Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๗๖

    The Middle-Length Suttas Collection 76

    สนฺทกสุตฺต

    With Sandaka

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Kosambī, in Ghosita’s Monastery.

    เตน โข ปน สมเยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก ปิลกฺขคุหายํ ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ปริพฺพาชกสเตหิฯ

    Now at that time the wanderer Sandaka was residing at the cave of the wavy leaf fig tree together with a large assembly of around five hundred wanderers.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “อายามาวุโส, เยน เทวกตโสพฺโภ เตนุปสงฺกมิสฺสาม คุหาทสฺสนายา”ติฯ

    Then in the late afternoon, Venerable Ānanda came out of retreat and addressed the bhikkhus: “Come, friends, let’s go to the Devakata Pool to see the cave.”

    “เอวมาวุโส”ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ เยน เทวกตโสพฺโภ เตนุปสงฺกมิฯ

    “Yes, friend,” they replied. Then Ānanda together with several bhikkhus went to the Devakata Pool.

    เตน โข ปน สมเยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ นิสินฺโน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฏฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ

    Now at that time, Sandaka and the large assembly of wanderers were sitting together making an uproar, a dreadful racket. They engaged in all kinds of low talk, such as talk about kings, bandits, and ministers; talk about armies, threats, and wars; talk about food, drink, clothes, and beds; talk about garlands and fragrances; talk about family, vehicles, villages, towns, cities, and countries; talk about women and heroes; street talk and well talk; talk about the departed; motley talk; tales of land and sea; and talk about being reborn in this or that state of existence.

    อทฺทสา โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถ; อยํ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อาคจฺฉติ สมโณ อานนฺโทฯ ยาวตา โข ปน สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา โกสมฺพิยํ ปฏิวสนฺติ, อยํ เตสํ อญฺญตโร สมโณ อานนฺโทฯ อปฺปสทฺทกามา โข ปน เต อายสฺมนฺโต อปฺปสทฺทวินีตา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทิโน; อปฺเปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺเญยฺยา”ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ

    Sandaka saw Ānanda coming off in the distance, and hushed his own assembly, “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. The ascetic Ānanda, a disciple of the ascetic Gotama, is coming. He is included among the disciples of the ascetic Gotama, who is residing near Kosambī. Such venerables like the quiet, are educated to be quiet, and praise the quiet. Hopefully if he sees that our assembly is quiet he’ll see fit to approach.” Then those wanderers fell silent.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “เอตุ โข ภวํ อานนฺโท, สฺวาคตํ โภโต อานนฺทสฺสฯ จิรสฺสํ โข ภวํ อานนฺโท อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ ภวํ อานนฺโท, อิทมาสนํ ปญฺญตฺตนฺ”ติฯ นิสีทิ โข อายสฺมา อานนฺโท ปญฺญตฺเต อาสเนฯ สนฺทโกปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สนฺทกํ ปริพฺพาชกํ อายสฺมา อานนฺโท เอตทโวจ: “กาย นุตฺถ, สนฺทก, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?

    Then Venerable Ānanda went up to the wanderer Sandaka, who said to him, “Come, Master Ānanda! Welcome, Master Ānanda! It’s been a long time since you took the opportunity to come here. Please, sir, sit down, this seat is ready.” Ānanda sat down on the seat spread out, while Sandaka took a low seat and sat to one side. Ānanda said to Sandaka, “Sandaka, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”

    “ติฏฺฐเตสา, โภ อานนฺท, กถา ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา โภโต อานนฺทสฺส กถา ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ สาธุ วต ภวนฺตํเยว อานนฺทํ ปฏิภาตุ สเก อาจริยเก ธมฺมีกถา”ติฯ

    “Master Ānanda, leave aside what we were sitting talking about just now. It won’t be hard for you to hear about that later. It’d be great if Master Ānanda himself would give a Dhamma talk explaining his own tradition.”

    “เตน หิ, สนฺทก, สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ภาสิสฺสามี”ติฯ

    “Well then, Sandaka, listen and apply your mind well, I will speak.”

    “เอวํ, โภ”ติ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อายสฺมา อานนฺโท เอตทโวจ:

    “Yes, sir,” replied Sandaka. Venerable Ānanda said this:

    “จตฺตาโรเม, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา จตฺตาริ จ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ, ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติฯ

    “Sandaka, these things have been explained by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha: four ways that negate the spiritual life, and four kinds of unreliable spiritual life. A sensible person would, to the best of their ability, not practice such spiritual paths, and if they did practice them, they wouldn’t succeed in the system of the skillful teaching.”

    “กตเม ปน เต, โภ อานนฺท, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา, ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติ?

    “But Master Ānanda, what are the four ways that negate the spiritual life, and the four kinds of unreliable spiritual life?”

    “อิธ, สนฺทก, เอกจฺโจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฏฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโรโลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติฯ จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส ยทา กาลํ กโรติ, ปถวี ปถวีกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติ, ยาวาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติฯ กาโปตกานิ อฏฺฐีนิ ภวนฺติฯ ภสฺสนฺตา อาหุติโย; ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํฯ เตสํ ตุจฺฉา มุสา วิลาโป เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติฯ พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ น โหนฺติ ปรํ มรณา'ติฯ

    “Sandaka, take a certain teacher who has this doctrine and view: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no such thing as mother and father, or beings that are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is well attained and practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight. This person is made up of the four primary elements. When they die, the earth in their body merges and coalesces with the main mass of earth. The water in their body merges and coalesces with the main mass of water. The fire in their body merges and coalesces with the main mass of fire. The air in their body merges and coalesces with the main mass of air. The faculties are transferred to space. Four men with a bier carry away the corpse. Their footprints show the way to the cemetery. The bones become bleached. Offerings dedicated to the gods end in ashes. Giving is a doctrine for morons. When anyone affirms a positive teaching it’s just hollow, false nonsense. Both the foolish and the astute are annihilated and destroyed when their body breaks up, and they don’t exist after death.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฏฺฐิ—นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฏฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโรโลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติฯ จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส ยทา กาลํ กโรติ, ปถวี ปถวีกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติ, ยาวาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติฯ กาโปตกานิ อฏฺฐีนิ ภวนฺติฯ ภสฺสนฺตา อาหุติโย; ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํฯ เตสํ ตุจฺฉา มุสา วิลาโป เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติฯ พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ น โหนฺติ ปรํ มรณา'ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุโภ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชิสฺสาม, วินสฺสิสฺสาม, น ภวิสฺสาม ปรํ มรณา'ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฏิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ, โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสนฺโต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภนฺโต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรนฺโต ชาตรูปรชตํ สาทิยนฺโต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิ อภิสมฺปรายํฯ โสหํ กึ ชานนฺโต กึ ปสฺสนฺโต อิมสฺมึ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher has such a doctrine and view. If what that teacher says is true, both I who have not accomplished this and one who has accomplished it have attained exactly the same level. Yet I’m not one who says that both of us are annihilated and destroyed when our body breaks up, and we don’t exist after death. But it’s superfluous for this teacher to go naked, shaven, persisting in squatting, tearing out their hair and beard. For I’m living at home with my children, using sandalwood imported from Kāsi, wearing garlands, perfumes, and makeup, and accepting gold and money. Yet I’ll have exactly the same destiny in the next life as this teacher. What do I know or see that I should lead the spiritual life under this teacher? This negates the spiritual life.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ปฐโม อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the first way that negates the spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘กโรโต การยโต ฉินฺทโต เฉทาปยโต ปจโต ปาจาปยโต โสจยโต โสจาปยโต กิลมโต กิลมาปยโต ผนฺทโต ผนฺทาปยโต ปาณมติปาตยโต อทินฺนํ อาทิยโต สนฺธึ ฉินฺทโต นิโลฺลปํ หรโต เอกาคาริกํ กโรโต ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต ปรทารํ คจฺฉโต มุสา ภณโต กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต ปจนฺโต ปจาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนฺโต ยชนฺโต ยชาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติฯ

    Furthermore, take a certain teacher who has this doctrine and view: ‘The one who acts does nothing wrong when they punish, mutilate, torture, aggrieve, oppress, intimidate, or when they encourage others to do the same. Nothing bad is done when they kill, steal, break into houses, plunder wealth, steal from isolated buildings, commit highway robbery, commit adultery, and lie. If you were to reduce all the living creatures of this earth to one heap and mass of flesh with a razor-edged chakram, no evil comes of that, and no outcome of evil. If you were to go along the south bank of the Ganges killing, mutilating, and torturing, and encouraging others to do the same, no evil comes of that, and no outcome of evil. If you were to go along the north bank of the Ganges giving and sacrificing and encouraging others to do the same, no merit comes of that, and no outcome of merit. In giving, self-control, restraint, and truthfulness there is no merit or outcome of merit.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฏฺฐิ—กโรโต การยโต ฉินฺทโต เฉทาปยโต ปจโต ปาจาปยโต โสจโต โสจาปยโต กิลมโต กิลมาปยโต ผนฺทโต ผนฺทาปยโต ปาณมติปาตยโต อทินฺนํ อาทิยโต สนฺธึ ฉินฺทโต นิโลฺลปํ หรโต เอกาคาริกํ กโรโต ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต ปรทารํ คจฺฉโต มุสา ภณโต กโรโต น กรียติ ปาปํ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต ปจนฺโต ปจาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนฺโต ยชนฺโต ยชาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุภินฺนํ กุรุตํ น กรียติ ปาปนฺ'ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฏิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ, โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสนฺโต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภนฺโต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรนฺโต ชาตรูปรชตํ สาทิยนฺโต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิ อภิสมฺปรายํฯ โสหํ กึ ชานนฺโต กึ ปสฺสนฺโต อิมสฺมึ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อยนฺ'ติ อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher has such a doctrine and view. If what that teacher says is true, both I who have not accomplished this and one who has accomplished it have attained exactly the same level. Yet I’m not one who says that when both of us act, nothing wrong is done. But it’s superfluous for this teacher to go naked, shaven, persisting in squatting, tearing out their hair and beard. For I’m living at home with my children, using sandalwood imported from Kāsi, wearing garlands, perfumes, and makeup, and accepting gold and money. Yet I’ll have exactly the same destiny in the next life as this teacher. What do I know or see that I should lead the spiritual life under this teacher? This negates the spiritual life.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ทุติโย อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the second way that negates the spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติ; นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติ; นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติฯ

    Furthermore, take a certain teacher who has this doctrine and view: ‘There is no cause or reason for the corruption of sentient beings. Sentient beings are corrupted without cause or reason. There’s no cause or reason for the purification of sentient beings. Sentient beings are purified without cause or reason. There is no power, no energy, no human strength or vigor. All sentient beings, all living creatures, all beings, all souls lack control, power, and energy. Molded by destiny, circumstance, and nature, they experience pleasure and pain in the six classes of rebirth.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฏฺฐิ—นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย, อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา, อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม, สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุโภ อเหตู อปฺปจฺจยา วิสุชฺฌิสฺสามา'ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฏิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ, โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสนฺโต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภนฺโต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรนฺโต ชาตรูปรชตํ สาทิยนฺโต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิ อภิสมฺปรายํฯ โสหํ กึ ชานนฺโต กึ ปสฺสนฺโต อิมสฺมึ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher has such a doctrine and view. If what that teacher says is true, both I who have not accomplished this and one who has accomplished it have attained exactly the same level. Yet I’m not one who says that both of us are purified without cause or reason. But it’s superfluous for this teacher to go naked, shaven, persisting in squatting, tearing out their hair and beard. For I’m living at home with my children, using sandalwood imported from Kāsi, wearing garlands, perfumes, and makeup, and accepting gold and money. Yet I’ll have exactly the same destiny in the next life as this teacher. What do I know or see that I should lead the spiritual life under this teacher? This negates the spiritual life.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ตติโย อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the third way that negates the spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฏฺฐิ: ‘สตฺติเม กายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฏฏฺฐา เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา, เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ กตเม สตฺต? ปถวีกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุกฺเข ชีเว สตฺตเม—อิเม สตฺตกายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฏฏฺฐา เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ ตตฺถ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิญฺญาตา วา วิญฺญาเปตา วาฯ โยปิ ติเณฺหน สตฺเถน สีสํ ฉินฺทติ, น โกจิ กญฺจิ ชีวิตา โวโรเปติฯ สตฺตนฺนํ เตฺวว กายานมนฺตเรน สตฺถํ วิวรมนุปตติฯ จุทฺทส โข ปนิมานิ โยนิปมุขสตสหสฺสานิ สฏฺฐิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานิ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ, กมฺเม จ อฑฺฒกมฺเม จ, ทฺวฏฺฐิปฏิปทา, ทฺวฏฺฐนฺตรกปฺปา, ฉฬาภิชาติโย, อฏฺฐ ปุริสภูมิโย, เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเต, เอกูนปญฺญาส ปริพฺพาชกสเต, เอกูนปญฺญาส นาคาวาสสเต, วีเส อินฺทฺริยสเต, ตึเส นิรยสเต, ฉตฺตึส รโชธาตุโย, สตฺต สญฺญีคพฺภา, สตฺต อสญฺญีคพฺภา, สตฺต นิคณฺฐิคพฺภา, สตฺต เทวา, สตฺต มานุสา, สตฺต เปสาจา, สตฺต สรา, สตฺต ปวุฏา, สตฺต ปปาตา, สตฺต ปปาตสตานิ, สตฺต สุปินา, สตฺต สุปินสตานิ, จุลฺลาสีติ มหากปฺปิโน สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิ อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกฺกํ วา กมฺมํ ปริปาเจสฺสามิ, ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺตึ กริสฺสามีติฯ เหวํ นตฺถิ โทณมิเต สุขทุกฺเข ปริยนฺตกเต สํสาเร, นตฺถิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกฺกํสาวกํเสฯ เสยฺยถาปิ นาม สุตฺตคุเฬ ขิตฺเต นิพฺเพฐิยมานเมว ปเลติ; เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี'ติฯ

    Furthermore, take a certain teacher who has this doctrine and view: ‘There are these seven substances that are not made, not derived, not created, without a creator, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They don’t move or deteriorate or obstruct each other. They’re unable to cause pleasure, pain, or both pleasure and pain to each other. What seven? The substances of earth, water, fire, air; pleasure, pain, and the soul is the seventh. These seven substances are not made, not derived, not created, without a creator, barren, steady as a mountain peak, standing firm like a pillar. They don’t move or deteriorate or obstruct each other. They’re unable to cause pleasure, pain, or both pleasure and pain to each other. And here there is no-one who kills or who makes others kill; no-one who learns or who educates others; no-one who understands or who helps others understand. If you chop off someone’s head with a sharp sword, you don’t take anyone’s life. The sword simply passes through the gap between the seven substances. There are 1.4 million main wombs, and 6,000, and 600. There are 500 deeds, and five, and three. There are deeds and half-deeds. There are 62 paths, 62 sub-eons, six classes of rebirth, and eight stages in a person’s life. There are 4,900 Ājīvaka ascetics, 4,900 wanderers, and 4,900 naked ascetics. There are 2,000 faculties, 3,000 hells, and 36 realms of dust. There are seven percipient embryos, seven non-percipient embryos, and seven knotless embryos. There are seven gods, seven humans, and seven goblins. There are seven lakes, seven rivers, 700 rivers, seven cliffs, and 700 cliffs. There are seven dreams and 700 dreams. There are 8.4 million great eons through which the foolish and the astute transmigrate before making an end of suffering. And here there is no such thing as this: “By this precept or observance or fervent austerity or spiritual life I shall force unripened deeds to bear their fruit, or eliminate old deeds by experiencing their results little by little”—for that cannot be. Pleasure and pain are allotted. Transmigration lasts only for a limited period, so there’s no increase or decrease, no getting better or worse. It’s like how, when you toss a ball of string, it rolls away unraveling. In the same way, after transmigrating the foolish and the astute will make an end of suffering.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฏฺฐิ—สตฺติเม กายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฏฏฺฐา เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ กตเม สตฺต? ปถวีกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุกฺเข ชีเว สตฺตเม—อิเม สตฺต กายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฏฏฺฐา เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ ตตฺถ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิญฺญาตา วา วิญฺญาเปตา วาฯ โยปิ ติเณฺหน สตฺเถน สีสํ ฉินฺทติ, น โกจิ กญฺจิ ชีวิตา โวโรเปติฯ สตฺตนฺนํ เตฺวว กายานมนฺตเรน สตฺถํ วิวรมนุปตติฯ จุทฺทส โข ปนิมานิ โยนิปมุขสตสหสฺสานิ สฏฺฐิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานิ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ, กมฺเม จ อฑฺฒกมฺเม จ, ทฺวฏฺฐิปฏิปทา, ทฺวฏฺฐนฺตรกปฺปา, ฉฬาภิชาติโย, อฏฺฐ ปุริสภูมิโย, เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเต, เอกูนปญฺญาส ปริพฺพาชกสเต, เอกูนปญฺญาส นาคาวาสสเต, วีเส อินฺทฺริยสเต, ตึเส นิรยสเต, ฉตฺตึส รโชธาตุโย, สตฺต สญฺญีคพฺภา, สตฺต อสญฺญีคพฺภา, สตฺต นิคณฺฐิคพฺภา, สตฺต เทวา, สตฺต มานุสา, สตฺต เปสาจา, สตฺต สรา, สตฺต ปวุฏา, สตฺต ปปาตา, สตฺต ปปาตสตานิ, สตฺต สุปินา, สตฺต สุปินสตานิ, จุลฺลาสีติ มหากปฺปิโน สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิ อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกฺกํ วา กมฺมํ ปริปาเจสฺสามิ, ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺตึ กริสฺสามีติ, เหวํ นตฺถิ โทณมิเต สุขทุกฺเข ปริยนฺตกเต สํสาเร, นตฺถิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกฺกํสาวกํเสฯ เสยฺยถาปิ นาม สุตฺตคุเฬ ขิตฺเต นิพฺเพฐิยมานเมว ปเลติ; เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี'ติฯ สเจ ปน อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุโภ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามา'ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฏิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ, โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสนฺโต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภนฺโต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรนฺโต ชาตรูปรชตํ สาทิยนฺโต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิ อภิสมฺปรายํฯ โสหํ กึ ชานนฺโต กึ ปสฺสนฺโต อิมสฺมึ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher has such a doctrine and view. If what that teacher says is true, both I who have not accomplished this and one who has accomplished it have attained exactly the same level. Yet I’m not one who says that after transmigrating both of us will make an end of suffering. But it’s superfluous for this teacher to go naked, shaven, persisting in squatting, tearing out their hair and beard. For I’m living at home with my children, using sandalwood imported from Kāsi, wearing garlands, perfumes, and makeup, and accepting gold and money. Yet I’ll have exactly the same destiny in the next life as this teacher. What do I know or see that I should lead the spiritual life under this teacher? This negates the spiritual life.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตุตฺโถ อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the fourth way that negates the spiritual life.

    อิเม โข เต, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติฯ

    These are the four ways that negate the spiritual life that have been explained by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha. A sensible person would, to the best of their ability, not practice such spiritual paths, and if they did practice them, they wouldn’t succeed in the system of the skillful teaching.”

    “อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺทฯ ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสาว สมานา ‘อพฺรหฺมจริยวาสา'ติ อกฺขาตา ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺติฯ กตมานิ ปน ตานิ, โภ อานนฺท, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติ?

    “It’s incredible, Master Ānanda, it’s amazing, how these four ways that negate the spiritual life have been explained by the Buddha. But Master Ānanda, what are the four kinds of unreliable spiritual life?”

    “อิธ, สนฺทก, เอกจฺโจ สตฺถา สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฏิชานาติ: ‘จรโต จ เม ติฏฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฏฺฐิตนฺ'ติฯ โส สุญฺญมฺปิ อคารํ ปวิสติ, ปิณฺฑมฺปิ น ลภติ, กุกฺกุโรปิ ฑํสติ, จณฺเฑนปิ หตฺถินา สมาคจฺฉติ, จณฺเฑนปิ อเสฺสน สมาคจฺฉติ, จณฺเฑนปิ โคเณน สมาคจฺฉติ, อิตฺถิยาปิ ปุริสสฺสปิ นามมฺปิ โคตฺตมฺปิ ปุจฺฉติ, คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉติฯ โส ‘กิมิทนฺ'ติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘สุญฺญํ เม อคารํ ปวิสิตพฺพํ อโหสิ', เตน ปาวิสึ; ‘ปิณฺฑมฺปิ อลทฺธพฺพํ อโหสิ', เตน นาลตฺถํ; ‘กุกฺกุเรน ฑํสิตพฺพํ อโหสิ', เตนมฺหิ ทฏฺโฐ; ‘จณฺเฑน หตฺถินา สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ', เตน สมาคมึ; ‘จณฺเฑน อเสฺสน สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ', เตน สมาคมึ; ‘จณฺเฑน โคเณน สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ', เตน สมาคมึ; ‘อิตฺถิยาปิ ปุริสสฺสปิ นามมฺปิ โคตฺตมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ', เตน ปุจฺฉึ; ‘คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ', เตน ปุจฺฉินฺติฯ

    “Sandaka, take a certain teacher who claims to be all-knowing and all-seeing, to know and see everything without exception, thus: ‘Knowledge and vision are constantly and continually present to me, while walking, standing, sleeping, and waking.’ They enter an empty house; they gets no almsfood; a dog bites them; they encounters a wild elephant, a wild horse, and a wild cow; they ask the name and clan of a woman or man; they ask the name and path to a village or town. When asked, ‘Why is this?’ they answer: ‘I had to enter an empty house, that’s why I entered it. I had to get no almsfood, that’s why I got none. I had to get bitten by a dog, that’s why I was bitten. I had to encounter a wild elephant, a wild horse, and a wild cow, that’s why I encountered them. I had to ask the name and clan of a woman or man, that’s why I asked. I had to ask the name and path to a village or town, that’s why I asked.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฏิชานาติ …เป… ‘คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ, เตน ปุจฺฉินฺ'ติฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher makes such a claim, but they answer in such a way. This spiritual life is unreliable.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ปฐมํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the first kind of unreliable spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา อนุสฺสวิโก โหติ อนุสฺสวสจฺโจฯ โส อนุสฺสเวน อิติหิติหปรมฺปราย ปิฏกสมฺปทาย ธมฺมํ เทเสติฯ อนุสฺสวิกสฺส โข ปน, สนฺทก, สตฺถุโน อนุสฺสวสจฺจสฺส สุสฺสุตมฺปิ โหติ ทุสฺสุตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติฯ

    Furthermore, take another teacher who is an oral transmitter, who takes oral transmission to be the truth. They teach by oral transmission, by the lineage of testament, by canonical authority. But when a teacher takes oral transmission to be the truth, some of that is well learned, some poorly learned, some true, and some otherwise.

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อนุสฺสวิโก อนุสฺสวสจฺโจ โส อนุสฺสเวน อิติหิติหปรมฺปราย ปิฏกสมฺปทาย ธมฺมํ เทเสติฯ อนุสฺสวิกสฺส โข ปน สตฺถุโน อนุสฺสวสจฺจสฺส สุสฺสุตมฺปิ โหติ ทุสฺสุตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติ'ฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher takes oral transmission to be the truth. He teaches by oral transmission, by the lineage of testament, by canonical authority. But when a teacher takes oral transmission to be the truth, some of that is well learned, some poorly learned, some true, and some otherwise. This spiritual life is unreliable.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ทุติยํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the second kind of unreliable spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา ตกฺกี โหติ วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตกฺกิสฺส โข ปน, สนฺทก, สตฺถุโน วีมํสิสฺส สุตกฺกิตมฺปิ โหติ ทุตฺตกฺกิตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติฯ

    Furthermore, take another teacher who relies on logic and inquiry. They teach what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective. But when a teacher relies on logic and inquiry, some of that is well reasoned, some poorly reasoned, some true, and some otherwise.

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา ตกฺกี วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตกฺกิสฺส โข ปน สตฺถุโน วีมํสิสฺส สุตกฺกิตมฺปิ โหติ ทุตฺตกฺกิตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติ'ฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher relies on logic and inquiry. They teach what they have worked out by logic, following a line of inquiry, expressing their own perspective. But when a teacher relies on logic and inquiry, some of that is well reasoned, some poorly reasoned, some true, and some otherwise. This spiritual life is unreliable.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ตติยํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the third kind of unreliable spiritual life.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกจฺโจ สตฺถา มนฺโท โหติ โมมูโหฯ โส มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ: ‘เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน'ติฯ

    Furthermore, take another teacher who is dull and stupid. Because of that, whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: ‘I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.’

    ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา มนฺโท โมมูโหฯ โส มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ สมาโน วาจาวิกฺเขปํ อาปชฺชติ อมราวิกฺเขปํ—เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน'ติฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริยนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘This teacher is dull and stupid. Because of that, whenever they’re asked a question, they resort to verbal flip-flops and endless flip-flops: “I don’t say it’s like this. I don’t say it’s like that. I don’t say it’s otherwise. I don’t say it’s not so. And I don’t deny it’s not so.” This spiritual life is unreliable.’ Realizing this, they leave disappointed.

    อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตุตฺถํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    This is the fourth kind of unreliable spiritual life.

    อิมานิ โข ตานิ, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติฯ

    These are the four kinds of unreliable spiritual life that have been explained by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha. A sensible person would, to the best of their ability, not practice such spiritual paths, and if they did practice them, they wouldn’t complete the system of the skillful teaching.”

    “อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺทฯ ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกาเนว พฺรหฺมจริยานิ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานีติ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสนฺโต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ โส ปน, โภ อานนฺท, สตฺถา กึ วาที กึ อกฺขายี ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติฯ

    “It’s incredible, Master Ānanda, it’s amazing, how these four kinds of unreliable spiritual life have been explained by the Buddha. But, Master Ānanda, what would a teacher say and explain so that a sensible person would, to the best of their ability, practice such a spiritual path, and once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching?”

    “อิธ, สนฺทก, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา …เป… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    “Sandaka, it’s when a Realized One arises in the world, perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed. … He gives up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, he enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. A sensible person would, to the best of their ability lead the spiritual life under a teacher who achieves such a high distinction, and, once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching.

    ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา …เป… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ …เป… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา …เป… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu … enters and remains in the second jhāna … third jhāna … fourth jhāna. A sensible person would, to the best of their ability lead the spiritual life under a teacher who achieves such a high distinction, and, once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward recollection of past lives. They recollect many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. … They recollect their many kinds of past lives, with features and details. A sensible person would, to the best of their ability lead the spiritual life under a teacher who achieves such a high distinction, and, once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต …เป… ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the death and rebirth of sentient beings. With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. … They understand how sentient beings are reborn according to their deeds. A sensible person would, to the best of their ability lead the spiritual life under a teacher who achieves such a high distinction, and, once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the ending of defilements. They truly understand: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’. They truly understand: ‘These are defilements’ … ‘This is the origin of defilements’ … ‘This is the cessation of defilements’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of defilements’.

    ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ

    Knowing and seeing like this, their mind is freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When they’re freed, they know they’re freed.

    ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ ยสฺมึ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสนฺโต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺ”ติฯ

    They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’ A sensible person would, to the best of their ability lead the spiritual life under a teacher who achieves such a high distinction, and, once practicing it, they would complete the system of the skillful teaching.”

    “โย ปน โส, โภ อานนฺท, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุตฺโต ปริภุญฺเชยฺย โส กาเม”ติ?

    “But Master Ānanda, when a bhikkhu is perfected—with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment—could they still enjoy sensual pleasures?”

    “โย โส, สนฺทก, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต, อภพฺโพ โส ปญฺจฏฺฐานานิ อชฺฌาจริตุํฯ อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตุํ, อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทาตุํ, อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสเวตุํ, อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สมฺปชานมุสา ภาสิตุํ, อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สนฺนิธิการกํ กาเม ปริภุญฺชิตุํ, เสยฺยถาปิ ปุพฺเพ อคาริยภูโตฯ โย โส, สนฺทก, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต, อภพฺโพ โส อิมานิ ปญฺจฏฺฐานานิ อชฺฌาจริตุนฺ”ติฯ

    “Sandaka, a bhikkhu who is perfected—with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment—can’t transgress in five respects. A bhikkhu with defilements ended can’t deliberately take the life of a living creature, take something with the intention to steal, have sex, tell a deliberate lie, or store up goods for their own enjoyment like they used to as a lay person. A bhikkhu who is perfected can’t transgress in these five respects.”

    “โย ปน โส, โภ อานนฺท, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต ตสฺส จรโต เจว ติฏฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ: ‘ขีณา เม อาสวา'”ติ?

    “But Master Ānanda, when a bhikkhu is perfected, would the knowledge and vision that their defilements are ended be constantly and continually present to them, while walking, standing, sleeping, and waking?”

    “เตน หิ, สนฺทก, อุปมํ เต กริสฺสามิ; อุปมายปิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, สนฺทก, ปุริสสฺส หตฺถปาทา ฉินฺนา; ตสฺส จรโต เจว ติฏฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ชานาติ: ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา'ติ, อุทาหุ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ: ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา'”ติ?

    “Well then, Sandaka, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said. Suppose there was a person whose hands and feet had been amputated. Would they be aware that their hands and feet had been amputated constantly and continually, while walking, standing, sleeping, and waking? Or would they be aware of it only when they checked it?”

    “น โข, โภ อานนฺท, โส ปุริโส สตตํ สมิตํ ชานาติ: ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา'ติฯ อปิ จ โข ปน นํ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ: ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา'”ติฯ

    “They wouldn’t be aware of it constantly, only when they checked it.”

    “เอวเมว โข, สนฺทก, โย โส ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต ตสฺส จรโต เจว ติฏฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ น ปจฺจุปฏฺฐิตํ: ‘ขีณา เม อาสวา'ติ; อปิ จ โข ปน นํ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ: ‘ขีณา เม อาสวา'”ติฯ

    “In the same way, when a bhikkhu is perfected, the knowledge and vision that their defilements are ended is not constantly and continually present to them, while walking, standing, sleeping, and waking. Rather, they are aware of it only when they checked it.”

    “กีวพหุกา ปน, โภ อานนฺท, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย นิยฺยาตาโร”ติ?

    “But Friend Ānanda, how many emancipators are there in this teaching and training?”

    “น โข, สนฺทก, เอกํเยว สตํ น เทฺว สตานิ น ตีณิ สตานิ น จตฺตาริ สตานิ น ปญฺจ สตานิ, อถ โข ภิโยฺยว เย อิมสฺมึ ธมฺมวินเย นิยฺยาตาโร”ติฯ

    “There are not just one hundred emancipators, Sandaka, or two or three or four or five hundred, but many more than that in this teaching and training.”

    “อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺทฯ น จ นาม สธมฺโมกฺกํสนา ภวิสฺสติ, น ปรธมฺมวมฺภนา, อายตเน จ ธมฺมเทสนา ตาว พหุกา จ นิยฺยาตาโร ปญฺญายิสฺสนฺติฯ อิเม ปนาชีวกา ปุตฺตมตาย ปุตฺตา อตฺตานญฺเจว อุกฺกํเสนฺติ, ปเร จ วมฺเภนฺติ ตโย เจว นิยฺยาตาโร ปญฺญเปนฺติ, เสยฺยถิทํ—นนฺทํ วจฺฉํ, กิสํ สงฺกิจฺจํ, มกฺขลึ โคสาลนฺ”ติฯ

    “It’s incredible, Master Ānanda, it’s amazing! Namely, that there’s no glorifying one’s own teaching and putting down the teaching of others. The Dhamma is taught in its own field, and so many emancipators are recognized. But these Ājīvaka ascetics, those sons of dead sons, glorify themselves and put others down. And they only recognize three emancipators: Nanda Vaccha, Kisa Saṅkicca, and the bamboo-staffed ascetic Gosāla.”

    อถ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก สกํ ปริสํ อามนฺเตสิ: “จรนฺตุ โภนฺโต สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยวาโสฯ น ทานิ สุกรํ อเมฺหหิ ลาภสกฺการสิโลเก ปริจฺจชิตุนฺ”ติฯ อิติ หิทํ สนฺทโก ปริพฺพาชโก สกํ ปริสํ อุโยฺยเชสิ ภควติ พฺรหฺมจริเยติฯ

    Then the wanderer Sandaka addressed his own assembly, “Go, good sirs. The spiritual life is lived under the ascetic Gotama. It’s not easy for me to give up possessions, honor, or popularity now.” And that’s how the wanderer Sandaka sent his own assembly to lead the spiritual life under the Buddha.

    สนฺทกสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฉฏฺฐํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact