Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๗. สมยสุตฺตวณฺณนา
7. Samayasuttavaṇṇanā
๓๗. สตฺตเม สเกฺกสูติ ‘‘สกฺยา วต, โภ กุมารา’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๖๗) อุทานํ ปฎิจฺจ สกฺกาติ ลทฺธนามานํ ราชกุมารานํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รูฬฺหีสเทฺทน สกฺกาติ วุจฺจติ ฯ ตสฺมิํ สเกฺกสุ ชนปเทฯ มหาวเนติ สยํชาเต อโรปิเม หิมวเนฺตน สทฺธิํ เอกาพเทฺธ มหติ วเนฯ สเพฺพเหว อรหเนฺตหีติ อิมํ สุตฺตํ กถิตทิวเสเยว ปตฺตอรหเนฺตหิฯ
37. Sattame sakkesūti ‘‘sakyā vata, bho kumārā’’ti (dī. ni. 1.267) udānaṃ paṭicca sakkāti laddhanāmānaṃ rājakumārānaṃ nivāso ekopi janapado rūḷhīsaddena sakkāti vuccati . Tasmiṃ sakkesu janapade. Mahāvaneti sayaṃjāte aropime himavantena saddhiṃ ekābaddhe mahati vane. Sabbeheva arahantehīti imaṃ suttaṃ kathitadivaseyeva pattaarahantehi.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – สากิยโกลิยา หิ กิร กปิลวตฺถุนครสฺส จ โกลิยนครสฺส จ อนฺตเร โรหิณิํ นาม นทิํ เอเกเนว อาวรเณน พนฺธาเปตฺวา สสฺสานิ กาเรนฺติฯ อถ เชฎฺฐมูลมาเส สเสฺสสุ มิลายเนฺตสุ อุภยนครวาสีนมฺปิ กมฺมการา สนฺนิปติํสุฯ ตตฺถ โกลิยนครวาสิโน อาหํสุ – ‘‘อิทํ อุทกํ อุภยโต อาหริยมานํ น ตุมฺหากํ, น อมฺหากํ ปโหสฺสติ , อมฺหากํ ปน สสฺสํ เอเกน อุทเกเนว นิปฺผชฺชิสฺสติ, อิทํ อุทกํ อมฺหากํ เทถา’’ติฯ กปิลวตฺถุวาสิโน อาหํสุ – ‘‘ตุเมฺหสุ โกเฎฺฐ ปูเรตฺวา ฐิเตสุ มยํ รตฺตสุวณฺณนีลมณิกาฬกหาปเณ จ คเหตฺวา ปจฺฉิปสิพฺพกาทิหตฺถา น สกฺขิสฺสาม ตุมฺหากํ ฆรทฺวาเร วิจริตุํ, อมฺหากมฺปิ สสฺสํ เอเกเนว อุทเกน นิปฺผชฺชิสฺสติ, อิทํ อุทกํ อมฺหากํ เทถา’’ติฯ ‘‘น มยํ ทสฺสามา’’ติฯ ‘‘มยมฺปิ น ทสฺสามา’’ติฯ เอวํ กถํ วเฑฺฒตฺวา เอโก อุฎฺฐาย เอกสฺส ปหารํ อทาสิ, โสปิ อญฺญสฺสาติ เอวํ อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา ราชกุลานํ ชาติํ ฆเฎฺฎตฺวา กลหํ วฑฺฒยิํสุฯ
Tatrāyaṃ anupubbikathā – sākiyakoliyā hi kira kapilavatthunagarassa ca koliyanagarassa ca antare rohiṇiṃ nāma nadiṃ ekeneva āvaraṇena bandhāpetvā sassāni kārenti. Atha jeṭṭhamūlamāse sassesu milāyantesu ubhayanagaravāsīnampi kammakārā sannipatiṃsu. Tattha koliyanagaravāsino āhaṃsu – ‘‘idaṃ udakaṃ ubhayato āhariyamānaṃ na tumhākaṃ, na amhākaṃ pahossati , amhākaṃ pana sassaṃ ekena udakeneva nipphajjissati, idaṃ udakaṃ amhākaṃ dethā’’ti. Kapilavatthuvāsino āhaṃsu – ‘‘tumhesu koṭṭhe pūretvā ṭhitesu mayaṃ rattasuvaṇṇanīlamaṇikāḷakahāpaṇe ca gahetvā pacchipasibbakādihatthā na sakkhissāma tumhākaṃ gharadvāre vicarituṃ, amhākampi sassaṃ ekeneva udakena nipphajjissati, idaṃ udakaṃ amhākaṃ dethā’’ti. ‘‘Na mayaṃ dassāmā’’ti. ‘‘Mayampi na dassāmā’’ti. Evaṃ kathaṃ vaḍḍhetvā eko uṭṭhāya ekassa pahāraṃ adāsi, sopi aññassāti evaṃ aññamaññaṃ paharitvā rājakulānaṃ jātiṃ ghaṭṭetvā kalahaṃ vaḍḍhayiṃsu.
โกลิยกมฺมการา วทนฺติ – ‘‘ตุเมฺห กปิลวตฺถุวาสิเก คเหตฺวา คชฺชถ, เย โสณสิงฺคาลาทโย วิย อตฺตโน ภคินีหิ สทฺธิํ สํวสิํสุ, เอเตสํ หตฺถิโน จ อสฺสา จ ผลกาวุธานิ จ อมฺหากํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? สากิยกมฺมการา วทนฺติ – ‘‘ตุเมฺห ทานิ กุฎฺฐิโน ทารเก คเหตฺวา คชฺชถ, เย อนาถา นิคฺคติกา ติรจฺฉานา วิย โกลรุเกฺข วสิํสุ, เอเตสํ หตฺถิโน จ อสฺสา จ ผลกาวุธานิ จ อมฺหากํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? เต คนฺตฺวา ตสฺมิํ กเมฺม นิยุตฺตอมจฺจานํ กเถสุํ, อมจฺจา ราชกุลานํ กเถสุํฯ ตโต สากิยา – ‘‘ภคินีหิ สทฺธิํ สํวสิตกานํ ถามญฺจ พลญฺจ ทเสฺสสฺสามา’’ติ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิํสุฯ โกลิยาปิ – ‘‘โกลรุกฺขวาสีนํ ถามญฺจ พลญฺจ ทเสฺสสฺสามา’’ติ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิํสุฯ
Koliyakammakārā vadanti – ‘‘tumhe kapilavatthuvāsike gahetvā gajjatha, ye soṇasiṅgālādayo viya attano bhaginīhi saddhiṃ saṃvasiṃsu, etesaṃ hatthino ca assā ca phalakāvudhāni ca amhākaṃ kiṃ karissantī’’ti? Sākiyakammakārā vadanti – ‘‘tumhe dāni kuṭṭhino dārake gahetvā gajjatha, ye anāthā niggatikā tiracchānā viya kolarukkhe vasiṃsu, etesaṃ hatthino ca assā ca phalakāvudhāni ca amhākaṃ kiṃ karissantī’’ti? Te gantvā tasmiṃ kamme niyuttaamaccānaṃ kathesuṃ, amaccā rājakulānaṃ kathesuṃ. Tato sākiyā – ‘‘bhaginīhi saddhiṃ saṃvasitakānaṃ thāmañca balañca dassessāmā’’ti yuddhasajjā nikkhamiṃsu. Koliyāpi – ‘‘kolarukkhavāsīnaṃ thāmañca balañca dassessāmā’’ti yuddhasajjā nikkhamiṃsu.
ภควาปิ รตฺติยา ปจฺจูสสมเยว มหากรุณาสมาปตฺติโต อุฎฺฐาย โลกํ โวโลเกโนฺต อิเม เอวํ ยุทฺธสเชฺช นิกฺขมเนฺต อทฺทสฯ ทิสฺวา – ‘‘มยิ คเต อยํ กลโห วูปสมฺมิสฺสติ นุ โข อุทาหุ โน’’ติ อุปธาเรโนฺต – ‘‘อหเมตฺถ คนฺตฺวา กลหวูปสมนตฺถํ ตีณิ ชาตกานิ กเถสฺสามิ, ตโต กลโห วูปสมฺมิสฺสติฯ อถ สามคฺคิทีปนตฺถาย เทฺว ชาตกานิ กเถตฺวา อตฺตทณฺฑสุตฺตํ เทเสสฺสามิฯ เทสนํ สุตฺวา อุภยนครวาสิโนปิ อฑฺฒติยานิ อฑฺฒติยานิ กุมารสตานิ ทสฺสนฺติ, อหํ เต ปพฺพาเชสฺสามิ, ตทา มหาสมาคโม ภวิสฺสตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ อกาสิฯ ตสฺมา อิเมสุ ยุทฺธสเชฺชสุ นิกฺขมเนฺตสุ กสฺสจิ อนาโรเจตฺวา สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย คนฺตฺวา ทฺวินฺนํ เสนานํ อนฺตเร อากาเส ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย วิสฺสเชฺชตฺวา นิสีทิฯ
Bhagavāpi rattiyā paccūsasamayeva mahākaruṇāsamāpattito uṭṭhāya lokaṃ volokento ime evaṃ yuddhasajje nikkhamante addasa. Disvā – ‘‘mayi gate ayaṃ kalaho vūpasammissati nu kho udāhu no’’ti upadhārento – ‘‘ahamettha gantvā kalahavūpasamanatthaṃ tīṇi jātakāni kathessāmi, tato kalaho vūpasammissati. Atha sāmaggidīpanatthāya dve jātakāni kathetvā attadaṇḍasuttaṃ desessāmi. Desanaṃ sutvā ubhayanagaravāsinopi aḍḍhatiyāni aḍḍhatiyāni kumārasatāni dassanti, ahaṃ te pabbājessāmi, tadā mahāsamāgamo bhavissatī’’ti sanniṭṭhānaṃ akāsi. Tasmā imesu yuddhasajjesu nikkhamantesu kassaci anārocetvā sayameva pattacīvaramādāya gantvā dvinnaṃ senānaṃ antare ākāse pallaṅkaṃ ābhujitvā chabbaṇṇarasmiyo vissajjetvā nisīdi.
กปิลวตฺถุวาสิโน ภควนฺตํ ทิสฺวาว, ‘‘อมฺหากํ ญาติเสโฎฺฐ สตฺถา อาคโตฯ ทิโฎฺฐ นุ โข เตน อมฺหากํ กลหกรณภาโว’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘น โข ปน สกฺกา ภควติ อาคเต อเมฺหหิ ปรสฺส สรีเร สตฺถํ ปาเตตุํฯ โกลิยนครวาสิโน อเมฺห หนนฺตุ วา พชฺฌนฺตุ วา’’ติฯ อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา, ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, นิสีทิํสุฯ โกลิยนครวาสิโนปิ ตเถว จิเนฺตตฺวา อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา, ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, นิสีทิํสุฯ
Kapilavatthuvāsino bhagavantaṃ disvāva, ‘‘amhākaṃ ñātiseṭṭho satthā āgato. Diṭṭho nu kho tena amhākaṃ kalahakaraṇabhāvo’’ti cintetvā, ‘‘na kho pana sakkā bhagavati āgate amhehi parassa sarīre satthaṃ pātetuṃ. Koliyanagaravāsino amhe hanantu vā bajjhantu vā’’ti. Āvudhāni chaḍḍetvā, bhagavantaṃ vanditvā, nisīdiṃsu. Koliyanagaravāsinopi tatheva cintetvā āvudhāni chaḍḍetvā, bhagavantaṃ vanditvā, nisīdiṃsu.
ภควา ชานโนฺตว, ‘‘กสฺมา อาคตตฺถ, มหาราชา’’ติ ปุจฺฉิ? ‘‘น, ภควา, ติตฺถกีฬาย น ปพฺพตกีฬาย, น นทีกีฬาย, น คิริทสฺสนตฺถํ, อิมสฺมิํ ปน ฐาเน สงฺคามํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อาคตมฺหา’’ติฯ ‘‘กิํ นิสฺสาย โว กลโห, มหาราชาติ? อุทกํ, ภเนฺตติฯ อุทกํ กิํ อคฺฆติ, มหาราชาติ? อปฺปํ, ภเนฺตติฯ ปถวี นาม กิํ อคฺฆติ, มหาราชาติ? อนคฺฆา, ภเนฺตติฯ ขตฺติยา กิํ อคฺฆนฺตีติ? ขตฺติยา นาม อนคฺฆา, ภเนฺตติฯ อปฺปมูลํ อุทกํ นิสฺสาย กิมตฺถํ อนเคฺฆ ขตฺติเย นาเสถ, มหาราช, กลเห อสฺสาโท นาม นตฺถิ, กลหวเสน, มหาราช, อฎฺฐาเน เวรํ กตฺวา เอกาย รุกฺขเทวตาย กาฬสีเหน สทฺธิํ พทฺธาฆาโต สกลมฺปิ อิมํ กปฺปํ อนุปฺปโตฺตเยวาติ วตฺวา ผนฺทนชาตกํ (ชา. ๑.๑๓.๑๔ อาทโย) กเถสิ’’ฯ ตโต ‘‘ปรปตฺติเยน นาม, มหาราช, น ภวิตพฺพํฯ ปรปตฺติยา หุตฺวา หิ เอกสฺส สสกสฺส กถาย ติโยชนสหสฺสวิตฺถเต หิมวเนฺต จตุปฺปทคณา มหาสมุทฺทํ ปกฺขนฺทิโน อเหสุํฯ ตสฺมา ปรปตฺติเยน น ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา, ปถวีอุนฺทฺริยชาตกํ กเถสิฯ ตโต ‘‘กทาจิ, มหาราช, ทุพฺพโลปิ มหาพลสฺส รนฺธํ วิวรํ ปสฺสติ, กทาจิ มหาพโล ทุพฺพลสฺสฯ ลฎุกิกาปิ หิ สกุณิกา หตฺถินาคํ ฆาเตสี’’ติ ลฎุกิกชาตกํ (ชา. ๑.๕.๓๙ อาทโย) กเถสิฯ เอวํ กลหวูปสมนตฺถาย ตีณิ ชาตกานิ กเถตฺวา สามคฺคิปริทีปนตฺถาย เทฺว ชาตกานิ กเถสิฯ กถํ? ‘‘สมคฺคานญฺหิ, มหาราช, โกจิ โอตารํ นาม ปสฺสิตุํ น สโกฺกตีติ วตฺวา, รุกฺขธมฺมชาตกํ (ชา. ๑.๑.๗๔) กเถสิ ฯ ตโต ‘‘สมคฺคานํ, มหาราช, โกจิ วิวรํ ทสฺสิตุํ น สกฺขิฯ ยทา ปน อญฺญมญฺญํ วิวาทมกํสุ, อถ เต เนสาทปุโตฺต ชีวิตา โวโรเปตฺวา อาทาย คโตติ วิวาเท อสฺสาโท นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา, วฎฺฎกชาตกํ (ชา. ๑.๑.๑๑๘) กเถสิฯ เอวํ อิมานิ ปญฺจ ชาตกานิ กเถตฺวา อวสาเน อตฺตทณฺฑสุตฺตํ (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย) กเถสิฯ
Bhagavā jānantova, ‘‘kasmā āgatattha, mahārājā’’ti pucchi? ‘‘Na, bhagavā, titthakīḷāya na pabbatakīḷāya, na nadīkīḷāya, na giridassanatthaṃ, imasmiṃ pana ṭhāne saṅgāmaṃ paccupaṭṭhapetvā āgatamhā’’ti. ‘‘Kiṃ nissāya vo kalaho, mahārājāti? Udakaṃ, bhanteti. Udakaṃ kiṃ agghati, mahārājāti? Appaṃ, bhanteti. Pathavī nāma kiṃ agghati, mahārājāti? Anagghā, bhanteti. Khattiyā kiṃ agghantīti? Khattiyā nāma anagghā, bhanteti. Appamūlaṃ udakaṃ nissāya kimatthaṃ anagghe khattiye nāsetha, mahārāja, kalahe assādo nāma natthi, kalahavasena, mahārāja, aṭṭhāne veraṃ katvā ekāya rukkhadevatāya kāḷasīhena saddhiṃ baddhāghāto sakalampi imaṃ kappaṃ anuppattoyevāti vatvā phandanajātakaṃ (jā. 1.13.14 ādayo) kathesi’’. Tato ‘‘parapattiyena nāma, mahārāja, na bhavitabbaṃ. Parapattiyā hutvā hi ekassa sasakassa kathāya tiyojanasahassavitthate himavante catuppadagaṇā mahāsamuddaṃ pakkhandino ahesuṃ. Tasmā parapattiyena na bhavitabba’’nti vatvā, pathavīundriyajātakaṃ kathesi. Tato ‘‘kadāci, mahārāja, dubbalopi mahābalassa randhaṃ vivaraṃ passati, kadāci mahābalo dubbalassa. Laṭukikāpi hi sakuṇikā hatthināgaṃ ghātesī’’ti laṭukikajātakaṃ (jā. 1.5.39 ādayo) kathesi. Evaṃ kalahavūpasamanatthāya tīṇi jātakāni kathetvā sāmaggiparidīpanatthāya dve jātakāni kathesi. Kathaṃ? ‘‘Samaggānañhi, mahārāja, koci otāraṃ nāma passituṃ na sakkotīti vatvā, rukkhadhammajātakaṃ (jā. 1.1.74) kathesi . Tato ‘‘samaggānaṃ, mahārāja, koci vivaraṃ dassituṃ na sakkhi. Yadā pana aññamaññaṃ vivādamakaṃsu, atha te nesādaputto jīvitā voropetvā ādāya gatoti vivāde assādo nāma natthī’’ti vatvā, vaṭṭakajātakaṃ (jā. 1.1.118) kathesi. Evaṃ imāni pañca jātakāni kathetvā avasāne attadaṇḍasuttaṃ (su. ni. 941 ādayo) kathesi.
ราชาโน ปสนฺนา – ‘‘สเจ สตฺถา นาคมิสฺส, มยํ สหตฺถา อญฺญมญฺญํ วธิตฺวา โลหิตนทิํ ปวตฺตยิสฺสามฯ อมฺหากํ ปุตฺตภาตโร จ เคหทฺวาเร น ปเสฺสยฺยาม, สาสนปฎิสาสนมฺปิ โน อาหรณโก นาภวิสฺสฯ สตฺถารํ นิสฺสาย โน ชีวิตํ ลทฺธํฯ สเจ ปน สตฺถา อาคารํ อชฺฌาวสิสฺส ทีปสหสฺสทฺวยปริวารํ จตุมหาทีปรชฺชมสฺส หตฺถคตํ อภวิสฺส, อติเรกสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา อภวิสฺสํสุ, ตโต ขตฺติยปริวาโร อวิจริสฺสฯ ตํ โข ปเนส สมฺปตฺติํ ปหาย นิกฺขมิตฺวา สโมฺพธิํ ปโตฺตฯ อิทานิปิ ขตฺติยปริวาโรเยว วิจรตู’’ติ อุภยนครวาสิโน อฑฺฒติยานิ อฑฺฒติยานิ กุมารสตานิ อทํสุฯ ภควาปิ เต ปพฺพาเชตฺวา มหาวนํ อคมาสิฯ เตสํ ครุคารเวน น อตฺตโน รุจิยา ปพฺพชิตานํ อนภิรติ อุปฺปชฺชิฯ ปุราณทุติยิกาโยปิ เตสํ – ‘‘อยฺยปุตฺตา อุกฺกณฺฐนฺตุ, ฆราวาโส น สณฺฐาตี’’ติอาทีนิ วตฺวา สาสนํ เปเสนฺติฯ เต จ อติเรกตรํ อุกฺกณฺฐิํสุฯ
Rājāno pasannā – ‘‘sace satthā nāgamissa, mayaṃ sahatthā aññamaññaṃ vadhitvā lohitanadiṃ pavattayissāma. Amhākaṃ puttabhātaro ca gehadvāre na passeyyāma, sāsanapaṭisāsanampi no āharaṇako nābhavissa. Satthāraṃ nissāya no jīvitaṃ laddhaṃ. Sace pana satthā āgāraṃ ajjhāvasissa dīpasahassadvayaparivāraṃ catumahādīparajjamassa hatthagataṃ abhavissa, atirekasahassaṃ kho panassa puttā abhavissaṃsu, tato khattiyaparivāro avicarissa. Taṃ kho panesa sampattiṃ pahāya nikkhamitvā sambodhiṃ patto. Idānipi khattiyaparivāroyeva vicaratū’’ti ubhayanagaravāsino aḍḍhatiyāni aḍḍhatiyāni kumārasatāni adaṃsu. Bhagavāpi te pabbājetvā mahāvanaṃ agamāsi. Tesaṃ garugāravena na attano ruciyā pabbajitānaṃ anabhirati uppajji. Purāṇadutiyikāyopi tesaṃ – ‘‘ayyaputtā ukkaṇṭhantu, gharāvāso na saṇṭhātī’’tiādīni vatvā sāsanaṃ pesenti. Te ca atirekataraṃ ukkaṇṭhiṃsu.
ภควา อาวเชฺชโนฺต เตสํ อนภิรติภาวํ ญตฺวา – ‘‘อิเม ภิกฺขู มาทิเสน พุเทฺธน สทฺธิํ เอกโต วสนฺตา อุกฺกณฺฐนฺติ, หนฺท เนสํ กุณาลทหสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ตตฺถ เนตฺวา อนภิรติํ วิโนเทมี’’ติ กุณาลทหสฺส วณฺณํ กเถสิฯ เต ตํ ทฎฺฐุกามา อเหสุํฯ ทฎฺฐุกามตฺถ, ภิกฺขเว, กุณาลทหนฺติ? อาม ภควาติฯ ยทิ เอวํ เอถ คจฺฉามาติฯ อิทฺธิมนฺตานํ ภควา คมนฎฺฐานํ มยํ กถํ คมิสฺสามาติฯ ตุเมฺห คนฺตุกามา โหถ, อหํ มมานุภาเวน คเหตฺวา คมิสฺสามีติฯ สาธุ, ภเนฺตติฯ ภควา ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ คเหตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา กุณาลทเห ปติฎฺฐาย เต ภิกฺขู อาห – ‘‘ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ กุณาลทเห เยสํ มจฺฉานํ นามํ น ชานาถ มมํ ปุจฺฉถา’’ติฯ
Bhagavā āvajjento tesaṃ anabhiratibhāvaṃ ñatvā – ‘‘ime bhikkhū mādisena buddhena saddhiṃ ekato vasantā ukkaṇṭhanti, handa nesaṃ kuṇāladahassa vaṇṇaṃ kathetvā tattha netvā anabhiratiṃ vinodemī’’ti kuṇāladahassa vaṇṇaṃ kathesi. Te taṃ daṭṭhukāmā ahesuṃ. Daṭṭhukāmattha, bhikkhave, kuṇāladahanti? Āma bhagavāti. Yadi evaṃ etha gacchāmāti. Iddhimantānaṃ bhagavā gamanaṭṭhānaṃ mayaṃ kathaṃ gamissāmāti. Tumhe gantukāmā hotha, ahaṃ mamānubhāvena gahetvā gamissāmīti. Sādhu, bhanteti. Bhagavā pañca bhikkhusatāni gahetvā ākāse uppatitvā kuṇāladahe patiṭṭhāya te bhikkhū āha – ‘‘bhikkhave, imasmiṃ kuṇāladahe yesaṃ macchānaṃ nāmaṃ na jānātha mamaṃ pucchathā’’ti.
เต ปุจฺฉิํสุฯ ภควา ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉิตํ กเถสิฯ น เกวลญฺจ, มจฺฉานํเยว, ตสฺมิํ วนสเณฺฑ รุกฺขานมฺปิ ปพฺพตปาเท ทฺวิปทจตุปฺปทสกุณานมฺปิ นามานิ ปุจฺฉาเปตฺวา กเถสิฯ อถ ทฺวีหิ สกุเณหิ มุขตุณฺฑเกน ฑํสิตฺวา คหิตทณฺฑเก นิสิโนฺน กุณาลสกุณราชา ปุรโต ปจฺฉโต อุโภสุ จ ปเสฺสสุ สกุณสงฺฆปริวุโต อาคจฺฉติฯ ภิกฺขู ตํ ทิสฺวา – ‘‘เอส, ภเนฺต, อิเมสํ สกุณานํ ราชา ภวิสฺสติ, ปริวารา เอเต เอตสฺสา’’ติ มญฺญามาติฯ เอวเมตํ, ภิกฺขเว, อยมฺปิ มเมว วํโส มม ปเวณีติฯ อิทานิ ตาว มยํ, ภเนฺต, เอเต สกุเณ ปสฺสามฯ ยํ ปน ภควา ‘‘อยมฺปิ มเมว วํโส มม ปเวณี’’ติ อาห, ตํ โสตุกามมฺหาติฯ โสตุกามตฺถ, ภิกฺขเวติ? อาม ภควาติฯ เตน หิ สุณาถาติ ตีหิ คาถาสเตหิ มเณฺฑตฺวา กุณาลชาตกํ (ชา. ๒.๒๑.กุณาลชาตก) กเถโนฺต อนภิรติํ วิโนเทสิฯ เทสนาปริโยสาเน สเพฺพปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ, มเคฺคเนว จ เนสํ อิทฺธิปิ อาคตาฯ ภควา ‘‘โหตุ ตาว เอตฺตกํ เตสํ ภิกฺขูน’’นฺติ อากาเส อุปฺปติตฺวา มหาวนเมว อคมาสิฯ เตปิ ภิกฺขู คมนกาเล ทสพลสฺส อานุภาเวน คนฺตฺวา อาคมนกาเล อตฺตโน อานุภาเวน ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา มหาวเน โอตริํสุฯ
Te pucchiṃsu. Bhagavā pucchitaṃ pucchitaṃ kathesi. Na kevalañca, macchānaṃyeva, tasmiṃ vanasaṇḍe rukkhānampi pabbatapāde dvipadacatuppadasakuṇānampi nāmāni pucchāpetvā kathesi. Atha dvīhi sakuṇehi mukhatuṇḍakena ḍaṃsitvā gahitadaṇḍake nisinno kuṇālasakuṇarājā purato pacchato ubhosu ca passesu sakuṇasaṅghaparivuto āgacchati. Bhikkhū taṃ disvā – ‘‘esa, bhante, imesaṃ sakuṇānaṃ rājā bhavissati, parivārā ete etassā’’ti maññāmāti. Evametaṃ, bhikkhave, ayampi mameva vaṃso mama paveṇīti. Idāni tāva mayaṃ, bhante, ete sakuṇe passāma. Yaṃ pana bhagavā ‘‘ayampi mameva vaṃso mama paveṇī’’ti āha, taṃ sotukāmamhāti. Sotukāmattha, bhikkhaveti? Āma bhagavāti. Tena hi suṇāthāti tīhi gāthāsatehi maṇḍetvā kuṇālajātakaṃ (jā. 2.21.kuṇālajātaka) kathento anabhiratiṃ vinodesi. Desanāpariyosāne sabbepi sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu, maggeneva ca nesaṃ iddhipi āgatā. Bhagavā ‘‘hotu tāva ettakaṃ tesaṃ bhikkhūna’’nti ākāse uppatitvā mahāvanameva agamāsi. Tepi bhikkhū gamanakāle dasabalassa ānubhāvena gantvā āgamanakāle attano ānubhāvena bhagavantaṃ parivāretvā mahāvane otariṃsu.
ภควา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา เต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา – ‘‘เอถ, ภิกฺขเว, นิสีทถฯ อุปริมคฺคตฺตยวชฺฌานํ โว กิเลสานํ กมฺมฎฺฐานํ กเถสฺสามี’’ติ กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ ภิกฺขู จินฺตยิํสุ – ‘‘ภควา อมฺหากํ อนภิรตภาวํ ญตฺวา กุณาลทหํ เนตฺวา อนภิรติํ วิโนเทสิ, ตตฺถ โสตาปตฺติผลํ ปตฺตานํ โน อิทานิ อิธ ติณฺณํ มคฺคานํ กมฺมฎฺฐานํ อทาสิ, น โข ปน อเมฺหหิ ‘โสตาปนฺนา มย’นฺติ วีตินาเมตุํ วฎฺฎติ, ปุริสปุริเสหิ โน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เต ทสพลสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา อุฎฺฐาย นิสีทนํ ปโปฺผเฎตฺวา วิสุํ วิสุํ ปพฺภารรุกฺขมูเลสุ นิสีทิํสุฯ
Bhagavā paññattāsane nisīditvā te bhikkhū āmantetvā – ‘‘etha, bhikkhave, nisīdatha. Uparimaggattayavajjhānaṃ vo kilesānaṃ kammaṭṭhānaṃ kathessāmī’’ti kammaṭṭhānaṃ kathesi. Bhikkhū cintayiṃsu – ‘‘bhagavā amhākaṃ anabhiratabhāvaṃ ñatvā kuṇāladahaṃ netvā anabhiratiṃ vinodesi, tattha sotāpattiphalaṃ pattānaṃ no idāni idha tiṇṇaṃ maggānaṃ kammaṭṭhānaṃ adāsi, na kho pana amhehi ‘sotāpannā maya’nti vītināmetuṃ vaṭṭati, purisapurisehi no bhavituṃ vaṭṭatī’’ti te dasabalassa pāde vanditvā uṭṭhāya nisīdanaṃ papphoṭetvā visuṃ visuṃ pabbhārarukkhamūlesu nisīdiṃsu.
ภควา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม ภิกฺขู ปกติยาปิ อวิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐานา, ลทฺธุปายสฺส ปน ภิกฺขุโน กิลมนการณํ นาม นตฺถิฯ คจฺฉนฺตา คจฺฉนฺตา จ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ‘อตฺตนา ปฎิวิทฺธคุณํ อาโรเจสฺสามา’ติ มม สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติฯ เอเตสุ อาคเตสุ ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา เอกจกฺกวาเฬ สนฺนิปติสฺสนฺติ, มหาสมโย ภวิสฺสติ, วิวิเตฺต โอกาเส มยา นิสีทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตโต วิวิเตฺต โอกาเส พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิฯ
Bhagavā cintesi – ‘‘ime bhikkhū pakatiyāpi avissaṭṭhakammaṭṭhānā, laddhupāyassa pana bhikkhuno kilamanakāraṇaṃ nāma natthi. Gacchantā gacchantā ca vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā ‘attanā paṭividdhaguṇaṃ ārocessāmā’ti mama santikaṃ āgamissanti. Etesu āgatesu dasasahassacakkavāḷadevatā ekacakkavāḷe sannipatissanti, mahāsamayo bhavissati, vivitte okāse mayā nisīdituṃ vaṭṭatī’’ti tato vivitte okāse buddhāsanaṃ paññāpetvā nisīdi.
สพฺพปฐมํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คตเตฺถโร สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตโต อปโร ตโต อปโรติ ปญฺจสตาปิ ปทุมินิยํ ปทุมานิ วิย วิกสิํสุฯ สพฺพปฐมํ อรหตฺตํ ปตฺตภิกฺขุ ‘‘ภควโต อาโรเจสฺสามี’’ติ ปลฺลงฺกํ วินิพฺภุชิตฺวา นิสีทนํ ปโปฺผเฎตฺวา อุฎฺฐาย ทสพลาภิมุโข อโหสิฯ เอวํ อปโรปิ อปโรปีติ ปญฺจสตา ภตฺตสาลํ ปวิสนฺตา วิย ปฎิปาฎิยาว อาคมิํสุฯ ปฐมํ อาคโต วนฺทิตฺวา นิสีทนํ ปญฺญาเปตฺวา, เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา, ปฎิวิทฺธคุณํ อาโรเจตุกาโม ‘‘อตฺถิ นุ โข อโญฺญ โกจิ? นตฺถี’’ติ นิวตฺติตฺวา อาคตมคฺคํ โอโลเกโนฺต อปรมฺปิ อทฺทส อปรมฺปิ อทฺทสเยวาติ สเพฺพปิ เต อาคนฺตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา, อยํ อิมสฺส หรายมาโน น กเถสิ, อยํ อิมสฺส หรายมาโน น กเถสิฯ ขีณาสวานํ กิร เทฺว อาการา โหนฺติ – ‘‘อโห วต มยา ปฎิวิทฺธคุณํ สเทวโก โลโก ขิปฺปเมว ปฎิวิเชฺฌยฺยา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ ปฎิวิทฺธภาวํ ปน นิธิลทฺธปุริโส วิย น อญฺญสฺส อาโรเจตุกามา โหนฺติฯ
Sabbapaṭhamaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā gatatthero saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Tato aparo tato aparoti pañcasatāpi paduminiyaṃ padumāni viya vikasiṃsu. Sabbapaṭhamaṃ arahattaṃ pattabhikkhu ‘‘bhagavato ārocessāmī’’ti pallaṅkaṃ vinibbhujitvā nisīdanaṃ papphoṭetvā uṭṭhāya dasabalābhimukho ahosi. Evaṃ aparopi aparopīti pañcasatā bhattasālaṃ pavisantā viya paṭipāṭiyāva āgamiṃsu. Paṭhamaṃ āgato vanditvā nisīdanaṃ paññāpetvā, ekamantaṃ nisīditvā, paṭividdhaguṇaṃ ārocetukāmo ‘‘atthi nu kho añño koci? Natthī’’ti nivattitvā āgatamaggaṃ olokento aparampi addasa aparampi addasayevāti sabbepi te āgantvā ekamantaṃ nisīditvā, ayaṃ imassa harāyamāno na kathesi, ayaṃ imassa harāyamāno na kathesi. Khīṇāsavānaṃ kira dve ākārā honti – ‘‘aho vata mayā paṭividdhaguṇaṃ sadevako loko khippameva paṭivijjheyyā’’ti cittaṃ uppajjati. Paṭividdhabhāvaṃ pana nidhiladdhapuriso viya na aññassa ārocetukāmā honti.
เอวํ โอสฎมเตฺต ปน ตสฺมิํ อริยมณฺฑเล ปาจีนยุคนฺธรปริเกฺขปโต อพฺภา มหิกา ธูโม รโช ราหูติ, อิเมหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตํ พุทฺธุปฺปาทปฎิมณฺฑิตสฺส โลกสฺส รามเณยฺยกทสฺสนตฺถํ ปาจีนทิสาย อุกฺขิตฺตรชตมยมหาอาทาสมณฺฑลํ วิย, เนมิวฎฺฎิยํ คเหตฺวา, ปริวตฺติยมานรชตจกฺกสสฺสิริกํ ปุณฺณจนฺทมณฺฑลํ อุลฺลงฺฆิตฺวา, อนิลปถํ ปฎิปชฺชิตฺถฯ อิติ เอวรูเป ขเณ ลเย มุหุเตฺต ภควา สเกฺกสุ วิหรติ กปิลวตฺถุสฺมิํ มหาวเน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สเพฺพเหว อรหเนฺตหิฯ
Evaṃ osaṭamatte pana tasmiṃ ariyamaṇḍale pācīnayugandharaparikkhepato abbhā mahikā dhūmo rajo rāhūti, imehi upakkilesehi vippamuttaṃ buddhuppādapaṭimaṇḍitassa lokassa rāmaṇeyyakadassanatthaṃ pācīnadisāya ukkhittarajatamayamahāādāsamaṇḍalaṃ viya, nemivaṭṭiyaṃ gahetvā, parivattiyamānarajatacakkasassirikaṃ puṇṇacandamaṇḍalaṃ ullaṅghitvā, anilapathaṃ paṭipajjittha. Iti evarūpe khaṇe laye muhutte bhagavā sakkesu viharati kapilavatthusmiṃ mahāvane mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehi sabbeheva arahantehi.
ตตฺถ ภควาปิ มหาสมฺมตสฺส วํเส อุปฺปโนฺน, เตปิ ปญฺจสตา ภิกฺขู มหาสมฺมตสฺส กุเล อุปฺปนฺนาฯ ภควาปิ ขตฺติยคเพฺภ ชาโต, เตปิ ขตฺติยคเพฺภ ชาตาฯ ภควาปิ ราชปพฺพชิโต, เตปิ ราชปพฺพชิตาฯ ภควาปิ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย หตฺถคตํ จกฺกวตฺติรชฺชํ นิสฺสชฺชิตฺวา ปพฺพชิโต, เตปิ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย หตฺถคตานิ รชฺชานิ วิสฺสชฺชิตฺวา ปพฺพชิตาฯ อิติ ภควา ปริสุเทฺธ โอกาเส, ปริสุเทฺธ รตฺติภาเค, สยํ ปริสุโทฺธ ปริสุทฺธปริวาโร, วีตราโค วีตราคปริวาโร, วีตโทโส วีตโทสปริวาโร, วีตโมโห วีตโมหปริวาโร, นิตฺตโณฺห นิตฺตณฺหปริวาโร, นิกฺกิเลโส นิกฺกิเลสปริวาโร, สโนฺต สนฺตปริวาโร, ทโนฺต ทนฺตปริวาโร, มุโตฺต มุตฺตปริวาโร, อติวิย วิโรจตีติฯ วณฺณภูมิ นาเมสา, ยตฺตกํ สโกฺกติ, ตตฺตกํ วตฺตพฺพํฯ อิติ อิเม ภิกฺขู สนฺธาย วุตฺตํ, ‘‘ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สเพฺพเหว อรหเนฺตหี’’ติฯ
Tattha bhagavāpi mahāsammatassa vaṃse uppanno, tepi pañcasatā bhikkhū mahāsammatassa kule uppannā. Bhagavāpi khattiyagabbhe jāto, tepi khattiyagabbhe jātā. Bhagavāpi rājapabbajito, tepi rājapabbajitā. Bhagavāpi setacchattaṃ pahāya hatthagataṃ cakkavattirajjaṃ nissajjitvā pabbajito, tepi setacchattaṃ pahāya hatthagatāni rajjāni vissajjitvā pabbajitā. Iti bhagavā parisuddhe okāse, parisuddhe rattibhāge, sayaṃ parisuddho parisuddhaparivāro, vītarāgo vītarāgaparivāro, vītadoso vītadosaparivāro, vītamoho vītamohaparivāro, nittaṇho nittaṇhaparivāro, nikkileso nikkilesaparivāro, santo santaparivāro, danto dantaparivāro, mutto muttaparivāro, ativiya virocatīti. Vaṇṇabhūmi nāmesā, yattakaṃ sakkoti, tattakaṃ vattabbaṃ. Iti ime bhikkhū sandhāya vuttaṃ, ‘‘pañcamattehi bhikkhusatehi sabbeheva arahantehī’’ti.
เยภุเยฺยนาติ พหุตรา สนฺนิปติตา, มนฺทา น สนฺนิปติตา อสญฺญี อรูปาวจรเทวตา สมาปนฺนเทวตาโย จฯ ตตฺรายํ สนฺนิปาตกฺกโม – มหาวนสฺส กิร สามนฺตา เทวตา จลิํสุ, ‘‘อายาม โภ! พุทฺธทสฺสนํ นาม พหูปการํ, ธมฺมสฺสวนํ พหูปการํ, ภิกฺขุสงฺฆทสฺสนํ พหูปการํฯ อายาม อายามา’’ติ! มหาสทฺทํ กุรุมานา อาคนฺตฺวา ภควนฺตญฺจ ตํมุหุตฺตํ อรหตฺตปฺปตฺตขีณาสเว จ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เอเตเนว อุปาเยน ตาสํ ตาสํ สทฺทํ สุตฺวา สทฺทนฺตรอฑฺฒคาวุตคาวุตอฑฺฒโยชนโยชนาทิวเสน ติโยชนสหสฺสวิตฺถเต หิมวเนฺต, ติกฺขตฺตุํ เตสฎฺฐิยา นครสหเสฺสสุ, นวนวุติยา โทณมุขสตสหเสฺสสุ, ฉนวุติยา ปฎฺฎนโกฎิสตสหเสฺสสุ, ฉปณฺณาสาย รตนากเรสูติ สกลชมฺพุทีเป, ปุพฺพวิเทเห, อปรโคยาเน, อุตฺตรกุรุมฺหิ, ทฺวีสุ ปริตฺตทีปสหเสฺสสูติ สกลจกฺกวาเฬ, ตโต ทุติยตติยจกฺกวาเฬติ เอวํ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตา สนฺนิปติตาติ เวทิตพฺพาฯ ทสสหสฺสจกฺกวาฬญฺหิ อิธ ทสโลกธาตุโยติ อธิเปฺปตํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทสหิ จ โลกธาตูหิ เทวตา เยภุเยฺยน สนฺนิปติตา โหนฺตี’’ติฯ
Yebhuyyenāti bahutarā sannipatitā, mandā na sannipatitā asaññī arūpāvacaradevatā samāpannadevatāyo ca. Tatrāyaṃ sannipātakkamo – mahāvanassa kira sāmantā devatā caliṃsu, ‘‘āyāma bho! Buddhadassanaṃ nāma bahūpakāraṃ, dhammassavanaṃ bahūpakāraṃ, bhikkhusaṅghadassanaṃ bahūpakāraṃ. Āyāma āyāmā’’ti! Mahāsaddaṃ kurumānā āgantvā bhagavantañca taṃmuhuttaṃ arahattappattakhīṇāsave ca vanditvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Eteneva upāyena tāsaṃ tāsaṃ saddaṃ sutvā saddantaraaḍḍhagāvutagāvutaaḍḍhayojanayojanādivasena tiyojanasahassavitthate himavante, tikkhattuṃ tesaṭṭhiyā nagarasahassesu, navanavutiyā doṇamukhasatasahassesu, chanavutiyā paṭṭanakoṭisatasahassesu, chapaṇṇāsāya ratanākaresūti sakalajambudīpe, pubbavidehe, aparagoyāne, uttarakurumhi, dvīsu parittadīpasahassesūti sakalacakkavāḷe, tato dutiyatatiyacakkavāḷeti evaṃ dasasahassacakkavāḷesu devatā sannipatitāti veditabbā. Dasasahassacakkavāḷañhi idha dasalokadhātuyoti adhippetaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘dasahi ca lokadhātūhi devatā yebhuyyena sannipatitā hontī’’ti.
เอวํ สนฺนิปติตาหิ เทวตาหิ สกลจกฺกวาฬคพฺภํ ยาว พฺรหฺมโลกา สูจิฆเร นิรนฺตรํ ปกฺขิตฺตสูจีหิ วิย ปริปุณฺณํ โหติฯ ตตฺถ พฺรหฺมโลกสฺส เอวํ อุจฺจตฺตนํ เวทิตพฺพํ – โลหปาสาเท กิร สตฺตกูฎาคารสโม ปาสาโณ พฺรหฺมโลเก ฐตฺวา อโธ ขิโตฺต จตูหิ มาเสหิ ปถวิํ ปาปุณาติฯ เอวํ มหเนฺต โอกาเส ยถา เหฎฺฐา ฐตฺวา ขิตฺตานิ ปุปฺผานิ วา ธูโม วา อุปริ คนฺตุํ, อุปริ วา ฐตฺวา ขิตฺตสาสปา เหฎฺฐา โอตริตุํ อนฺตรํ น ลภนฺติ, เอวํ นิรนฺตรา เทวตา อเหสุํฯ ยถา โข ปน จกฺกวตฺติรโญฺญ นิสินฺนฎฺฐานํ อสมฺพาธํ โหติ, อาคตาคตา มเหสกฺขา ขตฺติยา โอกาสํ ลภนฺติเยว, ปรโต ปรโต ปน อติสมฺพาธํ โหติฯ เอวเมว ภควโต นิสินฺนฎฺฐานํ อสมฺพาธํ, อาคตาคตา มเหสกฺขา เทวา จ พฺรหฺมาโน จ โอกาสํ ลภนฺติเยวฯ อปิ สุทํ ภควโต อาสนฺนาสนฺนฎฺฐาเน วาลคฺคนิตฺตุทนมเตฺต ปเทเส ทสปิ วีสติปิ เทวา สุขุเม อตฺตภาเว มาเปตฺวา อฎฺฐํสุฯ สพฺพปรโต สฎฺฐิ สฎฺฐิ เทวตา อฎฺฐํสุฯ
Evaṃ sannipatitāhi devatāhi sakalacakkavāḷagabbhaṃ yāva brahmalokā sūcighare nirantaraṃ pakkhittasūcīhi viya paripuṇṇaṃ hoti. Tattha brahmalokassa evaṃ uccattanaṃ veditabbaṃ – lohapāsāde kira sattakūṭāgārasamo pāsāṇo brahmaloke ṭhatvā adho khitto catūhi māsehi pathaviṃ pāpuṇāti. Evaṃ mahante okāse yathā heṭṭhā ṭhatvā khittāni pupphāni vā dhūmo vā upari gantuṃ, upari vā ṭhatvā khittasāsapā heṭṭhā otarituṃ antaraṃ na labhanti, evaṃ nirantarā devatā ahesuṃ. Yathā kho pana cakkavattirañño nisinnaṭṭhānaṃ asambādhaṃ hoti, āgatāgatā mahesakkhā khattiyā okāsaṃ labhantiyeva, parato parato pana atisambādhaṃ hoti. Evameva bhagavato nisinnaṭṭhānaṃ asambādhaṃ, āgatāgatā mahesakkhā devā ca brahmāno ca okāsaṃ labhantiyeva. Api sudaṃ bhagavato āsannāsannaṭṭhāne vālagganittudanamatte padese dasapi vīsatipi devā sukhume attabhāve māpetvā aṭṭhaṃsu. Sabbaparato saṭṭhi saṭṭhi devatā aṭṭhaṃsu.
สุทฺธาวาสกายิกานนฺติ สุทฺธาวาสวาสีนํฯ สุทฺธาวาสา นาม สุทฺธานํ อนาคามิขีณาสวานํ อาวาสา ปญฺจ พฺรหฺมโลกาฯ เอตทโหสีติ กสฺมา อโหสิ? เต กิร พฺรหฺมาโน สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ยถา ปริเจฺฉเทน วุฎฺฐิตา พฺรหฺมภวนํ โอโลเกนฺตา ปจฺฉาภเตฺต ภตฺตเคหํ วิย สุญฺญตํ อทฺทสํสุฯ ตโต ‘‘กุหิํ พฺรหฺมาโน คตา’’ติ อาวชฺชนฺตา มหาสมาคมํ ญตฺวา – ‘‘อยํ สมาคโม มหา, มยํ โอหีนา, โอหีนกานํ ปน โอกาโส ทุลฺลโภ โหติ, ตสฺมา คจฺฉนฺตา อตุจฺฉหตฺถา หุตฺวา เอเกกํ คาถํ อภิสงฺขริตฺวา คจฺฉามฯ ตาย มหาสมาคเม จ อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปสฺสาม, ทสพลสฺส จ วณฺณํ ภาสิสฺสามา’’ติฯ อิติ เตสํ สมาปตฺติโต อุฎฺฐาย อาวชฺชิตตฺตา เอตทโหสิฯ
Suddhāvāsakāyikānanti suddhāvāsavāsīnaṃ. Suddhāvāsā nāma suddhānaṃ anāgāmikhīṇāsavānaṃ āvāsā pañca brahmalokā. Etadahosīti kasmā ahosi? Te kira brahmāno samāpattiṃ samāpajjitvā yathā paricchedena vuṭṭhitā brahmabhavanaṃ olokentā pacchābhatte bhattagehaṃ viya suññataṃ addasaṃsu. Tato ‘‘kuhiṃ brahmāno gatā’’ti āvajjantā mahāsamāgamaṃ ñatvā – ‘‘ayaṃ samāgamo mahā, mayaṃ ohīnā, ohīnakānaṃ pana okāso dullabho hoti, tasmā gacchantā atucchahatthā hutvā ekekaṃ gāthaṃ abhisaṅkharitvā gacchāma. Tāya mahāsamāgame ca attano āgatabhāvaṃ jānāpessāma, dasabalassa ca vaṇṇaṃ bhāsissāmā’’ti. Iti tesaṃ samāpattito uṭṭhāya āvajjitattā etadahosi.
ภควโต ปุรโต ปาตุรเหสุนฺติ ปาฬิยํ ภควโต สนฺติเก อภิมุขฎฺฐาเนเยว โอติณฺณา วิย กตฺวา วุตฺตา, น โข ปเนตฺถ เอวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เต ปน พฺรหฺมโลเก ฐิตาเยว คาถา อภิสงฺขริตฺวา เอโก ปุรตฺถิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอตริ, เอโก ทกฺขิณจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ, เอโก ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ, เอโก อุตฺตรจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอตริฯ ตโต ปุรตฺถิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอติณฺณพฺรหฺมา นีลกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา นีลรสฺมิโย วิสฺสเชฺชตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ มณิวมฺมํ ปฎิมุญฺจโนฺต วิย อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปตฺวา พุทฺธวีถิ นาม เกนจิ อุตฺตริตุํ น สกฺกา, ตสฺมา มหติยา พุทฺธวีถิยาว อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข อตฺตนา อภิสงฺขตํ คาถํ อภาสิฯ
Bhagavato purato pāturahesunti pāḷiyaṃ bhagavato santike abhimukhaṭṭhāneyeva otiṇṇā viya katvā vuttā, na kho panettha evaṃ attho veditabbo. Te pana brahmaloke ṭhitāyeva gāthā abhisaṅkharitvā eko puratthimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otari, eko dakkhiṇacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ, eko pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ, eko uttaracakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otari. Tato puratthimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otiṇṇabrahmā nīlakasiṇaṃ samāpajjitvā nīlarasmiyo vissajjetvā dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ maṇivammaṃ paṭimuñcanto viya attano āgatabhāvaṃ jānāpetvā buddhavīthi nāma kenaci uttarituṃ na sakkā, tasmā mahatiyā buddhavīthiyāva āgantvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho attanā abhisaṅkhataṃ gāthaṃ abhāsi.
ทกฺขิณจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอติณฺณพฺรหฺมา ปีตกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา สุวณฺณปภํ มุญฺจิตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ สุวณฺณปฎํ ปารุปโนฺต วิย อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปตฺวา ตเถว อกาสิฯ ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอติณฺณพฺรหฺมา โลหิตกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา โลหิตกรสฺมิโย มุญฺจิตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ รตฺตวรกมฺพเลน ปริกฺขิปโนฺต วิย อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปตฺวา ตเถว อกาสิฯ อุตฺตรจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอติณฺณพฺรหฺมา โอทาตกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา โอทาตรสฺมิโย วิสฺสเชฺชตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ สุมนกุสุมปฎํ ปารุปโนฺต วิย อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปตฺวา ตเถว อกาสิฯ
Dakkhiṇacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otiṇṇabrahmā pītakasiṇaṃ samāpajjitvā suvaṇṇapabhaṃ muñcitvā dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ suvaṇṇapaṭaṃ pārupanto viya attano āgatabhāvaṃ jānāpetvā tatheva akāsi. Pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otiṇṇabrahmā lohitakasiṇaṃ samāpajjitvā lohitakarasmiyo muñcitvā dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ rattavarakambalena parikkhipanto viya attano āgatabhāvaṃ jānāpetvā tatheva akāsi. Uttaracakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otiṇṇabrahmā odātakasiṇaṃ samāpajjitvā odātarasmiyo vissajjetvā dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ sumanakusumapaṭaṃ pārupanto viya attano āgatabhāvaṃ jānāpetvā tatheva akāsi.
ปาฬิยํ ปน ภควโต ปุรโต ปาตุรเหสุํฯ อถ โข ตา เทวตา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสูติ เอวํ เอกกฺขเณ วิย ปุรโต ปาตุภาโว จ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตภาโว จ วุโตฺต, โส อิมินา อนุกฺกเมน อโหสิ, เอกโต กตฺวา ปน ทสฺสิโตฯ คาถาภาสนํ ปน ปาฬิยมฺปิ วิสุํ วิสุํเยว วุตฺตํฯ
Pāḷiyaṃ pana bhagavato purato pāturahesuṃ. Atha kho tā devatā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsūti evaṃ ekakkhaṇe viya purato pātubhāvo ca abhivādetvā ekamantaṃ ṭhitabhāvo ca vutto, so iminā anukkamena ahosi, ekato katvā pana dassito. Gāthābhāsanaṃ pana pāḷiyampi visuṃ visuṃyeva vuttaṃ.
ตตฺถ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ ปวนํ วุจฺจติ วนสโณฺฑฯ อุภเยนปิ ภควา ‘‘อิมสฺมิํ ปน วนสเณฺฑ อชฺช มหาสมูโห สนฺนิปาโต’’ติ อาหฯ ตโต เยสํ โส สนฺนิปาโต, เต ทเสฺสตุํ เทวกายา สมาคตาติ อาหฯ ตตฺถ เทวกายาติ เทวฆฎาฯ อาคตมฺห อิมํ ธมฺมสมยนฺติ เอวํ สมาคเต เทวกาเย ทิสฺวา มยมฺปิ อิมํ ธมฺมสมูหํ อาคตาฯ กิํ การณา? ทกฺขิตาเย อปราชิตสงฺฆนฺติ เกนจิ อปราชิตํ อเชฺชว ตโย มาเร มทฺทิตฺวา วิชิตสงฺคามํ อิมํ อปราชิตสงฺฆํ ทสฺสนตฺถาย อาคตมฺหาติ อโตฺถฯ โส ปน, พฺรหฺมา, อิมํ คาถํ ภาสิตฺวา, ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา, ปุรตฺถิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํเยว อฎฺฐาสิฯ
Tattha mahāsamayoti mahāsamūho. Pavanaṃ vuccati vanasaṇḍo. Ubhayenapi bhagavā ‘‘imasmiṃ pana vanasaṇḍe ajja mahāsamūho sannipāto’’ti āha. Tato yesaṃ so sannipāto, te dassetuṃ devakāyā samāgatāti āha. Tattha devakāyāti devaghaṭā. Āgatamha imaṃ dhammasamayanti evaṃ samāgate devakāye disvā mayampi imaṃ dhammasamūhaṃ āgatā. Kiṃ kāraṇā? Dakkhitāye aparājitasaṅghanti kenaci aparājitaṃ ajjeva tayo māre madditvā vijitasaṅgāmaṃ imaṃ aparājitasaṅghaṃ dassanatthāya āgatamhāti attho. So pana, brahmā, imaṃ gāthaṃ bhāsitvā, bhagavantaṃ abhivādetvā, puratthimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃyeva aṭṭhāsi.
อถ ทุติโย วุตฺตนเยเนว อาคนฺตฺวา อภาสิฯ ตตฺถ ตตฺร ภิกฺขโวติ ตสฺมิํ สนฺนิปาตฎฺฐาเน ภิกฺขูฯ สมาทหํสูติ สมาธินา โยเชสุํฯ จิตฺตมตฺตโน อุชุกํ อกํสูติ อตฺตโน จิเตฺต สเพฺพ วงฺกกุฎิลชิมฺหภาเว หริตฺวา อุชุกํ อกริํสุฯ สารถีว เนตฺตานิ คเหตฺวาติ ยถา สมปฺปวเตฺตสุ สินฺธเวสุ โอธสฺตปโตโท สารถี สพฺพโยตฺตานิ คเหตฺวา อโจเทโนฺต อวาเรโนฺต ติฎฺฐติ, เอวํ ฉฬงฺคุเปกฺขาย สมนฺนาคตา คุตฺตทฺวารา สเพฺพเปเต ปญฺจสตา ภิกฺขู อินฺทฺริยานิ รกฺขนฺติ ปณฺฑิตา, เอเต ทฎฺฐุํ อิธาคตมฺหา ภควาติ, โสปิ คนฺตฺวา ยถาฐาเนเยว อฎฺฐาสิฯ
Atha dutiyo vuttanayeneva āgantvā abhāsi. Tattha tatra bhikkhavoti tasmiṃ sannipātaṭṭhāne bhikkhū. Samādahaṃsūti samādhinā yojesuṃ. Cittamattano ujukaṃ akaṃsūti attano citte sabbe vaṅkakuṭilajimhabhāve haritvā ujukaṃ akariṃsu. Sārathīva nettāni gahetvāti yathā samappavattesu sindhavesu odhastapatodo sārathī sabbayottāni gahetvā acodento avārento tiṭṭhati, evaṃ chaḷaṅgupekkhāya samannāgatā guttadvārā sabbepete pañcasatā bhikkhū indriyāni rakkhanti paṇḍitā, ete daṭṭhuṃ idhāgatamhā bhagavāti, sopi gantvā yathāṭhāneyeva aṭṭhāsi.
อถ ตติโย วุตฺตนเยเนว อาคนฺตฺวา อภาสิฯ ตตฺถ เฉตฺวา ขีลนฺติ ราคโทสโมหขีลํ ฉินฺทิตฺวาฯ ปลิฆนฺติ ราคโทสโมหปลิฆเมวฯ อินฺทขีลนฺติ ราคโทสโมหอินฺทขีลเมว ฯ อูหจฺจ มเนชาติ เอเต ตณฺหาเอชาย อเนชา ภิกฺขู อินฺทขีลํ อูหจฺจ สมูหนิตฺวา จตูสุ ทิสาสุ อปฺปฎิหตจาริกํ จรนฺติฯ สุทฺธาติ นิรุปกฺกิเลสาฯ วิมลาติ นิมฺมลาฯ อิทํ ตเสฺสว เววจนํฯ จกฺขุมตาติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมเนฺตนฯ สุทนฺตาติ จกฺขุโตปิ ทนฺตา โสตโตปิ ฆานโตปิ ชิวฺหาโตปิ กายโตปิ มนโตปิ ทนฺตาฯ สุสุนาคาติ ตรุณนาคาฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – ฉนฺทาทีหิ น คจฺฉนฺตีติ นาคา, เตน เตน มเคฺคน ปหีเน กิเลเส น อาคจฺฉนฺตีติ นาคา, นานปฺปการํ อาคุํ น กโรนฺตีติ นาคาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน มหานิเทฺทเส (มหานิ. ๘๐) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Atha tatiyo vuttanayeneva āgantvā abhāsi. Tattha chetvā khīlanti rāgadosamohakhīlaṃ chinditvā. Palighanti rāgadosamohapalighameva. Indakhīlanti rāgadosamohaindakhīlameva . Ūhacca manejāti ete taṇhāejāya anejā bhikkhū indakhīlaṃ ūhacca samūhanitvā catūsu disāsu appaṭihatacārikaṃ caranti. Suddhāti nirupakkilesā. Vimalāti nimmalā. Idaṃ tasseva vevacanaṃ. Cakkhumatāti pañcahi cakkhūhi cakkhumantena. Sudantāti cakkhutopi dantā sotatopi ghānatopi jivhātopi kāyatopi manatopi dantā. Susunāgāti taruṇanāgā. Tatrāyaṃ vacanattho – chandādīhi na gacchantīti nāgā, tena tena maggena pahīne kilese na āgacchantīti nāgā, nānappakāraṃ āguṃ na karontīti nāgā. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana mahāniddese (mahāni. 80) vuttanayeneva veditabbo.
อปิจ –
Apica –
‘‘อาคุํ น กโรติ กิญฺจิ โลเก,
‘‘Āguṃ na karoti kiñci loke,
สพฺพสํโยค วิสชฺช พนฺธนานิ;
Sabbasaṃyoga visajja bandhanāni;
สพฺพตฺถ น สชฺชตี วิมุโตฺต,
Sabbattha na sajjatī vimutto,
นาโค ตาทิ ปวุจฺจเต ตถตฺตา’’ติฯ –
Nāgo tādi pavuccate tathattā’’ti. –
เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สุสุนาคาติ สุสู นาคา, สุสุนาคภาวสมฺปตฺติํ ปตฺตาติ อโตฺถฯ เต เอวรูเป อนุตฺตเรน โยคฺคาจริเยน ทมิเต ตรุณนาเค ทสฺสนาย อาคตมฺห ภควาติฯ โสปิ คนฺตฺวา ยถาฐาเนเยว อฎฺฐาสิฯ
Evamettha attho veditabbo. Susunāgāti susū nāgā, susunāgabhāvasampattiṃ pattāti attho. Te evarūpe anuttarena yoggācariyena damite taruṇanāge dassanāya āgatamha bhagavāti. Sopi gantvā yathāṭhāneyeva aṭṭhāsi.
อถ จตุโตฺถ วุตฺตนเยเนว อาคนฺตฺวา อภาสิฯ ตตฺถ คตาเสติ นิเพฺพมติกสรณคมเนน คตาฯ โสปิ คนฺตฺวา ยถาฐาเนเยว อฎฺฐาสีติฯ สตฺตมํฯ
Atha catuttho vuttanayeneva āgantvā abhāsi. Tattha gatāseti nibbematikasaraṇagamanena gatā. Sopi gantvā yathāṭhāneyeva aṭṭhāsīti. Sattamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๗. สมยสุตฺตํ • 7. Samayasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๗. สมยสุตฺตวณฺณนา • 7. Samayasuttavaṇṇanā