Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๖. สมฺมสสุตฺตํ
6. Sammasasuttaṃ
๖๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สมฺมสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อนฺตรํ สมฺมส’’นฺติ 1ฯ เอวํ วุเตฺต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อหํ โข, ภเนฺต, สมฺมสามิ อนฺตรํ สมฺมส’’นฺติฯ ‘‘ยถา กถํ ปน ตฺวํ, ภิกฺขุ, สมฺมสสิ อนฺตรํ สมฺมส’’นฺติ? อถ โข โส ภิกฺขุ พฺยากาสิฯ ยถา โส ภิกฺขุ พฺยากาสิ น โส ภิกฺขุ ภควโต จิตฺตํ อาราเธสิฯ
66. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kurūsu viharati kammāsadhammaṃ nāma kurūnaṃ nigamo. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘sammasatha no tumhe, bhikkhave, antaraṃ sammasa’’nti 2. Evaṃ vutte, aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ahaṃ kho, bhante, sammasāmi antaraṃ sammasa’’nti. ‘‘Yathā kathaṃ pana tvaṃ, bhikkhu, sammasasi antaraṃ sammasa’’nti? Atha kho so bhikkhu byākāsi. Yathā so bhikkhu byākāsi na so bhikkhu bhagavato cittaṃ ārādhesi.
เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา อานโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตสฺส, ภควา, กาโล; เอตสฺส, สุคต, กาโล; ยํ ภควา อนฺตรํ สมฺมสํ ภาเสยฺยฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘เตนหานนฺท, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
Evaṃ vutte, āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘etassa, bhagavā, kālo; etassa, sugata, kālo; yaṃ bhagavā antaraṃ sammasaṃ bhāseyya. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti. ‘‘Tenahānanda, suṇātha, sādhukaṃ manasi karotha; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘อิธ , ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ 3 – ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํฯ อิทํ โข ทุกฺขํ กิํนิทานํ กิํสมุทยํ กิํชาติกํ กิํปภวํ, กิสฺมิํ สติ ชรามรณํ โหติ, กิสฺมิํ อสติ ชรามรณํ น โหตี’ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํฯ อิทํ โข ทุกฺขํ อุปธินิทานํ อุปธิสมุทยํ อุปธิชาติกํ อุปธิปภวํ, อุปธิสฺมิํ สติ ชรามรณํ โหติ, อุปธิสฺมิํ อสติ ชรามรณํ น โหตี’ติฯ โส ชรามรณญฺจ ปชานาติ ชรามรณสมุทยญฺจ ปชานาติ ชรามรณนิโรธญฺจ ปชานาติ ยา จ ชรามรณนิโรธสารุปฺปคามินี ปฎิปทา ตญฺจ ปชานาติฯ ตถาปฎิปโนฺน จ โหติ อนุธมฺมจารีฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฎิปโนฺน ชรามรณนิโรธายฯ
‘‘Idha , bhikkhave, bhikkhu sammasamāno sammasati antaraṃ sammasaṃ 4 – ‘yaṃ kho idaṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ dukkhaṃ loke uppajjati jarāmaraṇaṃ. Idaṃ kho dukkhaṃ kiṃnidānaṃ kiṃsamudayaṃ kiṃjātikaṃ kiṃpabhavaṃ, kismiṃ sati jarāmaraṇaṃ hoti, kismiṃ asati jarāmaraṇaṃ na hotī’ti? So sammasamāno evaṃ jānāti – ‘yaṃ kho idaṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ dukkhaṃ loke uppajjati jarāmaraṇaṃ. Idaṃ kho dukkhaṃ upadhinidānaṃ upadhisamudayaṃ upadhijātikaṃ upadhipabhavaṃ, upadhismiṃ sati jarāmaraṇaṃ hoti, upadhismiṃ asati jarāmaraṇaṃ na hotī’ti. So jarāmaraṇañca pajānāti jarāmaraṇasamudayañca pajānāti jarāmaraṇanirodhañca pajānāti yā ca jarāmaraṇanirodhasāruppagāminī paṭipadā tañca pajānāti. Tathāpaṭipanno ca hoti anudhammacārī. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu sabbaso sammā dukkhakkhayāya paṭipanno jarāmaraṇanirodhāya.
‘‘อถาปรํ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ – ‘อุปธิ ปนายํ กิํนิทาโน กิํสมุทโย กิํชาติโก กิํปภโว, กิสฺมิํ สติ อุปธิ โหติ, กิสฺมิํ อสติ อุปธิ น โหตี’ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อุปธิ ตณฺหานิทาโน ตณฺหาสมุทโย ตณฺหาชาติโก ตณฺหาปภโว, ตณฺหาย สติ อุปธิ โหติ, ตณฺหาย อสติ อุปธิ น โหตี’ติฯ โส อุปธิญฺจ ปชานาติ อุปธิสมุทยญฺจ ปชานาติ อุปธินิโรธญฺจ ปชานาติ ยา จ อุปธินิโรธสารุปฺปคามินี ปฎิปทา ตญฺจ ปชานาติฯ ตถา ปฎิปโนฺน จ โหติ อนุธมฺมจารีฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฎิปโนฺน อุปธินิโรธายฯ
‘‘Athāparaṃ sammasamāno sammasati antaraṃ sammasaṃ – ‘upadhi panāyaṃ kiṃnidāno kiṃsamudayo kiṃjātiko kiṃpabhavo, kismiṃ sati upadhi hoti, kismiṃ asati upadhi na hotī’ti? So sammasamāno evaṃ jānāti – ‘upadhi taṇhānidāno taṇhāsamudayo taṇhājātiko taṇhāpabhavo, taṇhāya sati upadhi hoti, taṇhāya asati upadhi na hotī’ti. So upadhiñca pajānāti upadhisamudayañca pajānāti upadhinirodhañca pajānāti yā ca upadhinirodhasāruppagāminī paṭipadā tañca pajānāti. Tathā paṭipanno ca hoti anudhammacārī. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu sabbaso sammā dukkhakkhayāya paṭipanno upadhinirodhāya.
‘‘อถาปรํ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ – ‘ตณฺหา ปนายํ กตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, กตฺถ นิวิสมานา นิวิสตี’ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ – ยํ โข โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติ ฯ กิญฺจ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ? จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ, สาตรูปํฯ เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ โสตํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ…เป.… ฆานํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ… ชิวฺหา โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ… กาโย โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ… มโน โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ
‘‘Athāparaṃ sammasamāno sammasati antaraṃ sammasaṃ – ‘taṇhā panāyaṃ kattha uppajjamānā uppajjati, kattha nivisamānā nivisatī’ti? So sammasamāno evaṃ jānāti – yaṃ kho loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjati, ettha nivisamānā nivisati . Kiñca loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ? Cakkhuṃ loke piyarūpaṃ, sātarūpaṃ. Etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjati, ettha nivisamānā nivisati. Sotaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ…pe… ghānaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ… jivhā loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ… kāyo loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ… mano loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjati ettha nivisamānā nivisati.
‘‘เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต อทฺทกฺขุํ สุขโต อทฺทกฺขุํ อตฺตโต อทฺทกฺขุํ อาโรคฺยโต อทฺทกฺขุํ เขมโต อทฺทกฺขุํฯ เต ตณฺหํ วเฑฺฒสุํฯ เย ตณฺหํ วเฑฺฒสุํ เต อุปธิํ วเฑฺฒสุํฯ เย อุปธิํ วเฑฺฒสุํ เต ทุกฺขํ วเฑฺฒสุํฯ เย ทุกฺขํ วเฑฺฒสุํ เต น ปริมุจฺจิํสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจิํสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Ye hi keci, bhikkhave, atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ niccato addakkhuṃ sukhato addakkhuṃ attato addakkhuṃ ārogyato addakkhuṃ khemato addakkhuṃ. Te taṇhaṃ vaḍḍhesuṃ. Ye taṇhaṃ vaḍḍhesuṃ te upadhiṃ vaḍḍhesuṃ. Ye upadhiṃ vaḍḍhesuṃ te dukkhaṃ vaḍḍhesuṃ. Ye dukkhaṃ vaḍḍhesuṃ te na parimucciṃsu jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, na parimucciṃsu dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ทกฺขิสฺสนฺติ 5 สุขโต ทกฺขิสฺสนฺติ อตฺตโต ทกฺขิสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ทกฺขิสฺสนฺติ เขมโต ทกฺขิสฺสนฺติฯ เต ตณฺหํ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย ตณฺหํ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต อุปธิํ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย อุปธิํ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต ทุกฺขํ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย ทุกฺขํ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต น ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Yepi hi keci, bhikkhave, anāgatamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ niccato dakkhissanti 6 sukhato dakkhissanti attato dakkhissanti ārogyato dakkhissanti khemato dakkhissanti. Te taṇhaṃ vaḍḍhissanti. Ye taṇhaṃ vaḍḍhissanti te upadhiṃ vaḍḍhissanti. Ye upadhiṃ vaḍḍhissanti te dukkhaṃ vaḍḍhissanti. Ye dukkhaṃ vaḍḍhissanti te na parimuccissanti jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, na parimuccissanti dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ปสฺสนฺติ สุขโต ปสฺสนฺติ อตฺตโต ปสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ปสฺสนฺติ เขมโต ปสฺสนฺติฯ เต ตณฺหํ วเฑฺฒนฺติ ฯ เย ตณฺหํ วเฑฺฒนฺติ เต อุปธิํ วเฑฺฒนฺติฯ เย อุปธิํ วเฑฺฒนฺติ เต ทุกฺขํ วเฑฺฒนฺติฯ เย ทุกฺขํ วเฑฺฒนฺติ เต น ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Yepi hi keci, bhikkhave, etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ niccato passanti sukhato passanti attato passanti ārogyato passanti khemato passanti. Te taṇhaṃ vaḍḍhenti . Ye taṇhaṃ vaḍḍhenti te upadhiṃ vaḍḍhenti. Ye upadhiṃ vaḍḍhenti te dukkhaṃ vaḍḍhenti. Ye dukkhaṃ vaḍḍhenti te na parimuccanti jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, na parimuccanti dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปโนฺน คนฺธสมฺปโนฺน รสสมฺปโนฺนฯ โส จ โข วิเสน สํสโฎฺฐฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโตฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘อยํ เต, อโมฺภ ปุริส, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปโนฺน คนฺธสมฺปโนฺน รสสมฺปโนฺน; โส จ โข วิเสน สํสโฎฺฐฯ สเจ อากงฺขสิ ปิวฯ ปิวโต หิ โข ตํ ฉาเทสฺสติ วเณฺณนปิ คเนฺธนปิ รเสนปิ, ปิวิตฺวา จ ปน ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺฉสิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’นฺติฯ โส ตํ อาปานียกํสํ สหสา อปฺปฎิสงฺขา ปิเวยฺย, นปฺปฎินิสฺสเชฺชยฺยฯ โส ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ…เป.… อนาคตมทฺธานํ…เป.… เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ปสฺสนฺติ สุขโต ปสฺสนฺติ อตฺตโต ปสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ปสฺสนฺติ เขมโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ วเฑฺฒนฺติฯ เย ตณฺหํ วเฑฺฒนฺติ เต อุปธิํ วเฑฺฒนฺติฯ เย อุปธิํ วเฑฺฒนฺติ เต ทุกฺขํ วเฑฺฒนฺติฯ เย ทุกฺขํ วเฑฺฒนฺติ เต น ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Seyyathāpi , bhikkhave, āpānīyakaṃso vaṇṇasampanno gandhasampanno rasasampanno. So ca kho visena saṃsaṭṭho. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito. Tamenaṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘ayaṃ te, ambho purisa, āpānīyakaṃso vaṇṇasampanno gandhasampanno rasasampanno; so ca kho visena saṃsaṭṭho. Sace ākaṅkhasi piva. Pivato hi kho taṃ chādessati vaṇṇenapi gandhenapi rasenapi, pivitvā ca pana tatonidānaṃ maraṇaṃ vā nigacchasi maraṇamattaṃ vā dukkha’nti. So taṃ āpānīyakaṃsaṃ sahasā appaṭisaṅkhā piveyya, nappaṭinissajjeyya. So tatonidānaṃ maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ. Evameva kho, bhikkhave, ye hi keci atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ…pe… anāgatamaddhānaṃ…pe… etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ niccato passanti sukhato passanti attato passanti ārogyato passanti khemato passanti, te taṇhaṃ vaḍḍhenti. Ye taṇhaṃ vaḍḍhenti te upadhiṃ vaḍḍhenti. Ye upadhiṃ vaḍḍhenti te dukkhaṃ vaḍḍhenti. Ye dukkhaṃ vaḍḍhenti te na parimuccanti jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, na parimuccanti dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เย จ โข เกจิ, ภิกฺขเว, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต อทฺทกฺขุํ ทุกฺขโต อทฺทกฺขุํ อนตฺตโต อทฺทกฺขุํ โรคโต อทฺทกฺขุํ ภยโต อทฺทกฺขุํ, เต ตณฺหํ ปชหิํสุฯ เย ตณฺหํ ปชหิํสุ เต อุปธิํ ปชหิํสุฯ เย อุปธิํ ปชหิํสุ เต ทุกฺขํ ปชหิํสุฯ เย ทุกฺขํ ปชหิํสุ เต ปริมุจฺจิํสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจิํสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Ye ca kho keci, bhikkhave, atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ aniccato addakkhuṃ dukkhato addakkhuṃ anattato addakkhuṃ rogato addakkhuṃ bhayato addakkhuṃ, te taṇhaṃ pajahiṃsu. Ye taṇhaṃ pajahiṃsu te upadhiṃ pajahiṃsu. Ye upadhiṃ pajahiṃsu te dukkhaṃ pajahiṃsu. Ye dukkhaṃ pajahiṃsu te parimucciṃsu jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, parimucciṃsu dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ทกฺขิสฺสนฺติ ทุกฺขโต ทกฺขิสฺสนฺติ อนตฺตโต ทกฺขิสฺสนฺติ โรคโต ทกฺขิสฺสนฺติ ภยโต ทกฺขิสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหิสฺสนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหิสฺสนฺติ…เป.… ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Yepi hi keci, bhikkhave, anāgatamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ aniccato dakkhissanti dukkhato dakkhissanti anattato dakkhissanti rogato dakkhissanti bhayato dakkhissanti, te taṇhaṃ pajahissanti. Ye taṇhaṃ pajahissanti…pe… parimuccissanti dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ปสฺสนฺติ ทุกฺขโต ปสฺสนฺติ อนตฺตโต ปสฺสนฺติ โรคโต ปสฺสนฺติ ภยโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหนฺติ เต อุปธิํ ปชหนฺติฯ เย อุปธิํ ปชหนฺติ เต ทุกฺขํ ปชหนฺติฯ เย ทุกฺขํ ปชหนฺติ เต ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Yepi hi keci, bhikkhave, etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ aniccato passanti dukkhato passanti anattato passanti rogato passanti bhayato passanti, te taṇhaṃ pajahanti. Ye taṇhaṃ pajahanti te upadhiṃ pajahanti. Ye upadhiṃ pajahanti te dukkhaṃ pajahanti. Ye dukkhaṃ pajahanti te parimuccanti jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, parimuccanti dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปโนฺน คนฺธสมฺปโนฺน รสสมฺปโนฺนฯ โส จ โข วิเสน สํสโฎฺฐฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโตฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘อยํ เต, อโมฺภ ปุริส, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปโนฺน คนฺธสมฺปโนฺน รสสมฺปโนฺน โส จ โข วิเสน สํสโฎฺฐฯ สเจ อากงฺขสิ ปิวฯ ปิวโต หิ โข ตํ ฉาเทสฺสติ วเณฺณนปิ คเนฺธนปิ รเสนปิ; ปิวิตฺวา จ ปน ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺฉสิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’นฺติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘สกฺกา โข เม อยํ สุราปิปาสิตา 7 ปานีเยน วา วิเนตุํ ทธิมณฺฑเกน วา วิเนตุํ ภฎฺฐโลณิกาย 8 วา วิเนตุํ โลณโสวีรเกน วา วิเนตุํ, น เตฺววาหํ ตํ ปิเวยฺยํ, ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’ติฯ โส ตํ อาปานียกํสํ ปฎิสงฺขา น ปิเวยฺย, ปฎินิสฺสเชฺชยฺย ฯ โส ตโตนิทานํ น มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต อทฺทกฺขุํ ทุกฺขโต อทฺทกฺขุํ อนตฺตโต อทฺทกฺขุํ โรคโต อทฺทกฺขุํ ภยโต อทฺทกฺขุํ, เต ตณฺหํ ปชหิํสุฯ เย ตณฺหํ ปชหิํสุ เต อุปธิํ ปชหิํสุฯ เย อุปธิํ ปชหิํสุ เต ทุกฺขํ ปชหิํสุฯ เย ทุกฺขํ ปชหิํสุ เต ปริมุจฺจิํสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจิํสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, āpānīyakaṃso vaṇṇasampanno gandhasampanno rasasampanno. So ca kho visena saṃsaṭṭho. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito. Tamenaṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘ayaṃ te, ambho purisa, āpānīyakaṃso vaṇṇasampanno gandhasampanno rasasampanno so ca kho visena saṃsaṭṭho. Sace ākaṅkhasi piva. Pivato hi kho taṃ chādessati vaṇṇenapi gandhenapi rasenapi; pivitvā ca pana tatonidānaṃ maraṇaṃ vā nigacchasi maraṇamattaṃ vā dukkha’nti. Atha kho, bhikkhave, tassa purisassa evamassa – ‘sakkā kho me ayaṃ surāpipāsitā 9 pānīyena vā vinetuṃ dadhimaṇḍakena vā vinetuṃ bhaṭṭhaloṇikāya 10 vā vinetuṃ loṇasovīrakena vā vinetuṃ, na tvevāhaṃ taṃ piveyyaṃ, yaṃ mama assa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’ti. So taṃ āpānīyakaṃsaṃ paṭisaṅkhā na piveyya, paṭinissajjeyya . So tatonidānaṃ na maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ. Evameva kho, bhikkhave, ye hi keci atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ aniccato addakkhuṃ dukkhato addakkhuṃ anattato addakkhuṃ rogato addakkhuṃ bhayato addakkhuṃ, te taṇhaṃ pajahiṃsu. Ye taṇhaṃ pajahiṃsu te upadhiṃ pajahiṃsu. Ye upadhiṃ pajahiṃsu te dukkhaṃ pajahiṃsu. Ye dukkhaṃ pajahiṃsu te parimucciṃsu jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, parimucciṃsu dukkhasmāti vadāmi.
‘‘เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ…เป.… เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ปสฺสนฺติ ทุกฺขโต ปสฺสนฺติ อนตฺตโต ปสฺสนฺติ โรคโต ปสฺสนฺติ ภยโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหนฺติ เต อุปธิํ ปชหนฺติฯ เย อุปธิํ ปชหนฺติ เต ทุกฺขํ ปชหนฺติฯ เย ทุกฺขํ ปชหนฺติ เต ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามี’’ติฯ ฉฎฺฐํฯ
‘‘Yepi hi keci, bhikkhave, anāgatamaddhānaṃ…pe… etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ taṃ aniccato passanti dukkhato passanti anattato passanti rogato passanti bhayato passanti, te taṇhaṃ pajahanti. Ye taṇhaṃ pajahanti te upadhiṃ pajahanti. Ye upadhiṃ pajahanti te dukkhaṃ pajahanti. Ye dukkhaṃ pajahanti te parimuccanti jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, parimuccanti dukkhasmāti vadāmī’’ti. Chaṭṭhaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. สมฺมสสุตฺตวณฺณนา • 6. Sammasasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๖. สมฺมสสุตฺตวณฺณนา • 6. Sammasasuttavaṇṇanā