Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๖. สนฺทกสุตฺตํ
6. Sandakasuttaṃ
๒๒๓. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก ปิลกฺขคุหายํ ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ปริพฺพาชกสเตหิฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อายามาวุโส, เยน เทวกตโสโพฺภ เตนุปสงฺกมิสฺสาม คุหาทสฺสนายา’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ เยน เทวกตโสโพฺภ เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ นิสิโนฺน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ – ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฎฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ อทฺทสา โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ, มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถ; อยํ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อาคจฺฉติ สมโณ อานโนฺทฯ ยาวตา โข ปน สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา โกสมฺพิยํ ปฎิวสนฺติ, อยํ เตสํ อญฺญตโร สมโณ อานโนฺทฯ อปฺปสทฺทกามา โข ปน เต อายสฺมโนฺต อปฺปสทฺทวินีตา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทิโน; อเปฺปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยา’’ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ
223. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosambiyaṃ viharati ghositārāme. Tena kho pana samayena sandako paribbājako pilakkhaguhāyaṃ paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ pañcamattehi paribbājakasatehi. Atha kho āyasmā ānando sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito bhikkhū āmantesi – ‘‘āyāmāvuso, yena devakatasobbho tenupasaṅkamissāma guhādassanāyā’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho te bhikkhū āyasmato ānandassa paccassosuṃ. Atha kho āyasmā ānando sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ yena devakatasobbho tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena sandako paribbājako mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ nisinno hoti unnādiniyā uccāsaddamahāsaddāya anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentiyā, seyyathidaṃ – rājakathaṃ corakathaṃ mahāmattakathaṃ senākathaṃ bhayakathaṃ yuddhakathaṃ annakathaṃ pānakathaṃ vatthakathaṃ sayanakathaṃ mālākathaṃ gandhakathaṃ ñātikathaṃ yānakathaṃ gāmakathaṃ nigamakathaṃ nagarakathaṃ janapadakathaṃ itthikathaṃ sūrakathaṃ visikhākathaṃ kumbhaṭṭhānakathaṃ pubbapetakathaṃ nānattakathaṃ lokakkhāyikaṃ samuddakkhāyikaṃ itibhavābhavakathaṃ iti vā. Addasā kho sandako paribbājako āyasmantaṃ ānandaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna sakaṃ parisaṃ saṇṭhāpesi – ‘‘appasaddā bhonto hontu, mā bhonto saddamakattha; ayaṃ samaṇassa gotamassa sāvako āgacchati samaṇo ānando. Yāvatā kho pana samaṇassa gotamassa sāvakā kosambiyaṃ paṭivasanti, ayaṃ tesaṃ aññataro samaṇo ānando. Appasaddakāmā kho pana te āyasmanto appasaddavinītā appasaddassa vaṇṇavādino; appeva nāma appasaddaṃ parisaṃ viditvā upasaṅkamitabbaṃ maññeyyā’’ti. Atha kho te paribbājakā tuṇhī ahesuṃ.
๒๒๔. อถ โข อายสฺมา อานโนฺท เยน สนฺทโก ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘เอตุ โข ภวํ อานโนฺท, สฺวาคตํ โภโต อานนฺทสฺสฯ จิรสฺสํ โข ภวํ อานโนฺท อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ ภวํ อานโนฺท, อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ โข อายสฺมา อานโนฺท ปญฺญเตฺต อาสเนฯ สนฺทโกปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สนฺทกํ ปริพฺพาชกํ อายสฺมา อานโนฺท เอตทโวจ – ‘‘กายนุตฺถ, สนฺทก, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ? ‘‘ติฎฺฐเตสา, โภ อานนฺท, กถา ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา โภโต อานนฺทสฺส กถา ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ สาธุ วต ภวนฺตํเยว อานนฺทํ ปฎิภาตุ สเก อาจริยเก ธมฺมีกถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, สนฺทก, สุณาหิ , สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ โภ’’ติ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อายสฺมา อานโนฺท เอตทโวจ – ‘‘จตฺตาโรเม , สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา จตฺตาริ จ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ, ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ 1 นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติฯ ‘‘กตเม ปน เต, โภ อานนฺท, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา, ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติ?
224. Atha kho āyasmā ānando yena sandako paribbājako tenupasaṅkami. Atha kho sandako paribbājako āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘etu kho bhavaṃ ānando, svāgataṃ bhoto ānandassa. Cirassaṃ kho bhavaṃ ānando imaṃ pariyāyamakāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīdatu bhavaṃ ānando, idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi kho āyasmā ānando paññatte āsane. Sandakopi kho paribbājako aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho sandakaṃ paribbājakaṃ āyasmā ānando etadavoca – ‘‘kāyanuttha, sandaka, etarahi kathāya sannisinnā, kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti? ‘‘Tiṭṭhatesā, bho ānanda, kathā yāya mayaṃ etarahi kathāya sannisinnā. Nesā bhoto ānandassa kathā dullabhā bhavissati pacchāpi savanāya. Sādhu vata bhavantaṃyeva ānandaṃ paṭibhātu sake ācariyake dhammīkathā’’ti. ‘‘Tena hi, sandaka, suṇāhi , sādhukaṃ manasi karohi, bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ bho’’ti kho sandako paribbājako āyasmato ānandassa paccassosi. Āyasmā ānando etadavoca – ‘‘cattārome , sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena abrahmacariyavāsā akkhātā cattāri ca anassāsikāni brahmacariyāni akkhātāni, yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca 2 nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti. ‘‘Katame pana te, bho ānanda, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāro abrahmacariyavāsā akkhātā, yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti?
๒๒๕. ‘‘อิธ, สนฺทก, เอกโจฺจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ – ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโรโลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติฯ จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส ยทา กาลงฺกโรติ, ปถวี ปถวีกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ , อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติ, ยาวาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติฯ กาโปตกานิ อฎฺฐีนิ ภวนฺติฯ ภสฺสนฺตา อาหุติโย; ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํฯ เตสํ ตุจฺฉา มุสา วิลาโป เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติฯ พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ น โหนฺติ ปรํ มรณา’ติฯ
225. ‘‘Idha, sandaka, ekacco satthā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi – ‘natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko, natthi paroloko, natthi mātā, natthi pitā, natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedenti. Cātumahābhūtiko ayaṃ puriso yadā kālaṅkaroti, pathavī pathavīkāyaṃ anupeti anupagacchati, āpo āpokāyaṃ anupeti anupagacchati, tejo tejokāyaṃ anupeti anupagacchati, vāyo vāyokāyaṃ anupeti anupagacchati , ākāsaṃ indriyāni saṅkamanti. Āsandipañcamā purisā mataṃ ādāya gacchanti, yāvāḷāhanā padāni paññāyanti. Kāpotakāni aṭṭhīni bhavanti. Bhassantā āhutiyo; dattupaññattaṃ yadidaṃ dānaṃ. Tesaṃ tucchā musā vilāpo ye keci atthikavādaṃ vadanti. Bāle ca paṇḍite ca kāyassa bhedā ucchijjanti vinassanti na honti paraṃ maraṇā’ti.
‘‘ตตฺร , สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโรโลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติฯ จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส ยทา กาลงฺกโรติ, ปถวี ปถวีกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติฯ อาสนฺทิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติ, ยาวาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติฯ กาโปตกานิ อฎฺฐีนิ ภวนฺติฯ ภสฺสนฺตา อาหุติโย; ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํฯ เตสํ ตุจฺฉา มุสา วิลาโป เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติฯ พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ น โหนฺติ ปรํ มรณา’ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุโภ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชิสฺสาม, วินสฺสิสฺสาม, น ภวิสฺสาม ปรํ มรณา’ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ 3 อชฺฌาวสโนฺต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภโนฺต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรโนฺต ชาตรูปรชตํ สาทิยโนฺต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิฯ อภิสมฺปรายํ โสหํ กิํ ชานโนฺต กิํ ปสฺสโนฺต อิมสฺมิํ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติ 4ฯ อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปฐโม อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Tatra , sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko, natthi paroloko, natthi mātā, natthi pitā, natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedenti. Cātumahābhūtiko ayaṃ puriso yadā kālaṅkaroti, pathavī pathavīkāyaṃ anupeti anupagacchati, āpo āpokāyaṃ anupeti anupagacchati, tejo tejokāyaṃ anupeti anupagacchati, vāyo vāyokāyaṃ anupeti anupagacchati, ākāsaṃ indriyāni saṅkamanti. Āsandipañcamā purisā mataṃ ādāya gacchanti, yāvāḷāhanā padāni paññāyanti. Kāpotakāni aṭṭhīni bhavanti. Bhassantā āhutiyo; dattupaññattaṃ yadidaṃ dānaṃ. Tesaṃ tucchā musā vilāpo ye keci atthikavādaṃ vadanti. Bāle ca paṇḍite ca kāyassa bhedā ucchijjanti vinassanti na honti paraṃ maraṇā’ti. Sace imassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, akatena me ettha kataṃ, avusitena me ettha vusitaṃ. Ubhopi mayaṃ ettha samasamā sāmaññaṃ pattā, yo cāhaṃ na vadāmi ‘ubho kāyassa bhedā ucchijjissāma, vinassissāma, na bhavissāma paraṃ maraṇā’ti. Atirekaṃ kho panimassa bhoto satthuno naggiyaṃ muṇḍiyaṃ ukkuṭikappadhānaṃ kesamassulocanaṃ yohaṃ puttasambādhasayanaṃ 5 ajjhāvasanto kāsikacandanaṃ paccanubhonto mālāgandhavilepanaṃ dhārento jātarūparajataṃ sādiyanto iminā bhotā satthārā samasamagatiko bhavissāmi. Abhisamparāyaṃ sohaṃ kiṃ jānanto kiṃ passanto imasmiṃ satthari brahmacariyaṃ carissāmi? ‘So abrahmacariyavāso aya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati 6. Ayaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena paṭhamo abrahmacariyavāso akkhāto yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๒๖. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ – ‘กโรโต การยโต ฉินฺทโต เฉทาปยโต ปจโต ปาจาปยโต โสจยโต โสจาปยโต กิลมโต กิลมาปยโต ผนฺทโต ผนฺทาปยโต ปาณมติปาตยโต อทินฺนํ อาทิยโต สนฺธิํ ฉินฺทโต นิโลฺลปํ หรโต เอกาคาริกํ กโรโต ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต ปรทารํ คจฺฉโต มุสา ภณโต กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ
226. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi – ‘karoto kārayato chindato chedāpayato pacato pācāpayato socayato socāpayato kilamato kilamāpayato phandato phandāpayato pāṇamatipātayato adinnaṃ ādiyato sandhiṃ chindato nillopaṃ harato ekāgārikaṃ karoto paripanthe tiṭṭhato paradāraṃ gacchato musā bhaṇato karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pacāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti.
