṃ cakkhu-saddo pasāda…pe… vattati nissayavohāre nissitassa vattabbato yathā. ‘‘Mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’ti. Asammissanti kilesadukkhena avomissaṃ. Tenāha ‘‘parisuddha’’nti . Sati hi suvisuddhe indriyasaṃvare, padhānabhūtapāpadhammavigamena adhicittānuyogo hatthagato evaṃ hotīti āha ‘‘adhicittasukhaṃ paṭisaṃvedetī’’ti.

    สติสมฺปชญฺญกถาวณฺณนา

    Satisampajaññakathāvaṇṇanā

    ๒๑๔. สมนฺตโต, ปกฎฺฐํ วา สวิเสสํ ชานาตีติ สมฺปชาโน, สมฺปชานสฺส ภาโว สมฺปชญฺญํ, ตถาปวตฺตญาณํฯ ตสฺส วิภชนํ สมฺปชญฺญภาชนียํ, ตสฺมิํ สมฺปชญฺญภาชนียมฺหิฯ อภิกฺกมนํ อภิกฺกนฺตนฺติ อาห ‘‘อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ คมน’’นฺติฯ ตถา ปฎิกฺกมนํ ปฎิกฺกนฺตนฺติ อาห ‘‘ปฎิกฺกนฺตํ นิวตฺตน’’นฺติฯ นิวตฺตนนฺติ จ นิวตฺติมตฺตํฯ นิวตฺติตฺวา ปน คมนํ คมนเมวฯ อภิหรโนฺตติ คมนวเสน กายํ อุปเนโนฺตฯ ฐานนิสชฺชาสยเนสุ โย คมนวิธุโร กายสฺส ปุรโต อภิหาโร, โส อภิกฺกโม, ปจฺฉโต อปหรณํ ปฎิกฺกโมติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ฐาเนปี’’ติอาทิมาหฯ อาสนสฺสาติ ปีฐกาทิอาสนสฺสฯ ปุริมองฺคาภิมุโขติ อฎนิกาทิปุริมาวยวาภิมุโขฯ สํสรโนฺตติ สํสปฺปโนฺตฯ ปจฺจาสํสรโนฺตติ ปฎิอาสปฺปโนฺตฯ ‘‘เอเสว นโย’’ติ อิมินา นิปนฺนเสฺสว อภิมุขสํสปฺปนปฎิอาสปฺปนานิ นิทเสฺสติฯ

    214. Samantato, pakaṭṭhaṃ vā savisesaṃ jānātīti sampajāno, sampajānassa bhāvo sampajaññaṃ, tathāpavattañāṇaṃ. Tassa vibhajanaṃ sampajaññabhājanīyaṃ, tasmiṃ sampajaññabhājanīyamhi. Abhikkamanaṃ abhikkantanti āha ‘‘abhikkantaṃ vuccati gamana’’nti. Tathā paṭikkamanaṃ paṭikkantanti āha ‘‘paṭikkantaṃ nivattana’’nti. Nivattananti ca nivattimattaṃ. Nivattitvā pana gamanaṃ gamanameva. Abhiharantoti gamanavasena kāyaṃ upanento. Ṭhānanisajjāsayanesu yo gamanavidhuro kāyassa purato abhihāro, so abhikkamo, pacchato apaharaṇaṃ paṭikkamoti dassento ‘‘ṭhānepī’’tiādimāha. Āsanassāti pīṭhakādiāsanassa. Purimaaṅgābhimukhoti aṭanikādipurimāvayavābhimukho. Saṃsarantoti saṃsappanto. Paccāsaṃsarantoti paṭiāsappanto. ‘‘Eseva nayo’’ti iminā nipannasseva abhimukhasaṃsappanapaṭiāsappanāni nidasseti.

    สมฺมา ปชานนํ สมฺปชานํ, เตน อตฺตนา กาตพฺพกิจฺจสฺส กรณสีโล สมฺปชานการีติ อาห ‘‘สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการี’’ติฯ สมฺปชานสทฺทสฺส สมฺปชญฺญปริยายตา ปุเพฺพ วุตฺตา เอวฯ สมฺปชญฺญํ กโรเตวาติ อภิกฺกนฺตาทีสุ อสโมฺมหํ อุปฺปาเทติ เอวฯ สมฺปชญฺญสฺส วา กาโร เอตสฺส อตฺถีติ สมฺปชานการีฯ ธมฺมโต วฑฺฒิสงฺขาเตน สห อเตฺถน วตฺตตีติ สาตฺถกํ, อภิกฺกนฺตาทิฯ สาตฺถกสฺส สมฺปชานนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ สปฺปายสฺส อตฺตโน หิตสฺส สมฺปชานนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ ภิกฺขาจารโคจเร, อญฺญตฺถาปิ จ ปวเตฺตสุ อวิชหิเต กมฺมฎฺฐานสงฺขาเต โคจเร สมฺปชญฺญํ โคจรสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนเมว สมฺปชญฺญํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ปริคฺคเหตฺวาติ ตูเลตฺวา ตีเรตฺวา ปฎิสงฺขายาติ, อโตฺถฯ สงฺฆทสฺสเนเนว อุโปสถปวารณาทิอตฺถํ คมนํ สงฺคหิตํฯ อสุภทสฺสนาทีติ อาทิ-สเทฺทน กสิณปริกมฺมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ ฯ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘เจติยํ วา โพธิํ วา ทิสฺวาปิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อรหตฺตํ ปาปุณาตีติ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโส เอโสฯ สมถวิปสฺสนุปฺปาทนมฺปิ หิ ภิกฺขุโน วฑฺฒิเยวฯ เกจีติ อภยคิริวาสิโนฯ

    Sammā pajānanaṃ sampajānaṃ, tena attanā kātabbakiccassa karaṇasīlo sampajānakārīti āha ‘‘sampajaññena sabbakiccakārī’’ti. Sampajānasaddassa sampajaññapariyāyatā pubbe vuttā eva. Sampajaññaṃ karotevāti abhikkantādīsu asammohaṃ uppādeti eva. Sampajaññassa vā kāro etassa atthīti sampajānakārī. Dhammato vaḍḍhisaṅkhātena saha atthena vattatīti sātthakaṃ, abhikkantādi. Sātthakassa sampajānanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Sappāyassa attano hitassa sampajānanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu bhikkhācāragocare, aññatthāpi ca pavattesu avijahite kammaṭṭhānasaṅkhāte gocare sampajaññaṃ gocarasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu asammuyhanameva sampajaññaṃ asammohasampajaññaṃ. Pariggahetvāti tūletvā tīretvā paṭisaṅkhāyāti, attho. Saṅghadassaneneva uposathapavāraṇādiatthaṃ gamanaṃ saṅgahitaṃ. Asubhadassanādīti ādi-saddena kasiṇaparikammādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo . Saṅkhepato vuttamatthaṃ vivarituṃ ‘‘cetiyaṃ vā bodhiṃ vā disvāpi hī’’tiādi vuttaṃ. Arahattaṃ pāpuṇātīti ukkaṭṭhaniddeso eso. Samathavipassanuppādanampi hi bhikkhuno vaḍḍhiyeva. Kecīti abhayagirivāsino.

    ตสฺมิํ ปนาติ สาตฺถกสมฺปชญฺญวเสน ปริคฺคหิตอเตฺถฯ ‘‘อโตฺถติ ธมฺมโต วฑฺฒี’’ติ ยํ สาตฺถกนฺติ อธิเปฺปตํ, ตํ สปฺปายํ เอวาติ สิยา กสฺสจิ อาสงฺกาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘เจติยทสฺสนํ ตาวา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิยาติ จิตฺตกมฺมกตา ปฎิมาโย วิย, ยนฺตปโยเคน วา วิจิตฺตกมฺมา ปฎิมาโย วิยฯ อสมเปกฺขนํ เคหสฺสิต อญฺญาณุเปกฺขาวเสน อารมฺมณสฺส อโยนิโส คหณํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา อุปฺปชฺชติ อุเปกฺขา พาลสฺส มูฬฺหสฺส ปุถุชฺชนสฺสา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๓๐๘)ฯ หตฺถิอาทิสมฺมเทฺทน ชีวิตนฺตราโยฯ วิสภาครูปทสฺสนาทินา พฺรหฺมจริยนฺตราโยฯ

    Tasmiṃ panāti sātthakasampajaññavasena pariggahitaatthe. ‘‘Atthoti dhammato vaḍḍhī’’ti yaṃ sātthakanti adhippetaṃ, taṃ sappāyaṃ evāti siyā kassaci āsaṅkāti tannivattanatthaṃ ‘‘cetiyadassanaṃ tāvā’’tiādi āraddhaṃ. Cittakammarūpakāni viyāti cittakammakatā paṭimāyo viya, yantapayogena vā vicittakammā paṭimāyo viya. Asamapekkhanaṃ gehassita aññāṇupekkhāvasena ārammaṇassa ayoniso gahaṇaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Cakkhunā rūpaṃ disvā uppajjati upekkhā bālassa mūḷhassa puthujjanassā’’tiādi (ma. ni. 3.308). Hatthiādisammaddena jīvitantarāyo. Visabhāgarūpadassanādinā brahmacariyantarāyo.

    ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขูนํ อนุวตฺตนกถา อาจิณฺณา, อนนุวตฺตนกถา ปน ตสฺสา ทุติยา นาม โหตีติ อาห ‘‘เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพา’’ติฯ เอวนฺติ ‘‘สเจ ปนา’’ติอาทิกํ สพฺพมฺปิ วุตฺตาการํ ปจฺจามสติ, น ‘‘ปุริสสฺส มาตุคามาสุภ’’นฺติอาทิกํ วุจฺจมานํฯ

    Pabbajitadivasatopaṭṭhāya bhikkhūnaṃ anuvattanakathā āciṇṇā, ananuvattanakathā pana tassā dutiyā nāma hotīti āha ‘‘dve kathā nāma na kathitapubbā’’ti. Evanti ‘‘sace panā’’tiādikaṃ sabbampi vuttākāraṃ paccāmasati, na ‘‘purisassa mātugāmāsubha’’ntiādikaṃ vuccamānaṃ.

    โยคกมฺมสฺส ปวตฺติฎฺฐานตาย ภาวนาย อารมฺมณํ ‘‘กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจร’’นฺติฯ อุคฺคเหตฺวาติ ยถา อุคฺคหนิมิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, เอวํ อุคฺคหโกสลฺลสฺส สมฺปาทนวเสน อุคฺคเหตฺวา ฯ

    Yogakammassa pavattiṭṭhānatāya bhāvanāya ārammaṇaṃ ‘‘kammaṭṭhāna’’nti vuccatīti āha ‘‘kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocara’’nti. Uggahetvāti yathā uggahanimittaṃ uppajjati, evaṃ uggahakosallassa sampādanavasena uggahetvā .

    หรตีติ กมฺมฎฺฐานํ ปวเตฺตติ, ยาว ปิณฺฑปาตปฎิกฺกมา อนุยุญฺชตีติ อโตฺถฯ น ปจฺจาหรตีติ อาหารูปโยคโต ยาว ทิวาฐานุปสงฺกมนา กมฺมฎฺฐานํ น ปฎิเนติฯ สรีรปริกมฺมนฺติ มุขโธวนาทิสรีรปฎิชคฺคนํฯ เทฺว ตโย ปลฺลเงฺกติ เทฺว ตโย นิสชฺชาวาเร เทฺว ตีณิ อุณฺหาสนานิฯ เตนาห ‘‘อุสุมํ คาหาเปโนฺต’’ติฯ กมฺมฎฺฐานสีเสเนวาติ กมฺมฎฺฐานมุเขเนว กมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺต เอว, เตน ‘‘ปโตฺตปิ อเจตโน’’ติอาทินา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๔) วกฺขมานํ กมฺมฎฺฐานํ, ยถาปริหริยมานํ วา อวิชหิตฺวาติ ทเสฺสติฯ ตเถวาติ ติกฺขตฺตุเมวฯ ปริโภคเจติยโต สารีริกเจติยํ ครุตรนฺติ กตฺวา ‘‘เจติยํ วนฺทิตฺวา’’ติ ปุพฺพกาลกิริยาย วเสน วุตฺตํฯ ตถา หิ อฎฺฐกถายํ ‘‘เจติยํ พาธยมานา โพธิสาขา หริตพฺพา’’ติ วุตฺตาฯ พุทฺธคุณานุสฺสรณวเสเนว โพธิยํ ปณิปาตกรณนฺติ อาห ‘‘พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา’’ติฯ คามสมีเปติ คามสฺส อุปจารฎฺฐาเนฯ ชนสงฺคหตฺถนฺติ ‘‘มยิ อกเถเนฺต เอเตสํ โก กเถสฺสตี’’ติ ธมฺมานุคฺคเหน ชนสงฺคหตฺถํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ‘‘ธมฺมกถา นาม กเถตพฺพา เอวา’’ติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติ, ยสฺมา จ ธมฺมกถา กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิ, ตสฺมาฯ กมฺมฎฺฐานสีเสเนวาติ อตฺตนา ปริหริยมานํ กมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺต ตทนุคุณํเยว ธมฺมกถํ กเถตฺวาฯ อนุโมทนํ วตฺวาติ เอตฺถาปิ ‘‘กมฺมฎฺฐานสีเสเนวา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ

    Haratīti kammaṭṭhānaṃ pavatteti, yāva piṇḍapātapaṭikkamā anuyuñjatīti attho. Na paccāharatīti āhārūpayogato yāva divāṭhānupasaṅkamanā kammaṭṭhānaṃ na paṭineti. Sarīraparikammanti mukhadhovanādisarīrapaṭijagganaṃ. Dve tayo pallaṅketi dve tayo nisajjāvāre dve tīṇi uṇhāsanāni. Tenāha ‘‘usumaṃ gāhāpento’’ti. Kammaṭṭhānasīsenevāti kammaṭṭhānamukheneva kammaṭṭhānaṃ avijahanto eva, tena ‘‘pattopi acetano’’tiādinā (dī. ni. aṭṭha. 1.214) vakkhamānaṃ kammaṭṭhānaṃ, yathāparihariyamānaṃ vā avijahitvāti dasseti. Tathevāti tikkhattumeva. Paribhogacetiyato sārīrikacetiyaṃ garutaranti katvā ‘‘cetiyaṃ vanditvā’’ti pubbakālakiriyāya vasena vuttaṃ. Tathā hi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘cetiyaṃ bādhayamānā bodhisākhā haritabbā’’ti vuttā. Buddhaguṇānussaraṇavaseneva bodhiyaṃ paṇipātakaraṇanti āha ‘‘buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccakāraṃ dassetvā’’ti. Gāmasamīpeti gāmassa upacāraṭṭhāne. Janasaṅgahatthanti ‘‘mayi akathente etesaṃ ko kathessatī’’ti dhammānuggahena janasaṅgahatthaṃ. Tasmāti yasmā ‘‘dhammakathā nāma kathetabbā evā’’ti aṭṭhakathācariyā vadanti, yasmā ca dhammakathā kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi, tasmā. Kammaṭṭhānasīsenevāti attanā parihariyamānaṃ kammaṭṭhānaṃ avijahanto tadanuguṇaṃyeva dhammakathaṃ kathetvā. Anumodanaṃ vatvāti etthāpi ‘‘kammaṭṭhānasīsenevā’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ.

    สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนวาติ ‘‘ปริจิโต อปริจิโต’’ติอาทิ วิภาคํ อกตฺวา สมฺปตฺตโกฎิยา เอว, สมาคมมเตฺตเนวาติ อโตฺถฯ ภเยติ ปรจกฺกาทิภเยฯ

    Sampattaparicchedenevāti ‘‘paricito aparicito’’tiādi vibhāgaṃ akatvā sampattakoṭiyā eva, samāgamamattenevāti attho. Bhayeti paracakkādibhaye.

    ‘‘กมฺมชเตโช’’ติ คหณิํ สนฺธายาหฯ กมฺมฎฺฐานํ วีถิํ นาโรหติ ขุทาปริสฺสเมน กิลนฺตกายตฺตา สมาธานาภาวโตฯ อวเสสฎฺฐาเนติ ยาคุยา อคฺคหิตฎฺฐาเนฯ โปงฺขานุโปงฺขนฺติ กมฺมฎฺฐานุปฎฺฐานสฺส อวิเจฺฉททสฺสนเมตํ, ยถา โปงฺขานุโปงฺขํ ปวตฺตาย สรปฎิปาติยา อนวิเจฺฉโท, เอวเมตสฺสปีติฯ

    ‘‘Kammajatejo’’ti gahaṇiṃ sandhāyāha. Kammaṭṭhānaṃ vīthiṃ nārohati khudāparissamena kilantakāyattā samādhānābhāvato. Avasesaṭṭhāneti yāguyā aggahitaṭṭhāne. Poṅkhānupoṅkhanti kammaṭṭhānupaṭṭhānassa avicchedadassanametaṃ, yathā poṅkhānupoṅkhaṃ pavattāya sarapaṭipātiyā anavicchedo, evametassapīti.

    นิกฺขิตฺตธุโร ภาวนานุโยเคฯ วตฺตปฎิปตฺติยา อปูรเณน สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวาฯ ‘‘กาเมสุ อวีตราโค โหติ, กาเย อวีตราโค, รูเป อวีตราโค, ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ ภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขํ ปสฺสสุขํ มิทฺธสุขํ อนุยุโตฺต วิหรติ, อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปณิธาย พฺรหฺมจริยํ จรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๐; ม. นิ. ๑.๑๘๖) เอวํ วุตฺตปญฺจวิธเจโตขิลวินิพนฺธจิโตฺตฯ จริตฺวาติ ปวตฺติตฺวาฯ

    Nikkhittadhuro bhāvanānuyoge. Vattapaṭipattiyā apūraṇena sabbavattāni bhinditvā. ‘‘Kāmesu avītarāgo hoti, kāye avītarāgo, rūpe avītarāgo, yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ bhuñjitvā seyyasukhaṃ passasukhaṃ middhasukhaṃ anuyutto viharati, aññataraṃ devanikāyaṃ paṇidhāya brahmacariyaṃ caratī’’ti (dī. ni. 3.320; ma. ni. 1.186) evaṃ vuttapañcavidhacetokhilavinibandhacitto. Caritvāti pavattitvā.

    คตปจฺจาคติกวตฺตวเสนาติ ภาวนาสหิตํเยว ภิกฺขาย คตปจฺจาคตํ คมนปจฺจาคมนํ เอตสฺส อตฺถีติ คตปจฺจาคติกํ, ตเทว วตฺตํ, ตสฺส วเสนฯ อตฺตกามาติ อตฺตโน หิตสุขํ อิจฺฉนฺตา, ธมฺมจฺฉนฺทวโนฺตติ อโตฺถฯ ธโมฺม หิ หิตํ ตนฺนิมิตฺตกญฺจ สุขนฺติฯ อถ วา วิญฺญูนํ นิพฺพิเสสตฺตา, อตฺตภาวปริยาปนฺนตฺตา จ อตฺตา นาม ธโมฺม, ตํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อตฺตกามาฯ

    Gatapaccāgatikavattavasenāti bhāvanāsahitaṃyeva bhikkhāya gatapaccāgataṃ gamanapaccāgamanaṃ etassa atthīti gatapaccāgatikaṃ, tadeva vattaṃ, tassa vasena. Attakāmāti attano hitasukhaṃ icchantā, dhammacchandavantoti attho. Dhammo hi hitaṃ tannimittakañca sukhanti. Atha vā viññūnaṃ nibbisesattā, attabhāvapariyāpannattā ca attā nāma dhammo, taṃ kāmenti icchantīti attakāmā.

    อุสภํ นาม วีสติ ยฎฺฐิโยฯ ตาย สญฺญายาติ ตาย ปาสาณสญฺญาย, เอตฺตกํ ฐานํ อาคตาติ ชานนฺตาติ อธิปฺปาโยฯ โสเยว นโยติ ‘‘อยํ ภิกฺขู’’ติอาทิโก โย ฐาเน วุโตฺต, โส เอว นิสชฺชายปิ นโยฯ ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตานํ ฉินฺนภตฺตภาวภเยนปิ โยนิโสมนสิการํ ปริพฺรูเหติฯ มทฺทนฺตาติ ธญฺญกรณฎฺฐาเน สาลิสีสานิ มทฺทนฺตาฯ

    Usabhaṃ nāma vīsati yaṭṭhiyo. Tāya saññāyāti tāya pāsāṇasaññāya, ettakaṃ ṭhānaṃ āgatāti jānantāti adhippāyo. Soyeva nayoti ‘‘ayaṃ bhikkhū’’tiādiko yo ṭhāne vutto, so eva nisajjāyapi nayo. Pacchato āgacchantānaṃ chinnabhattabhāvabhayenapi yonisomanasikāraṃ paribrūheti. Maddantāti dhaññakaraṇaṭṭhāne sālisīsāni maddantā.

    มหาปธานํ ปูเชสฺสามีติ อมฺหากํ อตฺถาย โลกนาเถน ฉวสฺสานิ กตํ ทุกฺกรจริยเมวาหํ ยถาสตฺติ ปูเชสฺสามีติฯ ปฎิปตฺติปูชา หิ สตฺถุปูชา, น อามิสปูชาติฯ ‘‘ฐานจงฺกมเมวา’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพอิริยาปถวเสน วุตฺตํ, น โภชนาทิกาเลสุ อวสฺสํ กตฺตพฺพนิสชฺชาย ปฎิเกฺขปวเสนฯ

    Mahāpadhānaṃ pūjessāmīti amhākaṃ atthāya lokanāthena chavassāni kataṃ dukkaracariyamevāhaṃ yathāsatti pūjessāmīti. Paṭipattipūjā hi satthupūjā, na āmisapūjāti. ‘‘Ṭhānacaṅkamamevā’’ti adhiṭṭhātabbairiyāpathavasena vuttaṃ, na bhojanādikālesu avassaṃ kattabbanisajjāya paṭikkhepavasena.

    วีถิํ โอตริตฺวา อิโต จิโต จ อโนโลเกตฺวา ปฐมเมว วีถิโย สลฺลเกฺขตพฺพาติ อาห ‘‘วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา’’ติฯ ยํ สนฺธาย วุจฺจติ ‘‘ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตนา’’ติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อาหาเร ปฎิกฺกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ ปรโต อาคมิสฺสติฯ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตนฺติ ‘‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘; มหานิ. ๒๐๖) วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ กตฺวาฯ ‘‘เนว ทวายา’’ติอาทิ ปฎิเกฺขปทสฺสนํฯ

    Vīthiṃ otaritvā ito cito ca anoloketvā paṭhamameva vīthiyo sallakkhetabbāti āha ‘‘vīthiyo sallakkhetvā’’ti. Yaṃ sandhāya vuccati ‘‘pāsādikena abhikkantenā’’ti, taṃ dassetuṃ ‘‘tattha cā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Āhāre paṭikkūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā’’tiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ parato āgamissati. Aṭṭhaṅgasamannāgatanti ‘‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58; mahāni. 206) vuttehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgataṃ katvā. ‘‘Neva davāyā’’tiādi paṭikkhepadassanaṃ.

    ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหตีติ สมฺพโนฺธฯ เอวํ สพฺพตฺถ อิโต ปเรสุปิฯ ตตฺถ ปเจฺจกโพธิยา อุปนิสฺสยสมฺปทา กปฺปานํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ, สตสหสฺสญฺจ ตชฺชาปุญฺญญาณสมฺภรณํฯ สาวกโพธิยา อคฺคสาวกานํ อสเงฺขฺยยฺยํ, กปฺปสตสหสฺสญฺจ, มหาสาวกานํ (เถรคา. อฎฺฐ. ๒.๑๒๘๘) สตสหสฺสเมว ตชฺชาปุญฺญญาณสมฺภรณํฯ อิตเรสํ อตีตาสุ ชาตีสุ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสยวเสน นิพฺพตฺติตํ นิเพฺพธภาคิยํ กุสลํฯ พาหิโย ทารุจีริโยติ พาหิยวิสเย สญฺชาตสํวฑฺฒตาย พาหิโย, ทารุจีรปริหรเณน ทารุจีริโยติ จ สมญฺญาโตฯ โส หิ อายสฺมา ‘‘ตสฺมาติห เต, พาหิย, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ, สุเต, มุเต, วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตํ ภวิสฺสตี’ติ, เอวญฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพํฯ ยโต โข เต พาหิย ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ, สุเต, มุเต, วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตํ ภวิสฺสติ, ตโต ตฺวํ, พาหิย, น เตนฯ ยโต ตฺวํ, พาหิย, น เตน, ตโต ตฺวํ, พาหิย, น ตตฺถฯ ยโต ตฺวํ, พาหิย, น ตตฺถ, ตโต ตฺวํ, พาหิย, เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเรนฯ เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสา’’ติ (อุทา. ๑๐) เอตฺตกาย เทสนาย อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ เอวํ สาริปุตฺตเตฺถราทีนํ มหาปญฺญตาทิทีปนานิ สุตฺตปทานิ วิตฺถารโต เวทิตพฺพานิฯ

    Paccekabodhiṃ sacchikaroti, yadi upanissayasampanno hotīti sambandho. Evaṃ sabbattha ito paresupi. Tattha paccekabodhiyā upanissayasampadā kappānaṃ dve asaṅkhyeyyāni, satasahassañca tajjāpuññañāṇasambharaṇaṃ. Sāvakabodhiyā aggasāvakānaṃ asaṅkhyeyyaṃ, kappasatasahassañca, mahāsāvakānaṃ (theragā. aṭṭha. 2.1288) satasahassameva tajjāpuññañāṇasambharaṇaṃ. Itaresaṃ atītāsu jātīsu vivaṭṭasannissayavasena nibbattitaṃ nibbedhabhāgiyaṃ kusalaṃ. Bāhiyo dārucīriyoti bāhiyavisaye sañjātasaṃvaḍḍhatāya bāhiyo, dārucīrapariharaṇena dārucīriyoti ca samaññāto. So hi āyasmā ‘‘tasmātiha te, bāhiya, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissati, sute, mute, viññāte viññātamattaṃ bhavissatī’ti, evañhi te bāhiya sikkhitabbaṃ. Yato kho te bāhiya diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissati, sute, mute, viññāte viññātamattaṃ bhavissati, tato tvaṃ, bāhiya, na tena. Yato tvaṃ, bāhiya, na tena, tato tvaṃ, bāhiya, na tattha. Yato tvaṃ, bāhiya, na tattha, tato tvaṃ, bāhiya, nevidha na huraṃ na ubhayamantarena. Esevanto dukkhassā’’ti (udā. 10) ettakāya desanāya arahattaṃ sacchākāsi. Evaṃ sāriputtattherādīnaṃ mahāpaññatādidīpanāni suttapadāni vitthārato veditabbāni.

    นฺติ อสมฺมุยฺหนํ เอวนฺติ อิทานิ วุจฺจมานมากาเรเนว เวทิตพฺพํฯ ‘‘อตฺตา อภิกฺกมตี’’ติ อิมินา อนฺธปุถุชฺชนสฺส ทิฎฺฐิคาหวเสน อภิกฺกเม สมฺมุยฺหนํ ทเสฺสติ, ‘‘อหํ อภิกฺกมามี’’ติ ปน อิมินา มานคาหวเสนฯ ตทุภยํ ปน ตณฺหาย วินา น โหตีติ ตณฺหคาหวเสนปิ สมฺมุยฺหนํ ทสฺสิตเมว โหติฯ ‘‘ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต’’ติ วตฺวา ตํ อสมฺมุยฺหนํ เยน ฆนวินิโพฺภเคน โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อภิกฺกมามี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา วาโยธาตุยา อนุคตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส ปจฺจโยฯ อุทฺธรณคติกา หิ เตโชธาตูติฯ อุทฺธรเณ วาโยธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตสฺมา อิมาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอเกกปาทุทฺธรเณ…เป.… พลวติโยติ อาหฯ ยสฺมา ปน เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ อติหรณวีติหรณานํ ปจฺจโยฯ ติริยคติกาย หิ วาโยธาตุยา อติหรณวีติหรเณสุ สาติสโย พฺยาปาโรติฯ เตโชธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตสฺมา อิมาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตถา อติหรณวีติหรเณสู’’ติ อาหฯ สติปิ อนุคมกอนุคนฺตพฺพตาวิเสเส เตโชธาตุวาโยธาตุภาวมตฺตํ สนฺธาย ตถา-สทฺทคฺคหณํ,ฯ ตตฺถ อกฺกนฺตฎฺฐานโต ปาทสฺส อุกฺขิปนํ อุทฺธรณํฯ ฐิตฎฺฐานํ อติกฺกมิตฺวา ปุรโต หรณํ อติหรณํ, ขาณุอาทิปริหรณตฺถํ, ปติฎฺฐิตปาทฆฎฺฎนปริหรณตฺถํ วา ปเสฺสน หรณํ วีติหรณํฯ ยาว ปติฎฺฐิตปาโท, ตาว อาหรณํ อติหรณํ, ตโต ปรํ หรณํ วีติหรณนฺติ อยํ วา เอเตสํ วิเสโสฯ

    Tanti asammuyhanaṃ evanti idāni vuccamānamākāreneva veditabbaṃ. ‘‘Attā abhikkamatī’’ti iminā andhaputhujjanassa diṭṭhigāhavasena abhikkame sammuyhanaṃ dasseti, ‘‘ahaṃ abhikkamāmī’’ti pana iminā mānagāhavasena. Tadubhayaṃ pana taṇhāya vinā na hotīti taṇhagāhavasenapi sammuyhanaṃ dassitameva hoti. ‘‘Tathā asammuyhanto’’ti vatvā taṃ asammuyhanaṃ yena ghanavinibbhogena hoti, taṃ dassento ‘‘abhikkamāmī’’tiādimāha. Tattha yasmā vāyodhātuyā anugatā tejodhātu uddharaṇassa paccayo. Uddharaṇagatikā hi tejodhātūti. Uddharaṇe vāyodhātuyā tassā anugatabhāvo, tasmā imāsaṃ dvinnamettha sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento ‘‘ekekapāduddharaṇe…pe… balavatiyoti āha. Yasmā pana tejodhātuyā anugatā vāyodhātu atiharaṇavītiharaṇānaṃ paccayo. Tiriyagatikāya hi vāyodhātuyā atiharaṇavītiharaṇesu sātisayo byāpāroti. Tejodhātuyā tassā anugatabhāvo, tasmā imāsaṃ dvinnamettha sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento ‘‘tathā atiharaṇavītiharaṇesū’’ti āha. Satipi anugamakaanugantabbatāvisese tejodhātuvāyodhātubhāvamattaṃ sandhāya tathā-saddaggahaṇaṃ,. Tattha akkantaṭṭhānato pādassa ukkhipanaṃ uddharaṇaṃ. Ṭhitaṭṭhānaṃ atikkamitvā purato haraṇaṃ atiharaṇaṃ, khāṇuādipariharaṇatthaṃ, patiṭṭhitapādaghaṭṭanapariharaṇatthaṃ vā passena haraṇaṃ vītiharaṇaṃ. Yāva patiṭṭhitapādo, tāva āharaṇaṃ atiharaṇaṃ, tato paraṃ haraṇaṃ vītiharaṇanti ayaṃ vā etesaṃ viseso.

    ยสฺมา ปถวีธาตุยา อนุคตา อาโปธาตุ โวสฺสชฺชนสฺส ปจฺจโยฯ ครุตรสภาวา หิ อาโปธาตูติฯ โวสฺสชฺชเน ปถวีธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตสฺมา ตาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โวสฺสชฺชเน…เป.… พลวติโย’’ติฯ ยสฺมา ปน อาโปธาตุยา อนุคตา ปถวีธาตุ สนฺนิเกฺขปนสฺส ปจฺจโย, ปติฎฺฐาภาเว วิย ปติฎฺฐาปเนปิ ตสฺสา สาติสยกิจฺจตฺตา อาโปธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตถา ฆฎฺฎนกิริยาย ปถวีธาตุยา วเสน สนฺนิรุชฺฌนสฺส สิชฺฌนโต ตตฺถาปิ ปถวีธาตุยา อาโปธาตุอนุคตภาโว, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุชฺฌเนสู’’ติฯ

    Yasmā pathavīdhātuyā anugatā āpodhātu vossajjanassa paccayo. Garutarasabhāvā hi āpodhātūti. Vossajjane pathavīdhātuyā tassā anugatabhāvo, tasmā tāsaṃ dvinnamettha sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento āha ‘‘vossajjane…pe… balavatiyo’’ti. Yasmā pana āpodhātuyā anugatā pathavīdhātu sannikkhepanassa paccayo, patiṭṭhābhāve viya patiṭṭhāpanepi tassā sātisayakiccattā āpodhātuyā tassā anugatabhāvo, tathā ghaṭṭanakiriyāya pathavīdhātuyā vasena sannirujjhanassa sijjhanato tatthāpi pathavīdhātuyā āpodhātuanugatabhāvo, tasmā vuttaṃ ‘‘tathā sannikkhepanasannirujjhanesū’’ti.

