Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๙๖] ๖. สมุทฺทชาตกวณฺณนา
[296] 6. Samuddajātakavaṇṇanā
โก นายนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุปนนฺทเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ มหคฺฆโส มหาตโณฺห อโหสิ, สกฎปูเรหิ ปจฺจเยหิปิ สนฺตเปฺปตุํ น สกฺกาฯ วสฺสูปนายิกกาเล ทฺวีสุ ตีสุ วิหาเรสุ วสฺสํ อุปคนฺตฺวา เอกสฺมิํ อุปาหเน ฐเปติ, เอกสฺมิํ กตฺตรยฎฺฐิํ, เอกสฺมิํ อุทกตุมฺพํฯ เอกสฺมิํ สยํ วสติ, ชนปทวิหารํ คนฺตฺวา ปณีตปริกฺขาเร ภิกฺขู ทิสฺวา อริยวํสกถํ กเถตฺวา เตสํ ปํสุกูลานิ คาหาเปตฺวา เตสํ จีวรานิ คณฺหาติ, มตฺติกาปเตฺต คาหาเปตฺวา มนาปมนาเป ปเตฺต ถาลกานิ จ คเหตฺวา ยานกํ ปูเรตฺวา เชตวนํ อาคจฺฉติฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต มหคฺฆโส มหิโจฺฉ อเญฺญสํ ปฎิปตฺติํ กเถตฺวา สมณปริกฺขาเรน ยานกํ ปูเรตฺวา อาคจฺฉตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อยุตฺตํ, ภิกฺขเว, อุปนเนฺทน กตํ ปเรสํ อริยวํสกถํ กเถเนฺตน, ปฐมตรญฺหิ อตฺตนา อปฺปิเจฺฉน หุตฺวา ปจฺฉา ปเรสํ อริยวํสํ กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
Ko nāyanti idaṃ satthā jetavane viharanto upanandattheraṃ ārabbha kathesi. So hi mahagghaso mahātaṇho ahosi, sakaṭapūrehi paccayehipi santappetuṃ na sakkā. Vassūpanāyikakāle dvīsu tīsu vihāresu vassaṃ upagantvā ekasmiṃ upāhane ṭhapeti, ekasmiṃ kattarayaṭṭhiṃ, ekasmiṃ udakatumbaṃ. Ekasmiṃ sayaṃ vasati, janapadavihāraṃ gantvā paṇītaparikkhāre bhikkhū disvā ariyavaṃsakathaṃ kathetvā tesaṃ paṃsukūlāni gāhāpetvā tesaṃ cīvarāni gaṇhāti, mattikāpatte gāhāpetvā manāpamanāpe patte thālakāni ca gahetvā yānakaṃ pūretvā jetavanaṃ āgacchati. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, upanando sakyaputto mahagghaso mahiccho aññesaṃ paṭipattiṃ kathetvā samaṇaparikkhārena yānakaṃ pūretvā āgacchatī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘ayuttaṃ, bhikkhave, upanandena kataṃ paresaṃ ariyavaṃsakathaṃ kathentena, paṭhamatarañhi attanā appicchena hutvā pacchā paresaṃ ariyavaṃsaṃ kathetuṃ vaṭṭatī’’ti.
‘‘อตฺตานเมว ปฐมํ, ปติรูเป นิเวสเย;
‘‘Attānameva paṭhamaṃ, patirūpe nivesaye;
อถญฺญมนุสาเสยฺย, น กิลิเสฺสยฺย ปณฺฑิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๘) –
Athaññamanusāseyya, na kilisseyya paṇḍito’’ti. (dha. pa. 158) –
อิมํ ธมฺมปเท คาถํ เทเสตฺวา อุปนนฺทํ ครหิตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว อุปนโนฺท มหิโจฺฉ, ปุเพฺพ มหาสมุเทฺทปิ อุทกํ รกฺขิตพฺพํ มญฺญี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Imaṃ dhammapade gāthaṃ desetvā upanandaṃ garahitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva upanando mahiccho, pubbe mahāsamuddepi udakaṃ rakkhitabbaṃ maññī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สมุทฺทเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อเถโก กาโก สมุทฺทสฺส อุปริภาเค วิจรโนฺต ‘‘สมุเทฺท อุทกํ ปมาเณน ปิวถ, รกฺขนฺตา ปิวถา’’ติ มจฺฉสงฺฆสกุณสเงฺฆ วาเรโนฺต วาเรโนฺต จรติฯ ตํ ทิสฺวา สมุทฺทเทวตา ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto samuddadevatā hutvā nibbatti. Atheko kāko samuddassa uparibhāge vicaranto ‘‘samudde udakaṃ pamāṇena pivatha, rakkhantā pivathā’’ti macchasaṅghasakuṇasaṅghe vārento vārento carati. Taṃ disvā samuddadevatā paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๓๖.
136.
‘‘โก นายํ โลณโตยสฺมิํ, สมนฺตา ปริธาวติ;
‘‘Ko nāyaṃ loṇatoyasmiṃ, samantā paridhāvati;
มเจฺฉ มกเร จ วาเรติ, อูมีสุ จ วิหญฺญตี’’ติฯ
Macche makare ca vāreti, ūmīsu ca vihaññatī’’ti.
ตตฺถ โก นายนฺติ โก นุ อยํฯ
Tattha ko nāyanti ko nu ayaṃ.
ตํ สุตฺวา สมุทฺทกาโก ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā samuddakāko dutiyaṃ gāthamāha –
๑๓๗.
137.
‘‘อนนฺตปายี สกุโณ, อติโตฺตติ ทิสาสุโต;
‘‘Anantapāyī sakuṇo, atittoti disāsuto;
สมุทฺทํ ปาตุมิจฺฉามิ, สาครํ สริตํปติ’’นฺติฯ
Samuddaṃ pātumicchāmi, sāgaraṃ saritaṃpati’’nti.
ตสฺสโตฺถ – อหํ อนนฺตสาครํ ปาตุมิจฺฉามิ, เตนมฺหิ อนนฺตปายี นาม สกุโณ มหติยาปิ อปูรณิยา ตณฺหาย สมนฺนาคตตฺตา อติโตฺตติปิ อหํ ทิสาสุ สุโต วิสฺสุโต ปากโฎ, สฺวาหํ อิมํ สกลสมุทฺทํ สุนฺทรานํ รตนานํ อากรตฺตา สาคเรน วา ขตตฺตา สาครํ สริตานํ ปติภาเวน สริตํปติํ ปาตุมิจฺฉามีติฯ
Tassattho – ahaṃ anantasāgaraṃ pātumicchāmi, tenamhi anantapāyī nāma sakuṇo mahatiyāpi apūraṇiyā taṇhāya samannāgatattā atittotipi ahaṃ disāsu suto vissuto pākaṭo, svāhaṃ imaṃ sakalasamuddaṃ sundarānaṃ ratanānaṃ ākarattā sāgarena vā khatattā sāgaraṃ saritānaṃ patibhāvena saritaṃpatiṃ pātumicchāmīti.
ตํ สุตฺวา สมุทฺทเทวตา ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā samuddadevatā tatiyaṃ gāthamāha –
๑๓๘.
138.
‘‘โส อยํ หายติ เจว, ปูรเต จ มโหทธิ;
‘‘So ayaṃ hāyati ceva, pūrate ca mahodadhi;
นาสฺส นายติ ปีตโนฺต, อเปโยฺย กิร สาคโร’’ติฯ
Nāssa nāyati pītanto, apeyyo kira sāgaro’’ti.
ตตฺถ โส อยํ หายติ เจวาติ อุทกสฺส โอสกฺกนเวลาย หายติ, นิกฺขมนเวลาย ปูรติฯ นาสฺส นายตีติ อสฺส มหาสมุทฺทสฺส สเจปิ นํ สกลโลโก ปิเวยฺย, ตถาปิ ‘‘อิโต เอตฺตกํ นาม อุทกํ ปีต’’นฺติ ปริยโนฺต น ปญฺญายติฯ อเปโยฺย กิราติ เอโส กิร สาคโร น สกฺกา เกนจิ อุทกํ เขเปตฺวา ปาตุนฺติฯ
Tattha so ayaṃ hāyati cevāti udakassa osakkanavelāya hāyati, nikkhamanavelāya pūrati. Nāssa nāyatīti assa mahāsamuddassa sacepi naṃ sakalaloko piveyya, tathāpi ‘‘ito ettakaṃ nāma udakaṃ pīta’’nti pariyanto na paññāyati. Apeyyo kirāti eso kira sāgaro na sakkā kenaci udakaṃ khepetvā pātunti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา สา เภรวรูปารมฺมณํ ทเสฺสตฺวา สมุทฺทกากํ ปลาเปสิฯ
Evañca pana vatvā sā bheravarūpārammaṇaṃ dassetvā samuddakākaṃ palāpesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สมุทฺทกาโก อุปนโนฺท อโหสิ, เทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā samuddakāko upanando ahosi, devatā pana ahameva ahosi’’nti.
สมุทฺทชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Samuddajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๙๖. สมุทฺทชาตกํ • 296. Samuddajātakaṃ