Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๓] ๓. สโมฺมทมานชาตกวณฺณนา
[33] 3. Sammodamānajātakavaṇṇanā
สโมฺมทมานาติ อิทํ สตฺถา กปิลวตฺถุํ อุปนิสฺสาย นิโคฺรธาราเม วิหรโนฺต จุมฺพฎกกลหํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กุณาลชาตเก (ชา. ๒.๒๑.กุณาลชาตก) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สตฺถา ญาตเก อามเนฺตตฺวา ‘‘มหาราชา ญาตกานํ อญฺญมญฺญํ วิคฺคโห นาม น ยุโตฺต, ติรจฺฉานคตาปิ หิ ปุเพฺพ สมคฺคกาเล ปจฺจามิเตฺต อภิภวิตฺวา โสตฺถิํ ปตฺตา ยทา วิวาทมาปนฺนา, ตทา มหาวินาสํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา ญาติราชกุเลหิ อายาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Sammodamānāti idaṃ satthā kapilavatthuṃ upanissāya nigrodhārāme viharanto cumbaṭakakalahaṃ ārabbha kathesi. So kuṇālajātake (jā. 2.21.kuṇālajātaka) āvi bhavissati. Tadā pana satthā ñātake āmantetvā ‘‘mahārājā ñātakānaṃ aññamaññaṃ viggaho nāma na yutto, tiracchānagatāpi hi pubbe samaggakāle paccāmitte abhibhavitvā sotthiṃ pattā yadā vivādamāpannā, tadā mahāvināsaṃ pattā’’ti vatvā ñātirājakulehi āyācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต วฎฺฎกโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อเนกวฎฺฎกสหสฺสปริวาโร อรเญฺญ ปฎิวสติฯ ตทา เอโก วฎฺฎกลุทฺทโก เตสํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา วฎฺฎกวสฺสิตํ กตฺวา เตสํ สนฺนิปติตภาวํ ญตฺวา เตสํ อุปริ ชาลํ ขิปิตฺวา ปริยเนฺตสุ มทฺทโนฺต สเพฺพ เอกโต กตฺวา ปจฺฉิํ ปูเรตฺวา ฆรํ คนฺตฺวา เต วิกฺกิณิตฺวา เตน มูเลน ชีวิกํ กเปฺปติฯ อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต เต วฎฺฎเก อาห – ‘‘อยํ สากุณิโก อมฺหากํ ญาตเก วินาสํ ปาเปติ, อหํ เอกํ อุปายํ ชานามิ, เอเนส อเมฺห คณฺหิตุํ น สกฺขิสฺสติ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย เอเตน ตุมฺหากํ อุปริ ชาเล ขิตฺตมเตฺต เอเกโก เอเกกสฺมิํ ชาลกฺขิเก สีสํ ฐเปตฺวา ชาลํ อุกฺขิปิตฺวา อิจฺฉิตฎฺฐานํ หริตฺวา เอกสฺมิํ กณฺฎกคุเมฺพ ปกฺขิปถ, เอวํ สเนฺต เหฎฺฐา เตน เตน ฐาเนน ปลายิสฺสามา’’ติฯ เต สเพฺพ ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิํสุฯ ทุติยทิวเส อุปริ ชาเล ขิเตฺต เต โพธิสเตฺตน วุตฺตนเยเนว ชาลํ อุกฺขิปิตฺวา เอกสฺมิํ กณฺฎกคุเมฺพ ขิปิตฺวา สยํ เหฎฺฐาภาเคน ตโต ตโต ปลายิํสุฯ สากุณิกสฺส คุมฺพโต ชาลํ โมเจนฺตเสฺสว วิกาโล ชาโต, โส ตุจฺฉหโตฺถว อคมาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto vaṭṭakayoniyaṃ nibbattitvā anekavaṭṭakasahassaparivāro araññe paṭivasati. Tadā eko vaṭṭakaluddako tesaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā vaṭṭakavassitaṃ katvā tesaṃ sannipatitabhāvaṃ ñatvā tesaṃ upari jālaṃ khipitvā pariyantesu maddanto sabbe ekato katvā pacchiṃ pūretvā gharaṃ gantvā te vikkiṇitvā tena mūlena jīvikaṃ kappeti. Athekadivasaṃ bodhisatto te vaṭṭake āha – ‘‘ayaṃ sākuṇiko amhākaṃ ñātake vināsaṃ pāpeti, ahaṃ ekaṃ upāyaṃ jānāmi, enesa amhe gaṇhituṃ na sakkhissati, ito dāni paṭṭhāya etena tumhākaṃ upari jāle khittamatte ekeko ekekasmiṃ jālakkhike sīsaṃ ṭhapetvā jālaṃ ukkhipitvā icchitaṭṭhānaṃ haritvā ekasmiṃ kaṇṭakagumbe pakkhipatha, evaṃ sante heṭṭhā tena tena ṭhānena palāyissāmā’’ti. Te sabbe ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇiṃsu. Dutiyadivase upari jāle khitte te bodhisattena vuttanayeneva jālaṃ ukkhipitvā ekasmiṃ kaṇṭakagumbe khipitvā sayaṃ heṭṭhābhāgena tato tato palāyiṃsu. Sākuṇikassa gumbato jālaṃ mocentasseva vikālo jāto, so tucchahatthova agamāsi.
ปุนทิวสโต ปฎฺฐายปิ วฎฺฎกา ตเถว กโรนฺติฯ โสปิ ยาว สูริยตฺถงฺคมนา ชาลเมว โมเจโนฺต กิญฺจิ อลภิตฺวา ตุจฺฉหโตฺถว เคหํ คจฺฉติฯ อถสฺส ภริยา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ตฺวํ ทิวเส ทิวเส ตุจฺฉหโตฺถ อาคจฺฉสิ, อญฺญมฺปิ เต พหิ โปสิตพฺพฎฺฐานํ อตฺถิ มเญฺญ’’ติ อาหฯ สากุณิโก ‘‘ภเทฺท, มม อญฺญํ โปสิตพฺพฎฺฐานํ นตฺถิ, อปิจ โข ปน เต วฎฺฎกา สมคฺคา หุตฺวา จรนฺติ, มยา ขิตฺตมเตฺต ชาลํ อาทาย กณฺฎกคุเมฺพ ขิปิตฺวา คจฺฉนฺติ, น โข ปเนเต สพฺพกาลเมว สโมฺมทมานา วิหริสฺสนฺติ, ตฺวํ มา จินฺตยิ, ยทา เต วิวาทมาปชฺชิสฺสนฺติ, ตทา เต สเพฺพว อาทาย ตว มุขํ หาสยมาโน อาคจฺฉิสฺสามี’’ติ วตฺวา ภริยาย อิมํ คาถมาห –
Punadivasato paṭṭhāyapi vaṭṭakā tatheva karonti. Sopi yāva sūriyatthaṅgamanā jālameva mocento kiñci alabhitvā tucchahatthova gehaṃ gacchati. Athassa bhariyā kujjhitvā ‘‘tvaṃ divase divase tucchahattho āgacchasi, aññampi te bahi positabbaṭṭhānaṃ atthi maññe’’ti āha. Sākuṇiko ‘‘bhadde, mama aññaṃ positabbaṭṭhānaṃ natthi, apica kho pana te vaṭṭakā samaggā hutvā caranti, mayā khittamatte jālaṃ ādāya kaṇṭakagumbe khipitvā gacchanti, na kho panete sabbakālameva sammodamānā viharissanti, tvaṃ mā cintayi, yadā te vivādamāpajjissanti, tadā te sabbeva ādāya tava mukhaṃ hāsayamāno āgacchissāmī’’ti vatvā bhariyāya imaṃ gāthamāha –
๓๓.
33.
‘‘สโมฺมทมานา คจฺฉนฺติ, ชาลมาทาย ปกฺขิโน;
‘‘Sammodamānā gacchanti, jālamādāya pakkhino;
ยทา เต วิวทิสฺสนฺติ, ตทา เอหินฺติ เม วส’’นฺติฯ
Yadā te vivadissanti, tadā ehinti me vasa’’nti.
ตตฺถ ยทา เต วิวทิสฺสนฺตีติ ยสฺมิํ กาเล เต วฎฺฎกา นานาลทฺธิกา นานาคาหา หุตฺวา วิวทิสฺสนฺติ, กลหํ กริสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ ตทา เอหินฺติ เม วสนฺติ ตสฺมิํ กาเล สเพฺพปิ เต มม วสํ อาคจฺฉิสฺสนฺติฯ อถาหํ เต คเหตฺวา ตว มุขํ หาเสโนฺต อาคจฺฉิสฺสามีติ ภริยํ สมสฺสาเสสิฯ
Tattha yadā te vivadissantīti yasmiṃ kāle te vaṭṭakā nānāladdhikā nānāgāhā hutvā vivadissanti, kalahaṃ karissantīti attho. Tadā ehinti me vasanti tasmiṃ kāle sabbepi te mama vasaṃ āgacchissanti. Athāhaṃ te gahetvā tava mukhaṃ hāsento āgacchissāmīti bhariyaṃ samassāsesi.
กติปาหเสฺสว ปน อจฺจเยน เอโก วฎฺฎโก โคจรภูมิํ โอตรโนฺต อสลฺลเกฺขตฺวา อญฺญสฺส สีสํ อกฺกมิ, อิตโร ‘‘โก มํ สีเส อกฺกมี’’ติ กุชฺฌิํฯ ‘‘อหํ อสลฺลเกฺขตฺวา อกฺกมิํ, มา กุชฺฌี’’ติ วุเตฺตปิ กุชฺฌิเยวฯ เต ปุนปฺปุนํ กเถนฺตา ‘‘ตฺวเมว มเญฺญ ชาลํ อุกฺขิปสี’’ติ อญฺญมญฺญํ วิวาทํ กริํสุฯ เตสุ วิวทเนฺตสุ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘วิวาทเก โสตฺถิภาโว นาม นตฺถิ, อิทาเนว เต ชาลํ น อุกฺขิปิสฺสนฺติ, ตโต มหนฺตํ วินาสํ ปาปุณิสฺสนฺติ, สากุณิโก โอกาสํ ลภิสฺสติ, มยา อิมสฺมิํ ฐาเน น สกฺกา วสิตุ’’นฺติฯ โส อตฺตโน ปริสํ อาทาย อญฺญตฺถ คโตฯ สากุณิโกปิ โข กติปาหจฺจเยน อาคนฺตฺวา วฎฺฎกวสฺสิตํ วสฺสิตฺวา เตสํ สนฺนิปติตานํ อุปริ ชาลํ ขิปิฯ อเถโก วฎฺฎโก ‘‘ตุยฺหํ กิร ชาลํ อุกฺขิปนฺตเสฺสว มตฺถเก โลมานิ ปติตานิ, อิทานิ อุกฺขิปา’’ติ อาหฯ อปโร ‘‘ตุยฺหํ กิร ชาลํ อุกฺขิปนฺตเสฺสว ทฺวีสุ ปเกฺขสุ ปตฺตานิ ปติตานิ, อิทานิ อุกฺขิปา’’ติ อาหฯ อิติ เตสํ ‘‘ตฺวํ อุกฺขิป, ตฺวํ อุกฺขิปา’’ติ วทนฺตานเญฺญว สากุณิโก ชาลํ อุกฺขิปิตฺวา สเพฺพว เต เอกโต กตฺวา ปจฺฉิํ ปูเรตฺวา ภริยํ หาสยมาโน เคหํ อคมาสิฯ
Katipāhasseva pana accayena eko vaṭṭako gocarabhūmiṃ otaranto asallakkhetvā aññassa sīsaṃ akkami, itaro ‘‘ko maṃ sīse akkamī’’ti kujjhiṃ. ‘‘Ahaṃ asallakkhetvā akkamiṃ, mā kujjhī’’ti vuttepi kujjhiyeva. Te punappunaṃ kathentā ‘‘tvameva maññe jālaṃ ukkhipasī’’ti aññamaññaṃ vivādaṃ kariṃsu. Tesu vivadantesu bodhisatto cintesi ‘‘vivādake sotthibhāvo nāma natthi, idāneva te jālaṃ na ukkhipissanti, tato mahantaṃ vināsaṃ pāpuṇissanti, sākuṇiko okāsaṃ labhissati, mayā imasmiṃ ṭhāne na sakkā vasitu’’nti. So attano parisaṃ ādāya aññattha gato. Sākuṇikopi kho katipāhaccayena āgantvā vaṭṭakavassitaṃ vassitvā tesaṃ sannipatitānaṃ upari jālaṃ khipi. Atheko vaṭṭako ‘‘tuyhaṃ kira jālaṃ ukkhipantasseva matthake lomāni patitāni, idāni ukkhipā’’ti āha. Aparo ‘‘tuyhaṃ kira jālaṃ ukkhipantasseva dvīsu pakkhesu pattāni patitāni, idāni ukkhipā’’ti āha. Iti tesaṃ ‘‘tvaṃ ukkhipa, tvaṃ ukkhipā’’ti vadantānaññeva sākuṇiko jālaṃ ukkhipitvā sabbeva te ekato katvā pacchiṃ pūretvā bhariyaṃ hāsayamāno gehaṃ agamāsi.
สตฺถา ‘‘เอวํ มหาราชา ญาตกานํ กลโห นาม น ยุโตฺต, กลโห วินาสมูลเมว โหตี’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อปณฺฑิตวฎฺฎโก เทวทโตฺต อโหสิ, ปณฺฑิตวฎฺฎโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘evaṃ mahārājā ñātakānaṃ kalaho nāma na yutto, kalaho vināsamūlameva hotī’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā apaṇḍitavaṭṭako devadatto ahosi, paṇḍitavaṭṭako pana ahameva ahosi’’nti.
สโมฺมทมานชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Sammodamānajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๓. สโมฺมทมานชาตกํ • 33. Sammodamānajātakaṃ