    ตตฺถาติ ตสฺมิํ อภิกฺกมเน, เตสุ วา วุเตฺตสุ อุทฺทรณาทีสุ โกฎฺฐาเสสุฯ อุทฺธรเณติ อุทฺธรณกฺขเณฯ รูปารูปธมฺมาติ อุทฺธรณากาเรน ปวตฺตา รูปธมฺมา, ตํสมุฎฺฐาปกา อรูปธมฺมา จฯ อติหรณํ น ปาปุณนฺติ ขณมตฺตาวฎฺฐานโตฯ ตตฺถ ตเตฺถวาติ ยตฺถ ยตฺถ อุปฺปนฺนา, ตตฺถ ตเตฺถวฯ น หิ ธมฺมานํ เทสนฺตรสงฺกมนํ อตฺถิฯ ‘‘ปพฺพํ ปพฺพ’’ติอาทิ อุทฺธรณาทิโกฎฺฐาเส สนฺธาย สภาคสนฺตติวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อติอิตฺตโร หิ รูปธมฺมานมฺปิ ปวตฺติกฺขโณ, คมนสฺสาทีนํ, เทวปุตฺตานํ เหฎฺฐุปริเยน ปฎิมุขํ ธาวนฺตานํ สิรสิ ปาเท จ พนฺธขุรธารา สมาคมโตปิ สีฆตโรฯ ยถา ติลานํ ภชฺชิยมานานํ ปฎปฎายเนน เภโท ลกฺขียติ, เอวํ สงฺขตธมฺมานํ อุปฺปาเทนาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปฎปฎายนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ อุปฺปนฺนา หิ เอกนฺตโต ภิชฺชนฺตีติฯ ‘‘สทฺธิํ รูเปนา’’ติ อิทํ ตสฺส ตสฺส จิตฺตสฺส นิโรเธน สทฺธิํ นิรุชฺฌนกรูปธมฺมานํ วเสน วุตฺตํ, ยํ ตโต สตฺตรสมจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํฯ อญฺญถา ยทิ รูปารูปธมฺมา สมานกฺขณา สิยุํ, ‘‘รูปํ ครุปริณามํ ทนฺธนิโรธ’’นฺติอาทิวจเนหิ วิโรโธ สิยา, ตถา ‘‘นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ ลหุปริวตฺตํ, ยถยิทํ จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๘) เอวํ อาทิปาฬิยาฯ จิตฺตเจตสิกา หิ สารมฺมณสภาวา ยถาพลํ อตฺตโน อารมฺมณปจฺจยภูตมตฺถํ วิภาเวโนฺต เอว อุปฺปชฺชนฺตีติ เตสํ ตํสภาวนิปฺผตฺติอนนฺตรํ นิโรโธฯ รูปธมฺมา ปน อนารมฺมณา ปกาเสตพฺพา, เอวํ เตสํ ปกาเสตพฺพภาวนิปฺผตฺติ โสฬสหิ จิเตฺตหิ โหตีติ ตงฺขณายุกตา เตสํ อิจฺฉิตา, ลหุวิญฺญาณวิสยสงฺคติมตฺตปฺปจฺจยตาย ติณฺณํ ขนฺธานํ, วิสยสงฺคติมตฺตตาย จ วิญฺญาณสฺส ลหุปริวตฺติตา, ทนฺธมหาภูตปฺปจฺจยตาย รูปธมฺมานํ ทนฺธปริวตฺติตาฯ นานาธาตุยา ยถาภูตญาณํ โข ปน ตถาคตเสฺสว, เตน จ ปุเรชาตปจฺจโย รูปธโมฺมว วุโตฺต, ปจฺฉาชาตปจฺจโย จ ตเถวาติ รูปารูปธมฺมานํ สมานกฺขณตา น ยุชฺชเตวฯ ตสฺมา วุตฺตนเยเนเวตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tatthāti tasmiṃ abhikkamane, tesu vā vuttesu uddaraṇādīsu koṭṭhāsesu. Uddharaṇeti uddharaṇakkhaṇe. Rūpārūpadhammāti uddharaṇākārena pavattā rūpadhammā, taṃsamuṭṭhāpakā arūpadhammā ca. Atiharaṇaṃna pāpuṇanti khaṇamattāvaṭṭhānato. Tattha tatthevāti yattha yattha uppannā, tattha tattheva. Na hi dhammānaṃ desantarasaṅkamanaṃ atthi. ‘‘Pabbaṃ pabba’’tiādi uddharaṇādikoṭṭhāse sandhāya sabhāgasantativasena vuttanti veditabbaṃ. Atiittaro hi rūpadhammānampi pavattikkhaṇo, gamanassādīnaṃ, devaputtānaṃ heṭṭhupariyena paṭimukhaṃ dhāvantānaṃ sirasi pāde ca bandhakhuradhārā samāgamatopi sīghataro. Yathā tilānaṃ bhajjiyamānānaṃ paṭapaṭāyanena bhedo lakkhīyati, evaṃ saṅkhatadhammānaṃ uppādenāti dassanatthaṃ ‘‘paṭapaṭāyantā’’ti vuttaṃ. Uppannā hi ekantato bhijjantīti. ‘‘Saddhiṃ rūpenā’’ti idaṃ tassa tassa cittassa nirodhena saddhiṃ nirujjhanakarūpadhammānaṃ vasena vuttaṃ, yaṃ tato sattarasamacittassa uppādakkhaṇe uppannaṃ. Aññathā yadi rūpārūpadhammā samānakkhaṇā siyuṃ, ‘‘rūpaṃ garupariṇāmaṃ dandhanirodha’’ntiādivacanehi virodho siyā, tathā ‘‘nāhaṃ bhikkhave aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ lahuparivattaṃ, yathayidaṃ citta’’nti (a. ni. 1.48) evaṃ ādipāḷiyā. Cittacetasikā hi sārammaṇasabhāvā yathābalaṃ attano ārammaṇapaccayabhūtamatthaṃ vibhāvento eva uppajjantīti tesaṃ taṃsabhāvanipphattianantaraṃ nirodho. Rūpadhammā pana anārammaṇā pakāsetabbā, evaṃ tesaṃ pakāsetabbabhāvanipphatti soḷasahi cittehi hotīti taṅkhaṇāyukatā tesaṃ icchitā, lahuviññāṇavisayasaṅgatimattappaccayatāya tiṇṇaṃ khandhānaṃ, visayasaṅgatimattatāya ca viññāṇassa lahuparivattitā, dandhamahābhūtappaccayatāya rūpadhammānaṃ dandhaparivattitā. Nānādhātuyā yathābhūtañāṇaṃ kho pana tathāgatasseva, tena ca purejātapaccayo rūpadhammova vutto, pacchājātapaccayo ca tathevāti rūpārūpadhammānaṃ samānakkhaṇatā na yujjateva. Tasmā vuttanayenevettha attho veditabbo.

    อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌตีติ ยํ ปุริมุปฺปนฺนํ จิตฺตํ, ตํ อญฺญํ, ตํ ปน นิรุชฺฌนฺตํ อปรสฺส อนนฺตราทิปจฺจยภาเวเนว นิรุชฺฌตีติ ตถาลทฺธปจฺจยํ อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํฯ ยทิ เอวํ เตสํ อนฺตโร ลเพฺภยฺยาติ? โนติ อาห ‘‘อวีจิ มนุปฺปพโนฺธ’’ติ, ยถา วีจิ อนฺตโร น ลพฺภติ, ‘‘ตเทเวต’’นฺติ อวิเสสวิทู มญฺญนฺติ, เอวํ อนุ อนุ ปพโนฺธ จิตฺตสนฺตาโน รูปสนฺตาโน จ นทีโสโตว นทิยํ อุทกปฺปวาโห วิย วตฺตติฯ

    Aññaṃuppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhatīti yaṃ purimuppannaṃ cittaṃ, taṃ aññaṃ, taṃ pana nirujjhantaṃ aparassa anantarādipaccayabhāveneva nirujjhatīti tathāladdhapaccayaṃ aññaṃ uppajjate cittaṃ. Yadi evaṃ tesaṃ antaro labbheyyāti? Noti āha ‘‘avīci manuppabandho’’ti, yathā vīci antaro na labbhati, ‘‘tadeveta’’nti avisesavidū maññanti, evaṃ anu anu pabandho cittasantāno rūpasantāno ca nadīsotova nadiyaṃ udakappavāho viya vattati.

    อภิมุขํ โลกิตํ อาโลกิตนฺติ อาห ‘‘ปุรโต เปกฺขน’’นฺติฯ ยสฺมา ยํทิสาภิมุโข คจฺฉติ, ติฎฺฐติ, นิสีทติ วา ตทภิมุขํ เปกฺขนํ อาโลกิตํ, ตสฺมา ตทนุคตวิทิสาโลกนํ วิโลกิตนฺติ อาห ‘‘วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขน’’นฺติฯ สมฺมชฺชนปริภณฺฑาทิกรเณ โอโลกิตสฺส, อุโลฺลกหรณาทีสุ อุโลฺลกิตสฺส, ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตปริสฺสยสฺส ปริวชฺชนาทีสุ อปโลกิตสฺส สิยา สมฺภโวติ อาห ‘‘อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวา’’ติฯ

    Abhimukhaṃ lokitaṃ ālokitanti āha ‘‘purato pekkhana’’nti. Yasmā yaṃdisābhimukho gacchati, tiṭṭhati, nisīdati vā tadabhimukhaṃ pekkhanaṃ ālokitaṃ, tasmā tadanugatavidisālokanaṃ vilokitanti āha ‘‘vilokitaṃ nāma anudisāpekkhana’’nti. Sammajjanaparibhaṇḍādikaraṇe olokitassa, ullokaharaṇādīsu ullokitassa, pacchato āgacchantaparissayassa parivajjanādīsu apalokitassa siyā sambhavoti āha ‘‘iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevā’’ti.

    กายสกฺขินฺติ กาเยน สจฺฉิกตวนฺตํ, ปจฺจกฺขการินนฺติ อโตฺถฯ โส หิ อายสฺมา วิปสฺสนากาเล ‘‘ยเมวาหํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตํ นิสฺสาย สาสเน อนภิรติอาทิวิปฺปการํ ปโตฺต, ตเมว สุฎฺฐุ นิคฺคเหสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต พลวหิโรตฺตโปฺป, ตตฺถ จ กตาธิการตฺตา อินฺทฺริยสํวเร อุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต, เตเนว นํ สตฺถา ‘‘เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ, ยทิทํ นโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๓๕) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Kāyasakkhinti kāyena sacchikatavantaṃ, paccakkhakārinanti attho. So hi āyasmā vipassanākāle ‘‘yamevāhaṃ indriyesu aguttadvārataṃ nissāya sāsane anabhiratiādivippakāraṃ patto, tameva suṭṭhu niggahessāmī’’ti ussāhajāto balavahirottappo, tattha ca katādhikārattā indriyasaṃvare ukkaṃsapāramippatto, teneva naṃ satthā ‘‘etadaggaṃ bhikkhave mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ indriyesu guttadvārānaṃ, yadidaṃ nando’’ti (a. ni. 1.235) etadagge ṭhapesi.

    สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพา อาโลกิตวิโลกิตสฺสาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ตสฺมาติ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเสฺสว โคจรสมฺปชญฺญภาวโตติ วุตฺตเมวตฺถํ เหตุภาเวน ปจฺจามสติฯ อตฺตโน กมฺมฎฺฐานวเสเนว อาโลกนวิโลกนํ กาตพฺพํ, ขนฺธาทิกมฺมฎฺฐานา อโญฺญ อุปาโย น คเวสิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ อาโลกิตาทิสมญฺญาปิ ยสฺมา ธมฺมมตฺตเสฺสว ปวตฺติวิเสโส, ตสฺมา ตสฺส ยาถาวโต ปชานนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อพฺภนฺตเร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสนาติ กิริยมยจิตฺตสมุฎฺฐานาย วาโยธาตุยา จลนาการปฺปวตฺติวเสนฯ อโธ สีทตีติ อโธ คจฺฉติฯ อุทฺธํ ลเงฺฆตีติ ลงฺฆํ วิย อุปริ คจฺฉติฯ

    Sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā ālokitavilokitassāti ānetvā sambandho. Tasmāti kammaṭṭhānāvijahanasseva gocarasampajaññabhāvatoti vuttamevatthaṃ hetubhāvena paccāmasati. Attanokammaṭṭhānavaseneva ālokanavilokanaṃ kātabbaṃ, khandhādikammaṭṭhānā añño upāyo na gavesitabboti adhippāyo. Ālokitādisamaññāpi yasmā dhammamattasseva pavattiviseso, tasmā tassa yāthāvato pajānanaṃ asammohasampajaññanti dassetuṃ ‘‘abbhantare’’tiādi vuttaṃ. Cittakiriyavāyodhātuvipphāravasenāti kiriyamayacittasamuṭṭhānāya vāyodhātuyā calanākārappavattivasena. Adho sīdatīti adho gacchati. Uddhaṃ laṅghetīti laṅghaṃ viya upari gacchati.

    องฺคกิจฺจํ สาธยมานนฺติ ปธานภูตองฺคกิจฺจํ นิปฺผาเทนฺตํ หุตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘ปฐมชวเนปิ…เป.… น โหตี’’ติ อิทํ ปญฺจทฺวารวีถิยํ ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติ รชฺชนาทีนํ อภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ หิ อาวชฺชน โวฎฺฐพฺพปนานํ อโยนิโส อาวชฺชนโวฎฺฐพฺพนวเสน อิเฎฺฐ อิตฺถิรูปาทิมฺหิ โลภมตฺตํ, อนิเฎฺฐ จ ปฎิฆมตฺตํ อุปฺปชฺชติ, มโนทฺวาเร ปน ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติ รชฺชนาทิ โหติฯ ตสฺส ปญฺจทฺวารชวนํ มูลํ, ยถาวุตฺตํ วา สพฺพํ ภวงฺคาทิฯ เอวํ มโนทฺวารชวนสฺส มูลวเสน มูลปริญฺญา วุตฺตาฯ อาคนฺตุกตาวกาลิกตา ปน ปญฺจทฺวารชวนเสฺสว อปุพฺพภาววเสน, อิตฺตรภาววเสน จ วุตฺตาฯ ‘‘เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสู’’ติ เหฎฺฐิมสฺส อุปริมสฺส จ อปราปรํ ภงฺคปฺปตฺติมาหฯ

    Aṅgakiccaṃ sādhayamānanti padhānabhūtaaṅgakiccaṃ nipphādentaṃ hutvāti attho. ‘‘Paṭhamajavanepi…pe… na hotī’’ti idaṃ pañcadvāravīthiyaṃ ‘‘itthī puriso’’ti rajjanādīnaṃ abhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha hi āvajjana voṭṭhabbapanānaṃ ayoniso āvajjanavoṭṭhabbanavasena iṭṭhe itthirūpādimhi lobhamattaṃ, aniṭṭhe ca paṭighamattaṃ uppajjati, manodvāre pana ‘‘itthī puriso’’ti rajjanādi hoti. Tassa pañcadvārajavanaṃ mūlaṃ, yathāvuttaṃ vā sabbaṃ bhavaṅgādi. Evaṃ manodvārajavanassa mūlavasena mūlapariññā vuttā. Āgantukatāvakālikatā pana pañcadvārajavanasseva apubbabhāvavasena, ittarabhāvavasena ca vuttā. ‘‘Heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesū’’ti heṭṭhimassa uparimassa ca aparāparaṃ bhaṅgappattimāha.

    นฺติ ชวนํ, ตสฺส อยุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อาคนฺตุโก อพฺภาคโตฯ

    Tanti javanaṃ, tassa ayuttanti sambandho. Āgantuko abbhāgato.

    อุทยพฺพยปริจฺฉิโนฺน ตาวตโก กาโล เอเตสนฺติ ตาวกาลิกานิฯ

    Udayabbayaparicchinno tāvatako kālo etesanti tāvakālikāni.

    เอตํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ สมวาเยติ สามคฺคิยํ ฯ ตตฺถาติ ปญฺจกฺขนฺธวเสน อาโลกนวิโลกเน ปญฺญายมาเน ตพฺพินิมุโตฺต โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติฯ

    Etaṃ asammohasampajaññaṃ. Samavāyeti sāmaggiyaṃ . Tatthāti pañcakkhandhavasena ālokanavilokane paññāyamāne tabbinimutto ko eko āloketi, ko viloketi.

    ‘‘อุปนิสฺสยปจฺจโย’’ติ อิทํ สุตฺตนฺตนเยน ปริยายโต วุตฺตํฯ สหชาตปจฺจโยติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ อญฺญมญฺญสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตาทิปจฺจยานมฺปิ ลพฺภนโตฯ

    ‘‘Upanissayapaccayo’’ti idaṃ suttantanayena pariyāyato vuttaṃ. Sahajātapaccayoti nidassanamattametaṃ aññamaññasampayuttaatthiavigatādipaccayānampi labbhanato.

    กาเล สมญฺฉิตุํ ยุตฺตกาเล สมญฺฉนฺตสฺสฯ ตถา ปสาเรนฺตสฺสาติ เอตฺถาปิฯ มณิสโปฺป นาม เอกา สปฺปชาตีติ วทนฺติฯ ลฬนนฺติ กมฺปนํ, ลีฬากรณํ วาฯ

    Kāle samañchituṃ yuttakāle samañchantassa. Tathā pasārentassāti etthāpi. Maṇisappo nāma ekā sappajātīti vadanti. Laḷananti kampanaṃ, līḷākaraṇaṃ vā.

    อุณฺหปกติโก ปริฬาหพหุลกาโยฯ สีลวิทูสเนน อหิตาวหตฺตา มิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ อสปฺปายํฯ ‘‘จีวรมฺปิ อเจตน’’นฺติอาทินา จีวรสฺส วิย กาโยปิ อเจตโนติ กายสฺส อตฺตสุญฺญตาวิภาวเนน ‘‘อพฺภนฺตเร’’ติอาทินา วุตฺตเมวตฺถํ ปริทีเปโนฺต อิตรีตรสโนฺตสสฺส การณํ ทเสฺสติ, เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ

    Uṇhapakatiko pariḷāhabahulakāyo. Sīlavidūsanena ahitāvahattā micchājīvavasena uppannaṃ asappāyaṃ. ‘‘Cīvarampi acetana’’ntiādinā cīvarassa viya kāyopi acetanoti kāyassa attasuññatāvibhāvanena ‘‘abbhantare’’tiādinā vuttamevatthaṃ paridīpento itarītarasantosassa kāraṇaṃ dasseti, tenāha ‘‘tasmā’’tiādi.

    จตุปญฺจคณฺฐิกาหโตติ อาหตจตุปญฺจคณฺฐิโก, จตุปญฺจคณฺฐิกาหิ วา อาหโต ตถาฯ

    Catupañcagaṇṭhikāhatoti āhatacatupañcagaṇṭhiko, catupañcagaṇṭhikāhi vā āhato tathā.

    อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถติ อฎฺฐวิโธปิ ปโยชนวิเสโส มหาสิวเตฺถรวาทวเสน ‘‘อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓, ๔๒๒; ม. นิ. ๒.๓๘๗; อ. นิ. ๒.๓๔๑; ๘.๙; ธ. ส. ๑๓๕๕; วิภ. ๕๑๘; มหานิ. ๒๐๖) นเยน วุโตฺต ทฎฺฐโพฺพฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข ‘‘เนว ทวายาติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓, ๔๒๒; ม. นิ. ๒.๓๘๗; อ. นิ. ๘.๙; ธ. ส. ๑๓๕๕; วิภ. ๕๑๘; มหานิ. ๒๐๖) นเยนา’’ติ ปน ปฎิเกฺขปงฺคทสฺสนมุเขน เทสนาย อาคตตฺตา วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Aṭṭhavidhopiatthoti aṭṭhavidhopi payojanaviseso mahāsivattheravādavasena ‘‘imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā (ma. ni. 1.23, 422; ma. ni. 2.387; a. ni. 2.341; 8.9; dha. sa. 1355; vibha. 518; mahāni. 206) nayena vutto daṭṭhabbo. Imasmiṃ pakkhe ‘‘neva davāyātiādinā (ma. ni. 1.23, 422; ma. ni. 2.387; a. ni. 8.9; dha. sa. 1355; vibha. 518; mahāni. 206) nayenā’’ti pana paṭikkhepaṅgadassanamukhena desanāya āgatattā vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    ปถวิสนฺธารกชลสฺส ตํสนฺธารกวายุนา วิย ปริภุตฺตสฺส อาหารสฺส วาโยธาตุยาว อาสเย อวฎฺฐานนฺติ อาห ‘‘วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐตี’’ติฯ อติหรตีติ ยาว มุขา อภิหรติฯ วีติหรตีติ ตโต กุจฺฉิยํ วีมิสฺสํ กโรโนฺต หรติฯ อติหรตีติ วา มุขทฺวารํ อติกฺกาเมโนฺต หรติฯ วีติหรตีติ กุจฺฉิคตํ ปสฺสโต หรติ, ปริวเตฺตตีติ อปราปรํ จาเรติฯ เอตฺถ จ อาหารสฺส ธารณปริวตฺตนสญฺจุณฺณนวิโสสนานิ ปถวีธาตุสหิตา เอว วาโยธาตุ กโรติ, น เกวลาติ ตานิ ปถวีธาตุยาปิ กิจฺจภาเวน วุตฺตานิฯ อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลตีติ ยถา วาโยธาตุ อาทีหิ อเญฺญหิ วิโสสนํ น โหติ, ตถา อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลติฯ เตโชธาตูติ คหณีสงฺขาตา เตโชธาตุฯ สา หิ อโนฺตปวิฎฺฐํ อาหารํ ปริปาเจติฯ อญฺชโส โหตีติ อาหารสฺส ปเวสนาทีนํ มโคฺค โหติฯ อาภุชตีติ ปริเยสนวเสน, อโชฺฌหรณชิณฺณาชิณฺณตาทิปฎิสํเวทนวเสน จ อาวเชฺชติ, วิชานาตีติ อโตฺถฯ ตํตํวิชานนสฺส ปจฺจยภูโตเยว หิ ปโยโค ‘‘สมฺมาปโยโค’’ติ วุโตฺตฯ เยน หิ ปโยเคน ปริเยสนาทิ นิปฺผชฺชติ, โส ตพฺพิสยวิชานนมฺปิ นิปฺผาเทติ นาม ตทวินาภาวโตฯ อถ วา สมฺมาปโยคํ สมฺมาปฎิปตฺติ มนฺวาย อาคมฺม อาภุชติ สมนฺนาหรติฯ อาโภคปุพฺพโก หิ สโพฺพปิ วิญฺญาณพฺยาปาโรติ ตถา วุตฺตํฯ

    Pathavisandhārakajalassa taṃsandhārakavāyunā viya paribhuttassa āhārassa vāyodhātuyāva āsaye avaṭṭhānanti āha ‘‘vāyodhātuvaseneva tiṭṭhatī’’ti. Atiharatīti yāva mukhā abhiharati. Vītiharatīti tato kucchiyaṃ vīmissaṃ karonto harati. Atiharatīti vā mukhadvāraṃ atikkāmento harati. Vītiharatīti kucchigataṃ passato harati, parivattetīti aparāparaṃ cāreti. Ettha ca āhārassa dhāraṇaparivattanasañcuṇṇanavisosanāni pathavīdhātusahitā eva vāyodhātu karoti, na kevalāti tāni pathavīdhātuyāpi kiccabhāvena vuttāni. Allattañca anupāletīti yathā vāyodhātu ādīhi aññehi visosanaṃ na hoti, tathā allattañca anupāleti. Tejodhātūti gahaṇīsaṅkhātā tejodhātu. Sā hi antopaviṭṭhaṃ āhāraṃ paripāceti. Añjaso hotīti āhārassa pavesanādīnaṃ maggo hoti. Ābhujatīti pariyesanavasena, ajjhoharaṇajiṇṇājiṇṇatādipaṭisaṃvedanavasena ca āvajjeti, vijānātīti attho. Taṃtaṃvijānanassa paccayabhūtoyeva hi payogo ‘‘sammāpayogo’’ti vutto. Yena hi payogena pariyesanādi nipphajjati, so tabbisayavijānanampi nipphādeti nāma tadavinābhāvato. Atha vā sammāpayogaṃ sammāpaṭipatti manvāya āgamma ābhujati samannāharati. Ābhogapubbako hi sabbopi viññāṇabyāpāroti tathā vuttaṃ.

    คมนโตติ ภิกฺขาจารวเสน โคจรคามํ อุทฺทิสฺส คมนโตฯ ปริเยสนโตติ โคจรคาเม ภิกฺขตฺถํ อาหิณฺฑนโตฯ ปริโภคโตติ อาหารสฺส ปริภุญฺชนโตฯ อาสยโตติ ปิตฺตาทิอาสยโตฯ อาสยติ เอตฺถ เอกชฺฌํ ปวตฺตมาโนปิ กมฺมผลววตฺถิโต หุตฺวา มริยาทวเสน อญฺญมญฺญํ อสงฺกรโต สยติ ติฎฺฐติ ปวตฺตตีติ อาสโย , อามาสยสฺส อุปริ ติฎฺฐนโก ปิตฺตาทิโกฯ มริยาทโตฺถ หิ อยมากาโรฯ นิธานนฺติ ยถาภุโตฺต อาหาโร นิจิโต หุตฺวา ติฎฺฐติ เอตฺถาติ นิธานํ, อามาสโยฯ ตโต นิธานโตฯ อปริปกฺกโตติ คหณีสงฺขาเตน กมฺมชเตเชน อวิปกฺกโตฯ ปริปกฺกโตติ ยถาภุตฺตสฺส อาหารส วิปกฺกภาวโตฯ ผลโตติ นิปฺผตฺติโตฯ นิสฺสนฺทโตติ อิโต จิโต จ นิสฺสนฺทนโตฯ สมฺมกฺขนโตติ สพฺพโส มกฺขนโตฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนาย (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๒๙๔) คเหตโพฺพฯ

    Gamanatoti bhikkhācāravasena gocaragāmaṃ uddissa gamanato. Pariyesanatoti gocaragāme bhikkhatthaṃ āhiṇḍanato. Paribhogatoti āhārassa paribhuñjanato. Āsayatoti pittādiāsayato. Āsayati ettha ekajjhaṃ pavattamānopi kammaphalavavatthito hutvā mariyādavasena aññamaññaṃ asaṅkarato sayati tiṭṭhati pavattatīti āsayo, āmāsayassa upari tiṭṭhanako pittādiko. Mariyādattho hi ayamākāro. Nidhānanti yathābhutto āhāro nicito hutvā tiṭṭhati etthāti nidhānaṃ, āmāsayo. Tato nidhānato. Aparipakkatoti gahaṇīsaṅkhātena kammajatejena avipakkato. Paripakkatoti yathābhuttassa āhārasa vipakkabhāvato. Phalatoti nipphattito. Nissandatoti ito cito ca nissandanato. Sammakkhanatoti sabbaso makkhanato. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimaggasaṃvaṇṇanāya (visuddhi. ṭī. 1.294) gahetabbo.

    สรีรโต เสทา มุจฺจนฺตีติ เวคสํธารเณน อุปฺปนฺนปริฬาหโต สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติฯ อเญฺญ จ โรคา กณฺณสูลภคนฺทราทโยฯ อฎฺฐาเนติ มนุสฺสามนุสฺสปริคฺคหิเต อยุตฺตฎฺฐาเน เขตฺตเทวายตนาทิเกฯ กุทฺธา หิ อมนุสฺสา, มนุสฺสาปิ วา ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ นิสฺสฎฺฐตฺตา เนว อตฺตโน, กสฺสจิ อนิสฺสชฺชิตตฺตา, ชิคุจฺฉนียตฺตา จ น ปรสฺสฯ อุทกตุมฺพโตติ เวฬุนาฬิอาทิอุทกภาชนโตฯ นฺติ ฉฑฺฑิตอุทกํฯ

    Sarīrato sedā muccantīti vegasaṃdhāraṇena uppannapariḷāhato sarīrato sedā muccanti. Aññe ca rogā kaṇṇasūlabhagandarādayo. Aṭṭhāneti manussāmanussapariggahite ayuttaṭṭhāne khettadevāyatanādike. Kuddhā hi amanussā, manussāpi vā jīvitakkhayaṃ pāpenti. Nissaṭṭhattā neva attano, kassaci anissajjitattā, jigucchanīyattā ca na parassa. Udakatumbatoti veḷunāḷiādiudakabhājanato. Tanti chaḍḍitaudakaṃ.

    อทฺธานอิริยาปถา จิรตรปฺปวตฺติกา ทีฆกาลิกา อิริยาปถาฯ มชฺฌิมา ภิกฺขาจรณาทิวเสน ปวตฺตาฯ จุณฺณิยอิริยาปถา วิหาเร, อญฺญตฺถาปิ อิโต จิโต จ ปริวตฺตนาทิวเสน ปวตฺตาติ วทนฺติฯ ‘‘คเตติ คมเน’’ติ ปุเพฺพ อภิกฺกมปฎิกฺกมคฺคหเณน คมเนนปิ ปุรโต ปจฺฉโต จ กายสฺส อภิหรณํ วุตฺตนฺติ อิธ คมนเมว คหิตนฺติ เกจิฯ

    Addhānairiyāpathā ciratarappavattikā dīghakālikā iriyāpathā. Majjhimā bhikkhācaraṇādivasena pavattā. Cuṇṇiyairiyāpathā vihāre, aññatthāpi ito cito ca parivattanādivasena pavattāti vadanti. ‘‘Gateti gamane’’ti pubbe abhikkamapaṭikkamaggahaṇena gamanenapi purato pacchato ca kāyassa abhiharaṇaṃ vuttanti idha gamanameva gahitanti keci.

    ยสฺมา มหาสิวเตฺถรวาเท อนนฺตเร อนนฺตเร อิริยาปเถ ปวตฺตรูปารูปธมฺมานํ ตตฺถ ตเตฺถว นิโรธทสฺสนวเสน สมฺปชานการิตา คหิตาติ ตํ สมฺปชญฺญวิปสฺสนาจารวเสน เวทิตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตยิทํ มหาสิวเตฺถเรน วุตฺตํ อสโมฺมหธุรํ มหาสติปฎฺฐานสุเตฺต อธิเปฺปต’’นฺติฯ อิมสฺมิํ ปน สามญฺญผเล สพฺพมฺปิ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํ ลพฺภติ ยาวเทว สามญฺญผลวิเสสทสฺสนปรตฺตา อิมิสฺสา เทสนายฯ ‘‘สติสมฺปยุตฺตเสฺสวา’’ติ อิทํ ยถา สมฺปชญฺญสฺส กิจฺจโต ปธานตา คหิตา, เอวํ สติยา ปีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, น สติยา สพฺภาวมตฺตทสฺสนตฺถํฯ น หิ กทาจิ สติรหิตา ญาณปฺปวตฺติ อตฺถิฯ ‘‘เอตสฺส หิ ปทสฺส อยํ วิตฺถาโร’’ติ อิมินา สติยา ญาเณน สมธุรตํเยว วิภาเวติฯ เอตานิ ปทานีติ ‘‘อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหตี’’ติอาทีนิ ปทานิฯ วิภตฺตาเนวาติ วิสุํ กตฺวา วิภตฺตานิเยว, อิมินาปิ สมฺปชญฺญสฺส วิย สติยาเปตฺถ ปธานตเมว วิภาเวติฯ

    Yasmā mahāsivattheravāde anantare anantare iriyāpathe pavattarūpārūpadhammānaṃ tattha tattheva nirodhadassanavasena sampajānakāritā gahitāti taṃ sampajaññavipassanācāravasena veditabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘tayidaṃ mahāsivattherena vuttaṃ asammohadhuraṃ mahāsatipaṭṭhānasutte adhippeta’’nti. Imasmiṃ pana sāmaññaphale sabbampi catubbidhaṃ sampajaññaṃ labbhati yāvadeva sāmaññaphalavisesadassanaparattā imissā desanāya. ‘‘Satisampayuttassevā’’ti idaṃ yathā sampajaññassa kiccato padhānatā gahitā, evaṃ satiyā pīti dassanatthaṃ vuttaṃ, na satiyā sabbhāvamattadassanatthaṃ. Na hi kadāci satirahitā ñāṇappavatti atthi. ‘‘Etassa hi padassa ayaṃ vitthāro’’ti iminā satiyā ñāṇena samadhurataṃyeva vibhāveti. Etānipadānīti ‘‘abhikkante paṭikkante sampajānakārī hotī’’tiādīni padāni. Vibhattānevāti visuṃ katvā vibhattāniyeva, imināpi sampajaññassa viya satiyāpettha padhānatameva vibhāveti.

    มชฺฌิมภาณกา ปน ภณนฺติ – เอโก ภิกฺขุ คจฺฉโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต คจฺฉติ, เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว คจฺฉติฯ ตถา เอโก ติฎฺฐโนฺต…เป.… นิสีทโนฺต…เป.… สยโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต สยติ, เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว สยติ, เอตฺตเกน ปน น ปากฎํ โหตีติ จงฺกมเนน ทีเปนฺติฯ โย หิ ภิกฺขุ จงฺกมํ โอตริตฺวา จ จงฺกมนโกฎิยํ ฐิโต ปริคฺคณฺหาติ ‘‘ปาจีนจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตาปิ ปาจีนจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมนมเชฺฌ ปวตฺตา อุโภ โกฎิโย อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมเน ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ฐานํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ฐาเน ปวตฺตา นิสชฺชํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, นิสชฺชาย ปวตฺตา สยนํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต ปริคฺคณฺหโนฺตเยว ภวงฺคํ โอตรติฯ อุฎฺฐหโนฺต กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อุฎฺฐหติ, อยํ ภิกฺขุ คตาทีสุ สมฺปชานการี นาม โหตีติ ฯ เอวมฺปิ น โสเตฺต กมฺมฎฺฐานํ อวิภูตํ โหติ, ตสฺมา ภิกฺขุ ยาว สโกฺกติ, ตาว จงฺกมิตฺวา ฐตฺวา นิสีทิตฺวา สยมาโน เอวํ ปริคฺคเหตฺวา สยติ ‘‘กาโย อเจตโน, มโญฺจ อเจตโน, กาโย น ชานาติ ‘อหํ มเญฺจ สยิโต’ติ, มโญฺจ น ชานาติ ‘มยิ กาโย สยิโต’ติ, อเจตโน กาโย อเจตเน มเญฺจ สยิโต’’ติ เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต เอว จิตฺตํ ภวเงฺค โอตาเรติฯ ปพุชฺฌโนฺต กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว ปพุชฺฌติ, อยํ โสเตฺต สมฺปชานการี นาม โหติฯ กายาทีกิริยานิพฺพตฺตเนน ตมฺมยตฺตา, อาวชฺชนกิริยา สมุฎฺฐิตตฺตา จ ชวนํ สพฺพมฺปิ วา ฉทฺวารปฺปวตฺตํ กิริยมยปวตฺตํ นามฯ ตสฺมิํ สติ ชาคริตํ นาม โหตีติ ปริคฺคณฺหโนฺต ชาคริเต สมฺปชานการี นามฯ อปิ จ รตฺตินฺทิวํ ฉ โกฎฺฐาเส กตฺวา ปญฺจ โกฎฺฐาเส ชคฺคโนฺตปิ ชาคริเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ วิมุตฺตายตนสีเสน ธมฺมํ เทเสโนฺตปิ พตฺติํสติรจฺฉานกถํ ปหาย ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตสปฺปายกถํ กเถโนฺตปิ ภาสิเต สมฺปชานการี นามฯ อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิยํ มนสิการํ ปวเตฺตโนฺตปิ ทุติยํ ฌานํ สมาปโนฺนปิ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นามฯ ทุติยญฺหิ ฌานํ วจีสงฺขารวิรหโต วิเสสโต ตุณฺหีภาโว นามาติฯ เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรน, สตฺตสุปิ ฐาเนสุ จตุธาติ อโตฺถฯ

    Majjhimabhāṇakā pana bhaṇanti – eko bhikkhu gacchanto aññaṃ cintento aññaṃ vitakkento gacchati, eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva gacchati. Tathā eko tiṭṭhanto…pe… nisīdanto…pe… sayanto aññaṃ cintento aññaṃ vitakkento sayati, eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva sayati, ettakena pana na pākaṭaṃ hotīti caṅkamanena dīpenti. Yo hi bhikkhu caṅkamaṃ otaritvā ca caṅkamanakoṭiyaṃ ṭhito pariggaṇhāti ‘‘pācīnacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattā rūpārūpadhammā pacchimacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, pacchimacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattāpi pācīnacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, caṅkamanamajjhe pavattā ubho koṭiyo appatvā ettheva niruddhā, caṅkamane pavattā rūpārūpadhammā ṭhānaṃ appatvā ettheva niruddhā, ṭhāne pavattā nisajjaṃ appatvā ettheva niruddhā, nisajjāya pavattā sayanaṃ appatvā ettheva niruddhā’’ti evaṃ pariggaṇhanto pariggaṇhantoyeva bhavaṅgaṃ otarati. Uṭṭhahanto kammaṭṭhānaṃ gahetvāva uṭṭhahati, ayaṃ bhikkhu gatādīsu sampajānakārī nāma hotīti . Evampi na sotte kammaṭṭhānaṃ avibhūtaṃ hoti, tasmā bhikkhu yāva sakkoti, tāva caṅkamitvā ṭhatvā nisīditvā sayamāno evaṃ pariggahetvā sayati ‘‘kāyo acetano, mañco acetano, kāyo na jānāti ‘ahaṃ mañce sayito’ti, mañco na jānāti ‘mayi kāyo sayito’ti, acetano kāyo acetane mañce sayito’’ti evaṃ pariggaṇhanto eva cittaṃ bhavaṅge otāreti. Pabujjhanto kammaṭṭhānaṃ gahetvāva pabujjhati, ayaṃ sotte sampajānakārī nāma hoti. Kāyādīkiriyānibbattanena tammayattā, āvajjanakiriyā samuṭṭhitattā ca javanaṃ sabbampi vā chadvārappavattaṃ kiriyamayapavattaṃ nāma. Tasmiṃ sati jāgaritaṃ nāma hotīti pariggaṇhanto jāgarite sampajānakārī nāma. Api ca rattindivaṃ cha koṭṭhāse katvā pañca koṭṭhāse jaggantopi jāgarite sampajānakārī nāma hoti. Vimuttāyatanasīsena dhammaṃ desentopi battiṃsatiracchānakathaṃ pahāya dasakathāvatthunissitasappāyakathaṃ kathentopi bhāsite sampajānakārī nāma. Aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittaruciyaṃ manasikāraṃ pavattentopi dutiyaṃ jhānaṃ samāpannopi tuṇhībhāve sampajānakārī nāma. Dutiyañhi jhānaṃ vacīsaṅkhāravirahato visesato tuṇhībhāvo nāmāti. Evanti vuttappakārena, sattasupi ṭhānesu catudhāti attho.

    สโนฺตสกถาวณฺณนา

    Santosakathāvaṇṇanā

    ๒๑๕. ยสฺส สโนฺตสสฺส อตฺตนิ อตฺถิตาย ภิกฺขุ ‘‘สนฺตุโฎฺฐ’’ติ วุจฺจติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิตรีตรปจฺจยสโนฺตเสน สมนฺนาคโต’’ติ อาหฯ จีวราทิ ยตฺถ กตฺถจิ ปจฺจเย สนฺตุสฺสเนน สมงฺคีภูโตติ อโตฺถฯ อถ วา อิตรํ วุจฺจติ หีนํ ปณีตโต อญฺญตฺตา, ตถา ปณีตํ อิตรํ หีนโต อญฺญตฺตาฯ อเปกฺขาสิทฺธา หิ อิตรตาติฯ อิติ เยน ธเมฺมน หีเนน วา ปณีเตน วา จีวราทิปจฺจเยน สนฺตุสฺสติ, โส ตถา ปวโตฺต อโลโภ อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส, เตน สมนฺนาคโตฯ ยถาลาภํ อตฺตโน ลาภานุรูปํ สโนฺตโส ยถาลาภสโนฺตโสฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ลพฺภตีติ วา ลาโภ, โย โย ลาโภ ยถาลาภํ, เตน สโนฺตโส ยถาลาภสโนฺตโสฯ พลนฺติ กายพลํฯ สารุปฺปนฺติ ปกติทุพฺพลาทีนํ อนุจฺฉวิกตาฯ

    215. Yassa santosassa attani atthitāya bhikkhu ‘‘santuṭṭho’’ti vuccati, taṃ dassento ‘‘itarītarapaccayasantosena samannāgato’’ti āha. Cīvarādi yattha katthaci paccaye santussanena samaṅgībhūtoti attho. Atha vā itaraṃ vuccati hīnaṃ paṇītato aññattā, tathā paṇītaṃ itaraṃ hīnato aññattā. Apekkhāsiddhā hi itaratāti. Iti yena dhammena hīnena vā paṇītena vā cīvarādipaccayena santussati, so tathā pavatto alobho itarītarapaccayasantoso, tena samannāgato. Yathālābhaṃ attano lābhānurūpaṃ santoso yathālābhasantoso. Sesadvayepi eseva nayo. Labbhatīti vā lābho, yo yo lābho yathālābhaṃ, tena santoso yathālābhasantoso.Balanti kāyabalaṃ. Sāruppanti pakatidubbalādīnaṃ anucchavikatā.

    ยถาลทฺธโต อญฺญสฺส อปตฺถนา นาม สิยา อปฺปิจฺฉตายปิ ปวตฺติอากาโรติ ตโต วินิวตฺติตเมว สโนฺตสสฺส สรูปํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ลภโนฺตปิ น คณฺหาตี’’ติ อาหฯ ตํ ปริวเตฺตตฺวาติ ปกติทุพฺพลาทีนํ ครุจีวรํ น ผาสุภาวาวหํ, สรีรเขทาวหญฺจ โหตีติ ปโยชนวเสน, น อตฺริจฺฉตาทิวเสน ตํ ปริวเตฺตตฺวาฯ ลหุกจีวรปริโภโค น สโนฺตสวิโรธีติ อาห ‘‘ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหตี’’ติฯ มหคฺฆํ จีวรํ พหูนิ วา จีวรานิ ลภิตฺวาปิ ตานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ตทญฺญสฺส คหณํ ยถาสารุปฺปนเย ฐิตตฺตา น สโนฺตสวิโรธีติ อาห ‘‘เตสํ…เป.… ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหตี’’ติฯ เอวํ เสสปจฺจเยปิ ยถาพลยถาสารุปฺปนิเทฺทเสสุ อปิ-สทฺทคฺคหเณ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ

    Yathāladdhato aññassa apatthanā nāma siyā appicchatāyapi pavattiākāroti tato vinivattitameva santosassa sarūpaṃ dassento ‘‘labhantopi na gaṇhātī’’ti āha. Taṃ parivattetvāti pakatidubbalādīnaṃ garucīvaraṃ na phāsubhāvāvahaṃ, sarīrakhedāvahañca hotīti payojanavasena, na atricchatādivasena taṃ parivattetvā. Lahukacīvaraparibhogo na santosavirodhīti āha ‘‘lahukena yāpentopi santuṭṭhova hotī’’ti. Mahagghaṃ cīvaraṃ bahūni vā cīvarāni labhitvāpi tāni vissajjetvā tadaññassa gahaṇaṃ yathāsāruppanaye ṭhitattā na santosavirodhīti āha ‘‘tesaṃ…pe… dhārentopi santuṭṭhova hotī’’ti. Evaṃ sesapaccayepi yathābalayathāsāruppaniddesesu api-saddaggahaṇe adhippāyo veditabbo.

    มุตฺตหรีตกนฺติ โคมุตฺตปริภาวิตํ, ปูติภาเวน วา ฉฑฺฑิตํ หรีตกํฯ พุทฺธาทีหิ วณฺณิตนฺติ ‘‘ปูติมุตฺตเภสชฺชํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา’’ติอาทินา (มหาว. ๗๓, ๑๒๘) สมฺมาสมฺพุทฺธาทีหิ ปสตฺถํฯ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐีสุ ภิกฺขู นิโยเชโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติ ปรเมน อุกฺกํสคเตน สโนฺตเสน สมนฺนาคตตฺตาฯ

    Muttaharītakanti gomuttaparibhāvitaṃ, pūtibhāvena vā chaḍḍitaṃ harītakaṃ. Buddhādīhi vaṇṇitanti ‘‘pūtimuttabhesajjaṃ nissāya pabbajjā’’tiādinā (mahāva. 73, 128) sammāsambuddhādīhi pasatthaṃ. Appicchatāsantuṭṭhīsu bhikkhū niyojento paramasantuṭṭhova hoti paramena ukkaṃsagatena santosena samannāgatattā.

    กายํ ปริหรนฺติ โปเสนฺตีติ กายปริหาริกาฯ ตถา กุจฺฉิปริหาริกา เวทิตพฺพาฯ กุจฺฉิปริหาริกตา จ อโชฺฌหรเณน สรีรสฺส ฐิติยา อุปการกตาวเสน อิจฺฉิตาติ พหิทฺธาว กายสฺส อุปการกตาวเสน กายปริหาริกตา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Kāyaṃ pariharanti posentīti kāyaparihārikā. Tathā kucchiparihārikā veditabbā. Kucchiparihārikatā ca ajjhoharaṇena sarīrassa ṭhitiyā upakārakatāvasena icchitāti bahiddhāva kāyassa upakārakatāvasena kāyaparihārikatā daṭṭhabbā.

    ปริกฺขารมตฺตาติ ปริกฺขารคฺคหณํฯ ตตฺรฎฺฐกปจฺจตฺถรณนฺติ อตฺตนา อนธิฎฺฐหิตฺวา ตเตฺถว ติฎฺฐนกปจฺจตฺถรณํ ฯ ปจฺจตฺถรณาทีนเญฺจตฺถ นวมาทิภาโว ยถาวุตฺตปฎิปาฎิยา ทฎฺฐโพฺพ, น เตสํ ตถา ปตินิยตภาวโตฯ กสฺมา? ตถา นธารณโตฯ ทุโปฺปสภาเวน มหาคชา วิยาติ มหาคชาฯ ยทิ อิตเรปิ อปฺปิจฺฉตาทิสภาวา, กิํ เตสมฺปิ วเสน อยํ เทสนา อิจฺฉิตาติ? โนติ อาห ‘‘ภควา ปนา’’ติอาทิฯ กายปริหาโร ปโยชนํ เอเตนาติ กายปริหาริกํฯ เตนาห ‘‘กายํ ปริหรณมตฺตเกนา’’ติฯ

    Parikkhāramattāti parikkhāraggahaṇaṃ. Tatraṭṭhakapaccattharaṇanti attanā anadhiṭṭhahitvā tattheva tiṭṭhanakapaccattharaṇaṃ . Paccattharaṇādīnañcettha navamādibhāvo yathāvuttapaṭipāṭiyā daṭṭhabbo, na tesaṃ tathā patiniyatabhāvato. Kasmā? Tathā nadhāraṇato. Dupposabhāvena mahāgajā viyāti mahāgajā. Yadi itarepi appicchatādisabhāvā, kiṃ tesampi vasena ayaṃ desanā icchitāti? Noti āha ‘‘bhagavā panā’’tiādi. Kāyaparihāro payojanaṃ etenāti kāyaparihārikaṃ. Tenāha ‘‘kāyaṃ pariharaṇamattakenā’’ti.

    จตูสุ ทิสาสุ สุขวิหารตาย สุขวิหารฎฺฐานภูตา จตโสฺส ทิสา เอตสฺสาติ จตุทฺทิโส จตุทฺทิโส เอว จาตุทฺทิโสฯ ตาสุ เอว กตฺถจิ สเตฺต วา สงฺขาเร วา ภเยน น ปฎิหนติ, สยํ วา เตน น ปฎิหญฺญตีติ อปฺปฎิโฆฯ สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรนาติ อุจฺจาวเจน ปจฺจเยน สเกน, สเนฺตน, สมเมว จ ตุสฺสนโกฯ ปริจฺจ สยนฺติ, กายจิตฺตานิ ปริสยนฺติ อภิภวนฺตีติ ปริสฺสยา, สีหพฺยคฺฆาทโย, กามจฺฉนฺทาทโย จ, เต ปริสฺสเย อธิวาสนขนฺติยา วินยาทีหิ จ สหิตา ขนฺตา, อภิภวิตา จฯ ถทฺธภาวกรภยาภาเวน อฉมฺภีฯ เอโก จเรติ เอกากี หุตฺวา จริตุํ สกฺกุเณยฺยฯ ขคฺควิสาณกโปฺปติ ตาย เอว เอกวิหาริตาย ขคฺคมิคสิงฺคสโมฯ

    Catūsu disāsu sukhavihāratāya sukhavihāraṭṭhānabhūtā catasso disā etassāti catuddiso catuddiso eva cātuddiso. Tāsu eva katthaci satte vā saṅkhāre vā bhayena na paṭihanati, sayaṃ vā tena na paṭihaññatīti appaṭigho. Santussamāno itarītarenāti uccāvacena paccayena sakena, santena, samameva ca tussanako. Paricca sayanti, kāyacittāni parisayanti abhibhavantīti parissayā, sīhabyagghādayo, kāmacchandādayo ca, te parissaye adhivāsanakhantiyā vinayādīhi ca sahitā khantā, abhibhavitā ca. Thaddhabhāvakarabhayābhāvena achambhī. Eko careti ekākī hutvā carituṃ sakkuṇeyya. Khaggavisāṇakappoti tāya eva ekavihāritāya khaggamigasiṅgasamo.

    อสญฺชาตวาตาภิฆาเตหิ สิยา สกุโณ อปกฺขโกติ ‘‘ปกฺขี สกุโณ’’ติ วิเสเสตฺวา วุโตฺตฯ

    Asañjātavātābhighātehi siyā sakuṇo apakkhakoti ‘‘pakkhī sakuṇo’’ti visesetvā vutto.

    นีวรณปฺปหานกถาวณฺณนา

    Nīvaraṇappahānakathāvaṇṇanā

    ๒๑๖. วตฺตพฺพตํ อาปชฺชตีติ ‘‘อสุกสฺส ภิกฺขุโน อรเญฺญ ติรจฺฉานคตานํ วิย, วนจรกานํ วิย จ นิวาสมตฺตเมว, น ปน อรญฺญวาสานุจฺฉวิกา กาจิ สมฺมาปฎิปตฺตี’’ติ อปวาทวเสน วตฺตพฺพตํ, อารญฺญเกหิ วา ติรจฺฉานคเตหิ, วนจรวิสภาคชเนหิ วา สทฺธิํ วิปฺปฎิปตฺติวเสน วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติฯ กาฬกสทิสตฺตา กาฬกํ, ถุลฺลวชฺชํฯ ติลกสทิสตฺตา ติลกํ, อณุมตฺตวชฺชํฯ

    216.Vattabbataṃ āpajjatīti ‘‘asukassa bhikkhuno araññe tiracchānagatānaṃ viya, vanacarakānaṃ viya ca nivāsamattameva, na pana araññavāsānucchavikā kāci sammāpaṭipattī’’ti apavādavasena vattabbataṃ, āraññakehi vā tiracchānagatehi, vanacaravisabhāgajanehi vā saddhiṃ vippaṭipattivasena vattabbataṃ āpajjati. Kāḷakasadisattā kāḷakaṃ, thullavajjaṃ. Tilakasadisattā tilakaṃ, aṇumattavajjaṃ.

    วิวิตฺตนฺติ ชนวิวิตฺตํฯ เตนาห ‘‘สุญฺญ’’นฺติฯ ตํ ปน ชนสทฺทโฆสาภาเวเนว เวทิตพฺพํ สทฺทกณฺฎกตฺตา ฌานสฺสาติ อาห ‘‘อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ อโตฺถ’’ติฯ เอตเทวาติ นิสฺสทฺทตํเยวฯ วิหาโร ปาการปริจฺฉิโนฺน สกโล อาวาโสฯ อฑฺฒโยโคติ ทีฆปาสาโท, ‘‘ครุฬสณฺฐานปาสาโท’’ติปิ วทนฺติฯ ปาสาโทติ จตุรสฺสปาสาโทฯ หมฺมิยํ มุณฺฑจฺฉทนปาสาโท ฯ อโฎฺฎ ปฎิราชูนํ ปฎิพาหนโยโคฺค จตุปญฺจภูมโก ปติสฺสยวิเสโสฯ มาโฬ เอกกูฎสงฺคหิโต อเนกโกณวโนฺต ปติสฺสยวิเสโสฯ อปโร นโย วิหาโร นาม ทีฆมุขปาสาโทฯ อฑฺฒโยโค เอกปสฺสจฺฉทนกเสนาสนํฯ ตสฺส กิร เอกปเสฺส ภิตฺติ อุจฺจตรา โหติ, อิตรปเสฺส นีจา, เตน ตํ เอกปสฺสฉทนกํ โหติฯ ปาสาโท นาม อายตจตุรสฺสปาสาโทฯ หมฺมิยํ มุณฺฑจฺฉทนกํ จนฺทิกงฺคณยุตฺตํฯ คุหา นาม เกวลา ปพฺพตคุหาฯ เลณํ ทฺวารพทฺธํ ปพฺภารํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ มณฺฑโปติ สาขามณฺฑโปฯ

    Vivittanti janavivittaṃ. Tenāha ‘‘suñña’’nti. Taṃ pana janasaddaghosābhāveneva veditabbaṃ saddakaṇṭakattā jhānassāti āha ‘‘appasaddaṃ appanigghosanti attho’’ti. Etadevāti nissaddataṃyeva. Vihāro pākāraparicchinno sakalo āvāso. Aḍḍhayogoti dīghapāsādo, ‘‘garuḷasaṇṭhānapāsādo’’tipi vadanti. Pāsādoti caturassapāsādo. Hammiyaṃ muṇḍacchadanapāsādo . Aṭṭo paṭirājūnaṃ paṭibāhanayoggo catupañcabhūmako patissayaviseso. Māḷo ekakūṭasaṅgahito anekakoṇavanto patissayaviseso. Aparo nayo vihāro nāma dīghamukhapāsādo. Aḍḍhayogo ekapassacchadanakasenāsanaṃ. Tassa kira ekapasse bhitti uccatarā hoti, itarapasse nīcā, tena taṃ ekapassachadanakaṃ hoti. Pāsādo nāma āyatacaturassapāsādo. Hammiyaṃ muṇḍacchadanakaṃ candikaṅgaṇayuttaṃ. Guhā nāma kevalā pabbataguhā. Leṇaṃ dvārabaddhaṃ pabbhāraṃ. Sesaṃ vuttanayameva. Maṇḍapoti sākhāmaṇḍapo.

    วิหารเสนาสนนฺติ ปติสฺสยภูตํ เสนาสนํฯ มญฺจปีฐเสนาสนนฺติ มญฺจปีฐเญฺจว มญฺจปีฐสมฺพนฺธเสนาสนญฺจฯ จิมิลิกาทิ สนฺถริตพฺพโต สนฺถตเสนาสนํฯ อภิสงฺขรณาภาวโต สยนสฺส นิสชฺชาย จ เกวลํ โอกาสภูตํ เสนาสนํฯ ‘‘วิวิตฺตํ เสนาสน’’นฺติ อิมินา เสนาสนคฺคหเณน สงฺคหิตเมว สามญฺญโชตนาภาวโตฯ

    Vihārasenāsananti patissayabhūtaṃ senāsanaṃ. Mañcapīṭhasenāsananti mañcapīṭhañceva mañcapīṭhasambandhasenāsanañca. Cimilikādi santharitabbato santhatasenāsanaṃ. Abhisaṅkharaṇābhāvato sayanassa nisajjāya ca kevalaṃ okāsabhūtaṃ senāsanaṃ. ‘‘Vivittaṃ senāsana’’nti iminā senāsanaggahaṇena saṅgahitameva sāmaññajotanābhāvato.

    ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘อรญฺญ’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิม ปนา’’ติอาทิฯ ‘‘ภิกฺขุนีนํ วเสน อาคต’’นฺติ อิทํ วินเย ตถา อาคตตํ สนฺธาย วุตฺตํ, อภิธเมฺมปิ ปน ‘‘อรญฺญนฺติ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลา, สพฺพเมตํ อรญฺญ’’นฺติ (วิภ. ๕๒๙) อาคตเมวฯ ตตฺถ หิ ยํ น คามปเทสโนฺตคธํ, ตํ ‘‘อรญฺญ’’นฺติ นิปฺปริยายวเสน ตถา วุตฺตํฯ ธุตงฺคนิเทฺทเส (วิสุทฺธิ. ๑.๓๑) ยํ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํ,ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยน คเหตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ รุกฺขมูลนฺติ รุกฺขสมีปํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยาวตา มชฺฌนฺหิเก กาเล สมนฺตา ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ นิปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูล’’นฺติฯ เสล-สโทฺท อวิเสสโต ปพฺพตปริยาโยติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปพฺพตนฺติ เสล’’นฺติ, น สิลามยเมว, ปํสุมยาทิโก ติวิโธปิ ปพฺพโต เอวาติฯ วิวรนฺติ ทฺวินฺนํ ปพฺพตานํ มิโถ อาสนฺนตเร ฐิตานํ โอวรกาทิสทิสํ วิวรํ, เอกสฺมิํเยว วา ปพฺพเตฯ อุมงฺคสทิสนฺติ สุทุงฺคาสทิสํฯ มนุสฺสานํ อนุปจารฎฺฐานนฺติ ปกติสญฺจารวเสน มนุเสฺสหิ น สญฺจริตพฺพฎฺฐานํฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘วนปตฺถนฺติ วนสณฺฐานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจนํ, วนปตฺถนฺติ ภีสนกานเมตํ, วนปตฺถนฺติ สโลมหํสานเมตํ, วนปตฺถนฺติ ปริยนฺตานเมตํ, วนปตฺถนฺติ น มนุสฺสูปจารานเมตํ, วนปตฺถนฺติ ทุรภิสมฺภวานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจน’’นฺติ (วิภ. ๕๓๑) อิมํ ปาฬิเสสํ สงฺคณฺหาติฯ อจฺฉนฺนนฺติ เกนจิ ฉทเนน อนฺตมโส รุกฺขสาขายปิ น ฉาทิตํฯ นิกฺกฑฺฒิตฺวาติ นีหริตฺวาฯ ปพฺภารเลณสทิเสติ ปพฺภารสทิเส เลณสทิเส จฯ

    Yadi evaṃ kasmā ‘‘arañña’’ntiādi vuttanti āha ‘‘ima panā’’tiādi. ‘‘Bhikkhunīnaṃ vasena āgata’’nti idaṃ vinaye tathā āgatataṃ sandhāya vuttaṃ, abhidhammepi pana ‘‘araññanti nikkhamitvā bahi indakhīlā, sabbametaṃ arañña’’nti (vibha. 529) āgatameva. Tattha hi yaṃ na gāmapadesantogadhaṃ, taṃ ‘‘arañña’’nti nippariyāyavasena tathā vuttaṃ. Dhutaṅganiddese (visuddhi. 1.31) yaṃ vuttaṃ, taṃ yuttaṃ,tasmā tattha vuttanayena gahetabbanti adhippāyo. Rukkhamūlanti rukkhasamīpaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘yāvatā majjhanhike kāle samantā chāyā pharati, nivāte paṇṇāni nipatanti, ettāvatā rukkhamūla’’nti. Sela-saddo avisesato pabbatapariyāyoti katvā vuttaṃ ‘‘pabbatanti sela’’nti, na silāmayameva, paṃsumayādiko tividhopi pabbato evāti. Vivaranti dvinnaṃ pabbatānaṃ mitho āsannatare ṭhitānaṃ ovarakādisadisaṃ vivaraṃ, ekasmiṃyeva vā pabbate. Umaṅgasadisanti suduṅgāsadisaṃ. Manussānaṃ anupacāraṭṭhānanti pakatisañcāravasena manussehi na sañcaritabbaṭṭhānaṃ. Ādi-saddena ‘‘vanapatthanti vanasaṇṭhānametaṃ senāsanānaṃ adhivacanaṃ, vanapatthanti bhīsanakānametaṃ, vanapatthanti salomahaṃsānametaṃ, vanapatthanti pariyantānametaṃ, vanapatthanti na manussūpacārānametaṃ, vanapatthanti durabhisambhavānametaṃ senāsanānaṃ adhivacana’’nti (vibha. 531) imaṃ pāḷisesaṃ saṅgaṇhāti. Acchannanti kenaci chadanena antamaso rukkhasākhāyapi na chāditaṃ. Nikkaḍḍhitvāti nīharitvā. Pabbhāraleṇasadiseti pabbhārasadise leṇasadise ca.

    ปิณฺฑปาตปริเยสนํ ปิณฺฑปาโต อุตฺตรปทโลเปนาติ อาห ‘‘ปิณฺฑปาตปริเยสนโต ปฎิกฺกโนฺต’’ติ ฯ ปลฺลงฺกนฺติ เอตฺถ ปริสโทฺท ‘‘สมนฺตโต’’ติ เอตสฺส อเตฺถ, ตสฺมา วาโมรุญฺจ ทกฺขิโณรุญฺจ สมํ ฐเปตฺวา อุโภ ปาเท อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธิตฺวา นิสชฺชา ปลฺลงฺกนฺติ อาห ‘‘สมนฺตโต อูรุพทฺธาสน’’นฺติฯ อูรูนํ พนฺธนวเสน นิสชฺชา ปลฺลงฺกํฯ อาภุชิตฺวาติ จ ยถา ปลฺลงฺกวเสน นิสชฺชา โหติ, เอวํ อุโภ ปาเท อาภุเคฺค ภญฺชิเต กตฺวา, ตํ ปน อุภินฺนํ ปาทานํ ตถา สมฺพนฺธตากรณนฺติ อาห ‘‘พนฺธิตฺวา’’ติฯ

    Piṇḍapātapariyesanaṃ piṇḍapāto uttarapadalopenāti āha ‘‘piṇḍapātapariyesanato paṭikkanto’’ti . Pallaṅkanti ettha parisaddo ‘‘samantato’’ti etassa atthe, tasmā vāmoruñca dakkhiṇoruñca samaṃ ṭhapetvā ubho pāde aññamaññaṃ sambandhitvā nisajjā pallaṅkanti āha ‘‘samantato ūrubaddhāsana’’nti. Ūrūnaṃ bandhanavasena nisajjā pallaṅkaṃ. Ābhujitvāti ca yathā pallaṅkavasena nisajjā hoti, evaṃ ubho pāde ābhugge bhañjite katvā, taṃ pana ubhinnaṃ pādānaṃ tathā sambandhatākaraṇanti āha ‘‘bandhitvā’’ti.

    เหฎฺฐิมกายสฺส จ อนุชุกํ ฐปนํ นิสชฺชาวจเนเนว โพธิตนฺติ ‘‘อุชุํ กาย’’นฺติ เอตฺถ กาย-สโทฺท อุปริมกายวิสโยติ อาห ‘‘อุปริมํ สรีรํ อุชุํ ฐเปตฺวา’’ติฯ ตํ ปน อุชุกฐปนํ สรูปโต, ปโยชนโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘อฎฺฐารสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น ปณมนฺตีติ น โอนมนฺติฯ น ปริปตตีติ น วิคจฺฉติ วีถิํ น ลเงฺฆติฯ ตโต เอว ปุเพฺพนาปรํ วิเสสปฺปตฺติยา กมฺมฎฺฐานํ วุฑฺฒิํ ผาติํ เวปุลฺลํ อุปคจฺฉติปริมุขนฺติ เอตฺถ ปริสโทฺท อภิ-สเทฺทน สมานโตฺถติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานาภิมุข’’นฺติ, พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมณโต นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐานํเยว ปุรกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ สมีปโตฺถ วา ปริสโทฺทติ ทเสฺสโนฺต ‘‘มุขสมีเป วา กตฺวา’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ ยถา ‘‘วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชตี’’ติอาทินา ภาวนานุรูปํ เสนาสนํ ทสฺสิตํ, เอวํ ‘‘นิสีทตี’’ติ อิมินา อลีนานุทฺธจฺจปกฺขิโย สโนฺต อิริยาปโถ ทสฺสิโตฯ ‘‘ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา’’ติ อิมินา นิสชฺชาย ทฬฺหภาโว, ‘‘ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติ อิมินา อารมฺมณปริคฺคหูปาโยฯ ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐ ‘‘ปริณายิกา’’ติอาทีสุ วิยฯ มุขนฺติ นิยฺยานโฎฺฐ ‘‘สุญฺญตวิโมกฺขมุข’’นฺติอาทีสุ วิยฯ ปฎิปกฺขโต นิคฺคมนโฎฺฐ หิ นิยฺยานโฎฺฐ, ตสฺมา ปริคฺคหิตนิยฺยานนฺติ สพฺพถา คหิตาสโมฺมสํ ปริจตฺตสโมฺมสํ สติํ กตฺวา, ปรมํ สติเนปกฺกํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ

    Heṭṭhimakāyassa ca anujukaṃ ṭhapanaṃ nisajjāvacaneneva bodhitanti ‘‘ujuṃ kāya’’nti ettha kāya-saddo uparimakāyavisayoti āha ‘‘uparimaṃ sarīraṃ ujuṃ ṭhapetvā’’ti. Taṃ pana ujukaṭhapanaṃ sarūpato, payojanato ca dassetuṃ ‘‘aṭṭhārasā’’tiādi vuttaṃ. Na paṇamantīti na onamanti. Na paripatatīti na vigacchati vīthiṃ na laṅgheti. Tato eva pubbenāparaṃ visesappattiyā kammaṭṭhānaṃ vuḍḍhiṃ phātiṃ vepullaṃ upagacchati. Parimukhanti ettha parisaddo abhi-saddena samānatthoti āha ‘‘kammaṭṭhānābhimukha’’nti, bahiddhā puthuttārammaṇato nivāretvā kammaṭṭhānaṃyeva purakkhatvāti attho. Samīpattho vā parisaddoti dassento ‘‘mukhasamīpe vā katvā’’ti āha. Ettha ca yathā ‘‘vivittaṃ senāsanaṃ bhajatī’’tiādinā bhāvanānurūpaṃ senāsanaṃ dassitaṃ, evaṃ ‘‘nisīdatī’’ti iminā alīnānuddhaccapakkhiyo santo iriyāpatho dassito. ‘‘Pallaṅkaṃ ābhujitvā’’ti iminā nisajjāya daḷhabhāvo, ‘‘parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā’’ti iminā ārammaṇapariggahūpāyo. Parīti pariggahaṭṭho ‘‘pariṇāyikā’’tiādīsu viya. Mukhanti niyyānaṭṭho ‘‘suññatavimokkhamukha’’ntiādīsu viya. Paṭipakkhato niggamanaṭṭho hi niyyānaṭṭho, tasmā pariggahitaniyyānanti sabbathā gahitāsammosaṃ paricattasammosaṃ satiṃ katvā, paramaṃ satinepakkaṃ upaṭṭhapetvāti attho.

    ๒๑๗. อภิชฺฌายติ คิชฺฌติ อภิกงฺขติ เอตายาติ อภิชฺฌา, โลโภฯ ลุชฺชนเฎฺฐนาติ ภิชฺชนเฎฺฐน, ขเณ ขเณ ภิชฺชนเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ วิกฺขมฺภนวเสนาติ เอตฺถ วิกฺขมฺภนํ อนุปฺปาทนํ อปฺปวตฺตนํ, น ปฎิปกฺขานํ สุปฺปหีนตาฯ ‘‘ปหีนตฺตา’’ติ จ ปหีนสทิสตํ สนฺธาย วุตฺตํ ฌานสฺส อนธิคตตฺตาฯ ตถาปิ นยิทํ จกฺขุวิญฺญาณํ วิย สภาวโต วิคตาภิชฺฌํ, อถ โข ภาวนาวเสน, เตนาห ‘‘น จกฺขุวิญฺญาณสทิเสนา’’ติฯ เอเสว นโยติ ยถา อิมสฺส จิตฺตสฺส ภาวนาย ปริภาวิตตฺตา วิคตาภิชฺฌตา, เอวํ อพฺยาปนฺนํ วิคตถินมิทฺธํ อนุทฺธตํ นิพฺพิจิกิจฺฉญฺจาติ อโตฺถฯ ปุริมปกตินฺติ ปริสุทฺธปณฺฑรสภาวํฯ ‘‘ยา จิตฺตสฺส อกลฺยตาติ’’อาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๒; วิภ. ๕๔๖) ถินสฺส, ‘‘ยา กายสฺส อกลฺยตา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๓; วิภ. ๕๔๖) จ มิทฺธสฺส อภิธเมฺม นิทฺทิฎฺฐตฺตา วุตฺตํ ‘‘ถินํ จิตฺตเคลญฺญํ, มิทฺธํ เจตสิกเคลญฺญ’’นฺติฯ สติปิ อญฺญมญฺญํ อวิปฺปโยเค จิตฺตกายลหุตาทีนํ วิย จิตฺตเจตสิกานํ ยถากมฺมํ ตํ ตํ วิเสสสฺส ยา เตสํ อกลฺยตาทีนํ วิเสสปฺปจฺจยตา, อยเมเตสํ สภาโวติ ทฎฺฐพฺพํฯ อาโลกสญฺญีติ เอตฺถ อติสยตฺถวิสิฎฺฐอตฺถิ อตฺถาวโพธโก อยมีกาโรติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘รตฺติมฺปิ…เป.… สมนฺนาคโต’’ติฯ อิทํ อุภยนฺติ สติสมฺปชญฺญมาหฯ อติกฺกมิตฺวา วิกฺขมฺภนวเสน ปชหิตฺวาฯ ‘‘กถมิท’’นฺติ ปวตฺติยา กถงฺกถา, วิจิกิจฺฉาฯ สา เอตสฺส อตฺถีติ กถงฺกถี, น กถงฺกถีติ อกถํกถี, นิพฺพิจิกิโจฺฉฯ ลกฺขณาทิเภทโตติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปจฺจยปหานปหายกาทีนมฺปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เตปิ หิ เภทโต วตฺตพฺพาติฯ

    217. Abhijjhāyati gijjhati abhikaṅkhati etāyāti abhijjhā, lobho. Lujjanaṭṭhenāti bhijjanaṭṭhena, khaṇe khaṇe bhijjanaṭṭhenāti attho. Vikkhambhanavasenāti ettha vikkhambhanaṃ anuppādanaṃ appavattanaṃ, na paṭipakkhānaṃ suppahīnatā. ‘‘Pahīnattā’’ti ca pahīnasadisataṃ sandhāya vuttaṃ jhānassa anadhigatattā. Tathāpi nayidaṃ cakkhuviññāṇaṃ viya sabhāvato vigatābhijjhaṃ, atha kho bhāvanāvasena, tenāha ‘‘na cakkhuviññāṇasadisenā’’ti. Eseva nayoti yathā imassa cittassa bhāvanāya paribhāvitattā vigatābhijjhatā, evaṃ abyāpannaṃ vigatathinamiddhaṃ anuddhataṃ nibbicikicchañcāti attho. Purimapakatinti parisuddhapaṇḍarasabhāvaṃ. ‘‘Yā cittassa akalyatāti’’ādinā (dha. sa. 1162; vibha. 546) thinassa, ‘‘yā kāyassa akalyatā’’tiādinā (dha. sa. 1163; vibha. 546) ca middhassa abhidhamme niddiṭṭhattā vuttaṃ ‘‘thinaṃ cittagelaññaṃ, middhaṃ cetasikagelañña’’nti. Satipi aññamaññaṃ avippayoge cittakāyalahutādīnaṃ viya cittacetasikānaṃ yathākammaṃ taṃ taṃ visesassa yā tesaṃ akalyatādīnaṃ visesappaccayatā, ayametesaṃ sabhāvoti daṭṭhabbaṃ. Ālokasaññīti ettha atisayatthavisiṭṭhaatthi atthāvabodhako ayamīkāroti dassento āha ‘‘rattimpi…pe… samannāgato’’ti. Idaṃ ubhayanti satisampajaññamāha. Atikkamitvā vikkhambhanavasena pajahitvā. ‘‘Kathamida’’nti pavattiyā kathaṅkathā, vicikicchā. Sā etassa atthīti kathaṅkathī, na kathaṅkathīti akathaṃkathī, nibbicikiccho. Lakkhaṇādibhedatoti ettha ādi-saddena paccayapahānapahāyakādīnampi saṅgaho daṭṭhabbo. Tepi hi bhedato vattabbāti.

    ๒๑๘. เตสนฺติ อิณวเสน คหิตธนานํฯ ปริยโนฺตติ ทาตพฺพเสโสฯ โส พลวปาโมชฺชํ ลภติ ‘‘อิณปลิโพธโต มุโตฺตมฺหี’’ติฯ โสมนสฺสํ อธิคจฺฉติ ‘‘ชีวิกานิมิตฺตํ อตฺถี’’ติฯ

    218.Tesanti iṇavasena gahitadhanānaṃ. Pariyantoti dātabbaseso. So balavapāmojjaṃ labhati ‘‘iṇapalibodhato muttomhī’’ti. Somanassaṃ adhigacchati ‘‘jīvikānimittaṃ atthī’’ti.

    ๒๑๙. วิสภาคเวทนุปฺปตฺติยาติ ทุกฺขเวทนุปฺปตฺติยาฯ ทุกฺขเวทนา หิ สุขเวทนาย กุสลวิปากสนฺตานสฺส วิโรธิตาย วิสภาคาฯ จตุอิริยาปถํ ฉินฺทโนฺตติ จตุพฺพิธมฺปิ อิริยาปถปฺปวตฺติํ ปจฺฉินฺทโนฺตฯ พฺยาธิโก หิ ยถา ฐานคมเนสุ อสมโตฺถ, เอวํ นิสชฺชาทีสุปิ อสมโตฺถ โหติฯ อาพาเธตีติ ปีเฬติฯ วาตาทีนํ วิกาโร วิสมาวตฺถา พฺยาธีติ อาห ‘‘ตํสมุฎฺฐาเนน ทุเกฺขน ทุกฺขิโต’’ติฯ ทุกฺขเวทนาย ปน พฺยาธิภาเว มูลพฺยาธินา อาพาธิโก อาทิโต พาธตีติ กตฺวาฯ อนุพนฺธพฺยาธินา ทุกฺขิโต อปราปรํ สญฺชาตทุโกฺขติ กตฺวาฯ คิลาโนติ ธาตุสงฺขเยน ปริกฺขีณสรีโรฯ อปฺปมตฺตกํ วา พลํ พลมตฺตาฯ ตทุภยนฺติ ปาโมชฺชํ, โสมนสฺสญฺจฯ ตตฺถ ลเภถ ปาโมชฺชํ ‘‘โรคโต มุโตฺตมฺหี’’ติฯ อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํ ‘‘อตฺถิ เม กาเย พล’’นฺติฯ

    219.Visabhāgavedanuppattiyāti dukkhavedanuppattiyā. Dukkhavedanā hi sukhavedanāya kusalavipākasantānassa virodhitāya visabhāgā. Catuiriyāpathaṃ chindantoti catubbidhampi iriyāpathappavattiṃ pacchindanto. Byādhiko hi yathā ṭhānagamanesu asamattho, evaṃ nisajjādīsupi asamattho hoti. Ābādhetīti pīḷeti. Vātādīnaṃ vikāro visamāvatthā byādhīti āha ‘‘taṃsamuṭṭhānena dukkhena dukkhito’’ti. Dukkhavedanāya pana byādhibhāve mūlabyādhinā ābādhiko ādito bādhatīti katvā. Anubandhabyādhinā dukkhito aparāparaṃ sañjātadukkhoti katvā. Gilānoti dhātusaṅkhayena parikkhīṇasarīro. Appamattakaṃ vā balaṃ balamattā. Tadubhayanti pāmojjaṃ, somanassañca. Tattha labhetha pāmojjaṃ ‘‘rogato muttomhī’’ti. Adhigaccheyya somanassaṃ ‘‘atthi me kāye bala’’nti.

    ๒๒๐. เสสนฺติ ‘‘ตสฺส หิ ‘พนฺธนา มุโตฺตมฺหี’ติ อาวชฺชยโต ตทุภยํ โหติฯ เตน วุตฺต’’นฺติ เอวมาทิฯ วุตฺตนเยเนวาติ ปฐมทุติยปเทสุ วุตฺตนเยเนวฯ สพฺพปเทสูติ อวสิฎฺฐปเทสุ ตติยาทีสุ โกฎฺฐาเสสุฯ

    220.Sesanti ‘‘tassa hi ‘bandhanā muttomhī’ti āvajjayato tadubhayaṃ hoti. Tena vutta’’nti evamādi. Vuttanayenevāti paṭhamadutiyapadesu vuttanayeneva. Sabbapadesūti avasiṭṭhapadesu tatiyādīsu koṭṭhāsesu.

    ๒๒๑-๒๒๒. น อตฺตนิ อธีโนติ น อตฺตายโตฺตฯ ปราธีโนติ ปรายโตฺตฯ อปราธีนตาย ภุโช วิย อตฺตโน กิเจฺจ เอสิตโพฺพติ ภุชิโสฺสฯ สวโสติ อาห ‘‘อตฺตโน สนฺตโก’’ติฯ อนุทกตาย กํ ปานียํ ตาเรนฺติ เอตฺถาติ กนฺตาโรติ อาห ‘‘นิรุทกํ ทีฆมคฺค’’นฺติฯ

    221-222.Na attani adhīnoti na attāyatto. Parādhīnoti parāyatto. Aparādhīnatāya bhujo viya attano kicce esitabboti bhujisso. Savasoti āha ‘‘attano santako’’ti. Anudakatāya kaṃ pānīyaṃ tārenti etthāti kantāroti āha ‘‘nirudakaṃ dīghamagga’’nti.

    ๒๒๓. ตตฺราติ ตสฺมิํ ทสฺสเนฯ อยนฺติ อิทานิ วุจฺจมานา สทิสตาฯ เยน อิณาทีนํ อุปมาภาโว, กามจฺฉนฺทาทีนญฺจ อุปเมยฺยภาโว โหติ, โส เนสํ อุปโมปเมยฺยสมฺพโนฺธ สทิสตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ โย ยมฺหิ กามจฺฉเนฺทน รชฺชตีติ โย ปุคฺคโล ยมฺหิ กามราคสฺส วตฺถุภูเต ปุคฺคเล กามจฺฉนฺทวเสน รโตฺต โหติฯ ตํ วตฺถุํ คณฺหาตีติ ตํ ตณฺหาวตฺถุํ ‘‘มเมต’’นฺติ คณฺหาติฯ

    223.Tatrāti tasmiṃ dassane. Ayanti idāni vuccamānā sadisatā. Yena iṇādīnaṃ upamābhāvo, kāmacchandādīnañca upameyyabhāvo hoti, so nesaṃ upamopameyyasambandho sadisatāti daṭṭhabbaṃ. Yo yamhi kāmacchandena rajjatīti yo puggalo yamhi kāmarāgassa vatthubhūte puggale kāmacchandavasena ratto hoti. Taṃ vatthuṃ gaṇhātīti taṃ taṇhāvatthuṃ ‘‘mameta’’nti gaṇhāti.

    อุปทฺทเวถาติ อุปทฺทวํ กโรถฯ

    Upaddavethāti upaddavaṃ karotha.

    นกฺขตฺตสฺสาติ มหสฺสฯ มุโตฺตติ พนฺธนโต มุโตฺตฯ

    Nakkhattassāti mahassa. Muttoti bandhanato mutto.

    วินเย อปกตญฺญุนาติ วินยกฺกเม อกุสเลนฯ โส หิ กปฺปิยากปฺปิยํ ยาถาวโต น ชานาติฯ เตนาห ‘‘กิสฺมิญฺจิเทวา’’ติอาทิฯ

    Vinaye apakataññunāti vinayakkame akusalena. So hi kappiyākappiyaṃ yāthāvato na jānāti. Tenāha ‘‘kismiñcidevā’’tiādi.

    คจฺฉติปีติ โถกํ โถกํ คจฺฉติปิฯ คจฺฉโนฺต ปน ตาย เอว อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิตตาย ตตฺถ ตตฺถ ติฎฺฐติปิฯ อีทิเส กนฺตาเร คโต ‘‘โก ชานาติ กิํ ภวิสฺสตี’’ติ นิวตฺตติปิ, ตสฺมา คตฎฺฐานโต อคตฎฺฐานเมว พหุตรํ โหติฯ สทฺธาย คณฺหิตุํ สเทฺธยฺยํ วตฺถุํ ‘‘อิทเมว’’นฺติ สทฺทหิตุํ น สโกฺกติฯ อตฺถิ นตฺถีติ ‘‘อตฺถิ นุ โข, นตฺถิ นุ โข’’ติฯ อรญฺญํ ปวิฎฺฐสฺส อาทิมฺหิ เอว สปฺปนํ อาสปฺปนํฯ ปริ ปริโต, อุปรูปริ วา สปฺปนํ ปริสปฺปนํฯ อุภเยนปิ ตเตฺถว ปริพฺภมนํ วทติฯ เตนาห ‘‘อปริโยคาหน’’นฺติฯ ฉมฺภิตตฺตนฺติ อรญฺญสญฺญาย อุปฺปนฺนํ ฉมฺภิตภาวํ, อุตฺราสนฺติ อโตฺถฯ

    Gacchatipīti thokaṃ thokaṃ gacchatipi. Gacchanto pana tāya eva ussaṅkitaparisaṅkitatāya tattha tattha tiṭṭhatipi. Īdise kantāre gato ‘‘ko jānāti kiṃ bhavissatī’’ti nivattatipi, tasmā gataṭṭhānato agataṭṭhānameva bahutaraṃ hoti. Saddhāya gaṇhituṃ saddheyyaṃ vatthuṃ ‘‘idameva’’nti saddahituṃ na sakkoti. Atthi natthīti ‘‘atthi nu kho, natthi nu kho’’ti. Araññaṃ paviṭṭhassa ādimhi eva sappanaṃ āsappanaṃ. Pari parito, uparūpari vā sappanaṃ parisappanaṃ. Ubhayenapi tattheva paribbhamanaṃ vadati. Tenāha ‘‘apariyogāhana’’nti. Chambhitattanti araññasaññāya uppannaṃ chambhitabhāvaṃ, utrāsanti attho.

    ๒๒๔. ตตฺรายํ สทิสตาติ เอตฺถาปิ วุตฺตนยานุสาเรน สทิสตา เวทิตพฺพาฯ ยทเคฺคน หิ กามจฺฉนฺทาทโย อิณาทิสทิสา, ตทเคฺคน เตสํ ปหานํ อาณณฺยาทิสทิสํ อภาโวติ กตฺวาฯ ฉ ธเมฺมติ อสุภนิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, อสุภภาวนานุโยโค, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติ อิเม ฉ ธเมฺมฯ ภาเวตฺวาติ พฺรูเหตฺวาฯ มหาสติปฎฺฐาเน (ที. นิ. ๒.๓๗๒-๓๗๔) วณฺณยิสฺสาม ตตฺถสฺส อนุปฺปนฺนานุปฺปาทนอุปฺปนฺนปหานาทิวิภาวนวเสน สวิเสสํ ปาฬิยา อาคตตฺตาฯ เอส นโย พฺยาปาทาทิปฺปหานกภาเวปิฯ ปรวตฺถุมฺหีติ อารมฺมณภูเต ปรสฺมิํ วตฺถุสฺมิํฯ

    224.Tatrāyaṃ sadisatāti etthāpi vuttanayānusārena sadisatā veditabbā. Yadaggena hi kāmacchandādayo iṇādisadisā, tadaggena tesaṃ pahānaṃ āṇaṇyādisadisaṃ abhāvoti katvā. Cha dhammeti asubhanimittassa uggaho, asubhabhāvanānuyogo, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti ime cha dhamme. Bhāvetvāti brūhetvā. Mahāsatipaṭṭhāne (dī. ni. 2.372-374) vaṇṇayissāma tatthassa anuppannānuppādanauppannapahānādivibhāvanavasena savisesaṃ pāḷiyā āgatattā. Esa nayo byāpādādippahānakabhāvepi. Paravatthumhīti ārammaṇabhūte parasmiṃ vatthusmiṃ.

    อนตฺถกโรติ อตฺตโน ปรสฺส จ อนตฺถาวโหฯ ฉ ธเมฺมติ เมตฺตานิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, เมตฺตาภาวนานุโยโค , กมฺมสฺสกตา, ปฎิสงฺขานพหุลตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติ อิเม ฉ ธเมฺมฯ ตเตฺถวาติ มหาสติปฎฺฐาเนเยว (ที. นิ. ๒.๓๗๒-๓๗๔)ฯ จาริตฺตสีลํ อุทฺทิสฺส ปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ อาจารปณฺณตฺติฯ

    Anatthakaroti attano parassa ca anatthāvaho. Cha dhammeti mettānimittassa uggaho, mettābhāvanānuyogo , kammassakatā, paṭisaṅkhānabahulatā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti ime cha dhamme. Tatthevāti mahāsatipaṭṭhāneyeva (dī. ni. 2.372-374). Cārittasīlaṃ uddissa paññattasikkhāpadaṃ ācārapaṇṇatti.

    พนฺธนาคารํ ปเวสิตตฺตา อลทฺธนกฺขตฺตานุภโว ปุริโส ‘‘นกฺขตฺตทิวเส พนฺธนาคารํ ปเวสิโต ปุริโส’’ติ วุโตฺต, นกฺขตฺตทิวเส เอว วา ตทนนุภวนตฺถํ ตถา กโตฯ มหาอนตฺถกรนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอตฺถหาปนมุเขน มหโต อนตฺถสฺส การกํฯ ฉ ธเมฺมติ อติโภชเน นนิมิตฺตคฺคาโห, อิริยาปถสมฺปริวตฺตนตา, อาโลกสญฺญามนสิกาโร, อโพฺภกาสวาโส, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติ อิเม ฉ ธเมฺมฯ

    Bandhanāgāraṃ pavesitattā aladdhanakkhattānubhavo puriso ‘‘nakkhattadivase bandhanāgāraṃ pavesito puriso’’ti vutto, nakkhattadivase eva vā tadananubhavanatthaṃ tathā kato. Mahāanatthakaranti diṭṭhadhammikādiatthahāpanamukhena mahato anatthassa kārakaṃ. Cha dhammeti atibhojane nanimittaggāho, iriyāpathasamparivattanatā, ālokasaññāmanasikāro, abbhokāsavāso, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti ime cha dhamme.

    อุทฺธจฺจกุกฺกุเจฺจ มหาอนตฺถกรนฺติ ปรายตฺตตาปาทนโต วุตฺตนเยน มหโต อนตฺถสฺส การกนฺติฯ อโตฺถ ฉ ธเมฺมติ พหุสฺสุตตา, ปริปุจฺฉกตา, วินเย ปกตญฺญุตา, วุฑฺฒเสวิตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติ อิเม ฉ ธเมฺมฯ

    Uddhaccakukkucce mahāanatthakaranti parāyattatāpādanato vuttanayena mahato anatthassa kārakanti. Attho cha dhammeti bahussutatā, paripucchakatā, vinaye pakataññutā, vuḍḍhasevitā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti ime cha dhamme.

    พลวาติ ปจฺจตฺถิกวิธมนสมเตฺถน พเลน พลวาฯ สชฺชาวุโธติ สนฺนทฺธธนุอาทิอาวุโธฯ สูรวีรเสวกชนวเสน สปริวาโรฯ ตนฺติ ยถาวุตฺตํ ปุริสํฯ พลวนฺตตาย, สชฺชาวุธตาย, สปริวารตาย จ โจรา ทูรโตว ทิสฺวา ปลาเยยฺยุํฯ อนตฺถการิกาติ สมฺมาปฎิปตฺติยา วิพนฺธกรณโต วุตฺตนเยน อนตฺถการิกาฯ ฉ ธเมฺมติ พหุสฺสุตตา, ปริปุจฺฉกตา, วินเย ปกตญฺญุตา, อธิโมกฺขพหุลตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติ อิเม ฉ ธเมฺมฯ ยถา พาหุสจฺจาทีนิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ วิจิกิจฺฉาย ปีติ อิธาปิ พหุสฺสุตตาทโย คหิตาฯ กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถา วิย ปญฺจนฺนํ, ตสฺมา ตสฺส ตสฺส อนุจฺฉวิกเสวนตา เวทิตพฺพาฯ สมฺมาปฎิปตฺติยา อปฺปฎิปตฺตินิมิตฺตตามุเขน วิจิกิจฺฉา มิจฺฉาปฎิปตฺติเมว ปริพฺรูเหตีติ ตสฺสา ปหานํ ทุจฺจริตวิธูนนูปาโยติ อาห ‘‘ทุจฺจริตกนฺตารํ นิตฺถริตฺวา’’ติอาทิฯ

    Balavāti paccatthikavidhamanasamatthena balena balavā. Sajjāvudhoti sannaddhadhanuādiāvudho. Sūravīrasevakajanavasena saparivāro. Tanti yathāvuttaṃ purisaṃ. Balavantatāya, sajjāvudhatāya, saparivāratāya ca corā dūratova disvā palāyeyyuṃ. Anatthakārikāti sammāpaṭipattiyā vibandhakaraṇato vuttanayena anatthakārikā. Cha dhammeti bahussutatā, paripucchakatā, vinaye pakataññutā, adhimokkhabahulatā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti ime cha dhamme. Yathā bāhusaccādīni uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattanti, evaṃ vicikicchāya pīti idhāpi bahussutatādayo gahitā. Kalyāṇamittatā sappāyakathā viya pañcannaṃ, tasmā tassa tassa anucchavikasevanatā veditabbā. Sammāpaṭipattiyā appaṭipattinimittatāmukhena vicikicchā micchāpaṭipattimeva paribrūhetīti tassā pahānaṃ duccaritavidhūnanūpāyoti āha ‘‘duccaritakantāraṃ nittharitvā’’tiādi.

    ๒๒๕. ปาโมชฺชํ นาม ตรุณปีติ, สา กถญฺจิปิ ตุฎฺฐาวตฺถาติ อาห ‘‘ปาโมชฺชํ ชายตีติ ตุฎฺฐากาโร ชายตี’’ติฯ ตุฎฺฐสฺสาติ โอกฺกนฺติกภาวปฺปตฺตาย ปีติยา วเสน ตุฎฺฐสฺสฯ อตฺตโน สวิปฺผาริกตาย, อตฺตสมุฎฺฐานปณีตรูปุปฺปตฺติยา จ สกลสรีรํ โขภยมานา ผรณลกฺขณา ปีติ ชายติฯ ปีติสหิตํ ปีติ อุตฺตรปทโลเปน, กิํ ปน ตํ ? มโนฯ ปีติ มโน เอตสฺสาติ ปีติมโน, ตสฺส ปีติมนสฺสฯ ตยิทํ อตฺถมตฺตเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘ปีติสมฺปยุตฺตจิตฺตสฺสา’’ติ อาหฯ กาโยติ อิธ อรูปกลาโป อธิเปฺปโต, น เวทนาทิกฺขนฺธตฺตยเมวาติ อาห ‘‘นามกาโย ปสฺสมฺภตี’’ติ, ปสฺสทฺธิทฺวยสฺส ปีติวเสเนตฺถ ปสฺสมฺภนํ อธิเปฺปตํฯ วิคตทรโถติ ปหีนอุทฺธจฺจาทิกิเลสทรโถฯ วุตฺตปฺปการาย ปุพฺพภาคภาวนาย วเสน เจตสิกสุขํ ปฎิสํเวเทโนฺตเยว ตํสมุฎฺฐานปณีตรูปผุฎฺฐสรีรตาย กายิกมฺปิ สุขํ เวเทตีติ อาห ‘‘กายิกมฺปิ เจตสิกมฺปิ สุขํ เวทยตี’’ติฯ อิมินาติ ‘‘สุขํ ปฎิสํเวเทตี’’ติ เอวํ วุเตฺตนฯ สํกิเลสปกฺขโต นิกฺขนฺตตฺตา, ปฐมชฺฌานปกฺขิกตฺตา จ เนกฺขมฺมสุเขนฯ สุขิตสฺสาติ สุขิโนฯ

    225.Pāmojjaṃ nāma taruṇapīti, sā kathañcipi tuṭṭhāvatthāti āha ‘‘pāmojjaṃ jāyatīti tuṭṭhākāro jāyatī’’ti. Tuṭṭhassāti okkantikabhāvappattāya pītiyā vasena tuṭṭhassa. Attano savipphārikatāya, attasamuṭṭhānapaṇītarūpuppattiyā ca sakalasarīraṃ khobhayamānā pharaṇalakkhaṇā pīti jāyati. Pītisahitaṃ pīti uttarapadalopena, kiṃ pana taṃ ? Mano. Pīti mano etassāti pītimano, tassa pītimanassa. Tayidaṃ atthamattameva dassento ‘‘pītisampayuttacittassā’’ti āha. Kāyoti idha arūpakalāpo adhippeto, na vedanādikkhandhattayamevāti āha ‘‘nāmakāyo passambhatī’’ti, passaddhidvayassa pītivasenettha passambhanaṃ adhippetaṃ. Vigatadarathoti pahīnauddhaccādikilesadaratho. Vuttappakārāya pubbabhāgabhāvanāya vasena cetasikasukhaṃ paṭisaṃvedentoyeva taṃsamuṭṭhānapaṇītarūpaphuṭṭhasarīratāya kāyikampi sukhaṃ vedetīti āha ‘‘kāyikampi cetasikampi sukhaṃ vedayatī’’ti. Imināti ‘‘sukhaṃ paṭisaṃvedetī’’ti evaṃ vuttena. Saṃkilesapakkhato nikkhantattā, paṭhamajjhānapakkhikattā ca nekkhammasukhena. Sukhitassāti sukhino.

    ปฐมชฺฌานกถาวณฺณนา

    Paṭhamajjhānakathāvaṇṇanā

    ๒๒๖. ‘‘จิตฺตํ สมาธิยตี’’ติ เอเตน อุปจารวเสนปิ อปฺปนาวเสนปิ จิตฺตสฺส สมาธานํ กถิตํฯ เอวํ สเนฺต ‘‘โส วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติอาทิกา เทสนา กิมตฺถิยาติ อาห ‘‘โส วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… วุตฺต’’นฺติฯ ตตฺถ อุปริวิเสสทสฺสนตฺถนฺติ ปฐมชฺฌานาทิอุปริวตฺตพฺพวิเสสทสฺสนตฺถํฯ น หิ อุปจารสมาธิสมธิคเมน วินา ปฐมชฺฌานาทิวิเสโส สมธิคนฺตุํ สกฺกาฯ ปาโมชฺชุปฺปาทาทีหิ การณปรมฺปรา ทุติยชฺฌานาทิสมธิคเมปิ อิจฺฉิตพฺพาว ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ วิย ทุติยมคฺคาทิสมธิคเมติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตสฺส สมาธิโนติ ‘‘สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยตี’’ติ เอวํ สาธารณวเสน วุโตฺต โย อปฺปนาลกฺขโณ, ตสฺส สมาธิโนฯ ปเภททสฺสนตฺถนฺติ ทุติยชฺฌานาทิวิภาคสฺส เจว อภิญฺญาทิวิภาคสฺส จ ปเภททสฺสนตฺถํฯ กโร วุจฺจติ ปุปฺผสมฺภวํ คพฺภาสเย กรียตีติ กตฺวา, กรโต ชาโต กาโย กรชกาโย, ตทุปสนิสฺสโย จตุสนฺตติรูปสมุทาโยฯ กามํ นามกาโยปิ วิเวกเชน ปีติสุเขน ตถาลทฺธุปกาโร, ‘‘อภิสเนฺทตี’’ติอาทิวจนโต ปน รูปกาโย อิธาธิเปฺปโตติ อาห ‘‘อิมํ กรชกาย’’นฺติฯ อภิสเนฺทตีติ อภิสนฺทนํ กโรติฯ ตํ ปน ฌานมเยน ปีติสุเขน กรชกายสฺส ตินฺตภาวาปาทนํ, สพฺพตฺถกเมว ลูขภาวาปนยนนฺติ อาห ‘‘เตเมตี’’ติอาทิ, ตยิทํ อภิสนฺทนํ อตฺถโต ยถาวุตฺตปีติสุขสมุฎฺฐาเนหิ ปณีตรูเปหิ กายสฺส ปริปฺผรณํ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ปริสเนฺทตี’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สพฺพํ เอตสฺส อตฺถีติ สพฺพวา, ตสฺส สพฺพาวโตฯ อวยวาวยวิสมฺพเนฺธ อวยวินิ สามิวจนนฺติ อวยวีวิสโย สพฺพ-สโทฺท, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สพฺพโกฎฺฐาสวโต’’ติฯ อผุฎํ นาม น โหติ ยตฺถ ยตฺถ กมฺมชรูปํ, ตตฺถ ตตฺถ จิตฺตชรูปสฺส อภิพฺยาปนโตฯ เตนาห ‘‘อุปาทินฺนกสนฺตตี’’ติอาทิฯ

    226. ‘‘Cittaṃ samādhiyatī’’ti etena upacāravasenapi appanāvasenapi cittassa samādhānaṃ kathitaṃ. Evaṃ sante ‘‘so vivicceva kāmehī’’tiādikā desanā kimatthiyāti āha ‘‘so vivicceva kāmehi…pe… vutta’’nti. Tattha uparivisesadassanatthanti paṭhamajjhānādiuparivattabbavisesadassanatthaṃ. Na hi upacārasamādhisamadhigamena vinā paṭhamajjhānādiviseso samadhigantuṃ sakkā. Pāmojjuppādādīhi kāraṇaparamparā dutiyajjhānādisamadhigamepi icchitabbāva paṭipadāñāṇadassanavisuddhi viya dutiyamaggādisamadhigameti daṭṭhabbaṃ. Tassa samādhinoti ‘‘sukhino cittaṃ samādhiyatī’’ti evaṃ sādhāraṇavasena vutto yo appanālakkhaṇo, tassa samādhino. Pabhedadassanatthanti dutiyajjhānādivibhāgassa ceva abhiññādivibhāgassa ca pabhedadassanatthaṃ. Karo vuccati pupphasambhavaṃ gabbhāsaye karīyatīti katvā, karato jāto kāyo karajakāyo, tadupasanissayo catusantatirūpasamudāyo. Kāmaṃ nāmakāyopi vivekajena pītisukhena tathāladdhupakāro, ‘‘abhisandetī’’tiādivacanato pana rūpakāyo idhādhippetoti āha ‘‘imaṃ karajakāya’’nti. Abhisandetīti abhisandanaṃ karoti. Taṃ pana jhānamayena pītisukhena karajakāyassa tintabhāvāpādanaṃ, sabbatthakameva lūkhabhāvāpanayananti āha ‘‘temetī’’tiādi, tayidaṃ abhisandanaṃ atthato yathāvuttapītisukhasamuṭṭhānehi paṇītarūpehi kāyassa parippharaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. ‘‘Parisandetī’’tiādīsupi eseva nayo. Sabbaṃ etassa atthīti sabbavā, tassa sabbāvato. Avayavāvayavisambandhe avayavini sāmivacananti avayavīvisayo sabba-saddo, tasmā vuttaṃ ‘‘sabbakoṭṭhāsavato’’ti. Aphuṭaṃnāma na hoti yattha yattha kammajarūpaṃ, tattha tattha cittajarūpassa abhibyāpanato. Tenāha ‘‘upādinnakasantatī’’tiādi.

    ๒๒๗. เฉโกติ กุสโลฯ ตํ ปนสฺส โกสลฺลํ นฺหานิยจุณฺณานํ สนฺนเน ปิณฺฑีกรเณ จ สมตฺถตาวเสน เวทิตพฺพนฺติ อาห ‘‘ปฎิพโล’’ติอาทิฯ กํส-สโทฺท ‘‘มหติยา กํสปาติยา’’ติอาทีสุ สุวเณฺณ อาคโตฯ

    227.Chekoti kusalo. Taṃ panassa kosallaṃ nhāniyacuṇṇānaṃ sannane piṇḍīkaraṇe ca samatthatāvasena veditabbanti āha ‘‘paṭibalo’’tiādi. Kaṃsa-saddo ‘‘mahatiyā kaṃsapātiyā’’tiādīsu suvaṇṇe āgato.

    ‘‘กํโส อุปหโต ยถา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๓๔) กิตฺติมโลเห, กตฺถจิ ปณฺณตฺติมเตฺต ‘‘อุปกํโส นาม ราชาปิ มหากํสสฺส อตฺรโช’’ติอาทิ, [ชา. อฎฺฐ. ๔.๑๐ ฆฎปณฺฑิตชาตกวณฺณนายํ (อตฺถโต สมานํ)] อิธ ปน ยตฺถ กตฺถจิ โลเหติ อาห ‘‘เยน เกนจิ โลเหน กตภาชเน’’ติฯ เสฺนหานุคตาติ อุทกสิเนเหน อนุปวิสนวเสน คตา อุปคตาฯ เสฺนหปเรตาติ อุทกสิเนเหน ปริโต คตา สมนฺตโต ผุฎฺฐา, ตโต เอว สนฺตรพาหิรา ผุฎฺฐา สิเนเหน, เอเตน สพฺพโส อุทเกน เตมิตภาวมาหฯ ‘‘น จ ปคฺฆรณี’’ติ เอเตน ตินฺตสฺสปิ ตสฺส ฆนถทฺธภาวํ วทติฯ เตนาห ‘‘น จ พินฺทุํ พินฺทุ’’นฺติอาทิฯ

    ‘‘Kaṃso upahato yathā’’tiādīsu (dha. pa. 134) kittimalohe, katthaci paṇṇattimatte ‘‘upakaṃso nāma rājāpi mahākaṃsassa atrajo’’tiādi, [jā. aṭṭha. 4.10 ghaṭapaṇḍitajātakavaṇṇanāyaṃ (atthato samānaṃ)] idha pana yattha katthaci loheti āha ‘‘yena kenaci lohena katabhājane’’ti. Snehānugatāti udakasinehena anupavisanavasena gatā upagatā. Snehaparetāti udakasinehena parito gatā samantato phuṭṭhā, tato eva santarabāhirā phuṭṭhā sinehena, etena sabbaso udakena temitabhāvamāha. ‘‘Na ca paggharaṇī’’ti etena tintassapi tassa ghanathaddhabhāvaṃ vadati. Tenāha ‘‘na ca binduṃ bindu’’ntiādi.

    ทุติยชฺฌานกถาวณฺณนา

    Dutiyajjhānakathāvaṇṇanā

    ๒๒๙. ตาหิ ตาหิ อุทกสิราหิ อุพฺภิชฺชตีติ อุพฺภิทํ, อุพฺภิทํ อุทกํ เอตสฺสาติ อุพฺภิโททโกฯ อุพฺภินฺนอุทโกติ นทีตีเร ขตกูปโก วิย อุพฺภิชฺชนกอุทโกฯ อุคฺคจฺฉนกอุทโกติ ธาราวเสน อุฎฺฐหนอุทโกฯ กสฺมา ปเนตฺถ อุพฺภิโททโกว รหโท คหิโต, น อิตโรติ อาห ‘‘เหฎฺฐา อุคฺคจฺฉนอุทกญฺหี’’ติอาทิฯ ธารานิปาตปุพฺพุฬเกหีติ ธารานิปาเตหิ อุทกปุพฺพุฬเกหิ จ, ‘‘เผณปฎเลหิ จา’’ติ วตฺตพฺพํฯ สนฺนิสินฺนเมวาติ อปริโกฺขภตาย นิจฺจลเมว, สุปฺปสนฺนเมวาติ อธิปฺปาโยฯ เสสนฺติ ‘‘อภิสเนฺทตี’’ติอาทิกํฯ

    229. Tāhi tāhi udakasirāhi ubbhijjatīti ubbhidaṃ, ubbhidaṃ udakaṃ etassāti ubbhidodako. Ubbhinnaudakoti nadītīre khatakūpako viya ubbhijjanakaudako. Uggacchanakaudakoti dhārāvasena uṭṭhahanaudako. Kasmā panettha ubbhidodakova rahado gahito, na itaroti āha ‘‘heṭṭhā uggacchanaudakañhī’’tiādi. Dhārānipātapubbuḷakehīti dhārānipātehi udakapubbuḷakehi ca, ‘‘pheṇapaṭalehi cā’’ti vattabbaṃ. Sannisinnamevāti aparikkhobhatāya niccalameva, suppasannamevāti adhippāyo. Sesanti ‘‘abhisandetī’’tiādikaṃ.

    ตติยชฺฌานกถาวณฺณนา

    Tatiyajjhānakathāvaṇṇanā

    ๒๓๑. อุปฺปลานีติ อุปฺปลคจฺฉานิฯ เสตรตฺตนีเลสูติ อุปฺปเลสุ, เสตุปฺปลรตฺตุปฺปลนีลุปฺปเลสูติ อโตฺถฯ ยํ กิญฺจิ อุปฺปลํ อุปฺปลเมว สามญฺญคหณโต ฯ สตปตฺตนฺติ เอตฺถ สต-สโทฺท พหุปริยาโย ‘‘สตคฺฆี’’ติอาทีสุ วิย, เตน อเนกสตปตฺตสฺสปิ สงฺคโห สิโทฺธ โหติฯ โลเก ปน ‘‘รตฺตํ ปทุมํ, เสตํ ปุณฺฑรีก’’นฺติปิ วุจฺจติฯ ยาว อคฺคา, ยาว จ มูลา อุทเกน อภิสนฺทนาทิสมฺภวทสฺสนตฺถํ อุทกานุคฺคตคฺคหณํฯ อิธ อุปฺปลาทีนิ วิย กรชกาโย, อุทกํ วิย ตติยชฺฌานสุขํฯ

    231.Uppalānīti uppalagacchāni. Setarattanīlesūti uppalesu, setuppalarattuppalanīluppalesūti attho. Yaṃ kiñci uppalaṃ uppalameva sāmaññagahaṇato . Satapattanti ettha sata-saddo bahupariyāyo ‘‘satagghī’’tiādīsu viya, tena anekasatapattassapi saṅgaho siddho hoti. Loke pana ‘‘rattaṃ padumaṃ, setaṃ puṇḍarīka’’ntipi vuccati. Yāva aggā, yāva ca mūlā udakena abhisandanādisambhavadassanatthaṃ udakānuggataggahaṇaṃ. Idha uppalādīni viya karajakāyo, udakaṃ viya tatiyajjhānasukhaṃ.

    จตุตฺถชฺฌานกถาวณฺณนา

    Catutthajjhānakathāvaṇṇanā

    ๒๓๓. ยสฺมา ‘‘ปริสุเทฺธน เจตสา’’ติ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตมาห, ตญฺจ ราคาทิอุปกฺกิเลสาปคมนโต นิรุปกฺกิเลสํ นิมฺมลํ, ตสฺมา อาห ‘‘นิรุปกฺกิเลสเฎฺฐน ปริสุทฺธ’’นฺติฯ ยสฺมา ปน ปาริสุทฺธิยา เอว ปจฺจยวิเสเสน ปวตฺติวิเสโส ปริโยทาตตา สุวณฺณสฺส นิฆํสเนน ปภสฺสรตา วิย, ตสฺมา อาห ‘‘ปภสฺสรเฎฺฐน ปริโยทาตนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติฯ อิทนฺติ โอทาตวจนํฯ อุตุผรณตฺถนฺติ อุณฺหอุตุโน ผรณทสฺสนตฺถํฯ อุตุผรณํ น โหติ สวิเสสนฺติ อธิปฺปาโย, เตนาห ‘‘ตงฺขณ…เป.… พลวํ โหตี’’ติฯ วตฺถํ วิย กรชกาโยติ โยคิโน กรชกาโย วตฺถํ วิย ทฎฺฐโพฺพ อุตุผรณสทิเสน จตุตฺถชฺฌานสุเขน ผริตพฺพตฺตาฯ ปุริสสฺส สรีรํ วิย จตุตฺถชฺฌานํ ทฎฺฐพฺพํ อุตุผรณฎฺฐานิยสฺส สุขสฺส นิสฺสยภาวโต, เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ เอตฺถ จ ‘‘ปริสุเทฺธน เจตสา’’ติ เจโต คหเณน ฌานสุขํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ, เตนาห ‘‘อุตุผรณํ วิย จตุตฺถชฺฌานสุข’’นฺติฯ นนุ จ จตุตฺถชฺฌาเน สุขเมว นตฺถีติ? สจฺจํ นตฺถิ สาตลกฺขณสนฺตสภาวตฺตา ปเนตฺถ อุเปกฺขา ‘‘สุข’’นฺติ อธิเปฺปตาฯ เตน วุตฺตํ สโมฺมหวิโนทนิยํ ‘‘อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตา’’ติฯ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๓๒; วิสุทฺธิ. ๒.๖๔๔; ปฎิ. ม. ๑๐๕, มหานิ. อฎฺฐ. ๒๗)

    233. Yasmā ‘‘parisuddhena cetasā’’ti catutthajjhānacittamāha, tañca rāgādiupakkilesāpagamanato nirupakkilesaṃ nimmalaṃ, tasmā āha ‘‘nirupakkilesaṭṭhena parisuddha’’nti. Yasmā pana pārisuddhiyā eva paccayavisesena pavattiviseso pariyodātatā suvaṇṇassa nighaṃsanena pabhassaratā viya, tasmā āha ‘‘pabhassaraṭṭhena pariyodātanti veditabba’’nti. Idanti odātavacanaṃ. Utupharaṇatthanti uṇhautuno pharaṇadassanatthaṃ. Utupharaṇaṃ na hoti savisesanti adhippāyo, tenāha ‘‘taṅkhaṇa…pe… balavaṃ hotī’’ti. Vatthaṃ viya karajakāyoti yogino karajakāyo vatthaṃ viya daṭṭhabbo utupharaṇasadisena catutthajjhānasukhena pharitabbattā. Purisassa sarīraṃ viya catutthajjhānaṃ daṭṭhabbaṃ utupharaṇaṭṭhāniyassa sukhassa nissayabhāvato, tenāha ‘‘tasmā’’tiādi. Ettha ca ‘‘parisuddhena cetasā’’ti ceto gahaṇena jhānasukhaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ, tenāha ‘‘utupharaṇaṃ viya catutthajjhānasukha’’nti. Nanu ca catutthajjhāne sukhameva natthīti? Saccaṃ natthi sātalakkhaṇasantasabhāvattā panettha upekkhā ‘‘sukha’’nti adhippetā. Tena vuttaṃ sammohavinodaniyaṃ ‘‘upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitā’’ti. (Vibha. aṭṭha. 232; visuddhi. 2.644; paṭi. ma. 105, mahāni. aṭṭha. 27)

    น อรูปชฺฌานลาภีติ น เวทิตโพฺพ อวินาภาวโต, เตนาห ‘‘น หี’’ติอาทิฯ ตตฺถ จุทฺทสหากาเรหีติ กสิณานุโลมโต, กสิณปฎิโลมโต, กสิณานุโลมปฎิโลมโต, ฌานานุโลมโต, ฌานปฎิโลมโต, ฌานานุโลมปฎิโลมโต, ฌานุกฺกนฺติกโต, กสิณุกฺกนฺติกโต, ฌานกสิณุกฺกนฺติกโต, องฺคสงฺกนฺติโต, อารมฺมณสงฺกนฺติโต, องฺคารมฺมณสงฺกนฺติโต, องฺคววตฺถานโต , อารมฺมณววตฺถานโตติ อิเมหิ จุทฺทสหากาเรหิฯ สติปิ ฌาเนสุ อาวชฺชนาทิวสีภาเว อยํ วสีภาโว อภิญฺญานิพฺพตฺตเน เอกเนฺตน อิจฺฉิตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘น หิ…เป.… โหตี’’ติฯ สฺวายํ นโย อรูปสมาปตฺตีหิ วินา น อิชฺฌตีติ ตายเปตฺถ อวินาภาโว เวทิตโพฺพฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ปาฬิยํ น อารุปฺปชฺฌานานิ อาคตานีติ? วิเสสโต จ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานปาทกตฺตา สพฺพาภิญฺญานํ ตทโนฺตคธา กตฺวา ตาย เทสิตา, น อรูปาวจรชฺฌานานํ อิธ อนุปโยคโต, เตนาห ‘‘อรูปชฺฌานานิ อาหริตฺวา กเถตพฺพานี’’ติฯ

    Na arūpajjhānalābhīti na veditabbo avinābhāvato, tenāha ‘‘na hī’’tiādi. Tattha cuddasahākārehīti kasiṇānulomato, kasiṇapaṭilomato, kasiṇānulomapaṭilomato, jhānānulomato, jhānapaṭilomato, jhānānulomapaṭilomato, jhānukkantikato, kasiṇukkantikato, jhānakasiṇukkantikato, aṅgasaṅkantito, ārammaṇasaṅkantito, aṅgārammaṇasaṅkantito, aṅgavavatthānato , ārammaṇavavatthānatoti imehi cuddasahākārehi. Satipi jhānesu āvajjanādivasībhāve ayaṃ vasībhāvo abhiññānibbattane ekantena icchitabboti dassento āha ‘‘na hi…pe… hotī’’ti. Svāyaṃ nayo arūpasamāpattīhi vinā na ijjhatīti tāyapettha avinābhāvo veditabbo. Yadi evaṃ kasmā pāḷiyaṃ na āruppajjhānāni āgatānīti? Visesato ca rūpāvacaracatutthajjhānapādakattā sabbābhiññānaṃ tadantogadhā katvā tāya desitā, na arūpāvacarajjhānānaṃ idha anupayogato, tenāha ‘‘arūpajjhānāni āharitvā kathetabbānī’’ti.

    วิปสฺสนาญาณกถาวณฺณนา

    Vipassanāñāṇakathāvaṇṇanā

    ๒๓๔. เสสนฺติ ‘‘เอวํ สมาหิเต จิเตฺต’’ติอาทีสุ วตฺตพฺพํฯ เญยฺยํ ชานาตีติ ญาณํ, ตํ ปน เญยฺยํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปสฺสตีติ ทสฺสนํ, ญาณเมว ทสฺสนนฺติ ญาณทสฺสนํฯ ตยิทํ ญาณทสฺสนปทํ สาสเน อญฺญตฺถ ญาณวิเสเส นิรูฬฺหํ, ตํ สพฺพํ อตฺถุทฺธารวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘ญาณทสฺสนนฺติ มคฺคญาณมฺปิ วุจฺจตี’’ติอาทิมาหฯ ยสฺมา วิปสฺสนาญาณํ เตภูมกสงฺขาเร อนิจฺจาทิโต ชานาติ, ภงฺคานุปสฺสนโต ปฎฺฐาย ปจฺจกฺขโต จ เต ปสฺสติ ตสฺมา อาห ‘‘อิธ ปน…เป.… ญาณทสฺสนนฺติ วุตฺต’’นฺติฯ

    234.Sesanti ‘‘evaṃ samāhite citte’’tiādīsu vattabbaṃ. Ñeyyaṃ jānātīti ñāṇaṃ, taṃ pana ñeyyaṃ paccakkhaṃ katvā passatīti dassanaṃ, ñāṇameva dassananti ñāṇadassanaṃ. Tayidaṃ ñāṇadassanapadaṃ sāsane aññattha ñāṇavisese nirūḷhaṃ, taṃ sabbaṃ atthuddhāravasena dassento ‘‘ñāṇadassananti maggañāṇampi vuccatī’’tiādimāha. Yasmā vipassanāñāṇaṃ tebhūmakasaṅkhāre aniccādito jānāti, bhaṅgānupassanato paṭṭhāya paccakkhato ca te passati tasmā āha ‘‘idha pana…pe… ñāṇadassananti vutta’’nti.

    อภินีหรตีติ วุตฺตนเยน อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเต ตสฺมิํ จิเตฺต วิปสฺสนากฺกเมน ชาเต วิปสฺสนาภิมุขํ เปเสติ, เตนาห ‘‘วิปสฺสนา…เป.… กโรตี’’ติฯ ตทภิมุขภาโว เอว หิสฺส ตนฺนินฺนตาทิกรตาฯ วุโตฺตเยว พฺรหฺมชาเลฯ โอทนกุมฺมาเสหิ อุปจียตีติ โอทนกุมฺมาสูปจโยฯ อนิจฺจธโมฺมติ ปภงฺคุตาย อทฺธุวสภาโวฯ ทุคฺคนฺธวิฆาตตฺถายาติ สรีเร ทุคฺคนฺธสฺส วิคมายฯ อุจฺฉาทนธโมฺมติ อุจฺฉาเทตพฺพตาสภาโวฯ อุจฺฉาทเนน หิ สรีเร เสทคูถปิตฺตเสมฺหาทิธาตุโกฺขภครุภาวทุคฺคนฺธานํ อปคโม โหติฯ มหาสมฺพาหนํ มลฺลาทีนํ พาหุวฑฺฒนาทิอตฺถํ โหตีติ ‘‘ขุทฺทกสมฺพาหเนนา’’ติ วุตฺตํฯ ปริมทฺทนธโมฺมติ ปริมทฺทิตพฺพตาสภาโวฯ ภิชฺชติ เจว วิกิรติ จาติ อนิจฺจตาวเสน ภิชฺชติ จ ภินฺนญฺจ กิญฺจิ ปโยชนํ อสาเธนฺตํ วิปฺปกิณฺณญฺจ โหติฯ รูปีติ อตฺตโน ปจฺจยภูเตน อุตุอาหารลกฺขเณน รูปวาติ อยเมตฺถ อโตฺถ อิจฺฉิโตติ อาห ‘‘ฉหิ ปเทหิ สมุทโย กถิโต’’ติฯ สํสเคฺค หิ อยมีกาโรฯ สณฺฐานสมฺปาทนมฺปิ ตถารูปรูปุปฺปาทเนเนว โหตีติ อุจฺฉาทนปริมทฺทนปเทหิปิ สมุทโย กถิโตติ วุตฺตํฯ เอวํ นวหิ ยถารหํ กาเย สมุทยวยธมฺมานุปสฺสิตา ทสฺสิตาฯ นิสฺสิตญฺจ ฉฎฺฐวตฺถุนิสฺสิตตฺตา วิปสฺสนาญาณสฺสฯ ปฎิพทฺธญฺจ เตน วินา อปฺปวตฺตนโต, กายสญฺญิตานํ รูปธมฺมานํ อารมฺมณกรณโต จฯ

    Abhinīharatīti vuttanayena aṭṭhaṅgasamannāgate tasmiṃ citte vipassanākkamena jāte vipassanābhimukhaṃ peseti, tenāha ‘‘vipassanā…pe… karotī’’ti. Tadabhimukhabhāvo eva hissa tanninnatādikaratā. Vuttoyeva brahmajāle. Odanakummāsehi upacīyatīti odanakummāsūpacayo. Aniccadhammoti pabhaṅgutāya addhuvasabhāvo. Duggandhavighātatthāyāti sarīre duggandhassa vigamāya. Ucchādanadhammoti ucchādetabbatāsabhāvo. Ucchādanena hi sarīre sedagūthapittasemhādidhātukkhobhagarubhāvaduggandhānaṃ apagamo hoti. Mahāsambāhanaṃ mallādīnaṃ bāhuvaḍḍhanādiatthaṃ hotīti ‘‘khuddakasambāhanenā’’ti vuttaṃ. Parimaddanadhammoti parimadditabbatāsabhāvo. Bhijjati ceva vikirati cāti aniccatāvasena bhijjati ca bhinnañca kiñci payojanaṃ asādhentaṃ vippakiṇṇañca hoti. Rūpīti attano paccayabhūtena utuāhāralakkhaṇena rūpavāti ayamettha attho icchitoti āha ‘‘chahi padehi samudayo kathito’’ti. Saṃsagge hi ayamīkāro. Saṇṭhānasampādanampi tathārūparūpuppādaneneva hotīti ucchādanaparimaddanapadehipi samudayo kathitoti vuttaṃ. Evaṃ navahi yathārahaṃ kāye samudayavayadhammānupassitā dassitā. Nissitañca chaṭṭhavatthunissitattā vipassanāñāṇassa. Paṭibaddhañca tena vinā appavattanato, kāyasaññitānaṃ rūpadhammānaṃ ārammaṇakaraṇato ca.

    ๒๓๕. สุฎฺฐุ ภาติ โอภาสตีติ สุโภ, ปภาสมฺปตฺติยาปิ มณิโน ภทฺทตาติ อาห ‘‘สุโภติ สุนฺทโร’’ติฯ กุรุวินฺทชาติ อาทิชาติวิเสโสปิ มณิโน อากรปริสุทฺธิมูลโก เอวาติ อาห ‘‘ปริสุทฺธากรสมุฎฺฐิโต’’ติ โทสนีหรณวเสน ปริกมฺมนิปฺผตฺตีติ อาห ‘‘สุฎฺฐุ กตปริกโมฺม อปนีตปาสาณสกฺขโร’’ติฯ ฉวิยา สณฺหภาเวนสฺส อจฺฉตา, น สงฺฆาตสฺสาติ อาห ‘‘อโจฺฉติ ตนุจฺฉวี’’ติ, เตนาห ‘‘วิปฺปสโนฺน’’ติฯ โธวนเวธนาทีหีติ จตูสุ ปาสาเณสุ โธวเนน เจว กาฬกาทิอปหรณตฺถาย สุเตฺตน อาวุนนตฺถาย จ วิชฺฌเนนฯ ตาปสณฺหกรณาทีนํ สงฺคโห อาทิ-สเทฺทนฯ วณฺณสมฺปตฺตินฺติ สุตฺตสฺส วณฺณสมฺปตฺติํฯ มณิ วิย กรชกาโย ปจฺจเวกฺขิตพฺพโตฯ อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณํ อนุปวิสิตฺวา ฐิตตฺตาฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย วิปสฺสนาลาภี ภิกฺขุ สมฺมเทว ทสฺสนโตฯ ตทารมฺมณานนฺติ รูปธมฺมารมฺมณานํฯ ผสฺสปญฺจมกจิตฺตเจตสิกคฺคหเณน คหิตธมฺมาปิ วิปสฺสนาจิตฺตุปฺปาทปริยาปนฺนา เอวาติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺหิ เตสํ วิปสฺสนาญาณคติกตฺตา ‘‘อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณ’’นฺติ วจนํ อวิโรธิตํ โหติฯ กิํ ปเนเต ญาณสฺส อาวิ ภวนฺติ, อุทาหุ ปุคฺคลสฺสาติ? ญาณสฺสฯ ตสฺส ปน อาวิภาวตฺตา ปุคฺคลสฺส อาวิภูตา นาม โหนฺติฯ ญาณสฺสาติ จ ปจฺจเวกฺขณาญาณสฺสฯ

    235. Suṭṭhu bhāti obhāsatīti subho, pabhāsampattiyāpi maṇino bhaddatāti āha ‘‘subhoti sundaro’’ti. Kuruvindajāti ādijātivisesopi maṇino ākaraparisuddhimūlako evāti āha ‘‘parisuddhākarasamuṭṭhito’’ti dosanīharaṇavasena parikammanipphattīti āha ‘‘suṭṭhu kataparikammo apanītapāsāṇasakkharo’’ti. Chaviyā saṇhabhāvenassa acchatā, na saṅghātassāti āha ‘‘acchoti tanucchavī’’ti, tenāha ‘‘vippasanno’’ti. Dhovanavedhanādīhīti catūsu pāsāṇesu dhovanena ceva kāḷakādiapaharaṇatthāya suttena āvunanatthāya ca vijjhanena. Tāpasaṇhakaraṇādīnaṃ saṅgaho ādi-saddena. Vaṇṇasampattinti suttassa vaṇṇasampattiṃ. Maṇi viya karajakāyo paccavekkhitabbato. Āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇaṃ anupavisitvā ṭhitattā. Cakkhumā puriso viya vipassanālābhī bhikkhu sammadeva dassanato. Tadārammaṇānanti rūpadhammārammaṇānaṃ. Phassapañcamakacittacetasikaggahaṇena gahitadhammāpi vipassanācittuppādapariyāpannā evāti veditabbaṃ. Evañhi tesaṃ vipassanāñāṇagatikattā ‘‘āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇa’’nti vacanaṃ avirodhitaṃ hoti. Kiṃ panete ñāṇassa āvi bhavanti, udāhu puggalassāti? Ñāṇassa. Tassa pana āvibhāvattā puggalassa āvibhūtā nāma honti. Ñāṇassāti ca paccavekkhaṇāñāṇassa.

    มคฺคญาณสฺส อนนฺตรํ, ตสฺมา โลกิยาภิญฺญานํ ปรโต ฉฎฺฐาภิญฺญาย ปุรโต วตฺตพฺพํ วิปสฺสนาญาณํฯ เอวํ สเนฺตปีติ ยทิปายํ ญาณานุปุพฺพี, เอวํ สเนฺตปิฯ เอตสฺส อนฺตราวาโร นตฺถีติ ปญฺจสุ โลกิยาภิญฺญาสุ กถิตาสุ อากเงฺขยฺยสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๑.๖๕) วิย ฉฎฺฐาภิญฺญา กเถตพฺพาติ เอตสฺส อนภิญฺญาลกฺขณสฺส วิปสฺสนาญาณสฺส ตาสํ อนฺตราวาโร น โหติฯ ตสฺมา ตตฺถ อวสราภาวโต อิเธว รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานานนฺตรเมว ทสฺสิตํ วิปสฺสนาญาณํฯ ยสฺมา จาติ -สโทฺท สมุจฺจยโตฺถ, เตน น เกวลํ ตเทว, อถ โข อิทมฺปิ การณํ วิปสฺสนาญาณสฺส อิเธว ทสฺสเนติ อิมมตฺถํ ทีเปติฯ ทิเพฺพน จกฺขุนา เภรวมฺปิ รูปํ ปสฺสโตติ เอตฺถ ‘‘อิทฺธิวิธญาเณน เภรวํ รูปํ นิมฺมินิตฺวา จกฺขุนา ปสฺสโต’’ติปิ วตฺตพฺพํ, เอวมฺปิ อภิญฺญาลาภิโน อปริญฺญาตวตฺถุกสฺส ภยํ สนฺตาโส อุปฺปชฺชติฯ อุจฺจาวาลิกวาสิ มหานาคเตฺถรสฺส วิยฯ ปาฎิเยกฺกํ สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํฯ เตนาห ภควา –

    Maggañāṇassa anantaraṃ, tasmā lokiyābhiññānaṃ parato chaṭṭhābhiññāya purato vattabbaṃ vipassanāñāṇaṃ. Evaṃ santepīti yadipāyaṃ ñāṇānupubbī, evaṃ santepi. Etassa antarāvāro natthīti pañcasu lokiyābhiññāsu kathitāsu ākaṅkheyyasuttādīsu (ma. ni. 1.65) viya chaṭṭhābhiññā kathetabbāti etassa anabhiññālakkhaṇassa vipassanāñāṇassa tāsaṃ antarāvāro na hoti. Tasmā tattha avasarābhāvato idheva rūpāvacaracatutthajjhānānantarameva dassitaṃ vipassanāñāṇaṃ. Yasmā cāti ca-saddo samuccayattho, tena na kevalaṃ tadeva, atha kho idampi kāraṇaṃ vipassanāñāṇassa idheva dassaneti imamatthaṃ dīpeti. Dibbena cakkhunā bheravampi rūpaṃ passatoti ettha ‘‘iddhividhañāṇena bheravaṃ rūpaṃ nimminitvā cakkhunā passato’’tipi vattabbaṃ, evampi abhiññālābhino apariññātavatthukassa bhayaṃ santāso uppajjati. Uccāvālikavāsi mahānāgattherassa viya. Pāṭiyekkaṃ sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ยโต ยโต สมฺมสติ, ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ;

    ‘‘Yato yato sammasati, khandhānaṃ udayabbayaṃ;

    ลภตี ปีติปาโมชฺชํ, อมตํ ตํ วิชานต’’นฺติอาทิฯ (ธ. ป. ๓๗๔);

    Labhatī pītipāmojjaṃ, amataṃ taṃ vijānata’’ntiādi. (dha. pa. 374);

    มโนมยิทฺธิญาณกถาวณฺณนา

    Manomayiddhiñāṇakathāvaṇṇanā

    ๒๓๖-๗. มเนน นิพฺพตฺติตนฺติ อภิญฺญามเนน นิพฺพตฺติตํฯ หตฺถปาทาทิ อเงฺคหิ จ กปฺปรชณฺณุอาทิ ปจฺจเงฺคหิ จฯ สณฺฐานวเสนาติ กมลทลาทิสทิสสณฺฐานมตฺตวเสน, น รูปาภิฆาตารหภูตปฺปสาทิอินฺทฺริยวเสนฯ สพฺพากาเรหีติ วณฺณสณฺฐานอวยววิเสสาทิสพฺพากาเรหิฯ เตน อิทฺธิมตาฯ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมวาติ สณฺฐานโตปิ วณฺณโตปิ อวยววิเสสโตปิ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมวฯ สชาติยํ ฐิโต, น นาคิทฺธิยา อญฺญชาติรูโปฯ

    236-7.Manena nibbattitanti abhiññāmanena nibbattitaṃ. Hatthapādādi aṅgehi ca kapparajaṇṇuādi paccaṅgehi ca. Saṇṭhānavasenāti kamaladalādisadisasaṇṭhānamattavasena, na rūpābhighātārahabhūtappasādiindriyavasena. Sabbākārehīti vaṇṇasaṇṭhānaavayavavisesādisabbākārehi. Tena iddhimatā. Sadisabhāvadassanatthamevāti saṇṭhānatopi vaṇṇatopi avayavavisesatopi sadisabhāvadassanatthameva. Sajātiyaṃ ṭhito, na nāgiddhiyā aññajātirūpo.

    อิทฺธิวิธญาณาทิกกถาวณฺณนา

    Iddhividhañāṇādikakathāvaṇṇanā

    ๒๓๙. สุปริกมฺมกตมตฺติกาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณํ วิกุพฺพนกิริยาย นิสฺสยภาวโตฯ

    239.Suparikammakatamattikādayoviya iddhividhañāṇaṃ vikubbanakiriyāya nissayabhāvato.

    ๒๔๑. สุขนฺติ อกิเจฺฉน, อกสิเรนาติ อโตฺถฯ

    241.Sukhanti akicchena, akasirenāti attho.

    ๒๔๓. มโนฺท อุตฺตานเสยฺยกทารโกปิ ‘‘ทหโร’’ติ วุจฺจตีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘ยุวา’’ติ วุตฺตํฯ ยุวาปิ โกจิ อนิจฺฉนโก อมณฺฑนชาติโก โหตีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘มณฺฑนกชาติโก’’ติอาทิ วุตฺตํ, เตนาห ‘‘ยุวาปีติ’’อาทิฯ กาฬติลปฺปมาณา พินฺทโว กาฬติลกานิ กาฬา วา กมฺมาสา, ติลปฺปมาณา พินฺทโว ติลกานิฯ วงฺคํ นาม วิยงฺคํฯ โยพฺพนปีฬกาทโย มุขทูสิปีฬกาฯ มุขคโต โทโส มุขโทโส, ลกฺขณวจนเญฺจตํ มุเข อโทสสฺสาปิ ปากฎภาวสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ยถา วา มุเข โทโส, เอวํ มุเข อโทโสปิ มุขโทโส สรโลเปนฯ มุขโทโส จ มุขโทโส จ มุขโทโสติ เอกเสสนเยนเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวญฺหิ ‘‘ปเรสํ โสฬสวิธํ จิตฺตํ ปากฎํ โหตี’’ติ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ

    243. Mando uttānaseyyakadārakopi ‘‘daharo’’ti vuccatīti tato visesanatthaṃ ‘‘yuvā’’ti vuttaṃ. Yuvāpi koci anicchanako amaṇḍanajātiko hotīti tato visesanatthaṃ ‘‘maṇḍanakajātiko’’tiādi vuttaṃ, tenāha ‘‘yuvāpīti’’ādi. Kāḷatilappamāṇā bindavo kāḷatilakāni kāḷā vā kammāsā, tilappamāṇā bindavo tilakāni. Vaṅgaṃ nāma viyaṅgaṃ. Yobbanapīḷakādayo mukhadūsipīḷakā. Mukhagato doso mukhadoso, lakkhaṇavacanañcetaṃ mukhe adosassāpi pākaṭabhāvassa adhippetattā. Yathā vā mukhe doso, evaṃ mukhe adosopi mukhadoso saralopena. Mukhadoso ca mukhadoso ca mukhadosoti ekasesanayenapettha attho daṭṭhabbo. Evañhi ‘‘paresaṃ soḷasavidhaṃ cittaṃ pākaṭaṃ hotī’’ti vacanaṃ samatthitaṃ hoti.

    ๒๔๕. ปุเพฺพนิวาสญาณูปมายนฺติ ปุเพฺพนิวาสญาณสฺส ทสฺสิตอุปมายํฯ ตํ ทิวสํ กตกิริยา นาม ปากติกสตฺตสฺสปิ เยภุเยฺยน ปากฎา โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ตํทิวส-คฺคหณํ กตํฯ ตํทิวสคตคามตฺตย-คฺคหเณเนว มหาภินีหาเรหิ อเญฺญสมฺปิ ปุเพฺพนิวาสญาณลาภีนํ ตีสุ ภเวสุ กตกิริยา เยภุเยฺยน ปากฎา โหตีติ ทีปิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    245.Pubbenivāsañāṇūpamāyanti pubbenivāsañāṇassa dassitaupamāyaṃ. Taṃ divasaṃ katakiriyā nāma pākatikasattassapi yebhuyyena pākaṭā hotīti dassanatthaṃ taṃdivasa-ggahaṇaṃ kataṃ. Taṃdivasagatagāmattaya-ggahaṇeneva mahābhinīhārehi aññesampi pubbenivāsañāṇalābhīnaṃ tīsu bhavesu katakiriyā yebhuyyena pākaṭā hotīti dīpitanti daṭṭhabbaṃ.

    ๒๔๗. อปราปรํ สญฺจรเนฺตติ ตํตํกิจฺจวเสน อิโต จิโต จ สญฺจรเนฺตฯ ยถาวุตฺตปาสาโทวิย ภิกฺขุโน กรชกาโย ทฎฺฐโพฺพ ตตฺถ ปติฎฺฐิตสฺส ทฎฺฐพฺพทสฺสนสิทฺธิโตฯ จกฺขุมโต หิ ทิพฺพจกฺขุสมธิคโมฯ ยถาห ‘‘มํสจกฺขุสฺส อุปฺปาโท, มโคฺค ทิพฺพสฺส จกฺขุโน’’ติ (อิติวุ. ๖๑)ฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย อยเมว ทิพฺพจกฺขุํ ปตฺวา ฐิโต ภิกฺขุ ทฎฺฐพฺพสฺส ทสฺสนโตฯ เคหํ ปวิสนฺตา วิย เอตํ อตฺตภาวเคหํ โอกฺกมนฺตา, อุปปชฺชนฺตาติ อโตฺถฯ เคหา นิกฺขมนฺตา วิย เอตสฺมา อตฺตภาวเคหโต ปกฺกนฺตา, จวนฺตาติ อโตฺถฯ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อปราปรํ สญฺจรณกสตฺตาติ ปน ปุนปฺปุนํ สํสาเร ปริพฺภมนฺตา สตฺตาฯ ‘‘ตตฺถ ตตฺถ นิพฺพตฺตสตฺตา’’ติ ปน อิมินา ตสฺมิํ ภเว ชาตสํวเทฺธ สเตฺต วทติฯ นนุ จายํ ทิพฺพจกฺขุญาณกถา, เอตฺถ กสฺมา ‘‘ตีสุ ภเวสู’’ติ จตุโวการภวสฺสาปิ สงฺคโห กโตติ อาห ‘‘อิทญฺจา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อิทนฺติ ‘‘ตีสุ ภเวสุ นิพฺพตฺตสตฺตาน’’นฺติ อิทํ วจนํฯ เทสนาสุขตฺถเมวาติ เกวลํ เทสนาสุขตฺถํ, น จตุโวการภเว นิพฺพตฺตสตฺตานํ ทิพฺพจกฺขุโน อาวิภาวสพฺภาวโตฯ น หิ ‘‘ฐเปตฺวา อรูปภว’’นฺติ วา ‘‘ทฺวีสุ ภเวสู’’ติ วา วุจฺจมาเน เทสนา สุขาวโพธา จ โหตีติฯ

    247.Aparāparaṃ sañcaranteti taṃtaṃkiccavasena ito cito ca sañcarante. Yathāvuttapāsādoviya bhikkhuno karajakāyo daṭṭhabbo tattha patiṭṭhitassa daṭṭhabbadassanasiddhito. Cakkhumato hi dibbacakkhusamadhigamo. Yathāha ‘‘maṃsacakkhussa uppādo, maggo dibbassa cakkhuno’’ti (itivu. 61). Cakkhumā puriso viya ayameva dibbacakkhuṃ patvā ṭhito bhikkhu daṭṭhabbassa dassanato. Gehaṃ pavisantā viya etaṃ attabhāvagehaṃ okkamantā, upapajjantāti attho. Gehā nikkhamantā viya etasmā attabhāvagehato pakkantā, cavantāti attho. Evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Aparāparaṃ sañcaraṇakasattāti pana punappunaṃ saṃsāre paribbhamantā sattā. ‘‘Tattha tattha nibbattasattā’’ti pana iminā tasmiṃ bhave jātasaṃvaddhe satte vadati. Nanu cāyaṃ dibbacakkhuñāṇakathā, ettha kasmā ‘‘tīsu bhavesū’’ti catuvokārabhavassāpi saṅgaho katoti āha ‘‘idañcā’’tiādi. Tattha idanti ‘‘tīsu bhavesu nibbattasattāna’’nti idaṃ vacanaṃ. Desanāsukhatthamevāti kevalaṃ desanāsukhatthaṃ, na catuvokārabhave nibbattasattānaṃ dibbacakkhuno āvibhāvasabbhāvato. Na hi ‘‘ṭhapetvā arūpabhava’’nti vā ‘‘dvīsu bhavesū’’ti vā vuccamāne desanā sukhāvabodhā ca hotīti.

    อาสวกฺขยญาณกถาวณฺณนา

    Āsavakkhayañāṇakathāvaṇṇanā

    ๒๔๘. วิปสฺสนาปาทกนฺติ วิปสฺสนาย ปทฎฺฐานภูตํฯ วิปสฺสนา จ ติวิธา วิปสฺสกปุคฺคลเภเทนฯ มหาโพธิสตฺตานญฺหิ ปเจฺจกโพธิสตฺตานญฺจ วิปสฺสนา จินฺตามยญาณสํวทฺธิตา สยมฺภุญาณภูตา, อิตเรสํ สุตมยญาณสํวทฺธิตา ปโรปเทสสมฺภูตา นามฯ สา ‘‘ฐเปตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อวเสสรูปารูปชฺฌานานํ อญฺญตรโต วุฎฺฐายา’’ติอาทินา อเนกธา, อรูปมุขวเสน จตุธาตุววตฺถาเน วุตฺตานํ เตสํ เตสํ ธาตุปริคฺคหมุขานญฺจ อญฺญตรมุขวเสน อเนกธา จ วิสุทฺธิมเคฺค นานานยโต วิภาวิตาฯ มหาโพธิสตฺตานํ ปน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน ปเภทคมนโต นานานยํ สพฺพญฺญุตญาณสนฺนิสฺสยสฺส อริยมคฺคญาณสฺส อธิฎฺฐานภูตํ ปุพฺพภาคญาณคพฺภํ คณฺหาเปนฺตํ ปริณตํ คจฺฉนฺตํ ปรมคมฺภีรํ สณฺหสุขุมตรํ อนญฺญสาธารณํ วิปสฺสนาญาณํ โหติ, ยํ อฎฺฐกถาสุ ‘‘มหาวชิรญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ยสฺส จ ปวตฺติวิภาเคน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสปฺปเภทสฺส ปาทกภาเวน สมาปชฺชิยมานา จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขฺยา เทวสิกํ สตฺถุ วฬญฺชนกสมาปตฺติโย วุจฺจนฺติ, สฺวายํ พุทฺธานํ วิปสฺสนาจาโร ปรมตฺถมญฺชุสายํ วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนายํ (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๒๑๖) อุเทฺทสโต ทสฺสิโตฯ อตฺถิเกหิ ตโต คเหตโพฺพ, อิธ ปน สาวกานํ วิปสฺสนา อธิเปฺปตาฯ

    248.Vipassanāpādakanti vipassanāya padaṭṭhānabhūtaṃ. Vipassanā ca tividhā vipassakapuggalabhedena. Mahābodhisattānañhi paccekabodhisattānañca vipassanā cintāmayañāṇasaṃvaddhitā sayambhuñāṇabhūtā, itaresaṃ sutamayañāṇasaṃvaddhitā paropadesasambhūtā nāma. Sā ‘‘ṭhapetvā nevasaññānāsaññāyatanaṃ avasesarūpārūpajjhānānaṃ aññatarato vuṭṭhāyā’’tiādinā anekadhā, arūpamukhavasena catudhātuvavatthāne vuttānaṃ tesaṃ tesaṃ dhātupariggahamukhānañca aññataramukhavasena anekadhā ca visuddhimagge nānānayato vibhāvitā. Mahābodhisattānaṃ pana catuvīsatikoṭisatasahassamukhena pabhedagamanato nānānayaṃ sabbaññutañāṇasannissayassa ariyamaggañāṇassa adhiṭṭhānabhūtaṃ pubbabhāgañāṇagabbhaṃ gaṇhāpentaṃ pariṇataṃ gacchantaṃ paramagambhīraṃ saṇhasukhumataraṃ anaññasādhāraṇaṃ vipassanāñāṇaṃ hoti, yaṃ aṭṭhakathāsu ‘‘mahāvajirañāṇa’’nti vuccati. Yassa ca pavattivibhāgena catuvīsatikoṭisatasahassappabhedassa pādakabhāvena samāpajjiyamānā catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhyā devasikaṃ satthu vaḷañjanakasamāpattiyo vuccanti, svāyaṃ buddhānaṃ vipassanācāro paramatthamañjusāyaṃ visuddhimaggasaṃvaṇṇanāyaṃ (visuddhi. ṭī. 1.216) uddesato dassito. Atthikehi tato gahetabbo, idha pana sāvakānaṃ vipassanā adhippetā.

    อาสวานํ ขยญาณายาติ อาสวานํ เขปนโต สมุจฺฉินฺทนโต อาสวกฺขโย, อริยมโคฺค, ตตฺถ ญาณํ อาสวานํ ขยญาณํ, ตทตฺถํ เตนาห ‘‘อาสวานํ ขยญาณนิพฺพตฺตนตฺถายา’’ติฯ อาสวา เอตฺถ ขียนฺตีติ อาสวานํ ขโย นิพฺพานํฯ เขเปติ ปาปธเมฺมติ ขโย, มโคฺคฯ โส ปน ปาปกฺขโย อาสวกฺขเยน วินา นตฺถีติ ‘‘ขเย ญาณ’’นฺติ เอตฺถ ขยคฺคหเณน อาสวกฺขโย วุโตฺตติ อาห ‘‘ขเย ญาณ’’นฺติอาทิฯ สมิตปาโป สมโณติ กตฺวา อาสวานํ ขีณตฺตา สมโณ นาม โหตีติ อาห ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตีติ เอตฺถ ผล’’นฺติฯ อาสววฑฺฒิยา สงฺขาเร วเฑฺฒโนฺต วิสงฺขารโต สุวิทูรวิทูโรติ ‘‘อารา โส อาสวกฺขยา’’ติ เอตฺถ อาสวกฺขยปทํ วิสงฺขาราธิวจนนฺติ อาห ‘‘อาสวกฺขยาติ เอตฺถ นิพฺพานํ วุตฺต’’นฺติฯ ภโงฺคติ อาสวานํ ขณนิโรโธ ‘‘อาสวานํ ขโย’’ติ วุโตฺตติ โยชนาฯ

    Āsavānaṃ khayañāṇāyāti āsavānaṃ khepanato samucchindanato āsavakkhayo, ariyamaggo, tattha ñāṇaṃ āsavānaṃ khayañāṇaṃ, tadatthaṃ tenāha ‘‘āsavānaṃ khayañāṇanibbattanatthāyā’’ti. Āsavā ettha khīyantīti āsavānaṃ khayo nibbānaṃ. Khepeti pāpadhammeti khayo, maggo. So pana pāpakkhayo āsavakkhayena vinā natthīti ‘‘khaye ñāṇa’’nti ettha khayaggahaṇena āsavakkhayo vuttoti āha ‘‘khaye ñāṇa’’ntiādi. Samitapāpo samaṇoti katvā āsavānaṃ khīṇattā samaṇo nāma hotīti āha ‘‘āsavānaṃ khayā samaṇo hotīti ettha phala’’nti. Āsavavaḍḍhiyā saṅkhāre vaḍḍhento visaṅkhārato suvidūravidūroti ‘‘ārā so āsavakkhayā’’ti ettha āsavakkhayapadaṃ visaṅkhārādhivacananti āha ‘‘āsavakkhayāti ettha nibbānaṃ vutta’’nti. Bhaṅgoti āsavānaṃ khaṇanirodho ‘‘āsavānaṃ khayo’’ti vuttoti yojanā.

    ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ ทุกฺขสฺส อริยสจฺจสฺส ตทา ภิกฺขุโน ปจฺจกฺขโต คหิตภาวทสฺสนํฯ ‘‘เอตฺตกํ ทุกฺข’’นฺติ ตสฺส ปริจฺฉิชฺชคฺคหิตภาวทสฺสนํฯ ‘‘น อิโต ภิโยฺย’’ติ ตสฺส อนวเสเสตฺวา คหิตภาวทสฺสนํฯ เตนาห ‘‘สพฺพมฺปิ ทุกฺขสจฺจ’’นฺติอาทิฯ สรสลกฺขณปฎิเวเธนาติ สภาวสงฺขาตสฺส ลกฺขณสฺส อสโมฺมหโต ปฎิวิชฺฌเนน, อสโมฺมหปฎิเวโธติ จฯ ยถา ตสฺมิํ ญาเณ ปวเตฺต ปจฺฉา ทุกฺขสจฺจสฺส สรูปาทิปริเจฺฉเท สโมฺมโห น โหติ, ตถา ปวตฺติ, เตนาห ‘‘ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติฯ ทุกฺขํ สมุเทติ เอตสฺมาติ ทุกฺขสมุทโย, ตณฺหาติ อาห ‘‘ตสฺส จา’’ติอาทิฯ ยํ ฐานํ ปตฺวาติ ยํ นิพฺพานํ มคฺคสฺส อารมฺมณปจฺจยเฎฺฐน การณภูตํ อาคมฺม, ‘‘ปตฺวา’’ติ จ ตทุภยวโต ปุคฺคลสฺส ปตฺติ ตทุภยสฺส ปตฺติ วิยาติ กตฺวา วุตฺตํฯ ปตฺวาติ วา ปาปุณนเหตุฯ อปฺปวตฺตีติ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํ, เต วา นปฺปวตฺตนฺติ เอตฺถาติ อปฺปวตฺติ, นิพฺพานํฯ ตสฺสาติ ทุกฺขนิโรธสฺสฯ สมฺปาปกนฺติ สจฺฉิกรณวเสน สมฺมเทว ปาปกํฯ

    ‘‘Idaṃ dukkha’’nti dukkhassa ariyasaccassa tadā bhikkhuno paccakkhato gahitabhāvadassanaṃ. ‘‘Ettakaṃ dukkha’’nti tassa paricchijjaggahitabhāvadassanaṃ. ‘‘Na ito bhiyyo’’ti tassa anavasesetvā gahitabhāvadassanaṃ. Tenāha ‘‘sabbampi dukkhasacca’’ntiādi. Sarasalakkhaṇapaṭivedhenāti sabhāvasaṅkhātassa lakkhaṇassa asammohato paṭivijjhanena, asammohapaṭivedhoti ca. Yathā tasmiṃ ñāṇe pavatte pacchā dukkhasaccassa sarūpādiparicchede sammoho na hoti, tathā pavatti, tenāha ‘‘yathābhūtaṃ pajānātī’’ti. Dukkhaṃ samudeti etasmāti dukkhasamudayo, taṇhāti āha ‘‘tassa cā’’tiādi. Yaṃ ṭhānaṃ patvāti yaṃ nibbānaṃ maggassa ārammaṇapaccayaṭṭhena kāraṇabhūtaṃ āgamma, ‘‘patvā’’ti ca tadubhayavato puggalassa patti tadubhayassa patti viyāti katvā vuttaṃ. Patvāti vā pāpuṇanahetu. Appavattīti appavattinimittaṃ, te vā nappavattanti etthāti appavatti, nibbānaṃ. Tassāti dukkhanirodhassa. Sampāpakanti sacchikaraṇavasena sammadeva pāpakaṃ.

    กิเลสวเสนาติ อาสวสงฺขาตกิเลสวเสนฯ ยสฺมา อาสวานํ ทุกฺขสจฺจปริยาโย ตปฺปริยาปนฺนตฺตา, เสสสจฺจานญฺจ ตํสมุทยาทิปริยาโย อตฺถิ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปริยายโต’’ติฯ ทเสฺสโนฺต สจฺจานีติ โยชนาฯ อาสวานํเยว เจตฺถ คหณํ ‘‘อาสวานํ ขยญาณายา’’ติ อารทฺธตฺตาฯ ตถา หิ ‘‘กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๔๘; ม. นิ. ๑.๔๓๓; ม. นิ. ๓.๑๙) อาสววิมุตฺติสีเสเนว สพฺพกิเลสวิมุตฺติ วุตฺตาฯ ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชนาตี’’ติอาทินา มิสฺสกมโคฺค อิธ กถิโตติ ‘‘สห วิปสฺสนาย โกฎิปฺปตฺตํ มคฺคํ กเถสี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ชานโต ปสฺสโต’’ติ อิมินา ปริญฺญาสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยา วุตฺตาฯ ‘‘วิมุจฺจตี’’ติ อิมินา ปหานาภิสมโย วุโตฺตติ อาห ‘‘อิมินา มคฺคกฺขณํ ทเสฺสตี’’ติฯ ‘‘ชานโต ปสฺสโต’’ติ วา เหตุนิเทฺทโสยํฯ ชานนเหตุ ทสฺสนเหตุ กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจตีติ โยชนาฯ ธมฺมานญฺหิ สมานกาลิกานมฺปิ ปจฺจยปฺปจฺจยุปฺปนฺนตา สหชาตโกฎิยา ลพฺภตีติฯ ภวาสวคฺคหเณน เจตฺถ ภวราคสฺส วิย ภวทิฎฺฐิยาปิ สมวโรโธติ ทิฎฺฐาสวสฺสาปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ขีณา ชาตีติอาทีหิ ปเทหิฯ ตสฺสาติ ปจฺจเวกฺขณาญาณสฺสฯ ภูมินฺติ ปวตฺติฎฺฐานํฯ

    Kilesavasenāti āsavasaṅkhātakilesavasena. Yasmā āsavānaṃ dukkhasaccapariyāyo tappariyāpannattā, sesasaccānañca taṃsamudayādipariyāyo atthi, tasmā vuttaṃ ‘‘pariyāyato’’ti. Dassento saccānīti yojanā. Āsavānaṃyeva cettha gahaṇaṃ ‘‘āsavānaṃ khayañāṇāyā’’ti āraddhattā. Tathā hi ‘‘kāmāsavāpi cittaṃ vimuccatī’’tiādinā (dī. ni. 1.248; ma. ni. 1.433; ma. ni. 3.19) āsavavimuttisīseneva sabbakilesavimutti vuttā. ‘‘Idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajanātī’’tiādinā missakamaggo idha kathitoti ‘‘saha vipassanāya koṭippattaṃ maggaṃ kathesī’’ti vuttaṃ. ‘‘Jānato passato’’ti iminā pariññāsacchikiriyābhāvanābhisamayā vuttā. ‘‘Vimuccatī’’ti iminā pahānābhisamayo vuttoti āha ‘‘iminā maggakkhaṇaṃ dassetī’’ti. ‘‘Jānato passato’’ti vā hetuniddesoyaṃ. Jānanahetu dassanahetu kāmāsavāpi cittaṃ vimuccatīti yojanā. Dhammānañhi samānakālikānampi paccayappaccayuppannatā sahajātakoṭiyā labbhatīti. Bhavāsavaggahaṇena cettha bhavarāgassa viya bhavadiṭṭhiyāpi samavarodhoti diṭṭhāsavassāpi saṅgaho daṭṭhabbo. Khīṇā jātītiādīhi padehi. Tassāti paccavekkhaṇāñāṇassa. Bhūminti pavattiṭṭhānaṃ.

    เยนาธิปฺปาเยน ‘‘กตมา ปนสฺสา’’ติอาทินา โจทนา กตา, ตํ วิวรโนฺต ‘‘น ตาวสฺสา’’ติอาทิมาห ฯ ตตฺถ น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา มคฺคภาวนายาติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘ปุเพฺพว ขีณตฺตา’’ติฯ น อนาคตา อสฺส ชาติ ขีณาติ โยชนาฯ น อนาคตาติ จ อนาคตภาวสามญฺญํ คเหตฺวา เลเสน โจเทติ, เตนาห ‘‘อนาคเต วายามาภาวโต’’ติฯ อนาคตวิเสโส ปเนตฺถ อธิเปฺปโต, ตสฺส จ เขปเน วายาโมปิ ลพฺภเตว, เตนาห ‘‘ยา ปน มคฺคสฺสา’’ติอาทิฯ เอกจตุปญฺจโวการภเวสูติ ภวตฺตยคฺคหณํ วุตฺตนเยน อนวเสสโต ชาติยา ขีณภาวทสฺสนตฺถํฯ นฺติ ยถาวุตฺตํ ชาติํฯ โสติ ขีณาสโว ภิกฺขุฯ

    Yenādhippāyena ‘‘katamā panassā’’tiādinā codanā katā, taṃ vivaranto ‘‘na tāvassā’’tiādimāha . Tattha na tāvassa atītā jāti khīṇā maggabhāvanāyāti adhippāyo. Tattha kāraṇamāha ‘‘pubbeva khīṇattā’’ti. Na anāgatā assa jāti khīṇāti yojanā. Na anāgatāti ca anāgatabhāvasāmaññaṃ gahetvā lesena codeti, tenāha ‘‘anāgate vāyāmābhāvato’’ti. Anāgataviseso panettha adhippeto, tassa ca khepane vāyāmopi labbhateva, tenāha ‘‘yā pana maggassā’’tiādi. Ekacatupañcavokārabhavesūti bhavattayaggahaṇaṃ vuttanayena anavasesato jātiyā khīṇabhāvadassanatthaṃ. Tanti yathāvuttaṃ jātiṃ. Soti khīṇāsavo bhikkhu.

    พฺรหฺมจริยวาโส นาม อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสน มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส นิพฺพตฺตนํ เอวาติ อาห ‘‘ปริวุตฺถ’’นฺติฯ สมฺมาทิฎฺฐิยา จตูสุ สเจฺจสุ ปริญฺญาทิกิจฺจสาธนวเสน ปวตฺตมานาย สมฺมาสงฺกปฺปาทีนมฺปิ ทุกฺขสเจฺจ ปริญฺญาภิสมยานุคุณา ปวตฺติ, อิตรสเจฺจสุ จ เนสํ ปหานาภิสมยาทิปวตฺติ ปากฎา เอว, เตน วุตฺตํ ‘‘จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสนา’’ติฯ ทุกฺขนิโรธมเคฺคสุ ปริญฺญาสจฺฉิกิริยาภาวนา ยาวเทว สมุทยปฺปหานตฺถายาติ อาห ‘‘เตน เตน มเคฺคน ปหาตพฺพกิเลสา ปหีนา’’ติฯ อิตฺถตฺตายาติ อิเม ปการา อิตฺถํ, ตพฺภาโว อิตฺถตฺตํ, ตทตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เต ปน ปการา อริยมคฺคพฺยาปารภูตา ปริญฺญาทโย อิธาธิเปฺปตาติ อาห ‘‘เอวํ โสฬสกิจฺจภาวายา’’ติฯ เต หิ มคฺคํ ปจฺจเวกฺขโต มคฺคานุภาเวน ปากฎา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, ปริญฺญาทีสุ จ ปหานเมว ปธานํ ตทตฺถตฺตา อิตเรสนฺติ อาห ‘‘กิเลสกฺขยภาวาย วา’’ติฯ ปหีนกิเลสปจฺจเวกฺขณวเสน วา เอวํ วุตฺตํฯ ทุติยวิกเปฺป อิตฺถตฺตายาติ นิสฺสเกฺก สมฺปทานวจนนฺติ อาห ‘‘อิตฺถภาวโต’’ติฯ อปรนฺติ อนาคตํฯ อิเม ปน จริมกตฺตภาวสงฺขาตา ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ, เอเตน เตสํ อปฺปติฎฺฐตํ ทเสฺสติฯ อปริญฺญามูลิกา หิ ปติฎฺฐาฯ ยถาห ‘‘กพฬีกาเร เจ ภิกฺขเว อาหาเร อตฺถิ ราโค อตฺถิ นนฺที อตฺถิ ตณฺหา, ปติฎฺฐิตํ ตตฺถ วิญฺญาณํ วิรูฬฺห’’นฺติอาทิฯ (สํ. นิ. ๒.๖๔; กถา. ๒๙๖; มหานิ. ๗) เตเนวาห ‘‘ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิยา’’ติอาทิฯ

    Brahmacariyavāso nāma ukkaṭṭhaniddesena maggabrahmacariyassa nibbattanaṃ evāti āha ‘‘parivuttha’’nti. Sammādiṭṭhiyā catūsu saccesu pariññādikiccasādhanavasena pavattamānāya sammāsaṅkappādīnampi dukkhasacce pariññābhisamayānuguṇā pavatti, itarasaccesu ca nesaṃ pahānābhisamayādipavatti pākaṭā eva, tena vuttaṃ ‘‘catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasenā’’ti. Dukkhanirodhamaggesu pariññāsacchikiriyābhāvanā yāvadeva samudayappahānatthāyāti āha ‘‘tena tena maggena pahātabbakilesā pahīnā’’ti. Itthattāyāti ime pakārā itthaṃ, tabbhāvo itthattaṃ, tadatthanti vuttaṃ hoti. Te pana pakārā ariyamaggabyāpārabhūtā pariññādayo idhādhippetāti āha ‘‘evaṃ soḷasakiccabhāvāyā’’ti. Te hi maggaṃ paccavekkhato maggānubhāvena pākaṭā hutvā upaṭṭhahanti, pariññādīsu ca pahānameva padhānaṃ tadatthattā itaresanti āha ‘‘kilesakkhayabhāvāya vā’’ti. Pahīnakilesapaccavekkhaṇavasena vā evaṃ vuttaṃ. Dutiyavikappe itthattāyāti nissakke sampadānavacananti āha ‘‘itthabhāvato’’ti. Aparanti anāgataṃ. Ime pana carimakattabhāvasaṅkhātā pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti, etena tesaṃ appatiṭṭhataṃ dasseti. Apariññāmūlikā hi patiṭṭhā. Yathāha ‘‘kabaḷīkāre ce bhikkhave āhāre atthi rāgo atthi nandī atthi taṇhā, patiṭṭhitaṃ tattha viññāṇaṃ virūḷha’’ntiādi. (Saṃ. ni. 2.64; kathā. 296; mahāni. 7) tenevāha ‘‘chinnamūlakā rukkhā viyā’’tiādi.

    ๒๔๙. ปพฺพตมตฺถเกติ ปพฺพตสิขเรฯ ตญฺหิ เยภุเยฺยน สงฺขิตฺตํ สงฺกุจิตํ โหตีติ ปาฬิยํ ‘‘ปพฺพตสเงฺขเป’’ติ วุตฺตํฯ ปพฺพตปริยาปโนฺน วา ปเทโส ปพฺพตสเงฺขโปอนาวิโลติ อกาลุสิโย, สา จสฺส อนาวิลตา กทฺทมาภาเวน โหตีติ อาห ‘‘นิกฺกทฺทโม’’ติฯ สิปฺปิโยติ สุตฺติโยฯ สมฺพุกาติ สงฺขลิกาฯ ฐิตาสุปิ นิสินฺนาสุปิ คาวีสุฯ วิชฺชมานาสูติ ลพฺภมานาสุ, อิตรา ฐิตาปิ นิสินฺนาปิ ‘‘จรนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ สหจรณนเยนฯ ติฎฺฐนฺตเมว, น ปน กทาจิปิ จรนฺตํฯ ทฺวยนฺติ สิปฺปิสมฺพุกํ, มจฺฉคุมฺพนฺติ อิทํ อุภยํฯ ติฎฺฐนฺตนฺติ วุตฺตํ จรนฺตํ ปีติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิตรญฺจ ทฺวย’’นฺติ จ ยถาวุตฺตเมว สิปฺปิสมฺพุกาทิทฺวยํ วทติฯ ตญฺหิ จรตีติฯ กิํ วา อิมาย สหจริยาย, ยถาลาภคฺคหณํ ปเนตฺถ ทฎฺฐพฺพํฯ สกฺขรกถลสฺส หิ วเสน ติฎฺฐนฺตนฺติฯ สิปฺปิสมฺพุกสฺส มจฺฉคุมฺพสฺส จ วเสน ติฎฺฐนฺตมฺปิ จรนฺตํ ปีติ โยชนา กาตพฺพาฯ

    249.Pabbatamatthaketi pabbatasikhare. Tañhi yebhuyyena saṅkhittaṃ saṅkucitaṃ hotīti pāḷiyaṃ ‘‘pabbatasaṅkhepe’’ti vuttaṃ. Pabbatapariyāpanno vā padeso pabbatasaṅkhepo. Anāviloti akālusiyo, sā cassa anāvilatā kaddamābhāvena hotīti āha ‘‘nikkaddamo’’ti. Sippiyoti suttiyo. Sambukāti saṅkhalikā. Ṭhitāsupi nisinnāsupi gāvīsu. Vijjamānāsūti labbhamānāsu, itarā ṭhitāpi nisinnāpi ‘‘carantī’’ti vuccanti sahacaraṇanayena. Tiṭṭhantameva, na pana kadācipi carantaṃ. Dvayanti sippisambukaṃ, macchagumbanti idaṃ ubhayaṃ. Tiṭṭhantanti vuttaṃ carantaṃ pīti adhippāyo. ‘‘Itarañca dvaya’’nti ca yathāvuttameva sippisambukādidvayaṃ vadati. Tañhi caratīti. Kiṃ vā imāya sahacariyāya, yathālābhaggahaṇaṃ panettha daṭṭhabbaṃ. Sakkharakathalassa hi vasena tiṭṭhantanti. Sippisambukassa macchagumbassa ca vasena tiṭṭhantampi carantaṃ pīti yojanā kātabbā.

    เตสํ ทสนฺนํ ญาณานํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ อารมฺมณวิภาเค, เตสุ วา ญาเณสุฯ ภูมิเภทโต, กาลเภทโต, สนฺตานเภทโต จาติ สตฺตวิธารมฺมณํ วิปสฺสนาญาณํฯ ‘‘รูปายตนมตฺตเมวา’’ติ อิทํ ตสฺส ญาณสฺส อภินิมฺมิยมาเน มโนมเย กาเย รูปายตนเมวารพฺภ ปวตฺตนโต วุตฺตํ, น ตตฺถ คนฺธายตํ อาทีนํ อภาวโตฯ น หิ รูปกลาโป คนฺธายตํ อาทิรหิโต อตฺถิฯ ปรินิปฺผนฺนเมว นิมฺมิตรูปํ, เตนาห ‘‘ปริตฺตปจฺจุปฺปนฺนพหิทฺธารมฺมณ’’นฺติฯ อาสวกฺขยญาณํ นิพฺพานารมฺมณเมว สมานํ ปริตฺตตฺติกวเสน อปฺปมาณารมฺมณํ, อชฺฌตฺตตฺติกวเสน พหิทฺธารมฺมณํ, อตีตตฺติกวเสน นวตฺตพฺพารมฺมณญฺจ โหตีติ อาห ‘‘อปฺปมาณพหิทฺธานวตฺตพฺพารมฺมณ’’นฺติฯ กูโฎ วิย กูฎาคารสฺส ภควโต เทสนาย อรหตฺตํ อุตฺตมงฺคภูตนฺติ อาห ‘‘อรหตฺตนิกูเฎนา’’ติฯ เทสนํ นิฎฺฐาเปสีติ ติตฺถกรมตหรวิภาวินิํ นานาวิธกุหนลปนาทิมิจฺฉาชีววิทฺธํสินิํ ติวิธสีลาลงฺกตํ ปรมสเลฺลขปฎิปตฺติทีปนิํ ฌานาภิญฺญาทิอุตฺตริมนุสฺสธมฺมวิภูสิตํ จุทฺทสวิธมหาสามญฺญผลปฎิมณฺฑิตํ อนญฺญสาธารณํ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    Tesaṃ dasannaṃ ñāṇānaṃ. Tatthāti tasmiṃ ārammaṇavibhāge, tesu vā ñāṇesu. Bhūmibhedato, kālabhedato, santānabhedato cāti sattavidhārammaṇaṃ vipassanāñāṇaṃ. ‘‘Rūpāyatanamattamevā’’ti idaṃ tassa ñāṇassa abhinimmiyamāne manomaye kāye rūpāyatanamevārabbha pavattanato vuttaṃ, na tattha gandhāyataṃ ādīnaṃ abhāvato. Na hi rūpakalāpo gandhāyataṃ ādirahito atthi. Parinipphannameva nimmitarūpaṃ, tenāha ‘‘parittapaccuppannabahiddhārammaṇa’’nti. Āsavakkhayañāṇaṃ nibbānārammaṇameva samānaṃ parittattikavasena appamāṇārammaṇaṃ, ajjhattattikavasena bahiddhārammaṇaṃ, atītattikavasena navattabbārammaṇañca hotīti āha ‘‘appamāṇabahiddhānavattabbārammaṇa’’nti. Kūṭo viya kūṭāgārassa bhagavato desanāya arahattaṃ uttamaṅgabhūtanti āha ‘‘arahattanikūṭenā’’ti. Desanaṃ niṭṭhāpesīti titthakaramataharavibhāviniṃ nānāvidhakuhanalapanādimicchājīvaviddhaṃsiniṃ tividhasīlālaṅkataṃ paramasallekhapaṭipattidīpaniṃ jhānābhiññādiuttarimanussadhammavibhūsitaṃ cuddasavidhamahāsāmaññaphalapaṭimaṇḍitaṃ anaññasādhāraṇaṃ desanaṃ niṭṭhāpesi.

    อชาตสตฺตุอุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา

    Ajātasattuupāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā

    ๒๕๐. อาทิมชฺฌปริโยสานนฺติ อาทิญฺจ มชฺฌญฺจ ปริโยสานญฺจฯ สกฺกจฺจํ สคารวํฯ อารทฺธํ ธมฺมสงฺคาหเกหิฯ

    250.Ādimajjhapariyosānanti ādiñca majjhañca pariyosānañca. Sakkaccaṃ sagāravaṃ. Āraddhaṃ dhammasaṅgāhakehi.

    อภิกฺกนฺตา วิคตาติ อโตฺถติ อาห ‘‘ขเย ทิสฺสตี’’ติฯ ตถา หิ ‘‘นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม’’ติ อุปริ วุตฺตํฯ อภิกฺกนฺตตโรติ อติวิย กนฺตตโร มโนรโม, ตาทิโส จ สุนฺทโร ภทฺทโก นาม โหตีติ อาห ‘‘สุนฺทเร ทิสฺสตี’’ติฯ โกติ เทวนาคยกฺขคนฺธพฺพาทีสุ โก กตโมฯ เมติ มมฯ ปาทานีติ ปาเทฯ อิทฺธิยาติ อิมาย เอวรูปาย เทวิทฺธิยาฯ ยสสาติ อิมินา เอทิเสน ปริวาเรน, ปริชเนน จฯ ชลนฺติ วิโชฺชตมาโนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ อติวิย กเนฺตน กมนีเยน อภิรูเปนฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณน สรีรวณฺณนิภาย ฯ สพฺพา โอภาสยํ ทิสาติ ทสปิ ทิสา ปภาเสโนฺต จโนฺท วิย, สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกาโลกํ กโรโนฺตติ คาถาย อโตฺถฯ อภิรูเปติ อุฬารรูเป สมฺปนฺนรูเปฯ

    Abhikkantā vigatāti atthoti āha ‘‘khaye dissatī’’ti. Tathā hi ‘‘nikkhanto paṭhamo yāmo’’ti upari vuttaṃ. Abhikkantataroti ativiya kantataro manoramo, tādiso ca sundaro bhaddako nāma hotīti āha ‘‘sundare dissatī’’ti. Koti devanāgayakkhagandhabbādīsu ko katamo. Meti mama. Pādānīti pāde. Iddhiyāti imāya evarūpāya deviddhiyā. Yasasāti iminā edisena parivārena, parijanena ca. Jalanti vijjotamāno. Abhikkantenāti ativiya kantena kamanīyena abhirūpena. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena sarīravaṇṇanibhāya . Sabbā obhāsayaṃ disāti dasapi disā pabhāsento cando viya, sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekālokaṃ karontoti gāthāya attho. Abhirūpeti uḷārarūpe sampannarūpe.

    ‘‘โจโร โจโร, สโปฺป สโปฺป’’ติอาทีสุ ภเย อาเมฑิตํ, ‘‘วิชฺฌ วิชฺฌ, ปหร ปหรา’’ติอาทีสุ โกเธ, ‘‘สาธุ สาธูติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๒๗; สํ. นิ. ๒.๑๒๗; ๓.๓๕; ๕.๑๐๐๕) ปสํสายํ, ‘‘คจฺฉ คจฺฉ, ลุนาหิ ลุนาหี’’ติอาทีสุ ตุริเต, ‘‘อาคจฺฉ อาคจฺฉา’’ติอาทีสุ โกตูหเล, ‘‘พุโทฺธ พุโทฺธติ จิเนฺตโนฺต’’ติอาทีสุ (พุ. วํ. ๔๔) อจฺฉเร , ‘‘อภิกฺกมถายสฺมโนฺต อภิกฺกมถายสฺมโนฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๒๐; อ. นิ. ๙.๑๑) หาเส, ‘‘กหํ เอกปุตฺตก กหํ เอกปุตฺตกา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๖๓) โสเก, ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติอาทีสุ (อุทา. ๒๐; ที. นิ. ๓.๓๐๕; จูฬว. ๓๓๒) ปสาเทฯ จ-สโทฺท อวุตฺตสมุจฺจยโตฺถ, เตน ครหาอสมฺมานาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘ปาโป ปาโป’’ติอาทีสุ ครหายํ, ‘‘อภิรูปก อภิรูปกา’’ติอาทีสุ อสมฺมาเน ทฎฺฐพฺพํฯ

    ‘‘Coro coro, sappo sappo’’tiādīsu bhaye āmeḍitaṃ, ‘‘vijjha vijjha, pahara paharā’’tiādīsu kodhe, ‘‘sādhu sādhūtiādīsu (ma. ni. 1.327; saṃ. ni. 2.127; 3.35; 5.1005) pasaṃsāyaṃ, ‘‘gaccha gaccha, lunāhi lunāhī’’tiādīsu turite, ‘‘āgaccha āgacchā’’tiādīsu kotūhale, ‘‘buddho buddhoti cintento’’tiādīsu (bu. vaṃ. 44) acchare, ‘‘abhikkamathāyasmanto abhikkamathāyasmanto’’tiādīsu (dī. ni. 3.20; a. ni. 9.11) hāse, ‘‘kahaṃ ekaputtaka kahaṃ ekaputtakā’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.63) soke, ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’ntiādīsu (udā. 20; dī. ni. 3.305; cūḷava. 332) pasāde. Ca-saddo avuttasamuccayattho, tena garahāasammānādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tattha ‘‘pāpo pāpo’’tiādīsu garahāyaṃ, ‘‘abhirūpaka abhirūpakā’’tiādīsu asammāne daṭṭhabbaṃ.

    นยิทํ อาเมฑิตวเสน ทฺวิกฺขตฺตุํ วุตฺตํ, อถ โข อตฺถทฺวยวเสนาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาห ‘‘อภิกฺกนฺต’’นฺติ วจนํ อเปกฺขิตฺวา นปุํสกลิงฺควเสน วุตฺตํฯ ตํ ปน ภควโต วจนํ ธมฺมสฺส เทสนาติ กตฺวา ตถา วุตฺตํฯ อตฺถมตฺตทสฺสนํ วา เอตํ, ตสฺมา อตฺถวเสเนตฺถ ลิงฺควิภตฺติปริณาโม เวทิตโพฺพฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ โทสนาสนโตติ ราคาทิกิเลสวิธมนโตฯ คุณาธิคมนโตติ สีลาทิคุณานํ สมฺปาทนโตฯ เย คุเณ เทสนา อธิคเมติ, เตสุ ปธานภูตา ทเสฺสตพฺพาติ เต ปธานภูเต ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘สทฺธาชนนโต ปญฺญาชนนโต’’ติ วุตฺตํฯ สทฺธาปมุขา หิ โลกิยา คุณา ปญฺญาปมุขา โลกุตฺตราฯ สีลาทิอตฺถสมฺปตฺติยา สาตฺถโตฯ สภาวนิรุตฺติสมฺปตฺติยา สพฺยญฺชนโตฯ สุวิเญฺญยฺยสทฺทปโยคตาย อุตฺตานปทโตฯ สณฺหสุขุมภาเวน ทุพฺพิเญฺญยฺยตฺถตาย คมฺภีรตฺถโตฯ สินิทฺธมุทุมธุรสทฺทปโยคตาย กณฺณสุขโตฯ วิปุลวิสุทฺธเปมนียตฺถตาย หทยงฺคมโตฯ มานาติมานวิธมเนน อนตฺตุกฺกํสนโตฯ ถมฺภสารมฺภนิมฺมทฺทเนน อปรวมฺภนโตฯ หิตาธิปฺปายปฺปวตฺติยา, ปเรสํ ราคปริฬาหาทิวูปคมเนน จ กรุณาสีตลโตฯ กิเลสนฺธการวิธมเนน ปญฺญาวทาตโตฯ กรวีกรุตมญฺชุตาย อาปาถรมณียโตฯ ปุพฺพาปราวิรุทฺธสุวิสุทฺธตาย วิมทฺทกฺขมโตฯ อาปาถรมณียตาย เอว สุยฺยมานสุขโตฯ วิมทฺทกฺขมตาย, หิตชฺฌาสยปฺปวตฺติตาย จ วีมํสิยมานหิตโตฯ เอวมาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน สํสารจกฺกนิวตฺตนโต สทฺธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนโต, มิจฺฉาวาทวิทฺธํสนโต สมฺมาวาทปติฎฺฐาปนโต, อกุสลมูลสมุทฺธรณโต กุสลมูลสํโรปนโต, อปายทฺวารปิธานโต สคฺคมคฺคทฺวารวิวรณโต, ปริยุฎฺฐานวูปสมนโต อนุสยสมุคฺฆาฎนโตติ เอวมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Nayidaṃ āmeḍitavasena dvikkhattuṃ vuttaṃ, atha kho atthadvayavasenāti dassento ‘‘atha vā’’tiādimāha ‘‘abhikkanta’’nti vacanaṃ apekkhitvā napuṃsakaliṅgavasena vuttaṃ. Taṃ pana bhagavato vacanaṃ dhammassa desanāti katvā tathā vuttaṃ. Atthamattadassanaṃ vā etaṃ, tasmā atthavasenettha liṅgavibhattipariṇāmo veditabbo. Dutiyapadepi eseva nayo. Dosanāsanatoti rāgādikilesavidhamanato. Guṇādhigamanatoti sīlādiguṇānaṃ sampādanato. Ye guṇe desanā adhigameti, tesu padhānabhūtā dassetabbāti te padhānabhūte tāva dassetuṃ ‘‘saddhājananato paññājananato’’ti vuttaṃ. Saddhāpamukhā hi lokiyā guṇā paññāpamukhā lokuttarā. Sīlādiatthasampattiyā sātthato. Sabhāvaniruttisampattiyā sabyañjanato. Suviññeyyasaddapayogatāya uttānapadato. Saṇhasukhumabhāvena dubbiññeyyatthatāya gambhīratthato. Siniddhamudumadhurasaddapayogatāya kaṇṇasukhato. Vipulavisuddhapemanīyatthatāya hadayaṅgamato. Mānātimānavidhamanena anattukkaṃsanato. Thambhasārambhanimmaddanena aparavambhanato. Hitādhippāyappavattiyā, paresaṃ rāgapariḷāhādivūpagamanena ca karuṇāsītalato. Kilesandhakāravidhamanena paññāvadātato. Karavīkarutamañjutāya āpātharamaṇīyato. Pubbāparāviruddhasuvisuddhatāya vimaddakkhamato. Āpātharamaṇīyatāya eva suyyamānasukhato. Vimaddakkhamatāya, hitajjhāsayappavattitāya ca vīmaṃsiyamānahitato. Evamādīhīti ādi-saddena saṃsāracakkanivattanato saddhammacakkappavattanato, micchāvādaviddhaṃsanato sammāvādapatiṭṭhāpanato, akusalamūlasamuddharaṇato kusalamūlasaṃropanato, apāyadvārapidhānato saggamaggadvāravivaraṇato, pariyuṭṭhānavūpasamanato anusayasamugghāṭanatoti evamādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.

    อโธมุขฎฺฐปิตนฺติ เกนจิ อโธมุขํ ฐปิตํฯ เหฎฺฐามุขชาตนฺติ สภาเวเนว เหฎฺฐามุขํ ชาตํฯ อุคฺฆาเฎยฺยาติ วิวฎํ กเรยฺยฯ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘ปุรตฺถาภิมุโข, อุตฺตราภิมุโข วา คจฺฉา’’ติอาทีนิ อวตฺวา หเตฺถ คเหตฺวา นิสฺสเนฺทหํ กตฺวาฯ ‘‘เอส มโคฺค, เอวํ คจฺฉา’’ติ ทเสฺสยฺยฯ กาฬปกฺขจาตุทฺทสีติ กาฬปเกฺข จาตุทฺทสีฯ นิกฺกุชฺชิตํ อาเธยฺยสฺส อนาธารภูตํ ภาชนํ อาธารภาวาปาทนวเสน อุกฺกุเชฺชยฺยฯ อญฺญาณสฺส อภิมุขตฺตา เหฎฺฐามุขชาตตาย สทฺธมฺมวิมุขํ อโธมุขฎฺฐปิตตาย อสทฺธเมฺม ปติตนฺติ เอวํ ปททฺวยํ ยถารหํ โยเชตพฺพํ, น ยถาสงฺขฺยํฯ กามํ กามจฺฉนฺทาทโย ปฎิจฺฉาทกา นีวรณภาวโต, มิจฺฉาทิฎฺฐิ ปน สวิเสสํ ปฎิจฺฉาทิกา สเตฺต มิจฺฉาภินิเวสนวเสนาติ อาห ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺน’’นฺติฯ เตนาห ภควา ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมาหํ ภิกฺขเว วชฺชํ วทามี’’ติฯ สโพฺพ อปายคามิมโคฺค กุมฺมโคฺค กุจฺฉิโต มโคฺคติ กตฺวาฯ สมฺมาทิฎฺฐิอาทีนํ อุชุปฎิปกฺขตาย มิจฺฉาทิฎฺฐิอาทโย อฎฺฐ มิจฺฉตฺตธมฺมา มิจฺฉามคฺคาฯ เตเนว หิ ตทุภยปฎิปกฺขตํ สนฺธาย ‘‘สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาวิกโรเนฺตนา’’ติ วุตฺตํฯ สปฺปิอาทิสนฺนิสฺสโย ปทีโป น ตถา อุชฺชโล, ยถา เตลสนฺนิสฺสโยติ เตลปโชฺชต-คฺคหณํฯ เอเตหิ ปริยาเยหีติ เอเตหิ นิกฺกุชฺชิตุกฺกุชฺชนปฎิจฺฉนฺนวิวรณาทิอุปโมปมิตพฺพปฺปกาเรหิ, เอเตหิ วา ยถาวุเตฺตหิ นานาวิธกุหนลปนาทิมิจฺฉาชีววิวิธมนาทิวิภาวนปริยาเยหิฯ เตนาห ‘‘อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโต’’ติฯ

    Adhomukhaṭṭhapitanti kenaci adhomukhaṃ ṭhapitaṃ. Heṭṭhāmukhajātanti sabhāveneva heṭṭhāmukhaṃ jātaṃ. Ugghāṭeyyāti vivaṭaṃ kareyya. Hatthe gahetvā ‘‘puratthābhimukho, uttarābhimukho vā gacchā’’tiādīni avatvā hatthe gahetvā nissandehaṃ katvā. ‘‘Esa maggo, evaṃ gacchā’’ti dasseyya. Kāḷapakkhacātuddasīti kāḷapakkhe cātuddasī. Nikkujjitaṃ ādheyyassa anādhārabhūtaṃ bhājanaṃ ādhārabhāvāpādanavasena ukkujjeyya. Aññāṇassa abhimukhattā heṭṭhāmukhajātatāya saddhammavimukhaṃ adhomukhaṭṭhapitatāya asaddhamme patitanti evaṃ padadvayaṃ yathārahaṃ yojetabbaṃ, na yathāsaṅkhyaṃ. Kāmaṃ kāmacchandādayo paṭicchādakā nīvaraṇabhāvato, micchādiṭṭhi pana savisesaṃ paṭicchādikā satte micchābhinivesanavasenāti āha ‘‘micchādiṭṭhigahanapaṭicchanna’’nti. Tenāha bhagavā ‘‘micchādiṭṭhiparamāhaṃ bhikkhave vajjaṃ vadāmī’’ti. Sabbo apāyagāmimaggo kummaggo kucchito maggoti katvā. Sammādiṭṭhiādīnaṃ ujupaṭipakkhatāya micchādiṭṭhiādayo aṭṭha micchattadhammā micchāmaggā. Teneva hi tadubhayapaṭipakkhataṃ sandhāya ‘‘saggamokkhamaggaṃ āvikarontenā’’ti vuttaṃ. Sappiādisannissayo padīpo na tathā ujjalo, yathā telasannissayoti telapajjota-ggahaṇaṃ. Etehi pariyāyehīti etehi nikkujjitukkujjanapaṭicchannavivaraṇādiupamopamitabbappakārehi, etehi vā yathāvuttehi nānāvidhakuhanalapanādimicchājīvavividhamanādivibhāvanapariyāyehi. Tenāha ‘‘anekapariyāyena dhammo pakāsito’’ti.

    ปสนฺนการนฺติ ปสเนฺนหิ กาตพฺพํ สกฺการํฯ สรณนฺติ ปฎิสรณํ, เตนาห ‘‘ปรายณ’’นฺติฯ ปรายณภาโว จ อนตฺถนิเสธเนน, อตฺถสมฺปฎิปาทเนน จ โหตีติ อาห ‘‘อฆสฺส ตาตา, หิตสฺส จ วิธาตา’’ติฯ อฆสฺสาติ ทุกฺขโตติ วทนฺติ, ปาปโตติ ปน อโตฺถ ยุโตฺต, นิสฺสเกฺก เจตํ สามิวจนํฯ เอตฺถ จ นายํ คมุ-สโทฺท นี-สทฺทาทโย วิย ทฺวิกมฺมโก, ตสฺมา ยถา ‘‘อชํ คามํ เนตี’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ‘‘ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ วตฺตุํ น สกฺกา, ‘‘สรณนฺติ คจฺฉามี’’ติ ปน วตฺตพฺพํฯ อิติ-สโทฺท เจตฺถ ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ตสฺส จายมโตฺถฯ คมนญฺจ ตทธิปฺปาเยน ภชนํ ชานนํ วาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิมินา อธิปฺปาเยนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘ภชามี’’ติอาทีสุ ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อตฺถวจนํ, ภชนํ วา สรณาธิปฺปาเยน อุปสงฺกมนํ, เสวนํ สนฺติกาวจรตา, ปยิรุปาสนํ วตฺตปฎิวตฺตกรเณน อุปฎฺฐานนฺติ เอวํ สพฺพถาปิ อนญฺญสรณตํเยว ทีเปติฯ ‘‘คจฺฉามี’’ติ ปทสฺส พุชฺฌามีติ อยมโตฺถ กถํ ลพฺภตีติ อาห ‘‘เยสญฺหี’’ติอาทิฯ

    Pasannakāranti pasannehi kātabbaṃ sakkāraṃ. Saraṇanti paṭisaraṇaṃ, tenāha ‘‘parāyaṇa’’nti. Parāyaṇabhāvo ca anatthanisedhanena, atthasampaṭipādanena ca hotīti āha ‘‘aghassa tātā, hitassa ca vidhātā’’ti. Aghassāti dukkhatoti vadanti, pāpatoti pana attho yutto, nissakke cetaṃ sāmivacanaṃ. Ettha ca nāyaṃ gamu-saddo nī-saddādayo viya dvikammako, tasmā yathā ‘‘ajaṃ gāmaṃ netī’’ti vuccati, evaṃ ‘‘bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti vattuṃ na sakkā, ‘‘saraṇanti gacchāmī’’ti pana vattabbaṃ. Iti-saddo cettha luttaniddiṭṭho. Tassa cāyamattho. Gamanañca tadadhippāyena bhajanaṃ jānanaṃ vāti dassento ‘‘iminā adhippāyenā’’tiādimāha. Tattha ‘‘bhajāmī’’tiādīsu purimassa purimassa pacchimaṃ pacchimaṃ atthavacanaṃ, bhajanaṃ vā saraṇādhippāyena upasaṅkamanaṃ, sevanaṃ santikāvacaratā, payirupāsanaṃ vattapaṭivattakaraṇena upaṭṭhānanti evaṃ sabbathāpi anaññasaraṇataṃyeva dīpeti. ‘‘Gacchāmī’’ti padassa bujjhāmīti ayamattho kathaṃ labbhatīti āha ‘‘yesañhī’’tiādi.

    ‘‘อธิคตมเคฺค สจฺฉิกตนิโรเธ’’ติ ปททฺวเยนาปิ ผลฎฺฐา เอว ทสฺสิตา, น มคฺคฎฺฐาติ เต ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน จา’’ติอาทิมาหฯ นนุ จ กลฺยาณปุถุชฺชโนปิ ‘‘ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชตี’’ติ วุจฺจตีติ? กิญฺจาปิ วุจฺจติ, นิปฺปริยาเยน ปน มคฺคฎฺฐา เอว ตถา วตฺตพฺพา, น อิตโร นิยาโมกฺกมนาภาวโตฯ ตถา หิ เต เอว วุตฺตา ‘‘อปาเยสุ อปตมาเน ธาเรตี’’ติฯ สมฺมตฺตนิยาโมกฺกมเนน หิ อปายวินิมุตฺตสมฺภโว ฯ อกฺขายตีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, ปการโตฺถ วา, เตน ‘‘ยาวตา ภิกฺขเว ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ อคฺคํ อกฺขายตี’’ติ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔) สุตฺตปทํ สงฺคณฺหาติ, ‘‘วิตฺถาโร’’ติ วา อิมินาฯ เอตฺถ จ อริยมโคฺค นิยฺยานิกตาย, นิพฺพานํ ตสฺส ตทตฺถสิทฺธิเหตุตายาติ อุภยเมว นิปฺปริยาเยน ‘‘ธโมฺม’’ติ วุโตฺตฯ นิพฺพานญฺหิ อารมฺมณปจฺจยภูตํ ลภิตฺวา อริยมคฺคสฺส ตทตฺถสิทฺธิฯ ตถาปิ ยสฺมา อริยผลานํ ‘‘ตาย สทฺธาย อวูปสนฺตายา’’ติอาทิ วจนโต มเคฺคน สมุจฺฉินฺนานํ กิเลสานํ ปฎิปสฺสทฺธิปฺปหานกิจฺจตาย, นิยฺยานานุคุณตาย, นิยฺยานปริโยสานตาย จ, ปริยตฺติธมฺมสฺส ปน ‘‘นิยฺยานธมฺมสฺส สมธิคมนเหตุตายา’’ติ อิมินา ปริยาเยน วุตฺตนเยน ธมฺมภาโว ลพฺภติ เอวฯ สฺวายมโตฺถ ปาฐารูโฬฺห เอวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น เกวล’’นฺติอาทิมาหฯ

    ‘‘Adhigatamagge sacchikatanirodhe’’ti padadvayenāpi phalaṭṭhā eva dassitā, na maggaṭṭhāti te dassento ‘‘yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne cā’’tiādimāha. Nanu ca kalyāṇaputhujjanopi ‘‘yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjatī’’ti vuccatīti? Kiñcāpi vuccati, nippariyāyena pana maggaṭṭhā eva tathā vattabbā, na itaro niyāmokkamanābhāvato. Tathā hi te eva vuttā ‘‘apāyesu apatamāne dhāretī’’ti. Sammattaniyāmokkamanena hi apāyavinimuttasambhavo . Akkhāyatīti ettha iti-saddo ādiattho, pakārattho vā, tena ‘‘yāvatā bhikkhave dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ aggaṃ akkhāyatī’’ti (itivu. 90; a. ni. 4.34) suttapadaṃ saṅgaṇhāti, ‘‘vitthāro’’ti vā iminā. Ettha ca ariyamaggo niyyānikatāya, nibbānaṃ tassa tadatthasiddhihetutāyāti ubhayameva nippariyāyena ‘‘dhammo’’ti vutto. Nibbānañhi ārammaṇapaccayabhūtaṃ labhitvā ariyamaggassa tadatthasiddhi. Tathāpi yasmā ariyaphalānaṃ ‘‘tāya saddhāya avūpasantāyā’’tiādi vacanato maggena samucchinnānaṃ kilesānaṃ paṭipassaddhippahānakiccatāya, niyyānānuguṇatāya, niyyānapariyosānatāya ca, pariyattidhammassa pana ‘‘niyyānadhammassa samadhigamanahetutāyā’’ti iminā pariyāyena vuttanayena dhammabhāvo labbhati eva. Svāyamattho pāṭhārūḷho evāti dassento ‘‘na kevala’’ntiādimāha.

    ‘‘กามราโค ภวราโค’’ติ เอวมาทิ เภโท สโพฺพปิ ราโค วิรชฺชติ เอเตนาติ ราควิราโคติ มโคฺค กถิโตฯ เอชาสงฺขาตาย ตณฺหาย, อโนฺตนิชฺฌานลกฺขณสฺส โสกสฺส จ ตทุปฺปตฺติยํ สพฺพโส ปริกฺขีณตฺตา อเนชํ อโสกนฺติ ผลํ กถิตํฯ อปฺปฎิกูลนฺติ อวิโรธทีปนโต เกนจิ อวิรุทฺธํ, อิฎฺฐํ ปณีตนฺติ วา อโตฺถฯ ปคุณรูเปน ปวตฺติตตฺตา, ปกฎฺฐคุณวิภาวนโต วา ปคุณํฯ ยถาห ‘‘วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; ม. นิ. ๒.๓๓๙; มหาว. ๙) สพฺพธมฺมกฺขนฺธา กถิตาติ โยชนาฯ

    ‘‘Kāmarāgo bhavarāgo’’ti evamādi bhedo sabbopi rāgo virajjati etenāti rāgavirāgoti maggo kathito. Ejāsaṅkhātāya taṇhāya, antonijjhānalakkhaṇassa sokassa ca taduppattiyaṃ sabbaso parikkhīṇattā anejaṃ asokanti phalaṃ kathitaṃ. Appaṭikūlanti avirodhadīpanato kenaci aviruddhaṃ, iṭṭhaṃ paṇītanti vā attho. Paguṇarūpena pavattitattā, pakaṭṭhaguṇavibhāvanato vā paguṇaṃ. Yathāha ‘‘vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ, dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’’ti. (Ma. ni. 1.283; ma. ni. 2.339; mahāva. 9) sabbadhammakkhandhā kathitāti yojanā.

    ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตนาติ ‘‘ยายํ ทิฎฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตถารูปาย ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๔; ม. นิ. ๔.๙๒; ๓.๕๔) เอวํ วุตฺตาย ทิฎฺฐิยา, ‘‘ยานิ ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ ภุชิสฺสานิ วิญฺญุปฺปสตฺถานิ อปรามฎฺฐานิ สมาธิสํวตฺตนิกานิ , ตถารูเปหิ สีเลหิ สีลสามญฺญคโต วิหรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๓; ม. นิ. ๑.๔๙๒; ๓.๕๔; อ. นิ. ๖.๑๑; ปริ. ๒๗๔) เอวํ วุตฺตานํ สีลานญฺจ สํหตภาเวน, ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ สํหโตติ ฆฎิโต, สเมโตติ อโตฺถฯ อริยปุคฺคลา หิ ยตฺถ กตฺถจิ ทูเร ฐิตาปิ อตฺตโน คุณสามคฺคิยา สํหตา เอว ฯ อฎฺฐ จ ปุคฺคลธมฺมทสา เตติ เต ปุริสยุควเสน จตฺตาโรปิ ปุคฺคลวเสน อเฎฺฐว อริยธมฺมสฺส ปจฺจกฺขทสฺสาวิตาย ธมฺมทสาฯ ตีณิ วตฺถูนิ ‘‘สรณ’’นฺติ คมเนน, ติกฺขตฺตุํ คมเนน จ ตีณิ สรณคมนานิฯ ปฎิเวเทสีติ อตฺตโน หทยคตํ วาจาย ปเวเทสิฯ

    Diṭṭhisīlasaṅghātenāti ‘‘yāyaṃ diṭṭhi ariyā niyyānikā niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāya, tathārūpāya diṭṭhiyā diṭṭhisāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.324; ma. ni. 4.92; 3.54) evaṃ vuttāya diṭṭhiyā, ‘‘yāni tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni bhujissāni viññuppasatthāni aparāmaṭṭhāni samādhisaṃvattanikāni , tathārūpehi sīlehi sīlasāmaññagato viharatī’’ti (dī. ni. 3.323; ma. ni. 1.492; 3.54; a. ni. 6.11; pari. 274) evaṃ vuttānaṃ sīlānañca saṃhatabhāvena, diṭṭhisīlasāmaññenāti attho. Saṃhatoti ghaṭito, sametoti attho. Ariyapuggalā hi yattha katthaci dūre ṭhitāpi attano guṇasāmaggiyā saṃhatā eva . Aṭṭha ca puggaladhammadasā teti te purisayugavasena cattāropi puggalavasena aṭṭheva ariyadhammassa paccakkhadassāvitāya dhammadasā. Tīṇi vatthūni ‘‘saraṇa’’nti gamanena, tikkhattuṃ gamanena ca tīṇi saraṇagamanāni. Paṭivedesīti attano hadayagataṃ vācāya pavedesi.

    สรณคมนกถาวณฺณนา

    Saraṇagamanakathāvaṇṇanā

    สรณคมนสฺส วิสยปฺปเภทผลสํกิเลสเภทานํ วิย กตฺตุ จ วิภาวนา ตตฺถ โกสลฺลาย โหตีติ ‘‘สรณคมเนสุ โกสลฺลตฺถํ สรณํ…เป.… เวทิตโพฺพ’’ติ วุตฺตํ เตน วินา สรณคมนเสฺสว อสมฺภวโตฯ กสฺมา ปเนตฺถ โวทานํ น คหิตํ, นนุ โวทานวิภาวนาปิ ตตฺถ โกสลฺลาวหาติ? สจฺจเมตํ, ตํ ปน สํกิเลสคฺคหเณเนว อตฺถโต ทีปิตํ โหตีติ น คหิตํฯ ยานิ หิ เนสํ สํกิเลสการณานิ อญฺญาณาทีนิ, เตสํ สเพฺพน สพฺพํ อนุปฺปนฺนานํ อนุปฺปาทเนน, อุปฺปนฺนานญฺจ ปหาเนน โวทานํ โหตีติฯ หิํสตฺถสฺส สร-สทฺทสฺส วเสเนตํ ปทํ ทฎฺฐพฺพนฺติ ‘‘หิํสตีติ สรณ’’นฺติ วตฺวา ตํ ปน หิํสนํ เกสํ กถํ กสฺส วาติ โจทนํ โสเธโนฺต ‘‘สรณคตาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภยนฺติ วฎฺฎภยํฯ สนฺตาสนฺติ จิตฺตุตฺราสํ เตเนว เจตสิกทุกฺขสฺส คหิตตฺตาฯ ทุกฺขนฺติ กายิกทุกฺขํฯ ทุคฺคติปริกิเลสนฺติ ทุคฺคติปริยาปนฺนํ สพฺพมฺปิ ทุกฺขํ, ตยิทํ สพฺพํ ปรโต ผลกถายํ อาวิภวิสฺสติฯ เอตนฺติ ‘‘สรณ’’นฺติ ปทํฯ

    Saraṇagamanassa visayappabhedaphalasaṃkilesabhedānaṃ viya kattu ca vibhāvanā tattha kosallāya hotīti ‘‘saraṇagamanesu kosallatthaṃ saraṇaṃ…pe… veditabbo’’ti vuttaṃ tena vinā saraṇagamanasseva asambhavato. Kasmā panettha vodānaṃ na gahitaṃ, nanu vodānavibhāvanāpi tattha kosallāvahāti? Saccametaṃ, taṃ pana saṃkilesaggahaṇeneva atthato dīpitaṃ hotīti na gahitaṃ. Yāni hi nesaṃ saṃkilesakāraṇāni aññāṇādīni, tesaṃ sabbena sabbaṃ anuppannānaṃ anuppādanena, uppannānañca pahānena vodānaṃ hotīti. Hiṃsatthassa sara-saddassa vasenetaṃ padaṃ daṭṭhabbanti ‘‘hiṃsatīti saraṇa’’nti vatvā taṃ pana hiṃsanaṃ kesaṃ kathaṃ kassa vāti codanaṃ sodhento ‘‘saraṇagatāna’’ntiādimāha. Tattha bhayanti vaṭṭabhayaṃ. Santāsanti cittutrāsaṃ teneva cetasikadukkhassa gahitattā. Dukkhanti kāyikadukkhaṃ. Duggatiparikilesanti duggatipariyāpannaṃ sabbampi dukkhaṃ, tayidaṃ sabbaṃ parato phalakathāyaṃ āvibhavissati. Etanti ‘‘saraṇa’’nti padaṃ.

    เอวํ อวิเสสโต สรณ-สทฺทสฺส อตฺถํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิเสสโต ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ หิเต ปวตฺตเนนาติ ‘‘สมฺปนฺนสีลา ภิกฺขเว วิหรถา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๖๔, ๖๙) อเตฺถ นิโยชเนนฯ อหิตา จ นิวตฺตเนนาติฯ ‘‘ปาณาติปาตสฺส โข ปาปโก วิปาโก, ปาปกํ อภิสมฺปราย’’นฺติอาทินา อาทีนวทสฺสนาทิมุเขน อนตฺถโต นิวตฺตเนนฯ ภยํ หิํสตีติ หิตาหิเตสุ อปฺปวตฺติปวตฺติเหตุกํ พฺยสนํ อปฺปวตฺติกรเณน วินาเสติฯ ภวกนฺตารา อุตฺตารเณน มคฺคสงฺขาโต ธโมฺม, อิตโร อสฺสาสทาเนน สตฺตานํ ภยํ หิํสตีติ โยชนาฯ การานนฺติ ทานวเสน ปูชาวเสน จ อุปนีตานํ สกฺการานํฯ วิปุลผลปฎิลาภกรเณน สตฺตานํ ภยํ หิํสตีติ โยชนา, อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ อิมินาปิ ปริยาเยนาติ อิมินาปิ วิภชิตฺวา วุเตฺตน การเณนฯ

    Evaṃ avisesato saraṇa-saddassa atthaṃ dassetvā idāni visesato dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Hite pavattanenāti ‘‘sampannasīlā bhikkhave viharathā’’tiādinā (ma. ni. 1.64, 69) atthe niyojanena. Ahitā ca nivattanenāti. ‘‘Pāṇātipātassa kho pāpako vipāko, pāpakaṃ abhisamparāya’’ntiādinā ādīnavadassanādimukhena anatthato nivattanena. Bhayaṃ hiṃsatīti hitāhitesu appavattipavattihetukaṃ byasanaṃ appavattikaraṇena vināseti. Bhavakantārā uttāraṇena maggasaṅkhāto dhammo, itaro assāsadānena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsatīti yojanā. Kārānanti dānavasena pūjāvasena ca upanītānaṃ sakkārānaṃ. Vipulaphalapaṭilābhakaraṇena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsatīti yojanā, anuttaradakkhiṇeyyabhāvatoti adhippāyo. Imināpi pariyāyenāti imināpi vibhajitvā vuttena kāraṇena.

    ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ’’ติ เอวํ ปวโตฺต ตตฺถ รตนตฺตเย ปสาโท ตปฺปสาโท, ตเทว รตนตฺตยํ ครุ เอตสฺสาติ ตคฺครุ ตพฺภาโว ตคฺครุตา, ตปฺปสาโท จ ตคฺครุตา จ ตปฺปสาทตคฺครุตา, ตาหิ ตปฺปสาทตคฺครุตาหิฯ วิธูตทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสโมฺมหอสฺสทฺธิยาทิตาย วิหตกิเลโสฯ ตเทว รตนตฺตยํ ปรายณํ ปราคติ ตาณํ เลณนฺติ เอวํ ปวตฺติยา ตปฺปรายณตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํ สรณํ คจฺฉติ เอเตนาติฯ ตํสมงฺคีติ เตน ยถาวุตฺตจิตฺตุปฺปาเทน สมนฺนาคโตฯ เอวํ อุเปตีติ ภชติ เสวติ ปยิรุปาสติ, เอวํ วา ชานาติ พุชฺฌตีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ จ ปสาท-คฺคหเณน โลกิยสรณคมนมาหฯ ตญฺหิ ปสาทปฺปธานํฯ ครุตาคหเณน โลกุตฺตรํฯ อริยา หิ รตนตฺตยํ คุณาภิญฺญตาย ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุํ กตฺวา ปสฺสนฺติฯ ตสฺมา ตปฺปสาเทน วิกฺขมฺภนวเสน วิคตกิเลโส, ตคฺครุตาย สมุเจฺฉทวเสนาติ โยเชตพฺพํ อคารวกรณเหตูนํ สมุจฺฉินฺทนโตฯ ตปฺปรายณตา ปเนตฺถ ตคฺคติกตาติ ตาย จตุพฺพิธมฺปิ วกฺขมานํ สรณคมนํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อวิเสเสน วา ปสาทครุตา โชติตาติ ปสาทคฺคหเณน อเวจฺจปฺปสาทสฺส อิตรสฺส จ คหณํ, ตถา ครุตาคหเณนาติ อุภเยนาปิ อุภยํ สรณคมนํ โยเชตพฺพํฯ

    ‘‘Sammāsambuddho bhagavā, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho’’ti evaṃ pavatto tattha ratanattaye pasādo tappasādo, tadeva ratanattayaṃ garu etassāti taggaru tabbhāvo taggarutā, tappasādo ca taggarutā ca tappasādataggarutā, tāhi tappasādataggarutāhi. Vidhūtadiṭṭhivicikicchāsammohaassaddhiyāditāya vihatakileso. Tadeva ratanattayaṃ parāyaṇaṃ parāgati tāṇaṃ leṇanti evaṃ pavattiyā tapparāyaṇatākārappavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ saraṇaṃ gacchati etenāti. Taṃsamaṅgīti tena yathāvuttacittuppādena samannāgato. Evaṃ upetīti bhajati sevati payirupāsati, evaṃ vā jānāti bujjhatīti evamattho veditabbo. Ettha ca pasāda-ggahaṇena lokiyasaraṇagamanamāha. Tañhi pasādappadhānaṃ. Garutāgahaṇena lokuttaraṃ. Ariyā hi ratanattayaṃ guṇābhiññatāya pāsāṇacchattaṃ viya garuṃ katvā passanti. Tasmā tappasādena vikkhambhanavasena vigatakileso, taggarutāya samucchedavasenāti yojetabbaṃ agāravakaraṇahetūnaṃ samucchindanato. Tapparāyaṇatā panettha taggatikatāti tāya catubbidhampi vakkhamānaṃ saraṇagamanaṃ gahitanti daṭṭhabbaṃ. Avisesena vā pasādagarutā jotitāti pasādaggahaṇena aveccappasādassa itarassa ca gahaṇaṃ, tathā garutāgahaṇenāti ubhayenāpi ubhayaṃ saraṇagamanaṃ yojetabbaṃ.

    มคฺคกฺขเณ อิชฺฌตีติ โยชนาฯ ‘‘นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา’’ติ เอเตน อตฺถโต จตุสจฺจาธิคโม เอว โลกุตฺตรสรณคมนนฺติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ หิ นิพฺพานธโมฺม สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน, มคฺคธโมฺม ภาวนาภิสมยวเสน ปฎิวิชฺฌิยมาโนเยว สรณคมนตฺถํ สาเธติฯ พุทฺธคุณา ปน สาวกโคจรภูตา ปริญฺญาภิสมยวเสน, ตถา อริยสงฺฆคุณา, เตนาห ‘‘กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌตี’’ติฯ อิชฺฌนฺตญฺจ สเหว อิชฺฌติ, น โลกิยํ วิย ปติปาฎิยา อสโมฺมหปฎิเวเธน ปฎิวิทฺธตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ เย ปน วทนฺติ ‘‘น สรณคมนํ นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา ปวตฺตติฯ มคฺคสฺส อธิคตตฺตา ปน อธิคตเมว โหติ เอกจฺจานํ เตวิชฺชาทีนํ โลกิยวิชฺชาทโย วิยา’’ติ, เตสํ โลกิยเมว สรณคมนํ สิยา, น โลกุตฺตรํ, ตญฺจ อยุตฺตํ ทุวิธสฺสาปิ อิจฺฉิตพฺพตฺตาฯ

    Maggakkhaṇe ijjhatīti yojanā. ‘‘Nibbānārammaṇaṃ hutvā’’ti etena atthato catusaccādhigamo eva lokuttarasaraṇagamananti dasseti. Tattha hi nibbānadhammo sacchikiriyābhisamayavasena, maggadhammo bhāvanābhisamayavasena paṭivijjhiyamānoyeva saraṇagamanatthaṃ sādheti. Buddhaguṇā pana sāvakagocarabhūtā pariññābhisamayavasena, tathā ariyasaṅghaguṇā, tenāha ‘‘kiccato sakalepi ratanattaye ijjhatī’’ti. Ijjhantañca saheva ijjhati, na lokiyaṃ viya patipāṭiyā asammohapaṭivedhena paṭividdhattāti adhippāyo. Ye pana vadanti ‘‘na saraṇagamanaṃ nibbānārammaṇaṃ hutvā pavattati. Maggassa adhigatattā pana adhigatameva hoti ekaccānaṃ tevijjādīnaṃ lokiyavijjādayo viyā’’ti, tesaṃ lokiyameva saraṇagamanaṃ siyā, na lokuttaraṃ, tañca ayuttaṃ duvidhassāpi icchitabbattā.

    นฺติ โลกิยํ สรณคมนํฯ สทฺธาปฎิลาโภ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา’’ติอาทินาฯ สทฺธามูลิกาติ ยถาวุตฺตสทฺธาปุพฺพงฺคมา สมฺมาทิฎฺฐิติ พุทฺธสุพุทฺธตํ, ธมฺมสุธมฺมตํ, สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติญฺจ โลกิยาวโพธวเสเนว สมฺมา ญาเยน ทสฺสนโตฯ ‘‘สทฺธามูลิกา สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ เอเตน สทฺธูปนิสฺสยา ยถาวุตฺตลกฺขณา ปญฺญา โลกิยสรณคมนนฺติ ทเสฺสติ, เตนาห ‘‘ทิฎฺฐิชุกมฺมนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ ทิฎฺฐิ เอว อตฺตโน ปจฺจเยหิ อุชุ กรียตีติ กตฺวา ทิฎฺฐิ วา อุชุ กรียติ เอเตนาติ ทิฎฺฐิชุกมฺมํ, ตถา ปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโทฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ตปฺปรายณตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท’’ติ อิทํ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ สทฺธาปุพฺพงฺคมสมฺมาทิฎฺฐิคฺคหณํ ปน จิตฺตุปฺปาทสฺส ตปฺปธานตายาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘สทฺธาปฎิลาโภ’’ติ อิมินา มาตาทีหิ อุสฺสาหิตทารกาทีนํ วิย ญาณวิปฺปยุตฺตํ สรณคมนํ ทเสฺสติ, ‘‘สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ อิมินา ญาณสมฺปยุตฺตํ สรณคมนํฯ ตยิทํ โลกิยํ สรณคมนํฯ อตฺตา สนฺนิยฺยาตียติ อปฺปียติ ปริจฺจชียติ เอเตนาติ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ, ยถาวุตฺตํ ทิฎฺฐิชุกมฺมํฯ ตํ รตนตฺตยํ ปรายณํ ปฎิสรณํ เอตสฺสาติ ตปฺปรายโณ, ปุคฺคโล, จิตฺตุปฺปาโท วาฯ ตสฺส ภาโว ตปฺปรายณตา, ยถาวุตฺตํ ทิฎฺฐิชุกมฺมเมวฯ ‘‘สรณ’’นฺติ อธิปฺปาเยน สิสฺสภาวํ อเนฺตวาสิกภาวํ อุปคจฺฉติ เอเตนาติ สิสฺสภาวูปคมนํฯ สรณคมนาธิปฺปาเยเนว ปณิปตติ เอเตนาติ ปณิปาโตฯ สพฺพตฺถ ยถาวุตฺตทิฎฺฐิชุกมฺมวเสเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tanti lokiyaṃ saraṇagamanaṃ. Saddhāpaṭilābho ‘‘sammāsambuddho bhagavā’’tiādinā. Saddhāmūlikāti yathāvuttasaddhāpubbaṅgamā sammādiṭṭhiti buddhasubuddhataṃ, dhammasudhammataṃ, saṅghasuppaṭipattiñca lokiyāvabodhavaseneva sammā ñāyena dassanato. ‘‘Saddhāmūlikā sammādiṭṭhī’’ti etena saddhūpanissayā yathāvuttalakkhaṇā paññā lokiyasaraṇagamananti dasseti, tenāha ‘‘diṭṭhijukammanti vuccatī’’ti. Diṭṭhi eva attano paccayehi uju karīyatīti katvā diṭṭhi vā uju karīyati etenāti diṭṭhijukammaṃ, tathā pavatto cittuppādo. Evañca katvā ‘‘tapparāyaṇatākārappavatto cittuppādo’’ti idaṃ vacanaṃ samatthitaṃ hoti. Saddhāpubbaṅgamasammādiṭṭhiggahaṇaṃ pana cittuppādassa tappadhānatāyāti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Saddhāpaṭilābho’’ti iminā mātādīhi ussāhitadārakādīnaṃ viya ñāṇavippayuttaṃ saraṇagamanaṃ dasseti, ‘‘sammādiṭṭhī’’ti iminā ñāṇasampayuttaṃ saraṇagamanaṃ. Tayidaṃ lokiyaṃ saraṇagamanaṃ. Attā sanniyyātīyati appīyati pariccajīyati etenāti attasanniyyātanaṃ, yathāvuttaṃ diṭṭhijukammaṃ. Taṃ ratanattayaṃ parāyaṇaṃ paṭisaraṇaṃ etassāti tapparāyaṇo, puggalo, cittuppādo vā. Tassa bhāvo tapparāyaṇatā, yathāvuttaṃ diṭṭhijukammameva. ‘‘Saraṇa’’nti adhippāyena sissabhāvaṃ antevāsikabhāvaṃ upagacchati etenāti sissabhāvūpagamanaṃ. Saraṇagamanādhippāyeneva paṇipatati etenāti paṇipāto. Sabbattha yathāvuttadiṭṭhijukammavaseneva attho veditabbo.

    อตฺตปริจฺจชนนฺติ สํสารทุกฺขนิตฺถรณตฺถํ อตฺตโน อตฺตภาวสฺส ปริจฺจชนํฯ เอเสว นโย เสเสสุปิฯ พุทฺธาทีนํ เยวาติ อวธารณํ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีสุปิ ตตฺถ ตตฺถ วตฺตพฺพํฯ เอวญฺหิ ตทญฺญนิวตฺตนํ กตํ โหติฯ

    Attapariccajananti saṃsāradukkhanittharaṇatthaṃ attano attabhāvassa pariccajanaṃ. Eseva nayo sesesupi. Buddhādīnaṃ yevāti avadhāraṇaṃ attasanniyyātanādīsupi tattha tattha vattabbaṃ. Evañhi tadaññanivattanaṃ kataṃ hoti.

    เอวํ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีนิ เอเกน ปกาเรน ทเสฺสตฺวา อิทานิ อปเรหิปิ ปกาเรหิ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ อารทฺธํ, เตน ปริยายนฺตเรหิปิ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทิ กตเมว โหติ อตฺถสฺส อภินฺนตฺตาติ ทเสฺสติฯ อาฬวกาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สาตาคิรเหมวตาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ นนุ เจเต อาฬวกาทโย มเคฺคเนว อาคตสรณคมนา, กถํ เตสํ ตปฺปรายณตาสรณคมนํ วุตฺตนฺติ? มเคฺคนาคตสรณคมเนหิปิฯ ‘‘โส อหํ วิจริสฺสามิ…เป.… สุธมฺมตํ’’ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๙๔) ‘‘เต มยํ วิจริสฺสาม , คามา คามํ นคา นคํ…เป.… สุธมฺมต’’นฺติ, (สุ. นิ. ๑๘๒) เตหิ ตปฺปรายณตาการสฺส ปเวทิตตฺตา ตถา วุตฺตํฯ

    Evaṃ attasanniyyātanādīni ekena pakārena dassetvā idāni aparehipi pakārehi dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi āraddhaṃ, tena pariyāyantarehipi attasanniyyātanādi katameva hoti atthassa abhinnattāti dasseti. Āḷavakādīnanti ādi-saddena sātāgirahemavatādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Nanu cete āḷavakādayo maggeneva āgatasaraṇagamanā, kathaṃ tesaṃ tapparāyaṇatāsaraṇagamanaṃ vuttanti? Maggenāgatasaraṇagamanehipi. ‘‘So ahaṃ vicarissāmi…pe… sudhammataṃ’’ (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 194) ‘‘te mayaṃ vicarissāma , gāmā gāmaṃ nagā nagaṃ…pe… sudhammata’’nti, (su. ni. 182) tehi tapparāyaṇatākārassa paveditattā tathā vuttaṃ.

    โส ปเนส ญาติ…เป.… วเสนาติ เอตฺถ ญาติวเสน, ภยวเสน, อาจริยวเสน, ทกฺขิเณยฺยวเสนาติ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ญาติวเสนาติ ญาติภาววเสนฯ เอวํ เสเสสุปิฯ ทกฺขิเณยฺยปณิปาเตนาติ ทกฺขิเณยฺยตาเหตุเกน ปณิปาเตนฯ อิตเรหีติ ญาติภาวาทิวสปฺปวเตฺตหิ ตีหิ ปณิปาเตหิฯ ‘‘อิตเรหี’’ติอาทินา สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วนฺทตีติ ปณิปาตสฺส ลกฺขณวจนํฯ เอวรูปนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกํ สนฺธาย วทติฯ สมฺปรายิกญฺหิ นิยฺยานิกํ วา อนุสาสนิํ ปจฺจาสิสโนฺต ทกฺขิเณยฺยปณิปาตเมว กโรตีติ อธิปฺปาโยฯ

    So panesa ñāti…pe… vasenāti ettha ñātivasena, bhayavasena, ācariyavasena, dakkhiṇeyyavasenāti paccekaṃ yojetabbaṃ. Tattha ñātivasenāti ñātibhāvavasena. Evaṃ sesesupi. Dakkhiṇeyyapaṇipātenāti dakkhiṇeyyatāhetukena paṇipātena. Itarehīti ñātibhāvādivasappavattehi tīhi paṇipātehi. ‘‘Itarehī’’tiādinā saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘tasmā’’tiādi vuttaṃ. Vandatīti paṇipātassa lakkhaṇavacanaṃ. Evarūpanti diṭṭhadhammikaṃ sandhāya vadati. Samparāyikañhi niyyānikaṃ vā anusāsaniṃ paccāsisanto dakkhiṇeyyapaṇipātameva karotīti adhippāyo.

    สรณคมนปฺปเภโทติ สรณคมนวิภาโคฯ

    Saraṇagamanappabhedoti saraṇagamanavibhāgo.

    อริยมโคฺค เอว โลกุตฺตรํ สรณคมนนฺติ ‘‘จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผล’’นฺติ วุตฺตํฯ สพฺพทุกฺขกฺขโยติ สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส อนุปฺปาทนิโรโธฯ เอตนฺติ ‘‘จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ อริยสจฺจสฺส ทสฺสนํฯ

    Ariyamaggo eva lokuttaraṃ saraṇagamananti ‘‘cattāri sāmaññaphalāni vipākaphala’’nti vuttaṃ. Sabbadukkhakkhayoti sakalassa vaṭṭadukkhassa anuppādanirodho. Etanti ‘‘cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passatī’’ti evaṃ vuttaṃ ariyasaccassa dassanaṃ.

    นิจฺจาทิโต อนุปคมนาทิวเสนาติ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ อคฺคหณาทิวเสนฯ อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนาปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ นฺติ เยน การเณนฯ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โสตาปโนฺนฯ กญฺจิ สงฺขารนฺติ จตุภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ เอกสงฺขารมฺปิฯ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘นิโจฺจ’’ติ คเณฺหยฺยฯ ‘‘สุขโต อุปคเจฺฉยฺยา’’ติฯ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’’ติ (ที. นิ. ๑.๗๖) เอวํ อตฺตทิฎฺฐิวเสน สุขโต คาหํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ ฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน ปน อริยสาวโก ปริฬาหวูปสมนตฺถํ มตฺตหตฺถิปริตฺตาสิโต วิย โจกฺขพฺราหฺมโณ อุกฺการภูมิํ กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต อุปคจฺฉติฯ อตฺตวาเร กสิณาทิปญฺญตฺติสงฺคหตฺถํ ‘‘สงฺขาร’’นฺติ อวตฺวา ‘‘กญฺจิ ธมฺม’’นฺติ วุตฺตํฯ อิเมสุปิ วาเรสุ จตุภูมกวเสเนว ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพ, เตภูมกวเสเนว วาฯ ยํ ยญฺหิ ปุถุชฺชโน คาหวเสน คณฺหาติ, ตโต ตโต อริยสาวโก คาหํ วินิเวเฐติฯ

    Niccādito anupagamanādivasenāti ‘‘nicca’’nti aggahaṇādivasena. Aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenāpi kāraṇameva paṭikkhipati. Yanti yena kāraṇena. Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā samannāgato sotāpanno. Kañci saṅkhāranti catubhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu ekasaṅkhārampi. Niccato upagaccheyyāti ‘‘nicco’’ti gaṇheyya. ‘‘Sukhato upagaccheyyā’’ti. ‘‘Ekantasukhī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’’ti (dī. ni. 1.76) evaṃ attadiṭṭhivasena sukhato gāhaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ . Diṭṭhivippayuttacittena pana ariyasāvako pariḷāhavūpasamanatthaṃ mattahatthiparittāsito viya cokkhabrāhmaṇo ukkārabhūmiṃ kañci saṅkhāraṃ sukhato upagacchati. Attavāre kasiṇādipaññattisaṅgahatthaṃ ‘‘saṅkhāra’’nti avatvā ‘‘kañci dhamma’’nti vuttaṃ. Imesupi vāresu catubhūmakavaseneva paricchedo veditabbo, tebhūmakavaseneva vā. Yaṃ yañhi puthujjano gāhavasena gaṇhāti, tato tato ariyasāvako gāhaṃ viniveṭheti.

    ‘‘มาตร’’นฺติอาทีสุ ชนิกา มาตา, ชนโก ปิตา, มนุสฺสภูโต ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํ, ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ, อริยสาวกสฺส จ ผลทสฺสนตฺถํ เอวํ วุตฺตํฯ ทุฎฺฐจิโตฺตติ วธกจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมายํ ฐิตํ สงฺฆํฯ ‘‘กเมฺมน, อุเทฺทเสน, โวหรโนฺต, อนุสฺสาวเนน, สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘) เอวํ วุเตฺตหิ ปญฺจหิ การเณหิ ภิเนฺทยฺยฯ อญฺญํ สตฺถารนฺติ อญฺญํ ติตฺถกรํ ‘‘อยํ เม สตฺถา’’ติ เอวํ คเณฺหยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมินฺติ เต พุทฺธํ สรณํ คตา ตํนิมิตฺตํ อปายํ น คมิสฺสนฺติ, เทวกายํ ปน ปริปูเรสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ

    ‘‘Mātara’’ntiādīsu janikā mātā, janako pitā, manussabhūto khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ, puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ, ariyasāvakassa ca phaladassanatthaṃ evaṃ vuttaṃ. Duṭṭhacittoti vadhakacittena paduṭṭhacitto. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya. Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāyaṃ ṭhitaṃ saṅghaṃ. ‘‘Kammena, uddesena, voharanto, anussāvanena, salākaggāhenā’’ti (pari. 458) evaṃ vuttehi pañcahi kāraṇehi bhindeyya. Aññaṃ satthāranti aññaṃ titthakaraṃ ‘‘ayaṃ me satthā’’ti evaṃ gaṇheyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho. Na te gamissanti apāyabhūminti te buddhaṃ saraṇaṃ gatā taṃnimittaṃ apāyaṃ na gamissanti, devakāyaṃ pana paripūressantīti attho.

    ทสหิ ฐาเนหีติ ทสหิ การเณหิฯ อธิคณฺหนฺตีติ อภิภวนฺติฯ เวลามสุตฺตาทิวเสนาปีติ เอตฺถ กรีสสฺส จตุตฺถภาคปฺปมาณานํ จตุราสีติสหสฺสสงฺขฺยานํ สุวณฺณปาติรูปิยปาติกํสปาตีนํ ยถากฺกมํ รูปิยสุวณฺณหิรญฺญปูรานํ, สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตานํ จตุราสีติยา หตฺถิสหสฺสานํ, จตุราสีติยา อสฺสสหสฺสานํ, จตุราสีติยา รถสหสฺสานํ, จตุราสีติยา เธนุสหสฺสานํ, จตุราสีติยา กญฺญาสหสฺสานํ, จตุราสีติยา ปลฺลงฺกสหสฺสานํ, จตุราสีติยา วตฺถโกฎิสหสฺสานํ, อปริมาณสฺส จ ขชฺชโภชฺชาทิเภทสฺส อาหารสฺส ปริจฺจชนวเสน สตฺตมาสาธิกานิ สตฺตสํวจฺฉรานิ นิรนฺตรํ ปวตฺตเวลามมหาทานโต เอกสฺส โสตาปนฺนสฺส ทินฺนทานํ มหปฺผลตรํ, ตโต สตํ โสตาปนฺนานํ ทินฺนทานโต เอกสฺส สกทาคามิโน, ตโต เอกสฺส อนาคามิโน, ตโต เอกสฺส อรหโต, ตโต เอกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส, ตโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ตโต พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทินฺนทานํ มหปฺผลตรํ, ตโต จาตุทฺทิสสงฺฆํ อุทฺทิสฺส วิหารกรณํ, ตโต สรณคมนํ มหปฺผลตรนฺติ อิมมตฺถํ ปกาเสนฺตสฺส เวลามสุตฺตสฺส (อ. นิ. ๙.๒๐) วเสนฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยํ คหปติ เวลาโม พฺราหฺมโณ ทานํ อทาสิ มหาทานํ, โย เจกํ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนํ โภเชยฺย, อิทํ ตโต มหปฺผลตร’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๙.๒๐)ฯ เวลามสุตฺตาทีติ อาทิสเทฺทน อคฺคปฺปสาทสุตฺตาทีนํ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Dasahi ṭhānehīti dasahi kāraṇehi. Adhigaṇhantīti abhibhavanti. Velāmasuttādivasenāpīti ettha karīsassa catutthabhāgappamāṇānaṃ caturāsītisahassasaṅkhyānaṃ suvaṇṇapātirūpiyapātikaṃsapātīnaṃ yathākkamaṃ rūpiyasuvaṇṇahiraññapūrānaṃ, sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitānaṃ caturāsītiyā hatthisahassānaṃ, caturāsītiyā assasahassānaṃ, caturāsītiyā rathasahassānaṃ, caturāsītiyā dhenusahassānaṃ, caturāsītiyā kaññāsahassānaṃ, caturāsītiyā pallaṅkasahassānaṃ, caturāsītiyā vatthakoṭisahassānaṃ, aparimāṇassa ca khajjabhojjādibhedassa āhārassa pariccajanavasena sattamāsādhikāni sattasaṃvaccharāni nirantaraṃ pavattavelāmamahādānato ekassa sotāpannassa dinnadānaṃ mahapphalataraṃ, tato sataṃ sotāpannānaṃ dinnadānato ekassa sakadāgāmino, tato ekassa anāgāmino, tato ekassa arahato, tato ekassa paccekabuddhassa, tato sammāsambuddhassa, tato buddhappamukhassa saṅghassa dinnadānaṃ mahapphalataraṃ, tato cātuddisasaṅghaṃ uddissa vihārakaraṇaṃ, tato saraṇagamanaṃ mahapphalataranti imamatthaṃ pakāsentassa velāmasuttassa (a. ni. 9.20) vasena. Vuttañhetaṃ ‘‘yaṃ gahapati velāmo brāhmaṇo dānaṃ adāsi mahādānaṃ, yo cekaṃ diṭṭhisampannaṃ bhojeyya, idaṃ tato mahapphalatara’’ntiādi (a. ni. 9.20). Velāmasuttādīti ādisaddena aggappasādasuttādīnaṃ (a. ni. 4.34; itivu. 90) saṅgaho daṭṭhabbo.

    อญฺญาณํ วตฺถุตฺตยสฺส คุณานํ อชานนํ, ตตฺถ สโมฺมโหฯ ‘‘พุโทฺธ นุ โข, น นุ โข’’ติอาทินา วิจิกิจฺฉา สํสโยฯ มิจฺฉาญาณํ ตสฺส คุณานํ อคุณภาวปริกปฺปเนน วิปรีตคฺคาโหฯ อาทิ-สเทฺทน อนาทราคารวาทีนํ สงฺคโหฯ น มหาชุติกนฺติ น อุชฺชลํ, อปริสุทฺธํ อปริโยทาตนฺติ อโตฺถฯ น มหาวิปฺผารนฺติ อนุฬารํฯ สาวโชฺชติ ตณฺหาทิฎฺฐาทิวเสน สโทโส, โลกิยสรณคมนํ สิกฺขาสมาทานํ วิย อคฺคหิตกาลปริเจฺฉทํ ชีวิตปริยนฺตเมว โหติ, ตสฺมา ตสฺส ขนฺธเภเทน เภโทติ อาห ‘‘อนวโชฺช กาลกิริยายา’’ติฯ โสติ อนวโชฺช สรณคมนเภโทฯ สติปิ อนวชฺชเตฺต อิฎฺฐผโลปิ น โหตีติ อาห ‘‘อผโล’’ติฯ กสฺมา? อวิปากตฺตาฯ น หิ ตํ อกุสลนฺติฯ

    Aññāṇaṃ vatthuttayassa guṇānaṃ ajānanaṃ, tattha sammoho. ‘‘Buddho nu kho, na nu kho’’tiādinā vicikicchā saṃsayo. Micchāñāṇaṃ tassa guṇānaṃ aguṇabhāvaparikappanena viparītaggāho. Ādi-saddena anādarāgāravādīnaṃ saṅgaho. Na mahājutikanti na ujjalaṃ, aparisuddhaṃ apariyodātanti attho. Na mahāvipphāranti anuḷāraṃ. Sāvajjoti taṇhādiṭṭhādivasena sadoso, lokiyasaraṇagamanaṃ sikkhāsamādānaṃ viya aggahitakālaparicchedaṃ jīvitapariyantameva hoti, tasmā tassa khandhabhedena bhedoti āha ‘‘anavajjo kālakiriyāyā’’ti. Soti anavajjo saraṇagamanabhedo. Satipi anavajjatte iṭṭhaphalopi na hotīti āha ‘‘aphalo’’ti. Kasmā? Avipākattā. Na hi taṃ akusalanti.

    โก อุปาสโกติ สรูปปุจฺฉา, กิํลกฺขโณ อุปาสโกติ วุตฺตํ โหติฯ กสฺมาติ เหตุปุจฺฉา, เตน เกน ปวตฺตินิมิเตฺตน อุปาสก-สโทฺท ตสฺมิํ ปุคฺคเล นิรูโฬฺหติ ทเสฺสติ, เตนาห ‘‘กสฺมา อุปาสโกติ วุจฺจตี’’ติฯ สทฺทสฺส อภิเธเยฺย ปวตฺตินิมิตฺตํ ตทตฺถสฺส ตพฺภาวการณํฯ กิมสฺส สีลนฺติ กีทิสํ อสฺส อุปาสกสฺส สีลํ, กิตฺตเกน สีเลนายํ สีลสมฺปโนฺน นาม โหตีติ อโตฺถฯ โก อาชีโวติ โก อสฺส สมฺมาอาชีโว, โส ปน มิจฺฉาชีวสฺส ปริวชฺชเนน โหตีติ โสปิ วิภชียติฯ กา วิปตฺตีติ กา อสฺส สีลสฺส, อาชีวสฺส วา วิปตฺติฯ อนนฺตรสฺส หิ วิธิ วา ปฎิเสโธ วาฯ สมฺปตฺตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ

    Ko upāsakoti sarūpapucchā, kiṃlakkhaṇo upāsakoti vuttaṃ hoti. Kasmāti hetupucchā, tena kena pavattinimittena upāsaka-saddo tasmiṃ puggale nirūḷhoti dasseti, tenāha ‘‘kasmā upāsakoti vuccatī’’ti. Saddassa abhidheyye pavattinimittaṃ tadatthassa tabbhāvakāraṇaṃ. Kimassa sīlanti kīdisaṃ assa upāsakassa sīlaṃ, kittakena sīlenāyaṃ sīlasampanno nāma hotīti attho. Ko ājīvoti ko assa sammāājīvo, so pana micchājīvassa parivajjanena hotīti sopi vibhajīyati. Kā vipattīti kā assa sīlassa, ājīvassa vā vipatti. Anantarassa hi vidhi vā paṭisedho vā. Sampattīti etthāpi eseva nayo.

    โย โกจีติ ขตฺติยาทีสุ โย โกจิ, เตน สรณคมนํ เอวํ การณํ, น ชาติ อาทิวิเสโสติ ทเสฺสติฯ

    Yo kocīti khattiyādīsu yo koci, tena saraṇagamanaṃ evaṃ kāraṇaṃ, na jāti ādivisesoti dasseti.

    อุปาสนโตติ เตเนว สรณคมเนน, ตตฺถ จ สกฺกจฺจกิริยาย อาทร คารวพหุมานาทิโยเคน ปยิรุปาสนโตฯ

    Upāsanatoti teneva saraṇagamanena, tattha ca sakkaccakiriyāya ādara gāravabahumānādiyogena payirupāsanato.

    เวรมณิโยติ เวรํ วุจฺจติ ปาณาติปาตาทิทุสฺสีลฺยํ, ตสฺส มณนโต หนนโต วินาสนโต เวรมณิโย, ปญฺจ วิรติโย วิรติปธานตฺตา ตสฺส สีลสฺส, เตเนวาห ‘‘ปฎิวิรโต โหตี’’ติฯ

    Veramaṇiyoti veraṃ vuccati pāṇātipātādidussīlyaṃ, tassa maṇanato hananato vināsanato veramaṇiyo, pañca viratiyo viratipadhānattā tassa sīlassa, tenevāha ‘‘paṭivirato hotī’’ti.

    มิจฺฉาวณิชฺชาติ น สมฺมาวณิชฺชา อยุตฺตวณิชฺชา อสารุปฺปวณิชฺชาฯ ปหายาติ อกรเณเนว ปชหิตฺวาฯ ธเมฺมนาติ ธมฺมโต อนเปเตน, เตน อญฺญมฺปิ อธมฺมิกํ ชีวิกํ ปฎิกฺขิปติฯ สเมนาติ อวิสเมน, เตน กายวิสํ อาทิทุจฺจริตํ วเชฺชตฺวา กายสมาทินา สุจริเตน ชีวิกํ ทเสฺสติฯ สตฺถวณิชฺชาติ อาวุธภณฺฑํ กตฺวา วา กาเรตฺวา วา ยถากตํ วา ปฎิลภิตฺวา ตสฺส วิกฺกโยฯ สตฺตวณิชฺชาติ มนุสฺสวิกฺกโยฯ มํสวณิชฺชาติ สูนการาทโย วิย มิคสูกราทิเก โปเสตฺวา มํสํ สมฺปาเทตฺวา วิกฺกโยฯ มชฺชวณิชฺชาติ ยํ กิญฺจิ มชฺชํ โยเชตฺวา ตสฺส วิกฺกโยฯ วิสวณิชฺชาติ วิสํ โยเชตฺวา วา วิสํ คเหตฺวา วา ตสฺส วิกฺกโยฯ ตตฺถ สตฺถวณิชฺชา ปโรปโรธนิมิตฺตตาย อกรณียา วุตฺตา สตฺตวณิชฺชา อภุชิสฺสภาวกรณโต, มํสวณิชฺชา วธเหตุโต, มชฺชวณิชฺชา ปมาทฎฺฐานโตฯ

    Micchāvaṇijjāti na sammāvaṇijjā ayuttavaṇijjā asāruppavaṇijjā. Pahāyāti akaraṇeneva pajahitvā. Dhammenāti dhammato anapetena, tena aññampi adhammikaṃ jīvikaṃ paṭikkhipati. Samenāti avisamena, tena kāyavisaṃ ādiduccaritaṃ vajjetvā kāyasamādinā sucaritena jīvikaṃ dasseti. Satthavaṇijjāti āvudhabhaṇḍaṃ katvā vā kāretvā vā yathākataṃ vā paṭilabhitvā tassa vikkayo. Sattavaṇijjāti manussavikkayo. Maṃsavaṇijjāti sūnakārādayo viya migasūkarādike posetvā maṃsaṃ sampādetvā vikkayo. Majjavaṇijjāti yaṃ kiñci majjaṃ yojetvā tassa vikkayo. Visavaṇijjāti visaṃ yojetvā vā visaṃ gahetvā vā tassa vikkayo. Tattha satthavaṇijjā paroparodhanimittatāya akaraṇīyā vuttā sattavaṇijjā abhujissabhāvakaraṇato, maṃsavaṇijjā vadhahetuto, majjavaṇijjā pamādaṭṭhānato.

    ตเสฺสวาติ ปญฺจเวรมณิลกฺขณสฺส สีลสฺส เจว ปญฺจมิจฺฉาวณิชฺชาลกฺขณสฺส อาชีวสฺส จฯ วิปตฺตีติ เภโท, ปโกโป จฯ ยายาติ ยาย ปฎิปตฺติยาฯ จณฺฑาโลติ อุปาสกจณฺฑาโลฯ มลนฺติ อุปาสกมลํฯ ปฎิกิโฎฺฐติ อุปาสกนิหีโนฯ พุทฺธาทีสุ กมฺมกมฺมผเลสุ จ สทฺธาวิปริยาโย อสฺสทฺธิยํ มิจฺฉาธิโมโกฺข, ยถาวุเตฺตน อสฺสทฺธิเยน สมนฺนาคโต อสฺสโทฺธฯ ยถาวุตฺตสีลวิปตฺติอาชีววิปตฺติวเสน ทุสฺสีโลฯ ‘‘อิมินา ทิฎฺฐาทินา อิทํ นาม มงฺคลํ โหตี’’ติ เอวํ พาลชนปริกปฺปิตโกตูหลสงฺขาเตน ทิฎฺฐสุตมุตมงฺคเลน สมนฺนาคโต โกตูหลมงฺคลิโกฯ มงฺคลํ ปเจฺจตีติ ทิฎฺฐมงฺคลาทิเภทํ มงฺคลเมว ปตฺติยายติฯ โน กมฺมนฺติ กมฺมสฺสกตํ โน ปตฺติยายติฯ อิโต จ พหิทฺธาติ อิโต สพฺพญฺญุพุทฺธสาสนโต พหิทฺธา พาหิรกสมเยฯ ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยสตีติ ทุปฺปฎิปนฺนํ ทกฺขิณารหสญฺญี คเวสติฯ ปุพฺพการํ กโรตีติ ทานมานํ อาทิกํ กุสลกิริยํ ปฐมตรํ กโรติฯ เอตฺถ จ ทกฺขิเณยฺยปริเยสนปุพฺพกาเร เอกํ กตฺวา ปญฺจ ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ

    Tassevāti pañcaveramaṇilakkhaṇassa sīlassa ceva pañcamicchāvaṇijjālakkhaṇassa ājīvassa ca. Vipattīti bhedo, pakopo ca. Yāyāti yāya paṭipattiyā. Caṇḍāloti upāsakacaṇḍālo. Malanti upāsakamalaṃ. Paṭikiṭṭhoti upāsakanihīno. Buddhādīsu kammakammaphalesu ca saddhāvipariyāyo assaddhiyaṃ micchādhimokkho, yathāvuttena assaddhiyena samannāgato assaddho. Yathāvuttasīlavipattiājīvavipattivasena dussīlo. ‘‘Iminā diṭṭhādinā idaṃ nāma maṅgalaṃ hotī’’ti evaṃ bālajanaparikappitakotūhalasaṅkhātena diṭṭhasutamutamaṅgalena samannāgato kotūhalamaṅgaliko. Maṅgalaṃ paccetīti diṭṭhamaṅgalādibhedaṃ maṅgalameva pattiyāyati. No kammanti kammassakataṃ no pattiyāyati. Ito ca bahiddhāti ito sabbaññubuddhasāsanato bahiddhā bāhirakasamaye. Dakkhiṇeyyaṃ pariyesatīti duppaṭipannaṃ dakkhiṇārahasaññī gavesati. Pubbakāraṃ karotīti dānamānaṃ ādikaṃ kusalakiriyaṃ paṭhamataraṃ karoti. Ettha ca dakkhiṇeyyapariyesanapubbakāre ekaṃ katvā pañca dhammā veditabbā.

    วิปตฺติยํ วุตฺตวิปริยาเยน สมฺปตฺติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน วิเสโส – จตุนฺนมฺปิ ปริสานํ รติชนนเฎฺฐน อุปาสโกว รตนํ อุปาสกรตนํฯ คุณโสภากิตฺติสทฺทสุคนฺธตาย อุปาสโกว ปทุมํ อุปาสกปทุมํฯ ตถา อุปาสกปุณฺฑรีกํฯ

    Vipattiyaṃ vuttavipariyāyena sampatti veditabbā. Ayaṃ pana viseso – catunnampi parisānaṃ ratijananaṭṭhena upāsakova ratanaṃ upāsakaratanaṃ. Guṇasobhākittisaddasugandhatāya upāsakova padumaṃ upāsakapadumaṃ. Tathā upāsakapuṇḍarīkaṃ.

    อาทิมฺหีติอาทิอเตฺถฯ โกฎิยนฺติ ปริยนฺตโกฎิยํฯ วิหารเคฺคนาติ โอวรกโกฎฺฐาเสน, ‘‘อิมสฺมิํ คเพฺภ วสนฺตานมิทํ นาม ปนสผลํ ปาปุณาตี’’ติอาทินา ตํ ตํวสนฎฺฐานโกฎฺฐาเสนาติ อโตฺถฯ อชฺชตคฺคนฺติ วา อชฺชทคฺคนฺติ วา อชฺช อิเจฺจว อโตฺถฯ

    Ādimhītiādiatthe. Koṭiyanti pariyantakoṭiyaṃ. Vihāraggenāti ovarakakoṭṭhāsena, ‘‘imasmiṃ gabbhe vasantānamidaṃ nāma panasaphalaṃ pāpuṇātī’’tiādinā taṃ taṃvasanaṭṭhānakoṭṭhāsenāti attho. Ajjatagganti vā ajjadagganti vā ajja icceva attho.

    ‘‘ปาเณหิ อุเปต’’นฺติ อิมินา ตสฺส สรณคมนสฺส อาปาณโกฎิกตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตตี’’ติอาทีนิ วตฺวา ปุน ชีวิเตนาปิ ตํ วตฺถุตฺตยํ ปฎิปูเชโนฺต ‘‘สรณคมนํ รกฺขามี’’ติ อุปฺปนฺนํ ตสฺส รโญฺญ อธิปฺปายํ วิภาเวโนฺต ‘‘อหญฺหี’’ติอาทิมาหฯ ปาเณหิ อุเปตนฺติ หิ ยาว เม ปาณา ธรนฺติ, ตาว สรณํ อุเปตํ, อุเปโนฺต จ น วาจามเตฺตน, น เอกวารํ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน, อถ โข ปาณานํ ปริจฺจชนวเสน ยาวชีวํ อุเปตนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    ‘‘Pāṇehi upeta’’nti iminā tassa saraṇagamanassa āpāṇakoṭikataṃ dassento ‘‘yāva me jīvitaṃ pavattatī’’tiādīni vatvā puna jīvitenāpi taṃ vatthuttayaṃ paṭipūjento ‘‘saraṇagamanaṃ rakkhāmī’’ti uppannaṃ tassa rañño adhippāyaṃ vibhāvento ‘‘ahañhī’’tiādimāha. Pāṇehi upetanti hi yāva me pāṇā dharanti, tāva saraṇaṃ upetaṃ, upento ca na vācāmattena, na ekavāraṃ cittuppādamattena, atha kho pāṇānaṃ pariccajanavasena yāvajīvaṃ upetanti evamettha attho veditabbo.

    อจฺจยนํ สาธุมริยาทํ มทฺทิตฺวา วีติกฺกมนํ อจฺจโยติ อาห ‘‘อปราโธ’’ติฯ อเจฺจติ อติกฺกมติ เอเตนาติ วา อจฺจโย, วีติกฺกมสฺส ปวตฺตนโก อกุสลธโมฺมฯ โส เอว อปรชฺฌติ เอเตนาติ อปราโธฯ โส หิ อปรชฺฌนฺตํ ปุริสํ อภิภวิตฺวา ปวตฺตติ, เตนาห ‘‘อติกฺกมฺม อภิภวิตฺวา ปวโตฺต’’ติฯ จรตีติ อาจรติ กโรติฯ ธเมฺมเนวาติ ธมฺมโต อนเปเตน ปโยเคนฯ ปฎิคฺคณฺหาตูติ อธิวาสนวเสน สมฺปฎิจฺฉตูติ อโตฺถติ อาห ‘‘ขมตู’’ติฯ

    Accayanaṃ sādhumariyādaṃ madditvā vītikkamanaṃ accayoti āha ‘‘aparādho’’ti. Acceti atikkamati etenāti vā accayo, vītikkamassa pavattanako akusaladhammo. So eva aparajjhati etenāti aparādho. So hi aparajjhantaṃ purisaṃ abhibhavitvā pavattati, tenāha ‘‘atikkamma abhibhavitvā pavatto’’ti. Caratīti ācarati karoti. Dhammenevāti dhammato anapetena payogena. Paṭiggaṇhātūti adhivāsanavasena sampaṭicchatūti atthoti āha ‘‘khamatū’’ti.

    ๒๕๑. สเทวเกน โลเกน ‘‘สรณ’’นฺติ อรณียโต อริโย, ตถาคโตติ อาห ‘‘อริยสฺส วินเย พุทฺธสฺส ภควโต สาสเน’’ติฯ ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กโรโนฺตติ กามํ ‘‘วุทฺธิ เหสา’’ติ ธมฺมาธิฎฺฐานวเสน วากฺยํ อารทฺธํ, ตถาปิ เทสนํ ปน ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กโรโนฺต สํวรํ อาปชฺชตีติ อาหาติ โยชนาฯ

    251. Sadevakena lokena ‘‘saraṇa’’nti araṇīyato ariyo, tathāgatoti āha ‘‘ariyassa vinaye buddhassa bhagavato sāsane’’ti. Puggalādhiṭṭhānaṃ karontoti kāmaṃ ‘‘vuddhi hesā’’ti dhammādhiṭṭhānavasena vākyaṃ āraddhaṃ, tathāpi desanaṃ pana puggalādhiṭṭhānaṃ karonto saṃvaraṃ āpajjatīti āhāti yojanā.

    ๒๕๓. อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว นิปฺปชฺชนกานํ อตฺตโน กุสลมูลานํ ขณเนน ขโต, เตสํเยว อุปหนเนน อุปหโตฯ อุภเยนาปิ ตสฺส กมฺมาปราธเมว วทติฯ ปติฎฺฐาติ สมฺมตฺตนิยาโมกฺกมนํ เอตายาติ ปติฎฺฐา, ตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปทาฯ สา กิริยาปราเธน ภินฺนา วินาสิตา เอเตนาติ ภินฺนปติโฎฺฐ, เตนาห ‘‘ตถา’’ติอาทิฯ ธเมฺมสุ จกฺขุนฺติ จตุสจฺจธเมฺมสุ เตสํ ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุฯ อเญฺญสุ ฐาเนสูติ อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุฯ มุจฺจิสฺสตีติ สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานิ ปจฺจิตฺวา โลหกุมฺภี นรกโต มุจฺจิสฺสติฯ

    253. Imasmiṃyeva attabhāve nippajjanakānaṃ attano kusalamūlānaṃ khaṇanena khato, tesaṃyeva upahananena upahato. Ubhayenāpi tassa kammāparādhameva vadati. Patiṭṭhāti sammattaniyāmokkamanaṃ etāyāti patiṭṭhā, tassa upanissayasampadā. Sā kiriyāparādhena bhinnā vināsitā etenāti bhinnapatiṭṭho, tenāha ‘‘tathā’’tiādi. Dhammesu cakkhunti catusaccadhammesu tesaṃ dassanaṭṭhena cakkhu. Aññesu ṭhānesūti aññesu suttapadesu. Muccissatīti saṭṭhi vassasahassāni paccitvā lohakumbhī narakato muccissati.

    ยทิ อนนฺตเร อตฺตภาเว นรเก ปจฺจติ, อิมํ ปน สุตฺตํ สุตฺวา รโญฺญ โก อานิสํโส ลโทฺธติ อาห ‘‘มหานิสํโส’’ติอาทิฯ โส ปน อานิสํโส นิทฺทาลาภสีเสน วุโตฺต ตทา กายิกเจตสิกทุกฺขาปคโม, ติณฺณํ รตนานํ มหาสกฺการกิริยา, สาติสโย โปถุชฺชนิกสทฺธาปฎิลาโภติ เอวํปกาโร ทิฎฺฐธมฺมิโก, สมฺปรายิโก ปน อปราปเรสุปิ ภเวสุ อปริมาโณ เยวาติ เวทิตโพฺพฯ

    Yadi anantare attabhāve narake paccati, imaṃ pana suttaṃ sutvā rañño ko ānisaṃso laddhoti āha ‘‘mahānisaṃso’’tiādi. So pana ānisaṃso niddālābhasīsena vutto tadā kāyikacetasikadukkhāpagamo, tiṇṇaṃ ratanānaṃ mahāsakkārakiriyā, sātisayo pothujjanikasaddhāpaṭilābhoti evaṃpakāro diṭṭhadhammiko, samparāyiko pana aparāparesupi bhavesu aparimāṇo yevāti veditabbo.

    เอตฺถาห – ยทิ รโญฺญ กมฺมนฺตรายาภาเว ตสฺมิํเยว อาสเน ธมฺมจกฺขุ อุปฺปชฺชิสฺสติ, กถํ อนาคเต ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสติฯ อถ ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสติ, กถํ ตทา ธมฺมจกฺขุํ อุปฺปชฺชิสฺสติ, นนุ อิเม สาวกโพธิปเจฺจกโพธิอุปนิสฺสยา ภินฺนนิสฺสยาติ? นายํ วิโรโธ อิโต ปรโต เอวสฺส ปเจฺจกโพธิสมฺภารานํ สมฺภรณียโตฯ สาวกโพธิยา พุชฺฌนกสตฺตาปิ หิ อสติ ตสฺสา สมวาเย กาลนฺตเร ปเจฺจกโพธิยา พุชฺฌิสฺสนฺติ กตาภินีหารสมฺภวโตฯ อปเร ปน ภณนฺติ ‘‘ปเจฺจกโพธิยา เยวายํ กตาภินีหาโรฯ กตาภินีหาราปิ หิ ตตฺถ นิยติํ อปฺปตฺตา ตสฺส ญาณสฺส ปริปากํ อนุปคตตฺตา สตฺถุ สมฺมุขีภาเว สาวกโพธิํ ปาปุณิสฺสนฺตีติ ภควา ‘สจายํ ภิกฺขเว ราชา’ติอาทิมาหฯ มหาโพธิสตฺตานเมว จ อานนฺตริยปริมุตฺติ, น อิตรโพธิสตฺตานํฯ ตถา หิ ปเจฺจกโพธิยํ นิยโต สมาโน เทวทโตฺต จิรกาลสมฺภูเตน โลกนาเถ อาฆาเตน ครุตรานิ อานนฺตริยานิ ปสวิ, ตสฺมา กมฺมนฺตราเยนายํ อิทานิ อสมเวตทสฺสนาภิสมโย ราชา ปเจฺจกโพธินิยาเมน อนาคเต ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสตี’’ติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Etthāha – yadi rañño kammantarāyābhāve tasmiṃyeva āsane dhammacakkhu uppajjissati, kathaṃ anāgate paccekabuddho hutvā parinibbāyissati. Atha paccekabuddho hutvā parinibbāyissati, kathaṃ tadā dhammacakkhuṃ uppajjissati, nanu ime sāvakabodhipaccekabodhiupanissayā bhinnanissayāti? Nāyaṃ virodho ito parato evassa paccekabodhisambhārānaṃ sambharaṇīyato. Sāvakabodhiyā bujjhanakasattāpi hi asati tassā samavāye kālantare paccekabodhiyā bujjhissanti katābhinīhārasambhavato. Apare pana bhaṇanti ‘‘paccekabodhiyā yevāyaṃ katābhinīhāro. Katābhinīhārāpi hi tattha niyatiṃ appattā tassa ñāṇassa paripākaṃ anupagatattā satthu sammukhībhāve sāvakabodhiṃ pāpuṇissantīti bhagavā ‘sacāyaṃ bhikkhave rājā’tiādimāha. Mahābodhisattānameva ca ānantariyaparimutti, na itarabodhisattānaṃ. Tathā hi paccekabodhiyaṃ niyato samāno devadatto cirakālasambhūtena lokanāthe āghātena garutarāni ānantariyāni pasavi, tasmā kammantarāyenāyaṃ idāni asamavetadassanābhisamayo rājā paccekabodhiniyāmena anāgate paccekabuddho hutvā parinibbāyissatī’’ti daṭṭhabbaṃ.

    สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ

    Sāmaññaphalasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๒. สามญฺญผลสุตฺตํ • 2. Sāmaññaphalasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๒. สามญฺญผลสุตฺตวณฺณนา • 2. Sāmaññaphalasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact