Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. สมิทฺธิสุตฺตวณฺณนา
10. Samiddhisuttavaṇṇanā
๒๐. ทสเม ตโปทาราเมติ ตโปทสฺส ตโตฺตทกสฺส รหทสฺส วเสน เอวํ ลทฺธนาเม อาราเมฯ เวภารปพฺพตสฺส กิร เหฎฺฐา ภุมฺมฎฺฐกนาคานํ ปญฺจโยชนสติกํ นาคภวนํ เทวโลกสทิสํ มณิมเยน ตเลน อารามุยฺยาเนหิ จ สมนฺนาคตํฯ ตตฺถ นาคานํ กีฬนฎฺฐาเน มหาอุทกรหโท, ตโต ตโปทา นาม นที สนฺทติ กุถิตา อุโณฺหทกาฯ กสฺมา ปเนสา เอทิสา? ราชคหํ กิร ปริวาเรตฺวา มหาเปตโลโก ติฎฺฐติ, ตตฺถ ทฺวินฺนํ มหาโลหกุมฺภินิรยานํ อนฺตเรน อยํ ตโปทา อาคจฺฉติ, ตสฺมา กุถิตา สนฺทติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
20. Dasame tapodārāmeti tapodassa tattodakassa rahadassa vasena evaṃ laddhanāme ārāme. Vebhārapabbatassa kira heṭṭhā bhummaṭṭhakanāgānaṃ pañcayojanasatikaṃ nāgabhavanaṃ devalokasadisaṃ maṇimayena talena ārāmuyyānehi ca samannāgataṃ. Tattha nāgānaṃ kīḷanaṭṭhāne mahāudakarahado, tato tapodā nāma nadī sandati kuthitā uṇhodakā. Kasmā panesā edisā? Rājagahaṃ kira parivāretvā mahāpetaloko tiṭṭhati, tattha dvinnaṃ mahālohakumbhinirayānaṃ antarena ayaṃ tapodā āgacchati, tasmā kuthitā sandati. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ยตายํ, ภิกฺขเว, ตโปทา สนฺทติ, โส ทโห อโจฺฉทโก สีโตทโก สาโตทโก เสโตทโก สุปฺปติโตฺถ รมณีโย ปหูตมจฺฉกจฺฉโป, จกฺกมตฺตานิ จ ปทุมานิ ปุปฺผนฺติฯ อปิจายํ, ภิกฺขเว, ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉติ, เตนายํ ตโปทา กุถิตา สนฺทตี’’ติ (ปารา. ๒๓๑)ฯ
‘‘Yatāyaṃ, bhikkhave, tapodā sandati, so daho acchodako sītodako sātodako setodako suppatittho ramaṇīyo pahūtamacchakacchapo, cakkamattāni ca padumāni pupphanti. Apicāyaṃ, bhikkhave, tapodā dvinnaṃ mahānirayānaṃ antarikāya āgacchati, tenāyaṃ tapodā kuthitā sandatī’’ti (pārā. 231).
อิมสฺส ปน อารามสฺส อภิมุขฎฺฐาเน ตโต มหาอุทกรหโท ชาโต, ตสฺส วเสนายํ วิหาโร ‘‘ตโปทาราโม’’ติ วุจฺจติฯ
Imassa pana ārāmassa abhimukhaṭṭhāne tato mahāudakarahado jāto, tassa vasenāyaṃ vihāro ‘‘tapodārāmo’’ti vuccati.
สมิทฺธีติ ตสฺส กิร เถรสฺส อตฺตภาโว สมิโทฺธ อภิรูโป ปาสาทิโก, ตสฺมา ‘‘สมิทฺธี’’เตฺวว สงฺขํ คโตฯ คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุนฺติ ปธานิกเตฺถโร เอส, พลวปจฺจูเส อุฎฺฐายาสนา สรีรํ อุตุํ คาหาเปตฺวา พหิ สฎฺฐิหตฺถมเตฺต มหาจงฺกเม อปราปรํ จงฺกมิตฺวา ‘‘เสทคหิเตหิ คเตฺตหิ ปริภุญฺชมานํ เสนาสนํ กิลิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน คตฺตานิ ปริสิญฺจนตฺถํ สรีรโธวนตฺถํ อุปสงฺกมิฯ เอกจีวโร อฎฺฐาสีติ นิวาสนํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ หเตฺถน คเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ
Samiddhīti tassa kira therassa attabhāvo samiddho abhirūpo pāsādiko, tasmā ‘‘samiddhī’’tveva saṅkhaṃ gato. Gattāni parisiñcitunti padhānikatthero esa, balavapaccūse uṭṭhāyāsanā sarīraṃ utuṃ gāhāpetvā bahi saṭṭhihatthamatte mahācaṅkame aparāparaṃ caṅkamitvā ‘‘sedagahitehi gattehi paribhuñjamānaṃ senāsanaṃ kilissatī’’ti maññamāno gattāni parisiñcanatthaṃ sarīradhovanatthaṃ upasaṅkami. Ekacīvaro aṭṭhāsīti nivāsanaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ hatthena gahetvā aṭṭhāsi.
คตฺตานิ ปุพฺพาปยมาโนติ คตฺตานิ ปุพฺพสทิสานิ โวทกานิ กุรุมาโนฯ อลฺลสรีเร ปารุตํ หิ จีวรํ กิลิสฺสติ ทุคฺคนฺธํ โหติ, น เจตํ วตฺตํฯ เถโร ปน วตฺตสมฺปโนฺน, ตสฺมา วเตฺต ฐิโตว นฺหายิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตตฺถ อิทํ นฺหานวตฺตํ – อุทกติตฺถํ คนฺตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ จีวรานิ นิกฺขิปิตฺวา เวเคน ฐิตเกเนว น โอตริตพฺพํ, สพฺพทิสา ปน โอโลเกตฺวา วิวิตฺตภาวํ ญตฺวา ขาณุคุมฺพลตาทีนิ ววตฺถเปตฺวา ติกฺขตฺตุํ อุกฺกาสิตฺวา อวกุชฺช ฐิเตน อุตฺตราสงฺคจีวรํ อปเนตฺวา ปสาเรตพฺพํ, กายพนฺธนํ โมเจตฺวา จีวรปิเฎฺฐเยว ฐเปตพฺพํฯ สเจ อุทกสาฎิกา นตฺถิ, อุทกเนฺต อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา นิวาสนํ โมเจตฺวา สเจ สินฺนฎฺฐานํ อตฺถิ, ปสาเรตพฺพํฯ โน เจ อตฺถิ, สํหริตฺวา ฐเปตพฺพํฯ อุทกํ โอตรเนฺตน สณิกํ นาภิปฺปมาณมตฺตํ โอตริตฺวา วีจิํ อนุฎฺฐาเปเนฺตน สทฺทํ อกโรเนฺตน นิวตฺติตฺวา อาคตทิสาภิมุเขน นิมุชฺชิตพฺพํ, เอวํ จีวรํ รกฺขิตํ โหติฯ อุมฺมุชฺชเนฺตนปิ สทฺทํ อกโรเนฺตน สณิกํ อุมฺมุชฺชิตฺวา นฺหานปริโยสาเน อุทกเนฺต อุกฺกุฎิเกน นิสีทิตฺวา นิวาสนํ ปริกฺขิปิตฺวา อุฎฺฐาย สุปริมณฺฑลํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ อปารุปิตฺวาว ฐาตพฺพนฺติฯ
Gattāni pubbāpayamānoti gattāni pubbasadisāni vodakāni kurumāno. Allasarīre pārutaṃ hi cīvaraṃ kilissati duggandhaṃ hoti, na cetaṃ vattaṃ. Thero pana vattasampanno, tasmā vatte ṭhitova nhāyitvā paccuttaritvā aṭṭhāsi. Tattha idaṃ nhānavattaṃ – udakatitthaṃ gantvā yattha katthaci cīvarāni nikkhipitvā vegena ṭhitakeneva na otaritabbaṃ, sabbadisā pana oloketvā vivittabhāvaṃ ñatvā khāṇugumbalatādīni vavatthapetvā tikkhattuṃ ukkāsitvā avakujja ṭhitena uttarāsaṅgacīvaraṃ apanetvā pasāretabbaṃ, kāyabandhanaṃ mocetvā cīvarapiṭṭheyeva ṭhapetabbaṃ. Sace udakasāṭikā natthi, udakante ukkuṭikaṃ nisīditvā nivāsanaṃ mocetvā sace sinnaṭṭhānaṃ atthi, pasāretabbaṃ. No ce atthi, saṃharitvā ṭhapetabbaṃ. Udakaṃ otarantena saṇikaṃ nābhippamāṇamattaṃ otaritvā vīciṃ anuṭṭhāpentena saddaṃ akarontena nivattitvā āgatadisābhimukhena nimujjitabbaṃ, evaṃ cīvaraṃ rakkhitaṃ hoti. Ummujjantenapi saddaṃ akarontena saṇikaṃ ummujjitvā nhānapariyosāne udakante ukkuṭikena nisīditvā nivāsanaṃ parikkhipitvā uṭṭhāya suparimaṇḍalaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ apārupitvāva ṭhātabbanti.
เถโรปิ ตถา นฺหายิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา วิคจฺฉมานอุทกํ กายํ โอโลกยมาโน อฎฺฐาสิฯ ตสฺส ปกติยาปิ ปาสาทิกสฺส ปจฺจูสสมเย สมฺมา ปริณตาหารสฺส อุโณฺหทเกน นฺหาตสฺส อติวิย มุขวโณฺณ วิโรจิ, พนฺธนา ปวุตฺตตาลผลํ วิย ปภาสมฺปโนฺน ปุณฺณจโนฺท วิย ตงฺขณวิกสิตปทุมํ วิย มุขํ สสฺสิริกํ อโหสิ, สรีรวโณฺณปิ วิปฺปสีทิฯ ตสฺมิํ สมเย วนสเณฺฑ อธิวตฺถา ภุมฺมเทวตา ปาสาทิกํ ภิกฺขุํ โอโลกยมานา สมนํ นิคฺคเหตุํ อสโกฺกนฺตี กามปริฬาหาภิภูตา หุตฺวา, ‘‘เถรํ ปโลเภสฺสามี’’ติ อตฺตภาวํ อุฬาเรน อลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา สหสฺสวฎฺฎิปทีปํ ปชฺชลมานา วิย จนฺทํ อุฎฺฐาปยมานา วิย สกลารามํ เอโกภาสํ กตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา อวนฺทิตฺวาว เวหาเส ฐิตา คาถํ อภาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อญฺญตรา เทวตา…เป.… อชฺฌภาสี’’ติฯ
Theropi tathā nhāyitvā paccuttaritvā vigacchamānaudakaṃ kāyaṃ olokayamāno aṭṭhāsi. Tassa pakatiyāpi pāsādikassa paccūsasamaye sammā pariṇatāhārassa uṇhodakena nhātassa ativiya mukhavaṇṇo viroci, bandhanā pavuttatālaphalaṃ viya pabhāsampanno puṇṇacando viya taṅkhaṇavikasitapadumaṃ viya mukhaṃ sassirikaṃ ahosi, sarīravaṇṇopi vippasīdi. Tasmiṃ samaye vanasaṇḍe adhivatthā bhummadevatā pāsādikaṃ bhikkhuṃ olokayamānā samanaṃ niggahetuṃ asakkontī kāmapariḷāhābhibhūtā hutvā, ‘‘theraṃ palobhessāmī’’ti attabhāvaṃ uḷārena alaṅkārena alaṅkaritvā sahassavaṭṭipadīpaṃ pajjalamānā viya candaṃ uṭṭhāpayamānā viya sakalārāmaṃ ekobhāsaṃ katvā theraṃ upasaṅkamitvā avanditvāva vehāse ṭhitā gāthaṃ abhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho aññatarā devatā…pe… ajjhabhāsī’’ti.
อภุตฺวาติ ปญฺจ กามคุเณ อปริภุญฺชิตฺวาฯ ภิกฺขสีติ ปิณฺฑาย จรสิฯ มา ตํ กาโล อุปจฺจคาติ เอตฺถ กาโล นาม ปญฺจกามคุณปฎิเสวนกฺขโม ทหรโยพฺพนกาโลฯ ชราชิเณฺณน หิ โอภเคฺคน ทณฺฑปรายเณน ปเวธมาเนน กาสสาสาภิภูเตน น สกฺกา กาเม ปริภุญฺชิตุํฯ อิติ อิมํ กาลํ สนฺธาย เทวตา ‘‘มา ตํ กาโล อุปจฺจคา’’ติ อาหฯ ตตฺถ มา อุปจฺจคาติ มา อติกฺกมิฯ
Abhutvāti pañca kāmaguṇe aparibhuñjitvā. Bhikkhasīti piṇḍāya carasi. Mā taṃ kālo upaccagāti ettha kālo nāma pañcakāmaguṇapaṭisevanakkhamo daharayobbanakālo. Jarājiṇṇena hi obhaggena daṇḍaparāyaṇena pavedhamānena kāsasāsābhibhūtena na sakkā kāme paribhuñjituṃ. Iti imaṃ kālaṃ sandhāya devatā ‘‘mā taṃ kālo upaccagā’’ti āha. Tattha mā upaccagāti mā atikkami.
กาลํ โวหํ น ชานามีติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ กาลํ น ชานามีติ มรณกาลํ สนฺธาย วทติฯ สตฺตานญฺหิ –
Kālaṃ vohaṃ na jānāmīti ettha voti nipātamattaṃ. Kālaṃ na jānāmīti maraṇakālaṃ sandhāya vadati. Sattānañhi –
‘‘ชีวิตํ พฺยาธิ กาโล จ, เทหนิเกฺขปนํ คติ;
‘‘Jīvitaṃ byādhi kālo ca, dehanikkhepanaṃ gati;
ปเญฺจเต ชีวโลกสฺมิํ, อนิมิตฺตา น นายเร’’ฯ
Pañcete jīvalokasmiṃ, animittā na nāyare’’.
ตตฺถ ชีวิตํ ตาว ‘‘เอตฺตกเมว, น อิโต ปร’’นฺติ ววตฺถานาภาวโต อนิมิตฺตํฯ กลลกาเลปิ หิ สตฺตา มรนฺติ, อพฺพุท-เปสิ-ฆน-อฑฺฒมาส-เอกมาส-เทฺวมาส-เตมาส-จตุมาสปญฺจมาส…เป.… ทสมาสกาเลปิ, กุจฺฉิโต นิกฺขนฺตสมเยปิ, ตโต ปรํ วสฺสสตสฺส อโนฺตปิ พหิปิ มรนฺติเยวฯ พฺยาธิปิ ‘‘อิมินาว พฺยาธินา สตฺตา มรนฺติ, น อเญฺญนา’’ติ ววตฺถานาภาวโต อนิมิโตฺตฯ จกฺขุโรเคนปิ หิ สตฺตา มรนฺติ โสตโรคาทีนํ อญฺญตเรนปิฯ กาโลปิ, ‘‘อิมสฺมิํ เยว กาเล มริตพฺพํ, น อญฺญสฺมิ’’นฺติ เอวํ ววตฺถานาภาวโต อนิมิโตฺตฯ ปุพฺพเณฺหปิ หิ สตฺตา มรนฺติ มชฺฌนฺหิกาทีนํ อญฺญตรสฺมิมฺปิฯ เทหนิเกฺขปนมฺปิ, ‘‘อิเธว มียมานานํ เทเหน ปติตพฺพํ, น อญฺญตฺถา’’ติ เอวํ ววตฺถานาภาวโต อนิมิตฺตํฯ อโนฺตคาเม ชาตานญฺหิ พหิคาเมปิ อตฺตภาโว ปตติ, พหิคาเมปิ ชาตานํ อโนฺตคาเมปิฯ ตถา ถลชานํ ชเล, ชลชานํ ถเลติ อเนกปฺปการโต วิตฺถาเรตพฺพํฯ คติปิ, ‘‘อิโต จุเตน อิธ นิพฺพตฺติตพฺพ’’นฺติ เอวํ ววตฺถานาภาวโต อนิมิตฺตาฯ เทวโลกโต หิ จุตา มนุเสฺสสุปิ นิพฺพตฺตนฺติ , มนุสฺสโลกโต จุตา เทวโลกาทีนํ ยตฺถ กตฺถจิ นิพฺพตฺตนฺตีติ เอวํ ยเนฺต ยุตฺตโคโณ วิย คติปญฺจเก โลโก สมฺปริวตฺตติฯ ตเสฺสวํ สมฺปริวตฺตโต ‘‘อิมสฺมิํ นาม กาเล มรณํ ภวิสฺสตี’’ติ อิมํ มรณสฺส กาลํ โวหํ น ชานามิฯ
Tattha jīvitaṃ tāva ‘‘ettakameva, na ito para’’nti vavatthānābhāvato animittaṃ. Kalalakālepi hi sattā maranti, abbuda-pesi-ghana-aḍḍhamāsa-ekamāsa-dvemāsa-temāsa-catumāsapañcamāsa…pe… dasamāsakālepi, kucchito nikkhantasamayepi, tato paraṃ vassasatassa antopi bahipi marantiyeva. Byādhipi ‘‘imināva byādhinā sattā maranti, na aññenā’’ti vavatthānābhāvato animitto. Cakkhurogenapi hi sattā maranti sotarogādīnaṃ aññatarenapi. Kālopi, ‘‘imasmiṃ yeva kāle maritabbaṃ, na aññasmi’’nti evaṃ vavatthānābhāvato animitto. Pubbaṇhepi hi sattā maranti majjhanhikādīnaṃ aññatarasmimpi. Dehanikkhepanampi, ‘‘idheva mīyamānānaṃ dehena patitabbaṃ, na aññatthā’’ti evaṃ vavatthānābhāvato animittaṃ. Antogāme jātānañhi bahigāmepi attabhāvo patati, bahigāmepi jātānaṃ antogāmepi. Tathā thalajānaṃ jale, jalajānaṃ thaleti anekappakārato vitthāretabbaṃ. Gatipi, ‘‘ito cutena idha nibbattitabba’’nti evaṃ vavatthānābhāvato animittā. Devalokato hi cutā manussesupi nibbattanti , manussalokato cutā devalokādīnaṃ yattha katthaci nibbattantīti evaṃ yante yuttagoṇo viya gatipañcake loko samparivattati. Tassevaṃ samparivattato ‘‘imasmiṃ nāma kāle maraṇaṃ bhavissatī’’ti imaṃ maraṇassa kālaṃ vohaṃ na jānāmi.
ฉโนฺน กาโล น ทิสฺสตีติ อยํ กาโล มยฺหํ ปฎิจฺฉโนฺน อวิภูโต น ปญฺญายติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อยํ กาโล ปฎิจฺฉโนฺน น ปญฺญายติ, ตสฺมา ปญฺจ กามคุเณ อภุตฺวาว ภิกฺขามิฯ มา มํ กาโล อุปจฺจคาติ เอตฺถ สมณธมฺมกรณกาลํ สนฺธาย ‘‘กาโล’’ติ อาหฯ อยญฺหิ สมณธโมฺม นาม ปจฺฉิเม กาเล ติโสฺส วโยสีมา อติกฺกเนฺตน โอภเคฺคน ทณฺฑปรายเณน ปเวธมาเนน กาสสาสาภิภูเตน น สกฺกา กาตุํฯ ตทา หิ น สกฺกา โหติ อิจฺฉิติจฺฉิตํ พุทฺธวจนํ วา คณฺหิตุํ, ธุตงฺคํ วา ปริภุญฺชิตุํ, อรญฺญวาสํ วา วสิตุํ, อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สมาปตฺติํ วา สมาปชฺชิตุํ, ปทภาณ-สรภญฺญธมฺมกถา-อนุโมทนาทีนิ วา กาตุํ, ตรุณโยพฺพนกาเล ปเนตํ สพฺพํ สกฺกา กาตุนฺติ อยํ สมณธมฺมกรณสฺส กาโล มา มํ อุปจฺจคา, ยาว มํ นาติกฺกมติ, ตาว กาเม อภุตฺวาว สมณธมฺมํ กโรมีติ อาหฯ
Channo kālo na dissatīti ayaṃ kālo mayhaṃ paṭicchanno avibhūto na paññāyati. Tasmāti yasmā ayaṃ kālo paṭicchanno na paññāyati, tasmā pañca kāmaguṇe abhutvāva bhikkhāmi. Mā maṃ kālo upaccagāti ettha samaṇadhammakaraṇakālaṃ sandhāya ‘‘kālo’’ti āha. Ayañhi samaṇadhammo nāma pacchime kāle tisso vayosīmā atikkantena obhaggena daṇḍaparāyaṇena pavedhamānena kāsasāsābhibhūtena na sakkā kātuṃ. Tadā hi na sakkā hoti icchiticchitaṃ buddhavacanaṃ vā gaṇhituṃ, dhutaṅgaṃ vā paribhuñjituṃ, araññavāsaṃ vā vasituṃ, icchiticchitakkhaṇe samāpattiṃ vā samāpajjituṃ, padabhāṇa-sarabhaññadhammakathā-anumodanādīni vā kātuṃ, taruṇayobbanakāle panetaṃ sabbaṃ sakkā kātunti ayaṃ samaṇadhammakaraṇassa kālo mā maṃ upaccagā, yāva maṃ nātikkamati, tāva kāme abhutvāva samaṇadhammaṃ karomīti āha.
ปถวิยํ ปติฎฺฐหิตฺวาติ สา กิร เทวตา – ‘‘อยํ ภิกฺขุ สมณธมฺมกรณสฺส กาลํ นาม กเถติ, อกาลํ นาม กเถติ, สเหตุกํ กเถติ สานิสํส’’นฺติ เอตฺตาวตาว เถเร ลชฺชํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา มหาพฺรหฺมํ วิย อคฺคิกฺขนฺธํ วิย จ นํ มญฺญมานา คารวชาตา อากาสา โอรุยฺห ปถวิยํ อฎฺฐาสิ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ ปถวิยํ ฐิตา, เยน ปนเตฺถน อาคตา, ปุนปิ ตเมว คเหตฺวา ทหโร ตฺวนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุสูติ ตรุโณฯ กาฬเกโสติ สุฎฺฐุ กาฬเกโสฯ ภเทฺรนาติ ภทฺทเกนฯ เอกโจฺจ หิ ทหโรปิ สมาโน กาโณ วา โหติ กุณิอาทีนํ วา อญฺญตโร, โส ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต นาม น โหติฯ โย ปน อภิรูโป โหติ ทสฺสนีโย ปาสาทิโก สพฺพสมฺปตฺติสมฺปโนฺน, ยํ ยเทว อลงฺการปริหารํ อิจฺฉติ, เตน เตน อลงฺกโต เทวปุโตฺต วิย จรติ, อยํ ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต นาม โหติฯ เถโร จ อุตฺตมรูปสมฺปโนฺน, เตน นํ เอวมาหฯ
Pathaviyaṃpatiṭṭhahitvāti sā kira devatā – ‘‘ayaṃ bhikkhu samaṇadhammakaraṇassa kālaṃ nāma katheti, akālaṃ nāma katheti, sahetukaṃ katheti sānisaṃsa’’nti ettāvatāva there lajjaṃ paccupaṭṭhāpetvā mahābrahmaṃ viya aggikkhandhaṃ viya ca naṃ maññamānā gāravajātā ākāsā oruyha pathaviyaṃ aṭṭhāsi, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Kiñcāpi pathaviyaṃ ṭhitā, yena panatthena āgatā, punapi tameva gahetvā daharo tvantiādimāha. Tattha susūti taruṇo. Kāḷakesoti suṭṭhu kāḷakeso. Bhadrenāti bhaddakena. Ekacco hi daharopi samāno kāṇo vā hoti kuṇiādīnaṃ vā aññataro, so bhadrena yobbanena samannāgato nāma na hoti. Yo pana abhirūpo hoti dassanīyo pāsādiko sabbasampattisampanno, yaṃ yadeva alaṅkāraparihāraṃ icchati, tena tena alaṅkato devaputto viya carati, ayaṃ bhadrena yobbanena samannāgato nāma hoti. Thero ca uttamarūpasampanno, tena naṃ evamāha.
อนิกฺกีฬิตาวี กาเมสูติ กาเมสุ อกีฬิตกีโฬ อภุตฺตาวี, อกตกามกีโฬติ อโตฺถฯ มา สนฺทิฎฺฐิกํ หิตฺวาติ เยภุเยฺยน หิ ตา อทิฎฺฐสจฺจา อวีตราคา อปรจิตฺตวิทูนิโย เทวตา ภิกฺขู ทสปิ วสฺสานิ วีสติมฺปิ…เป.… สฎฺฐิมฺปิ วสฺสานิ ปริสุทฺธํ อขณฺฑํ พฺรหฺมจริยํ จรมาเน ทิสฺวา – ‘‘อิเม ภิกฺขู มานุสเก ปญฺจ กามคุเณ ปหาย ทิเพฺพ กาเม ปตฺถยนฺตา สมณธมฺมํ กโรนฺตี’’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทนฺติ, อยมฺปิ ตเตฺถว อุปฺปาเทสิฯ ตสฺมา มานุสเก กาเม สนฺทิฎฺฐิเก, ทิเพฺพ จ กาลิเก กตฺวา เอวมาหฯ
Anikkīḷitāvīkāmesūti kāmesu akīḷitakīḷo abhuttāvī, akatakāmakīḷoti attho. Mā sandiṭṭhikaṃ hitvāti yebhuyyena hi tā adiṭṭhasaccā avītarāgā aparacittavidūniyo devatā bhikkhū dasapi vassāni vīsatimpi…pe… saṭṭhimpi vassāni parisuddhaṃ akhaṇḍaṃ brahmacariyaṃ caramāne disvā – ‘‘ime bhikkhū mānusake pañca kāmaguṇe pahāya dibbe kāme patthayantā samaṇadhammaṃ karontī’’ti saññaṃ uppādenti, ayampi tattheva uppādesi. Tasmā mānusake kāme sandiṭṭhike, dibbe ca kālike katvā evamāha.
น โข อหํ, อาวุโสติ, อาวุโส, อหํ สนฺทิฎฺฐิเก กาเม หิตฺวา กาลิเก กาเม น อนุธาวามิ น ปเตฺถมิ น ปิเหมิฯ กลิกญฺจ โข อหํ, อาวุโสติ อหํ โข, อาวุโส, กาลิกํ กามํ หิตฺวา สนฺทิฎฺฐิกํ โลกุตฺตรธมฺมํ อนุธาวามิฯ อิติ เถโร จิตฺตานนฺตรํ อลทฺธพฺพตาย ทิเพฺพปิ มานุสเกปิ ปญฺจ กามคุเณ กาลิกาติ อกาสิ, จิตฺตานนฺตรํ ลทฺธพฺพตาย โลกุตฺตรธมฺมํ สนฺทิฎฺฐิกนฺติฯ ปญฺจกามคุเณสุ สโมหิเตสุปิ สมฺปนฺนกามสฺสาปิ กามิโน จิตฺตานนฺตรํ อิจฺฉิติจฺฉิตารมฺมณานุภวนํ น สมฺปชฺชติฯ จกฺขุทฺวาเร อิฎฺฐารมฺมณํ อนุภวิตุกาเมน หิ จิตฺตการโปตฺถการรูปการาทโย ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘อิทํ นาม สเชฺชถา’’ติ วตฺตพฺพํ โหติฯ เอตฺถนฺตเร อเนกโกฎิสตสหสฺสานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติฯ อถ ปจฺฉา ตํ อารมฺมณํ สมฺปาปุณาติ ฯ เสสทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ โสตาปตฺติมคฺคานนฺตรํ ปน โสตาปตฺติผลเมว อุปฺปชฺชติ, อนฺตรา อญฺญสฺส จิตฺตสฺส วาโร นตฺถิฯ เสสผเลสุปิ เอเสว นโยติฯ
Na kho ahaṃ, āvusoti, āvuso, ahaṃ sandiṭṭhike kāme hitvā kālike kāme na anudhāvāmi na patthemi na pihemi. Kalikañca kho ahaṃ, āvusoti ahaṃ kho, āvuso, kālikaṃ kāmaṃ hitvā sandiṭṭhikaṃ lokuttaradhammaṃ anudhāvāmi. Iti thero cittānantaraṃ aladdhabbatāya dibbepi mānusakepi pañca kāmaguṇe kālikāti akāsi, cittānantaraṃ laddhabbatāya lokuttaradhammaṃ sandiṭṭhikanti. Pañcakāmaguṇesu samohitesupi sampannakāmassāpi kāmino cittānantaraṃ icchiticchitārammaṇānubhavanaṃ na sampajjati. Cakkhudvāre iṭṭhārammaṇaṃ anubhavitukāmena hi cittakārapotthakārarūpakārādayo pakkosāpetvā, ‘‘idaṃ nāma sajjethā’’ti vattabbaṃ hoti. Etthantare anekakoṭisatasahassāni cittāni uppajjitvā nirujjhanti. Atha pacchā taṃ ārammaṇaṃ sampāpuṇāti . Sesadvāresupi eseva nayo. Sotāpattimaggānantaraṃ pana sotāpattiphalameva uppajjati, antarā aññassa cittassa vāro natthi. Sesaphalesupi eseva nayoti.
โส ตเมวตฺถํ คเหตฺวา กาลิกา หิ, อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ กาลิกาติ วุตฺตนเยน สโมหิตสมฺปตฺตินาปิ กาลนฺตเร ปตฺตพฺพาฯ พหุทุกฺขาติ ปญฺจ กามคุเณ นิสฺสาย ปตฺตพฺพทุกฺขสฺส พหุตาย พหุทุกฺขาฯ ตํวตฺถุกเสฺสว อุปายาสสฺส พหุตาย พหุปายาสาฯ อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยติ ปญฺจ กามคุเณ นิสฺสาย ลทฺธพฺพสุขโต อาทีนโว ภิโยฺย, ทุกฺขเมว พหุตรนฺติ อโตฺถฯ สนฺทิฎฺฐิโก อยํ ธโมฺมติ อยํ โลกุตฺตรธโมฺม เยน เยน อธิคโต โหติ, เตน เตน ปรสทฺธาย คนฺตพฺพตํ หิตฺวา ปจฺจเวกฺขณญาเณน สยํ ทฎฺฐโพฺพติ สนฺทิฎฺฐิโกฯ อตฺตโน ผลทานํ สนฺธาย นาสฺส กาโลติ อกาโล, อกาโลเยว อกาลิโกฯ โย เอตฺถ อริยมคฺคธโมฺม, โส อตฺตโน ปวตฺติสมนนฺตรเมว ผลํ เทตีติ อโตฺถฯ ‘‘เอหิ ปสฺส อิมํ ธมฺม’’นฺติ เอวํ ปวตฺตํ เอหิปสฺสวิธิํ อรหตีติ เอหิปสฺสิโกฯ อาทิตฺตํ เจลํ วา สีสํ วา อชฺฌุเปกฺขิตฺวาปิ ภาวนาวเสน อตฺตโน จิเตฺต อุปนยํ อรหตีติ โอปเนยฺยิโกฯ สเพฺพหิ อุคฺฆฎิตญฺญูอาทีหิ วิญฺญูหิ ‘‘ภาวิโต เม มโคฺค, อธิคตํ ผลํ, สจฺฉิกโต นิโรโธ’’ติ อตฺตนิ อตฺตนิ เวทิตโพฺพติ ปจฺจตฺตํ เวทิตโพฺพ วิญฺญูหีติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๖ อาทโย) ธมฺมานุสฺสติวณฺณนายํ วุโตฺตฯ
So tamevatthaṃ gahetvā kālikā hi, āvusotiādimāha. Tattha kālikāti vuttanayena samohitasampattināpi kālantare pattabbā. Bahudukkhāti pañca kāmaguṇe nissāya pattabbadukkhassa bahutāya bahudukkhā. Taṃvatthukasseva upāyāsassa bahutāya bahupāyāsā. Ādīnavo ettha bhiyyoti pañca kāmaguṇe nissāya laddhabbasukhato ādīnavo bhiyyo, dukkhameva bahutaranti attho. Sandiṭṭhiko ayaṃ dhammoti ayaṃ lokuttaradhammo yena yena adhigato hoti, tena tena parasaddhāya gantabbataṃ hitvā paccavekkhaṇañāṇena sayaṃ daṭṭhabboti sandiṭṭhiko. Attano phaladānaṃ sandhāya nāssa kāloti akālo, akāloyeva akāliko. Yo ettha ariyamaggadhammo, so attano pavattisamanantarameva phalaṃ detīti attho. ‘‘Ehi passa imaṃ dhamma’’nti evaṃ pavattaṃ ehipassavidhiṃ arahatīti ehipassiko. Ādittaṃ celaṃ vā sīsaṃ vā ajjhupekkhitvāpi bhāvanāvasena attano citte upanayaṃ arahatīti opaneyyiko. Sabbehi ugghaṭitaññūādīhi viññūhi ‘‘bhāvito me maggo, adhigataṃ phalaṃ, sacchikato nirodho’’ti attani attani veditabboti paccattaṃ veditabbo viññūhīti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.146 ādayo) dhammānussativaṇṇanāyaṃ vutto.
อิทานิ สา เทวตา อโนฺธ วิย รูปวิเสสํ เถเรน กถิตสฺส อเตฺถ อชานนฺตี กถญฺจ ภิกฺขูติอาทิมาหฯ ตตฺถ กถญฺจาติปทสฺส ‘‘กถญฺจ ภิกฺขุ กาลิกา กามา วุตฺตา ภควตา, กถํ พหุทุกฺขา, กถํ พหุปายาสา’’ติ? เอวํ สพฺพปเทหิ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
Idāni sā devatā andho viya rūpavisesaṃ therena kathitassa atthe ajānantī kathañca bhikkhūtiādimāha. Tattha kathañcātipadassa ‘‘kathañca bhikkhu kālikā kāmā vuttā bhagavatā, kathaṃ bahudukkhā, kathaṃ bahupāyāsā’’ti? Evaṃ sabbapadehi sambandho veditabbo.
นโวติ อปริปุณฺณปญฺจวโสฺส หิ ภิกฺขุ นโว นาม โหติ, ปญฺจวสฺสโต ปฎฺฐาย มชฺฌิโม, ทสวสฺสโต ปฎฺฐาย เถโรฯ อปโร นโย – อปริปุณฺณทสวโสฺส นโว, ทสวสฺสโต ปฎฺฐาย มชฺฌิโม, วีสติวสฺสโต ปฎฺฐาย เถโรฯ เตสํ อหํ นโวติ วทติฯ
Navoti aparipuṇṇapañcavasso hi bhikkhu navo nāma hoti, pañcavassato paṭṭhāya majjhimo, dasavassato paṭṭhāya thero. Aparo nayo – aparipuṇṇadasavasso navo, dasavassato paṭṭhāya majjhimo, vīsativassato paṭṭhāya thero. Tesaṃ ahaṃ navoti vadati.
นโวปิ เอกโจฺจ สตฺตฎฺฐวสฺสกาเล ปพฺพชิตฺวา ทฺวาทสเตรสวสฺสานิ สามเณรภาเวเนว อติกฺกโนฺต จิรปพฺพชิโต โหติ, อหํ ปน อจิรปพฺพชิโตติ วทติฯ อิมํ ธมฺมวินยนฺติ อิมํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจฯ อุภยเมฺปตํ สาสนเสฺสว นามํฯ ธเมฺมน เหตฺถ เทฺว ปิฎกานิ วุตฺตานิ, วินเยน วินยปิฎกํ, อิติ ตีหิ ปิฎเกหิ ปกาสิตํ ปฎิปตฺติํ อธุนา อาคโตมฺหีติ วทติฯ
Navopi ekacco sattaṭṭhavassakāle pabbajitvā dvādasaterasavassāni sāmaṇerabhāveneva atikkanto cirapabbajito hoti, ahaṃ pana acirapabbajitoti vadati. Imaṃ dhammavinayanti imaṃ dhammañca vinayañca. Ubhayampetaṃ sāsanasseva nāmaṃ. Dhammena hettha dve piṭakāni vuttāni, vinayena vinayapiṭakaṃ, iti tīhi piṭakehi pakāsitaṃ paṭipattiṃ adhunā āgatomhīti vadati.
มเหสกฺขาหีติ มหาปริวาราหิฯ เอเกกสฺส หิ เทวรโญฺญ โกฎิสตมฺปิ โกฎิสหสฺสมฺปิ ปริวาโร โหติ, เต อตฺตานํ มหเนฺต ฐาเน ฐเปตฺวา ตถาคตํ ปสฺสนฺติฯ ตตฺถ อมฺหาทิสานํ อเปฺปสกฺขานํ มาตุคามชาติกานํ กุโต โอกาโสติ ทเสฺสติฯ
Mahesakkhāhīti mahāparivārāhi. Ekekassa hi devarañño koṭisatampi koṭisahassampi parivāro hoti, te attānaṃ mahante ṭhāne ṭhapetvā tathāgataṃ passanti. Tattha amhādisānaṃ appesakkhānaṃ mātugāmajātikānaṃ kuto okāsoti dasseti.
มยมฺปิ อาคเจฺฉยฺยามาติ อิทํ สา เทวตา ‘‘สเจปิ จกฺกวาฬํ ปูเรตฺวา ปริสา นิสินฺนา โหติ, มหติยา พุทฺธวีถิยา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุํ ลภตี’’ติ ญตฺวา อาหฯ ปุจฺฉ ภิกฺขุ, ปุจฺฉ ภิกฺขูติ ถิรกรณวเสน อาเมฑิตํ กตํฯ
Mayampiāgaccheyyāmāti idaṃ sā devatā ‘‘sacepi cakkavāḷaṃ pūretvā parisā nisinnā hoti, mahatiyā buddhavīthiyā satthu santikaṃ gantuṃ labhatī’’ti ñatvā āha. Puccha bhikkhu, puccha bhikkhūti thirakaraṇavasena āmeḍitaṃ kataṃ.
อเกฺขยฺยสญฺญิโนติ เอตฺถ ‘‘เทโว, มนุโสฺส, คหโฎฺฐ, ปพฺพชิโต, สโตฺต, ปุคฺคโล, ติโสฺส, ผุโสฺส’’ติอาทินา นเยน อเกฺขยฺยโต สเพฺพสํ อกฺขานานํ สพฺพาสํ กถานํ วตฺถุภูตโต ปญฺจกฺขนฺธา ‘‘อเกฺขยฺยา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘สโตฺต นโร โปโส ปุคฺคโล อิตฺถี ปุริโส’’ติ เอวํ สญฺญา เอเตสํ อตฺถีติ สญฺญิโน, อเกฺขเยฺยเสฺวว สญฺญิโนติ อเกฺขยฺยสญฺญิโน, ปญฺจสุ ขเนฺธสุ สตฺตปุคฺคลาทิสญฺญิโนติ อโตฺถฯ อเกฺขยฺยสฺมิํ ปติฎฺฐิตาติ ปญฺจสุ ขเนฺธสุ อฎฺฐหากาเรหิ ปติฎฺฐิตาฯ รโตฺต หิ ราควเสน ปติฎฺฐิโต โหติ, ทุโฎฺฐ โทสวเสน, มูโฬฺห โมหวเสน, ปรามโฎฺฐ ทิฎฺฐิวเสน, ถามคโต อนุสยวเสน, วินิพโทฺธ มานวเสน, อนิฎฺฐงฺคโต วิจิกิจฺฉาวเสน, วิเกฺขปคโต อุทฺธจฺจวเสน ปติฎฺฐิโต โหติฯ อเกฺขยฺยํ อปริญฺญายาติ ปญฺจกฺขเนฺธ ตีหิ ปริญฺญาหิ อปริชานิตฺวาฯ โยคมายนฺติ มจฺจุโนติ มจฺจุโน โยคํ ปโยคํ ปเกฺขปํ อุปเกฺขปํ อุปกฺกมํ อพฺภนฺตรํ อาคจฺฉนฺติ, มรณวสํ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เอวมิมาย คาถาย กาลิกา กามา กถิตาฯ
Akkheyyasaññinoti ettha ‘‘devo, manusso, gahaṭṭho, pabbajito, satto, puggalo, tisso, phusso’’tiādinā nayena akkheyyato sabbesaṃ akkhānānaṃ sabbāsaṃ kathānaṃ vatthubhūtato pañcakkhandhā ‘‘akkheyyā’’ti vuccanti. ‘‘Satto naro poso puggalo itthī puriso’’ti evaṃ saññā etesaṃ atthīti saññino, akkheyyesveva saññinoti akkheyyasaññino, pañcasu khandhesu sattapuggalādisaññinoti attho. Akkheyyasmiṃ patiṭṭhitāti pañcasu khandhesu aṭṭhahākārehi patiṭṭhitā. Ratto hi rāgavasena patiṭṭhito hoti, duṭṭho dosavasena, mūḷho mohavasena, parāmaṭṭho diṭṭhivasena, thāmagato anusayavasena, vinibaddho mānavasena, aniṭṭhaṅgato vicikicchāvasena, vikkhepagato uddhaccavasena patiṭṭhito hoti. Akkheyyaṃ apariññāyāti pañcakkhandhe tīhi pariññāhi aparijānitvā. Yogamāyanti maccunoti maccuno yogaṃ payogaṃ pakkhepaṃ upakkhepaṃ upakkamaṃ abbhantaraṃ āgacchanti, maraṇavasaṃ gacchantīti attho. Evamimāya gāthāya kālikā kāmā kathitā.
ปริญฺญายาติ ญาตปริญฺญา, ตีรณปริญฺญา, ปหานปริญฺญาติ อิมาหิ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานิตฺวาฯ ตตฺถ กตมา ญาตปริญฺญา? ปญฺจกฺขเนฺธ ปริชานาติ – ‘‘อยํ รูปกฺขโนฺธ, อยํ เวทนากฺขโนฺธ, อยํ สญฺญากฺขโนฺธ, อยํ สงฺขารกฺขโนฺธ, อยํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, อิมานิ เตสํ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานี’’ติ, อยํ ญาตปริญฺญาฯ กตมา ตีรณปริญฺญา? เอวํ ญาตํ กตฺวา ปญฺจกฺขเนฺธ ตีเรติ อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโตติ ทฺวาจตฺตาลีสาย อากาเรหิฯ อยํ ตีรณปริญฺญาฯ กตมา ปหานปริญฺญา? เอวํ ตีรยิตฺวา อคฺคมเคฺคน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ ฉนฺทราคํ ปชหติฯ อยํ ปหานปริญฺญาฯ
Pariññāyāti ñātapariññā, tīraṇapariññā, pahānapariññāti imāhi tīhi pariññāhi parijānitvā. Tattha katamā ñātapariññā? Pañcakkhandhe parijānāti – ‘‘ayaṃ rūpakkhandho, ayaṃ vedanākkhandho, ayaṃ saññākkhandho, ayaṃ saṅkhārakkhandho, ayaṃ viññāṇakkhandho, imāni tesaṃ lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānānī’’ti, ayaṃ ñātapariññā. Katamā tīraṇapariññā? Evaṃ ñātaṃ katvā pañcakkhandhe tīreti aniccato dukkhato rogatoti dvācattālīsāya ākārehi. Ayaṃ tīraṇapariññā. Katamā pahānapariññā? Evaṃ tīrayitvā aggamaggena pañcasu khandhesu chandarāgaṃ pajahati. Ayaṃ pahānapariññā.
อกฺขาตารํ น มญฺญตีติ เอวํ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปญฺจกฺขเนฺธ ปริชานิตฺวา ขีณาสโว ภิกฺขุ อกฺขาตารํ ปุคฺคลํ น มญฺญติฯ อกฺขาตารนฺติ กมฺมวเสน การณํ เวทิตพฺพํ, อกฺขาตพฺพํ กเถตพฺพํ ปุคฺคลํ น มญฺญติ, น ปสฺสตีติ อโตฺถ ฯ กินฺติ อกฺขาตพฺพนฺติ? ‘‘ติโสฺส’’ติ วา ‘‘ผุโสฺส’’ติ วา เอวํ เยน เกนจิ นาเมน วา โคเตฺตน วา ปกาเสตพฺพํฯ ตญฺหิ ตสฺส น โหตีติ ตํ ตสฺส ขีณาสวสฺส น โหติฯ เยน นํ วชฺชาติ เยน นํ ‘‘ราเคน รโตฺต’’ติ วา ‘‘โทเสน ทุโฎฺฐ’’ติ วา ‘‘โมเหน มูโฬฺห’’ติ วาติ โกจิ วเทยฺย, ตํ การณํ ตสฺส ขีณาสวสฺส นตฺถิฯ
Akkhātāraṃ na maññatīti evaṃ tīhi pariññāhi pañcakkhandhe parijānitvā khīṇāsavo bhikkhu akkhātāraṃ puggalaṃ na maññati. Akkhātāranti kammavasena kāraṇaṃ veditabbaṃ, akkhātabbaṃ kathetabbaṃ puggalaṃ na maññati, na passatīti attho . Kinti akkhātabbanti? ‘‘Tisso’’ti vā ‘‘phusso’’ti vā evaṃ yena kenaci nāmena vā gottena vā pakāsetabbaṃ. Tañhi tassa na hotīti taṃ tassa khīṇāsavassa na hoti. Yena naṃ vajjāti yena naṃ ‘‘rāgena ratto’’ti vā ‘‘dosena duṭṭho’’ti vā ‘‘mohena mūḷho’’ti vāti koci vadeyya, taṃ kāraṇaṃ tassa khīṇāsavassa natthi.
สเจ วิชานาสิ วเทหีติ สเจ เอวรูปํ ขีณาสวํ ชานาสิ, ‘‘ชานามี’’ติ วเทหิฯ โน เจ ชานาสิ, อถ ‘‘น ชานามี’’ติ วเทหิฯ ยกฺขาติ เทวตํ อาลปโนฺต อาหฯ อิติ อิมาย คาถาย สนฺทิฎฺฐิโก นววิโธ โลกุตฺตรธโมฺม กถิโตฯ สาธูติ อายาจนเตฺถ นิปาโตฯ
Sace vijānāsi vadehīti sace evarūpaṃ khīṇāsavaṃ jānāsi, ‘‘jānāmī’’ti vadehi. No ce jānāsi, atha ‘‘na jānāmī’’ti vadehi. Yakkhāti devataṃ ālapanto āha. Iti imāya gāthāya sandiṭṭhiko navavidho lokuttaradhammo kathito. Sādhūti āyācanatthe nipāto.
โย มญฺญตีติ โย อตฺตานํ ‘‘อหํ สโม’’ติ วา ‘‘วิเสสี’’ติ วา ‘‘นิหีโน’’ติ วา มญฺญติฯ เอเตน ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทโย ตโย มานา คหิตาวฯ เตสุ คหิเตสุ นว มานา คหิตาว โหนฺติฯ โส วิวเทถ เตนาติ โส ปุคฺคโล เตเนว มาเนน เยน เกนจิ ปุคฺคเลน สทฺธิํ – ‘‘เกน มํ ตฺวํ ปาปุณาสิ, กิํ ชาติยา ปาปุณาสิ, อุทาหุ โคเตฺตน, กุลปเทเสน, วณฺณโปกฺขรตาย, พาหุสเจฺจน, ธุตคุเณนา’’ติ เอวํ วิวเทยฺยฯ อิติ อิมายปิ อุปฑฺฒคาถาย กาลิกา กามา กถิตาฯ
Yo maññatīti yo attānaṃ ‘‘ahaṃ samo’’ti vā ‘‘visesī’’ti vā ‘‘nihīno’’ti vā maññati. Etena ‘‘seyyohamasmī’’tiādayo tayo mānā gahitāva. Tesu gahitesu nava mānā gahitāva honti. So vivadetha tenāti so puggalo teneva mānena yena kenaci puggalena saddhiṃ – ‘‘kena maṃ tvaṃ pāpuṇāsi, kiṃ jātiyā pāpuṇāsi, udāhu gottena, kulapadesena, vaṇṇapokkharatāya, bāhusaccena, dhutaguṇenā’’ti evaṃ vivadeyya. Iti imāyapi upaḍḍhagāthāya kālikā kāmā kathitā.
ตีสุ วิธาสูติ ตีสุ มาเนสุฯ ‘‘เอกวิเธน รูปสงฺคโห’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๕๘๔) หิ โกฎฺฐาโส ‘‘วิโธ’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘กถํวิธํ สีลวนฺตํ วทนฺติ, กถํวิธํ ปญฺญวนฺตํ วทนฺตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๙๕) อากาโรฯ ‘‘ติโสฺส อิมา, ภิกฺขเว, วิธาฯ กตมา ติโสฺส ? เสโยฺยหมสฺมีติ วิธา, สทิโสหมสฺมีติ วิธา, หีโนหมสฺมีติ วิธา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๑๖๒) มาโน ‘‘วิธา’’ติ วุโตฺตฯ อิธาปิ มาโนวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตีสุ วิธาสูติ ตีสุ มาเนสู’’ติฯ อวิกมฺปมาโนติ โส ปุคฺคโล เอเตสุ สเงฺขปโต ตีสุ , วิตฺถารโต นวสุ มาเนสุ น กมฺปติ, น จลติฯ สโม วิเสสีติ น ตสฺส โหตีติ ตสฺส ปหีนมานสฺส ขีณาสวสฺส ‘‘อหํ สทิโส’’ติ วา ‘‘เสโยฺย’’ติ วา ‘‘หีโน’’ติ วา น โหตีติ ทเสฺสติฯ ปจฺฉิมปทํ วุตฺตนยเมวฯ อิติ อิมายปิ อุปฑฺฒคาถาย นววิโธ สนฺทิฎฺฐิโก โลกุตฺตรธโมฺม กถิโตฯ
Tīsu vidhāsūti tīsu mānesu. ‘‘Ekavidhena rūpasaṅgaho’’tiādīsu (dha. sa. 584) hi koṭṭhāso ‘‘vidho’’ti vutto. ‘‘Kathaṃvidhaṃ sīlavantaṃ vadanti, kathaṃvidhaṃ paññavantaṃ vadantī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.95) ākāro. ‘‘Tisso imā, bhikkhave, vidhā. Katamā tisso ? Seyyohamasmīti vidhā, sadisohamasmīti vidhā, hīnohamasmīti vidhā’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.162) māno ‘‘vidhā’’ti vutto. Idhāpi mānova. Tena vuttaṃ ‘‘tīsu vidhāsūti tīsu mānesū’’ti. Avikampamānoti so puggalo etesu saṅkhepato tīsu , vitthārato navasu mānesu na kampati, na calati. Samo visesīti na tassa hotīti tassa pahīnamānassa khīṇāsavassa ‘‘ahaṃ sadiso’’ti vā ‘‘seyyo’’ti vā ‘‘hīno’’ti vā na hotīti dasseti. Pacchimapadaṃ vuttanayameva. Iti imāyapi upaḍḍhagāthāya navavidho sandiṭṭhiko lokuttaradhammo kathito.
ปหาสิ สงฺขนฺติ, ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๑๒๐, ๒๓๙) ปญฺญา ‘‘สงฺขา’’ติ อาคตาฯ ‘‘อตฺถิ เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา, โย ปโหติ คงฺคาย วาลุกํ คเณตุ’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๔๑๐) เอตฺถ คณนาฯ ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๘๐) โกฎฺฐาโสฯ ‘‘ยา เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สงฺขา สมญฺญา’’ติ (ธ. ส. ๑๓๑๓-๑๓๑๕) เอตฺถ ปณฺณตฺติ ‘‘สงฺขา’’ติ อาคตาฯ อิธาปิ อยเมว อธิเปฺปตาฯ ปหาสิ สงฺขนฺติ ปทสฺส หิ อยเมวโตฺถ – รโตฺต ทุโฎฺฐ มูโฬฺห อิติ อิมํ ปณฺณตฺติํ ขีณาสโว ปหาสิ ชหิ ปชหีติฯ
Pahāsisaṅkhanti, ‘‘paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāretī’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.120, 239) paññā ‘‘saṅkhā’’ti āgatā. ‘‘Atthi te koci gaṇako vā muddiko vā saṅkhāyako vā, yo pahoti gaṅgāya vālukaṃ gaṇetu’’nti (saṃ. ni. 4.410) ettha gaṇanā. ‘‘Saññānidānā hi papañcasaṅkhā’’tiādīsu (su. ni. 880) koṭṭhāso. ‘‘Yā tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ saṅkhā samaññā’’ti (dha. sa. 1313-1315) ettha paṇṇatti ‘‘saṅkhā’’ti āgatā. Idhāpi ayameva adhippetā. Pahāsi saṅkhanti padassa hi ayamevattho – ratto duṭṭho mūḷho iti imaṃ paṇṇattiṃ khīṇāsavo pahāsi jahi pajahīti.
