Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๖๖] ๓. สมุทฺทวาณิชชาตกวณฺณนา

    [466] 3. Samuddavāṇijajātakavaṇṇanā

    กสนฺติ วปนฺติ เต ชนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส ปญฺจ กุลสตานิ คเหตฺวา นิรเย ปติตภาวํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ อคฺคสาวเกสุ ปริสํ คเหตฺวา ปกฺกเนฺตสุ โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุณฺหโลหิเต มุขโต นิกฺขเนฺต พลวเวทนาปีฬิโต ตถาคตสฺส คุณํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘อหเมว นว มาเส ตถาคตสฺส อนตฺถํ จิเนฺตสิํ, สตฺถุ ปน มยิ ปาปจิตฺตํ นาม นตฺถิ, อสีติมหาเถรานมฺปิ มยิ อาฆาโต นาม นตฺถิ, มยา กตกเมฺมน อหเมว อิทานิ อนาโถ ชาโต, สตฺถาราปิมฺหิ วิสฺสโฎฺฐ มหาเถเรหิปิ ญาติเสเฎฺฐน ราหุลเตฺถเรนปิ สกฺยราชกุเลหิปิ, คนฺตฺวา สตฺถารํ ขมาเปสฺสามี’’ติ ปริสาย สญฺญํ ทตฺวา อตฺตานํ ปญฺจเกน คาหาเปตฺวา รตฺติํ รตฺติํ คจฺฉโนฺต โกสลรฎฺฐํ สมฺปาปุณิฯ อานนฺทเตฺถโร สตฺถุ อาโรเจสิ ‘‘เทวทโตฺต กิร, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ขมาเปตุํ อาคจฺฉตี’’ติฯ ‘‘อานนฺท, เทวทโตฺต มม ทสฺสนํ น ลภิสฺสตี’’ติฯ

    Kasantivapanti te janāti idaṃ satthā jetavane viharanto devadattassa pañca kulasatāni gahetvā niraye patitabhāvaṃ ārabbha kathesi. So hi aggasāvakesu parisaṃ gahetvā pakkantesu sokaṃ sandhāretuṃ asakkonto uṇhalohite mukhato nikkhante balavavedanāpīḷito tathāgatassa guṇaṃ anussaritvā ‘‘ahameva nava māse tathāgatassa anatthaṃ cintesiṃ, satthu pana mayi pāpacittaṃ nāma natthi, asītimahātherānampi mayi āghāto nāma natthi, mayā katakammena ahameva idāni anātho jāto, satthārāpimhi vissaṭṭho mahātherehipi ñātiseṭṭhena rāhulattherenapi sakyarājakulehipi, gantvā satthāraṃ khamāpessāmī’’ti parisāya saññaṃ datvā attānaṃ pañcakena gāhāpetvā rattiṃ rattiṃ gacchanto kosalaraṭṭhaṃ sampāpuṇi. Ānandatthero satthu ārocesi ‘‘devadatto kira, bhante, tumhākaṃ khamāpetuṃ āgacchatī’’ti. ‘‘Ānanda, devadatto mama dassanaṃ na labhissatī’’ti.

    อถ ตสฺมิํ สาวตฺถินครทฺวารํ สมฺปเตฺต ปุน เถโร อาโรเจสิ, ภควาปิ ตเถว อวจฯ ตสฺส เชตวเน โปกฺขรณิยา สมีปํ อาคตสฺส ปาปํ มตฺถกํ ปาปุณิ, สรีเร ฑาโห อุปฺปชฺชิ, นฺหตฺวา ปานียํ ปิวิตุกาโม หุตฺวา ‘‘มญฺจกโต มํ อาวุโส โอตาเรถ, ปานียํ ปิวิสฺสามี’’ติ อาหฯ ตสฺส โอตาเรตฺวา ภูมิยํ ฐปิตมตฺตสฺส จิตฺตสฺสาเท อลเทฺธเยว มหาปถวี วิวรมทาสิฯ ตาวเทว ตํ อวีจิโต อคฺคิชาลา อุฎฺฐาย ปริกฺขิปิตฺวา คณฺหิฯ โส ‘‘ปาปกมฺมํ เม มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ ตถาคตสฺส คุเณ อนุสฺสริตฺวา –

    Atha tasmiṃ sāvatthinagaradvāraṃ sampatte puna thero ārocesi, bhagavāpi tatheva avaca. Tassa jetavane pokkharaṇiyā samīpaṃ āgatassa pāpaṃ matthakaṃ pāpuṇi, sarīre ḍāho uppajji, nhatvā pānīyaṃ pivitukāmo hutvā ‘‘mañcakato maṃ āvuso otāretha, pānīyaṃ pivissāmī’’ti āha. Tassa otāretvā bhūmiyaṃ ṭhapitamattassa cittassāde aladdheyeva mahāpathavī vivaramadāsi. Tāvadeva taṃ avīcito aggijālā uṭṭhāya parikkhipitvā gaṇhi. So ‘‘pāpakammaṃ me matthakaṃ patta’’nti tathāgatassa guṇe anussaritvā –

    ‘‘อิเมหิ อฎฺฐีหิ ตมคฺคปุคฺคลํ, เทวาติเทวํ นรทมฺมสารถิํ;

    ‘‘Imehi aṭṭhīhi tamaggapuggalaṃ, devātidevaṃ naradammasārathiṃ;

    สมนฺตจกฺขุํ สตปุญฺญลกฺขณํ, ปาเณหิ พุทฺธํ สรณํ อุเปมี’’ติฯ (มิ. ป. ๔.๑.๓) –

    Samantacakkhuṃ satapuññalakkhaṇaṃ, pāṇehi buddhaṃ saraṇaṃ upemī’’ti. (mi. pa. 4.1.3) –

    อิมาย คาถาย สรเณ ปติฎฺฐหโนฺต อวีจิปรายโณ อโหสิฯ ตสฺส ปน ปญฺจ อุปฎฺฐากกุลสตานิ อเหสุํฯ ตานิปิ ตปฺปกฺขิกานิ หุตฺวา ทสพลํ อโกฺกสิตฺวา อวีจิมฺหิเยว นิพฺพตฺติํสุฯ เอวํ โส ตานิ ปญฺจ กุลสตานิ คณฺหิตฺวา อวีจิมฺหิ ปติฎฺฐิโตฯ

    Imāya gāthāya saraṇe patiṭṭhahanto avīciparāyaṇo ahosi. Tassa pana pañca upaṭṭhākakulasatāni ahesuṃ. Tānipi tappakkhikāni hutvā dasabalaṃ akkositvā avīcimhiyeva nibbattiṃsu. Evaṃ so tāni pañca kulasatāni gaṇhitvā avīcimhi patiṭṭhito.

    อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต ปาโป ลาภสกฺการคิทฺธตาย สมฺมาสมฺพุเทฺธ อฎฺฐาเน โกปํ พนฺธิตฺวา อนาคตภยมโนโลเกตฺวา ปญฺจหิ กุลสเตหิ สทฺธิํ อวีจิปรายโณ ชาโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น ภิกฺขเว, อิทาเนว เทวทโตฺต ลาภสกฺการคิโทฺธ หุตฺวา อนาคตภยํ น โอโลเกสิ, ปุเพฺพปิ อนาคตภยํ อโนโลเกตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนสุขคิเทฺธน สทฺธิํ ปริสาย มหาวินาสํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto pāpo lābhasakkāragiddhatāya sammāsambuddhe aṭṭhāne kopaṃ bandhitvā anāgatabhayamanoloketvā pañcahi kulasatehi saddhiṃ avīciparāyaṇo jāto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na bhikkhave, idāneva devadatto lābhasakkāragiddho hutvā anāgatabhayaṃ na olokesi, pubbepi anāgatabhayaṃ anoloketvā paccuppannasukhagiddhena saddhiṃ parisāya mahāvināsaṃ patto’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิโต อวิทูเร กุลสหสฺสนิวาโส มหาวฑฺฒกีคาโม อโหสิฯ ตตฺถ วฑฺฒกี ‘‘ตุมฺหากํ มญฺจํ กริสฺสาม, ปีฐํ กริสฺสาม, เคหํ กริสฺสามา’’ติ วตฺวา มนุสฺสานํ หตฺถโต พหุํ อิณํ คเหตฺวา กิญฺจิ กาตุํ น สกฺขิํสุฯ มนุสฺสา ทิฎฺฐทิเฎฺฐ วฑฺฒกี โจเทนฺติ ปลิพุทฺธนฺติฯ เต อิณายิเกหิ อุปทฺทุตา สุขํ วสิตุํ อสโกฺกนฺตา ‘‘วิเทสํ คนฺตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสิสฺสามา’’ติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา รุเกฺข ฉินฺทิตฺวา มหติํ นาวํ พนฺธิตฺวา นทิํ โอตาเรตฺวา อาหริตฺวา คามโต คาวุตฑฺฒโยชนมเตฺต ฐาเน ฐเปตฺวา อฑฺฒรตฺตสมเย คามํ อาคนฺตฺวา ปุตฺตทารมาทาย นาวฎฺฐานํ คนฺตฺวา นาวํ อารุยฺห อนุกฺกเมน มหาสมุทฺทํ ปวิสิตฺวา วาตเวเคน วิจรนฺตา สมุทฺทมเชฺฌ เอกํ ทีปกํ ปาปุณิํสุฯ ตสฺมิํ ปน ทีปเก สยํชาตสาลิอุจฺฉุกทลิอมฺพชมฺพุปนสตาลนาฬิเกราทีนิ วิวิธผลานิ อตฺถิ, อญฺญตโร ปภินฺนนาโว ปุริโส ปฐมตรํ ตํ ทีปกํ ปตฺวา สาลิภตฺตํ ภุญฺชมาโน อุจฺฉุอาทีนิ ขาทมาโน ถูลสรีโร นโคฺค ปรูฬฺหเกสมสฺสุ ตสฺมิํ ทีปเก ปฎิวสติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasito avidūre kulasahassanivāso mahāvaḍḍhakīgāmo ahosi. Tattha vaḍḍhakī ‘‘tumhākaṃ mañcaṃ karissāma, pīṭhaṃ karissāma, gehaṃ karissāmā’’ti vatvā manussānaṃ hatthato bahuṃ iṇaṃ gahetvā kiñci kātuṃ na sakkhiṃsu. Manussā diṭṭhadiṭṭhe vaḍḍhakī codenti palibuddhanti. Te iṇāyikehi upaddutā sukhaṃ vasituṃ asakkontā ‘‘videsaṃ gantvā yattha katthaci vasissāmā’’ti araññaṃ pavisitvā rukkhe chinditvā mahatiṃ nāvaṃ bandhitvā nadiṃ otāretvā āharitvā gāmato gāvutaḍḍhayojanamatte ṭhāne ṭhapetvā aḍḍharattasamaye gāmaṃ āgantvā puttadāramādāya nāvaṭṭhānaṃ gantvā nāvaṃ āruyha anukkamena mahāsamuddaṃ pavisitvā vātavegena vicarantā samuddamajjhe ekaṃ dīpakaṃ pāpuṇiṃsu. Tasmiṃ pana dīpake sayaṃjātasāliucchukadaliambajambupanasatālanāḷikerādīni vividhaphalāni atthi, aññataro pabhinnanāvo puriso paṭhamataraṃ taṃ dīpakaṃ patvā sālibhattaṃ bhuñjamāno ucchuādīni khādamāno thūlasarīro naggo parūḷhakesamassu tasmiṃ dīpake paṭivasati.

    วฑฺฒกี จินฺตยิํสุ ‘‘สเจ อยํ ทีปโก รกฺขสปริคฺคหิโต ภวิสฺสติ, สเพฺพปิ อเมฺห วินาสํ ปาปุณิสฺสาม, ปริคฺคณฺหิสฺสาม ตาว น’’นฺติฯ อถ สตฺตฎฺฐ ปุริสา สูรา พลวโนฺต สนฺนทฺธปญฺจาวุธา หุตฺวา โอตริตฺวา ทีปกํ ปริคฺคณฺหิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ โส ปุริโส ภุตฺตปาตราโส อุจฺฉุรสํ ปิวิตฺวา สุขปฺปโตฺต รมณีเย ปเทเส รชตปฎฺฎสทิเส วาลุกตเล สีตจฺฉายาย อุตฺตานโก นิปชฺชิตฺวา ‘‘ชมฺพุทีปวาสิโน กสนฺตา วปนฺตา เอวรูปํ สุขํ น ลภนฺติ, ชมฺพุทีปโต มยฺหํ อยเมว ทีปโก วร’’นฺติ คายมาโน อุทานํ อุทาเนสิฯ อถ สตฺถา ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘โส ภิกฺขเว ปุริโส อิมํ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ ทเสฺสโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Vaḍḍhakī cintayiṃsu ‘‘sace ayaṃ dīpako rakkhasapariggahito bhavissati, sabbepi amhe vināsaṃ pāpuṇissāma, pariggaṇhissāma tāva na’’nti. Atha sattaṭṭha purisā sūrā balavanto sannaddhapañcāvudhā hutvā otaritvā dīpakaṃ pariggaṇhiṃsu. Tasmiṃ khaṇe so puriso bhuttapātarāso ucchurasaṃ pivitvā sukhappatto ramaṇīye padese rajatapaṭṭasadise vālukatale sītacchāyāya uttānako nipajjitvā ‘‘jambudīpavāsino kasantā vapantā evarūpaṃ sukhaṃ na labhanti, jambudīpato mayhaṃ ayameva dīpako vara’’nti gāyamāno udānaṃ udānesi. Atha satthā bhikkhū āmantetvā ‘‘so bhikkhave puriso imaṃ udānaṃ udānesī’’ti dassento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๒๕.

    25.

    ‘‘กสนฺติ วปนฺติ เต ชนา, มนุชา กมฺมผลูปชีวิโน;

    ‘‘Kasanti vapanti te janā, manujā kammaphalūpajīvino;

    นยิมสฺส ทีปกสฺส ภาคิโน, ชมฺพุทีปา อิทเมว โน วร’’นฺติฯ

    Nayimassa dīpakassa bhāgino, jambudīpā idameva no vara’’nti.

    ตตฺถ เต ชนาติ เต ชมฺพุทีปวาสิโน ชนาฯ กมฺมผลูปชีวิโนติ นานากมฺมานํ ผลูปชีวิโน สตฺตาฯ

    Tattha te janāti te jambudīpavāsino janā. Kammaphalūpajīvinoti nānākammānaṃ phalūpajīvino sattā.

    อถ เต ทีปกํ ปริคฺคณฺหนฺตา ปุริสา ตสฺส คีตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘มนุสฺสสโทฺท วิย สุยฺยติ, ชานิสฺสาม น’’นฺติ สทฺทานุสาเรน คนฺตฺวา ตํ ปุริสํ ทิสฺวา ‘‘ยโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ ภีตตสิตา สเร สนฺนหิํสุฯ โสปิ เต ทิสฺวา อตฺตโน วธภเยน ‘‘นาหํ, สามิ, ยโกฺข, ปุริโสมฺหิ, ชีวิตํ เม เทถา’’ติ ยาจโนฺต ‘‘ปุริสา นาม ตุมฺหาทิสา นคฺคา น โหนฺตี’’ติ วุเตฺต ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวา มนุสฺสภาวํ วิญฺญาเปสิฯ เต ตํ ปุริสํ อุปสงฺกมิตฺวา สโมฺมทนียํ กถํ สุตฺวา ตสฺส ตตฺถ อาคตนิยามํ ปุจฺฉิํสุฯ โสปิ สพฺพํ เตสํ กเถตฺวา ‘‘ตุเมฺห อตฺตโน ปุญฺญสมฺปตฺติยา อิธาคตา , อยํ อุตฺตมทีโป, น เอตฺถ สหเตฺถน กมฺมํ กตฺวา ชีวนฺติ, สยํชาตสาลีนเญฺจว อุจฺฉุอาทีนเญฺจตฺถ อโนฺต นตฺถีติ อนุกฺกณฺฐนฺตา วสถา’’ติ อาหฯ อิธ ปน วสนฺตานํ อมฺหากํ อโญฺญ ปริปโนฺถ นตฺถิ, อญฺญํ ภยํ เอตฺถ นตฺถิ, อยํ ปน อมนุสฺสปริคฺคหิโต, อมนุสฺสา ตุมฺหากํ อุจฺจารปสฺสาวํ ทิสฺวา กุเชฺฌยฺยุํ, ตสฺมา ตํ กโรนฺตา วาลุกํ วิยูหิตฺวา วาลุกาย ปฎิจฺฉาเทยฺยาถ, เอตฺตกํ อิธ ภยํ, อญฺญํ นตฺถิ, นิจฺจํ อปฺปมตฺตา ภเวยฺยาถาติฯ เต ตตฺถ วาสํ อุปคจฺฉิํสุฯ ตสฺมิํ ปน กุลสหเสฺส ปญฺจนฺนํ ปญฺจนฺนํ กุลสตานํ เชฎฺฐกา เทฺว วฑฺฒกี อเหสุํฯ เตสุ เอโก พาโล อโหสิ รสคิโทฺธ, เอโก ปณฺฑิโต รเสสุ อนลฺลีโนฯ

    Atha te dīpakaṃ pariggaṇhantā purisā tassa gītasaddaṃ sutvā ‘‘manussasaddo viya suyyati, jānissāma na’’nti saddānusārena gantvā taṃ purisaṃ disvā ‘‘yakkho bhavissatī’’ti bhītatasitā sare sannahiṃsu. Sopi te disvā attano vadhabhayena ‘‘nāhaṃ, sāmi, yakkho, purisomhi, jīvitaṃ me dethā’’ti yācanto ‘‘purisā nāma tumhādisā naggā na hontī’’ti vutte punappunaṃ yācitvā manussabhāvaṃ viññāpesi. Te taṃ purisaṃ upasaṅkamitvā sammodanīyaṃ kathaṃ sutvā tassa tattha āgataniyāmaṃ pucchiṃsu. Sopi sabbaṃ tesaṃ kathetvā ‘‘tumhe attano puññasampattiyā idhāgatā , ayaṃ uttamadīpo, na ettha sahatthena kammaṃ katvā jīvanti, sayaṃjātasālīnañceva ucchuādīnañcettha anto natthīti anukkaṇṭhantā vasathā’’ti āha. Idha pana vasantānaṃ amhākaṃ añño paripantho natthi, aññaṃ bhayaṃ ettha natthi, ayaṃ pana amanussapariggahito, amanussā tumhākaṃ uccārapassāvaṃ disvā kujjheyyuṃ, tasmā taṃ karontā vālukaṃ viyūhitvā vālukāya paṭicchādeyyātha, ettakaṃ idha bhayaṃ, aññaṃ natthi, niccaṃ appamattā bhaveyyāthāti. Te tattha vāsaṃ upagacchiṃsu. Tasmiṃ pana kulasahasse pañcannaṃ pañcannaṃ kulasatānaṃ jeṭṭhakā dve vaḍḍhakī ahesuṃ. Tesu eko bālo ahosi rasagiddho, eko paṇḍito rasesu anallīno.

    อปรภาเค สเพฺพปิ เต ตตฺถ สุขํ วสนฺตา ถูลสรีรา หุตฺวา จินฺตยิํสุ ‘‘จิรํ ปีตา โน สุรา, อุจฺฉุรเสน เมรยํ กตฺวา ปิวิสฺสามา’’ติฯ เต เมรยํ กาเรตฺวา ปิวิตฺวา มทวเสน คายนฺตา นจฺจนฺตา กีฬนฺตา ปมตฺตา ตตฺถ ตตฺถ อุจฺจารปสฺสาวํ กตฺวา อปฺปฎิจฺฉาเทตฺวา ทีปกํ เชคุจฺฉํ ปฎิกูลํ กริํสุฯ เทวตา ‘‘อิเม อมฺหากํ กีฬามณฺฑลํ ปฎิกูลํ กโรนฺตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘มหาสมุทฺทํ อุตฺตราเปตฺวา ทีปกโธวนํ กริสฺสามา’’ติ มเนฺตตฺวา ‘‘อยํ กาฬปโกฺข, อชฺช อมฺหากํ สมาคโม จ ภิโนฺน, อิโต ทานิ ปนฺนรสเม ทิวเส ปุณฺณมีอุโปสถทิวเส จนฺทสฺสุคฺคมนเวลาย สมุทฺทํ อุพฺพเตฺตตฺวา สเพฺพปิเม ฆาเตสฺสามา’’ติ ทิวสํ ฐปยิํสุฯ อถ เนสํ อนฺตเร เอโก ธมฺมิโก เทวปุโตฺต ‘‘มา อิเม มม ปสฺสนฺตสฺส นสฺสิํสู’’ติ อนุกมฺปาย เตสุ สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา ฆรทฺวาเร สุขกถาย นิสิเนฺนสุ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต สกลทีปํ เอโกภาสํ กตฺวา อุตฺตราย ทิสาย อากาเส ฐตฺวา ‘‘อโมฺภ วฑฺฒกี, เทวตา ตุมฺหากํ กุทฺธาฯ อิมสฺมิํ ฐาเน มา วสิตฺถ, อิโต อฑฺฒมาสจฺจเยน หิ เทวตา สมุทฺทํ อุพฺพเตฺตตฺวา สเพฺพว ตุเมฺห ฆาเตสฺสนฺติ, อิโต นิกฺขมิตฺวา ปลายถา’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Aparabhāge sabbepi te tattha sukhaṃ vasantā thūlasarīrā hutvā cintayiṃsu ‘‘ciraṃ pītā no surā, ucchurasena merayaṃ katvā pivissāmā’’ti. Te merayaṃ kāretvā pivitvā madavasena gāyantā naccantā kīḷantā pamattā tattha tattha uccārapassāvaṃ katvā appaṭicchādetvā dīpakaṃ jegucchaṃ paṭikūlaṃ kariṃsu. Devatā ‘‘ime amhākaṃ kīḷāmaṇḍalaṃ paṭikūlaṃ karontī’’ti kujjhitvā ‘‘mahāsamuddaṃ uttarāpetvā dīpakadhovanaṃ karissāmā’’ti mantetvā ‘‘ayaṃ kāḷapakkho, ajja amhākaṃ samāgamo ca bhinno, ito dāni pannarasame divase puṇṇamīuposathadivase candassuggamanavelāya samuddaṃ ubbattetvā sabbepime ghātessāmā’’ti divasaṃ ṭhapayiṃsu. Atha nesaṃ antare eko dhammiko devaputto ‘‘mā ime mama passantassa nassiṃsū’’ti anukampāya tesu sāyamāsaṃ bhuñjitvā gharadvāre sukhakathāya nisinnesu sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito sakaladīpaṃ ekobhāsaṃ katvā uttarāya disāya ākāse ṭhatvā ‘‘ambho vaḍḍhakī, devatā tumhākaṃ kuddhā. Imasmiṃ ṭhāne mā vasittha, ito aḍḍhamāsaccayena hi devatā samuddaṃ ubbattetvā sabbeva tumhe ghātessanti, ito nikkhamitvā palāyathā’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๒๖.

    26.

    ‘‘ติปญฺจรตฺตูปคตมฺหิ จเนฺท, เวโค มหา เหหิติ สาครสฺส;

    ‘‘Tipañcarattūpagatamhi cande, vego mahā hehiti sāgarassa;

    อุปฺลวิสฺสํ ทีปมิมํ อุฬารํ, มา โว วธี คจฺฉถ เลณมญฺญ’’นฺติฯ

    Uplavissaṃ dīpamimaṃ uḷāraṃ, mā vo vadhī gacchatha leṇamañña’’nti.

    ตตฺถ อุปฺลวิสฺสนฺติ อิมํ ทีปกํ อุปฺลวโนฺต อโชฺฌตฺถรโนฺต อภิภวิสฺสติฯ มา โว วธีติ โส สาครเวโค ตุเมฺห มา วธิฯ

    Tattha uplavissanti imaṃ dīpakaṃ uplavanto ajjhottharanto abhibhavissati. Mā vo vadhīti so sāgaravego tumhe mā vadhi.

    อิติ โส เตสํ โอวาทํ ทตฺวา อตฺตโน ฐานเมว คโตฯ ตสฺมิํ คเต อปโร สาหสิโก กกฺขโฬ เทวปุโตฺต ‘‘อิเม อิมสฺส วจนํ คเหตฺวา ปลาเยยฺยุํ, อหํ เนสํ คมนํ นิวาเรตฺวา สเพฺพปิเม มหาวินาสํ ปาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทิพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต สกลทีปํ เอโกภาสํ กโรโนฺต อาคนฺตฺวา ทกฺขิณาย ทิสาย อากาเส ฐตฺวา ‘‘เอโก เทวปุโตฺต อิธาคโต, โน’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาคโต’’ติ วุเตฺต ‘‘โส โว กิํ กเถสี’’ติ วตฺวา ‘‘อิมํ นาม, สามี’’ติ วุเตฺต ‘‘โส ตุมฺหากํ อิธ นิวาสํ น อิจฺฉติ, โทเสน กเถติ, ตุเมฺห อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา อิเธว วสถา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Iti so tesaṃ ovādaṃ datvā attano ṭhānameva gato. Tasmiṃ gate aparo sāhasiko kakkhaḷo devaputto ‘‘ime imassa vacanaṃ gahetvā palāyeyyuṃ, ahaṃ nesaṃ gamanaṃ nivāretvā sabbepime mahāvināsaṃ pāpessāmī’’ti cintetvā dibbālaṅkārapaṭimaṇḍito sakaladīpaṃ ekobhāsaṃ karonto āgantvā dakkhiṇāya disāya ākāse ṭhatvā ‘‘eko devaputto idhāgato, no’’ti pucchitvā ‘‘āgato’’ti vutte ‘‘so vo kiṃ kathesī’’ti vatvā ‘‘imaṃ nāma, sāmī’’ti vutte ‘‘so tumhākaṃ idha nivāsaṃ na icchati, dosena katheti, tumhe aññattha agantvā idheva vasathā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –

    ๒๗.

    27.

    ‘‘น ชาตุยํ สาครวาริเวโค, อุปฺลวิสฺสํ ทีปมิมํ อุฬารํ;

    ‘‘Na jātuyaṃ sāgaravārivego, uplavissaṃ dīpamimaṃ uḷāraṃ;

    ตํ เม นิมิเตฺตหิ พหูหิ ทิฎฺฐํ, มา เภถ กิํ โสจถ โมทถโวฺหฯ

    Taṃ me nimittehi bahūhi diṭṭhaṃ, mā bhetha kiṃ socatha modathavho.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘ปหูตภกฺขํ พหุอนฺนปานํ, ปตฺตตฺถ อาวาสมิมํ อุฬารํ;

    ‘‘Pahūtabhakkhaṃ bahuannapānaṃ, pattattha āvāsamimaṃ uḷāraṃ;

    น โว ภยํ ปฎิปสฺสามิ กิญฺจิ, อาปุตฺตปุเตฺตหิ ปโมทถโวฺห’’ติฯ

    Na vo bhayaṃ paṭipassāmi kiñci, āputtaputtehi pamodathavho’’ti.

    ตตฺถ น ชาตุยนฺติ น ชาตุ อยํฯ มา เภถาติ มา ภายิตฺถฯ โมทถโวฺหติ ปโมทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา โหถฯ อาปุตฺตปุเตฺตหีติ ยาว ปุตฺตานมฺปิ ปุเตฺตหิ ปโมทถ, นตฺถิ โว อิมสฺมิํ ฐาเน ภยนฺติฯ

    Tattha na jātuyanti na jātu ayaṃ. Mā bhethāti mā bhāyittha. Modathavhoti pamoditā pītisomanassajātā hotha. Āputtaputtehīti yāva puttānampi puttehi pamodatha, natthi vo imasmiṃ ṭhāne bhayanti.

    เอวํ โส อิมาหิ ทฺวีหิ คาถาหิ เต อสฺสาเสตฺวา ปกฺกามิฯ ตสฺส ปกฺกนฺตกาเล ธมฺมิกเทวปุตฺตสฺส วจนํ อนาทิยโนฺต พาลวฑฺฒกี ‘‘สุณนฺตุ เม, โภโนฺต, วจน’’นฺติ เสสวฑฺฒกี อามเนฺตตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –

    Evaṃ so imāhi dvīhi gāthāhi te assāsetvā pakkāmi. Tassa pakkantakāle dhammikadevaputtassa vacanaṃ anādiyanto bālavaḍḍhakī ‘‘suṇantu me, bhonto, vacana’’nti sesavaḍḍhakī āmantetvā pañcamaṃ gāthamāha –

    ๒๙.

    29.

    ‘‘โย เทโวยํ ทกฺขิณายํ ทิสายํ, เขมนฺติ ปโกฺกสติ ตสฺส สจฺจํ;

    ‘‘Yo devoyaṃ dakkhiṇāyaṃ disāyaṃ, khemanti pakkosati tassa saccaṃ;

    น อุตฺตโร เวทิ ภยาภยสฺส, มา เภถ กิํ โสจถ โมทถโวฺห’’ติฯ

    Na uttaro vedi bhayābhayassa, mā bhetha kiṃ socatha modathavho’’ti.

    ตตฺถ ทกฺขิณายนฺติ ทกฺขิณาย, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha dakkhiṇāyanti dakkhiṇāya, ayameva vā pāṭho.

    ตํ สุตฺวา รสคิทฺธา ปญฺจสตา วฑฺฒกี ตสฺส พาลสฺส วจนํ อาทิยิํสุฯ อิตโร ปน ปณฺฑิตวฑฺฒกี ตสฺส วจนํ อนาทิยโนฺต เต วฑฺฒกี อามเนฺตตฺวา จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā rasagiddhā pañcasatā vaḍḍhakī tassa bālassa vacanaṃ ādiyiṃsu. Itaro pana paṇḍitavaḍḍhakī tassa vacanaṃ anādiyanto te vaḍḍhakī āmantetvā catasso gāthā abhāsi –

    ๓๐.

    30.

    ‘‘ยถา อิเม วิปฺปวทนฺติ ยกฺขา, เอโก ภยํ สํสติ เขมเมโก;

    ‘‘Yathā ime vippavadanti yakkhā, eko bhayaṃ saṃsati khemameko;

    ตทิงฺฆ มยฺหํ วจนํ สุณาถ, ขิปฺปํ ลหุํ มา วินสฺสิมฺห สเพฺพฯ

    Tadiṅgha mayhaṃ vacanaṃ suṇātha, khippaṃ lahuṃ mā vinassimha sabbe.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘สเพฺพ สมาคมฺม กโรม นาวํ, โทณิํ ทฬฺหํ สพฺพยนฺตูปปนฺนํ;

    ‘‘Sabbe samāgamma karoma nāvaṃ, doṇiṃ daḷhaṃ sabbayantūpapannaṃ;

    สเจ อยํ ทกฺขิโณ สจฺจมาห, โมฆํ ปฎิโกฺกสติ อุตฺตโรยํ;

    Sace ayaṃ dakkhiṇo saccamāha, moghaṃ paṭikkosati uttaroyaṃ;

    สา เจว โน เหหิติ อาปทตฺถา, อิมญฺจ ทีปํ น ปริจฺจเชมฯ

    Sā ceva no hehiti āpadatthā, imañca dīpaṃ na pariccajema.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘สเจ จ โข อุตฺตโร สจฺจมาห, โมฆํ ปฎิโกฺกสติ ทกฺขิโณยํ;

    ‘‘Sace ca kho uttaro saccamāha, moghaṃ paṭikkosati dakkhiṇoyaṃ;

    ตเมว นาวํ อภิรุยฺห สเพฺพ, เอวํ มยํ โสตฺถิ ตเรมุ ปารํฯ

    Tameva nāvaṃ abhiruyha sabbe, evaṃ mayaṃ sotthi taremu pāraṃ.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘น เว สุคณฺหํ ปฐเมน เสฎฺฐํ, กนิฎฺฐมาปาถคตํ คเหตฺวา;

    ‘‘Na ve sugaṇhaṃ paṭhamena seṭṭhaṃ, kaniṭṭhamāpāthagataṃ gahetvā;

    โย จีธ ตจฺฉํ ปวิเจยฺย คณฺหติ, ส เว นโร เสฎฺฐมุเปติ ฐาน’’นฺติฯ

    Yo cīdha tacchaṃ paviceyya gaṇhati, sa ve naro seṭṭhamupeti ṭhāna’’nti.

    ตตฺถ วิปฺปวทนฺตีติ อญฺญมญฺญํ วิรุทฺธํ วทนฺติฯ ลหุนฺติ ปุริมสฺส อตฺถทีปนํฯ โทณินฺติ คมฺภีรํ มหานาวํฯ สพฺพยนฺตูปปนฺนนฺติ สเพฺพหิ ผิยาริตฺตาทีหิ ยเนฺตหิ อุปปนฺนํฯ สา เจว โน เหหิติ อาปทตฺถาติ สา จ โน นาวา ปจฺฉาปิ อุปฺปนฺนาย อาปทาย อตฺถา ภวิสฺสติ, อิมญฺจ ทีปํ น ปริจฺจชิสฺสามฯ ตเรมูติ ตริสฺสามฯ น เว สุคณฺหนฺติ น เว สุเขน คณฺหิตพฺพํฯ เสฎฺฐนฺติ อุตฺตมํ ตถํ สจฺจํฯ กนิฎฺฐนฺติ ปฐมวจนํ อุปาทาย ปจฺฉิมวจนํ กนิฎฺฐํ นามฯ อิธาปิ ‘‘น เว สุคณฺห’’นฺติ อนุวตฺตเตวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อโมฺภ วฑฺฒกี, เยน เกนจิ ปฐเมน วุตฺตวจนํ ‘‘อิทเมว เสฎฺฐํ ตถํ สจฺจ’’นฺติ สุขํ น คณฺหิตพฺพเมว, ยถา จ ตํ, เอวํ กนิฎฺฐํ คจฺฉา วุตฺตวจนมฺปิ ‘‘อิทเมว ตถํ สจฺจ’’นฺติ น คณฺหิตพฺพํฯ ยํ ปน โสตวิสยํ อาปาถคตํ โหติ, ตํ อาปาถคตํ คเหตฺวา โย อิธ ปณฺฑิตปุริโส ปุริมวจนญฺจ ปจฺฉิมวจนญฺจ ปวิเจยฺย วิจินิตฺวา ตีเรตฺวา อุปปริกฺขิตฺวา ตจฺฉํ คณฺหาติ, ยํ ตถํ สจฺจํ สภาวภูตํ, ตเทว ปจฺจกฺขํ กตฺวา คณฺหาติฯ ส เว นโร เสฎฺฐมุเปติ ฐานนฺติ โส อุตฺตมํ ฐานํ อุเปติ อธิคจฺฉติ วินฺทติ ลภตีติฯ

    Tattha vippavadantīti aññamaññaṃ viruddhaṃ vadanti. Lahunti purimassa atthadīpanaṃ. Doṇinti gambhīraṃ mahānāvaṃ. Sabbayantūpapannanti sabbehi phiyārittādīhi yantehi upapannaṃ. Sā ceva no hehiti āpadatthāti sā ca no nāvā pacchāpi uppannāya āpadāya atthā bhavissati, imañca dīpaṃ na pariccajissāma. Taremūti tarissāma. Na ve sugaṇhanti na ve sukhena gaṇhitabbaṃ. Seṭṭhanti uttamaṃ tathaṃ saccaṃ. Kaniṭṭhanti paṭhamavacanaṃ upādāya pacchimavacanaṃ kaniṭṭhaṃ nāma. Idhāpi ‘‘na ve sugaṇha’’nti anuvattateva. Idaṃ vuttaṃ hoti – ambho vaḍḍhakī, yena kenaci paṭhamena vuttavacanaṃ ‘‘idameva seṭṭhaṃ tathaṃ sacca’’nti sukhaṃ na gaṇhitabbameva, yathā ca taṃ, evaṃ kaniṭṭhaṃ gacchā vuttavacanampi ‘‘idameva tathaṃ sacca’’nti na gaṇhitabbaṃ. Yaṃ pana sotavisayaṃ āpāthagataṃ hoti, taṃ āpāthagataṃ gahetvā yo idha paṇḍitapuriso purimavacanañca pacchimavacanañca paviceyya vicinitvā tīretvā upaparikkhitvā tacchaṃ gaṇhāti, yaṃ tathaṃ saccaṃ sabhāvabhūtaṃ, tadeva paccakkhaṃ katvā gaṇhāti. Sa ve naro seṭṭhamupeti ṭhānanti so uttamaṃ ṭhānaṃ upeti adhigacchati vindati labhatīti.

    โส เอวญฺจ ปน วตฺวา อาห – ‘‘อโมฺภ, มยํ ทฺวินฺนมฺปิ เทวตานํ วจนํ กริสฺสาม, นาวํ ตาว สเชฺชยฺยามฯ สเจ ปฐมสฺส วจนํ สจฺจํ ภวิสฺสติ, ตํ นาวํ อภิรุหิตฺวา ปลายิสฺสาม, อถ อิตรสฺส วจนํ สจฺจํ ภวิสฺสติ, นาวํ เอกมเนฺต ฐเปตฺวา อิเธว วสิสฺสามา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต พาลวฑฺฒกี ‘‘อโมฺภ, ตฺวํ อุทกปาติยํ สุสุมารํ ปสฺสสิ, อตีว ทีฆํ ปสฺสสิ, ปฐมเทวปุโตฺต อเมฺหสุ โทสวเสน กเถสิ, ปจฺฉิโม สิเนเหเนว, อิมํ เอวรูปํ วรทีปํ ปหาย กุหิํ คมิสฺสาม, สเจ ปน ตฺวํ คนฺตุกาโม, ตว ปริสํ คณฺหิตฺวา นาวํ กโรหิ, อมฺหากํ นาวาย กิจฺจํ นตฺถี’’ติ อาหฯ ปณฺฑิโต อตฺตโน ปริสํ คเหตฺวา นาวํ สเชฺชตฺวา นาวาย สพฺพูปกรณานิ อาโรเปตฺวา สปริโส นาวาย อฎฺฐาสิฯ

    So evañca pana vatvā āha – ‘‘ambho, mayaṃ dvinnampi devatānaṃ vacanaṃ karissāma, nāvaṃ tāva sajjeyyāma. Sace paṭhamassa vacanaṃ saccaṃ bhavissati, taṃ nāvaṃ abhiruhitvā palāyissāma, atha itarassa vacanaṃ saccaṃ bhavissati, nāvaṃ ekamante ṭhapetvā idheva vasissāmā’’ti. Evaṃ vutte bālavaḍḍhakī ‘‘ambho, tvaṃ udakapātiyaṃ susumāraṃ passasi, atīva dīghaṃ passasi, paṭhamadevaputto amhesu dosavasena kathesi, pacchimo sineheneva, imaṃ evarūpaṃ varadīpaṃ pahāya kuhiṃ gamissāma, sace pana tvaṃ gantukāmo, tava parisaṃ gaṇhitvā nāvaṃ karohi, amhākaṃ nāvāya kiccaṃ natthī’’ti āha. Paṇḍito attano parisaṃ gahetvā nāvaṃ sajjetvā nāvāya sabbūpakaraṇāni āropetvā sapariso nāvāya aṭṭhāsi.

    ตโต ปุณฺณมทิวเส จนฺทสฺส อุคฺคมนเวลาย สมุทฺทโต อูมิ อุตฺตริตฺวา ชาณุกปมาณา หุตฺวา ทีปกํ โธวิตฺวา คตาฯ ปณฺฑิโต สมุทฺทสฺส อุตฺตรณภาวํ ญตฺวา นาวํ วิสฺสเชฺชสิฯ พาลวฑฺฒกิปกฺขิกานิ ปญฺจ กุลสตานิ ‘‘สมุทฺทโต อูมิ ทีปโธวนตฺถาย อาคตา, เอตฺตกเมว เอต’’นฺติ กเถนฺตา นิสีทิํสุฯ ตโต ปฎิปาฎิยา กฎิปฺปมาณา ปุริสปฺปมาณา ตาลปฺปมาณา สตฺตตาลปฺปมาณา สาครอูมิ ทีปกมฺปิ วุยฺหมานา อาคญฺฉิฯ ปณฺฑิโต อุปายกุสลตาย รเส อลโคฺค โสตฺถินา คโต, พาลวฑฺฒกี รสคิเทฺธน อนาคตภยํ อโนโลเกโนฺต ปญฺจหิ กุลสเตหิ สทฺธิํ วินาสํ ปโตฺตฯ

    Tato puṇṇamadivase candassa uggamanavelāya samuddato ūmi uttaritvā jāṇukapamāṇā hutvā dīpakaṃ dhovitvā gatā. Paṇḍito samuddassa uttaraṇabhāvaṃ ñatvā nāvaṃ vissajjesi. Bālavaḍḍhakipakkhikāni pañca kulasatāni ‘‘samuddato ūmi dīpadhovanatthāya āgatā, ettakameva eta’’nti kathentā nisīdiṃsu. Tato paṭipāṭiyā kaṭippamāṇā purisappamāṇā tālappamāṇā sattatālappamāṇā sāgaraūmi dīpakampi vuyhamānā āgañchi. Paṇḍito upāyakusalatāya rase alaggo sotthinā gato, bālavaḍḍhakī rasagiddhena anāgatabhayaṃ anolokento pañcahi kulasatehi saddhiṃ vināsaṃ patto.

    อิโต ปรา สานุสาสนี ตมตฺถํ ทีปยมานา ติโสฺส อภิสมฺพุทฺธคาถา โหนฺติ –

    Ito parā sānusāsanī tamatthaṃ dīpayamānā tisso abhisambuddhagāthā honti –

    ๓๔.

    34.

    ‘‘ยถาปิ เต สาครวาริมเชฺฌ, สกมฺมุนา โสตฺถิ วหิํสุ วาณิชา;

    ‘‘Yathāpi te sāgaravārimajjhe, sakammunā sotthi vahiṃsu vāṇijā;

    อนาคตตฺถํ ปฎิวิชฺฌิยาน, อปฺปมฺปิ นาเจฺจติ ส ภูริปโญฺญฯ

    Anāgatatthaṃ paṭivijjhiyāna, appampi nācceti sa bhūripañño.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘พาลา จ โมเหน รสานุคิทฺธา, อนาคตํ อปฺปฎิวิชฺฌิยตฺถํ;

    ‘‘Bālā ca mohena rasānugiddhā, anāgataṃ appaṭivijjhiyatthaṃ;

    ปจฺจุปฺปเนฺน สีทนฺติ อตฺถชาเต, สมุทฺทมเชฺฌ ยถา เต มนุสฺสาฯ

    Paccuppanne sīdanti atthajāte, samuddamajjhe yathā te manussā.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘อนาคตํ ปฎิกยิราถ กิจฺจํ, ‘มา มํ กิจฺจํ กิจฺจกาเล พฺยเธสิ’;

    ‘‘Anāgataṃ paṭikayirātha kiccaṃ, ‘mā maṃ kiccaṃ kiccakāle byadhesi’;

    ตํ ตาทิสํ ปฎิกตกิจฺจการิํ, น ตํ กิจฺจํ กิจฺจกาเล พฺยเธตี’’ติฯ

    Taṃ tādisaṃ paṭikatakiccakāriṃ, na taṃ kiccaṃ kiccakāle byadhetī’’ti.

    ตตฺถ สกมฺมุนาติ อนาคตภยํ ทิสฺวา ปุเรตรํ กเตน อตฺตโน กเมฺมนฯ โสตฺถิ วหิํสูติ เขเมน คมิํสุฯ วาณิชาติ สมุเทฺท วิจรณภาเวน วฑฺฒกี วุตฺตาฯ ปฎิวิชฺฌิยานาติ เอวํ, ภิกฺขเว , ปฐมตรํ กตฺตพฺพํ อนาคตํ อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา อิธโลเก ภูริปโญฺญ กุลปุโตฺต อปฺปมตฺตกมฺปิ อตฺตโน อตฺถํ น อเจฺจติ นาติวตฺตติ, น หาเปตีติ อโตฺถฯ อปฺปฎิวิชฺฌิยตฺถนฺติ อปฺปฎิวิชฺฌิตฺวา อตฺถํ, ปฐมเมว กตฺตพฺพํ อกตฺวาติ อโตฺถฯ ปจฺจุปฺปเนฺนติ ยทา ตํ อนาคตํ อตฺถชาตํ อุปฺปชฺชติ, ตทา ตสฺมิํ ปจฺจุปฺปเนฺน สีทนฺติ, อเตฺถ ชาเต อตฺตโน ปติฎฺฐํ น ลภนฺติ, สมุเทฺท เต พาลวฑฺฒกี มนุสฺสา วิย วินาสํ ปาปุณนฺติฯ

    Tattha sakammunāti anāgatabhayaṃ disvā puretaraṃ katena attano kammena. Sotthi vahiṃsūti khemena gamiṃsu. Vāṇijāti samudde vicaraṇabhāvena vaḍḍhakī vuttā. Paṭivijjhiyānāti evaṃ, bhikkhave , paṭhamataraṃ kattabbaṃ anāgataṃ atthaṃ paṭivijjhitvā idhaloke bhūripañño kulaputto appamattakampi attano atthaṃ na acceti nātivattati, na hāpetīti attho. Appaṭivijjhiyatthanti appaṭivijjhitvā atthaṃ, paṭhamameva kattabbaṃ akatvāti attho. Paccuppanneti yadā taṃ anāgataṃ atthajātaṃ uppajjati, tadā tasmiṃ paccuppanne sīdanti, atthe jāte attano patiṭṭhaṃ na labhanti, samudde te bālavaḍḍhakī manussā viya vināsaṃ pāpuṇanti.

    อนาคตนฺติ ภิกฺขเว, ปณฺฑิตปุริโส อนาคตํ ปฐมตรํ กตฺตพฺพกิจฺจํ สมฺปรายิกํ วา ทิฎฺฐธมฺมิกํ วา ปฎิกยิราถ, ปุเรตรเมว กเรยฺยฯ กิํการณา? มา มํ กิจฺจํ กิจฺจกาเล พฺยเธสิ, ปุเร กตฺตพฺพญฺหิ ปุเร อกยิรมานํ ปจฺฉา ปจฺจุปฺปนฺนภาวปฺปตฺตํ อตฺตโน กิจฺจกาเล กายจิตฺตาพาเธน พฺยเธติ, ตํ มํ มา พฺยเธสีติ ปฐมเมว นํ ปณฺฑิโต กเรยฺยฯ ตํ ตาทิสนฺติ ยถา ปณฺฑิตํ ปุริสํฯ ปฎิกตกิจฺจการินฺติ ปฎิกเจฺจว กตฺตพฺพกิจฺจการินํฯ ตํ กิจฺจํ กิจฺจกาเลติ อนาคตํ กิจฺจํ กยิรมานํ ปจฺฉา ปจฺจุปฺปนฺนภาวปฺปตฺตํ อตฺตโน กิจฺจกาเล กายจิตฺตาพาธกาเล ตาทิสํ ปุริมํ น พฺยเธติ น พาธติฯ กสฺมา? ปุเรเยว กตตฺตาติฯ

    Anāgatanti bhikkhave, paṇḍitapuriso anāgataṃ paṭhamataraṃ kattabbakiccaṃ samparāyikaṃ vā diṭṭhadhammikaṃ vā paṭikayirātha, puretarameva kareyya. Kiṃkāraṇā? Mā maṃ kiccaṃ kiccakāle byadhesi, pure kattabbañhi pure akayiramānaṃ pacchā paccuppannabhāvappattaṃ attano kiccakāle kāyacittābādhena byadheti, taṃ maṃ mā byadhesīti paṭhamameva naṃ paṇḍito kareyya. Taṃ tādisanti yathā paṇḍitaṃ purisaṃ. Paṭikatakiccakārinti paṭikacceva kattabbakiccakārinaṃ. Taṃ kiccaṃ kiccakāleti anāgataṃ kiccaṃ kayiramānaṃ pacchā paccuppannabhāvappattaṃ attano kiccakāle kāyacittābādhakāle tādisaṃ purimaṃ na byadheti na bādhati. Kasmā? Pureyeva katattāti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต ปจฺจุปฺปนฺนสุเข ลโคฺค อนาคตภยํ อโนโลเกตฺวา สปริโส วินาสํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พาลวฑฺฒกี เทวทโตฺต อโหสิ, ทกฺขิณทิสาย ฐิโต อธมฺมิกเทวปุโตฺต โกกาลิโก, อุตฺตรทิสาย ฐิโต ธมฺมิกเทวปุโตฺต สาริปุโตฺต, ปณฺฑิตวฑฺฒกี ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto paccuppannasukhe laggo anāgatabhayaṃ anoloketvā sapariso vināsaṃ patto’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā bālavaḍḍhakī devadatto ahosi, dakkhiṇadisāya ṭhito adhammikadevaputto kokāliko, uttaradisāya ṭhito dhammikadevaputto sāriputto, paṇḍitavaḍḍhakī pana ahameva ahosi’’nti.

    สมุทฺทวาณิชชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Samuddavāṇijajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๖. สมุทฺทวาณิชชาตกํ • 466. Samuddavāṇijajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact