Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๖๒] ๘. สํวรชาตกวณฺณนา
[462] 8. Saṃvarajātakavaṇṇanā
ชานโนฺต โน มหาราชาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โอสฺสฎฺฐวีริยํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิวาสี กุลปุโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชิตฺวา ลทฺธูปสมฺปโท อาจริยุปชฺฌายวตฺตํ ปูเรโนฺต อุภยานิ ปาติโมกฺขานิ ปคุณานิ กตฺวา ปริปุณฺณปญฺจวโสฺส กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ‘‘อรเญฺญ วสิสฺสามี’’ติ อาจริยุปชฺฌาเย อาปุจฺฉิตฺวา โกสลรเฎฺฐ เอกํ ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ตตฺถ อิริยาปเถ ปสนฺนมนุเสฺสหิ ปณฺณสาลํ กตฺวา อุปฎฺฐิยมาโน วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ยุญฺชโนฺต ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อจฺจารเทฺธน วีริเยน เตมาสํ กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา โอภาสมตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘อทฺธา อหํ สตฺถารา เทสิเตสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ปทปรโม, กิํ เม อรญฺญวาเสน, เชตวนํ คนฺตฺวา ตถาคตสฺส รูปสิริํ ปสฺสโนฺต มธุรธมฺมเทสนํ สุณโนฺต วีตินาเมสฺสามี’’ติฯ โส วีริยํ โอสฺสชิตฺวา ตโต นิกฺขโนฺต อนุปุเพฺพน เชตวนํ คนฺตฺวา อาจริยุปชฺฌาเยหิ เจว สนฺทิฎฺฐสมฺภเตฺตหิ จ อาคมนการณํ ปุโฎฺฐ ตมตฺถํ กเถตฺวา เตหิ ‘‘กสฺมา เอวมกาสี’’ติ ครหิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘กิํ, ภิกฺขเว, อนิจฺฉมานํ ภิกฺขุํ อานยิตฺถา’’ติ วุเตฺต ‘‘อยํ, ภเนฺต, วีริยํ โอสฺสชิตฺวา อาคโต’’ติ อาโรจิเต สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิรา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กสฺมา ภิกฺขุ วีริยํ โอสฺสชิ, อิมสฺมิญฺหิ สาสเน นิพฺพีริยสฺส กุสีตปุคฺคลสฺส อคฺคผลํ อรหตฺตํ นาม นตฺถิ, อารทฺธวีริยา อิมํ ธมฺมํ อาราเธนฺติ, ตฺวํ โข ปน ปุเพฺพ วีริยวา โอวาทกฺขโม, เตเนว การเณน พาราณสิรโญฺญ ปุตฺตสตสฺส สพฺพกนิโฎฺฐ หุตฺวาปิ ปณฺฑิตานํ โอวาเท ฐตฺวา เสตจฺฉตฺตํ ปโตฺตสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Jānanto no mahārājāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ossaṭṭhavīriyaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthivāsī kulaputto satthu dhammadesanaṃ sutvā pabbajitvā laddhūpasampado ācariyupajjhāyavattaṃ pūrento ubhayāni pātimokkhāni paguṇāni katvā paripuṇṇapañcavasso kammaṭṭhānaṃ gahetvā ‘‘araññe vasissāmī’’ti ācariyupajjhāye āpucchitvā kosalaraṭṭhe ekaṃ paccantagāmaṃ gantvā tattha iriyāpathe pasannamanussehi paṇṇasālaṃ katvā upaṭṭhiyamāno vassaṃ upagantvā yuñjanto ghaṭento vāyamanto accāraddhena vīriyena temāsaṃ kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā obhāsamattampi uppādetuṃ asakkonto cintesi ‘‘addhā ahaṃ satthārā desitesu catūsu puggalesu padaparamo, kiṃ me araññavāsena, jetavanaṃ gantvā tathāgatassa rūpasiriṃ passanto madhuradhammadesanaṃ suṇanto vītināmessāmī’’ti. So vīriyaṃ ossajitvā tato nikkhanto anupubbena jetavanaṃ gantvā ācariyupajjhāyehi ceva sandiṭṭhasambhattehi ca āgamanakāraṇaṃ puṭṭho tamatthaṃ kathetvā tehi ‘‘kasmā evamakāsī’’ti garahitvā satthu santikaṃ netvā ‘‘kiṃ, bhikkhave, anicchamānaṃ bhikkhuṃ ānayitthā’’ti vutte ‘‘ayaṃ, bhante, vīriyaṃ ossajitvā āgato’’ti ārocite satthā ‘‘saccaṃ kirā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kasmā bhikkhu vīriyaṃ ossaji, imasmiñhi sāsane nibbīriyassa kusītapuggalassa aggaphalaṃ arahattaṃ nāma natthi, āraddhavīriyā imaṃ dhammaṃ ārādhenti, tvaṃ kho pana pubbe vīriyavā ovādakkhamo, teneva kāraṇena bārāṇasirañño puttasatassa sabbakaniṭṭho hutvāpi paṇḍitānaṃ ovāde ṭhatvā setacchattaṃ pattosī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต สํวรกุมาโร นาม ปุตฺตสตสฺส สพฺพกนิโฎฺฐ อโหสิฯ ราชา เอเกกํ ปุตฺตํ ‘‘สิกฺขิตพฺพยุตฺตกํ สิกฺขาเปถา’’ติ เอเกกสฺส อมจฺจสฺส อทาสิฯ สํวรกุมารสฺส อาจริโย อมโจฺจ โพธิสโตฺต อโหสิ ปณฺฑิโต พฺยโตฺต ราชปุตฺตสฺส ปิตุฎฺฐาเน ฐิโตฯ อมจฺจา สิกฺขิตสิเปฺป ราชปุเตฺต รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา เตสํ ชนปทํ ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ สํวรกุมาโร สพฺพสิปฺปสฺส นิปฺผตฺติํ ปตฺวา โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, สเจ มํ ปิตา ชนปทํ เปเสติ, กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘ตาต, ตฺวํ ชนปเท ทียมาเน ตํ อคฺคเหตฺวา ‘เทว อหํ สพฺพกนิโฎฺฐ, มยิปิ คเต ตุมฺหากํ ปาทมูลํ ตุจฺฉํ ภวิสฺสติ, อหํ ตุมฺหากํ ปาทมูเลเยว วสิสฺสามี’ติ วเทยฺยาสี’’ติฯ อเถกทิวสํ ราชา สํวรกุมารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ ตาต, สิปฺปํ เต นิฎฺฐิต’’นฺติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘ตุยฺหมฺปิ ชนปทํ เทมี’’ติฯ ‘‘เทว ตุมฺหากํ ปาทมูลํ ตุจฺฉํ ภวิสฺสติ, ปาทมูเลเยว วสิสฺสามี’’ติฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย รโญฺญ ปาทมูเลเยว หุตฺวา ปุนปิ โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต อญฺญํ กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘ตาต ราชานํ เอกํ ปุราณุยฺยานํ ยาจาหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ อุยฺยานํ ยาจิตฺวา ตตฺถ ชาตเกหิ ปุปฺผผเลหิ นคเร อิสฺสรชนํ สงฺคณฺหิตฺวา ปุน ‘‘กิํ กโรมี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตาต, ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา อโนฺตนคเร ภตฺตเวตนํ ตฺวเมว เทหี’’ติฯ โส ตถา กตฺวา อโนฺตนคเร กสฺสจิ กิญฺจิ อหาเปตฺวา ภตฺตเวตนํ ทตฺวา ปุน โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิตฺวา ราชานํ วิญฺญาเปตฺวา อโนฺตนิเวสเน ทาสโปริสานมฺปิ หตฺถีนมฺปิ อสฺสานมฺปิ พลกายสฺสปิ วตฺตํ อปริหาเปตฺวา อทาสิ, ติโรชนปเทหิ อาคตานํ ทูตาทีนํ นิวาสฎฺฐานาทีนิ วาณิชานํ สุงฺกนฺติ สพฺพกรณียานิ อตฺตนาว อกาสิฯ เอวํ โส มหาสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สพฺพํ อโนฺตชนญฺจ พหิชนญฺจ นาคเร จ รฎฺฐวาสิโน จ อาคนฺตุเก จ อายวตฺตเน จ เตน เตน สงฺคหวตฺถุนา อาพนฺธิตฺวา สงฺคณฺหิ, สเพฺพสํ ปิโย อโหสิ มนาโปฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente saṃvarakumāro nāma puttasatassa sabbakaniṭṭho ahosi. Rājā ekekaṃ puttaṃ ‘‘sikkhitabbayuttakaṃ sikkhāpethā’’ti ekekassa amaccassa adāsi. Saṃvarakumārassa ācariyo amacco bodhisatto ahosi paṇḍito byatto rājaputtassa pituṭṭhāne ṭhito. Amaccā sikkhitasippe rājaputte rañño dassesuṃ. Rājā tesaṃ janapadaṃ datvā uyyojesi. Saṃvarakumāro sabbasippassa nipphattiṃ patvā bodhisattaṃ pucchi ‘‘tāta, sace maṃ pitā janapadaṃ peseti, kiṃ karomī’’ti? ‘‘Tāta, tvaṃ janapade dīyamāne taṃ aggahetvā ‘deva ahaṃ sabbakaniṭṭho, mayipi gate tumhākaṃ pādamūlaṃ tucchaṃ bhavissati, ahaṃ tumhākaṃ pādamūleyeva vasissāmī’ti vadeyyāsī’’ti. Athekadivasaṃ rājā saṃvarakumāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisinnaṃ pucchi ‘‘kiṃ tāta, sippaṃ te niṭṭhita’’nti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Tuyhampi janapadaṃ demī’’ti. ‘‘Deva tumhākaṃ pādamūlaṃ tucchaṃ bhavissati, pādamūleyeva vasissāmī’’ti. Rājā tussitvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. So tato paṭṭhāya rañño pādamūleyeva hutvā punapi bodhisattaṃ pucchi ‘‘tāta aññaṃ kiṃ karomī’’ti? ‘‘Tāta rājānaṃ ekaṃ purāṇuyyānaṃ yācāhī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti uyyānaṃ yācitvā tattha jātakehi pupphaphalehi nagare issarajanaṃ saṅgaṇhitvā puna ‘‘kiṃ karomī’’ti pucchi. ‘‘Tāta, rājānaṃ āpucchitvā antonagare bhattavetanaṃ tvameva dehī’’ti. So tathā katvā antonagare kassaci kiñci ahāpetvā bhattavetanaṃ datvā puna bodhisattaṃ pucchitvā rājānaṃ viññāpetvā antonivesane dāsaporisānampi hatthīnampi assānampi balakāyassapi vattaṃ aparihāpetvā adāsi, tirojanapadehi āgatānaṃ dūtādīnaṃ nivāsaṭṭhānādīni vāṇijānaṃ suṅkanti sabbakaraṇīyāni attanāva akāsi. Evaṃ so mahāsattassa ovāde ṭhatvā sabbaṃ antojanañca bahijanañca nāgare ca raṭṭhavāsino ca āgantuke ca āyavattane ca tena tena saṅgahavatthunā ābandhitvā saṅgaṇhi, sabbesaṃ piyo ahosi manāpo.
อปรภาเค ราชานํ มรณมเญฺจ นิปนฺนํ อมจฺจา ปุจฺฉิํสุ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ อจฺจเยน เสตจฺฉตฺตํ กสฺส เทมา’’ติ? ‘‘ตาต, มม ปุตฺตา สเพฺพปิ เสตจฺฉตฺตสฺส สามิโนวฯ โย ปน ตุมฺหากํ มนํ คณฺหาติ, ตเสฺสว เสตจฺฉตฺถํ ทเทยฺยาถา’’ติฯ เต ตสฺมิํ กาลกเต ตสฺส สรีรปริหารํ กตฺวา สตฺตเม ทิวเส สนฺนิปติตฺวา ‘‘รญฺญา ‘โย ตุมฺหากํ มนํ คณฺหาติ, ตสฺส เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปยฺยาถา’ติ วุตฺตํ, อมฺหากญฺจ อยํ สํวรกุมาโร มนํ คณฺหาตี’’ติ ญาตเกหิ ปริวาริตา ตสฺส กญฺจนมาลํ เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาปยิํสุฯ สํวรมหาราชา โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ อิตเร เอกูนสตกุมารา ‘‘ปิตา กิร โน กาลกโต, สํวรกุมารสฺส กิร เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปสุํ, โส สพฺพกนิโฎฺฐ, ตสฺส ฉตฺตํ น ปาปุณาติ, สพฺพเชฎฺฐกสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปสฺสามา’’ติ เอกโต อาคนฺตฺวา ‘‘ฉตฺตํ วา โน เทตุ, ยุทฺธํ วา’’ติ สํวรมหาราชสฺส ปณฺณํ เปเสตฺวา นครํ อุปรุนฺธิํสุฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิฯ มหาราช, ตว ภาติเกหิ สทฺธิํ ยุชฺฌนกิจฺจํ นตฺถิ, ตฺวํ ปิตุ สนฺตกํ ธนํ สตโกฎฺฐาเส กาเรตฺวา เอกูนสตํ ภาติกานํ เปเสตฺวา ‘‘อิมํ ตุมฺหากํ โกฎฺฐาสํ ปิตุ สนฺตกํ คณฺหถ, นาหํ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ยุชฺฌามี’’ติ สาสนํ ปหิณาหีติฯ โส ตถา อกาสิฯ อถสฺส สพฺพเชฎฺฐภาติโก อุโปสถกุมาโร นาม เสเส อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาตา, ราชานํ นาม อภิภวิตุํ สมตฺถา นาม นตฺถิ, อยญฺจ โน กนิฎฺฐภาติโก ปฎิสตฺตุปิ หุตฺวา น ติฎฺฐติ, อมฺหากํ ปิตุ สนฺตกํ ธนํ เปเสตฺวา ‘นาหํ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ยุชฺฌามี’ติ เปเสสิ, น โข ปน มยํ สเพฺพปิ เอกกฺขเณ ฉตฺตํ อุสฺสาเปสฺสาม, เอกเสฺสว ฉตฺตํ อุสฺสาเปสฺสาม, อยเมว ราชา โหตุ, เอถ ตํ ปสฺสิตฺวา ราชกุฎุมฺพํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อมฺหากํ ชนปทเมว คจฺฉามา’’ติ อาหฯ อถ เต สเพฺพปิ กุมารา นครทฺวารํ วิวราเปตฺวา ปฎิสตฺตุโน อหุตฺวา นครํ ปวิสิํสุฯ
Aparabhāge rājānaṃ maraṇamañce nipannaṃ amaccā pucchiṃsu ‘‘deva, tumhākaṃ accayena setacchattaṃ kassa demā’’ti? ‘‘Tāta, mama puttā sabbepi setacchattassa sāminova. Yo pana tumhākaṃ manaṃ gaṇhāti, tasseva setacchatthaṃ dadeyyāthā’’ti. Te tasmiṃ kālakate tassa sarīraparihāraṃ katvā sattame divase sannipatitvā ‘‘raññā ‘yo tumhākaṃ manaṃ gaṇhāti, tassa setacchattaṃ ussāpeyyāthā’ti vuttaṃ, amhākañca ayaṃ saṃvarakumāro manaṃ gaṇhātī’’ti ñātakehi parivāritā tassa kañcanamālaṃ setacchattaṃ ussāpayiṃsu. Saṃvaramahārājā bodhisattassa ovāde ṭhatvā dhammena rajjaṃ kāresi. Itare ekūnasatakumārā ‘‘pitā kira no kālakato, saṃvarakumārassa kira setacchattaṃ ussāpesuṃ, so sabbakaniṭṭho, tassa chattaṃ na pāpuṇāti, sabbajeṭṭhakassa chattaṃ ussāpessāmā’’ti ekato āgantvā ‘‘chattaṃ vā no detu, yuddhaṃ vā’’ti saṃvaramahārājassa paṇṇaṃ pesetvā nagaraṃ uparundhiṃsu. Rājā bodhisattassa taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘idāni kiṃ karomā’’ti pucchi. Mahārāja, tava bhātikehi saddhiṃ yujjhanakiccaṃ natthi, tvaṃ pitu santakaṃ dhanaṃ satakoṭṭhāse kāretvā ekūnasataṃ bhātikānaṃ pesetvā ‘‘imaṃ tumhākaṃ koṭṭhāsaṃ pitu santakaṃ gaṇhatha, nāhaṃ tumhehi saddhiṃ yujjhāmī’’ti sāsanaṃ pahiṇāhīti. So tathā akāsi. Athassa sabbajeṭṭhabhātiko uposathakumāro nāma sese āmantetvā ‘‘tātā, rājānaṃ nāma abhibhavituṃ samatthā nāma natthi, ayañca no kaniṭṭhabhātiko paṭisattupi hutvā na tiṭṭhati, amhākaṃ pitu santakaṃ dhanaṃ pesetvā ‘nāhaṃ tumhehi saddhiṃ yujjhāmī’ti pesesi, na kho pana mayaṃ sabbepi ekakkhaṇe chattaṃ ussāpessāma, ekasseva chattaṃ ussāpessāma, ayameva rājā hotu, etha taṃ passitvā rājakuṭumbaṃ paṭicchādetvā amhākaṃ janapadameva gacchāmā’’ti āha. Atha te sabbepi kumārā nagaradvāraṃ vivarāpetvā paṭisattuno ahutvā nagaraṃ pavisiṃsu.
ราชาปิ เตสํ อมเจฺจหิ ปณฺณาการํ คาหาเปตฺวา ปฎิมคฺคํ เปเสติฯ กุมารา นาติมหเนฺตน ปริวาเรน ปตฺติกาว อาคนฺตฺวา ราชนิเวสนํ อภิรุหิตฺวา สํวรมหาราชสฺส นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา นีจาสเน นิสีทิํสุฯ สํวรมหาราชา เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา สีหาสเน นิสีทิ, มหโนฺต ยโส มหนฺตํ สิริโสภคฺคํ อโหสิ, โอโลกิโตโลกิตฎฺฐานํ กมฺปิฯ อุโปสถกุมาโร สํวรมหาราชสฺส สิริวิภวํ โอโลเกตฺวา ‘‘อมฺหากํ ปิตา อตฺตโน อจฺจเยน สํวรกุมารสฺส ราชภาวํ ญตฺวา มเญฺญ อมฺหากํ ชนปเท ทตฺวา อิมสฺส น อทาสี’’ติ จิเนฺตตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Rājāpi tesaṃ amaccehi paṇṇākāraṃ gāhāpetvā paṭimaggaṃ peseti. Kumārā nātimahantena parivārena pattikāva āgantvā rājanivesanaṃ abhiruhitvā saṃvaramahārājassa nipaccakāraṃ dassetvā nīcāsane nisīdiṃsu. Saṃvaramahārājā setacchattassa heṭṭhā sīhāsane nisīdi, mahanto yaso mahantaṃ sirisobhaggaṃ ahosi, olokitolokitaṭṭhānaṃ kampi. Uposathakumāro saṃvaramahārājassa sirivibhavaṃ oloketvā ‘‘amhākaṃ pitā attano accayena saṃvarakumārassa rājabhāvaṃ ñatvā maññe amhākaṃ janapade datvā imassa na adāsī’’ti cintetvā tena saddhiṃ sallapanto tisso gāthā abhāsi –
๙๗.
97.
‘‘ชานโนฺต โน มหาราช, ตว สีลํ ชนาธิโป;
‘‘Jānanto no mahārāja, tava sīlaṃ janādhipo;
อิเม กุมาเร ปูเชโนฺต, น ตํ เกนจิ มญฺญถฯ
Ime kumāre pūjento, na taṃ kenaci maññatha.
๙๘.
98.
‘‘ติฎฺฐเนฺต โน มหาราเช, อทุ เทเว ทิวงฺคเต;
‘‘Tiṭṭhante no mahārāje, adu deve divaṅgate;
ญาตี ตํ สมนุญฺญิํสุ, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโนฯ
Ñātī taṃ samanuññiṃsu, sampassaṃ atthamattano.
๙๙.
99.
‘‘เกน สํวร วเตฺตน, สญฺชาเต อภิติฎฺฐสิ;
‘‘Kena saṃvara vattena, sañjāte abhitiṭṭhasi;
เกน ตํ นาติวตฺตนฺติ, ญาติสงฺฆา สมาคตา’’ติฯ
Kena taṃ nātivattanti, ñātisaṅghā samāgatā’’ti.
ตตฺถ ชานโนฺต โนติ ชานโนฺต นุฯ ชนาธิโปติ อมฺหากํ ปิตา นริโนฺทฯ อิเมติ อิเม เอกูนสเต กุมาเรฯ ปาฬิโปตฺถเกสุ ปน ‘‘อเญฺญ กุมาเร’’ติ ลิขิตํฯ ปูเชโนฺตติ เตน เตน ชนปเทน มาเนโนฺตฯ น ตํ เกนจีติ ขุทฺทเกนาปิ เกนจิ ชนปเทน ตํ ปูเชตพฺพํ น มญฺญิตฺถ, ‘‘อยํ มม อจฺจเยน ราชา ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา มเญฺญ อตฺตโน ปาทมูเลเยว วาเสสีติฯ ติฎฺฐเนฺต โนติ ติฎฺฐเนฺต นุ, ธรมาเนเยว นูติ ปุจฺฉติ, อทุ เทเวติ อุทาหุ อมฺหากํ ปิตริ ทิวงฺคเต อตฺตโน อตฺถํ วุฑฺฒิํ ปสฺสนฺตา สทฺธิํ ราชการเกหิ เนคมชานปเทหิ ญาตโย ตํ ‘‘ราชา โหหี’’ติ สมนุญฺญิํสุฯ วเตฺตนาติ สีลาจาเรนฯ สญฺชาเต อภิติฎฺฐสีติ สมานชาติเก เอกูนสตภาตโร อภิภวิตฺวา ติฎฺฐสิฯ นาติวตฺตนฺตีติ น อภิภวนฺติฯ
Tattha jānanto noti jānanto nu. Janādhipoti amhākaṃ pitā narindo. Imeti ime ekūnasate kumāre. Pāḷipotthakesu pana ‘‘aññe kumāre’’ti likhitaṃ. Pūjentoti tena tena janapadena mānento. Na taṃ kenacīti khuddakenāpi kenaci janapadena taṃ pūjetabbaṃ na maññittha, ‘‘ayaṃ mama accayena rājā bhavissatī’’ti ñatvā maññe attano pādamūleyeva vāsesīti. Tiṭṭhante noti tiṭṭhante nu, dharamāneyeva nūti pucchati, adu deveti udāhu amhākaṃ pitari divaṅgate attano atthaṃ vuḍḍhiṃ passantā saddhiṃ rājakārakehi negamajānapadehi ñātayo taṃ ‘‘rājā hohī’’ti samanuññiṃsu. Vattenāti sīlācārena. Sañjāte abhitiṭṭhasīti samānajātike ekūnasatabhātaro abhibhavitvā tiṭṭhasi. Nātivattantīti na abhibhavanti.
ตํ สุตฺวา สํวรมหาราชา อตฺตโน คุณํ กเถโนฺต ฉ คาถา อภาสิ –
Taṃ sutvā saṃvaramahārājā attano guṇaṃ kathento cha gāthā abhāsi –
๑๐๐.
100.
‘‘น ราชปุตฺต อุสูยามิ, สมณานํ มเหสินํ;
‘‘Na rājaputta usūyāmi, samaṇānaṃ mahesinaṃ;
สกฺกจฺจํ เต นมสฺสามิ, ปาเท วนฺทามิ ตาทินํฯ
Sakkaccaṃ te namassāmi, pāde vandāmi tādinaṃ.
๑๐๑.
101.
‘‘เต มํ ธมฺมคุเณ ยุตฺตํ, สุสฺสูสมนุสูยกํ;
‘‘Te maṃ dhammaguṇe yuttaṃ, sussūsamanusūyakaṃ;
สมณา มนุสาสนฺติ, อิสี ธมฺมคุเณ รตาฯ
Samaṇā manusāsanti, isī dhammaguṇe ratā.
๑๐๒.
102.
‘‘เตสาหํ วจนํ สุตฺวา, สมณานํ มเหสินํ;
‘‘Tesāhaṃ vacanaṃ sutvā, samaṇānaṃ mahesinaṃ;
น กิญฺจิ อติมญฺญามิ, ธเมฺม เม นิรโต มโนฯ
Na kiñci atimaññāmi, dhamme me nirato mano.
๑๐๓.
103.
‘‘หตฺถาโรหา อนีกฎฺฐา, รถิกา ปตฺติการกา;
‘‘Hatthārohā anīkaṭṭhā, rathikā pattikārakā;
เตสํ นปฺปฎิพนฺธามิ, นิวิฎฺฐํ ภตฺตเวตนํฯ
Tesaṃ nappaṭibandhāmi, niviṭṭhaṃ bhattavetanaṃ.
๑๐๔.
104.
‘‘มหามตฺตา จ เม อตฺถิ, มนฺติโน ปริจารกา;
‘‘Mahāmattā ca me atthi, mantino paricārakā;
พาราณสิํ โวหรนฺติ, พหุมํสสุโรทนํฯ
Bārāṇasiṃ voharanti, bahumaṃsasurodanaṃ.
๑๐๕.
105.
‘‘อโถปิ วาณิชา ผีตา, นานารเฎฺฐหิ อาคตา;
‘‘Athopi vāṇijā phītā, nānāraṭṭhehi āgatā;
เตสุ เม วิหิตา รกฺขา, เอวํ ชานาหุโปสถา’’ติฯ
Tesu me vihitā rakkhā, evaṃ jānāhuposathā’’ti.
ตตฺถ น ราชปุตฺตาติ อหํ ราชปุตฺต, กญฺจิ สตฺตํ ‘‘อยํ สมฺปตฺติ อิมสฺส มา โหตู’’ติ น อุสูยามิฯ ตาทินนฺติ ตาทิลกฺขณยุตฺตานํ สมิตปาปตาย สมณานํ มหนฺตานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ คุณานํ เอสิตตาย มเหสีนํ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน ปาเท วนฺทามิ, ทานํ ททโนฺต ธมฺมิกญฺจ เนสํ รกฺขาวรณคุตฺติํ ปจฺจุปฎฺฐเปโนฺต สกฺกจฺจํ เต นมสฺสามิ, มเนน สมฺปิยายโนฺต จ ปูเชมีติ อโตฺถฯ เต มนฺติ เต สมณา มํ ‘‘อยํ ธมฺมโกฎฺฐาเส ยุตฺตปยุโตฺต สุสฺสูสํ อนุสูยโก’’ติ ตถโต ญตฺวา มํ ธมฺมคุเณ ยุตฺตํ สุสฺสูสํ อนุสูยกํ อนุสาสนฺติ, ‘‘อิทํ กร, อิทํ มา กรี’’ติ โอวทนฺตีติ อโตฺถฯ เตสาหนฺติ เตสํ อหํฯ หตฺถาโรหาติ หตฺถิํ อารุยฺห ยุชฺฌนกา โยธาฯ อนีกฎฺฐาติ หตฺถานีกาทีสุ ฐิตาฯ รถิกาติ รถโยธาฯ ปตฺติการกาติ ปตฺติโนวฯ นิวิฎฺฐนฺติ ยํ เตหิ สชฺชิตํ ภตฺตญฺจ เวตนญฺจ, อหํ ตํ นปฺปฎิพนฺธามิ, อปริหาเปตฺวา ททามีติ อโตฺถฯ
Tattha na rājaputtāti ahaṃ rājaputta, kañci sattaṃ ‘‘ayaṃ sampatti imassa mā hotū’’ti na usūyāmi. Tādinanti tādilakkhaṇayuttānaṃ samitapāpatāya samaṇānaṃ mahantānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ guṇānaṃ esitatāya mahesīnaṃ dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ pañcapatiṭṭhitena pāde vandāmi, dānaṃ dadanto dhammikañca nesaṃ rakkhāvaraṇaguttiṃ paccupaṭṭhapento sakkaccaṃ te namassāmi, manena sampiyāyanto ca pūjemīti attho. Te manti te samaṇā maṃ ‘‘ayaṃ dhammakoṭṭhāse yuttapayutto sussūsaṃ anusūyako’’ti tathato ñatvā maṃ dhammaguṇe yuttaṃ sussūsaṃ anusūyakaṃ anusāsanti, ‘‘idaṃ kara, idaṃ mā karī’’ti ovadantīti attho. Tesāhanti tesaṃ ahaṃ. Hatthārohāti hatthiṃ āruyha yujjhanakā yodhā. Anīkaṭṭhāti hatthānīkādīsu ṭhitā. Rathikāti rathayodhā. Pattikārakāti pattinova. Niviṭṭhanti yaṃ tehi sajjitaṃ bhattañca vetanañca, ahaṃ taṃ nappaṭibandhāmi, aparihāpetvā dadāmīti attho.
มหามตฺตาติ ภาติก, มยฺหํ มหาปญฺญา มเนฺตสุ กุสลา มหาอมจฺจา เจว อวเสสมนฺติโน จ ปริจารกา อตฺถิฯ อิมินา อิมํ ทเสฺสติ ‘‘ตุเมฺห มนฺตสมฺปเนฺน ปณฺฑิเต อาจริเย น ลภิตฺถ, อมฺหากํ ปน อาจริยา ปณฺฑิตา อุปายกุสลา, เต โน เสตจฺฉเตฺตน โยเชสุ’’นฺติฯ พาราณสินฺติ ภาติก, มม ฉตฺตํ อุสฺสาปิตกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘อมฺหากํ ราชา ธมฺมิโก อนฺวทฺธมาสํ เทโว วสฺสติ, เตน สสฺสานิ สมฺปชฺชนฺติ, พาราณสิยํ พหุํ ขาทิตพฺพยุตฺตกํ มจฺฉมํสํ ปายิตพฺพยุตฺตกํ สุโรทกญฺจ ชาต’’นฺติ เอวํ รฎฺฐวาสิโน พหุมํสสุโรทกํ กตฺวา พาราณสิํ โวหรนฺติฯ ผีตาติ หตฺถิรตนอสฺสรตนมุตฺตรตนาทีนิ อาหริตฺวา นิรุปทฺทวา โวหารํ กโรนฺตา ผีตา สมิทฺธาฯ เอวํ ชานาหีติ ภาติก อุโปสถ อหํ อิเมหิ เอตฺตเกหิ การเณหิ สพฺพกนิโฎฺฐปิ หุตฺวา มม ภาติเก อภิภวิตฺวา เสตจฺฉตฺตํ ปโตฺต, เอวํ ชานาหีติฯ
Mahāmattāti bhātika, mayhaṃ mahāpaññā mantesu kusalā mahāamaccā ceva avasesamantino ca paricārakā atthi. Iminā imaṃ dasseti ‘‘tumhe mantasampanne paṇḍite ācariye na labhittha, amhākaṃ pana ācariyā paṇḍitā upāyakusalā, te no setacchattena yojesu’’nti. Bārāṇasinti bhātika, mama chattaṃ ussāpitakālato paṭṭhāya ‘‘amhākaṃ rājā dhammiko anvaddhamāsaṃ devo vassati, tena sassāni sampajjanti, bārāṇasiyaṃ bahuṃ khāditabbayuttakaṃ macchamaṃsaṃ pāyitabbayuttakaṃ surodakañca jāta’’nti evaṃ raṭṭhavāsino bahumaṃsasurodakaṃ katvā bārāṇasiṃ voharanti. Phītāti hatthiratanaassaratanamuttaratanādīni āharitvā nirupaddavā vohāraṃ karontā phītā samiddhā. Evaṃ jānāhīti bhātika uposatha ahaṃ imehi ettakehi kāraṇehi sabbakaniṭṭhopi hutvā mama bhātike abhibhavitvā setacchattaṃ patto, evaṃ jānāhīti.
อถสฺส คุณํ สุตฺวา อุโปสถกุมาโร เทฺว คาถา อภาสิ –
Athassa guṇaṃ sutvā uposathakumāro dve gāthā abhāsi –
๑๐๖.
106.
‘‘ธเมฺมน กิร ญาตีนํ, รชฺชํ กาเรหิ สํวร;
‘‘Dhammena kira ñātīnaṃ, rajjaṃ kārehi saṃvara;
เมธาวี ปณฺฑิโต จาสิ, อโถปิ ญาตินํ หิโตฯ
Medhāvī paṇḍito cāsi, athopi ñātinaṃ hito.
๑๐๗.
107.
‘‘ตํ ตํ ญาติปริพฺยูฬฺหํ, นานารตนโมจิตํ;
‘‘Taṃ taṃ ñātiparibyūḷhaṃ, nānāratanamocitaṃ;
อมิตฺตา นปฺปสหนฺติ, อินฺทํว อสุราธิโป’’ติฯ
Amittā nappasahanti, indaṃva asurādhipo’’ti.
ตตฺถ ธเมฺมน กิร ญาตีนนฺติ ตาต สํวร มหาราช, ธเมฺมน กิร ตฺวํ เอกูนสตานํ ญาตีนํ อตฺตโน เชฎฺฐภาติกานํ อานุภาวํ อภิภวสิ, อิโต ปฎฺฐาย ตฺวเมว รชฺชํ กาเรหิ, ตฺวเมว เมธาวี เจว ปณฺฑิโต จ ญาตีนญฺจ หิโตติ อโตฺถฯ ตํ ตนฺติ เอวํ วิวิธคุณสมฺปนฺนํ ตํฯ ญาติปริพฺยูฬฺหนฺติ อเมฺหหิ เอกูนสเตหิ ญาตเกหิ ปริวาริตํฯ นานารตนโมจิตนฺติ นานารตเนหิ โอจิตํ สญฺจิตํ พหุรตนสญฺจยํฯ อสุราธิโปติ ยถา ตาวติํเสหิ ปริวาริตํ อินฺทํ อสุรราชา นปฺปสหติ, เอวํ อเมฺหหิ อารกฺขํ กโรเนฺตหิ ปริวาริตํ ตํ ติโยชนสติเก กาสิรเฎฺฐ ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา รชฺชํ กาเรนฺตํ อมิตฺตา นปฺปสหนฺตีติ ทีเปติฯ
Tattha dhammena kira ñātīnanti tāta saṃvara mahārāja, dhammena kira tvaṃ ekūnasatānaṃ ñātīnaṃ attano jeṭṭhabhātikānaṃ ānubhāvaṃ abhibhavasi, ito paṭṭhāya tvameva rajjaṃ kārehi, tvameva medhāvī ceva paṇḍito ca ñātīnañca hitoti attho. Taṃ tanti evaṃ vividhaguṇasampannaṃ taṃ. Ñātiparibyūḷhanti amhehi ekūnasatehi ñātakehi parivāritaṃ. Nānāratanamocitanti nānāratanehi ocitaṃ sañcitaṃ bahuratanasañcayaṃ. Asurādhipoti yathā tāvatiṃsehi parivāritaṃ indaṃ asurarājā nappasahati, evaṃ amhehi ārakkhaṃ karontehi parivāritaṃ taṃ tiyojanasatike kāsiraṭṭhe dvādasayojanikāya bārāṇasiyā rajjaṃ kārentaṃ amittā nappasahantīti dīpeti.
สํวรมหาราชา สเพฺพสมฺปิ ภาติกานํ มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ เต ตสฺส สนฺติเก มาสฑฺฒมาสํ วสิตฺวา ‘‘มหาราช ชนปเทสุ โจเรสุ อุฎฺฐหเนฺตสุ มยํ ชานิสฺสาม, ตฺวํ รชฺชสุขํ อนุภวา’’ติ วตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ชนปทํ คตาฯ ราชาปิ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา อายุปริโยสาเน เทวนครํ ปูเรโนฺต อคมาสิฯ
Saṃvaramahārājā sabbesampi bhātikānaṃ mahantaṃ yasaṃ adāsi. Te tassa santike māsaḍḍhamāsaṃ vasitvā ‘‘mahārāja janapadesu coresu uṭṭhahantesu mayaṃ jānissāma, tvaṃ rajjasukhaṃ anubhavā’’ti vatvā attano attano janapadaṃ gatā. Rājāpi bodhisattassa ovāde ṭhatvā āyupariyosāne devanagaraṃ pūrento agamāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘ภิกฺขุ เอวํ ตฺวํ ปุเพฺพ โอวาทกฺขโม, อิทานิ กสฺมา วีริยํ น อกาสี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘bhikkhu evaṃ tvaṃ pubbe ovādakkhamo, idāni kasmā vīriyaṃ na akāsī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi.
ตทา สํวรมหาราชา อยํ ภิกฺขุ อโหสิ, อุโปสถกุมาโร สาริปุโตฺต, เสสภาติกา เถรานุเถรา, ปริสา พุทฺธปริสา, โอวาททายโก อมโจฺจ ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā saṃvaramahārājā ayaṃ bhikkhu ahosi, uposathakumāro sāriputto, sesabhātikā therānutherā, parisā buddhaparisā, ovādadāyako amacco pana ahameva ahosinti.
สํวรชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Saṃvarajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๒. สํวรชาตกํ • 462. Saṃvarajātakaṃ