น วิมานมชฺฌคาติ นวเภทํ ติวิธมานํ น อุปคโตฯ นิวาสเฎฺฐน วา มาตุกุจฺฉิ ‘‘วิมาน’’นฺติ วุจฺจติ, ตํ อายติํ ปฎิสนฺธิวเสน น อุปคจฺฉีติปิ อโตฺถฯ อนาคตเตฺถ อตีตวจนํฯ อเจฺฉจฺฉีติ ฉินฺทิฯ ฉินฺนคนฺถนฺติ จตฺตาโร คเนฺถ ฉินฺทิตฺวา ฐิตํฯ อนีฆนฺติ นิทฺทุกฺขํฯ นิราสนฺติ นิตฺตณฺหํฯ ปริเยสมานาติ โอโลกยมานาฯ นาชฺฌคมุนฺติ น อธิคจฺฉนฺติ น วินฺทนฺติ น ปสฺสนฺติฯ วตฺตมานเตฺถ อตีตวจนํฯ อิธ วา หุรํ วาติ อิธโลเก วา ปรโลเก วาฯ สพฺพนิเวสเนสูติ ตโย ภวา, จตโสฺส โยนิโย, ปญฺจ คติโย, สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย, นว สตฺตาวาสา, อิติ อิเมสุปิ สเพฺพสุ สตฺตนิเวสเนสุ เอวรูปํ ขีณาสวํ กายสฺส เภทา อุปฺปชฺชมานํ วา อุปฺปนฺนํ วา น ปสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ อิมาย คาถาย สนฺทิฎฺฐิกํ โลกุตฺตรธมฺมเมว กเถสิฯ
Na vimānamajjhagāti navabhedaṃ tividhamānaṃ na upagato. Nivāsaṭṭhena vā mātukucchi ‘‘vimāna’’nti vuccati, taṃ āyatiṃ paṭisandhivasena na upagacchītipi attho. Anāgatatthe atītavacanaṃ. Acchecchīti chindi. Chinnaganthanti cattāro ganthe chinditvā ṭhitaṃ. Anīghanti niddukkhaṃ. Nirāsanti nittaṇhaṃ. Pariyesamānāti olokayamānā. Nājjhagamunti na adhigacchanti na vindanti na passanti. Vattamānatthe atītavacanaṃ. Idha vā huraṃ vāti idhaloke vā paraloke vā. Sabbanivesanesūti tayo bhavā, catasso yoniyo, pañca gatiyo, satta viññāṇaṭṭhitiyo, nava sattāvāsā, iti imesupi sabbesu sattanivesanesu evarūpaṃ khīṇāsavaṃ kāyassa bhedā uppajjamānaṃ vā uppannaṃ vā na passantīti attho. Imāya gāthāya sandiṭṭhikaṃ lokuttaradhammameva kathesi.
อิมญฺจ คาถํ สุตฺวา สาปิ เทวตา อตฺถํ สลฺลเกฺขสิ, เตเนว การเณน อิมสฺส ขฺวาหํ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาปํ น กยิราติ คาถาย ทสกุสลกมฺมปถวเสนปิ กเถตุํ วฎฺฎติ อฎฺฐงฺคิกมคฺควเสนปิฯ ทสกุสลกมฺมปถวเสน ตาว วจสาติ จตุพฺพิธํ วจีสุจริตํ คหิตํฯ มนสาติ ติวิธํ มโนสุจริตํ คหิตํฯ กาเยน วา กิญฺจน สพฺพโลเกติ ติวิธํ กายสุจริตํ คหิตํฯ อิเม ตาว ทสกุสลกมฺมปถธมฺมา โหนฺติฯ กาเม ปหายาติ อิมินา ปน กามสุขลฺลิกานุโยโค ปฎิกฺขิโตฺตฯ สติมา สมฺปชาโนติ อิมินา ทสกุสลกมฺมปถการณํ สติสมฺปชญฺญํ คหิตํฯ ทุกฺขํ น เสเวถ อนตฺถสํหิตนฺติ อิมินา อตฺตกิลมถานุโยโค ปฎิสิโทฺธฯ อิติ เทวตา ‘‘อุโภ อเนฺต วิวเชฺชตฺวา การเณหิ สติสมฺปชเญฺญหิ สทฺธิํ ทสกุสลกมฺมปถธเมฺม ตุเมฺหหิ กถิเต อาชานามิ ภควา’’ติ วทติฯ
Imañca gāthaṃ sutvā sāpi devatā atthaṃ sallakkhesi, teneva kāraṇena imassa khvāhaṃ, bhantetiādimāha. Tattha pāpaṃ na kayirāti gāthāya dasakusalakammapathavasenapi kathetuṃ vaṭṭati aṭṭhaṅgikamaggavasenapi. Dasakusalakammapathavasena tāva vacasāti catubbidhaṃ vacīsucaritaṃ gahitaṃ. Manasāti tividhaṃ manosucaritaṃ gahitaṃ. Kāyena vā kiñcana sabbaloketi tividhaṃ kāyasucaritaṃ gahitaṃ. Ime tāva dasakusalakammapathadhammā honti. Kāme pahāyāti iminā pana kāmasukhallikānuyogo paṭikkhitto. Satimā sampajānoti iminā dasakusalakammapathakāraṇaṃ satisampajaññaṃ gahitaṃ. Dukkhaṃ na sevetha anatthasaṃhitanti iminā attakilamathānuyogo paṭisiddho. Iti devatā ‘‘ubho ante vivajjetvā kāraṇehi satisampajaññehi saddhiṃ dasakusalakammapathadhamme tumhehi kathite ājānāmi bhagavā’’ti vadati.
อฎฺฐงฺคิกมคฺควเสน ปน อยํ นโย – ตสฺมิํ กิร ฐาเน มหตี ธมฺมเทสนา อโหสิฯ เทสนาปริโยสาเน เทวตา ยถาฐาเน ฐิตาว เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย อตฺตนา อธิคตํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทเสฺสนฺตี เอวมาหฯ ตตฺถ วจสาติ สมฺมาวาจา คหิตา, มโน ปน องฺคํ น โหตีติ มนสาติ มคฺคสมฺปยุตฺตกํ จิตฺตํ คหิตํฯ กาเยน วา กิญฺจน สพฺพโลเกติ สมฺมากมฺมโนฺต คหิโต, อาชีโว ปน วาจากมฺมนฺตปกฺขิกตฺตา คหิโตว โหติฯ สติมาติ อิมินา วายามสติสมาธโย คหิตาฯ สมฺปชาโนติปเทน สมฺมาทิฎฺฐิสมฺมาสงฺกปฺปาฯ กาเม ปหาย, ทุกฺขํ น เสเวถาติปททฺวเยน อนฺตทฺวยวชฺชนํฯ อิติ อิเม เทฺว อเนฺต อนุปคมฺม มชฺฌิมํ ปฎิปทํ ตุเมฺหหิ กถิตํ, อาชานามิ ภควาติ วตฺวา ตถาคตํ คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามีติฯ
Aṭṭhaṅgikamaggavasena pana ayaṃ nayo – tasmiṃ kira ṭhāne mahatī dhammadesanā ahosi. Desanāpariyosāne devatā yathāṭhāne ṭhitāva desanānusārena ñāṇaṃ pesetvā sotāpattiphale patiṭṭhāya attanā adhigataṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ dassentī evamāha. Tattha vacasāti sammāvācā gahitā, mano pana aṅgaṃ na hotīti manasāti maggasampayuttakaṃ cittaṃ gahitaṃ. Kāyena vā kiñcana sabbaloketi sammākammanto gahito, ājīvo pana vācākammantapakkhikattā gahitova hoti. Satimāti iminā vāyāmasatisamādhayo gahitā. Sampajānotipadena sammādiṭṭhisammāsaṅkappā. Kāme pahāya, dukkhaṃ na sevethātipadadvayena antadvayavajjanaṃ. Iti ime dve ante anupagamma majjhimaṃ paṭipadaṃ tumhehi kathitaṃ, ājānāmi bhagavāti vatvā tathāgataṃ gandhamālādīhi pūjetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmīti.
สมิทฺธิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Samiddhisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
นนฺทนวโคฺค ทุติโยฯ
Nandanavaggo dutiyo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๐. สมิทฺธิสุตฺตํ • 10. Samiddhisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. สมิทฺธิสุตฺตวณฺณนา • 10. Samiddhisuttavaṇṇanā