Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๑๙] ๙. สมฺพุลาชาตกวณฺณนา

    [519] 9. Sambulājātakavaṇṇanā

    กา เวธมานาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มลฺลิกํ เทวิํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ กุมฺมาสปิณฺฑิชาตเก (ชา. ๑.๗.๑๔๒ อาทโย) วิตฺถาริตเมวฯ สา ปน ตถาคตสฺส ติณฺณํ กุมฺมาสปิณฺฑิกานํ ทานานุภาเวน ตํ ทิวสเญฺญว รโญฺญ อคฺคมเหสิภาวํ ปตฺวา ปุพฺพุฎฺฐายิตาทีหิ ปญฺจหิ กลฺยาณธเมฺมหิ สมนฺนาคตา ญาณสมฺปนฺนา พุทฺธุปฎฺฐายิกา ปติเทวตา อโหสิฯ ตสฺสา ปติเทวตาภาโว สกลนคเร ปากโฎ อโหสิฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, มลฺลิกา เทวี กิร วตฺตสมฺปนฺนา ญาณสมฺปนฺนา ปติเทวตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปสา วตฺตสมฺปนฺนา ปติเทวตาเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    vedhamānāti idaṃ satthā jetavane viharanto mallikaṃ deviṃ ārabbha kathesi. Vatthu kummāsapiṇḍijātake (jā. 1.7.142 ādayo) vitthāritameva. Sā pana tathāgatassa tiṇṇaṃ kummāsapiṇḍikānaṃ dānānubhāvena taṃ divasaññeva rañño aggamahesibhāvaṃ patvā pubbuṭṭhāyitādīhi pañcahi kalyāṇadhammehi samannāgatā ñāṇasampannā buddhupaṭṭhāyikā patidevatā ahosi. Tassā patidevatābhāvo sakalanagare pākaṭo ahosi. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, mallikā devī kira vattasampannā ñāṇasampannā patidevatā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesā vattasampannā patidevatāyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ โสตฺถิเสโน นาม ปุโตฺต อโหสิฯ ตํ ราชา วยปฺปตฺตํ อุปรเชฺช ปติฎฺฐเปสิ, สมฺพุลา นามสฺส อคฺคมเหสี อโหสิ อุตฺตมรูปธรา สรีรปฺปภาสมฺปนฺนา, นิวาเต ชลมานา ทีปสิขา วิย ขายติฯ อปรภาเค โสตฺถิเสนสฺส สรีเร กุฎฺฐํ อุปฺปชฺชติ, เวชฺชา ติกิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุฯ โส ภิชฺชมาเน กุเฎฺฐ ปฎิกูโล หุตฺวา วิปฺปฎิสารํ ปตฺวา ‘‘โก เม รเชฺชน อโตฺถ, อรเญฺญ อนาถมรณํ มริสฺสามี’’ติ รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา อิตฺถาคารํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมิฯ สมฺพุลา พหูหิ อุปาเยหิ นิวตฺติยมานาปิ อนิวตฺติตฺวาว ‘‘อหํ ตํ สามิกํ อรเญฺญ ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ วตฺวา สทฺธิเญฺญว นิกฺขมิฯ โส อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สุลภมูลผลาผเล ฉายูทกสมฺปเนฺน ปเทเส ปณฺณสาลํ กตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ ราชธีตา ตํ ปฎิชคฺคิฯ กถํ? สา หิ ปาโต วุฎฺฐาย อสฺสมปทํ สมฺมชฺชิตฺวา ปานียปริโภชนียํ อุปฎฺฐเปตฺวา ทนฺตกฎฺฐญฺจ มุขโธวนญฺจ อุปนาเมตฺวา มุเข โธเต นานาโอสธานิ ปิสิตฺวา ตสฺส วเณ มเกฺขตฺวา มธุรมธุรานิ ผลาผลานิ ขาทาเปตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถสุ โธเตสุ ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ เทวา’’ติ วตฺวา วนฺทิตฺวา ปจฺฉิขณิตฺติองฺกุสเก อาทาย ผลาผลตฺถาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ผลาผลานิ อาหริตฺวา เอกมเนฺต ฐเปตฺวา ฆเฎน อุทกํ อาหริตฺวา นานาจุเณฺณหิ จ มตฺติกาหิ จ โสตฺถิเสนํ นฺหาเปตฺวา ปุน มธุรผลาผลานิ อุปนาเมติฯ ปริโภคาวสาเน วาสิตปานียํ อุปเนตฺวา สยํ ผลาผลานิ ปริภุญฺชิตฺวา ปทรสนฺถรํ สํวิทหิตฺวา ตสฺมิํ ตตฺถ นิปเนฺน ตสฺส ปาเท โธวิตฺวา สีสปริกมฺมปิฎฺฐิปริกมฺมปาทปริกมฺมานิ กตฺวา สยนปสฺสํ อุปคนฺตฺวา นิปชฺชติฯ เอเตนุปาเยน สามิกํ ปฎิชคฺคิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadattassa rañño sotthiseno nāma putto ahosi. Taṃ rājā vayappattaṃ uparajje patiṭṭhapesi, sambulā nāmassa aggamahesī ahosi uttamarūpadharā sarīrappabhāsampannā, nivāte jalamānā dīpasikhā viya khāyati. Aparabhāge sotthisenassa sarīre kuṭṭhaṃ uppajjati, vejjā tikicchituṃ nāsakkhiṃsu. So bhijjamāne kuṭṭhe paṭikūlo hutvā vippaṭisāraṃ patvā ‘‘ko me rajjena attho, araññe anāthamaraṇaṃ marissāmī’’ti rañño ārocāpetvā itthāgāraṃ chaḍḍetvā nikkhami. Sambulā bahūhi upāyehi nivattiyamānāpi anivattitvāva ‘‘ahaṃ taṃ sāmikaṃ araññe paṭijaggissāmī’’ti vatvā saddhiññeva nikkhami. So araññaṃ pavisitvā sulabhamūlaphalāphale chāyūdakasampanne padese paṇṇasālaṃ katvā vāsaṃ kappesi. Rājadhītā taṃ paṭijaggi. Kathaṃ? Sā hi pāto vuṭṭhāya assamapadaṃ sammajjitvā pānīyaparibhojanīyaṃ upaṭṭhapetvā dantakaṭṭhañca mukhadhovanañca upanāmetvā mukhe dhote nānāosadhāni pisitvā tassa vaṇe makkhetvā madhuramadhurāni phalāphalāni khādāpetvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthesu dhotesu ‘‘appamatto hohi devā’’ti vatvā vanditvā pacchikhaṇittiaṅkusake ādāya phalāphalatthāya araññaṃ pavisitvā phalāphalāni āharitvā ekamante ṭhapetvā ghaṭena udakaṃ āharitvā nānācuṇṇehi ca mattikāhi ca sotthisenaṃ nhāpetvā puna madhuraphalāphalāni upanāmeti. Paribhogāvasāne vāsitapānīyaṃ upanetvā sayaṃ phalāphalāni paribhuñjitvā padarasantharaṃ saṃvidahitvā tasmiṃ tattha nipanne tassa pāde dhovitvā sīsaparikammapiṭṭhiparikammapādaparikammāni katvā sayanapassaṃ upagantvā nipajjati. Etenupāyena sāmikaṃ paṭijaggi.

    สา เอกทิวสํ อรเญฺญ ผลาผลํ อาหรนฺตี เอกํ คิริกนฺทรํ ทิสฺวา สีสโต ปจฺฉิํ โอตาเรตฺวา กนฺทรตีเร ฐเปตฺวา ‘‘นฺหายิสฺสามี’’ติ โอตริตฺวา หลิทฺทาย สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา นฺหตฺวา สุโธตสรีรา อุตฺตริตฺวา วากจีรํ นิวาเสตฺวา กนฺทรตีเร อฎฺฐาสิฯ อถสฺสา สรีรปฺปภาย วนํ เอโกภาสํ อโหสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก ทานโว โคจรตฺถาย จรโนฺต ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา คาถาทฺวยํ อาห –

    Sā ekadivasaṃ araññe phalāphalaṃ āharantī ekaṃ girikandaraṃ disvā sīsato pacchiṃ otāretvā kandaratīre ṭhapetvā ‘‘nhāyissāmī’’ti otaritvā haliddāya sarīraṃ ubbaṭṭetvā nhatvā sudhotasarīrā uttaritvā vākacīraṃ nivāsetvā kandaratīre aṭṭhāsi. Athassā sarīrappabhāya vanaṃ ekobhāsaṃ ahosi. Tasmiṃ khaṇe eko dānavo gocaratthāya caranto taṃ disvā paṭibaddhacitto hutvā gāthādvayaṃ āha –

    ๒๙๗.

    297.

    ‘‘กา เวธมานา คิริกนฺทรายํ, เอกา ตุวํ ติฎฺฐสิ สํหิตูรุ;

    ‘‘Kā vedhamānā girikandarāyaṃ, ekā tuvaṃ tiṭṭhasi saṃhitūru;

    ปุฎฺฐาสิ เม ปาณิปเมยฺยมเชฺฌ, อกฺขาหิ เม นามญฺจ พนฺธเว จฯ

    Puṭṭhāsi me pāṇipameyyamajjhe, akkhāhi me nāmañca bandhave ca.

    ๒๙๘.

    298.

    ‘‘โอภาสยํ วนํ รมฺมํ, สีหพฺยคฺฆนิเสวิตํ;

    ‘‘Obhāsayaṃ vanaṃ rammaṃ, sīhabyagghanisevitaṃ;

    กา วา ตฺวมสิ กลฺยาณิ, กสฺส วา ตฺวํ สุมชฺฌิเม;

    Kā vā tvamasi kalyāṇi, kassa vā tvaṃ sumajjhime;

    อภิวาเทมิ ตํ ภเทฺท, ทานวาหํ นมตฺถุ เต’’ติฯ

    Abhivādemi taṃ bhadde, dānavāhaṃ namatthu te’’ti.

    ตตฺถ กา เวธมานาติ นฺหานมตฺตตาย สีตภาเวน กมฺปมานาฯ สํหิตูรูติ สมฺปิณฺฑิตูรุ อุตฺตมอูรุลกฺขเณฯ ปาณิปเมยฺยมเชฺฌติ หเตฺถน มินิตพฺพมเชฺฌฯ กา วา ตฺวนฺติ กา นาม วา ตฺวํ ภวสิฯ อภิวาเทมีติ วนฺทามิฯ ทานวาหนฺติ อหํ เอโก ทานโว, อยํ นมกฺกาโร ตว อตฺถุ, อญฺชลิํ เต ปคฺคณฺหามีติ อวจฯ

    Tattha kā vedhamānāti nhānamattatāya sītabhāvena kampamānā. Saṃhitūrūti sampiṇḍitūru uttamaūrulakkhaṇe. Pāṇipameyyamajjheti hatthena minitabbamajjhe. Kā vā tvanti kā nāma vā tvaṃ bhavasi. Abhivādemīti vandāmi. Dānavāhanti ahaṃ eko dānavo, ayaṃ namakkāro tava atthu, añjaliṃ te paggaṇhāmīti avaca.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā tisso gāthā abhāsi –

    ๒๙๙.

    299.

    ‘‘โย ปุโตฺต กาสิราชสฺส, โสตฺถิเสโนติ ตํ วิทู;

    ‘‘Yo putto kāsirājassa, sotthisenoti taṃ vidū;

    ตสฺสาหํ สมฺพุลา ภริยา, เอวํ ชานาหิ ทานว;

    Tassāhaṃ sambulā bhariyā, evaṃ jānāhi dānava;

    อภิวาเทมิ ตํ ภเนฺต, สมฺพุลาหํ นมตฺถุ เตฯ

    Abhivādemi taṃ bhante, sambulāhaṃ namatthu te.

    ๓๐๐.

    300.

    ‘‘เวเทหปุโตฺต ภทฺทเนฺต, วเน วสติ อาตุโร;

    ‘‘Vedehaputto bhaddante, vane vasati āturo;

    ตมหํ โรคสมฺมตฺตํ, เอกา เอกํ อุปฎฺฐหํฯ

    Tamahaṃ rogasammattaṃ, ekā ekaṃ upaṭṭhahaṃ.

    ๓๐๑.

    301.

    ‘‘อหญฺจ วนมุญฺฉาย, มธุมํสํ มิคาพิลํ;

    ‘‘Ahañca vanamuñchāya, madhumaṃsaṃ migābilaṃ;

    ยทาหรามิ ตํ ภโกฺข, ตสฺส นูนชฺช นาธตี’’ติฯ

    Yadāharāmi taṃ bhakkho, tassa nūnajja nādhatī’’ti.

    ตตฺถ เวเทหปุโตฺตติ เวเทหราชธีตาย ปุโตฺตฯ โรคสมฺมตฺตนฺติ โรคปีฬิตํฯ อุปฎฺฐหนฺติ อุปฎฺฐหามิ ปฎิชคฺคามิฯ ‘‘อุปฎฺฐิตา’’ติปิ ปาโฐฯ วนมุญฺฉายาติ วนํ อุเญฺฉตฺวา อุญฺฉาจริยํ จริตฺวาฯ มธุมํสนฺติ นิมฺมกฺขิกํ มธุญฺจ มิคาพิลมํสญฺจ สีหพฺยคฺฆมิเคหิ ขาทิตมํสโต อติริตฺตโกฎฺฐาสํฯ ตํ ภโกฺขติ ยํ อหํ อาหรามิ, ตํ ภโกฺขว โส มม สามิโกฯ ตสฺส นูนชฺชาติ ตสฺส มเญฺญ อชฺช อาหารํ อลภมานสฺส สรีรํ อาตเป ปกฺขิตฺตปทุมํ วิย นาธติ อุปตปฺปติ มิลายติฯ

    Tattha vedehaputtoti vedeharājadhītāya putto. Rogasammattanti rogapīḷitaṃ. Upaṭṭhahanti upaṭṭhahāmi paṭijaggāmi. ‘‘Upaṭṭhitā’’tipi pāṭho. Vanamuñchāyāti vanaṃ uñchetvā uñchācariyaṃ caritvā. Madhumaṃsanti nimmakkhikaṃ madhuñca migābilamaṃsañca sīhabyagghamigehi khāditamaṃsato atirittakoṭṭhāsaṃ. Taṃ bhakkhoti yaṃ ahaṃ āharāmi, taṃ bhakkhova so mama sāmiko. Tassa nūnajjāti tassa maññe ajja āhāraṃ alabhamānassa sarīraṃ ātape pakkhittapadumaṃ viya nādhati upatappati milāyati.

    ตโต ปรํ ทานวสฺส จ ตสฺสา จ วจนปฎิวจนคาถาโย โหนฺติ –

    Tato paraṃ dānavassa ca tassā ca vacanapaṭivacanagāthāyo honti –

    ๓๐๒.

    302.

    ‘‘กิํ วเน ราชปุเตฺตน, อาตุเรน กริสฺสสิ;

    ‘‘Kiṃ vane rājaputtena, āturena karissasi;

    สมฺพุเล ปริจิเณฺณน, อหํ ภตฺตา ภวามิ เตฯ

    Sambule pariciṇṇena, ahaṃ bhattā bhavāmi te.

    ๓๐๓.

    303.

    ‘‘โสกฎฺฎาย ทุรตฺตาย, กิํ รูปํ วิชฺชเต มม;

    ‘‘Sokaṭṭāya durattāya, kiṃ rūpaṃ vijjate mama;

    อญฺญํ ปริเยส ภทฺทเนฺต, อภิรูปตรํ มยาฯ

    Aññaṃ pariyesa bhaddante, abhirūpataraṃ mayā.

    ๓๐๔.

    304.

    ‘‘เอหิมํ คิริมารุยฺห, ภริยา เม จตุสฺสตา;

    ‘‘Ehimaṃ girimāruyha, bhariyā me catussatā;

    ตาสํ ตฺวํ ปวรา โหหิ, สพฺพกามสมิทฺธินีฯ

    Tāsaṃ tvaṃ pavarā hohi, sabbakāmasamiddhinī.

    ๓๐๕.

    305.

    ‘‘นูน ตารกวณฺณาเภ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสิ;

    ‘‘Nūna tārakavaṇṇābhe, yaṃ kiñci manasicchasi;

    สพฺพํ ตํ ปจุรํ มยฺหํ, รมสฺสฺวชฺช มยา สหฯ

    Sabbaṃ taṃ pacuraṃ mayhaṃ, ramassvajja mayā saha.

    ๓๐๖.

    306.

    ‘‘โน เจ ตุวํ มเหเสยฺยํ, สมฺพุเล การยิสฺสสิ;

    ‘‘No ce tuvaṃ maheseyyaṃ, sambule kārayissasi;

    อลํ ตฺวํ ปาตราสาย, ปเณฺห ภกฺขา ภวิสฺสสิฯ

    Alaṃ tvaṃ pātarāsāya, paṇhe bhakkhā bhavissasi.

    ๓๐๗.

    307.

    ‘‘ตญฺจ สตฺตชโฎ ลุโทฺท, กฬาโร ปุริสาทโก;

    ‘‘Tañca sattajaṭo luddo, kaḷāro purisādako;

    วเน นาถํ อปสฺสนฺติํ, สมฺพุลํ อคฺคหี ภุเชฯ

    Vane nāthaṃ apassantiṃ, sambulaṃ aggahī bhuje.

    ๓๐๘.

    308.

    ‘‘อธิปนฺนา ปิสาเจน, ลุเทฺทนามิสจกฺขุนา;

    ‘‘Adhipannā pisācena, luddenāmisacakkhunā;

    สา จ สตฺตุวสํ ปตฺตา, ปติเมวานุโสจติฯ

    Sā ca sattuvasaṃ pattā, patimevānusocati.

    ๓๐๙.

    309.

    ‘‘น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ, ยํ มํ ขาเทยฺย รกฺขโส;

    ‘‘Na me idaṃ tathā dukkhaṃ, yaṃ maṃ khādeyya rakkhaso;

    ยญฺจ เม อยฺยปุตฺตสฺส, มโน เหสฺสติ อญฺญถาฯ

    Yañca me ayyaputtassa, mano hessati aññathā.

    ๓๑๐.

    310.

    ‘‘น สนฺติ เทวา ปวสนฺติ นูน, น หิ นูน สนฺติ อิธ โลกปาลา;

    ‘‘Na santi devā pavasanti nūna, na hi nūna santi idha lokapālā;

    สหสา กโรนฺตานมสญฺญตานํ, น หิ นูน สนฺติ ปฎิเสธิตาโร’’ติฯ

    Sahasā karontānamasaññatānaṃ, na hi nūna santi paṭisedhitāro’’ti.

    ตตฺถ ปริจิเณฺณนาติ เตน อาตุเรน ปริจิเณฺณน กิํ กริสฺสสิฯ โสกฎฺฎายาติ โสกาตุรายฯ ‘‘โสกฎฺฐายา’’ติปิ ปาโฐ, โสเก ฐิตายาติ อโตฺถฯ ทุรตฺตายาติ ทุคฺคตกปณภาวปฺปตฺตาย อตฺตภาวายฯ เอหิมนฺติ มา ตฺวํ ทุรตฺตามฺหีติ จินฺตยิ, เอตํ มม คิริมฺหิ ทิพฺพวิมานํ, เอหิ อิมํ คิริํ อารุหฯ จตุสฺสตาติ ตสฺมิํ เม วิมาเน อปราปิ จตุสฺสตา ภริยาโย อตฺถิฯ สพฺพํ ตนฺติ ยํ กิญฺจิ อุปโภคปริโภควตฺถาภรณาทิกํ อิจฺฉสิ, สพฺพํ ตํ นูน มยฺหํ ปจุรํ พหุํ สุลภํ, ตสฺมา มา กปณามฺหีติ จินฺตยิ, เอหิ มยา สห รมสฺสูติ วทติฯ

    Tattha pariciṇṇenāti tena āturena pariciṇṇena kiṃ karissasi. Sokaṭṭāyāti sokāturāya. ‘‘Sokaṭṭhāyā’’tipi pāṭho, soke ṭhitāyāti attho. Durattāyāti duggatakapaṇabhāvappattāya attabhāvāya. Ehimanti mā tvaṃ durattāmhīti cintayi, etaṃ mama girimhi dibbavimānaṃ, ehi imaṃ giriṃ āruha. Catussatāti tasmiṃ me vimāne aparāpi catussatā bhariyāyo atthi. Sabbaṃ tanti yaṃ kiñci upabhogaparibhogavatthābharaṇādikaṃ icchasi, sabbaṃ taṃ nūna mayhaṃ pacuraṃ bahuṃ sulabhaṃ, tasmā mā kapaṇāmhīti cintayi, ehi mayā saha ramassūti vadati.

    มเหเสยฺยนฺติ, ‘‘ภเทฺท, สมฺพุเล โน เจ เม ตฺวํ มเหสิภาวํ กาเรสฺสสิ, ปริยตฺตา ตฺวํ มม ปาตราสาย, เตน ตํ พลกฺกาเรน วิมานํ เนสฺสามิ, ตตฺร มํ อสงฺคณฺหนฺตี มม เสฺว ปาโตว ภกฺขา ภวิสฺสสี’’ติ เอวํ วตฺวา โส สตฺตหิ ชฎาหิ สมนฺนาคโต ลุทฺทโก ทารุโณ นิกฺขนฺตทโนฺต ตํ ตสฺมิํ วเน กิญฺจิ อตฺตโน นาถํ อปสฺสนฺติํ สมฺพุลํ ภุเช อคฺคเหสิฯ อธิปนฺนาติ อโชฺฌตฺถฎาฯ อามิสจกฺขุนาติ กิเลสโลเลนฯ ปติเมวาติ อตฺตโน อจิเนฺตตฺวา ปติเมว อนุโสจติฯ มโน เหสฺสตีติ มํ จิรายนฺติํ วิทิตฺวา อญฺญถา จิตฺตํ ภวิสฺสติฯ น สนฺติ เทวาติ อิทํ สา ทานเวน ภุเช คหิตา เทวตุชฺฌาปนํ กโรนฺตี อาหฯ โลกปาลาติ เอวรูปานํ สีลวนฺตีนํ ปติเทวตานํ ปาลกา โลกปาลา นูน อิธ โลเก น สนฺตีติ ปริเทวติฯ

    Maheseyyanti, ‘‘bhadde, sambule no ce me tvaṃ mahesibhāvaṃ kāressasi, pariyattā tvaṃ mama pātarāsāya, tena taṃ balakkārena vimānaṃ nessāmi, tatra maṃ asaṅgaṇhantī mama sve pātova bhakkhā bhavissasī’’ti evaṃ vatvā so sattahi jaṭāhi samannāgato luddako dāruṇo nikkhantadanto taṃ tasmiṃ vane kiñci attano nāthaṃ apassantiṃ sambulaṃ bhuje aggahesi. Adhipannāti ajjhotthaṭā. Āmisacakkhunāti kilesalolena. Patimevāti attano acintetvā patimeva anusocati. Mano hessatīti maṃ cirāyantiṃ viditvā aññathā cittaṃ bhavissati. Na santi devāti idaṃ sā dānavena bhuje gahitā devatujjhāpanaṃ karontī āha. Lokapālāti evarūpānaṃ sīlavantīnaṃ patidevatānaṃ pālakā lokapālā nūna idha loke na santīti paridevati.

    อถสฺสา สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิ, ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา วชิรํ อาทาย เวเคน คนฺตฺวา ทานวสฺส มตฺถเก ฐตฺวา อิตรํ คาถมาห –

    Athassā sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampi, paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā vajiraṃ ādāya vegena gantvā dānavassa matthake ṭhatvā itaraṃ gāthamāha –

    ๓๑๑.

    311.

    ‘‘อิตฺถีนเมสา ปวรา ยสสฺสินี, สนฺตา สมา อคฺคิริวุคฺคเตชา;

    ‘‘Itthīnamesā pavarā yasassinī, santā samā aggirivuggatejā;

    ตเญฺจ ตุวํ รกฺขสาเทสิ กญฺญํ, มุทฺธา จ หิ สตฺตธา เต ผเลยฺย;

    Tañce tuvaṃ rakkhasādesi kaññaṃ, muddhā ca hi sattadhā te phaleyya;

    มา ตฺวํ ทหี มุญฺจ ปติพฺพตายา’’ติฯ

    Mā tvaṃ dahī muñca patibbatāyā’’ti.

    ตตฺถ สนฺตาติ อุปสนฺตา, อถ วา ปณฺฑิตา ญาณสมฺปนฺนาฯ สมาติ กายวิสมาทิวิรหิตาฯ อเทสีติ ขาทสิฯ ผเลยฺยาติ อิมินา เม อินฺทวชิเรน ปหริตฺวา มุทฺธา ภิเชฺชถฯ มา ตฺวํ ทหีติ ตฺวํ อิมํ ปติพฺพตํ มา ตาเปยฺยาสีติฯ

    Tattha santāti upasantā, atha vā paṇḍitā ñāṇasampannā. Samāti kāyavisamādivirahitā. Adesīti khādasi. Phaleyyāti iminā me indavajirena paharitvā muddhā bhijjetha. Mā tvaṃ dahīti tvaṃ imaṃ patibbataṃ mā tāpeyyāsīti.

    ตํ สุตฺวา ทานโว สมฺพุลํ วิสฺสเชฺชสิฯ สโกฺก ‘‘ปุนปิ เอส เอวรูปํ กเรยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา ทานวํ เทวสงฺขลิกาย พนฺธิตฺวา ปุน อนาคมนาย ตติเย ปพฺพตนฺตเร วิสฺสเชฺชสิ, ราชธีตรํ อปฺปมาเทน โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ ราชธีตาปิ อตฺถงฺคเต สูริเย จนฺทาโลเกน อสฺสมํ ปาปุณิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อฎฺฐ คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā dānavo sambulaṃ vissajjesi. Sakko ‘‘punapi esa evarūpaṃ kareyyā’’ti cintetvā dānavaṃ devasaṅkhalikāya bandhitvā puna anāgamanāya tatiye pabbatantare vissajjesi, rājadhītaraṃ appamādena ovaditvā sakaṭṭhānameva gato. Rājadhītāpi atthaṅgate sūriye candālokena assamaṃ pāpuṇi. Tamatthaṃ pakāsento satthā aṭṭha gāthā abhāsi –

    ๓๑๒.

    312.

    ‘‘สา จ อสฺสมมาคจฺฉิ, ปมุตฺตา ปุริสาทกา;

    ‘‘Sā ca assamamāgacchi, pamuttā purisādakā;

    นีฬํ ปฬินํ สกุณีว, คตสิงฺคํว อาลยํฯ

    Nīḷaṃ paḷinaṃ sakuṇīva, gatasiṅgaṃva ālayaṃ.

    ๓๑๓.

    313.

    ‘‘สา ตตฺถ ปริเทเวสิ, ราชปุตฺตี ยสสฺสินี;

    ‘‘Sā tattha paridevesi, rājaputtī yasassinī;

    สมฺพุลา อุตุมตฺตกฺขา, วเน นาถํ อปสฺสนฺตีฯ

    Sambulā utumattakkhā, vane nāthaṃ apassantī.

    ๓๑๔.

    314.

    ‘‘สมเณ พฺราหฺมเณ วเนฺท, สมฺปนฺนจรเณ อิเส;

    ‘‘Samaṇe brāhmaṇe vande, sampannacaraṇe ise;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตาฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā.

    ๓๑๕.

    315.

    ‘‘วเนฺท สีเห จ พฺยเคฺฆ จ, เย จ อเญฺญ วเน มิคา;

    ‘‘Vande sīhe ca byagghe ca, ye ca aññe vane migā;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตาฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā.

    ๓๑๖.

    316.

    ‘‘ติณา ลตานิ โอสโฌ, ปพฺพตานิ วนานิ จ;

    ‘‘Tiṇā latāni osajho, pabbatāni vanāni ca;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตาฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā.

    ๓๑๗.

    317.

    ‘‘วเนฺท อินฺทีวรีสามํ, รตฺติํ นกฺขตฺตมาลินิํ;

    ‘‘Vande indīvarīsāmaṃ, rattiṃ nakkhattamāliniṃ;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตาฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā.

    ๓๑๘.

    318.

    ‘‘วเนฺท ภาคีรถิํ คงฺคํ, สวนฺตีนํ ปฎิคฺคหํ;

    ‘‘Vande bhāgīrathiṃ gaṅgaṃ, savantīnaṃ paṭiggahaṃ;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตาฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā.

    ๓๑๙.

    319.

    ‘‘วเนฺท อหํ ปพฺพตราชเสฎฺฐํ, หิมวนฺตํ สิลุจฺจยํ;

    ‘‘Vande ahaṃ pabbatarājaseṭṭhaṃ, himavantaṃ siluccayaṃ;

    ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ตุมฺหํมฺหิ สรณํ คตา’’ติฯ

    Rājaputtaṃ apassantī, tumhaṃmhi saraṇaṃ gatā’’ti.

    ตตฺถ นีฬํ ปฬินํ สกุณีวาติ ยถา สกุณิกา มุขตุณฺฑเกน โคจรํ คเหตฺวา เกนจิ อุปทฺทเวน สกุณโปตกานํ ปฬินตฺตา ปฬินํ สกุณินีฬํ อาคเจฺฉยฺย, ยถา วา คตสิงฺคํ นิกฺขนฺตวจฺฉกํ อาลยํ สุญฺญํ วจฺฉกสาลํ วจฺฉคิทฺธินี เธนุ อาคเจฺฉยฺย, เอวํ สุญฺญํ อสฺสมํ อาคจฺฉีติ อโตฺถฯ ตทา หิ โสตฺถิเสโน สมฺพุลาย จิรมานาย ‘‘อิตฺถิโย นาม โลลา, ปจฺจามิตฺตมฺปิ เม คเหตฺวา อาคเจฺฉยฺยา’’ติ ปริสงฺกโนฺต ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา คจฺฉนฺตรํ ปวิสิตฺวา นิสีทิฯ เตเนตํ วุตฺตํฯ อุตุมตฺตกฺขาติ โสกเวคสญฺชาเตน อุเณฺหน อุตุนา มนฺทโลจนาฯ อปสฺสนฺตีติ ตสฺมิํ วเน นาถํ อตฺตโน ปติํ อปสฺสนฺตี อิโต จิโต จ สนฺธาวมานา ปริเทเวสิฯ

    Tattha nīḷaṃ paḷinaṃ sakuṇīvāti yathā sakuṇikā mukhatuṇḍakena gocaraṃ gahetvā kenaci upaddavena sakuṇapotakānaṃ paḷinattā paḷinaṃ sakuṇinīḷaṃ āgaccheyya, yathā vā gatasiṅgaṃ nikkhantavacchakaṃ ālayaṃ suññaṃ vacchakasālaṃ vacchagiddhinī dhenu āgaccheyya, evaṃ suññaṃ assamaṃ āgacchīti attho. Tadā hi sotthiseno sambulāya ciramānāya ‘‘itthiyo nāma lolā, paccāmittampi me gahetvā āgaccheyyā’’ti parisaṅkanto paṇṇasālato nikkhamitvā gacchantaraṃ pavisitvā nisīdi. Tenetaṃ vuttaṃ. Utumattakkhāti sokavegasañjātena uṇhena utunā mandalocanā. Apassantīti tasmiṃ vane nāthaṃ attano patiṃ apassantī ito cito ca sandhāvamānā paridevesi.

    ตตฺถ สมเณ พฺราหฺมเณติ สมิตปาปพาหิตปาเป สมเณ พฺราหฺมเณฯ สมฺปนฺนจรเณติ สห สีเลน อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ วเสน จ สมฺปนฺนจรเณ อิเส วเนฺทติ เอวํ วตฺวา ราชปุตฺตํ อปสฺสนฺตี ตุมฺหากํ สรณํ คตา อมฺหิฯ สเจ เม สามิกสฺส นิสินฺนฎฺฐานํ ชานาถ, อาจิกฺขถาติ ปริเทเวสีติ อโตฺถฯ เสสคาถาสุปิ เอเสว นโยฯ ติณา ลตานิ โอสโฌติ อโนฺตเผคฺคุพหิสารติณานิ จ ลตานิ จ อโนฺตสารโอสธิโย จฯ อิมํ คาถํ ติณาทีสุ นิพฺพตฺตเทวตา สนฺธายาหฯ อินฺทีวรีสามนฺติ อินฺทีวรีปุปฺผสมานวณฺณํฯ นกฺขตฺตมาลินินฺติ นกฺขตฺตปฎิปาฎิสมนฺนาคตํฯ ตุมฺหํมฺหีติ รตฺติํ สนฺธาย ตมฺปิ อมฺหีติ อาหฯ ภาคีรถิํ คงฺคนฺติ เอวํปริยายนามิกํ คงฺคํฯ สวนฺตีนนฺติ อญฺญาสํ พหูนํ นทีนํ ปฎิคฺคาหิกํฯ คงฺคาย นิพฺพตฺตเทวตํ สนฺธาเยวมาหฯ หิมวเนฺตปิ เอเสว นโยฯ

    Tattha samaṇe brāhmaṇeti samitapāpabāhitapāpe samaṇe brāhmaṇe. Sampannacaraṇeti saha sīlena aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ vasena ca sampannacaraṇe ise vandeti evaṃ vatvā rājaputtaṃ apassantī tumhākaṃ saraṇaṃ gatā amhi. Sace me sāmikassa nisinnaṭṭhānaṃ jānātha, ācikkhathāti paridevesīti attho. Sesagāthāsupi eseva nayo. Tiṇā latāni osajhoti antopheggubahisāratiṇāni ca latāni ca antosāraosadhiyo ca. Imaṃ gāthaṃ tiṇādīsu nibbattadevatā sandhāyāha. Indīvarīsāmanti indīvarīpupphasamānavaṇṇaṃ. Nakkhattamālininti nakkhattapaṭipāṭisamannāgataṃ. Tumhaṃmhīti rattiṃ sandhāya tampi amhīti āha. Bhāgīrathiṃ gaṅganti evaṃpariyāyanāmikaṃ gaṅgaṃ. Savantīnanti aññāsaṃ bahūnaṃ nadīnaṃ paṭiggāhikaṃ. Gaṅgāya nibbattadevataṃ sandhāyevamāha. Himavantepi eseva nayo.

    ตํ เอวํ ปริเทวมานํ ทิสฺวา โสตฺถิเสโน จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อติวิย ปริเทวติ, น โข ปนสฺสา ภาวํ ชานามิ, สเจ มยิ สิเนเหน เอวํ กโรติ , หทยมฺปิสฺสา ผเลยฺย, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ คนฺตฺวา ปณฺณสาลทฺวาเร นิสีทิฯ สาปิ ปริเทวมานาว ปณฺณสาลทฺวารํ คนฺตฺวา ตสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา ‘‘กุหิํ คโตสิ, เทวา’’ติ อาหฯ อถ นํ โส, ‘‘ภเทฺท , ตฺวํ อเญฺญสุ ทิวเสสุ น อิมาย เวลาย อาคจฺฉสิ, อชฺช อติสายํ อาคตาสี’’ติ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    Taṃ evaṃ paridevamānaṃ disvā sotthiseno cintesi – ‘‘ayaṃ ativiya paridevati, na kho panassā bhāvaṃ jānāmi, sace mayi sinehena evaṃ karoti , hadayampissā phaleyya, pariggaṇhissāmi tāva na’’nti gantvā paṇṇasāladvāre nisīdi. Sāpi paridevamānāva paṇṇasāladvāraṃ gantvā tassa pāde vanditvā ‘‘kuhiṃ gatosi, devā’’ti āha. Atha naṃ so, ‘‘bhadde , tvaṃ aññesu divasesu na imāya velāya āgacchasi, ajja atisāyaṃ āgatāsī’’ti pucchanto gāthamāha –

    ๓๒๐.

    320.

    ‘‘อติสายํ วตาคญฺฉิ, ราชปุตฺติ ยสสฺสินิ;

    ‘‘Atisāyaṃ vatāgañchi, rājaputti yasassini;

    เกน นุชฺช สมาคจฺฉิ, โก เต ปิยตโร มยา’’ติฯ

    Kena nujja samāgacchi, ko te piyataro mayā’’ti.

    อถ นํ สา ‘‘อหํ, อยฺยปุตฺต, ผลาผลานิ อาทาย อาคจฺฉนฺตี เอกํ ทานวํ ปสฺสิํ, โส มยิ ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา มํ หเตฺถ คณฺหิตฺวา ‘สเจ มม วจนํ น กโรสิ, ขาทิสฺสามิ ต’นฺติ อาห, อหํ ตาย เวลาย ตเญฺญว อนุโสจนฺตี เอวํ ปริเทวิ’’นฺติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ sā ‘‘ahaṃ, ayyaputta, phalāphalāni ādāya āgacchantī ekaṃ dānavaṃ passiṃ, so mayi paṭibaddhacitto hutvā maṃ hatthe gaṇhitvā ‘sace mama vacanaṃ na karosi, khādissāmi ta’nti āha, ahaṃ tāya velāya taññeva anusocantī evaṃ paridevi’’nti vatvā gāthamāha –

    ๓๒๑.

    321.

    ‘‘อิทํ โขหํ ตทาโวจํ, คหิตา เตน สตฺตุนา;

    ‘‘Idaṃ khohaṃ tadāvocaṃ, gahitā tena sattunā;

    น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ, ยํ มํ ขาเทยฺย รกฺขโส;

    Na me idaṃ tathā dukkhaṃ, yaṃ maṃ khādeyya rakkhaso;

    ยญฺจ เม อยฺยปุตฺตสฺส, มโน เหสฺสติ อญฺญถา’’ติฯ

    Yañca me ayyaputtassa, mano hessati aññathā’’ti.

    อถสฺส เสสมฺปิ ปวตฺติํ อาโรเจนฺตี ‘‘เตน ปนาหํ, เทว, ทานเวน คหิตา อตฺตานํ วิสฺสชฺชาเปตุํ อสโกฺกนฺตี เทวตุชฺฌาปนกมฺมํ อกาสิํ, อถ สโกฺก วชิรหโตฺถ อาคนฺตฺวา อากาเส ฐิโต ทานวํ สนฺตเชฺชตฺวา มํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ตํ เทวสงฺขลิกาย พนฺธิตฺวา ตติเย ปพฺพตนฺตเร ขิปิตฺวา ปกฺกามิ, เอวาหํ สกฺกํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลภิ’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา โสตฺถิเสโน, ‘‘ภเทฺท, โหตุ, มาตุคามสฺส อนฺตเร สจฺจํ นาม ทุลฺลภํ, หิมวเนฺต หิ พหู วนจรกตาปสวิชฺชาธราทโย สนฺติ, โก ตุยฺหํ สทฺทหิสฺสตี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Athassa sesampi pavattiṃ ārocentī ‘‘tena panāhaṃ, deva, dānavena gahitā attānaṃ vissajjāpetuṃ asakkontī devatujjhāpanakammaṃ akāsiṃ, atha sakko vajirahattho āgantvā ākāse ṭhito dānavaṃ santajjetvā maṃ vissajjāpetvā taṃ devasaṅkhalikāya bandhitvā tatiye pabbatantare khipitvā pakkāmi, evāhaṃ sakkaṃ nissāya jīvitaṃ labhi’’nti āha. Taṃ sutvā sotthiseno, ‘‘bhadde, hotu, mātugāmassa antare saccaṃ nāma dullabhaṃ, himavante hi bahū vanacarakatāpasavijjādharādayo santi, ko tuyhaṃ saddahissatī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๓๒๒.

    322.

    ‘‘โจรีนํ พหุพุทฺธีนํ, ยาสุ สจฺจํ สุทุลฺลภํ;

    ‘‘Corīnaṃ bahubuddhīnaṃ, yāsu saccaṃ sudullabhaṃ;

    ถีนํ ภาโว ทุราชาโน, มจฺฉเสฺสโวทเก คต’’นฺติฯ

    Thīnaṃ bhāvo durājāno, macchassevodake gata’’nti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา, ‘‘อยฺยปุตฺต, อหํ ตํ อสทฺทหนฺตํ มม สจฺจพเลเนว ติกิจฺฉิสฺสามี’’ติ อุทกสฺส กลสํ ปูเรตฺวา สจฺจกิริยํ กตฺวา ตสฺส สีเส อุทกํ อาสิญฺจนฺตี คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā, ‘‘ayyaputta, ahaṃ taṃ asaddahantaṃ mama saccabaleneva tikicchissāmī’’ti udakassa kalasaṃ pūretvā saccakiriyaṃ katvā tassa sīse udakaṃ āsiñcantī gāthamāha –

    ๓๒๓.

    323.

    ‘‘ตถา มํ สจฺจํ ปาเลตุ, ปาลยิสฺสติ เจ มมํ;

    ‘‘Tathā maṃ saccaṃ pāletu, pālayissati ce mamaṃ;

    ยถาหํ นาภิชานามิ, อญฺญํ ปิยตรํ ตยา;

    Yathāhaṃ nābhijānāmi, aññaṃ piyataraṃ tayā;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, พฺยาธิ เต วูปสมฺมตู’’ติฯ

    Etena saccavajjena, byādhi te vūpasammatū’’ti.

    ตตฺถ ตถา-สโทฺท ‘‘เจ มม’’นฺติ อิมินา สทฺธิํ โยเชตโพฺพฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถาหํ วทามิ, ตถา เจ มม วจนํ สจฺจํ, อถ มํ อิทานิปิ ปาเลตุ, อายติมฺปิ ปาเลสฺสติ, อิทานิ เม วจนํ สุณาถ ‘‘ยถาหํ นาภิชานามี’’ติฯ โปตฺถเกสุ ปน ‘‘ตถา มํ สจฺจํ ปาเลตี’’ติ ลิขิตํ, ตํ อฎฺฐกถายํ นตฺถิฯ

    Tattha tathā-saddo ‘‘ce mama’’nti iminā saddhiṃ yojetabbo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathāhaṃ vadāmi, tathā ce mama vacanaṃ saccaṃ, atha maṃ idānipi pāletu, āyatimpi pālessati, idāni me vacanaṃ suṇātha ‘‘yathāhaṃ nābhijānāmī’’ti. Potthakesu pana ‘‘tathā maṃ saccaṃ pāletī’’ti likhitaṃ, taṃ aṭṭhakathāyaṃ natthi.

    เอวํ ตาย สจฺจกิริยํ กตฺวา อุทเก อาสิตฺตมเตฺตเยว โสตฺถิเสนสฺส กุฎฺฐํ อมฺพิเลน โธตํ วิย ตมฺพมลํ ตาวเทว อปคจฺฉิฯ เต กติปาหํ ตตฺถ วสิตฺวา อรญฺญา นิกฺขมฺม พาราณสิํ ปตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิํสุฯ ราชา เตสํ อาคตภาวํ ญตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตเตฺถว โสตฺถิเสนสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา สมฺพุลํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน อภิสิญฺจาเปตฺวา นครํ ปเวเสตฺวา สยํ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อุยฺยาเน วาสํ กเปฺปสิ, ราชนิเวสเนเยว จ นิพทฺธํ ภุญฺชิฯ โสตฺถิเสโนปิ สมฺพุลาย อคฺคมเหสิฎฺฐานมตฺตเมว อทาสิ, น ปุนสฺสา โกจิ สกฺกาโร อโหสิ, อตฺถิภาวมฺปิสฺสา น อญฺญาสิ, อญฺญาเหว อิตฺถีหิ สทฺธิํ อภิรมิฯ สมฺพุลา สปตฺติโทสวเสน กิสา อโหสิ อุปณฺฑุปณฺฑุกชาตา ธมนีสนฺถตคตฺตาฯ สา เอกทิวสํ โสกวิโนทนตฺถํ ภุญฺชิตุํ อาคตสฺส สสุรตาปสสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ กตภตฺตกิจฺจํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ โส ตํ มิลาตินฺทฺริยํ ทิสฺวา คาถมาห –

    Evaṃ tāya saccakiriyaṃ katvā udake āsittamatteyeva sotthisenassa kuṭṭhaṃ ambilena dhotaṃ viya tambamalaṃ tāvadeva apagacchi. Te katipāhaṃ tattha vasitvā araññā nikkhamma bārāṇasiṃ patvā uyyānaṃ pavisiṃsu. Rājā tesaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā uyyānaṃ gantvā tattheva sotthisenassa chattaṃ ussāpetvā sambulaṃ aggamahesiṭṭhāne abhisiñcāpetvā nagaraṃ pavesetvā sayaṃ isipabbajjaṃ pabbajitvā uyyāne vāsaṃ kappesi, rājanivesaneyeva ca nibaddhaṃ bhuñji. Sotthisenopi sambulāya aggamahesiṭṭhānamattameva adāsi, na punassā koci sakkāro ahosi, atthibhāvampissā na aññāsi, aññāheva itthīhi saddhiṃ abhirami. Sambulā sapattidosavasena kisā ahosi upaṇḍupaṇḍukajātā dhamanīsanthatagattā. Sā ekadivasaṃ sokavinodanatthaṃ bhuñjituṃ āgatassa sasuratāpasassa santikaṃ gantvā taṃ katabhattakiccaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. So taṃ milātindriyaṃ disvā gāthamāha –

    ๓๒๔.

    324.

    ‘‘เย กุญฺชรา สตฺตสตา อุฬารา, รกฺขนฺติ รตฺตินฺทิวมุยฺยุตาวุธา;

    ‘‘Ye kuñjarā sattasatā uḷārā, rakkhanti rattindivamuyyutāvudhā;

    ธนุคฺคหานญฺจ สตานิ โสฬส, กถํวิเธ ปสฺสสิ ภเทฺท สตฺตโว’’ติฯ

    Dhanuggahānañca satāni soḷasa, kathaṃvidhe passasi bhadde sattavo’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท, สมฺพุเล เย อมฺหากํ สตฺตสตา กุญฺชรา, เตสเญฺญว ขนฺธคตานํ โยธานํ วเสน อุยฺยุตฺตาวุธา, อปรานิ จ โสฬสธนุคฺคหสตานิ รตฺตินฺทิวํ พาราณสิํ รกฺขนฺติฯ เอวํ สุรกฺขิเต นคเร กถํวิเธ ตฺวํ สตฺตโว ปสฺสสิฯ ภเทฺท, ยสฺสา ตว สาสงฺกา สปฺปฎิภยา อรญฺญา อาคตกาเลปิ ปภาสมฺปนฺนํ สรีรํ, อิทานิ ปน มิลาตา ปณฺฑุปลาสวณฺณา อติวิย กิลนฺตินฺทฺริยาสิ, กสฺส นาม ตฺวํ ภายสี’’ติ ปุจฺฉิฯ

    Tassattho – bhadde, sambule ye amhākaṃ sattasatā kuñjarā, tesaññeva khandhagatānaṃ yodhānaṃ vasena uyyuttāvudhā, aparāni ca soḷasadhanuggahasatāni rattindivaṃ bārāṇasiṃ rakkhanti. Evaṃ surakkhite nagare kathaṃvidhe tvaṃ sattavo passasi. Bhadde, yassā tava sāsaṅkā sappaṭibhayā araññā āgatakālepi pabhāsampannaṃ sarīraṃ, idāni pana milātā paṇḍupalāsavaṇṇā ativiya kilantindriyāsi, kassa nāma tvaṃ bhāyasī’’ti pucchi.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘ปุโตฺต เต, เทว, มยิ น ปุริมสทิโส’’ติ วตฺวา ปญฺจ คาถา อภาสิ –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘putto te, deva, mayi na purimasadiso’’ti vatvā pañca gāthā abhāsi –

    ๓๒๕.

    325.

    ‘‘อลงฺกตาโย ปทุมุตฺตรตฺตจา, วิราคิตา ปสฺสติ หํสคคฺครา;

    ‘‘Alaṅkatāyo padumuttarattacā, virāgitā passati haṃsagaggarā;

    ตาสํ สุณิตฺวา มิตคีตวาทิตํ, น ทานิ เม ตาต ตถา ยถา ปุเรฯ

    Tāsaṃ suṇitvā mitagītavāditaṃ, na dāni me tāta tathā yathā pure.

    ๓๒๖.

    326.

    ‘‘สุวณฺณสํกจฺจธรา สุวิคฺคหา, อลงฺกตา มานุสิยจฺฉรูปมา;

    ‘‘Suvaṇṇasaṃkaccadharā suviggahā, alaṅkatā mānusiyaccharūpamā;

    เสโนปิยา ตาต อนินฺทิตงฺคิโย, ขตฺติยกญฺญา ปฎิโลภยนฺติ นํฯ

    Senopiyā tāta aninditaṅgiyo, khattiyakaññā paṭilobhayanti naṃ.

    ๓๒๗.

    327.

    ‘‘สเจ อหํ ตาต ตถา ยถา ปุเร, ปติํ ตมุญฺฉาย ปุนา วเน ภเร;

    ‘‘Sace ahaṃ tāta tathā yathā pure, patiṃ tamuñchāya punā vane bhare;

    สมฺมานเย มํ น จ มํ วิมานเย, อิโตปิ เม ตาต ตโต วรํ สิยาฯ

    Sammānaye maṃ na ca maṃ vimānaye, itopi me tāta tato varaṃ siyā.

    ๓๒๘.

    328.

    ‘‘ยมนฺนปาเน วิปุลสฺมิ โอหิเต, นารี วิมฎฺฐาภรณา อลงฺกตา;

    ‘‘Yamannapāne vipulasmi ohite, nārī vimaṭṭhābharaṇā alaṅkatā;

    สพฺพงฺคุเปตา ปติโน จ อปฺปิยา, อพชฺฌ ตสฺสา มรณํ ตโต วรํฯ

    Sabbaṅgupetā patino ca appiyā, abajjha tassā maraṇaṃ tato varaṃ.

    ๓๒๙.

    329.

    ‘‘อปิ เจ ทลิทฺทา กปณา อนาฬฺหิยา, กฎาทุตียา ปติโน จ สา ปิยา;

    ‘‘Api ce daliddā kapaṇā anāḷhiyā, kaṭādutīyā patino ca sā piyā;

    สพฺพงฺคุเปตายปิ อปฺปิยาย, อยเมว เสยฺยา กปณาปิ ยา ปิยา’’ติฯ

    Sabbaṅgupetāyapi appiyāya, ayameva seyyā kapaṇāpi yā piyā’’ti.

    ตตฺถ ปทุมุตฺตรตฺตจาติ ปทุมคพฺภสทิสอุตฺตรตฺตจาฯ สพฺพาสํ สรีรโต สุวณฺณปภา นิจฺฉรนฺตีติ ทีเปติฯ วิราคิตาติ วิลคฺคสรีรา, ตนุมชฺฌาติ อโตฺถฯ หํสคคฺคราติ เอวรูปา หํสา วิย มธุรสฺสรา นาริโย ปสฺสติฯ ตาสนฺติ โส ตว ปุโตฺต ตาสํ นารีนํ มิตคีตวาทิตาทีนิ สุณิตฺวา อิทานิ เม, ตาต, ยถา ปุเร, ตถา น ปวตฺตตีติ วทติฯ สุวณฺณสํกจฺจธราติ สุวณฺณมยสํกจฺจาลงฺการธราฯ อลงฺกตาติ นานาลงฺการปฎิมณฺฑิตาฯ มานุสิยจฺฉรูปมาติ มานุสิโย อจฺฉรูปมาฯ เสโนปิยาติ โสตฺถิเสนสฺส ปิยาฯ ปฎิโลภยนฺติ นนฺติ นํ ตว ปุตฺตํ ปฎิโลภยนฺติฯ

    Tattha padumuttarattacāti padumagabbhasadisauttarattacā. Sabbāsaṃ sarīrato suvaṇṇapabhā niccharantīti dīpeti. Virāgitāti vilaggasarīrā, tanumajjhāti attho. Haṃsagaggarāti evarūpā haṃsā viya madhurassarā nāriyo passati. Tāsanti so tava putto tāsaṃ nārīnaṃ mitagītavāditādīni suṇitvā idāni me, tāta, yathā pure, tathā na pavattatīti vadati. Suvaṇṇasaṃkaccadharāti suvaṇṇamayasaṃkaccālaṅkāradharā. Alaṅkatāti nānālaṅkārapaṭimaṇḍitā. Mānusiyaccharūpamāti mānusiyo accharūpamā. Senopiyāti sotthisenassa piyā. Paṭilobhayanti nanti naṃ tava puttaṃ paṭilobhayanti.

    สเจ อหนฺติ, ตาต, ยถา ปุเร สเจ อหํ ปุนปิ ตํ ปติํ ตเถว กุฎฺฐโรเคน วนํ ปวิฎฺฐํ อุญฺฉาย ตสฺมิํ วเน ภเรยฺยํ, ปุนปิ มํ โส สมฺมาเนยฺย น วิมาเนยฺย, ตโต เม อิโตปิ พาราณสิรชฺชโต ตํ อรญฺญเมว วรํ สิยา สปตฺติโทเสน สุสฺสนฺติยาติ ทีเปติฯ ยมนฺนปาเนติ ยํ อนฺนปาเนฯ โอหิเตติ ฐปิเต ปฎิยเตฺตฯ อิมินา พหุนฺนปานฆรํ ทเสฺสติฯ อยํ กิรสฺสา อธิปฺปาโย – ยา นารี วิปุลนฺนปาเน ฆเร เอกิกาว อสปตฺติ สมานา วิมฎฺฐาภรณา นานาลงฺกาเรหิ อลงฺกตา สเพฺพหิ คุณเงฺคหิ อุเปตา ปติโน จ อปฺปิยา โหติ, อพชฺฌ คีวาย วลฺลิยา วา รชฺชุยา วา พนฺธิตฺวา ตสฺสา ตโต ฆราวาสโต มรณเมว วรตรนฺติฯ อนาฬฺหียาติ อนาฬฺหาฯ กฎาทุตียาติ นิปชฺชนกฎสารกทุติยาฯ เสยฺยาติ กปณาปิ สมานา ยา ปติโน ปิยา, อยเมว อุตฺตมาติฯ

    Sace ahanti, tāta, yathā pure sace ahaṃ punapi taṃ patiṃ tatheva kuṭṭharogena vanaṃ paviṭṭhaṃ uñchāya tasmiṃ vane bhareyyaṃ, punapi maṃ so sammāneyya na vimāneyya, tato me itopi bārāṇasirajjato taṃ araññameva varaṃ siyā sapattidosena sussantiyāti dīpeti. Yamannapāneti yaṃ annapāne. Ohiteti ṭhapite paṭiyatte. Iminā bahunnapānagharaṃ dasseti. Ayaṃ kirassā adhippāyo – yā nārī vipulannapāne ghare ekikāva asapatti samānā vimaṭṭhābharaṇā nānālaṅkārehi alaṅkatā sabbehi guṇaṅgehi upetā patino ca appiyā hoti, abajjha gīvāya valliyā vā rajjuyā vā bandhitvā tassā tato gharāvāsato maraṇameva varataranti. Anāḷhīyāti anāḷhā. Kaṭādutīyāti nipajjanakaṭasārakadutiyā. Seyyāti kapaṇāpi samānā yā patino piyā, ayameva uttamāti.

    เอวํ ตาย อตฺตโน ปริสุสฺสนการเณ ตาปสสฺส กถิเต ตาปโส ราชานํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, โสตฺถิเสน ตยิ กุฎฺฐโรคาภิภูเต อรญฺญํ ปวิสเนฺต ตยา สทฺธิํ ปวิสิตฺวา ตํ อุปฎฺฐหนฺตี อตฺตโน สจฺจพเลน ตว โรคํ วูปสเมตฺวา ยา เต รเชฺช ปติฎฺฐานการณมกาสิ, ตสฺสา นาม ตฺวํ เนว ฐิตฎฺฐานํ, น นิสินฺนฎฺฐานํ ชานาสิ, อยุตฺตํ เต กตํ, มิตฺตทุพฺภิกมฺมํ นาเมตํ ปาปก’’นฺติ วตฺวา ปุตฺตํ โอวทโนฺต คาถมาห –

    Evaṃ tāya attano parisussanakāraṇe tāpasassa kathite tāpaso rājānaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, sotthisena tayi kuṭṭharogābhibhūte araññaṃ pavisante tayā saddhiṃ pavisitvā taṃ upaṭṭhahantī attano saccabalena tava rogaṃ vūpasametvā yā te rajje patiṭṭhānakāraṇamakāsi, tassā nāma tvaṃ neva ṭhitaṭṭhānaṃ, na nisinnaṭṭhānaṃ jānāsi, ayuttaṃ te kataṃ, mittadubbhikammaṃ nāmetaṃ pāpaka’’nti vatvā puttaṃ ovadanto gāthamāha –

    ๓๓๐.

    330.

    ‘‘สุทุลฺลภิตฺถี ปุริสสฺส ยา หิตา, ภตฺติตฺถิยา ทุลฺลโภ โย หิโต จ;

    ‘‘Sudullabhitthī purisassa yā hitā, bhattitthiyā dullabho yo hito ca;

    หิตา จ เต สีลวตี จ ภริยา, ชนินฺท ธมฺมํ จร สมฺพุลายา’’ติฯ

    Hitā ca te sīlavatī ca bhariyā, janinda dhammaṃ cara sambulāyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ตาต, ยา ปุริสสฺส หิตา มุทุจิตฺตา อนุกมฺปิกา อิตฺถี, โย จ ภตฺตา อิตฺถิยา หิโต กตคุณํ ชานาติ, อุโภเปเต สุทุลฺลภาฯ อยญฺจ สมฺพุลา ตุยฺหํ หิตา เจว สีลสมฺปนฺนา จ, ตสฺมา เอติสฺสา ธมฺมํ จร, กตคุณํ ชานิตฺวา มุทุจิโตฺต โหหิ, จิตฺตมสฺสา ปริโตเสหีติฯ

    Tassattho – tāta, yā purisassa hitā muducittā anukampikā itthī, yo ca bhattā itthiyā hito kataguṇaṃ jānāti, ubhopete sudullabhā. Ayañca sambulā tuyhaṃ hitā ceva sīlasampannā ca, tasmā etissā dhammaṃ cara, kataguṇaṃ jānitvā muducitto hohi, cittamassā paritosehīti.

    เอวํ โส ปุตฺตสฺส โอวาทํ ทตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ราชา ปิตริ คเต สมฺพุลํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ภเทฺท, เอตฺตกํ กาลํ มยา กตํ โทสํ ขม, อิโต ปฎฺฐาย สพฺพิสฺสริยํ ตุยฺหเมว ทมฺมี’’ติ วตฺวา โอสานคาถมาห –

    Evaṃ so puttassa ovādaṃ datvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Rājā pitari gate sambulaṃ pakkosāpetvā, ‘‘bhadde, ettakaṃ kālaṃ mayā kataṃ dosaṃ khama, ito paṭṭhāya sabbissariyaṃ tuyhameva dammī’’ti vatvā osānagāthamāha –

    ๓๓๑.

    331.

    ‘‘สเจ ตุวํ วิปุเล ลทฺธโภเค, อิสฺสาวติณฺณา มรณํ อุเปสิ;

    ‘‘Sace tuvaṃ vipule laddhabhoge, issāvatiṇṇā maraṇaṃ upesi;

    อหญฺจ เต ภเทฺท อิมา ราชกญฺญา, สเพฺพ เต วจนกรา ภวามา’’ติฯ

    Ahañca te bhadde imā rājakaññā, sabbe te vacanakarā bhavāmā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท, สมฺพุเล สเจ ตฺวํ รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิสิตฺตา อคฺคมเหสิฎฺฐานวเสน วิปุเล โภเค ลภิตฺวาปิ อิสฺสาย โอติณฺณา มรณํ อุเปสิ, อหญฺจ อิมา จ ราชกญฺญา สเพฺพ ตว วจนกรา ภวาม, ตฺวํ ยถาธิปฺปายํ อิมํ รชฺชํ วิจาเรหีติ สพฺพิสฺสริยํ ตสฺสา อทาสิฯ

    Tassattho – bhadde, sambule sace tvaṃ ratanarāsimhi ṭhapetvā abhisittā aggamahesiṭṭhānavasena vipule bhoge labhitvāpi issāya otiṇṇā maraṇaṃ upesi, ahañca imā ca rājakaññā sabbe tava vacanakarā bhavāma, tvaṃ yathādhippāyaṃ imaṃ rajjaṃ vicārehīti sabbissariyaṃ tassā adāsi.

    ตโต ปฎฺฐาย อุโภ สมคฺควาสํ วสนฺตา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา ยถากมฺมํ คมิํสุฯ ตาปโส ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Tato paṭṭhāya ubho samaggavāsaṃ vasantā dānādīni puññāni karitvā yathākammaṃ gamiṃsu. Tāpaso jhānābhiññāyo nibbattetvā brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ มลฺลิกา ปติเทวตาเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา สมฺพุลา มลฺลิกา อโหสิ, โสตฺถิเสโน โกสลราชา, ปิตา ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi mallikā patidevatāyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā sambulā mallikā ahosi, sotthiseno kosalarājā, pitā tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    สมฺพุลาชาตกวณฺณนา นวมาฯ

    Sambulājātakavaṇṇanā navamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๙. สมฺพุลาชาตกํ • 519. Sambulājātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact