Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๕. สมฺมสนญาณนิเทฺทสวณฺณนา
5. Sammasanañāṇaniddesavaṇṇanā
๔๘. สมฺมสนญาณนิเทฺทเส ยํ กิญฺจีติ อนวเสสปริยาทานํฯ รูปนฺติ อติปฺปสงฺคนิยมนํฯ เอวํ ปททฺวเยนาปิ รูปสฺส อเสสปริคฺคโห กโต โหติฯ อถสฺส อตีตาทินา วิภาคํ อารภติฯ ตญฺหิ กิญฺจิ อตีตํ กิญฺจิ อนาคตาทิเภทนฺติฯ เอส นโย เวทนาทีสุปิฯ ตตฺถ รูปํ ตาว อทฺธาสนฺตติสมยขณวเสน จตุธา อตีตํ นาม โหติ, ตถา อนาคตปจฺจุปฺปนฺนํฯ ตตฺถ อทฺธาวเสน ตาว เอกสฺส เอกสฺมิํ ภเว ปฎิสนฺธิโต ปุเพฺพ อตีตํ, จุติโต อุทฺธํ อนาคตํ, อุภินฺนมนฺตเร ปจฺจุปฺปนฺนํฯ สนฺตติวเสน สภาคเอกอุตุสมุฎฺฐานํ เอกาหารสมุฎฺฐานญฺจ ปุพฺพาปริยภาเวน วตฺตมานมฺปิ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ วิสภาคอุตุอาหารสมุฎฺฐานํ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํฯ จิตฺตชํ เอกวีถิเอกชวนเอกสมาปตฺติสมุฎฺฐานํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํ, กมฺมสมุฎฺฐานสฺส ปาฎิเยกฺกํ สนฺตติวเสน อตีตาทิเภโท นตฺถิ, เตสเญฺญว ปน อุตุอาหารจิตฺตสมุฎฺฐานานํ อุปตฺถมฺภนวเสน ตสฺส อตีตาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ สมยวเสน เอกมุหุตฺตปุพฺพณฺหสายนฺหรตฺตินฺทิวาทีสุ สมเยสุ สนฺตานวเสน ปวตฺตมานํ ตํ ตํ สมยํ ปจฺจุปฺปนฺนํ นาม, ตโต ปุเพฺพ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํฯ ขณวเสน อุปฺปาทาทิขณตฺตยปริยาปนฺนํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ อนาคตํ, ปจฺฉา อตีตํฯ อปิจ อติกฺกนฺตเหตุปจฺจยกิจฺจํ อตีตํ, นิฎฺฐิตเหตุกิจฺจมนิฎฺฐิตปจฺจยกิจฺจํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, อุภยกิจฺจมสมฺปตฺตํ อนาคตํฯ สกิจฺจกฺขเณ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ อนาคตํ, ปจฺฉา อตีตํฯ เอตฺถ จ ขณาทิกถาว นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ
48. Sammasanañāṇaniddese yaṃ kiñcīti anavasesapariyādānaṃ. Rūpanti atippasaṅganiyamanaṃ. Evaṃ padadvayenāpi rūpassa asesapariggaho kato hoti. Athassa atītādinā vibhāgaṃ ārabhati. Tañhi kiñci atītaṃ kiñci anāgatādibhedanti. Esa nayo vedanādīsupi. Tattha rūpaṃ tāva addhāsantatisamayakhaṇavasena catudhā atītaṃ nāma hoti, tathā anāgatapaccuppannaṃ. Tattha addhāvasena tāva ekassa ekasmiṃ bhave paṭisandhito pubbe atītaṃ, cutito uddhaṃ anāgataṃ, ubhinnamantare paccuppannaṃ. Santativasena sabhāgaekautusamuṭṭhānaṃ ekāhārasamuṭṭhānañca pubbāpariyabhāvena vattamānampi paccuppannaṃ, tato pubbe visabhāgautuāhārasamuṭṭhānaṃ atītaṃ, pacchā anāgataṃ. Cittajaṃ ekavīthiekajavanaekasamāpattisamuṭṭhānaṃ paccuppannaṃ, tato pubbe atītaṃ, pacchā anāgataṃ, kammasamuṭṭhānassa pāṭiyekkaṃ santativasena atītādibhedo natthi, tesaññeva pana utuāhāracittasamuṭṭhānānaṃ upatthambhanavasena tassa atītādibhāvo veditabbo. Samayavasena ekamuhuttapubbaṇhasāyanharattindivādīsu samayesu santānavasena pavattamānaṃ taṃ taṃ samayaṃ paccuppannaṃ nāma, tato pubbe atītaṃ, pacchā anāgataṃ. Khaṇavasena uppādādikhaṇattayapariyāpannaṃ paccuppannaṃ, tato pubbe anāgataṃ, pacchā atītaṃ. Apica atikkantahetupaccayakiccaṃ atītaṃ, niṭṭhitahetukiccamaniṭṭhitapaccayakiccaṃ paccuppannaṃ, ubhayakiccamasampattaṃ anāgataṃ. Sakiccakkhaṇe vā paccuppannaṃ, tato pubbe anāgataṃ, pacchā atītaṃ. Ettha ca khaṇādikathāva nippariyāyā sesā sapariyāyā.
อชฺฌตฺตนฺติ ปญฺจสุปิ ขเนฺธสุ อิธ นิยกชฺฌตฺตํ อธิเปฺปตํ, ตสฺมา อตฺตโน สนฺตาเน ปวตฺตํ ปาฎิปุคฺคลิกํ รูปํ อชฺฌตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตโต พหิภูตํ ปน อินฺทฺริยพทฺธํ วา อนินฺทฺริยพทฺธํ วา รูปํ พหิทฺธา นามฯ โอฬาริกนฺติ จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายรูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพสงฺขาตา ปถวีเตโชวาโย จาติ ทฺวาทสวิธํ รูปํ ฆฎฺฎนวเสน คเหตพฺพโต โอฬาริกํฯ เสสํ ปน อาโปธาตุ อิตฺถินฺทฺริยํ ปุริสินฺทฺริยํ ชีวิตินฺทฺริยํ หทยวตฺถุ โอชา อากาสธาตุ กายวิญฺญตฺติ วจีวิญฺญตฺติ รูปสฺส ลหุตา มุทุตา กมฺมญฺญตา อุปจโย สนฺตติ ชรตา อนิจฺจตาติ โสฬสวิธํ รูปํ ฆฎฺฎนวเสน อคเหตพฺพโต สุขุมํฯ หีนํ วา ปณีตํ วาติ เอตฺถ หีนปณีตภาโว ปริยายโต นิปฺปริยายโต จฯ ตตฺถ อกนิฎฺฐานํ รูปโต สุทสฺสีนํ รูปํ หีนํ, ตเทว สุทสฺสานํ รูปโต ปณีตํฯ เอวํ ยาว นรกสตฺตานํ รูปํ, ตาว ปริยายโต หีนปณีตตา เวทิตพฺพาฯ นิปฺปริยายโต ปน ยตฺถ อกุสลวิปากํ อุปฺปชฺชติ, ตํ หีนํฯ ยตฺถ กุสลวิปากํ, ตํ ปณีตํฯ ยํ ทูเร สนฺติเก วาติ เอตฺถ ยํ สุขุมํ, ตเทว ทุปฺปฎิวิชฺฌสภาวตฺตา ทูเรฯ ยํ โอฬาริกํ, ตเทว สุปฺปฎิวิชฺฌสภาวตฺตา สนฺติเกฯ
Ajjhattanti pañcasupi khandhesu idha niyakajjhattaṃ adhippetaṃ, tasmā attano santāne pavattaṃ pāṭipuggalikaṃ rūpaṃ ajjhattanti veditabbaṃ. Tato bahibhūtaṃ pana indriyabaddhaṃ vā anindriyabaddhaṃ vā rūpaṃ bahiddhā nāma. Oḷārikanti cakkhusotaghānajivhākāyarūpasaddagandharasaphoṭṭhabbasaṅkhātā pathavītejovāyo cāti dvādasavidhaṃ rūpaṃ ghaṭṭanavasena gahetabbato oḷārikaṃ. Sesaṃ pana āpodhātu itthindriyaṃ purisindriyaṃ jīvitindriyaṃ hadayavatthu ojā ākāsadhātu kāyaviññatti vacīviññatti rūpassa lahutā mudutā kammaññatā upacayo santati jaratā aniccatāti soḷasavidhaṃ rūpaṃ ghaṭṭanavasena agahetabbato sukhumaṃ. Hīnaṃ vā paṇītaṃ vāti ettha hīnapaṇītabhāvo pariyāyato nippariyāyato ca. Tattha akaniṭṭhānaṃ rūpato sudassīnaṃ rūpaṃ hīnaṃ, tadeva sudassānaṃ rūpato paṇītaṃ. Evaṃ yāva narakasattānaṃ rūpaṃ, tāva pariyāyato hīnapaṇītatā veditabbā. Nippariyāyato pana yattha akusalavipākaṃ uppajjati, taṃ hīnaṃ. Yattha kusalavipākaṃ, taṃ paṇītaṃ. Yaṃ dūre santike vāti ettha yaṃ sukhumaṃ, tadeva duppaṭivijjhasabhāvattā dūre. Yaṃ oḷārikaṃ, tadeva suppaṭivijjhasabhāvattā santike.
สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววเตฺถติ เอกํ สมฺมสนํ, ทุกฺขโต ววเตฺถติ เอกํ สมฺมสนํ, อนตฺตโต ววเตฺถติ เอกํ สมฺมสนนฺติ เอตฺถ อยํ ภิกฺขุ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูป’’นฺติ เอวํ อนิยมนิทฺทิฎฺฐํ สพฺพมฺปิ รูปํ อตีตตฺติเกน เจว จตูหิ อชฺฌตฺตาทิทุเกหิ จาติ เอกาทสหิ โอกาเสหิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววเตฺถติ อนิจฺจนฺติ สมฺมสติฯ กถํ? ปรโต วุตฺตนเยนฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐนา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๘)ฯ ตสฺมา เอส ยํ อตีตํ รูปํ, ตํ ยสฺมา อตีเตเยว ขีณํ, นยิมํ ภวํ สมฺปตฺตนฺติ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐน, ยํ อนาคตํ รูปํ อนนฺตรภเว นิพฺพตฺติสฺสติ, ตมฺปิ ตเตฺถว ขียิสฺสติ, น ตโต ปรํ ภวํ คมิสฺสตีติ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐน, ยํ ปจฺจุปฺปนฺนํ รูปํ, ตํ อิเธว ขียติ, น อิโต คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐน, ยํ อชฺฌตฺตํ รูปํ, ตมฺปิ อชฺฌตฺตเมว ขียติ, น พหิทฺธาภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐน, ยํ พหิทฺธา โอฬาริกํ สุขุมํ หีนํ ปณีตํ ทูเร สนฺติเก, ตมฺปิ เอเตฺถว ขียติ, น ทูรภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยเฎฺฐนาติ สมฺมสติฯ อิทํ สพฺพมฺปิ ‘‘อนิจฺจํ ขยเฎฺฐนา’’ติ เอตสฺส วเสน เอกํ สมฺมสนํ, ปเภทโต ปน เอกาทสวิธํ โหติฯ
Sabbaṃrūpaṃ aniccato vavattheti ekaṃ sammasanaṃ, dukkhato vavattheti ekaṃ sammasanaṃ, anattato vavattheti ekaṃ sammasananti ettha ayaṃ bhikkhu ‘‘yaṃ kiñci rūpa’’nti evaṃ aniyamaniddiṭṭhaṃ sabbampi rūpaṃ atītattikena ceva catūhi ajjhattādidukehi cāti ekādasahi okāsehi paricchinditvā sabbaṃ rūpaṃ aniccato vavattheti aniccanti sammasati. Kathaṃ? Parato vuttanayena. Vuttañhetaṃ – ‘‘rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ aniccaṃ khayaṭṭhenā’’ti (paṭi. ma. 1.48). Tasmā esa yaṃ atītaṃ rūpaṃ, taṃ yasmā atīteyeva khīṇaṃ, nayimaṃ bhavaṃ sampattanti aniccaṃ khayaṭṭhena, yaṃ anāgataṃ rūpaṃ anantarabhave nibbattissati, tampi tattheva khīyissati, na tato paraṃ bhavaṃ gamissatīti aniccaṃ khayaṭṭhena, yaṃ paccuppannaṃ rūpaṃ, taṃ idheva khīyati, na ito gacchatīti aniccaṃ khayaṭṭhena, yaṃ ajjhattaṃ rūpaṃ, tampi ajjhattameva khīyati, na bahiddhābhāvaṃ gacchatīti aniccaṃ khayaṭṭhena, yaṃ bahiddhā oḷārikaṃ sukhumaṃ hīnaṃ paṇītaṃ dūre santike, tampi ettheva khīyati, na dūrabhāvaṃ gacchatīti aniccaṃ khayaṭṭhenāti sammasati. Idaṃ sabbampi ‘‘aniccaṃ khayaṭṭhenā’’ti etassa vasena ekaṃ sammasanaṃ, pabhedato pana ekādasavidhaṃ hoti.
สพฺพเมว เจตํ ทุกฺขํ ภยเฎฺฐนาติ สมฺมสติฯ ภยเฎฺฐนาติ สปฺปฎิภยตายฯ ยญฺหิ อนิจฺจํ, ตํ ภยาวหํ โหติ สีโหปมสุเตฺต (อ. นิ. ๔.๓๓; สํ. นิ. ๓.๗๘) เทวานํ วิยฯ อิติ อิทมฺปิ ‘‘ทุกฺขํ ภยเฎฺฐนา’’ติ เอตสฺส วเสน เอกํ สมฺมสนํ, ปเภทโต ปน เอกาทสวิธํ โหติฯ
Sabbameva cetaṃ dukkhaṃ bhayaṭṭhenāti sammasati. Bhayaṭṭhenāti sappaṭibhayatāya. Yañhi aniccaṃ, taṃ bhayāvahaṃ hoti sīhopamasutte (a. ni. 4.33; saṃ. ni. 3.78) devānaṃ viya. Iti idampi ‘‘dukkhaṃ bhayaṭṭhenā’’ti etassa vasena ekaṃ sammasanaṃ, pabhedato pana ekādasavidhaṃ hoti.
ยถา จ ทุกฺขํ, เอวํ สพฺพมฺปิ ตํ อนตฺตา อสารกเฎฺฐนาติ สมฺมสติฯ อสารกเฎฺฐนาติ ‘‘อตฺตา นิวาสี การโก เวทโก สยํวสี’’ติ เอวํ ปริกปฺปิตสฺส อตฺตสารสฺส อภาเวนฯ ยญฺหิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ, อตฺตโนปิ อนิจฺจตํ วา อุทยพฺพยปีฬนํ วา วาเรตุํ น สโกฺกติ, กุโต ตสฺส การกาทิภาโวฯ เตนาห – ‘‘รูปญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว, อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวเตฺตยฺยา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๕๙)ฯ อิติ อิทํ ‘‘อนตฺตา อสารกเฎฺฐนา’’ติ เอตสฺส วเสน เอกํ สมฺมสนํ, ปเภทโต ปน เอกาทสวิธํ โหติฯ เอเสว นโย เวทนาทีสุฯ อิติ เอเกกสฺมิํ ขเนฺธ เอกาทส เอกาทส กตฺวา ปญฺจสุ ขเนฺธสุ ปญฺจปญฺญาส สมฺมสนานิ โหนฺติ, อนิจฺจโต ปญฺจปญฺญาส , ทุกฺขโต ปญฺจปญฺญาส, อนตฺตโต ปญฺจปญฺญาสาติ ติวิธานุปสฺสนาวเสน สพฺพานิ ปญฺจสฎฺฐิสตสมฺมสนานิ โหนฺติฯ
Yathā ca dukkhaṃ, evaṃ sabbampi taṃ anattā asārakaṭṭhenāti sammasati. Asārakaṭṭhenāti ‘‘attā nivāsī kārako vedako sayaṃvasī’’ti evaṃ parikappitassa attasārassa abhāvena. Yañhi aniccaṃ dukkhaṃ, attanopi aniccataṃ vā udayabbayapīḷanaṃ vā vāretuṃ na sakkoti, kuto tassa kārakādibhāvo. Tenāha – ‘‘rūpañca hidaṃ, bhikkhave, attā abhavissa, nayidaṃ rūpaṃ ābādhāya saṃvatteyyā’’tiādi (saṃ. ni. 3.59). Iti idaṃ ‘‘anattā asārakaṭṭhenā’’ti etassa vasena ekaṃ sammasanaṃ, pabhedato pana ekādasavidhaṃ hoti. Eseva nayo vedanādīsu. Iti ekekasmiṃ khandhe ekādasa ekādasa katvā pañcasu khandhesu pañcapaññāsa sammasanāni honti, aniccato pañcapaññāsa , dukkhato pañcapaññāsa, anattato pañcapaññāsāti tividhānupassanāvasena sabbāni pañcasaṭṭhisatasammasanāni honti.
เกจิ ปน ‘‘สพฺพํ รูปํ, สพฺพํ เวทนํ, สพฺพํ สญฺญํ, สเพฺพ สงฺขาเร, สพฺพํ วิญฺญาณนฺติ ปทมฺปิ ปกฺขิปิตฺวา เอเกกสฺมิํ ขเนฺธ ทฺวาทส ทฺวาทส กตฺวา ปญฺจสุ สฎฺฐิ, อนุปสฺสนาโต อสีติสตสมฺมสนานี’’ติ วทนฺติฯ
Keci pana ‘‘sabbaṃ rūpaṃ, sabbaṃ vedanaṃ, sabbaṃ saññaṃ, sabbe saṅkhāre, sabbaṃ viññāṇanti padampi pakkhipitvā ekekasmiṃ khandhe dvādasa dvādasa katvā pañcasu saṭṭhi, anupassanāto asītisatasammasanānī’’ti vadanti.
อตีตาทิวิภาเค ปเนตฺถ สนฺตติวเสน ขณาทิวเสน จ เวทนาย อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนภาโว เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สนฺตติวเสน เอกวีถิเอกชวนเอกสมาปตฺติปริยาปนฺนา เอกวิธวิสยสมาโยคปฺปวตฺตา จ ปจฺจุปฺปนฺนา, ตโต ปุเพฺพ อตีตา, ปจฺฉา อนาคตาฯ ขณาทิวเสน ขณตฺตยปริยาปนฺนา ปุพฺพนฺตาปรนฺตมชฺฌคตา สกิจฺจญฺจ กุรุมานา เวทนา ปจฺจุปฺปนฺนา, ตโต ปุเพฺพ อตีตา, ปจฺฉา อนาคตาฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธาเภโท นิยกชฺฌตฺตวเสเนว เวทิตโพฺพฯ
Atītādivibhāge panettha santativasena khaṇādivasena ca vedanāya atītānāgatapaccuppannabhāvo veditabbo. Tattha santativasena ekavīthiekajavanaekasamāpattipariyāpannā ekavidhavisayasamāyogappavattā ca paccuppannā, tato pubbe atītā, pacchā anāgatā. Khaṇādivasena khaṇattayapariyāpannā pubbantāparantamajjhagatā sakiccañca kurumānā vedanā paccuppannā, tato pubbe atītā, pacchā anāgatā. Ajjhattabahiddhābhedo niyakajjhattavaseneva veditabbo.
โอฬาริกสุขุมภาโว ‘‘อกุสลา เวทนา โอฬาริกา, กุสลาพฺยากตา เวทนา สุขุมา’’ติอาทินา (วิภ. ๔) นเยน วิภเงฺค วุเตฺตน ชาติสภาวปุคฺคลโลกิยโลกุตฺตรวเสน เวทิตโพฺพฯ ชาติวเสน ตาว อกุสลา เวทนา สาวชฺชกิริยเหตุโต, กิเลสสนฺตาปภาวโต จ อวูปสนฺตวุตฺตีติ กุสลเวทนาย โอฬาริกา, สพฺยาปารโต สอุสฺสาหโต สวิปากโต กิเลสสนฺตาปภาวโต สาวชฺชโต จ วิปากาพฺยากตาย โอฬาริกา, สวิปากโต กิเลสสนฺตาปภาวโต สพฺยาพชฺฌโต สาวชฺชโต จ กิริยาพฺยากตาย โอฬาริกาฯ กุสลาพฺยากตา ปน วุตฺตวิปริยายโต อกุสลาย เวทนาย สุขุมาฯ เทฺวปิ กุสลากุสลา เวทนา สพฺยาปารโต สอุสฺสาหโต สวิปากโต จ ยถาโยคํ ทุวิธายปิ อพฺยากตาย โอฬาริกา, วุตฺตวิปริยาเยน ทุวิธาปิ อพฺยากตา ตาหิ สุขุมาฯ เอวํ ตาว ชาติวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Oḷārikasukhumabhāvo ‘‘akusalā vedanā oḷārikā, kusalābyākatā vedanā sukhumā’’tiādinā (vibha. 4) nayena vibhaṅge vuttena jātisabhāvapuggalalokiyalokuttaravasena veditabbo. Jātivasena tāva akusalā vedanā sāvajjakiriyahetuto, kilesasantāpabhāvato ca avūpasantavuttīti kusalavedanāya oḷārikā, sabyāpārato saussāhato savipākato kilesasantāpabhāvato sāvajjato ca vipākābyākatāya oḷārikā, savipākato kilesasantāpabhāvato sabyābajjhato sāvajjato ca kiriyābyākatāya oḷārikā. Kusalābyākatā pana vuttavipariyāyato akusalāya vedanāya sukhumā. Dvepi kusalākusalā vedanā sabyāpārato saussāhato savipākato ca yathāyogaṃ duvidhāyapi abyākatāya oḷārikā, vuttavipariyāyena duvidhāpi abyākatā tāhi sukhumā. Evaṃ tāva jātivasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
สภาววเสน ปน ทุกฺขา เวทนา นิรสฺสาทโต สวิปฺผารโต โขภกรณโต อุเพฺพชนียโต อภิภวนโต จ อิตราหิ ทฺวีหิ โอฬาริกา, อิตรา ปน เทฺว สาตโต สนฺตโต ปณีตโต มนาปโต มชฺฌตฺตโต จ ยถาโยคํ ทุกฺขาย สุขุมาฯ อุโภ ปน สุขทุกฺขา สวิปฺผารโต อุเพฺพชนียโต โขภกรณโต ปากฎโต จ อทุกฺขมสุขาย โอฬาริกา, สา วุตฺตวิปริยาเยน ตทุภยโต สุขุมาฯ เอวํ สภาววเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Sabhāvavasena pana dukkhā vedanā nirassādato savipphārato khobhakaraṇato ubbejanīyato abhibhavanato ca itarāhi dvīhi oḷārikā, itarā pana dve sātato santato paṇītato manāpato majjhattato ca yathāyogaṃ dukkhāya sukhumā. Ubho pana sukhadukkhā savipphārato ubbejanīyato khobhakaraṇato pākaṭato ca adukkhamasukhāya oḷārikā, sā vuttavipariyāyena tadubhayato sukhumā. Evaṃ sabhāvavasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
ปุคฺคลวเสน ปน อสมาปนฺนสฺส เวทนา นานารมฺมเณ วิกฺขิตฺตภาวโต สมาปนฺนสฺส เวทนาย โอฬาริกา, วิปริยาเยน อิตรา สุขุมาฯ เอวํ ปุคฺคลวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Puggalavasena pana asamāpannassa vedanā nānārammaṇe vikkhittabhāvato samāpannassa vedanāya oḷārikā, vipariyāyena itarā sukhumā. Evaṃ puggalavasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
โลกิยโลกุตฺตรวเสน ปน สาสวา เวทนา โลกิยา, สา อาสวุปฺปตฺติเหตุโต โอฆนิยโต โยคนิยโต คนฺถนิยโต นีวรณิยโต อุปาทานิยโต สํกิเลสิกโต ปุถุชฺชนสาธารณโต จ อนาสวาย โอฬาริกา, อนาสวา จ วิปริยาเยน สาสวาย สุขุมาฯ เอวํ โลกิยโลกุตฺตรวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Lokiyalokuttaravasena pana sāsavā vedanā lokiyā, sā āsavuppattihetuto oghaniyato yoganiyato ganthaniyato nīvaraṇiyato upādāniyato saṃkilesikato puthujjanasādhāraṇato ca anāsavāya oḷārikā, anāsavā ca vipariyāyena sāsavāya sukhumā. Evaṃ lokiyalokuttaravasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
ตตฺถ ชาติอาทิวเสน สเมฺภโท ปริหริตโพฺพฯ อกุสลวิปากกายวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา หิ เวทนา ชาติวเสน อพฺยากตตฺตา สุขุมาปิ สมานา สภาวาทิวเสน โอฬาริกา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tattha jātiādivasena sambhedo pariharitabbo. Akusalavipākakāyaviññāṇasampayuttā hi vedanā jātivasena abyākatattā sukhumāpi samānā sabhāvādivasena oḷārikā hoti. Vuttañhetaṃ –
‘‘อพฺยากตา เวทนา สุขุมา, ทุกฺขา เวทนา โอฬาริกาฯ สมาปนฺนสฺส เวทนา สุขุมา, อสมาปนฺนสฺส เวทนา โอฬาริกาฯ อนาสวา เวทนา สุขุมา, สาสวา เวทนา โอฬาริกา’’ติ (วิภ. ๑๑)ฯ
‘‘Abyākatā vedanā sukhumā, dukkhā vedanā oḷārikā. Samāpannassa vedanā sukhumā, asamāpannassa vedanā oḷārikā. Anāsavā vedanā sukhumā, sāsavā vedanā oḷārikā’’ti (vibha. 11).
ยถา จ ทุกฺขา เวทนา, เอวํ สุขาทโยปิฯ ตาปิ หิ ชาติวเสน โอฬาริกา, สภาวาทิวเสน สุขุมา โหนฺติฯ ตสฺมา ยถา ชาติอาทิวเสน สเมฺภโท น โหติ, ตถา เวทนานํ โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ เสยฺยถิทํ, อพฺยากตา ชาติวเสน กุสลากุสลาหิ สุขุมาฯ ตตฺถ กตมา อพฺยากตา? กิํ ทุกฺขา? กิํ สุขา? กิํ สมาปนฺนสฺส? กิํ อสมาปนฺนสฺส? กิํ สาสวา? กิํ อนาสวาติ? เอวํ สภาวาทิเภโท น ปรามสิตโพฺพฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Yathā ca dukkhā vedanā, evaṃ sukhādayopi. Tāpi hi jātivasena oḷārikā, sabhāvādivasena sukhumā honti. Tasmā yathā jātiādivasena sambhedo na hoti, tathā vedanānaṃ oḷārikasukhumatā veditabbā. Seyyathidaṃ, abyākatā jātivasena kusalākusalāhi sukhumā. Tattha katamā abyākatā? Kiṃ dukkhā? Kiṃ sukhā? Kiṃ samāpannassa? Kiṃ asamāpannassa? Kiṃ sāsavā? Kiṃ anāsavāti? Evaṃ sabhāvādibhedo na parāmasitabbo. Esa nayo sabbattha.
อปิจ ‘‘ตํ ตํ วา ปน เวทนํ อุปาทายุปาทาย เวทนา โอฬาริกา สุขุมา ทฎฺฐพฺพา’’ติ วจนโต อกุสลาทีสุปิ โลภสหคตาย โทสสหคตา เวทนา อคฺคิ วิย นิสฺสยทหนโต โอฬาริกา, โลภสหคตา สุขุมาฯ โทสสหคตาปิ นิยตา โอฬาริกา, อนิยตา สุขุมาฯ นิยตาปิ กปฺปฎฺฐิติกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ กปฺปฎฺฐิติกาสุปิ อสงฺขาริกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ โลภสหคตา ปน ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ สาปิ นิยตา กปฺปฎฺฐิติกา อสงฺขาริกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ อวิเสเสน จ อกุสลา พหุวิปากา โอฬาริกา, อปฺปวิปากา สุขุมาฯ กุสลา ปน อปฺปวิปากา โอฬาริกา, พหุวิปากา สุขุมาฯ
Apica ‘‘taṃ taṃ vā pana vedanaṃ upādāyupādāya vedanā oḷārikā sukhumā daṭṭhabbā’’ti vacanato akusalādīsupi lobhasahagatāya dosasahagatā vedanā aggi viya nissayadahanato oḷārikā, lobhasahagatā sukhumā. Dosasahagatāpi niyatā oḷārikā, aniyatā sukhumā. Niyatāpi kappaṭṭhitikā oḷārikā, itarā sukhumā. Kappaṭṭhitikāsupi asaṅkhārikā oḷārikā, itarā sukhumā. Lobhasahagatā pana diṭṭhisampayuttā oḷārikā, itarā sukhumā. Sāpi niyatā kappaṭṭhitikā asaṅkhārikā oḷārikā, itarā sukhumā. Avisesena ca akusalā bahuvipākā oḷārikā, appavipākā sukhumā. Kusalā pana appavipākā oḷārikā, bahuvipākā sukhumā.
อปิจ กามาวจรกุสลา โอฬาริกา, รูปาวจรา สุขุมา, ตโต อรูปาวจรา, ตโต โลกุตฺตราฯ กามาวจรา จ ทานมยา โอฬาริกา, สีลมยา สุขุมาฯ สีลมยาปิ โอฬาริกา, ตโต ภาวนามยา สุขุมาฯ ภาวนามยาปิ ทุเหตุกา โอฬาริกา, ติเหตุกา สุขุมาฯ ติเหตุกาปิ สสงฺขาริกา โอฬาริกา, อสงฺขาริกา สุขุมา ฯ รูปาวจรา จ ปฐมชฺฌานิกา โอฬาริกา…เป.… ปญฺจมชฺฌานิกา สุขุมาวฯ อรูปาวจรา จ อากาสานญฺจายตนสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมฺปยุตฺตา สุขุมาวฯ โลกุตฺตรา จ โสตาปตฺติมคฺคสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา…เป.… อรหตฺตมคฺคสมฺปยุตฺตา สุขุมาวฯ เอส นโย ตํตํภูมิวิปากกิริยาเวทนาสุ ทุกฺขาทิอสมาปนฺนาทิสาสวาทิวเสน วุตฺตเวทนาสุ จฯ โอกาสวเสน วาปิ นิรเย ทุกฺขา โอฬาริกา, ติรจฺฉานโยนิยํ สุขุมา…เป.… ปรนิมฺมิตวสวตฺตีสุ สุขุมาวฯ ยถา จ ทุกฺขา, เอวํ สุขาปิ สพฺพตฺถ ยถานุรูปํ โยเชตพฺพาฯ วตฺถุวเสน จาปิ หีนวตฺถุกา ยา กาจิ เวทนา โอฬาริกา, ปณีตวตฺถุกา สุขุมาฯ หีนปณีตเภเท ยา โอฬาริกา, สา หีนาฯ ยา จ สุขุมา, สา ปณีตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ
Apica kāmāvacarakusalā oḷārikā, rūpāvacarā sukhumā, tato arūpāvacarā, tato lokuttarā. Kāmāvacarā ca dānamayā oḷārikā, sīlamayā sukhumā. Sīlamayāpi oḷārikā, tato bhāvanāmayā sukhumā. Bhāvanāmayāpi duhetukā oḷārikā, tihetukā sukhumā. Tihetukāpi sasaṅkhārikā oḷārikā, asaṅkhārikā sukhumā . Rūpāvacarā ca paṭhamajjhānikā oḷārikā…pe… pañcamajjhānikā sukhumāva. Arūpāvacarā ca ākāsānañcāyatanasampayuttā oḷārikā…pe… nevasaññānāsaññāyatanasampayuttā sukhumāva. Lokuttarā ca sotāpattimaggasampayuttā oḷārikā…pe… arahattamaggasampayuttā sukhumāva. Esa nayo taṃtaṃbhūmivipākakiriyāvedanāsu dukkhādiasamāpannādisāsavādivasena vuttavedanāsu ca. Okāsavasena vāpi niraye dukkhā oḷārikā, tiracchānayoniyaṃ sukhumā…pe… paranimmitavasavattīsu sukhumāva. Yathā ca dukkhā, evaṃ sukhāpi sabbattha yathānurūpaṃ yojetabbā. Vatthuvasena cāpi hīnavatthukā yā kāci vedanā oḷārikā, paṇītavatthukā sukhumā. Hīnapaṇītabhede yā oḷārikā, sā hīnā. Yā ca sukhumā, sā paṇītāti daṭṭhabbā.
ทูรสนฺติกปเท ปน ‘‘อกุสลา เวทนา กุสลาพฺยากตาหิ เวทนาหิ ทูเร, อกุสลา เวทนา อกุสลาย เวทนาย สนฺติเก’’ติอาทินา (วิภ. ๑๓) นเยน วิภเงฺค วิภตฺตาฯ ตสฺมา อกุสลา เวทนา วิสภาคโต อสํสฎฺฐโต อสริกฺขโต จ กุสลาพฺยากตาหิ ทูเร, ตถา กุสลาพฺยากตา อกุสลายฯ เอส นโย สพฺพวาเรสุฯ อกุสลา ปน เวทนา สภาคโต สํสฎฺฐโต สริกฺขโต จ อกุสลาย สนฺติเกติ อิทํ เวทนาย อตีตาทิวิภาเค วิตฺถารกถามุขํฯ ตํตํเวทนาสมฺปยุตฺตานํ ปน สญฺญาทีนมฺปิ เอตํ เอวเมว เวทิตพฺพํฯ
Dūrasantikapade pana ‘‘akusalā vedanā kusalābyākatāhi vedanāhi dūre, akusalā vedanā akusalāya vedanāya santike’’tiādinā (vibha. 13) nayena vibhaṅge vibhattā. Tasmā akusalā vedanā visabhāgato asaṃsaṭṭhato asarikkhato ca kusalābyākatāhi dūre, tathā kusalābyākatā akusalāya. Esa nayo sabbavāresu. Akusalā pana vedanā sabhāgato saṃsaṭṭhato sarikkhato ca akusalāya santiketi idaṃ vedanāya atītādivibhāge vitthārakathāmukhaṃ. Taṃtaṃvedanāsampayuttānaṃ pana saññādīnampi etaṃ evameva veditabbaṃ.
เย ปเนตฺถ เวทนาทีสุ จกฺขุ…เป.… ชรามรณนฺติ เปยฺยาเลน สํขิเตฺตสุ จ ธเมฺมสุ โลกุตฺตรธมฺมา อาคตา, เต อสมฺมสนูปคตฺตา อิมสฺมิํ อธิกาเร น คเหตพฺพาฯ เต ปน เกวลํ เตน เตน ปเทน สงฺคหิตธมฺมทสฺสนวเสน จ อภิเญฺญยฺยนิเทฺทเส อาคตนเยน จ วุตฺตาฯ เยปิ จ สมฺมสนูปคา, เตสุ เย ยสฺส ปากฎา โหนฺติ, สุเขน ปริคฺคหํ คจฺฉนฺติ, เตสุ เตน สมฺมสนํ อารภิตพฺพํฯ ชาติชรามรณวเสน วิสุํ สมฺมสนาภาเวปิ ชาติชรามรณวเนฺตสุเยว ปน สมฺมสิเตสุ ตานิปิ สมฺมสิตานิ โหนฺตีติ ปริยาเยน เตสมฺปิ วเสน สมฺมสนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจโต ววเตฺถตีติอาทินา นเยน อตีตตฺติกเสฺสว จ วเสน สมฺมสนสฺส วุตฺตตฺตา อชฺฌตฺตาทิเภทํ อนามสิตฺวาปิ อตีตตฺติกเสฺสว วเสน ปริจฺฉินฺทิตฺวาปิ อนิจฺจาทิโต สมฺมสนํ กาตพฺพเมวฯ
Ye panettha vedanādīsu cakkhu…pe… jarāmaraṇanti peyyālena saṃkhittesu ca dhammesu lokuttaradhammā āgatā, te asammasanūpagattā imasmiṃ adhikāre na gahetabbā. Te pana kevalaṃ tena tena padena saṅgahitadhammadassanavasena ca abhiññeyyaniddese āgatanayena ca vuttā. Yepi ca sammasanūpagā, tesu ye yassa pākaṭā honti, sukhena pariggahaṃ gacchanti, tesu tena sammasanaṃ ārabhitabbaṃ. Jātijarāmaraṇavasena visuṃ sammasanābhāvepi jātijarāmaraṇavantesuyeva pana sammasitesu tānipi sammasitāni hontīti pariyāyena tesampi vasena sammasanaṃ vuttanti veditabbaṃ. Atītānāgatapaccuppannaṃ aniccato vavatthetītiādinā nayena atītattikasseva ca vasena sammasanassa vuttattā ajjhattādibhedaṃ anāmasitvāpi atītattikasseva vasena paricchinditvāpi aniccādito sammasanaṃ kātabbameva.
ยํ ปน อนิจฺจํ, ตํ ยสฺมา นิยมโต สงฺขตาทิเภทํ โหติ, เตนสฺส ปริยายทสฺสนตฺถํ, นานากาเรหิ วา มนสิการปฺปวตฺติทสฺสนตฺถํ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตนฺติอาทิมาห ฯ ตญฺหิ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจํ, อนิจฺจนฺติกตาย อาทิอนฺตวนฺตตาย วา อนิจฺจํฯ ปจฺจเยหิ สมาคนฺตฺวา กตตฺตา สงฺขตํฯ ปจฺจเย ปฎิจฺจ นิสฺสาย สมํ, สห วา อุปฺปนฺนตฺตา ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํฯ เอเตน ปจฺจเยหิ กเตปิ ปจฺจยานํ อพฺยาปารตํ ทเสฺสติฯ ขยธมฺมนฺติ ขียนธมฺมํ ขียนปกติกํฯ วยธมฺมนฺติ นสฺสนธมฺมํฯ นยิทํ มนฺทีภาวกฺขยวเสน ขยธมฺมํ, เกวลํ วิคมนปกติกํฯ ปหูตสฺส มนฺทีภาโวปิ หิ โลเก ขโยติ วุจฺจติฯ วิราคธมฺมนฺติ นยิทํ กุหิญฺจิ คมนวเสน วยธมฺมํ, เกวลํ สภาวาติกฺกมนปกติกํฯ ‘‘วิราโค นาม ชิคุจฺฉนํ วา สมติกฺกโม วา’’ติ หิ วุตฺตํฯ นิโรธธมฺมนฺติ นยิทํ สภาวาติกฺกเมน ปุนราวตฺติธมฺมํ, เกวลํ อปุนราวตฺตินิโรเธน นิรุชฺฌนปกติกนฺติ ปุริมปุริมปทสฺส อตฺถวิวรณวเสน ปจฺฉิมปจฺฉิมปทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Yaṃ pana aniccaṃ, taṃ yasmā niyamato saṅkhatādibhedaṃ hoti, tenassa pariyāyadassanatthaṃ, nānākārehi vā manasikārappavattidassanatthaṃ rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ aniccaṃ saṅkhatantiādimāha . Tañhi hutvā abhāvaṭṭhena aniccaṃ, aniccantikatāya ādiantavantatāya vā aniccaṃ. Paccayehi samāgantvā katattā saṅkhataṃ. Paccaye paṭicca nissāya samaṃ, saha vā uppannattā paṭiccasamuppannaṃ. Etena paccayehi katepi paccayānaṃ abyāpārataṃ dasseti. Khayadhammanti khīyanadhammaṃ khīyanapakatikaṃ. Vayadhammanti nassanadhammaṃ. Nayidaṃ mandībhāvakkhayavasena khayadhammaṃ, kevalaṃ vigamanapakatikaṃ. Pahūtassa mandībhāvopi hi loke khayoti vuccati. Virāgadhammanti nayidaṃ kuhiñci gamanavasena vayadhammaṃ, kevalaṃ sabhāvātikkamanapakatikaṃ. ‘‘Virāgo nāma jigucchanaṃ vā samatikkamo vā’’ti hi vuttaṃ. Nirodhadhammanti nayidaṃ sabhāvātikkamena punarāvattidhammaṃ, kevalaṃ apunarāvattinirodhena nirujjhanapakatikanti purimapurimapadassa atthavivaraṇavasena pacchimapacchimapadaṃ vuttanti veditabbaṃ.
อถ วา เอกภวปริยาปนฺนรูปภงฺควเสน ขยธมฺมํ, เอกสนฺตติปริยาปนฺนรูปกฺขยวเสน วยธมฺมํ, รูปสฺส ขณภงฺควเสน วิราคธมฺมํ, ติณฺณมฺปิ อปุนปฺปวตฺติวเสน นิโรธธมฺมนฺติปิ โยเชตพฺพํฯ
Atha vā ekabhavapariyāpannarūpabhaṅgavasena khayadhammaṃ, ekasantatipariyāpannarūpakkhayavasena vayadhammaṃ, rūpassa khaṇabhaṅgavasena virāgadhammaṃ, tiṇṇampi apunappavattivasena nirodhadhammantipi yojetabbaṃ.
ชรามรณํ อนิจฺจนฺติอาทีสุ ชรามรณํ น อนิจฺจํ, อนิจฺจสภาวานํ ปน ขนฺธานํ ชรามรณตฺตา อนิจฺจํ นาม ชาตํฯ สงฺขตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อนฺตรเปยฺยาเล ชาติยาปิ อนิจฺจาทิตาย เอเสว นโยฯ
Jarāmaraṇaṃ aniccantiādīsu jarāmaraṇaṃ na aniccaṃ, aniccasabhāvānaṃ pana khandhānaṃ jarāmaraṇattā aniccaṃ nāma jātaṃ. Saṅkhatādīsupi eseva nayo. Antarapeyyāle jātiyāpi aniccāditāya eseva nayo.
ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติอาทิ น วิปสฺสนาวเสน วุตฺตํ, เกวลํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส เอเกกองฺควเสน สงฺขิปิตฺวา ววตฺถานโต สมฺมสนญาณํ นาม โหตีติ ปริยาเยน วุตฺตํฯ น ปเนตํ กลาปสมฺมสนญาณํ ธมฺมฎฺฐิติญาณเมว ตํ โหตีติฯ อสติ ชาติยาติ ลิงฺควิปลฺลาโส กโต, อสติยา ชาติยาติ วุตฺตํ โหติฯ อสติ สงฺขาเรสูติ วจนวิปลฺลาโส กโต, อสเนฺตสุ สงฺขาเรสูติ วุตฺตํ โหติฯ ภวปจฺจยา ชาติ, อสตีติอาทิ ‘‘ภวปจฺจยา ชาติ, อสติ ภเว นตฺถิ ชาตี’’ติอาทินา นเยน โยเชตพฺพํฯ
Jātipaccayā jarāmaraṇantiādi na vipassanāvasena vuttaṃ, kevalaṃ paṭiccasamuppādassa ekekaaṅgavasena saṅkhipitvā vavatthānato sammasanañāṇaṃ nāma hotīti pariyāyena vuttaṃ. Na panetaṃ kalāpasammasanañāṇaṃ dhammaṭṭhitiñāṇameva taṃ hotīti. Asati jātiyāti liṅgavipallāso kato, asatiyā jātiyāti vuttaṃ hoti. Asati saṅkhāresūti vacanavipallāso kato, asantesu saṅkhāresūti vuttaṃ hoti. Bhavapaccayā jāti, asatītiādi ‘‘bhavapaccayā jāti, asati bhave natthi jātī’’tiādinā nayena yojetabbaṃ.
สมฺมสนญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sammasanañāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๕. สมฺมสนญาณนิเทฺทโส • 5. Sammasanañāṇaniddeso