Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๒. อุพฺพริวโคฺค

    2. Ubbarivaggo

    ๑. สํสารโมจกเปติวตฺถุวณฺณนา

    1. Saṃsāramocakapetivatthuvaṇṇanā

    นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสีติ อิทํ สตฺถริ เวฬุวเน วิหรเนฺต มคธรเฎฺฐ อิฎฺฐกวตีนามเก คาเม อญฺญตรํ เปติํ อารพฺภ วุตฺตํฯ มคธรเฎฺฐ กิร อิฎฺฐกวตี จ ทีฆราชิ จาติ เทฺว คามกา อเหสุํ, ตตฺถ พหู สํสารโมจกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา ปฎิวสนฺติฯ อตีเต จ กาเล ปญฺจนฺนํ วสฺสสตานํ มตฺถเก อญฺญตรา อิตฺถี ตเตฺถว อิฎฺฐกวติยํ อญฺญตรสฺมิํ สํสารโมจกกุเล นิพฺพตฺติตฺวา มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสน พหู กีฎปฎเงฺค ชีวิตา โวโรเปตฺวา เปเตสุ นิพฺพตฺติฯ

    Naggādubbaṇṇarūpāsīti idaṃ satthari veḷuvane viharante magadharaṭṭhe iṭṭhakavatīnāmake gāme aññataraṃ petiṃ ārabbha vuttaṃ. Magadharaṭṭhe kira iṭṭhakavatī ca dīgharāji cāti dve gāmakā ahesuṃ, tattha bahū saṃsāramocakā micchādiṭṭhikā paṭivasanti. Atīte ca kāle pañcannaṃ vassasatānaṃ matthake aññatarā itthī tattheva iṭṭhakavatiyaṃ aññatarasmiṃ saṃsāramocakakule nibbattitvā micchādiṭṭhivasena bahū kīṭapaṭaṅge jīvitā voropetvā petesu nibbatti.

    สา ปญฺจ วสฺสสตานิ ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขํ อนุภวิตฺวา อมฺหากํ ภควติ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก อนุกฺกเมน ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรเนฺต ปุนปิ อิฎฺฐกวติยํเยว อญฺญตรสฺมิํ สํสารโมจกกุเลเยว นิพฺพตฺติตฺวา ยทา สตฺตฎฺฐวสฺสุเทฺทสิกกาเล อญฺญาหิ ทาริกาหิ สทฺธิํ รถิกาย กีฬนสมตฺถา อโหสิ, ตทา อายสฺมา สาริปุตฺตเตฺถโร ตเมว คามํ อุปนิสฺสาย อรุณวตีวิหาเร วิหรโนฺต เอกทิวสํ ทฺวาทสหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ตสฺส คามสฺส ทฺวารสมีเปน มเคฺคน อติกฺกมติฯ ตสฺมิํ ขเณ พหู คามทาริกา คามโต นิกฺขมิตฺวา ทฺวารสมีเป กีฬนฺติโย ปสนฺนมานสา มาตาปิตูนํ ปฎิปตฺติทสฺสเนน เวเคนาคนฺตฺวา เถรํ อเญฺญ จ ภิกฺขู ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิํสุฯ สา ปเนสา อสฺสทฺธกุลสฺส ธีตา จิรกาลํ อปริจิตกุสลตาย สาธุชนาจารวิรหิตา อนาทรา อลกฺขิกา วิย อฎฺฐาสิฯ เถโร ตสฺสา ปุพฺพจริตํ อิทานิ จ สํสารโมจกกุเล นิพฺพตฺตนํ อายติญฺจ นิรเย นิพฺพตฺตนารหตํ ทิสฺวา ‘‘สจายํ มํ วนฺทิสฺสติ, นิรเย น อุปฺปชฺชิสฺสติ, เปเตสุ นิพฺพตฺติตฺวาปิ มมํเยว นิสฺสาย สมฺปตฺติํ ปฎิลภิสฺสตี’’ติ ญตฺวา กรุณาสโญฺจทิตมานโส ตา ทาริกาโย อาห – ‘‘ตุเมฺห ภิกฺขู วนฺทถ, อยํ ปน ทาริกา อลกฺขิกา วิย ฐิตา’’ติฯ อถ นํ ตา ทาริกา หเตฺถสุ ปริคฺคเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา พลกฺกาเรน เถรสฺส ปาเท วนฺทาเปสุํฯ

    Sā pañca vassasatāni khuppipāsādidukkhaṃ anubhavitvā amhākaṃ bhagavati loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakke anukkamena rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharante punapi iṭṭhakavatiyaṃyeva aññatarasmiṃ saṃsāramocakakuleyeva nibbattitvā yadā sattaṭṭhavassuddesikakāle aññāhi dārikāhi saddhiṃ rathikāya kīḷanasamatthā ahosi, tadā āyasmā sāriputtatthero tameva gāmaṃ upanissāya aruṇavatīvihāre viharanto ekadivasaṃ dvādasahi bhikkhūhi saddhiṃ tassa gāmassa dvārasamīpena maggena atikkamati. Tasmiṃ khaṇe bahū gāmadārikā gāmato nikkhamitvā dvārasamīpe kīḷantiyo pasannamānasā mātāpitūnaṃ paṭipattidassanena vegenāgantvā theraṃ aññe ca bhikkhū pañcapatiṭṭhitena vandiṃsu. Sā panesā assaddhakulassa dhītā cirakālaṃ aparicitakusalatāya sādhujanācāravirahitā anādarā alakkhikā viya aṭṭhāsi. Thero tassā pubbacaritaṃ idāni ca saṃsāramocakakule nibbattanaṃ āyatiñca niraye nibbattanārahataṃ disvā ‘‘sacāyaṃ maṃ vandissati, niraye na uppajjissati, petesu nibbattitvāpi mamaṃyeva nissāya sampattiṃ paṭilabhissatī’’ti ñatvā karuṇāsañcoditamānaso tā dārikāyo āha – ‘‘tumhe bhikkhū vandatha, ayaṃ pana dārikā alakkhikā viya ṭhitā’’ti. Atha naṃ tā dārikā hatthesu pariggahetvā ākaḍḍhitvā balakkārena therassa pāde vandāpesuṃ.

    สา อปเรน สมเยน วยปฺปตฺตา ทีฆราชิยํ สํสารโมจกกุเล อญฺญตรสฺส กุมารสฺส ทินฺนา ปริปุณฺณคพฺภา หุตฺวา กาลกตา เปเตสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปา ขุปฺปิปาสาภิภูตา อติวิย พีภจฺฉทสฺสนา วิจรนฺตี รตฺติยํ อายสฺมโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา เถโร –

    Sā aparena samayena vayappattā dīgharājiyaṃ saṃsāramocakakule aññatarassa kumārassa dinnā paripuṇṇagabbhā hutvā kālakatā petesu uppajjitvā naggā dubbaṇṇarūpā khuppipāsābhibhūtā ativiya bībhacchadassanā vicarantī rattiyaṃ āyasmato sāriputtattherassa attānaṃ dassetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Taṃ disvā thero –

    ๙๕.

    95.

    ‘‘นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสิ, กิสา ธมนิสนฺถตา;

    ‘‘Naggā dubbaṇṇarūpāsi, kisā dhamanisanthatā;

    อุปฺผาสุลิเก กิสิเก, กา นุ ตฺวํ อิธ ติฎฺฐสี’’ติฯ –

    Upphāsulike kisike, kā nu tvaṃ idha tiṭṭhasī’’ti. –

    คาถาย ปุจฺฉิฯ ตตฺถ ธมนิสนฺถตาติ นิมฺมํสโลหิตตาย สิราชาเลหิ ปตฺถตคตฺตาฯ อุปฺผาสุลิเกติ อุคฺคตผาสุลิเกฯ กิสิเกติ กิสสรีเรฯ ปุเพฺพปิ ‘‘กิสา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘กิสิเก’’ติ วจนํ อฎฺฐิจมฺมนฺหารุมตฺตสรีรตาย อติวิย กิสภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตํ สุตฺวา เปตี อตฺตานํ ปเวเทนฺตี –

    Gāthāya pucchi. Tattha dhamanisanthatāti nimmaṃsalohitatāya sirājālehi patthatagattā. Upphāsuliketi uggataphāsulike. Kisiketi kisasarīre. Pubbepi ‘‘kisā’’ti vatvā puna ‘‘kisike’’ti vacanaṃ aṭṭhicammanhārumattasarīratāya ativiya kisabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ. Taṃ sutvā petī attānaṃ pavedentī –

    ๙๖.

    96.

    ‘‘อหํ ภทเนฺต เปตีมฺหิ, ทุคฺคตา ยมโลกิกา;

    ‘‘Ahaṃ bhadante petīmhi, duggatā yamalokikā;

    ปาปกมฺมํ กริตฺวาน, เปตโลกํ อิโต คตา’’ติฯ – คาถํ วตฺวา ปุน เถเรน –

    Pāpakammaṃ karitvāna, petalokaṃ ito gatā’’ti. – gāthaṃ vatvā puna therena –

    ๙๗.

    97.

    ‘‘กิํ นุ กาเยน วาจาย, มนสา ทุกฺกฎํ กตํ;

    ‘‘Kiṃ nu kāyena vācāya, manasā dukkaṭaṃ kataṃ;

    กิสฺสกมฺมวิปาเกน, เปตโลกํ อิโต คตา’’ติฯ –

    Kissakammavipākena, petalokaṃ ito gatā’’ti. –

    กตกมฺมํ ปุฎฺฐา ‘‘อทานสีลา มจฺฉรินี หุตฺวา เปตโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา เอวํ มหาทุกฺขํ อนุภวามี’’ติ ทเสฺสนฺตี ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Katakammaṃ puṭṭhā ‘‘adānasīlā maccharinī hutvā petayoniyaṃ nibbattitvā evaṃ mahādukkhaṃ anubhavāmī’’ti dassentī tisso gāthā abhāsi –

    ๙๘.

    98.

    ‘‘อนุกมฺปกา มยฺหํ นาเหสุํ ภเนฺต, ปิตา จ มาตา อถวาปิ ญาตกา;

    ‘‘Anukampakā mayhaṃ nāhesuṃ bhante, pitā ca mātā athavāpi ñātakā;

    เย มํ นิโยเชยฺยุํ ททาหิ ทานํ, ปสนฺนจิตฺตา สมณพฺราหฺมณานํฯ

    Ye maṃ niyojeyyuṃ dadāhi dānaṃ, pasannacittā samaṇabrāhmaṇānaṃ.

    ๙๙.

    99.

    ‘‘อิโต อหํ วสฺสสตานิ ปญฺจ, ยํ เอวรูปา วิจรามิ นคฺคา;

    ‘‘Ito ahaṃ vassasatāni pañca, yaṃ evarūpā vicarāmi naggā;

    ขุทาย ตณฺหาย จ ขชฺชมานา, ปาปสฺส กมฺมสฺส ผลํ มเมทํฯ

    Khudāya taṇhāya ca khajjamānā, pāpassa kammassa phalaṃ mamedaṃ.

    ๑๐๐.

    100.

    ‘‘วนฺทามิ ตํ อยฺย ปสนฺนจิตฺตา, อนุกมฺป มํ วีร มหานุภาว;

    ‘‘Vandāmi taṃ ayya pasannacittā, anukampa maṃ vīra mahānubhāva;

    ทตฺวา จ เม อาทิส ยญฺหิ กิญฺจิ, โมเจหิ มํ ทุคฺคติยา ภทเนฺต’’ติฯ

    Datvā ca me ādisa yañhi kiñci, mocehi maṃ duggatiyā bhadante’’ti.

    ๙๘. ตตฺถ อนุกมฺปกาติ สมฺปรายิเกน อเตฺถน อนุคฺคณฺหกาฯ ภเนฺตติ เถรํ อาลปติฯ เย มํ นิโยเชยฺยุนฺติ มาตา วา ปิตา วา อถ วา ญาตกา เอทิสา ปสนฺนจิตฺตา หุตฺวา ‘‘สมณพฺราหฺมณานํ ททาหิ ทาน’’นฺติ เย มํ นิโยเชยฺยุํ, ตาทิสา อนุกมฺปกา มยฺหํ นาเหสุนฺติ โยชนาฯ

    98. Tattha anukampakāti samparāyikena atthena anuggaṇhakā. Bhanteti theraṃ ālapati. Ye maṃ niyojeyyunti mātā vā pitā vā atha vā ñātakā edisā pasannacittā hutvā ‘‘samaṇabrāhmaṇānaṃ dadāhi dāna’’nti ye maṃ niyojeyyuṃ, tādisā anukampakā mayhaṃ nāhesunti yojanā.

    ๙๙. อิโต อหํ วสฺสสตานิ ปญฺจ, ยํ เอวรูปา วิจรามิ นคฺคาติ อิทํ สา เปตี อิโต ตติยาย ชาติยา อตฺตโน เปตตฺตภาวํ อนุสฺสริตฺวา อิทานิปิ ตถา ปญฺจวสฺสสตานิ วิจรามีติ อธิปฺปาเยนาหฯ ตตฺถ นฺติ ยสฺมา, ทานาทีนํ ปุญฺญานํ อกตตฺตา เอวรูปา นคฺคา เปตี หุตฺวา อิโต ปฎฺฐาย วสฺสสตานิ ปญฺจ วิจรามีติ โยชนาฯ ตณฺหายาติ ปิปาสายฯ ขชฺชมานาติ ขาทิยมานา, พาธิยมานาติ อโตฺถฯ

    99.Ito ahaṃ vassasatāni pañca, yaṃ evarūpā vicarāmi naggāti idaṃ sā petī ito tatiyāya jātiyā attano petattabhāvaṃ anussaritvā idānipi tathā pañcavassasatāni vicarāmīti adhippāyenāha. Tattha yanti yasmā, dānādīnaṃ puññānaṃ akatattā evarūpā naggā petī hutvā ito paṭṭhāya vassasatāni pañca vicarāmīti yojanā. Taṇhāyāti pipāsāya. Khajjamānāti khādiyamānā, bādhiyamānāti attho.

    ๑๐๐. วนฺทามิ ตํ อยฺย ปสนฺนจิตฺตาติ อยฺย, ตมหํ ปสนฺนจิตฺตา หุตฺวา วนฺทามิ, เอตฺตกเมว ปุญฺญํ อิทานิ มยา กาตุํ สกฺกาติ ทเสฺสติฯ อนุกมฺป มนฺติ อนุคฺคณฺห มมํ อุทฺทิสฺส อนุทฺทยํ กโรหิฯ ทตฺวา จ เม อาทิส ยญฺหิ กิญฺจีติ กิญฺจิเทว เทยฺยธมฺมํ สมณพฺราหฺมณานํ ทตฺวา ตํ ทกฺขิณํ มยฺหํ อาทิส, เตน เม อิโต เปตโยนิโต โมโกฺข ภวิสฺสตีติ อธิปฺปาเยน วทติฯ เตเนวาห ‘‘โมเจหิ มํ ทุคฺคติยา ภทเนฺต’’ติฯ

    100.Vandāmi taṃ ayya pasannacittāti ayya, tamahaṃ pasannacittā hutvā vandāmi, ettakameva puññaṃ idāni mayā kātuṃ sakkāti dasseti. Anukampa manti anuggaṇha mamaṃ uddissa anuddayaṃ karohi. Datvā ca me ādisa yañhi kiñcīti kiñcideva deyyadhammaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ datvā taṃ dakkhiṇaṃ mayhaṃ ādisa, tena me ito petayonito mokkho bhavissatīti adhippāyena vadati. Tenevāha ‘‘mocehi maṃ duggatiyā bhadante’’ti.

    เอวํ เปติยา วุเตฺต ยถา โส เถโร ปฎิปชฺชิ, ตํ ทเสฺสตุํ สงฺคีติกาเรหิ ติโสฺส คาถา วุตฺตา –

    Evaṃ petiyā vutte yathā so thero paṭipajji, taṃ dassetuṃ saṅgītikārehi tisso gāthā vuttā –

    ๑๐๑.

    101.

    ‘‘สาธูติ โส ปฎิสฺสุตฺวา, สาริปุโตฺตนุกมฺปโก;

    ‘‘Sādhūti so paṭissutvā, sāriputtonukampako;

    ภิกฺขูนํ อาโลปํ ทตฺวา, ปาณิมตฺตญฺจ โจฬกํ;

    Bhikkhūnaṃ ālopaṃ datvā, pāṇimattañca coḷakaṃ;

    ถาลกสฺส จ ปานียํ, ตสฺสา ทกฺขิณมาทิสิฯ

    Thālakassa ca pānīyaṃ, tassā dakkhiṇamādisi.

    ๑๐๒.

    102.

    ‘‘สมนนฺตรานุทฺทิเฎฺฐ , วิปาโก อุทปชฺชถ;

    ‘‘Samanantarānuddiṭṭhe , vipāko udapajjatha;

    โภชนจฺฉาทนปานียํ, ทกฺขิณาย อิทํ ผลํฯ

    Bhojanacchādanapānīyaṃ, dakkhiṇāya idaṃ phalaṃ.

    ๑๐๓.

    103.

    ‘‘ตโต สุทฺธา สุจิวสนา, กาสิกุตฺตมธารินี;

    ‘‘Tato suddhā sucivasanā, kāsikuttamadhārinī;

    วิจิตฺตวตฺถาภรณา, สาริปุตฺตํ อุปสงฺกมี’’ติฯ

    Vicittavatthābharaṇā, sāriputtaṃ upasaṅkamī’’ti.

    ๑๐๑-๑๐๓. ตตฺถ ภิกฺขูนนฺติ ภิกฺขุโน, วจนวิปลฺลาเสน เหตํ วุตฺตํฯ ‘‘อาโลปํ ภิกฺขุโน ทตฺวา’’ติ เกจิ ปฐนฺติฯ อาโลปนฺติ กพฬํ, เอกาโลปมตฺตํ โภชนนฺติ อโตฺถฯ ปาณิมตฺตญฺจ โจฬกนฺติ เอกหตฺถปฺปมาณํ โจฬขณฺฑนฺติ อโตฺถฯ ถาลกสฺส จ ปานียนฺติ เอกถาลกปูรณมตฺตํ อุทกํฯ เสสํ ขลฺลาฎิยเปตวตฺถุสฺมิํ วุตฺตนยเมวฯ

    101-103. Tattha bhikkhūnanti bhikkhuno, vacanavipallāsena hetaṃ vuttaṃ. ‘‘Ālopaṃ bhikkhuno datvā’’ti keci paṭhanti. Ālopanti kabaḷaṃ, ekālopamattaṃ bhojananti attho. Pāṇimattañca coḷakanti ekahatthappamāṇaṃ coḷakhaṇḍanti attho. Thālakassa ca pānīyanti ekathālakapūraṇamattaṃ udakaṃ. Sesaṃ khallāṭiyapetavatthusmiṃ vuttanayameva.

    อถายสฺมา สาริปุโตฺต ตํ เปติํ ปีณินฺทฺริยํ ปริสุทฺธฉวิวณฺณํ ทิพฺพวตฺถาภรณาลงฺการํ สมนฺตโต อตฺตโน ปภาย โอภาเสนฺติํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคนฺตฺวา ฐิตํ ทิสฺวา ปจฺจกฺขโต กมฺมผลํ ตาย วิภาเวตุกาโม หุตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Athāyasmā sāriputto taṃ petiṃ pīṇindriyaṃ parisuddhachavivaṇṇaṃ dibbavatthābharaṇālaṅkāraṃ samantato attano pabhāya obhāsentiṃ attano santikaṃ upagantvā ṭhitaṃ disvā paccakkhato kammaphalaṃ tāya vibhāvetukāmo hutvā tisso gāthā abhāsi –

    ๑๐๔.

    104.

    ‘‘อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, ยา ตฺวํ ติฎฺฐสิ เทวเต;

    ‘‘Abhikkantena vaṇṇena, yā tvaṃ tiṭṭhasi devate;

    โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา, โอสธี วิย ตารกาฯ

    Obhāsentī disā sabbā, osadhī viya tārakā.

    ๑๐๕.

    105.

    ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ, เกน เต อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo, kena te idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เต โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca te bhogā, ye keci manaso piyā.

    ๑๐๖.

    106.

    ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ เทวิ มหานุภาเว, มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญํ;

    ‘‘Pucchāmi taṃ devi mahānubhāve, manussabhūtā kimakāsi puññaṃ;

    เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาวา, วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ

    Kenāsi evaṃ jalitānubhāvā, vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti.

    ๑๐๔. ตตฺถ อภิกฺกเนฺตนาติ อติมนาเปน, อภิรูเปนาติ อโตฺถฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณนฯ โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพาติ สพฺพาปิ ทส ทิสา โชเตนฺตี เอกาโลกํ กโรนฺตีฯ ยถา กินฺติ อาห ‘‘โอสธี วิย ตารกา’’ติฯ อุสฺสนฺนา ปภา เอตาย ธียติ, โอสธานํ วา อนุพลปฺปทายิกาติ กตฺวา ‘‘โอสธี’’ติ ลทฺธนามา ตารกา ยถา สมนฺตโต อาโลกํ กุรุมานา ติฎฺฐติ, เอวเมว ตฺวํ สพฺพทิสา โอภาเสนฺตีติ อโตฺถฯ

    104. Tattha abhikkantenāti atimanāpena, abhirūpenāti attho. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena. Obhāsentī disā sabbāti sabbāpi dasa disā jotentī ekālokaṃ karontī. Yathā kinti āha ‘‘osadhī viya tārakā’’ti. Ussannā pabhā etāya dhīyati, osadhānaṃ vā anubalappadāyikāti katvā ‘‘osadhī’’ti laddhanāmā tārakā yathā samantato ālokaṃ kurumānā tiṭṭhati, evameva tvaṃ sabbadisā obhāsentīti attho.

    ๑๐๕. เกนาติ กิํ-สโทฺท ปุจฺฉายํฯ เหตุอเตฺถ เจตํ กรณวจนํ, เกน เหตุนาติ อโตฺถฯ เตติ ตวฯ เอตาทิโสติ เอทิโส, เอตรหิ ยถาทิสฺสมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ เกน เต อิธ มิชฺฌตีติ เกน ปุญฺญวิเสเสน อิธ อิมสฺมิํ ฐาเน อิทานิ ตยา ลพฺภมานํ สุจริตผลํ อิชฺฌติ นิปฺผชฺชติฯ อุปฺปชฺชนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติฯ โภคาติ ปริภุญฺชิตพฺพเฎฺฐน ‘‘โภคา’’ติ ลทฺธนามา วตฺถาภรณาทิวิตฺตูปกรณวิเสสาฯ เย เกจีติ โภเค อนวเสสโต พฺยาเปตฺวา สงฺคณฺหาติ ฯ อนวเสสพฺยาปโก หิ อยํ นิเทฺทโส ยถา ‘‘เย เกจิ สงฺขารา’’ติฯ มนโส ปิยาติ มนสา ปิยายิตพฺพา, มนาปิยาติ อโตฺถฯ

    105.Kenāti kiṃ-saddo pucchāyaṃ. Hetuatthe cetaṃ karaṇavacanaṃ, kena hetunāti attho. Teti tava. Etādisoti ediso, etarahi yathādissamānoti vuttaṃ hoti. Kena te idha mijjhatīti kena puññavisesena idha imasmiṃ ṭhāne idāni tayā labbhamānaṃ sucaritaphalaṃ ijjhati nipphajjati. Uppajjantīti nibbattanti. Bhogāti paribhuñjitabbaṭṭhena ‘‘bhogā’’ti laddhanāmā vatthābharaṇādivittūpakaraṇavisesā. Ye kecīti bhoge anavasesato byāpetvā saṅgaṇhāti . Anavasesabyāpako hi ayaṃ niddeso yathā ‘‘ye keci saṅkhārā’’ti. Manaso piyāti manasā piyāyitabbā, manāpiyāti attho.

    ๑๐๖. ปุจฺฉามีติ ปุจฺฉํ กโรมิ, ญาตุํ อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ นฺติ ตฺวํฯ เทวีติ ทิพฺพานภาวสมงฺคิตาย, เทวิฯ เตนาห ‘‘มหานุภาเว’’ติฯ มนุสฺสภูตาติ มนุเสฺสสุ ชาตา มนุสฺสภาวํ ปตฺตาฯ อิทํ เยภุเยฺยน สตฺตา มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตา ปุญฺญานิ กโรนฺตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ อยเมตายํ คาถานํ สเงฺขปโต อโตฺถ, วิตฺถารโต ปน ปรมตฺถทีปนิยํ วิมานวตฺถุอฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    106.Pucchāmīti pucchaṃ karomi, ñātuṃ icchāmīti attho. Tanti tvaṃ. Devīti dibbānabhāvasamaṅgitāya, devi. Tenāha ‘‘mahānubhāve’’ti. Manussabhūtāti manussesu jātā manussabhāvaṃ pattā. Idaṃ yebhuyyena sattā manussattabhāve ṭhitā puññāni karontīti katvā vuttaṃ. Ayametāyaṃ gāthānaṃ saṅkhepato attho, vitthārato pana paramatthadīpaniyaṃ vimānavatthuaṭṭhakathāyaṃ vuttanayeneva veditabbo.

    เอวํ ปุน เถเรน ปุฎฺฐา เปตี ตสฺสา สมฺปตฺติยา ลทฺธการณํ ปกาเสนฺตี เสสคาถา อภาสิ –

    Evaṃ puna therena puṭṭhā petī tassā sampattiyā laddhakāraṇaṃ pakāsentī sesagāthā abhāsi –

    ๑๐๗.

    107.

    ‘‘อุปฺปณฺฑุกิํ กิสํ ฉาตํ, นคฺคํ สมฺปติตจฺฉวิํ;

    ‘‘Uppaṇḍukiṃ kisaṃ chātaṃ, naggaṃ sampatitacchaviṃ;

    มุนิ การุณิโก โลเก, ตํ มํ อทฺทกฺขิ ทุคฺคตํฯ

    Muni kāruṇiko loke, taṃ maṃ addakkhi duggataṃ.

    ๑๐๘.

    108.

    ‘‘ภิกฺขูนํ อาโลปํ ทตฺวา, ปาณิมตฺตญฺจ โจฬกํ;

    ‘‘Bhikkhūnaṃ ālopaṃ datvā, pāṇimattañca coḷakaṃ;

    ถาลกสฺส จ ปานียํ, มม ทกฺขิณมาทิสิฯ

    Thālakassa ca pānīyaṃ, mama dakkhiṇamādisi.

    ๑๐๙.

    109.

    ‘‘อาโลปสฺส ผลํ ปสฺส, ภตฺตํ วสฺสสตํ ทส;

    ‘‘Ālopassa phalaṃ passa, bhattaṃ vassasataṃ dasa;

    ภุญฺชามิ กามกามินี, อเนกรสพฺยญฺชนํฯ

    Bhuñjāmi kāmakāminī, anekarasabyañjanaṃ.

    ๑๑๐.

    110.

    ‘‘ปาณิมตฺตสฺส โจฬสฺส, วิปากํ ปสฺส ยาทิสํ;

    ‘‘Pāṇimattassa coḷassa, vipākaṃ passa yādisaṃ;

    ยาวตา นนฺทราชสฺส, วิชิตสฺมิํ ปฎิจฺฉทาฯ

    Yāvatā nandarājassa, vijitasmiṃ paṭicchadā.

    ๑๑๑.

    111.

    ‘‘ตโต พหุตรา ภเนฺต, วตฺถานจฺฉาทนานิ เม;

    ‘‘Tato bahutarā bhante, vatthānacchādanāni me;

    โกเสยฺยกมฺพลียานิ, โขมกปฺปาสิกานิ จฯ

    Koseyyakambalīyāni, khomakappāsikāni ca.

    ๑๑๒.

    112.

    ‘‘วิปุลา จ มหคฺฆา จ, เตปากาเสวลมฺพเร;

    ‘‘Vipulā ca mahagghā ca, tepākāsevalambare;

    สาหํ ตํ ปริทหามิ, ยํ ยญฺหิ มนโส ปิยํฯ

    Sāhaṃ taṃ paridahāmi, yaṃ yañhi manaso piyaṃ.

    ๑๑๓.

    113.

    ‘‘ถาลกสฺส จ ปานียํ, วิปากํ ปสฺส ยาทิสํ;

    ‘‘Thālakassa ca pānīyaṃ, vipākaṃ passa yādisaṃ;

    คมฺภีรา จตุรสฺสา จ, โปกฺขรโญฺญ สุนิมฺมิตาฯ

    Gambhīrā caturassā ca, pokkharañño sunimmitā.

    ๑๑๔.

    114.

    ‘‘เสโตทกา สุปฺปติตฺถา, สีตา อปฺปฎิคนฺธิยา;

    ‘‘Setodakā suppatitthā, sītā appaṭigandhiyā;

    ปทุมุปฺปลสญฺฉนฺนา, วาริกิญฺชกฺขปูริตาฯ

    Padumuppalasañchannā, vārikiñjakkhapūritā.

    ๑๑๕.

    115.

    ‘‘สาหํ รมามิ กีฬามิ, โมทามิ อกุโตภยา;

    ‘‘Sāhaṃ ramāmi kīḷāmi, modāmi akutobhayā;

    มุนิํ การุณิกํ โลเก, ภเนฺต วนฺทิตุมาคตา’’ติฯ

    Muniṃ kāruṇikaṃ loke, bhante vanditumāgatā’’ti.

    ๑๐๗. ตตฺถ อุปฺปณฺฑุกินฺติ อุปฺปณฺฑุกชาตํฯ ฉาตนฺติ พุภุกฺขิตํ ขุทาย อภิภูตํฯ สมฺปติตจฺฉวินฺติ ฉินฺนภินฺนสรีรจฺฉวิํฯ โลเกติ อิทํ ‘‘การุณิโก’’ติ เอตฺถ วุตฺตกรุณาย วิสยทสฺสนํฯ ตํ มนฺติ ตาทิสํ มมํ, วุตฺตนเยน เอกนฺตโต กรุณฎฺฐานิยํ มํฯ ทุคฺคตนฺติ ทุคฺคติํ คตํฯ

    107. Tattha uppaṇḍukinti uppaṇḍukajātaṃ. Chātanti bubhukkhitaṃ khudāya abhibhūtaṃ. Sampatitacchavinti chinnabhinnasarīracchaviṃ. Loketi idaṃ ‘‘kāruṇiko’’ti ettha vuttakaruṇāya visayadassanaṃ. Taṃ manti tādisaṃ mamaṃ, vuttanayena ekantato karuṇaṭṭhāniyaṃ maṃ. Duggatanti duggatiṃ gataṃ.

    ๑๐๘-๑๐๙. ภิกฺขูนํ อาโลปํ ทตฺวาติอาทิ เถเรน อตฺตโน กรุณาย กตาการทสฺสนํฯ ตตฺถ ภตฺตนฺติ โอทนํ, ทิพฺพโภชนนฺติ อโตฺถฯ วสฺสสตํ ทสาติ ทส วสฺสสตานิ, วสฺสสหสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อจฺจนฺตสํโยเค เจตํ อุปโยควจนํฯ ภุญฺชามิ กามกามินี, อเนกรสพฺยญฺชนนฺติ อเญฺญหิปิ กาเมตพฺพกาเมหิ สมนฺนาคตา อเนกรสพฺยญฺชนํ ภตฺตํ ภุญฺชามีติ โยชนาฯ

    108-109.Bhikkhūnaṃ ālopaṃ datvātiādi therena attano karuṇāya katākāradassanaṃ. Tattha bhattanti odanaṃ, dibbabhojananti attho. Vassasataṃ dasāti dasa vassasatāni, vassasahassanti vuttaṃ hoti. Accantasaṃyoge cetaṃ upayogavacanaṃ. Bhuñjāmi kāmakāminī, anekarasabyañjananti aññehipi kāmetabbakāmehi samannāgatā anekarasabyañjanaṃ bhattaṃ bhuñjāmīti yojanā.

    ๑๑๐. โจฬสฺสาติ เทยฺยธมฺมสีเสน ตพฺพิสยํ ทานมยํ ปุญฺญเมว ทเสฺสติฯ วิปากํ ปสฺส ยาทิสนฺติ ตสฺส โจฬทานสฺส วิปากสงฺขาตํ ผลํ ปสฺส, ภเนฺตฯ ตํ ปน ยาทิสํ ยถารูปํ, กินฺติ เจติ อาห ‘‘ยาวตา นนฺทราชสฺสา’’ติอาทิฯ

    110.Coḷassāti deyyadhammasīsena tabbisayaṃ dānamayaṃ puññameva dasseti. Vipākaṃ passa yādisanti tassa coḷadānassa vipākasaṅkhātaṃ phalaṃ passa, bhante. Taṃ pana yādisaṃ yathārūpaṃ, kinti ceti āha ‘‘yāvatā nandarājassā’’tiādi.

    ตตฺถ โกยํ นนฺทราชา นาม? อตีเต กิร ทสวสฺสสหสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ พาราณสิวาสี เอโก กุฎุมฺพิโก อรเญฺญ ชงฺฆาวิหารํ วิจรโนฺต อรญฺญฎฺฐาเน อญฺญตรํ ปเจฺจกพุทฺธํ อทฺทสฯ โส ปเจฺจกพุโทฺธ ตตฺถ จีวรกมฺมํ กโรโนฺต อนุวาเต อปฺปโหเนฺต สํหริตฺวาว ฐเปตุํ อารโทฺธฯ โส กุฎุมฺพิโก ตํ ทิสฺวา, ‘‘ภเนฺต, กิํ กโรถา’’ติ วตฺวา เตน อปฺปิจฺฉตาย กิญฺจิ อวุเตฺตปิ ‘‘จีวรทุสฺสํ นปฺปโหตี’’ติ ญตฺวา อตฺตโน อุตฺตราสงฺคํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา อคมาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ตํ คเหตฺวา อนุวาตํ อาโรเปโนฺต จีวรํ กตฺวา ปารุปิฯ โส กุฎุมฺพิกา ชีวิตปริโยสาเน กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา ตโต จวิตฺวา พาราณสิโต โยชนมเตฺต ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ คาเม อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติฯ

    Tattha koyaṃ nandarājā nāma? Atīte kira dasavassasahassāyukesu manussesu bārāṇasivāsī eko kuṭumbiko araññe jaṅghāvihāraṃ vicaranto araññaṭṭhāne aññataraṃ paccekabuddhaṃ addasa. So paccekabuddho tattha cīvarakammaṃ karonto anuvāte appahonte saṃharitvāva ṭhapetuṃ āraddho. So kuṭumbiko taṃ disvā, ‘‘bhante, kiṃ karothā’’ti vatvā tena appicchatāya kiñci avuttepi ‘‘cīvaradussaṃ nappahotī’’ti ñatvā attano uttarāsaṅgaṃ paccekabuddhassa pādamūle ṭhapetvā agamāsi. Paccekabuddho taṃ gahetvā anuvātaṃ āropento cīvaraṃ katvā pārupi. So kuṭumbikā jīvitapariyosāne kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ dibbasampattiṃ anubhavitvā tato cavitvā bārāṇasito yojanamatte ṭhāne aññatarasmiṃ gāme amaccakule nibbatti.

    ตสฺส วยปฺปตฺตกาเล ตสฺมิํ คาเม นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ อโหสิฯ โส มาตรํ อาห – ‘‘อมฺม, สาฎกํ เม เทหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติฯ สา สุโธตวตฺถํ นีหริตฺวา อทาสิฯ ‘‘อมฺม, ถูลํ อิท’’นฺติฯ อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, ยาทิเส เคเห มยํ ชาตา, นตฺถิ โน อิโต สุขุมตรสฺส วตฺถสฺส ปฎิลาภาย ปุญฺญ’’นฺติฯ ‘‘ลภนฎฺฐานํ คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘คจฺฉ, ปุตฺต, อหํ อเชฺชว ตุยฺหํ พาราณสินคเร รชฺชปฎิลาภํ อิจฺฉามี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, อมฺมา’’ติ มาตรํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา อาห – ‘‘คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ เอวํ กิรสฺสา จิตฺตํ อโหสิ – ‘‘กหํ คมิสฺสติ, อิธ วา เอตฺถ วา เคเห นิสีทิสฺสตี’’ติฯ โส ปน ปุญฺญนิยาเมน โจทิยมาโน คามโต นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชิฯ โส จ พาราณสิรโญฺญ กาลกตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ

    Tassa vayappattakāle tasmiṃ gāme nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ ahosi. So mātaraṃ āha – ‘‘amma, sāṭakaṃ me dehi, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti. Sā sudhotavatthaṃ nīharitvā adāsi. ‘‘Amma, thūlaṃ ida’’nti. Aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, yādise gehe mayaṃ jātā, natthi no ito sukhumatarassa vatthassa paṭilābhāya puñña’’nti. ‘‘Labhanaṭṭhānaṃ gacchāmi, ammā’’ti. ‘‘Gaccha, putta, ahaṃ ajjeva tuyhaṃ bārāṇasinagare rajjapaṭilābhaṃ icchāmī’’ti. So ‘‘sādhu, ammā’’ti mātaraṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā āha – ‘‘gacchāmi, ammā’’ti. ‘‘Gaccha, tātā’’ti. Evaṃ kirassā cittaṃ ahosi – ‘‘kahaṃ gamissati, idha vā ettha vā gehe nisīdissatī’’ti. So pana puññaniyāmena codiyamāno gāmato nikkhamitvā bārāṇasiṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭe sasīsaṃ pārupitvā nipajji. So ca bārāṇasirañño kālakatassa sattamo divaso hoti.

    อมจฺจา จ ปุโรหิโต จ รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ราชงฺคเณ นิสีทิตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘รโญฺญ เอกา ธีตา อตฺถิ, ปุโตฺต นตฺถิ, อราชกํ รชฺชํ น ติฎฺฐติ, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชมา’’ติฯ เต กุมุทวเณฺณ จตฺตาโร สินฺธเว โยเชตฺวา เสตจฺฉตฺตปฺปมุขํ ปญฺจวิธํ ราชกกุธภณฺฑํ รถสฺมิํเยว ฐเปตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปจฺฉโต ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสุํฯ รโถ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโกฺข อโหสิฯ ‘‘ปริจเยน อุยฺยานาภิมุโข คจฺฉติ , นิวเตฺตมา’’ติ เกจิ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถา’’ติ อาหฯ รโถ กุมารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาโรหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิ, ปุโรหิโต ปารุปนกณฺณํ อปเนตฺวา ปาทตลานิ โอโลเกโนฺต ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ ทีโป, ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เอกรชฺชํ กาเรตุํ ยุโตฺต’’ติ วตฺวา ‘‘ตูริยานิ ปคฺคณฺหถ, ปุนปิ ปคฺคณฺหถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ

    Amaccā ca purohito ca rañño sarīrakiccaṃ katvā rājaṅgaṇe nisīditvā mantayiṃsu – ‘‘rañño ekā dhītā atthi, putto natthi, arājakaṃ rajjaṃ na tiṭṭhati, phussarathaṃ vissajjemā’’ti. Te kumudavaṇṇe cattāro sindhave yojetvā setacchattappamukhaṃ pañcavidhaṃ rājakakudhabhaṇḍaṃ rathasmiṃyeva ṭhapetvā rathaṃ vissajjetvā pacchato tūriyāni paggaṇhāpesuṃ. Ratho pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukkho ahosi. ‘‘Paricayena uyyānābhimukho gacchati , nivattemā’’ti keci āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayitthā’’ti āha. Ratho kumāraṃ padakkhiṇaṃ katvā ārohanasajjo hutvā aṭṭhāsi, purohito pārupanakaṇṇaṃ apanetvā pādatalāni olokento ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ dīpo, dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu ekarajjaṃ kāretuṃ yutto’’ti vatvā ‘‘tūriyāni paggaṇhatha, punapi paggaṇhathā’’ti tikkhattuṃ tūriyāni paggaṇhāpesi.

    อถ กุมาโร มุขํ วิวริตฺวา โอโลเกตฺวา ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ รชฺชํ ปาปุณาตี’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา กห’’นฺติ? ‘‘ทิวงฺคโต, สามี’’ติฯ ‘‘กติ ทิวสา อติกฺกนฺตา’’ติ? ‘‘อชฺช สตฺตโม ทิวโส’’ติฯ ‘‘ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถี’’ติ? ‘‘ธีตา อตฺถิ, เทว, ปุโตฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กริสฺสามิ รชฺช’’นฺติฯ เต ตาวเทว อภิเสกมณฺฑปํ กตฺวา ราชธีตรํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา อุยฺยานํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อภิเสกํ อกํสุฯ

    Atha kumāro mukhaṃ vivaritvā oloketvā ‘‘kena kammena āgatattha, tātā’’ti āha. ‘‘Deva, tumhākaṃ rajjaṃ pāpuṇātī’’ti. ‘‘Tumhākaṃ rājā kaha’’nti? ‘‘Divaṅgato, sāmī’’ti. ‘‘Kati divasā atikkantā’’ti? ‘‘Ajja sattamo divaso’’ti. ‘‘Putto vā dhītā vā natthī’’ti? ‘‘Dhītā atthi, deva, putto natthī’’ti. ‘‘Tena hi karissāmi rajja’’nti. Te tāvadeva abhisekamaṇḍapaṃ katvā rājadhītaraṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā uyyānaṃ ānetvā kumārassa abhisekaṃ akaṃsu.

    อถสฺส กตาภิเสกสฺส สตสหสฺสคฺฆนิกํ วตฺถํ อุปเนสุํฯ โส ‘‘กิมิทํ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘นิวาสนวตฺถํ, เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ, ตาตา, ถูล’’นฺติ? ‘‘มนุสฺสานํ ปริโภควเตฺถสุ อิโต สุขุมตรํ นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา เอวรูปํ นิวาเสสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘น มเญฺญ ปุญฺญวา ตุมฺหากํ ราชา (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๙๑) สุวณฺณภิงฺการํ อาหรถ, ลภิสฺสามิ วตฺถ’’นฺติฯ สุวณฺณภิงฺการํ อาหริํสุฯ โส อุฎฺฐาย หเตฺถ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถน อุทกํ อาทาย ปุรตฺถิมทิสายํ อพฺภุกฺกิริฯ ตทา ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ ปุน อุทกํ คเหตฺวา ทกฺขิณาย ปจฺฉิมาย อุตฺตรายาติ เอวํ จตูสุ ทิสาสุ อพฺภุกฺกิริฯ สพฺพทิสาสุ อฎฺฐ อฎฺฐ กตฺวา ทฺวตฺติํส กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ เอเกกาย ทิสาย โสฬส โสฬส กตฺวา จตุสฎฺฐิ กมฺมรุกฺขาติ เกจิ วทนฺติฯ โส เอกํ ทิพฺพทุสฺสํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ‘‘นนฺทรโญฺญ วิชิเต สุตฺตกนฺติกา อิตฺถิโย มา สุตฺตํ กนฺติํสูติ เภริํ จราเปถา’’ติ วตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    Athassa katābhisekassa satasahassagghanikaṃ vatthaṃ upanesuṃ. So ‘‘kimidaṃ, tātā’’ti āha. ‘‘Nivāsanavatthaṃ, devā’’ti. ‘‘Nanu, tātā, thūla’’nti? ‘‘Manussānaṃ paribhogavatthesu ito sukhumataraṃ natthi, devā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ rājā evarūpaṃ nivāsesī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Na maññe puññavā tumhākaṃ rājā (a. ni. aṭṭha. 1.1.191) suvaṇṇabhiṅkāraṃ āharatha, labhissāmi vattha’’nti. Suvaṇṇabhiṅkāraṃ āhariṃsu. So uṭṭhāya hatthe dhovitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthena udakaṃ ādāya puratthimadisāyaṃ abbhukkiri. Tadā ghanapathaviṃ bhinditvā aṭṭha kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Puna udakaṃ gahetvā dakkhiṇāya pacchimāya uttarāyāti evaṃ catūsu disāsu abbhukkiri. Sabbadisāsu aṭṭha aṭṭha katvā dvattiṃsa kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Ekekāya disāya soḷasa soḷasa katvā catusaṭṭhi kammarukkhāti keci vadanti. So ekaṃ dibbadussaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ‘‘nandarañño vijite suttakantikā itthiyo mā suttaṃ kantiṃsūti bheriṃ carāpethā’’ti vatvā chattaṃ ussāpetvā alaṅkatapaṭiyatto hatthikkhandhavaragato nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ āruyha mahāsampattiṃ anubhavi.

    เอวํ คจฺฉเนฺต กาเล เอกทิวสํ เทวี รโญฺญ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อโห ตปสฺสี’’ติ การุญฺญาการํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิมิทํ, เทวี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘อติมหตี เต, เทว, สมฺปตฺติฯ อตีเต อทฺธนิ กลฺยาณํ อกตฺถ, อิทานิ อนาคตสฺส อตฺถาย กุสลํ น กโรถา’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺส เทม? สีลวโนฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘อสุโญฺญ, เทว, ชมฺพุทีโป อรหเนฺตหิ, ตุเมฺห ทานเมว สเชฺชถ, อหํ อรหเนฺต ลจฺฉามี’’ติ อาหฯ ปุนทิวเส ราชา มหารหํ ทานํ สชฺชาเปสิฯ เทวี ‘‘สเจ อิมิสฺสาย ทิสาย อรหโนฺต อตฺถิ, อิธาคนฺตฺวา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา อุตฺตรทิสาภิมุขา อุเรน นิปชฺชิฯ นิปนฺนมตฺตาย เอว เทวิยา หิมวเนฺต วสนฺตานํ ปทุมวติยา ปุตฺตานํ ปญฺจสตานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ เชฎฺฐโก มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ภาติเก อามเนฺตสิ – ‘‘มาริสา นนฺทราชา ตุเมฺห นิมเนฺตติ, อธิวาเสถ ตสฺสา’’ติฯ เต อธิวาเสตฺวา ตาวเทว อากาเสนาคนฺตฺวา อุตฺตรทฺวาเร โอตริํสุฯ มนุสฺสา ‘‘ปญฺจสตา, เทว, ปเจฺจกพุทฺธา อาคตา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สทฺธิํ เทวิยา อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ตตฺถ เตสํ ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจาวสาเน ราชา สงฺฆเตฺถรสฺส, เทวี สงฺฆนวกสฺส ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ‘‘อยฺยา, ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสนฺติ, มยํ ปุเญฺญน น หายิสฺสาม, อมฺหากํ อิธ นิวาสาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อุยฺยาเน นิวาสฎฺฐานานิ กาเรตฺวา ยาวชีวํ ปเจฺจกพุเทฺธ อุปฎฺฐหิตฺวา เตสุ ปรินิพฺพุเตสุ สาธุกีฬิตํ กาเรตฺวา คนฺธทารุอาทีหิ สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘เอวรูปานมฺปิ นาม มหานุภาวานํ มเหสีนํ มรณํ ภวิสฺสติ, กิมงฺคํ ปน มาทิสาน’’นฺติ สํเวคชาโต เชฎฺฐปุตฺตํ รเชฺช ปติฎฺฐาเปตฺวา สยํ ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ เทวีปิ ‘‘รเญฺญ ปพฺพชิเต อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ ปพฺพชิฯ เทฺวปิ อุยฺยาเน วสนฺตา ฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานสุเขน วีตินาเมตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ โส กิร นนฺทราชา อมฺหากํ สตฺถุ มหาสาวโก มหากสฺสปเตฺถโร อโหสี, ตสฺส อคฺคมเหสี ภทฺทา กาปิลานี นามฯ

    Evaṃ gacchante kāle ekadivasaṃ devī rañño sampattiṃ disvā ‘‘aho tapassī’’ti kāruññākāraṃ dassesi. ‘‘Kimidaṃ, devī’’ti ca puṭṭhā ‘‘atimahatī te, deva, sampatti. Atīte addhani kalyāṇaṃ akattha, idāni anāgatassa atthāya kusalaṃ na karothā’’ti āha. ‘‘Kassa dema? Sīlavanto natthī’’ti. ‘‘Asuñño, deva, jambudīpo arahantehi, tumhe dānameva sajjetha, ahaṃ arahante lacchāmī’’ti āha. Punadivase rājā mahārahaṃ dānaṃ sajjāpesi. Devī ‘‘sace imissāya disāya arahanto atthi, idhāgantvā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti adhiṭṭhahitvā uttaradisābhimukhā urena nipajji. Nipannamattāya eva deviyā himavante vasantānaṃ padumavatiyā puttānaṃ pañcasatānaṃ paccekabuddhānaṃ jeṭṭhako mahāpadumapaccekabuddho bhātike āmantesi – ‘‘mārisā nandarājā tumhe nimanteti, adhivāsetha tassā’’ti. Te adhivāsetvā tāvadeva ākāsenāgantvā uttaradvāre otariṃsu. Manussā ‘‘pañcasatā, deva, paccekabuddhā āgatā’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā saddhiṃ deviyā āgantvā vanditvā pattaṃ gahetvā paccekabuddhe pāsādaṃ āropetvā tattha tesaṃ dānaṃ datvā bhattakiccāvasāne rājā saṅghattherassa, devī saṅghanavakassa pādamūle nipajjitvā ‘‘ayyā, paccayehi na kilamissanti, mayaṃ puññena na hāyissāma, amhākaṃ idha nivāsāya paṭiññaṃ dethā’’ti paṭiññaṃ kāretvā uyyāne nivāsaṭṭhānāni kāretvā yāvajīvaṃ paccekabuddhe upaṭṭhahitvā tesu parinibbutesu sādhukīḷitaṃ kāretvā gandhadāruādīhi sarīrakiccaṃ kāretvā dhātuyo gahetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpetvā ‘‘evarūpānampi nāma mahānubhāvānaṃ mahesīnaṃ maraṇaṃ bhavissati, kimaṅgaṃ pana mādisāna’’nti saṃvegajāto jeṭṭhaputtaṃ rajje patiṭṭhāpetvā sayaṃ tāpasapabbajjaṃ pabbaji. Devīpi ‘‘raññe pabbajite ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti pabbaji. Dvepi uyyāne vasantā jhānāni nibbattetvā jhānasukhena vītināmetvā āyupariyosāne brahmaloke nibbattiṃsu. So kira nandarājā amhākaṃ satthu mahāsāvako mahākassapatthero ahosī, tassa aggamahesī bhaddā kāpilānī nāma.

    อยํ ปน นนฺทราชา ทส วสฺสสหสฺสานิ สยํ ทิพฺพวตฺถานิ ปริทหโนฺต สพฺพเมว อตฺตโน วิชิตํ อุตฺตรกุรุสทิสํ กโรโนฺต อาคตาคตานํ มนุสฺสานํ ทิพฺพทุสฺสานิ อทาสิฯ ตยิทํ ทิพฺพวตฺถสมิทฺธิํ สนฺธาย สา เปตี อาห ‘‘ยาวตา นนฺทราชสฺส, วิชิตสฺมิํ ปฎิจฺฉทา’’ติฯ ตตฺถ วิชิตสฺมินฺติ รเฎฺฐฯ ปฎิจฺฉทาติ วตฺถานิฯ ตานิ หิ ปฎิจฺฉาเทนฺติ เอเตหีติ ‘‘ปฎิจฺฉทา’’ติ วุจฺจนฺติฯ

    Ayaṃ pana nandarājā dasa vassasahassāni sayaṃ dibbavatthāni paridahanto sabbameva attano vijitaṃ uttarakurusadisaṃ karonto āgatāgatānaṃ manussānaṃ dibbadussāni adāsi. Tayidaṃ dibbavatthasamiddhiṃ sandhāya sā petī āha ‘‘yāvatā nandarājassa, vijitasmiṃ paṭicchadā’’ti. Tattha vijitasminti raṭṭhe. Paṭicchadāti vatthāni. Tāni hi paṭicchādenti etehīti ‘‘paṭicchadā’’ti vuccanti.

    ๑๑๑. อิทานิ สา เปตี ‘‘นนฺทราชสมิทฺธิโตปิ เอตรหิ มยฺหํ สมิทฺธิ วิปุลตรา’’ติ ทเสฺสนฺตี ‘‘ตโต พหุตรา, ภเนฺต, วตฺถานจฺฉาทนานิ เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตโตติ นนฺทราชสฺส ปริคฺคหภูตวตฺถโตปิ พหุตรานิ มยฺหํ วตฺถจฺฉาทนานีติ อโตฺถฯ วตฺถานจฺฉาทนานีติ นิวาสนวตฺถานิ เจว ปารุปนวตฺถานิ จ ฯ โกเสยฺยกมฺพลียานีติ โกเสยฺยานิ เจว กมฺพลานิ จฯ โขมกปฺปาสิกานีติ โขมวตฺถานิ เจว กปฺปาสมยวตฺถานิ จฯ

    111. Idāni sā petī ‘‘nandarājasamiddhitopi etarahi mayhaṃ samiddhi vipulatarā’’ti dassentī ‘‘tato bahutarā, bhante, vatthānacchādanāni me’’tiādimāha. Tattha tatoti nandarājassa pariggahabhūtavatthatopi bahutarāni mayhaṃ vatthacchādanānīti attho. Vatthānacchādanānīti nivāsanavatthāni ceva pārupanavatthāni ca . Koseyyakambalīyānīti koseyyāni ceva kambalāni ca. Khomakappāsikānīti khomavatthāni ceva kappāsamayavatthāni ca.

    ๑๑๒. วิปุลาติ อายามโต จ วิตฺถารโต จ วิปุลาฯ มหคฺฆาติ มหคฺฆวเสน มหนฺตา มหารหาฯ อากาเสวลมฺพเรติ อากาเสเยว โอลมฺพมานา ติฎฺฐนฺติฯ ยํ ยญฺหิ มนโส ปิยนฺติ ยํ ยํ มยฺหํ มนโส ปิยํ, ตํ ตํ คเหตฺวา ปริทหามิ ปารุปามิ จาติ โยชนาฯ

    112.Vipulāti āyāmato ca vitthārato ca vipulā. Mahagghāti mahagghavasena mahantā mahārahā. Ākāsevalambareti ākāseyeva olambamānā tiṭṭhanti. Yaṃ yañhi manaso piyanti yaṃ yaṃ mayhaṃ manaso piyaṃ, taṃ taṃ gahetvā paridahāmi pārupāmi cāti yojanā.

    ๑๑๓. ถาลกสฺส จ ปานียํ, วิปากํ ปสฺส ยาทิสนฺติ ถาลกปูรณมตฺตํ ปานียํ ทินฺนํ อนุโมทิตํ , ตสฺส ปน วิปากํ ยาทิสํ ยาว มหนฺตํ ปสฺสาติ ทเสฺสนฺตี ‘‘คมฺภีรา จตุรสฺสา จา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ คมฺภีราติ อคาธาฯ จตุรสฺสาติ จตุรสฺสสณฺฐานาฯ โปกฺขรโญฺญติ โปกฺขรณิโยฯ สุนิมฺมิตาติ กมฺมานุภาเวเนว สุฎฺฐุ นิมฺมิตาฯ

    113.Thālakassa ca pānīyaṃ, vipākaṃ passa yādisanti thālakapūraṇamattaṃ pānīyaṃ dinnaṃ anumoditaṃ , tassa pana vipākaṃ yādisaṃ yāva mahantaṃ passāti dassentī ‘‘gambhīrā caturassā cā’’tiādimāha. Tattha gambhīrāti agādhā. Caturassāti caturassasaṇṭhānā. Pokkharaññoti pokkharaṇiyo. Sunimmitāti kammānubhāveneva suṭṭhu nimmitā.

    ๑๑๔. เสโตทกาติ เสตอุทกา เสตวาลุกสมฺปริกิณฺณาฯ สุปฺปติตฺถาติ สุนฺทรติตฺถาฯ สีตาติ สีตโลทกาฯ อปฺปฎิคนฺธิยาติ ปฎิกูลคนฺธรหิตา สุรภิคนฺธาฯ วาริกิญฺชกฺขปูริตาติ กมลกุวลยาทีนํ เกสรสญฺฉเนฺนน วารินา ปริปุณฺณาฯ

    114.Setodakāti setaudakā setavālukasamparikiṇṇā. Suppatitthāti sundaratitthā. Sītāti sītalodakā. Appaṭigandhiyāti paṭikūlagandharahitā surabhigandhā. Vārikiñjakkhapūritāti kamalakuvalayādīnaṃ kesarasañchannena vārinā paripuṇṇā.

    ๑๑๕. สาหนฺติ สา อหํฯ รมามีติ รติํ วินฺทามิฯ กีฬามีติ อินฺทฺริยานิ ปริจาเรมิฯ โมทามีติ โภคสมฺปตฺติยา ปมุทิตา โหมิฯ อกุโตภยาติ กุโตจิปิ อสญฺชาตภยา, เสรี สุขวิหารินี โหมิ ฯ ภเนฺต, วนฺทิตุมาคตาติ, ภเนฺต, อิมิสฺสา ทิพฺพสมฺปตฺติยา ปฎิลาภสฺส การณภูตํ ตฺวํ วนฺทิตุํ อาคตา อุปคตาติ อโตฺถฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต อวิภตฺตํ, ตํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตเมวฯ

    115.Sāhanti sā ahaṃ. Ramāmīti ratiṃ vindāmi. Kīḷāmīti indriyāni paricāremi. Modāmīti bhogasampattiyā pamuditā homi. Akutobhayāti kutocipi asañjātabhayā, serī sukhavihārinī homi . Bhante, vanditumāgatāti, bhante, imissā dibbasampattiyā paṭilābhassa kāraṇabhūtaṃ tvaṃ vandituṃ āgatā upagatāti attho. Yaṃ panettha atthato avibhattaṃ, taṃ tattha tattha vuttameva.

    เอวํ ตาย เปติยา วุเตฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต อิฎฺฐกวติยํ ทีฆราชิยนฺติ คามทฺวยวาสิเกสุ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคเตสุ มนุเสฺสสุ อิมมตฺถํ วิตฺถารโต กเถโนฺต สํเวเชตฺวา สํสารโมจนปาปกมฺมโต โมเจตฺวา อุปาสกภาเว ปติฎฺฐาเปสิฯ สา ปวตฺติ ภิกฺขูสุ ปากฎา ชาตาฯ ตํ ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิ, สา เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสีติฯ

    Evaṃ tāya petiyā vutte āyasmā sāriputto iṭṭhakavatiyaṃ dīgharājiyanti gāmadvayavāsikesu attano santikaṃ upagatesu manussesu imamatthaṃ vitthārato kathento saṃvejetvā saṃsāramocanapāpakammato mocetvā upāsakabhāve patiṭṭhāpesi. Sā pavatti bhikkhūsu pākaṭā jātā. Taṃ bhikkhū bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi, sā desanā mahājanassa sātthikā ahosīti.

    สํสารโมจกเปติวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṃsāramocakapetivatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑. สํสารโมจกเปติวตฺถุ • 1. Saṃsāramocakapetivatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact