Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๓. สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺต-(มหาสมยสุตฺต)-วณฺณนา
13. Sammāparibbājanīyasutta-(mahāsamayasutta)-vaṇṇanā
๓๖๒. ปุจฺฉามิ มุนิํ ปหูตปญฺญนฺติ สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺตํ, ‘‘มหาสมยสุตฺต’’นฺติปิ วุจฺจติ มหาสมยทิวเส กถิตตฺตาฯ กา อุปฺปตฺติ? ปุจฺฉาวสิกา อุปฺปตฺติฯ นิมฺมิตพุเทฺธน หิ ปุโฎฺฐ ภควา อิมํ สุตฺตมภาสิ, ตํ สทฺธิํ ปุจฺฉาย ‘‘สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน สากิยโกลิยานํ อุปฺปตฺติโต ปภุติ โปราเณหิ วณฺณียติฯ
362.Pucchāmimuniṃ pahūtapaññanti sammāparibbājanīyasuttaṃ, ‘‘mahāsamayasutta’’ntipi vuccati mahāsamayadivase kathitattā. Kā uppatti? Pucchāvasikā uppatti. Nimmitabuddhena hi puṭṭho bhagavā imaṃ suttamabhāsi, taṃ saddhiṃ pucchāya ‘‘sammāparibbājanīyasutta’’nti vuccati. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana sākiyakoliyānaṃ uppattito pabhuti porāṇehi vaṇṇīyati.
ตตฺรายํ อุเทฺทสมคฺควณฺณนา – ปฐมกปฺปิกานํ กิร รโญฺญ มหาสมฺมตสฺส โรโช นาม ปุโตฺต อโหสิฯ โรชสฺส วรโรโช, วรโรชสฺส กลฺยาโณ, กลฺยาณสฺส วรกลฺยาโณ, วรกลฺยาณสฺส มนฺธาตา, มนฺธาตุสฺส วรมนฺธาตา, วรมนฺธาตุสฺส อุโปสโถ, อุโปสถสฺส วโร, วรสฺส อุปวโร, อุปวรสฺส มฆเทโว, มฆเทวสฺส ปรมฺปรา จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อเหสุํฯ เตสํ ปรโต ตโย โอกฺกากวํสา อเหสุํฯ เตสุ ตติยโอกฺกากสฺส ปญฺจ มเหสิโย อเหสุํ – หตฺถา, จิตฺตา, ชนฺตุ, ชาลินี, วิสาขาติฯ เอเกกิสฺสา ปญฺจ ปญฺจ อิตฺถิสตานิ ปริวาราฯ สพฺพเชฎฺฐาย จตฺตาโร ปุตฺตา – โอกฺกามุโข, กรกณฺฑุ, หตฺถินิโก, สินิปุโรติ; ปญฺจ ธีตโร – ปิยา, สุปฺปิยา, อานนฺทา, วิชิตา, วิชิตเสนาติฯ เอวํ สา นว ปุเตฺต ลภิตฺวา กาลมกาสิฯ
Tatrāyaṃ uddesamaggavaṇṇanā – paṭhamakappikānaṃ kira rañño mahāsammatassa rojo nāma putto ahosi. Rojassa vararojo, vararojassa kalyāṇo, kalyāṇassa varakalyāṇo, varakalyāṇassa mandhātā, mandhātussa varamandhātā, varamandhātussa uposatho, uposathassa varo, varassa upavaro, upavarassa maghadevo, maghadevassa paramparā caturāsīti khattiyasahassāni ahesuṃ. Tesaṃ parato tayo okkākavaṃsā ahesuṃ. Tesu tatiyaokkākassa pañca mahesiyo ahesuṃ – hatthā, cittā, jantu, jālinī, visākhāti. Ekekissā pañca pañca itthisatāni parivārā. Sabbajeṭṭhāya cattāro puttā – okkāmukho, karakaṇḍu, hatthiniko, sinipuroti; pañca dhītaro – piyā, suppiyā, ānandā, vijitā, vijitasenāti. Evaṃ sā nava putte labhitvā kālamakāsi.
อถ ราชา อญฺญํ ทหรํ อภิรูปํ ราชธีตรํ อาเนตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สาปิ ชนฺตุํ นาม เอกํ ปุตฺตํ วิชายิฯ ตํ ชนฺตุกุมารํ ปญฺจมทิวเส อลงฺกริตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ มเหสิยา วรํ อทาสิฯ สา ญาตเกหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ยาจิฯ ราชา ‘‘นสฺส วสลิ, มม ปุตฺตานํ อนฺตรายมิจฺฉสี’’ติ นาทาสิฯ สา ปุนปฺปุนํ รโห ราชานํ ปริโตเสตฺวา ‘‘น, มหาราช, มุสาวาโท วฎฺฎตี’’ติอาทีนิ วตฺวา ยาจติ เอวฯ อถ ราชา ปุเตฺต อามเนฺตสิ – ‘‘อหํ, ตาตา, ตุมฺหากํ กนิฎฺฐํ ชนฺตุกุมารํ ทิสฺวา ตสฺส มาตุยา สหสา วรํ อทาสิํฯ สา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ปริณาเมตุํ อิจฺฉติฯ ตุเมฺห มมจฺจเยน อาคนฺตฺวา รชฺชํ กาเรยฺยาถา’’ติ อฎฺฐหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ อุโยฺยเชสิฯ เต ภคินิโย อาทาย จตุรงฺคินิยา เสนาย นครา นิกฺขมิํสุฯ ‘‘กุมารา ปิตุอจฺจเยน อาคนฺตฺวา รชฺชํ กาเรสฺสนฺติ, คจฺฉาม เน อุปฎฺฐหามา’’ติ จิเนฺตตฺวา พหู มนุสฺสา อนุพนฺธิํสุฯ ปฐมทิวเส โยชนมตฺตา เสนา อโหสิ, ทุติยทิวเส ทฺวิโยชนมตฺตา, ตติยทิวเส ติโยชนมตฺตาฯ กุมารา จิเนฺตสุํ – ‘‘มหา อยํ พลกาโย, สเจ มยํ กญฺจิ สามนฺตราชานํ อกฺกมิตฺวา ชนปทํ คณฺหิสฺสาม, โสปิ โน น ปโหสฺสติ, กิํ ปเรสํ ปีฬํ กตฺวา ลทฺธรเชฺชน, มหา ชมฺพุทีโป, อรเญฺญ นครํ มาเปสฺสามา’’ติ หิมวนฺตาภิมุขา อคมิํสุฯ
Atha rājā aññaṃ daharaṃ abhirūpaṃ rājadhītaraṃ ānetvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sāpi jantuṃ nāma ekaṃ puttaṃ vijāyi. Taṃ jantukumāraṃ pañcamadivase alaṅkaritvā rañño dassesi. Rājā tuṭṭho mahesiyā varaṃ adāsi. Sā ñātakehi saddhiṃ mantetvā puttassa rajjaṃ yāci. Rājā ‘‘nassa vasali, mama puttānaṃ antarāyamicchasī’’ti nādāsi. Sā punappunaṃ raho rājānaṃ paritosetvā ‘‘na, mahārāja, musāvādo vaṭṭatī’’tiādīni vatvā yācati eva. Atha rājā putte āmantesi – ‘‘ahaṃ, tātā, tumhākaṃ kaniṭṭhaṃ jantukumāraṃ disvā tassa mātuyā sahasā varaṃ adāsiṃ. Sā puttassa rajjaṃ pariṇāmetuṃ icchati. Tumhe mamaccayena āgantvā rajjaṃ kāreyyāthā’’ti aṭṭhahi amaccehi saddhiṃ uyyojesi. Te bhaginiyo ādāya caturaṅginiyā senāya nagarā nikkhamiṃsu. ‘‘Kumārā pituaccayena āgantvā rajjaṃ kāressanti, gacchāma ne upaṭṭhahāmā’’ti cintetvā bahū manussā anubandhiṃsu. Paṭhamadivase yojanamattā senā ahosi, dutiyadivase dviyojanamattā, tatiyadivase tiyojanamattā. Kumārā cintesuṃ – ‘‘mahā ayaṃ balakāyo, sace mayaṃ kañci sāmantarājānaṃ akkamitvā janapadaṃ gaṇhissāma, sopi no na pahossati, kiṃ paresaṃ pīḷaṃ katvā laddharajjena, mahā jambudīpo, araññe nagaraṃ māpessāmā’’ti himavantābhimukhā agamiṃsu.
ตตฺถ นครมาปโนกาสํ ปริเยสมานา หิมวติ กปิโล นาม โฆรตโป ตาปโส ปฎิวสติ โปกฺขรณิตีเร มหาสากสเณฺฑ, ตสฺส วสโนกาสํ คตาฯ โส เต ทิสฺวา ปุจฺฉิตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ สุตฺวา เตสุ อนุกมฺปํ อกาสิฯ โส กิร ภุมฺมชาลํ นาม วิชฺชํ ชานาติ, ยาย อุทฺธํ อสีติหเตฺถ อากาเส จ เหฎฺฐา ภูมิยญฺจ คุณโทเส ปสฺสติฯ อเถกสฺมิํ ปเทเส สูกรมิคา สีหพฺยคฺฆาทโย ตาเสตฺวา ปริปาเตนฺติ, มณฺฑูกมูสิกา สเปฺป ภิํสาเปนฺติฯ โส เต ทิสฺวา ‘‘อยํ ภูมิปฺปเทโส ปถวีอคฺค’’นฺติ ตสฺมิํ ปเทเส อสฺสมํ มาเปสิฯ ตโต โส ราชกุมาเร อาห – ‘‘สเจ มม นาเมน นครํ กโรถ, เทมิ โว อิมํ โอกาส’’นฺติฯ เต ตถา ปฎิชานิํสุฯ ตาปโส ‘‘อิมสฺมิํ โอกาเส ฐตฺวา จณฺฑาลปุโตฺตปิ จกฺกวตฺติํ พเลน อติเสตี’’ติ วตฺวา ‘‘อสฺสเม รโญฺญ ฆรํ มาเปตฺวา นครํ มาเปถา’’ติ ตํ โอกาสํ ทตฺวา สยํ อวิทูเร ปพฺพตปาเท อสฺสมํ กตฺวา วสิฯ ตโต กุมารา ตตฺถ นครํ มาเปตฺวา กปิลสฺส วุโตฺถกาเส กตตฺตา ‘‘กปิลวตฺถู’’ติ นามํ อาโรเปตฺวา ตตฺถ นิวาสํ กเปฺปสุํฯ
Tattha nagaramāpanokāsaṃ pariyesamānā himavati kapilo nāma ghoratapo tāpaso paṭivasati pokkharaṇitīre mahāsākasaṇḍe, tassa vasanokāsaṃ gatā. So te disvā pucchitvā sabbaṃ pavattiṃ sutvā tesu anukampaṃ akāsi. So kira bhummajālaṃ nāma vijjaṃ jānāti, yāya uddhaṃ asītihatthe ākāse ca heṭṭhā bhūmiyañca guṇadose passati. Athekasmiṃ padese sūkaramigā sīhabyagghādayo tāsetvā paripātenti, maṇḍūkamūsikā sappe bhiṃsāpenti. So te disvā ‘‘ayaṃ bhūmippadeso pathavīagga’’nti tasmiṃ padese assamaṃ māpesi. Tato so rājakumāre āha – ‘‘sace mama nāmena nagaraṃ karotha, demi vo imaṃ okāsa’’nti. Te tathā paṭijāniṃsu. Tāpaso ‘‘imasmiṃ okāse ṭhatvā caṇḍālaputtopi cakkavattiṃ balena atisetī’’ti vatvā ‘‘assame rañño gharaṃ māpetvā nagaraṃ māpethā’’ti taṃ okāsaṃ datvā sayaṃ avidūre pabbatapāde assamaṃ katvā vasi. Tato kumārā tattha nagaraṃ māpetvā kapilassa vutthokāse katattā ‘‘kapilavatthū’’ti nāmaṃ āropetvā tattha nivāsaṃ kappesuṃ.
อถ อมจฺจา ‘‘อิเม กุมารา วยปฺปตฺตา, ยทิ เนสํ ปิตา สนฺติเก ภเวยฺย, โส อาวาหวิวาหํ กาเรยฺยฯ อิทานิ ปน อมฺหากํ ภาโร’’ติ จิเนฺตตฺวา กุมาเรหิ สทฺธิํ มเนฺตสุํฯ กุมารา ‘‘อมฺหากํ สทิสา ขตฺติยธีตโร น ปสฺสาม, ตาสมฺปิ ภคินีนํ สทิเส ขตฺติยกุมาเร, ชาติสเมฺภทญฺจ น กโรมา’’ติฯ เต ชาติสเมฺภทภเยน เชฎฺฐภคินิํ มาตุฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อวเสสาหิ สํวาสํ กเปฺปสุํฯ เตสํ ปิตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘สกฺยา วต, โภ กุมารา, ปรมสกฺยา วต, โภ กุมารา’’ติ อุทานํ อุทาเนสิฯ อยํ ตาว สกฺยานํ อุปฺปตฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –
Atha amaccā ‘‘ime kumārā vayappattā, yadi nesaṃ pitā santike bhaveyya, so āvāhavivāhaṃ kāreyya. Idāni pana amhākaṃ bhāro’’ti cintetvā kumārehi saddhiṃ mantesuṃ. Kumārā ‘‘amhākaṃ sadisā khattiyadhītaro na passāma, tāsampi bhaginīnaṃ sadise khattiyakumāre, jātisambhedañca na karomā’’ti. Te jātisambhedabhayena jeṭṭhabhaginiṃ mātuṭṭhāne ṭhapetvā avasesāhi saṃvāsaṃ kappesuṃ. Tesaṃ pitā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘sakyā vata, bho kumārā, paramasakyā vata, bho kumārā’’ti udānaṃ udānesi. Ayaṃ tāva sakyānaṃ uppatti. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –
‘‘อถ โข, อมฺพฎฺฐ, ราชา โอกฺกาโก อมเจฺจ ปาริสเชฺช อามเนฺตสิ – ‘กหํ นุ โข, โภ, เอตรหิ กุมารา สมฺมนฺตี’ติฯ อตฺถิ, เทว, หิมวนฺตปเสฺส โปกฺขรณิยา ตีเร มหาสากสโณฺฑ, ตเตฺถตรหิ กุมารา สมฺมนฺติฯ เต ชาติสเมฺภทภยา สกาหิ ภคินีหิ สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปนฺตีติฯ อถ โข, อมฺพฎฺฐ, ราชา โอกฺกาโก อุทานํ อุทาเนสิ – ‘สกฺยา วต, โภ กุมารา, ปรมสกฺยา วต, โภ กุมารา’ติ, ตทเคฺค โข ปน , อมฺพฎฺฐ, สกฺยา ปญฺญายนฺติ, โส จ สกฺยานํ ปุพฺพปุริโส’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๖๗)ฯ
‘‘Atha kho, ambaṭṭha, rājā okkāko amacce pārisajje āmantesi – ‘kahaṃ nu kho, bho, etarahi kumārā sammantī’ti. Atthi, deva, himavantapasse pokkharaṇiyā tīre mahāsākasaṇḍo, tatthetarahi kumārā sammanti. Te jātisambhedabhayā sakāhi bhaginīhi saddhiṃ saṃvāsaṃ kappentīti. Atha kho, ambaṭṭha, rājā okkāko udānaṃ udānesi – ‘sakyā vata, bho kumārā, paramasakyā vata, bho kumārā’ti, tadagge kho pana , ambaṭṭha, sakyā paññāyanti, so ca sakyānaṃ pubbapuriso’’ti (dī. ni. 1.267).
ตโต เนสํ เชฎฺฐภคินิยา กุฎฺฐโรโค อุทปาทิ, โกวิฬารปุปฺผสทิสานิ คตฺตานิ อเหสุํฯ ราชกุมารา ‘‘อิมาย สทฺธิํ เอกโต นิสชฺชฎฺฐานโภชนาทีนิ กโรนฺตานมฺปิ อุปริ เอส โรโค สงฺกมตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุยฺยานกีฬํ คจฺฉนฺตา วิย ตํ ยาเน อาโรเปตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา โปกฺขรณิํ ขณาเปตฺวา ตํ ตตฺถ ขาทนียโภชนีเยหิ สทฺธิํ ปกฺขิปิตฺวา อุปริ ปทรํ ปฎิจฺฉาทาเปตฺวา ปํสุํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เตน จ สมเยน ราโม นาม ราชา กุฎฺฐโรคี โอโรเธหิ จ นาฎเกหิ จ ชิคุจฺฉิยมาโน เตน สํเวเคน เชฎฺฐปุตฺตสฺส รชฺชํ ทตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ ปณฺณมูลผลานิ ปริภุญฺชโนฺต นจิรเสฺสว อโรโค สุวณฺณวโณฺณ หุตฺวา, อิโต จิโต จ วิจรโนฺต มหนฺตํ สุสิรรุกฺขํ ทิสฺวา ตสฺสพฺภนฺตเร โสฬสหตฺถปฺปมาณํ ตํ โกลาปํ โสเธตฺวา, ทฺวารญฺจ วาตปานญฺจ กตฺวา นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ โส องฺคารกฎาเห อคฺคิํ กตฺวา รตฺติํ วิสฺสรญฺจ สุสฺสรญฺจ สุณโนฺต สยติฯ โส ‘‘อสุกสฺมิํ ปเทเส สีโห สทฺทมกาสิ, อสุกสฺมิํ พฺยโคฺฆ’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ปภาเต ตตฺถ คนฺตฺวา วิฆาสมํสํ อาทาย ปจิตฺวา ขาทติฯ
Tato nesaṃ jeṭṭhabhaginiyā kuṭṭharogo udapādi, koviḷārapupphasadisāni gattāni ahesuṃ. Rājakumārā ‘‘imāya saddhiṃ ekato nisajjaṭṭhānabhojanādīni karontānampi upari esa rogo saṅkamatī’’ti cintetvā uyyānakīḷaṃ gacchantā viya taṃ yāne āropetvā araññaṃ pavisitvā pokkharaṇiṃ khaṇāpetvā taṃ tattha khādanīyabhojanīyehi saddhiṃ pakkhipitvā upari padaraṃ paṭicchādāpetvā paṃsuṃ datvā pakkamiṃsu. Tena ca samayena rāmo nāma rājā kuṭṭharogī orodhehi ca nāṭakehi ca jigucchiyamāno tena saṃvegena jeṭṭhaputtassa rajjaṃ datvā araññaṃ pavisitvā tattha paṇṇamūlaphalāni paribhuñjanto nacirasseva arogo suvaṇṇavaṇṇo hutvā, ito cito ca vicaranto mahantaṃ susirarukkhaṃ disvā tassabbhantare soḷasahatthappamāṇaṃ taṃ kolāpaṃ sodhetvā, dvārañca vātapānañca katvā nisseṇiṃ bandhitvā tattha vāsaṃ kappesi. So aṅgārakaṭāhe aggiṃ katvā rattiṃ vissarañca sussarañca suṇanto sayati. So ‘‘asukasmiṃ padese sīho saddamakāsi, asukasmiṃ byaggho’’ti sallakkhetvā pabhāte tattha gantvā vighāsamaṃsaṃ ādāya pacitvā khādati.
อเถกทิวสํ โส ปจฺจูสสมเย อคฺคิํ ชาเลตฺวา นิสีทิฯ เตน จ สมเยน ตสฺสา ราชธีตาย คนฺธํ ฆายิตฺวา พฺยโคฺฆ ตํ ปเทสํ ขณิตฺวา ปทรตฺถเร วิวรมกาสิฯ เตน วิวเรน สา พฺยคฺฆํ ทิสฺวา ภีตา วิสฺสรมกาสิฯ โส ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อิตฺถิสโทฺท เอโส’’ติ จ สลฺลเกฺขตฺวา ปาโตว ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘มาตุคาโม สามี’’ติฯ ‘‘นิกฺขมา’’ติฯ ‘‘น นิกฺขมามี’’ติฯ ‘‘กิํ การณา’’ติ? ‘‘ขตฺติยกญฺญา อห’’นฺติฯ เอวํ โสเพฺภ นิขาตาปิ มานเมว กโรติฯ โส สพฺพํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อหมฺปิ ขตฺติโย’’ติ ชาติํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘เอหิ ทานิ ขีเร ปกฺขิตฺตสปฺปิ วิย ชาต’’นฺติ อาหฯ สา ‘‘กุฎฺฐโรคินีมฺหิ สามิ, น สกฺกา นิกฺขมิตุ’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘กตกโมฺม ทานิ อหํ สกฺกา ติกิจฺฉิตุ’’นฺติ นิเสฺสณิํ ทตฺวา ตํ อุทฺธริตฺวา อตฺตโน วสโนกาสํ เนตฺวา สยํ ปริภุตฺตเภสชฺชานิ เอว ทตฺวา นจิรเสฺสว อโรคํ สุวณฺณวณฺณมกาสิฯ โส ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ปฐมสํวาเสเนว คพฺภํ คณฺหิตฺวา เทฺว ปุเตฺต วิชายิ, ปุนปิ เทฺวติ เอวํ โสฬสกฺขตฺตุํ วิชายิฯ เอวํ เต ทฺวตฺติํส ภาตโร อเหสุํฯ เต อนุปุเพฺพน วุฑฺฒิปฺปเตฺต ปิตา สพฺพสิปฺปานิ สิกฺขาเปสิฯ
Athekadivasaṃ so paccūsasamaye aggiṃ jāletvā nisīdi. Tena ca samayena tassā rājadhītāya gandhaṃ ghāyitvā byaggho taṃ padesaṃ khaṇitvā padaratthare vivaramakāsi. Tena vivarena sā byagghaṃ disvā bhītā vissaramakāsi. So taṃ saddaṃ sutvā ‘‘itthisaddo eso’’ti ca sallakkhetvā pātova tattha gantvā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Mātugāmo sāmī’’ti. ‘‘Nikkhamā’’ti. ‘‘Na nikkhamāmī’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā’’ti? ‘‘Khattiyakaññā aha’’nti. Evaṃ sobbhe nikhātāpi mānameva karoti. So sabbaṃ pucchitvā ‘‘ahampi khattiyo’’ti jātiṃ ācikkhitvā ‘‘ehi dāni khīre pakkhittasappi viya jāta’’nti āha. Sā ‘‘kuṭṭharoginīmhi sāmi, na sakkā nikkhamitu’’nti āha. So ‘‘katakammo dāni ahaṃ sakkā tikicchitu’’nti nisseṇiṃ datvā taṃ uddharitvā attano vasanokāsaṃ netvā sayaṃ paribhuttabhesajjāni eva datvā nacirasseva arogaṃ suvaṇṇavaṇṇamakāsi. So tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Sā paṭhamasaṃvāseneva gabbhaṃ gaṇhitvā dve putte vijāyi, punapi dveti evaṃ soḷasakkhattuṃ vijāyi. Evaṃ te dvattiṃsa bhātaro ahesuṃ. Te anupubbena vuḍḍhippatte pitā sabbasippāni sikkhāpesi.
อเถกทิวสํ เอโก รามรโญฺญ นครวาสี ปพฺพเต รตนานิ คเวสโนฺต ตํ ปเทสํ อาคโต ราชานํ ทิสฺวา อญฺญาสิฯ ‘‘ชานามหํ, เทว, ตุเมฺห’’ติ อาหฯ ‘‘กุโต ตฺวํ อาคโตสี’’ติ จ เตน ปุโฎฺฐ ‘‘นครโต เทวา’’ติ อาหฯ ตโต นํ ราชา สพฺพํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ เอวํ เตสุ สมุลฺลปมาเนสุ เต ทารกา อาคมิํสุฯ โส เต ทิสฺวา ‘‘อิเม เก เทวา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปุตฺตา เม ภเณ’’ติฯ ‘‘อิเมหิ ทานิ, เทว, ทฺวตฺติํสกุมาเรหิ ปริวุโต วเน กิํ กริสฺสสิ, เอหิ รชฺชมนุสาสา’’ติ? ‘‘อลํ, ภเณ, อิเธว สุข’’นฺติฯ โส ‘‘ลทฺธํ ทานิ เม กถาปาภต’’นฺติ นครํ คนฺตฺวา รโญฺญ ปุตฺตสฺสาโรเจสิฯ รโญฺญ ปุโตฺต ‘‘ปิตรํ อาเนสฺสามี’’ติ จตุรงฺคินิยา เสนาย ตตฺถ คนฺตฺวา นานปฺปกาเรหิ ปิตรํ ยาจิฯ โสปิ ‘‘อลํ, ตาต กุมาร, อิเธว สุข’’นฺติ เนว อิจฺฉิฯ ตโต ราชปุโตฺต ‘‘น ทานิ ราชา อาคนฺตุํ อิจฺฉติ, หนฺทสฺส อิเธว นครํ มาเปมี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ โกลรุกฺขํ อุทฺธริตฺวา ฆรํ กตฺวา นครํ มาเปตฺวา โกลรุกฺขํ อปเนตฺวา กตตฺตา ‘‘โกลนคร’’นฺติ จ พฺยคฺฆปเถ กตตฺตา ‘‘พฺยคฺฆปชฺช’’นฺติ จาติ เทฺว นามานิ อาโรเปตฺวา อคมาสิฯ
Athekadivasaṃ eko rāmarañño nagaravāsī pabbate ratanāni gavesanto taṃ padesaṃ āgato rājānaṃ disvā aññāsi. ‘‘Jānāmahaṃ, deva, tumhe’’ti āha. ‘‘Kuto tvaṃ āgatosī’’ti ca tena puṭṭho ‘‘nagarato devā’’ti āha. Tato naṃ rājā sabbaṃ pavattiṃ pucchi. Evaṃ tesu samullapamānesu te dārakā āgamiṃsu. So te disvā ‘‘ime ke devā’’ti pucchi. ‘‘Puttā me bhaṇe’’ti. ‘‘Imehi dāni, deva, dvattiṃsakumārehi parivuto vane kiṃ karissasi, ehi rajjamanusāsā’’ti? ‘‘Alaṃ, bhaṇe, idheva sukha’’nti. So ‘‘laddhaṃ dāni me kathāpābhata’’nti nagaraṃ gantvā rañño puttassārocesi. Rañño putto ‘‘pitaraṃ ānessāmī’’ti caturaṅginiyā senāya tattha gantvā nānappakārehi pitaraṃ yāci. Sopi ‘‘alaṃ, tāta kumāra, idheva sukha’’nti neva icchi. Tato rājaputto ‘‘na dāni rājā āgantuṃ icchati, handassa idheva nagaraṃ māpemī’’ti cintetvā taṃ kolarukkhaṃ uddharitvā gharaṃ katvā nagaraṃ māpetvā kolarukkhaṃ apanetvā katattā ‘‘kolanagara’’nti ca byagghapathe katattā ‘‘byagghapajja’’nti cāti dve nāmāni āropetvā agamāsi.
ตโต วยปฺปเตฺต กุมาเร มาตา อาณาเปสิ – ‘‘ตาตา, ตุมฺหากํ กปิลวตฺถุวาสิโน สกฺยา มาตุลา โหนฺติ, ธีตโร เนสํ คณฺหถา’’ติฯ เต ยํ ทิวสํ ขตฺติยกญฺญาโย นทีกีฬนํ คจฺฉนฺติ, ตํ ทิวสํ คนฺตฺวา นทีติตฺถํ อุปรุนฺธิตฺวา นามานิ สาเวตฺวา ปตฺถิตา ปตฺถิตา ราชธีตโร คเหตฺวา อคมํสุฯ สกฺยราชาโน สุตฺวา ‘‘โหตุ ภเณ, อมฺหากํ ญาตกา เอวา’’ติ ตุณฺหี อเหสุํฯ อยํ โกลิยานํ อุปฺปตฺติฯ
Tato vayappatte kumāre mātā āṇāpesi – ‘‘tātā, tumhākaṃ kapilavatthuvāsino sakyā mātulā honti, dhītaro nesaṃ gaṇhathā’’ti. Te yaṃ divasaṃ khattiyakaññāyo nadīkīḷanaṃ gacchanti, taṃ divasaṃ gantvā nadītitthaṃ uparundhitvā nāmāni sāvetvā patthitā patthitā rājadhītaro gahetvā agamaṃsu. Sakyarājāno sutvā ‘‘hotu bhaṇe, amhākaṃ ñātakā evā’’ti tuṇhī ahesuṃ. Ayaṃ koliyānaṃ uppatti.
เอวํ เตสํ สากิยโกลิยานํ อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กโรนฺตานํ อาคโต วํโส ยาว สีหหนุราชา, ตาว วิตฺถารโต เวทิตโพฺพ – สีหหนุรโญฺญ กิร ปญฺจ ปุตฺตา อเหสุํ – สุโทฺธทโน, อมิโตทโน, โธโตทโน, สโกฺกทโน, สุโกฺกทโนติฯ เตสุ สุโทฺธทเน รชฺชํ การยมาเน ตสฺส ปชาปติยา อญฺชนรโญฺญ ธีตาย มหามายาเทวิยา กุจฺฉิมฺหิ ปูริตปารมี มหาปุริโส ชาตกนิทาเน วุตฺตนเยน ตุสิตปุรา จวิตฺวา ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุปุเพฺพน กตมหาภินิกฺขมโน สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุกฺกเมน กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา สุโทฺธทนมหาราชาทโย อริยผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ชนปทจาริกํ ปกฺกมิตฺวา ปุนปิ อปเรน สมเยน ปจฺจาคนฺตฺวา ปนฺนรสหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ กปิลวตฺถุสฺมิํ วิหรติ นิโคฺรธาราเมฯ
Evaṃ tesaṃ sākiyakoliyānaṃ aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ karontānaṃ āgato vaṃso yāva sīhahanurājā, tāva vitthārato veditabbo – sīhahanurañño kira pañca puttā ahesuṃ – suddhodano, amitodano, dhotodano, sakkodano, sukkodanoti. Tesu suddhodane rajjaṃ kārayamāne tassa pajāpatiyā añjanarañño dhītāya mahāmāyādeviyā kucchimhi pūritapāramī mahāpuriso jātakanidāne vuttanayena tusitapurā cavitvā paṭisandhiṃ gahetvā anupubbena katamahābhinikkhamano sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā pavattitavaradhammacakko anukkamena kapilavatthuṃ gantvā suddhodanamahārājādayo ariyaphale patiṭṭhāpetvā janapadacārikaṃ pakkamitvā punapi aparena samayena paccāgantvā pannarasahi bhikkhusatehi saddhiṃ kapilavatthusmiṃ viharati nigrodhārāme.
ตตฺถ วิหรเนฺต จ ภควติ สากิยโกลิยานํ อุทกํ ปฎิจฺจ กลโห อโหสิฯ กถํ? เนสํ กิร อุภินฺนมฺปิ กปิลปุรโกลิยปุรานํ อนฺตเร โรหิณี นาม นที ปวตฺตติฯ สา กทาจิ อโปฺปทกา โหติ, กทาจิ มโหทกาฯ อโปฺปทกกาเล เสตุํ กตฺวา สากิยาปิ โกลิยาปิ อตฺตโน อตฺตโน สสฺสปายนตฺถํ อุทกํ อาเนนฺติฯ เตสํ มนุสฺสา เอกทิวสํ เสตุํ กโรนฺตา อญฺญมญฺญํ ภณฺฑนฺตา ‘‘อเร ตุมฺหากํ ราชกุลํ ภคินีหิ สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิ กุกฺกุฎโสณสิงฺคาลาทิติรจฺฉานา วิย, ตุมฺหากํ ราชกุลํ สุสิรรุเกฺข วาสํ กเปฺปสิ ปิสาจิลฺลิกา วิยา’’ติ เอวํ ชาติวาเทน ขุํเสตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ราชูนํ อาโรเจสุํฯ เต กุทฺธา ยุทฺธสชฺชา หุตฺวา โรหิณีนทีตีรํ สมฺปตฺตาฯ เอวํ สาครสทิสํ พลํ อฎฺฐาสิฯ
Tattha viharante ca bhagavati sākiyakoliyānaṃ udakaṃ paṭicca kalaho ahosi. Kathaṃ? Nesaṃ kira ubhinnampi kapilapurakoliyapurānaṃ antare rohiṇī nāma nadī pavattati. Sā kadāci appodakā hoti, kadāci mahodakā. Appodakakāle setuṃ katvā sākiyāpi koliyāpi attano attano sassapāyanatthaṃ udakaṃ ānenti. Tesaṃ manussā ekadivasaṃ setuṃ karontā aññamaññaṃ bhaṇḍantā ‘‘are tumhākaṃ rājakulaṃ bhaginīhi saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi kukkuṭasoṇasiṅgālāditiracchānā viya, tumhākaṃ rājakulaṃ susirarukkhe vāsaṃ kappesi pisācillikā viyā’’ti evaṃ jātivādena khuṃsetvā attano attano rājūnaṃ ārocesuṃ. Te kuddhā yuddhasajjā hutvā rohiṇīnadītīraṃ sampattā. Evaṃ sāgarasadisaṃ balaṃ aṭṭhāsi.
อถ ภควา ‘‘ญาตกา กลหํ กโรนฺติ, หนฺท, เน วาเรสฺสามี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา ทฺวินฺนํ เสนานํ มเชฺฌ อฎฺฐาสิฯ ตมฺปิ อาวเชฺชตฺวา สาวตฺถิโต อาคโตติ เอเกฯ เอวํ ฐตฺวา จ ปน อตฺตทณฺฑสุตฺตํ (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย) อภาสิฯ ตํ สุตฺวา สเพฺพ สํเวคปฺปตฺตา อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา ภควนฺตํ นมสฺสมานา อฎฺฐํสุ, มหคฺฆญฺจ อาสนํ ปญฺญาเปสุํฯ ภควา โอรุยฺห ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘กุฐารีหโตฺถ ปุริโส’’ติอาทิกํ ผนฺทนชาตกํ (ชา. ๑.๑๓.๑๔), ‘‘วนฺทามิ ตํ กุญฺชรา’’ติอาทิกํ ลฎุกิกชาตกํ (ชา. ๑.๕.๓๙)ฯ
Atha bhagavā ‘‘ñātakā kalahaṃ karonti, handa, ne vāressāmī’’ti ākāsenāgantvā dvinnaṃ senānaṃ majjhe aṭṭhāsi. Tampi āvajjetvā sāvatthito āgatoti eke. Evaṃ ṭhatvā ca pana attadaṇḍasuttaṃ (su. ni. 941 ādayo) abhāsi. Taṃ sutvā sabbe saṃvegappattā āvudhāni chaḍḍetvā bhagavantaṃ namassamānā aṭṭhaṃsu, mahagghañca āsanaṃ paññāpesuṃ. Bhagavā oruyha paññattāsane nisīditvā ‘‘kuṭhārīhattho puriso’’tiādikaṃ phandanajātakaṃ (jā. 1.13.14), ‘‘vandāmi taṃ kuñjarā’’tiādikaṃ laṭukikajātakaṃ (jā. 1.5.39).
‘‘สโมฺมทมานา คจฺฉนฺติ, ชาลมาทาย ปกฺขิโน;
‘‘Sammodamānā gacchanti, jālamādāya pakkhino;
ยทา เต วิวทิสฺสนฺติ, ตทา เอหินฺติ เม วส’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๓๓) –
Yadā te vivadissanti, tadā ehinti me vasa’’nti. (jā. 1.1.33) –
อิมํ วฎฺฎกชาตกญฺจ กเถตฺวา ปุน เตสํ จิรกาลปฺปวตฺตํ ญาติภาวํ ทเสฺสโนฺต อิมํ มหาวํสํ กเถสิฯ เต ‘‘ปุเพฺพ กิร มยํ ญาตกา เอวา’’ติ อติวิย ปสีทิํสุฯ ตโต สกฺยา อฑฺฒเตยฺยกุมารสเต, โกลิยา อฑฺฒเตยฺยกุมารสเตติ ปญฺจ กุมารสเต ภควโต ปริวารตฺถาย อทํสุฯ ภควา เตสํ ปุพฺพเหตุํ ทิสฺวา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ อาหฯ เต สเพฺพ อิทฺธิยา นิพฺพตฺตอฎฺฐปริกฺขารยุตฺตา อากาเส อพฺภุคฺคนฺตฺวา อาคมฺม ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ ภควา เต อาทาย มหาวนํ อคมาสิฯ เตสํ ปชาปติโย ทูเต ปาเหสุํ, เต ตาหิ นานปฺปกาเรหิ ปโลภิยมานา อุกฺกณฺฐิํสุฯ ภควา เตสํ อุกฺกณฺฐิตภาวํ ญตฺวา หิมวนฺตํ ทเสฺสตฺวา ตตฺถ กุณาลชาตกกถาย (ชา. ๒.๒๑.๒๘๙ กุณาลชาตกํ) เตสํ อนภิรติํ วิโนเทตุกาโม อาห – ‘‘ทิฎฺฐปุโพฺพ โว, ภิกฺขเว, หิมวา’’ติ? ‘‘น ภควา’’ติฯ ‘‘เอถ, ภิกฺขเว, เปกฺขถา’’ติ อตฺตโน อิทฺธิยา เต อากาเสน เนโนฺต ‘‘อยํ สุวณฺณปพฺพโต, อยํ รชตปพฺพโต, อยํ มณิปพฺพโต’’ติ นานปฺปกาเร ปพฺพเต ทเสฺสตฺวา กุณาลทเห มโนสิลาตเล ปจฺจุฎฺฐาสิฯ ตโต ‘‘หิมวเนฺต สเพฺพ จตุปฺปทพหุปฺปทาทิเภทา ติรจฺฉานคตา ปาณา อาคจฺฉนฺตุ, สเพฺพสญฺจ ปจฺฉโต กุณาลสกุโณ’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ อาคจฺฉเนฺต จ เต ชาตินามนิรุตฺติวเสน วเณฺณโนฺต ‘‘เอเต, ภิกฺขเว, หํสา, เอเต โกญฺจา , เอเต จกฺกวากา, กรวีกา, หตฺถิโสณฺฑกา, โปกฺขรสาตกา’’ติ เตสํ ทเสฺสสิฯ
Imaṃ vaṭṭakajātakañca kathetvā puna tesaṃ cirakālappavattaṃ ñātibhāvaṃ dassento imaṃ mahāvaṃsaṃ kathesi. Te ‘‘pubbe kira mayaṃ ñātakā evā’’ti ativiya pasīdiṃsu. Tato sakyā aḍḍhateyyakumārasate, koliyā aḍḍhateyyakumārasateti pañca kumārasate bhagavato parivāratthāya adaṃsu. Bhagavā tesaṃ pubbahetuṃ disvā ‘‘etha bhikkhavo’’ti āha. Te sabbe iddhiyā nibbattaaṭṭhaparikkhārayuttā ākāse abbhuggantvā āgamma bhagavantaṃ vanditvā aṭṭhaṃsu. Bhagavā te ādāya mahāvanaṃ agamāsi. Tesaṃ pajāpatiyo dūte pāhesuṃ, te tāhi nānappakārehi palobhiyamānā ukkaṇṭhiṃsu. Bhagavā tesaṃ ukkaṇṭhitabhāvaṃ ñatvā himavantaṃ dassetvā tattha kuṇālajātakakathāya (jā. 2.21.289 kuṇālajātakaṃ) tesaṃ anabhiratiṃ vinodetukāmo āha – ‘‘diṭṭhapubbo vo, bhikkhave, himavā’’ti? ‘‘Na bhagavā’’ti. ‘‘Etha, bhikkhave, pekkhathā’’ti attano iddhiyā te ākāsena nento ‘‘ayaṃ suvaṇṇapabbato, ayaṃ rajatapabbato, ayaṃ maṇipabbato’’ti nānappakāre pabbate dassetvā kuṇāladahe manosilātale paccuṭṭhāsi. Tato ‘‘himavante sabbe catuppadabahuppadādibhedā tiracchānagatā pāṇā āgacchantu, sabbesañca pacchato kuṇālasakuṇo’’ti adhiṭṭhāsi. Āgacchante ca te jātināmaniruttivasena vaṇṇento ‘‘ete, bhikkhave, haṃsā, ete koñcā , ete cakkavākā, karavīkā, hatthisoṇḍakā, pokkharasātakā’’ti tesaṃ dassesi.
เต วิมฺหิตหทยา ปสฺสนฺตา สพฺพปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตํ ทฺวีหิ ทิชกญฺญาหิ มุขตุณฺฑเกน ฑํสิตฺวา คหิตกฎฺฐเวมเชฺฌ นิสินฺนํ สหสฺสทิชกญฺญาปริวารํ กุณาลสกุณํ ทิสฺวา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา ภควนฺตํ อาหํสุ – ‘‘กจฺจิ, ภเนฺต, ภควาปิ อิธ กุณาลราชา ภูตปุโพฺพ’’ติ? ‘‘อาม, ภิกฺขเว, มยาเวส กุณาลวํโส กโตฯ อตีเต หิ มยํ จตฺตาโร ชนา อิธ วสิมฺหา – นารโท เทวิโล อิสิ, อานโนฺท คิชฺฌราชา, ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล, อหํ กุณาโล สกุโณ’’ติ สพฺพํ มหากุณาลชาตกํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เตสํ ภิกฺขูนํ ปุราณทุติยิกาโย อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนภิรติ วูปสนฺตาฯ ตโต เตสํ ภควา สจฺจกถํ กเถสิ, กถาปริโยสาเน สพฺพปจฺฉิมโก โสตาปโนฺน, สพฺพอุปริโม อนาคามี อโหสิ, เอโกปิ ปุถุชฺชโน วา อรหา วา นตฺถิฯ ตโต ภควา เต อาทาย ปุนเทว มหาวเน โอรุหิฯ อาคจฺฉมานา จ เต ภิกฺขู อตฺตโนว อิทฺธิยา อาคจฺฉิํสุฯ
Te vimhitahadayā passantā sabbapacchato āgacchantaṃ dvīhi dijakaññāhi mukhatuṇḍakena ḍaṃsitvā gahitakaṭṭhavemajjhe nisinnaṃ sahassadijakaññāparivāraṃ kuṇālasakuṇaṃ disvā acchariyabbhutacittajātā bhagavantaṃ āhaṃsu – ‘‘kacci, bhante, bhagavāpi idha kuṇālarājā bhūtapubbo’’ti? ‘‘Āma, bhikkhave, mayāvesa kuṇālavaṃso kato. Atīte hi mayaṃ cattāro janā idha vasimhā – nārado devilo isi, ānando gijjharājā, puṇṇamukho phussakokilo, ahaṃ kuṇālo sakuṇo’’ti sabbaṃ mahākuṇālajātakaṃ kathesi. Taṃ sutvā tesaṃ bhikkhūnaṃ purāṇadutiyikāyo ārabbha uppannā anabhirati vūpasantā. Tato tesaṃ bhagavā saccakathaṃ kathesi, kathāpariyosāne sabbapacchimako sotāpanno, sabbauparimo anāgāmī ahosi, ekopi puthujjano vā arahā vā natthi. Tato bhagavā te ādāya punadeva mahāvane oruhi. Āgacchamānā ca te bhikkhū attanova iddhiyā āgacchiṃsu.
อถ เนสํ ภควา อุปริมคฺคตฺถาย ปุน ธมฺมํ เทเสสิฯ เต ปญฺจสตาปิ วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ ปฐมํ ปโตฺต ปฐมเมว อคมาสิ ‘‘ภควโต อาโรเจสฺสามี’’ติฯ อาคนฺตฺวา จ ‘‘อภิรมามหํ ภควา, น อุกฺกณฺฐามี’’ติ วตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอวํ เต สเพฺพปิ อนุกฺกเมน อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุ เชฎฺฐมาสอุโปสถทิวเส สายนฺหสมเยฯ ตโต ปญฺจสตขีณาสวปริวุตํ วรพุทฺธาสเน นิสินฺนํ ภควนฺตํ ฐเปตฺวา อสญฺญสเตฺต จ อรูปพฺรหฺมาโน จ สกลทสสหสฺสจกฺกวาเฬ อวเสสเทวตาทโย มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ วุตฺตนเยน สุขุมตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา สมฺปริวาเรสุํ ‘‘วิจิตฺรปฎิภานํ ธมฺมเทสนํ โสสฺสามา’’ติฯ ตตฺถ จตฺตาโร ขีณาสวพฺรหฺมาโน สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย พฺรหฺมคณํ อปสฺสนฺตา ‘‘กุหิํ คตา’’ติ อาวเชฺชตฺวา ตมตฺถํ ญตฺวา ปจฺฉา อาคนฺตฺวา โอกาสํ อลภมานา จกฺกวาฬมุทฺธนิ ฐตฺวา ปเจฺจกคาถาโย อภาสิํสุฯ ยถาห –
Atha nesaṃ bhagavā uparimaggatthāya puna dhammaṃ desesi. Te pañcasatāpi vipassanaṃ ārabhitvā arahatte patiṭṭhahiṃsu. Paṭhamaṃ patto paṭhamameva agamāsi ‘‘bhagavato ārocessāmī’’ti. Āgantvā ca ‘‘abhiramāmahaṃ bhagavā, na ukkaṇṭhāmī’’ti vatvā bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Evaṃ te sabbepi anukkamena āgantvā bhagavantaṃ parivāretvā nisīdiṃsu jeṭṭhamāsauposathadivase sāyanhasamaye. Tato pañcasatakhīṇāsavaparivutaṃ varabuddhāsane nisinnaṃ bhagavantaṃ ṭhapetvā asaññasatte ca arūpabrahmāno ca sakaladasasahassacakkavāḷe avasesadevatādayo maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ vuttanayena sukhumattabhāve nimminitvā samparivāresuṃ ‘‘vicitrapaṭibhānaṃ dhammadesanaṃ sossāmā’’ti. Tattha cattāro khīṇāsavabrahmāno samāpattito vuṭṭhāya brahmagaṇaṃ apassantā ‘‘kuhiṃ gatā’’ti āvajjetvā tamatthaṃ ñatvā pacchā āgantvā okāsaṃ alabhamānā cakkavāḷamuddhani ṭhatvā paccekagāthāyo abhāsiṃsu. Yathāha –
‘‘อถ โข จตุนฺนํ สุทฺธาวาสกายิกานํ เทวตานํ เอตทโหสิ – ‘อยํ, โข, ภควา สเกฺกสุ วิหรติ กปิลวตฺถุสฺมิํ มหาวเน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สเพฺพเหว อรหเนฺตหิฯ ทสหิ จ โลกธาตูหิ เทวตา เยภุเยฺยน สนฺนิปติตา โหนฺติ ภควนฺตํ ทสฺสนาย ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ฯ ยํนูน มยมฺปิ เยน ภควา เตนุปสงฺกเมยฺยาม, อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต สนฺติเก ปเจฺจกํ คาถํ ภาเสยฺยามา’’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๓๑; สํ. นิ. ๑.๓๗)ฯ
‘‘Atha kho catunnaṃ suddhāvāsakāyikānaṃ devatānaṃ etadahosi – ‘ayaṃ, kho, bhagavā sakkesu viharati kapilavatthusmiṃ mahāvane mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehi sabbeheva arahantehi. Dasahi ca lokadhātūhi devatā yebhuyyena sannipatitā honti bhagavantaṃ dassanāya bhikkhusaṅghañca . Yaṃnūna mayampi yena bhagavā tenupasaṅkameyyāma, upasaṅkamitvā bhagavato santike paccekaṃ gāthaṃ bhāseyyāmā’’’ti (dī. ni. 2.331; saṃ. ni. 1.37).
สพฺพํ สคาถาวเคฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ คนฺตฺวา จ ตตฺถ เอโก พฺรหฺมา ปุรตฺถิมจกฺกวาฬมุทฺธนิ โอกาสํ ลภิตฺวา ตตฺถ ฐิโต อิมํ คาถํ อภาสิ –
Sabbaṃ sagāthāvagge vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ gantvā ca tattha eko brahmā puratthimacakkavāḷamuddhani okāsaṃ labhitvā tattha ṭhito imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิํ…เป.…
‘‘Mahāsamayo pavanasmiṃ…pe…
ทกฺขิตาเย อปราชิตสงฺฆ’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);
Dakkhitāye aparājitasaṅgha’’nti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);
อิมญฺจสฺส คาถํ ภาสมานสฺส ปจฺฉิมจกฺกวาฬปพฺพเต ฐิโต สทฺทํ อโสฺสสิฯ
Imañcassa gāthaṃ bhāsamānassa pacchimacakkavāḷapabbate ṭhito saddaṃ assosi.
ทุติโย ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุทฺธนิ โอกาสํ ลภิตฺวา ตตฺถ ฐิโต ตํ คาถํ สุตฺวา อิมํ คาถํ อภาสิ –
Dutiyo pacchimacakkavāḷamuddhani okāsaṃ labhitvā tattha ṭhito taṃ gāthaṃ sutvā imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘ตตฺร ภิกฺขโว สมาทหํสุ…เป.…
‘‘Tatra bhikkhavo samādahaṃsu…pe…
อินฺทฺริยานิ รกฺขนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);
Indriyāni rakkhanti paṇḍitā’’ti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);
ตติโย ทกฺขิณจกฺกวาฬมุทฺธนิ โอกาสํ ลภิตฺวา ตตฺถ ฐิโต ตํ คาถํ สุตฺวา อิมํ คาถํ อภาสิ –
Tatiyo dakkhiṇacakkavāḷamuddhani okāsaṃ labhitvā tattha ṭhito taṃ gāthaṃ sutvā imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘เฉตฺวา ขีลํ เฉตฺวา ปลิฆํ…เป.… สุสุนาคา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);
‘‘Chetvā khīlaṃ chetvā palighaṃ…pe… susunāgā’’ti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);
จตุโตฺถ อุตฺตรจกฺกวาฬมุทฺธนิ โอกาสํ ลภิตฺวา ตตฺถ ฐิโต ตํ คาถํ สุตฺวา อิมํ คาถมภาสิ –
Catuttho uttaracakkavāḷamuddhani okāsaṃ labhitvā tattha ṭhito taṃ gāthaṃ sutvā imaṃ gāthamabhāsi –
‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส…เป.…
‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse…pe…
เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);
Devakāyaṃ paripūressantī’’ti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);
ตสฺสปิ ตํ สทฺทํ ทกฺขิณจกฺกวาฬมุทฺธนิ ฐิโต อโสฺสสิฯ เอวํ ตทา อิเม จตฺตาโร พฺรหฺมาโน ปริสํ โถเมตฺวา ฐิตา อเหสุํ, มหาพฺรหฺมาโน เอกจกฺกวาฬํ ฉาเทตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Tassapi taṃ saddaṃ dakkhiṇacakkavāḷamuddhani ṭhito assosi. Evaṃ tadā ime cattāro brahmāno parisaṃ thometvā ṭhitā ahesuṃ, mahābrahmāno ekacakkavāḷaṃ chādetvā aṭṭhaṃsu.
อถ ภควา เทวปริสํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจสิ – ‘‘เยปิ เต, ภิกฺขเว, อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เตสมฺปิ ภควนฺตานํ เอตปฺปรมาเยว เทวตา สนฺนิปติตา อเหสุํฯ เสยฺยถาปิ มยฺหํ เอตรหิ, เยปิ เต, ภิกฺขเว, ภวิสฺสนฺติ อนาคตมทฺธานํ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เตสมฺปิ ภควนฺตานํ เอตปฺปรมาเยว เทวตา สนฺนิปติตา ภวิสฺสนฺติ เสยฺยถาปิ มยฺหํ เอตรหี’’ติฯ ตโต ตํ เทวปริสํ ภพฺพาภพฺพวเสน ทฺวิธา วิภชิ ‘‘เอตฺตกา ภพฺพา, เอตฺตกา อภพฺพา’’ติฯ ตตฺถ ‘‘อภพฺพปริสา พุทฺธสเตปิ ธมฺมํ เทเสเนฺต น พุชฺฌติ, ภพฺพปริสา สกฺกา โพเธตุ’’นฺติ ญตฺวา ปุน ภพฺพปุคฺคเล จริยวเสน ฉธา วิภชิ ‘‘เอตฺตกา ราคจริตา, เอตฺตกา โทส-โมห-วิตกฺก-สทฺธา-พุทฺธิจริตา’’ติฯ เอวํ จริยวเสน ปริคฺคเหตฺวา ‘‘อสฺสา ปริสาย กีทิสา ธมฺมเทสนา สปฺปายา’’ติ ธมฺมกถํ วิจินิตฺวา ปุน ตํ ปริสํ มนสากาสิ – ‘‘อตฺตชฺฌาสเยน นุ โข ชาเนยฺย, ปรชฺฌาสเยน, อฎฺฐุปฺปตฺติวเสน, ปุจฺฉาวเสนา’’ติฯ ตโต ‘‘ปุจฺฉาวเสน ชาเนยฺยา’’ติ ญตฺวา ‘‘ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ สมโตฺถ อตฺถิ, นตฺถี’’ติ ปุน สกลปริสํ อาวเชฺชตฺวา ‘‘นตฺถิ โกจี’’ติ ญตฺวา ‘‘สเจ อหเมว ปุจฺฉิตฺวา อหเมว วิสฺสเชฺชยฺยํ, เอวมสฺสา ปริสาย สปฺปายํ น โหติฯ ยํนูนาหํ นิมฺมิตพุทฺธํ มาเปยฺยนฺติ ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย มโนมยิทฺธิยา อภิสงฺขริตฺวา นิมฺมิตพุทฺธํ มาเปสิฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคี ลกฺขณสมฺปโนฺน ปตฺตจีวรธโร อาโลกิตวิโลกิตาทิสมฺปโนฺน โหตู’’ติ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สห ปาตุรโหสิฯ โส ปาจีนโลกธาตุโต อาคนฺตฺวา ภควโต สมสเม อาสเน นิสิโนฺน เอวํ อาคนฺตฺวา ยานิ ภควตา อิมมฺหิ สมาคเม จริยวเสน ฉ สุตฺตานิ (สุ. นิ. ๘๕๔ อาทโย, ๘๖๘ อาทโย, ๘๘๔ อาทโย, ๙๐๑ อาทโย, ๙๒๑ อาทโย) กถิตานิฯ เสยฺยถิทํ – ปุราเภทสุตฺตํ กลหวิวาทสุตฺตํ จูฬพฺยูหํ มหาพฺยูหํ ตุวฎกํ อิทเมว สมฺมาปริพฺพาชนียนฺติฯ เตสุ ราคจริตเทวตานํ สปฺปายวเสน กเถตพฺพสฺส อิมสฺส สุตฺตสฺส ปวตฺตนตฺถํ ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘ปุจฺฉามิ มุนิํ ปหูตปญฺญ’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ
Atha bhagavā devaparisaṃ oloketvā bhikkhūnaṃ ārocesi – ‘‘yepi te, bhikkhave, ahesuṃ atītamaddhānaṃ arahanto sammāsambuddhā, tesampi bhagavantānaṃ etapparamāyeva devatā sannipatitā ahesuṃ. Seyyathāpi mayhaṃ etarahi, yepi te, bhikkhave, bhavissanti anāgatamaddhānaṃ arahanto sammāsambuddhā, tesampi bhagavantānaṃ etapparamāyeva devatā sannipatitā bhavissanti seyyathāpi mayhaṃ etarahī’’ti. Tato taṃ devaparisaṃ bhabbābhabbavasena dvidhā vibhaji ‘‘ettakā bhabbā, ettakā abhabbā’’ti. Tattha ‘‘abhabbaparisā buddhasatepi dhammaṃ desente na bujjhati, bhabbaparisā sakkā bodhetu’’nti ñatvā puna bhabbapuggale cariyavasena chadhā vibhaji ‘‘ettakā rāgacaritā, ettakā dosa-moha-vitakka-saddhā-buddhicaritā’’ti. Evaṃ cariyavasena pariggahetvā ‘‘assā parisāya kīdisā dhammadesanā sappāyā’’ti dhammakathaṃ vicinitvā puna taṃ parisaṃ manasākāsi – ‘‘attajjhāsayena nu kho jāneyya, parajjhāsayena, aṭṭhuppattivasena, pucchāvasenā’’ti. Tato ‘‘pucchāvasena jāneyyā’’ti ñatvā ‘‘pañhaṃ pucchituṃ samattho atthi, natthī’’ti puna sakalaparisaṃ āvajjetvā ‘‘natthi kocī’’ti ñatvā ‘‘sace ahameva pucchitvā ahameva vissajjeyyaṃ, evamassā parisāya sappāyaṃ na hoti. Yaṃnūnāhaṃ nimmitabuddhaṃ māpeyyanti pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya manomayiddhiyā abhisaṅkharitvā nimmitabuddhaṃ māpesi. Sabbaṅgapaccaṅgī lakkhaṇasampanno pattacīvaradharo ālokitavilokitādisampanno hotū’’ti adhiṭṭhānacittena saha pāturahosi. So pācīnalokadhātuto āgantvā bhagavato samasame āsane nisinno evaṃ āgantvā yāni bhagavatā imamhi samāgame cariyavasena cha suttāni (su. ni. 854 ādayo, 868 ādayo, 884 ādayo, 901 ādayo, 921 ādayo) kathitāni. Seyyathidaṃ – purābhedasuttaṃ kalahavivādasuttaṃ cūḷabyūhaṃ mahābyūhaṃ tuvaṭakaṃ idameva sammāparibbājanīyanti. Tesu rāgacaritadevatānaṃ sappāyavasena kathetabbassa imassa suttassa pavattanatthaṃ pañhaṃ pucchanto ‘‘pucchāmi muniṃ pahūtapañña’’nti imaṃ gāthamāha.
ตตฺถ ปหูตปญฺญนฺติ มหาปญฺญํฯ ติณฺณนฺติ จตุโรฆติณฺณํฯ ปารงฺคตนฺติ นิพฺพานปฺปตฺตํฯ ปรินิพฺพุตนฺติ สอุปาทิเสสนิพฺพานวเสน ปรินิพฺพุตํฯ ฐิตตฺตนฺติ โลกธเมฺมหิ อกมฺปนียจิตฺตํฯ นิกฺขมฺม ฆรา ปนุชฺช กาเมติ วตฺถุกาเม ปนุทิตฺวา ฆราวาสา นิกฺขมฺมฯ กถํ ภิกฺขุ สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺยาติ โส ภิกฺขุ กถํ โลเก สมฺมา ปริพฺพเชยฺย วิหเรยฺย อนุปลิโตฺต โลเกน หุตฺวา, โลกํ อติกฺกเมยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ
Tattha pahūtapaññanti mahāpaññaṃ. Tiṇṇanti caturoghatiṇṇaṃ. Pāraṅgatanti nibbānappattaṃ. Parinibbutanti saupādisesanibbānavasena parinibbutaṃ. Ṭhitattanti lokadhammehi akampanīyacittaṃ. Nikkhamma gharā panujja kāmeti vatthukāme panuditvā gharāvāsā nikkhamma. Kathaṃ bhikkhu sammā so loke paribbajeyyāti so bhikkhu kathaṃ loke sammā paribbajeyya vihareyya anupalitto lokena hutvā, lokaṃ atikkameyyāti vuttaṃ hoti. Sesamettha vuttanayameva.
๓๖๓. อถ ภควา ยสฺมา อาสวกฺขยํ อปฺปตฺวา โลเก สมฺมา ปริพฺพชโนฺต นาม นตฺถิ, ตสฺมา ตสฺมิํ ราคจริตาทิวเสน ปริคฺคหิเต สพฺพปุคฺคลสมูเห ตํ ตํ เตสํ เตสํ สมานโทสานํ เทวตาคณานํ อาจิณฺณโทสปฺปหานตฺถํ ‘‘ยสฺส มงฺคลา’’ติ อารภิตฺวา อรหตฺตนิกูเฎเนว ขีณาสวปฎิปทํ ปกาเสโนฺต ปนฺนรส คาถาโย อภาสิฯ
363. Atha bhagavā yasmā āsavakkhayaṃ appatvā loke sammā paribbajanto nāma natthi, tasmā tasmiṃ rāgacaritādivasena pariggahite sabbapuggalasamūhe taṃ taṃ tesaṃ tesaṃ samānadosānaṃ devatāgaṇānaṃ āciṇṇadosappahānatthaṃ ‘‘yassa maṅgalā’’ti ārabhitvā arahattanikūṭeneva khīṇāsavapaṭipadaṃ pakāsento pannarasa gāthāyo abhāsi.
ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว มงฺคลาติ มงฺคลสุเตฺต วุตฺตานํ ทิฎฺฐมงฺคลาทีนเมตํ อธิวจนํฯ สมูหตาติ สุฎฺฐุ อูหตา ปญฺญาสเตฺถน สมุจฺฉินฺนาฯ อุปฺปาตาติ ‘‘อุกฺกาปาตทิสาฑาหาทโย เอวํ วิปากา โหนฺตี’’ติ เอวํ ปวตฺตา อุปฺปาตาภินิเวสาฯ สุปินาติ ‘‘ปุพฺพณฺหสมเย สุปินํ ทิสฺวา อิทํ นาม โหติ, มชฺฌนฺหิกาทีสุ อิทํ, วามปเสฺสน สยตา ทิเฎฺฐ อิทํ นาม โหติ, ทกฺขิณปสฺสาทีหิ อิทํ, สุปินเนฺต จนฺทํ ทิสฺวา อิทํ นาม โหติ, สูริยาทโย ทิสฺวา อิท’’นฺติ เอวํ ปวตฺตา สุปินาภินิเวสาฯ ลกฺขณาติ ทณฺฑลกฺขณวตฺถลกฺขณาทิปาฐํ ปฐิตฺวา ‘‘อิมินา อิทํ นาม โหตี’’ติ เอวํ ปวตฺตา ลกฺขณาภินิเวสาฯ เต สเพฺพปิ พฺรหฺมชาเล วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ โส มงฺคลโทสวิปฺปหีโนติ อฎฺฐติํส มหามงฺคลานิ ฐเปตฺวา อวเสสา มงฺคลโทสา นามฯ ยสฺส ปเนเต มงฺคลาทโย สมูหตา, โส มงฺคลโทสวิปฺปหีโน โหติฯ อถ วา มงฺคลานญฺจ อุปฺปาตาทิโทสานญฺจ ปหีนตฺตา มงฺคลโทสวิปฺปหีโน โหติ, น มงฺคลาทีหิ สุทฺธิํ ปเจฺจติ อริยมคฺคสฺส อธิคตตฺตาฯ ตสฺมา สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺย, โส ขีณาสโว สมฺมา โลเก ปริพฺพเชยฺย อนุปลิโตฺต โลเกนาติฯ
Tattha paṭhamagāthāya tāva maṅgalāti maṅgalasutte vuttānaṃ diṭṭhamaṅgalādīnametaṃ adhivacanaṃ. Samūhatāti suṭṭhu ūhatā paññāsatthena samucchinnā. Uppātāti ‘‘ukkāpātadisāḍāhādayo evaṃ vipākā hontī’’ti evaṃ pavattā uppātābhinivesā. Supināti ‘‘pubbaṇhasamaye supinaṃ disvā idaṃ nāma hoti, majjhanhikādīsu idaṃ, vāmapassena sayatā diṭṭhe idaṃ nāma hoti, dakkhiṇapassādīhi idaṃ, supinante candaṃ disvā idaṃ nāma hoti, sūriyādayo disvā ida’’nti evaṃ pavattā supinābhinivesā. Lakkhaṇāti daṇḍalakkhaṇavatthalakkhaṇādipāṭhaṃ paṭhitvā ‘‘iminā idaṃ nāma hotī’’ti evaṃ pavattā lakkhaṇābhinivesā. Te sabbepi brahmajāle vuttanayeneva veditabbā. So maṅgaladosavippahīnoti aṭṭhatiṃsa mahāmaṅgalāni ṭhapetvā avasesā maṅgaladosā nāma. Yassa panete maṅgalādayo samūhatā, so maṅgaladosavippahīno hoti. Atha vā maṅgalānañca uppātādidosānañca pahīnattā maṅgaladosavippahīno hoti, na maṅgalādīhi suddhiṃ pacceti ariyamaggassa adhigatattā. Tasmā sammā so loke paribbajeyya, so khīṇāsavo sammā loke paribbajeyya anupalitto lokenāti.
๓๖๔. ทุติยคาถาย ราคํ วินเยถ มานุเสสุ, ทิเพฺพสุ กาเมสุ จาปิ ภิกฺขูติ มานุเสสุ จ ทิเพฺพสุ จ กามคุเณสุ อนาคามิมเคฺคน อนุปฺปตฺติธมฺมตํ เนโนฺต ราคํ วินเยถฯ อติกฺกมฺม ภวํ สเมจฺจ ธมฺมนฺติ เอวํ ราคํ วิเนตฺวา ตโต ปรํ อรหตฺตมเคฺคน สพฺพปฺปการโต ปริญฺญาภิสมยาทโย สาเธโนฺต จตุสจฺจเภทมฺปิ สเมจฺจ ธมฺมํ อิมาย ปฎิปทาย ติวิธมฺปิ อติกฺกมฺม ภวํฯ สมฺมา โสติ โสปิ ภิกฺขุ สมฺมา โลเก ปริพฺพเชยฺยฯ
364. Dutiyagāthāya rāgaṃ vinayetha mānusesu, dibbesu kāmesu cāpi bhikkhūti mānusesu ca dibbesu ca kāmaguṇesu anāgāmimaggena anuppattidhammataṃ nento rāgaṃ vinayetha. Atikkamma bhavaṃ samecca dhammanti evaṃ rāgaṃ vinetvā tato paraṃ arahattamaggena sabbappakārato pariññābhisamayādayo sādhento catusaccabhedampi samecca dhammaṃ imāya paṭipadāya tividhampi atikkamma bhavaṃ. Sammā soti sopi bhikkhu sammā loke paribbajeyya.
๓๖๕. ตติยคาถาย ‘‘อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน’’ติ สพฺพวตฺถูสุ ปหีนราคโทโสฯ เสสํ วุตฺตนยเมว สพฺพคาถาสุ จ ‘‘โสปิ ภิกฺขุ สมฺมา โลเก ปริพฺพเชยฺยา’’ติ โยเชตพฺพํฯ อิโต ปรญฺหิ โยชนมฺปิ อวตฺวา อวุตฺตนยเมว วณฺณยิสฺสามฯ
365. Tatiyagāthāya ‘‘anurodhavirodhavippahīno’’ti sabbavatthūsu pahīnarāgadoso. Sesaṃ vuttanayameva sabbagāthāsu ca ‘‘sopi bhikkhu sammā loke paribbajeyyā’’ti yojetabbaṃ. Ito parañhi yojanampi avatvā avuttanayameva vaṇṇayissāma.
๓๖๖. จตุตฺถคาถาย สตฺตสงฺขารวเสน ทุวิธํ ปิยญฺจ อปฺปิยญฺจ เวทิตพฺพํ, ตตฺถ ฉนฺทราคปฎิฆปฺปหาเนน หิตฺวาฯ อนุปาทายาติ จตูหิ อุปาทาเนหิ กญฺจิ ธมฺมํ อคฺคเหตฺวาฯ อนิสฺสิโต กุหิญฺจีติ อฎฺฐสตเภเทน ตณฺหานิสฺสเยน ทฺวาสฎฺฐิเภเทน ทิฎฺฐินิสฺสเยน จ กุหิญฺจิ รูปาทิธเมฺม ภเว วา อนิสฺสิโตฯ สํโยชนิเยหิ วิปฺปมุโตฺตติ สเพฺพปิ เตภูมกธมฺมา ทสวิธสํโยชนสฺส วิสยตฺตา สํโยชนิยา, เตหิ สพฺพปฺปการโต มคฺคภาวนาย ปริญฺญาตตฺตา จ วิปฺปมุโตฺตติ อโตฺถฯ ปฐมปาเทน เจตฺถ ราคโทสปฺปหานํ วุตฺตํ, ทุติเยน อุปาทานนิสฺสยาภาโว, ตติเยน เสสากุสเลหิ อกุสลวตฺถูหิ จ วิปฺปโมโกฺขฯ ปฐเมน วา ราคโทสปฺปหานํ, ทุติเยน ตทุปาโย, ตติเยน เตสํ ปหีนตฺตา สํโยชนิเยหิ วิปฺปโมโกฺขติ เวทิตโพฺพฯ
366. Catutthagāthāya sattasaṅkhāravasena duvidhaṃ piyañca appiyañca veditabbaṃ, tattha chandarāgapaṭighappahānena hitvā. Anupādāyāti catūhi upādānehi kañci dhammaṃ aggahetvā. Anissitokuhiñcīti aṭṭhasatabhedena taṇhānissayena dvāsaṭṭhibhedena diṭṭhinissayena ca kuhiñci rūpādidhamme bhave vā anissito. Saṃyojaniyehi vippamuttoti sabbepi tebhūmakadhammā dasavidhasaṃyojanassa visayattā saṃyojaniyā, tehi sabbappakārato maggabhāvanāya pariññātattā ca vippamuttoti attho. Paṭhamapādena cettha rāgadosappahānaṃ vuttaṃ, dutiyena upādānanissayābhāvo, tatiyena sesākusalehi akusalavatthūhi ca vippamokkho. Paṭhamena vā rāgadosappahānaṃ, dutiyena tadupāyo, tatiyena tesaṃ pahīnattā saṃyojaniyehi vippamokkhoti veditabbo.
๓๖๗. ปญฺจมคาถาย อุปธีสูติ ขนฺธุปธีสุฯ อาทานนฺติ อาทาตพฺพเฎฺฐน เตเยว วุจฺจนฺติฯ อนญฺญเนโยฺยติ อนิจฺจาทีนํ สุทิฎฺฐตฺตา ‘‘อิทํ เสโยฺย’’ติ เกนจิ อเนตโพฺพฯ เสสํ อุตฺตานปทตฺถเมวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อาทาเนสุ จตุตฺถมเคฺคน สพฺพโส ฉนฺทราคํ วิเนตฺวา โส วินีตฉนฺทราโค, เตสุ อุปธีสุ น สารเมติ, สเพฺพ อุปธี อสารกเตฺตเนว ปสฺสติฯ ตโต เตสุ ทุวิเธนปิ นิสฺสเยน อนิสฺสิโต อเญฺญน วา เกนจิ ‘‘อิทํ เสโยฺย’’ติ อเนตโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺยฯ
367. Pañcamagāthāya upadhīsūti khandhupadhīsu. Ādānanti ādātabbaṭṭhena teyeva vuccanti. Anaññaneyyoti aniccādīnaṃ sudiṭṭhattā ‘‘idaṃ seyyo’’ti kenaci anetabbo. Sesaṃ uttānapadatthameva. Idaṃ vuttaṃ hoti – ādānesu catutthamaggena sabbaso chandarāgaṃ vinetvā so vinītachandarāgo, tesu upadhīsu na sārameti, sabbe upadhī asārakatteneva passati. Tato tesu duvidhenapi nissayena anissito aññena vā kenaci ‘‘idaṃ seyyo’’ti anetabbo khīṇāsavo bhikkhu sammā so loke paribbajeyya.
๓๖๘. ฉฎฺฐคาถาย อวิรุโทฺธติ เอเตสํ ติณฺณํ ทุจฺจริตานํ ปหีนตฺตา สุจริเตหิ สทฺธิํ อวิรุโทฺธฯ วิทิตฺวา ธมฺมนฺติ มเคฺคน จตุสจฺจธมฺมํ ญตฺวาฯ นิพฺพานปทาภิปตฺถยาโนติ อนุปาทิเสสํ ขนฺธปรินิพฺพานปทํ ปตฺถยมาโนฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
368. Chaṭṭhagāthāya aviruddhoti etesaṃ tiṇṇaṃ duccaritānaṃ pahīnattā sucaritehi saddhiṃ aviruddho. Viditvā dhammanti maggena catusaccadhammaṃ ñatvā. Nibbānapadābhipatthayānoti anupādisesaṃ khandhaparinibbānapadaṃ patthayamāno. Sesaṃ uttānatthameva.
๓๖๙. สตฺตมคาถาย อกฺกุโฎฺฐติ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อภิสโตฺตฯ น สนฺธิเยถาติ น อุปนเยฺหถ น กุเปฺปยฺยฯ ลทฺธา ปรโภชนํ น มเชฺชติ ปเรหิ ทินฺนํ สทฺธาเทยฺยํ ลภิตฺวา ‘‘อหํ ญาโต ยสสฺสี ลาภี’’ติ น มเชฺชยฺยฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
369. Sattamagāthāya akkuṭṭhoti dasahi akkosavatthūhi abhisatto. Na sandhiyethāti na upanayhetha na kuppeyya. Laddhā parabhojanaṃna majjeti parehi dinnaṃ saddhādeyyaṃ labhitvā ‘‘ahaṃ ñāto yasassī lābhī’’ti na majjeyya. Sesaṃ uttānatthameva.
๓๗๐. อฎฺฐมคาถาย โลภนฺติ วิสมโลภํฯ ภวนฺติ กามภวาทิภวํฯ เอวํ ทฺวีหิ ปเทหิ ภวโภคตณฺหา วุตฺตาฯ ปุริเมน วา สพฺพาปิ ตณฺหา, ปจฺฉิเมน กมฺมภโวฯ วิรโต เฉทนพนฺธนา จาติ เอวเมเตสํ กมฺมกิเลสานํ ปหีนตฺตา ปรสตฺตเฉทนพนฺธนา จ วิรโตติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
370. Aṭṭhamagāthāya lobhanti visamalobhaṃ. Bhavanti kāmabhavādibhavaṃ. Evaṃ dvīhi padehi bhavabhogataṇhā vuttā. Purimena vā sabbāpi taṇhā, pacchimena kammabhavo. Virato chedanabandhanā cāti evametesaṃ kammakilesānaṃ pahīnattā parasattachedanabandhanā ca viratoti. Sesaṃ vuttanayameva.
๓๗๑. นวมคาถาย สารุปฺปํ อตฺตโน วิทิตฺวาติ อตฺตโน ภิกฺขุภาวสฺส ปติรูปํ อเนสนาทิํ ปหาย สมฺมาเอสนาทิอาชีวสุทฺธิํ อญฺญญฺจ สมฺมาปฎิปตฺติํ ตตฺถ ปติฎฺฐหเนน วิทิตฺวาฯ น หิ ญาตมเตฺตเนว กิญฺจิ โหติฯ ยถาตถิยนฺติ ยถาตถํ ยถาภูตํฯ ธมฺมนฺติ ขนฺธายตนาทิเภทํ ยถาภูตญาเณน, จตุสจฺจธมฺมํ วา มเคฺคน วิทิตฺวาฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
371. Navamagāthāya sāruppaṃ attano viditvāti attano bhikkhubhāvassa patirūpaṃ anesanādiṃ pahāya sammāesanādiājīvasuddhiṃ aññañca sammāpaṭipattiṃ tattha patiṭṭhahanena viditvā. Na hi ñātamatteneva kiñci hoti. Yathātathiyanti yathātathaṃ yathābhūtaṃ. Dhammanti khandhāyatanādibhedaṃ yathābhūtañāṇena, catusaccadhammaṃ vā maggena viditvā. Sesaṃ uttānatthameva.
๓๗๒. ทสมคาถาย โส นิราโส อนาสิสาโนติ ยสฺส อริยมเคฺคน วินาสิตตฺตา อนุสยา จ น สนฺติ, อกุสลมูลา จ สมูหตา, โส นิราโส นิตฺตโณฺห โหติฯ ตโต อาสาย อภาเวน กญฺจิ รูปาทิธมฺมํ นาสีสติฯ เตนาห ‘‘นิราโส อนาสิสาโน’’ติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
372. Dasamagāthāya so nirāso anāsisānoti yassa ariyamaggena vināsitattā anusayā ca na santi, akusalamūlā ca samūhatā, so nirāso nittaṇho hoti. Tato āsāya abhāvena kañci rūpādidhammaṃ nāsīsati. Tenāha ‘‘nirāso anāsisāno’’ti. Sesaṃ vuttanayameva.
๓๗๓. เอกาทสมคาถาย อาสวขีโณติ ขีณจตุราสโวฯ ปหีนมาโนติ ปหีนนววิธมาโนฯ ราคปถนฺติ ราควิสยภูตํ เตภูมกธมฺมชาตํฯ อุปาติวโตฺตติ ปริญฺญาปหาเนหิ อติกฺกโนฺตฯ ทโนฺตติ สพฺพทฺวารวิเสวนํ หิตฺวา อริเยน ทมเถน ทนฺตภูมิํ ปโตฺตฯ ปรินิพฺพุโตติ กิเลสคฺคิวูปสเมน สีติภูโตฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
373. Ekādasamagāthāya āsavakhīṇoti khīṇacaturāsavo. Pahīnamānoti pahīnanavavidhamāno. Rāgapathanti rāgavisayabhūtaṃ tebhūmakadhammajātaṃ. Upātivattoti pariññāpahānehi atikkanto. Dantoti sabbadvāravisevanaṃ hitvā ariyena damathena dantabhūmiṃ patto. Parinibbutoti kilesaggivūpasamena sītibhūto. Sesaṃ vuttanayameva.
๓๗๔. ทฺวาทสมคาถาย สโทฺธติ พุทฺธาทิคุเณสุ ปรปฺปจฺจยวิรหิตตฺตา สพฺพาการสมฺปเนฺนน อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต, น ปรสฺส สทฺธาย ปฎิปตฺติยํ คมนภาเวนฯ ยถาห – ‘‘น ขฺวาหํ เอตฺถ ภเนฺต ภควโต สทฺธาย คจฺฉามี’’ติ (อ. นิ. ๕.๓๔)ฯ สุตวาติ โวสิตสุตกิจฺจตฺตา ปรมตฺถิกสุตสมนฺนาคโตฯ นิยามทสฺสีติ สํสารกนฺตารมูเฬฺห โลเก อมตปุรคามิโน สมฺมตฺตนิยามภูตสฺส มคฺคสฺส ทสฺสาวี, ทิฎฺฐมโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ วคฺคคเตสุ น วคฺคสารีติ วคฺคคตา นาม ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคติกา อญฺญมญฺญํ ปฎิโลมตฺตา, เอวํ วคฺคาหิ ทิฎฺฐีหิ คเตสุ สเตฺตสุ น วคฺคสารี – ‘‘อิทํ อุจฺฉิชฺชิสฺสติ, อิทํ ตเถว ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐิวเสน อคมนโตฯ ปฎิฆนฺติ ปฎิฆาตกํ, จิตฺตวิฆาตกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โทสวิเสสนเมเวตํฯ วิเนยฺยาติ วิเนตฺวาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
374. Dvādasamagāthāya saddhoti buddhādiguṇesu parappaccayavirahitattā sabbākārasampannena aveccappasādena samannāgato, na parassa saddhāya paṭipattiyaṃ gamanabhāvena. Yathāha – ‘‘na khvāhaṃ ettha bhante bhagavato saddhāya gacchāmī’’ti (a. ni. 5.34). Sutavāti vositasutakiccattā paramatthikasutasamannāgato. Niyāmadassīti saṃsārakantāramūḷhe loke amatapuragāmino sammattaniyāmabhūtassa maggassa dassāvī, diṭṭhamaggoti vuttaṃ hoti. Vaggagatesu na vaggasārīti vaggagatā nāma dvāsaṭṭhidiṭṭhigatikā aññamaññaṃ paṭilomattā, evaṃ vaggāhi diṭṭhīhi gatesu sattesu na vaggasārī – ‘‘idaṃ ucchijjissati, idaṃ tatheva bhavissatī’’ti evaṃ diṭṭhivasena agamanato. Paṭighanti paṭighātakaṃ, cittavighātakanti vuttaṃ hoti. Dosavisesanamevetaṃ. Vineyyāti vinetvā. Sesaṃ vuttanayameva.
๓๗๕. เตรสมคาถาย สํสุทฺธชิโนติ สํสุเทฺธน อรหตฺตมเคฺคน วิชิตกิเลโสฯ วิวฎฺฎจฺฉโทติ วิวฎราคโทสโมหฉทโนฯ ธเมฺมสุ วสีติ จตุสจฺจธเมฺมสุ วสิปฺปโตฺตฯ น หิสฺส สกฺกา เต ธมฺมา ยถา ญาตา เกนจิ อญฺญถา กาตุํ, เตน ขีณาสโว ‘‘ธเมฺมสุ วสี’’ติ วุจฺจติฯ ปารคูติ ปารํ วุจฺจติ นิพฺพานํ, ตํ คโต, สอุปาทิเสสวเสน อธิคโตติ วุตฺตํ โหติฯ อเนโชติ อปคตตณฺหาจลโนฯ สงฺขารนิโรธญาณกุสโลติ สงฺขารนิโรโธ วุจฺจติ นิพฺพานํ, ตมฺหิ ญาณํ อริยมคฺคปญฺญา, ตตฺถ กุสโล, จตุกฺขตฺตุํ ภาวิตตฺตา เฉโกติ วุตฺตํ โหติฯ
375. Terasamagāthāya saṃsuddhajinoti saṃsuddhena arahattamaggena vijitakileso. Vivaṭṭacchadoti vivaṭarāgadosamohachadano. Dhammesu vasīti catusaccadhammesu vasippatto. Na hissa sakkā te dhammā yathā ñātā kenaci aññathā kātuṃ, tena khīṇāsavo ‘‘dhammesu vasī’’ti vuccati. Pāragūti pāraṃ vuccati nibbānaṃ, taṃ gato, saupādisesavasena adhigatoti vuttaṃ hoti. Anejoti apagatataṇhācalano. Saṅkhāranirodhañāṇakusaloti saṅkhāranirodho vuccati nibbānaṃ, tamhi ñāṇaṃ ariyamaggapaññā, tattha kusalo, catukkhattuṃ bhāvitattā chekoti vuttaṃ hoti.
๓๗๖. จุทฺทสมคาถาย อตีเตสูติ ปวตฺติํ ปตฺวา อติกฺกเนฺตสุ ปญฺจกฺขเนฺธสุฯ อนาคเตสูติ ปวตฺติํ อปฺปเตฺตสุ ปญฺจกฺขเนฺธสุ เอวฯ กปฺปาตีโตติ ‘‘อหํ มม’’นฺติ กปฺปนํ สพฺพมฺปิ วา ตณฺหาทิฎฺฐิกปฺปํ อตีโตฯ อติจฺจ สุทฺธิปโญฺญติ อตีว สุทฺธิปโญฺญ, อติกฺกมิตฺวา วา สุทฺธิปโญฺญฯ กิํ อติกฺกมิตฺวา? อทฺธตฺตยํฯ อรหา หิ ยฺวายํ อวิชฺชาสงฺขารสงฺขาโต อตีโต อทฺธา, ชาติชรามรณสงฺขาโต อนาคโต อทฺธา, วิญฺญาณาทิภวปริยโนฺต ปจฺจุปฺปโนฺน จ อทฺธา, ตํ สพฺพมฺปิ อติกฺกมฺม กงฺขํ วิตริตฺวา ปรมสุทฺธิปฺปตฺตปโญฺญ หุตฺวา ฐิโตฯ เตน วุจฺจติ ‘‘อติจฺจ สุทฺธิปโญฺญ’’ติฯ สพฺพายตเนหีติ ทฺวาทสหายตเนหิฯ อรหา หิ เอวํ กปฺปาตีโตฯ กปฺปาตีตตฺตา อติจฺจ สุทฺธิปญฺญตฺตา จ อายติํ น กิญฺจิ อายตนํ อุเปติฯ เตนาห – ‘‘สพฺพายตเนหิ วิปฺปมุโตฺต’’ติฯ
376. Cuddasamagāthāya atītesūti pavattiṃ patvā atikkantesu pañcakkhandhesu. Anāgatesūti pavattiṃ appattesu pañcakkhandhesu eva. Kappātītoti ‘‘ahaṃ mama’’nti kappanaṃ sabbampi vā taṇhādiṭṭhikappaṃ atīto. Aticca suddhipaññoti atīva suddhipañño, atikkamitvā vā suddhipañño. Kiṃ atikkamitvā? Addhattayaṃ. Arahā hi yvāyaṃ avijjāsaṅkhārasaṅkhāto atīto addhā, jātijarāmaraṇasaṅkhāto anāgato addhā, viññāṇādibhavapariyanto paccuppanno ca addhā, taṃ sabbampi atikkamma kaṅkhaṃ vitaritvā paramasuddhippattapañño hutvā ṭhito. Tena vuccati ‘‘aticca suddhipañño’’ti. Sabbāyatanehīti dvādasahāyatanehi. Arahā hi evaṃ kappātīto. Kappātītattā aticca suddhipaññattā ca āyatiṃ na kiñci āyatanaṃ upeti. Tenāha – ‘‘sabbāyatanehi vippamutto’’ti.
๓๗๗. ปนฺนรสมคาถาย อญฺญาย ปทนฺติ เย เต ‘‘สจฺจานํ จตุโร ปทา’’ติ วุตฺตา, เตสุ เอเกกปทํ ปุพฺพภาคสจฺจววตฺถาปนปญฺญาย ญตฺวาฯ สเมจฺจ ธมฺมนฺติ ตโต ปรํ จตูหิ อริยมเคฺคหิ จตุสจฺจธมฺมํ สเมจฺจฯ วิวฎํ ทิสฺวาน ปหานมาสวานนฺติ อถ ปจฺจเวกฺขณญาเณน อาสวกฺขยสญฺญิตํ นิพฺพานํ วิวฎํ ปากฎมนาวฎํ ทิสฺวาฯ สพฺพุปธีนํ ปริกฺขยาติ สเพฺพสํ ขนฺธกามคุณกิเลสาภิสงฺขารเภทานํ อุปธีนํ ปริกฺขีณตฺตา กตฺถจิ อสชฺชมาโน ภิกฺขุ สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺย วิหเรยฺย, อนลฺลียโนฺต โลกํ คเจฺฉยฺยาติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
377. Pannarasamagāthāya aññāya padanti ye te ‘‘saccānaṃ caturo padā’’ti vuttā, tesu ekekapadaṃ pubbabhāgasaccavavatthāpanapaññāya ñatvā. Samecca dhammanti tato paraṃ catūhi ariyamaggehi catusaccadhammaṃ samecca. Vivaṭaṃ disvāna pahānamāsavānanti atha paccavekkhaṇañāṇena āsavakkhayasaññitaṃ nibbānaṃ vivaṭaṃ pākaṭamanāvaṭaṃ disvā. Sabbupadhīnaṃ parikkhayāti sabbesaṃ khandhakāmaguṇakilesābhisaṅkhārabhedānaṃ upadhīnaṃ parikkhīṇattā katthaci asajjamāno bhikkhu sammā so loke paribbajeyya vihareyya, anallīyanto lokaṃ gaccheyyāti desanaṃ niṭṭhāpesi.
๓๗๘. ตโต โส นิมฺมิโต ธมฺมเทสนํ โถเมโนฺต ‘‘อทฺธา หิ ภควา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ โย โส เอวํ วิหารีติ โย โส มงฺคลาทีนิ สมูหนิตฺวา สพฺพมงฺคลโทสปฺปหานวิหารี, โยปิ โส ทิพฺพมานุสเกสุ กาเมสุ ราคํ วิเนยฺย ภวาติกฺกมฺม ธมฺมาภิสมยวิหารีติ เอวํ ตาย ตาย คาถาย นิทฺทิฎฺฐภิกฺขุํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ อยํ ปน โยชนา – อทฺธา หิ ภควา ตเถว เอตํ ยํ ตฺวํ ‘‘ยสฺส มงฺคลา สมูหตา’’ติอาทีนิ วตฺวา ตสฺสา ตสฺสา คาถาย ปริโยสาเน ‘‘สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺยา’’ติ อวจฯ กิํ การณํ? โย โส เอวํวิหารี ภิกฺขุ, โส อุตฺตเมน ทมเถน ทโนฺต, สพฺพานิ จ ทสปิ สํโยชนานิ จตุโร จ โยเค วีติวโตฺต โหติฯ ตสฺมา สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺย, นตฺถิ เม เอตฺถ วิจิกิจฺฉาติ อิติ เทสนาโถมนคาถมฺปิ วตฺวา อรหตฺตนิกูเฎเนว เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ สุตฺตปริโยสาเน โกฎิสตสหสฺสเทวตานํ อคฺคผลปฺปตฺติ อโหสิ, โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลปฺปตฺตา ปน คณนโต อสเงฺขฺยยฺยาติฯ
378. Tato so nimmito dhammadesanaṃ thomento ‘‘addhā hi bhagavā’’ti imaṃ gāthamāha. Tattha yo so evaṃ vihārīti yo so maṅgalādīni samūhanitvā sabbamaṅgaladosappahānavihārī, yopi so dibbamānusakesu kāmesu rāgaṃ vineyya bhavātikkamma dhammābhisamayavihārīti evaṃ tāya tāya gāthāya niddiṭṭhabhikkhuṃ dassento āha. Sesaṃ uttānameva. Ayaṃ pana yojanā – addhā hi bhagavā tatheva etaṃ yaṃ tvaṃ ‘‘yassa maṅgalā samūhatā’’tiādīni vatvā tassā tassā gāthāya pariyosāne ‘‘sammā so loke paribbajeyyā’’ti avaca. Kiṃ kāraṇaṃ? Yo so evaṃvihārī bhikkhu, so uttamena damathena danto, sabbāni ca dasapi saṃyojanāni caturo ca yoge vītivatto hoti. Tasmā sammā so loke paribbajeyya, natthi me ettha vicikicchāti iti desanāthomanagāthampi vatvā arahattanikūṭeneva desanaṃ niṭṭhāpesi. Suttapariyosāne koṭisatasahassadevatānaṃ aggaphalappatti ahosi, sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalappattā pana gaṇanato asaṅkhyeyyāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺตวณฺณนา
Suttanipāta-aṭṭhakathāya sammāparibbājanīyasuttavaṇṇanā
นิฎฺฐิตาฯ
Niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๓. สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺตํ • 13. Sammāparibbājanīyasuttaṃ