‘‘ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – กโรโต การยโต ฉินฺทโต เฉทาปยโต ปจโต ปาจาปยโต โสจโต โสจาปยโต กิลมโต กิลมาปยโต ผนฺทโต ผนฺทาปยโต ปาณมติปาตยโต อทินฺนํ อาทิยโต สนฺธิํ ฉินฺทโต นิโลฺลปํ หรโต เอกาคาริกํ กโรโต ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต ปรทารํ คจฺฉโต มุสา ภณโต กโรโต น กรียติ ปาปํ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุภินฺนํ กุรุตํ น กรียติ ปาป’นฺติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสโนฺต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภโนฺต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรโนฺต ชาตรูปรชตํ สาทิยโนฺต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิฯ อภิสมฺปรายํ โสหํ กิํ ชานโนฺต กิํ ปสฺสโนฺต อิมสฺมิํ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อย’นฺติ อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทุติโย อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – karoto kārayato chindato chedāpayato pacato pācāpayato socato socāpayato kilamato kilamāpayato phandato phandāpayato pāṇamatipātayato adinnaṃ ādiyato sandhiṃ chindato nillopaṃ harato ekāgārikaṃ karoto paripanthe tiṭṭhato paradāraṃ gacchato musā bhaṇato karoto na karīyati pāpaṃ khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pacāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti. Sace imassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, akatena me ettha kataṃ, avusitena me ettha vusitaṃ. Ubhopi mayaṃ ettha samasamā sāmaññaṃ pattā, yo cāhaṃ na vadāmi ‘ubhinnaṃ kurutaṃ na karīyati pāpa’nti. Atirekaṃ kho panimassa bhoto satthuno naggiyaṃ muṇḍiyaṃ ukkuṭikappadhānaṃ kesamassulocanaṃ yohaṃ puttasambādhasayanaṃ ajjhāvasanto kāsikacandanaṃ paccanubhonto mālāgandhavilepanaṃ dhārento jātarūparajataṃ sādiyanto iminā bhotā satthārā samasamagatiko bhavissāmi. Abhisamparāyaṃ sohaṃ kiṃ jānanto kiṃ passanto imasmiṃ satthari brahmacariyaṃ carissāmi? ‘So abrahmacariyavāso aya’nti iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Ayaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena dutiyo abrahmacariyavāso akkhāto yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๒๗. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ – ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ; นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติ; นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม , นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติฯ
227. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi – ‘natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya; ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti; natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā; ahetū appaccayā sattā visujjhanti; natthi balaṃ, natthi vīriyaṃ, natthi purisathāmo , natthi purisaparakkamo; sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti.
‘‘ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย, อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา, อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม, สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติฯ สเจ อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิ ‘อุโภ อเหตู อปฺปจฺจยา วิสุชฺฌิสฺสามา’ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสโนฺต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภโนฺต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรโนฺต ชาตรูปรชตํ สาทิยโนฺต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิฯ อภิสมฺปรายํ โสหํ กิํ ชานโนฺต กิํ ปสฺสโนฺต อิมสฺมิํ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ตติโย อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya, ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti. Natthi hetu natthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā, ahetū appaccayā sattā visujjhanti. Natthi balaṃ, natthi vīriyaṃ, natthi purisathāmo, natthi purisaparakkamo, sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti. Sace imassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, akatena me ettha kataṃ, avusitena me ettha vusitaṃ. Ubhopi mayaṃ ettha samasamā sāmaññaṃ pattā, yo cāhaṃ na vadāmi ‘ubho ahetū appaccayā visujjhissāmā’ti. Atirekaṃ kho panimassa bhoto satthuno naggiyaṃ muṇḍiyaṃ ukkuṭikappadhānaṃ kesamassulocanaṃ yohaṃ puttasambādhasayanaṃ ajjhāvasanto kāsikacandanaṃ paccanubhonto mālāgandhavilepanaṃ dhārento jātarūparajataṃ sādiyanto iminā bhotā satthārā samasamagatiko bhavissāmi. Abhisamparāyaṃ sohaṃ kiṃ jānanto kiṃ passanto imasmiṃ satthari brahmacariyaṃ carissāmi? ‘So abrahmacariyavāso aya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Ayaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena tatiyo abrahmacariyavāso akkhāto yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๒๘. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ – ‘สตฺติเม กายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตา, เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ กตเม สตฺต? ปถวีกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุเกฺข ชีเว สตฺตเม – อิเม สตฺตกายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ ตตฺถ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิญฺญาตา วา วิญฺญาเปตา วาฯ โยปิ ติเณฺหน สเตฺถน สีสํ ฉินฺทติ, น โกจิ กญฺจิ 7 ชีวิตา โวโรเปติฯ สตฺตนฺนํเตฺวว กายานมนฺตเรน สตฺถํ วิวรมนุปตติฯ จุทฺทส โข ปนิมานิ โยนิปมุขสตสหสฺสานิ สฎฺฐิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานิ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ, กเมฺม จ อฑฺฒกเมฺม จ, ทฺวฎฺฐิปฎิปทา, ทฺวฎฺฐนฺตรกปฺปา, ฉฬาภิชาติโย, อฎฺฐ ปุริสภูมิโย, เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเต, เอกูนปญฺญาส ปริพฺพาชกสเต, เอกูนปญฺญาส นาคาวาสสเต, วีเส อินฺทฺริยสเต, ติํเส นิรยสเต, ฉตฺติํส รโชธาตุโย, สตฺต สญฺญีคพฺภา, สตฺต อสญฺญีคพฺภา, สตฺต นิคณฺฐิคพฺภา, สตฺต เทวา, สตฺต มานุสา, สตฺต เปสาจา, สตฺต สรา, สตฺต ปวุฎา, สตฺต ปปาตา, สตฺต ปปาตสตานิ, สตฺต สุปินา, สตฺต สุปินสตานิ, จุลฺลาสีติ 8 มหากปฺปิโน 9 สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิ อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกฺกํ วา กมฺมํ ปริปาเจสฺสามิ, ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺติํ กริสฺสามีติฯ เหวํ นตฺถิ โทณมิเต สุขทุเกฺข ปริยนฺตกเต สํสาเร, นตฺถิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกฺกํสาวกํเสฯ เสยฺยถาปิ นาม สุตฺตคุเฬ ขิเตฺต นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลติ, เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’ติฯ
228. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi – ‘sattime kāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā, te na iñjanti na vipariṇamanti na aññamaññaṃ byābādhenti nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Katame satta? Pathavīkāyo āpokāyo tejokāyo vāyokāyo sukhe dukkhe jīve sattame – ime sattakāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā. Te na iñjanti na vipariṇamanti na aññamaññaṃ byābādhenti. Nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Tattha natthi hantā vā ghātetā vā sotā vā sāvetā vā viññātā vā viññāpetā vā. Yopi tiṇhena satthena sīsaṃ chindati, na koci kañci 10 jīvitā voropeti. Sattannaṃtveva kāyānamantarena satthaṃ vivaramanupatati. Cuddasa kho panimāni yonipamukhasatasahassāni saṭṭhi ca satāni cha ca satāni pañca ca kammuno satāni pañca ca kammāni tīṇi ca kammāni, kamme ca aḍḍhakamme ca, dvaṭṭhipaṭipadā, dvaṭṭhantarakappā, chaḷābhijātiyo, aṭṭha purisabhūmiyo, ekūnapaññāsa ājīvakasate, ekūnapaññāsa paribbājakasate, ekūnapaññāsa nāgāvāsasate, vīse indriyasate, tiṃse nirayasate, chattiṃsa rajodhātuyo, satta saññīgabbhā, satta asaññīgabbhā, satta nigaṇṭhigabbhā, satta devā, satta mānusā, satta pesācā, satta sarā, satta pavuṭā, satta papātā, satta papātasatāni, satta supinā, satta supinasatāni, cullāsīti 11 mahākappino 12 satasahassāni, yāni bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissanti. Tattha natthi imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā aparipakkaṃ vā kammaṃ paripācessāmi, paripakkaṃ vā kammaṃ phussa phussa byantiṃ karissāmīti. Hevaṃ natthi doṇamite sukhadukkhe pariyantakate saṃsāre, natthi hāyanavaḍḍhane, natthi ukkaṃsāvakaṃse. Seyyathāpi nāma suttaguḷe khitte nibbeṭhiyamānameva paleti, evameva bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’ti.
‘‘ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – สตฺติเม กายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ กตเม สตฺต ? ปถวีกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุเกฺข ชีเว สตฺตเม – อิเม สตฺต กายา อกฎา อกฎวิธา อนิมฺมิตา อนิมฺมาตา วญฺฌา กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตาฯ เต น อิญฺชนฺติ น วิปริณมนฺติ น อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติฯ นาลํ อญฺญมญฺญสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สุขทุกฺขาย วาฯ ตตฺถ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิญฺญาตา วา วิญฺญาเปตา วาฯ โยปิ ติเณฺหน สเตฺถน สีสํ ฉินฺทติ, น โกจิ กญฺจิ ชีวิตา โวโรเปติ ฯ สตฺตนฺนํเตฺวว กายานมนฺตเรน สตฺถํ วิวรมนุปตติฯ จุทฺทส โข ปนิมานิ โยนิปมุขสตสหสฺสานิ สฎฺฐิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปญฺจ จ กมฺมุโน สตานิ ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ, กเมฺม จ อฑฺฒกเมฺม จ, ทฺวฎฺฐิปฎิปทา, ทฺวฎฺฐนฺตรกปฺปา, ฉฬาภิชาติโย, อฎฺฐ ปุริสภูมิโย, เอกูนปญฺญาส อาชีวกสเต, เอกูนปญฺญาส ปริพฺพาชกสเต, เอกูนปญฺญาส นาคาวาสสเต, วีเส อินฺทฺริยสเต, ติํเส นิรยสเต, ฉตฺติํส รโชธาตุโย, สตฺต สญฺญีคพฺภา, สตฺต อสญฺญีคพฺภา, สตฺต นิคณฺฐิคพฺภา, สตฺต เทวา, สตฺต มานุสา, สตฺต เปสาจา, สตฺต สรา, สตฺต ปวุฎา, สตฺต ปปาตา, สตฺต ปปาตสตานิ, สตฺต สุปินา, สตฺต สุปินสตานิ, จุลฺลาสีติ มหากปฺปิโน สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ ตตฺถ นตฺถิ อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกฺกํ วา กมฺมํ ปริปาเจสฺสามิ, ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺติํ กริสฺสามีติ, เหวํ นตฺถิ โทณมิเต สุขทุเกฺข ปริยนฺตกเต สํสาเร, นตฺถิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกฺกํสาวกํเสฯ เสยฺยถาปิ นาม สุตฺตคุเฬ ขิเตฺต นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลติ, เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’ติฯ สเจ ปน อิมสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อกเตน เม เอตฺถ กตํ, อวุสิเตน เม เอตฺถ วุสิตํฯ อุโภปิ มยํ เอตฺถ สมสมา สามญฺญํ ปตฺตา, โย จาหํ น วทามิฯ ‘อุโภ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามา’ติฯ อติเรกํ โข ปนิมสฺส โภโต สตฺถุโน นคฺคิยํ มุณฺฑิยํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ เกสมสฺสุโลจนํ โยหํ ปุตฺตสมฺพาธสยนํ อชฺฌาวสโนฺต กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภโนฺต มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรโนฺต ชาตรูปรชตํ สาทิยโนฺต อิมินา โภตา สตฺถารา สมสมคติโก ภวิสฺสามิฯ อภิสมฺปรายํ โสหํ กิํ ชานโนฺต กิํ ปสฺสโนฺต อิมสฺมิํ สตฺถริ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามิ? ‘โส อพฺรหฺมจริยวาโส อย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อยํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตุโตฺถ อพฺรหฺมจริยวาโส อกฺขาโต ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – sattime kāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā. Te na iñjanti na vipariṇamanti na aññamaññaṃ byābādhenti. Nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Katame satta ? Pathavīkāyo āpokāyo tejokāyo vāyokāyo sukhe dukkhe jīve sattame – ime satta kāyā akaṭā akaṭavidhā animmitā animmātā vañjhā kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā. Te na iñjanti na vipariṇamanti na aññamaññaṃ byābādhenti. Nālaṃ aññamaññassa sukhāya vā dukkhāya vā sukhadukkhāya vā. Tattha natthi hantā vā ghātetā vā sotā vā sāvetā vā viññātā vā viññāpetā vā. Yopi tiṇhena satthena sīsaṃ chindati, na koci kañci jīvitā voropeti . Sattannaṃtveva kāyānamantarena satthaṃ vivaramanupatati. Cuddasa kho panimāni yonipamukhasatasahassāni saṭṭhi ca satāni cha ca satāni pañca ca kammuno satāni pañca ca kammāni tīṇi ca kammāni, kamme ca aḍḍhakamme ca, dvaṭṭhipaṭipadā, dvaṭṭhantarakappā, chaḷābhijātiyo, aṭṭha purisabhūmiyo, ekūnapaññāsa ājīvakasate, ekūnapaññāsa paribbājakasate, ekūnapaññāsa nāgāvāsasate, vīse indriyasate, tiṃse nirayasate, chattiṃsa rajodhātuyo, satta saññīgabbhā, satta asaññīgabbhā, satta nigaṇṭhigabbhā, satta devā, satta mānusā, satta pesācā, satta sarā, satta pavuṭā, satta papātā, satta papātasatāni, satta supinā, satta supinasatāni, cullāsīti mahākappino satasahassāni, yāni bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissanti. Tattha natthi imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā aparipakkaṃ vā kammaṃ paripācessāmi, paripakkaṃ vā kammaṃ phussa phussa byantiṃ karissāmīti, hevaṃ natthi doṇamite sukhadukkhe pariyantakate saṃsāre, natthi hāyanavaḍḍhane, natthi ukkaṃsāvakaṃse. Seyyathāpi nāma suttaguḷe khitte nibbeṭhiyamānameva paleti, evameva bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’ti. Sace pana imassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, akatena me ettha kataṃ, avusitena me ettha vusitaṃ. Ubhopi mayaṃ ettha samasamā sāmaññaṃ pattā, yo cāhaṃ na vadāmi. ‘Ubho sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissāmā’ti. Atirekaṃ kho panimassa bhoto satthuno naggiyaṃ muṇḍiyaṃ ukkuṭikappadhānaṃ kesamassulocanaṃ yohaṃ puttasambādhasayanaṃ ajjhāvasanto kāsikacandanaṃ paccanubhonto mālāgandhavilepanaṃ dhārento jātarūparajataṃ sādiyanto iminā bhotā satthārā samasamagatiko bhavissāmi. Abhisamparāyaṃ sohaṃ kiṃ jānanto kiṃ passanto imasmiṃ satthari brahmacariyaṃ carissāmi? ‘So abrahmacariyavāso aya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Ayaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena catuttho abrahmacariyavāso akkhāto yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘อิเม โข เต, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสา อกฺขาตา ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติฯ
‘‘Ime kho te, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāro abrahmacariyavāsā akkhātā yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti.
‘‘อจฺฉริยํ , โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาโร อพฺรหฺมจริยวาสาว สมานา ‘อพฺรหฺมจริยวาสา’ติ อกฺขาตา ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลนฺติฯ กตมานิ ปน ตานิ, โภ อานนฺท, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติ?
‘‘Acchariyaṃ , bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! Yāvañcidaṃ tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāro abrahmacariyavāsāva samānā ‘abrahmacariyavāsā’ti akkhātā yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalanti. Katamāni pana tāni, bho ānanda, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāri anassāsikāni brahmacariyāni akkhātāni yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti?
๒๒๙. ‘‘อิธ, สนฺทก, เอกโจฺจ สตฺถา สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานาติ – ‘จรโต จ เม ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิต’นฺติฯ โส สุญฺญมฺปิ อคารํ ปวิสติ, ปิณฺฑมฺปิ น ลภติ, กุกฺกุโรปิ ฑํสติ, จเณฺฑนปิ หตฺถินา สมาคจฺฉติ, จเณฺฑนปิ อเสฺสน สมาคจฺฉติ, จเณฺฑนปิ โคเณน สมาคจฺฉติ, อิตฺถิยาปิ ปุริสสฺสปิ นามมฺปิ โคตฺตมฺปิ ปุจฺฉติ, คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉติฯ โส ‘กิมิท’นฺติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘สุญฺญํ เม อคารํ ปวิสิตพฺพํ อโหสิ’, เตน ปาวิสิํ; ‘ปิณฺฑมฺปิ อลทฺธพฺพํ อโหสิ’, เตน นาลตฺถํ ; ‘กุกฺกุเรน ฑํสิตพฺพํ อโหสิ’, เตนมฺหิ 13 ทโฎฺฐ; ‘จเณฺฑน หตฺถินา สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ’, เตน สมาคมิํ; ‘จเณฺฑน อเสฺสน สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ’, เตน สมาคมิํ; ‘จเณฺฑน โคเณน สมาคนฺตพฺพํ อโหสิ’, เตน สมาคมิํ; ‘อิตฺถิยาปิ ปุริสสฺสปิ นามมฺปิ โคตฺตมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ’, เตน ปุจฺฉิํ; ‘คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ’, เตน ปุจฺฉินฺติฯ ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานาติ…เป.… ‘คามสฺสปิ นิคมสฺสปิ นามมฺปิ มคฺคมฺปิ ปุจฺฉิตพฺพํ อโหสิ, เตน ปุจฺฉิ’นฺติ ฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปฐมํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
229. ‘‘Idha, sandaka, ekacco satthā sabbaññū sabbadassāvī aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānāti – ‘carato ca me tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhita’nti. So suññampi agāraṃ pavisati, piṇḍampi na labhati, kukkuropi ḍaṃsati, caṇḍenapi hatthinā samāgacchati, caṇḍenapi assena samāgacchati, caṇḍenapi goṇena samāgacchati, itthiyāpi purisassapi nāmampi gottampi pucchati, gāmassapi nigamassapi nāmampi maggampi pucchati. So ‘kimida’nti puṭṭho samāno ‘suññaṃ me agāraṃ pavisitabbaṃ ahosi’, tena pāvisiṃ; ‘piṇḍampi aladdhabbaṃ ahosi’, tena nālatthaṃ ; ‘kukkurena ḍaṃsitabbaṃ ahosi’, tenamhi 14 daṭṭho; ‘caṇḍena hatthinā samāgantabbaṃ ahosi’, tena samāgamiṃ; ‘caṇḍena assena samāgantabbaṃ ahosi’, tena samāgamiṃ; ‘caṇḍena goṇena samāgantabbaṃ ahosi’, tena samāgamiṃ; ‘itthiyāpi purisassapi nāmampi gottampi pucchitabbaṃ ahosi’, tena pucchiṃ; ‘gāmassapi nigamassapi nāmampi maggampi pucchitabbaṃ ahosi’, tena pucchinti. Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā sabbaññū sabbadassāvī aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānāti…pe… ‘gāmassapi nigamassapi nāmampi maggampi pucchitabbaṃ ahosi, tena pucchi’nti . So ‘anassāsikaṃ idaṃ brahmacariya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Idaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena paṭhamaṃ anassāsikaṃ brahmacariyaṃ akkhātaṃ yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๓๐. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา อนุสฺสวิโก โหติ อนุสฺสวสโจฺจฯ โส อนุสฺสเวน อิติหิติหปรมฺปราย ปิฎกสมฺปทาย ธมฺมํ เทเสติฯ อนุสฺสวิกสฺส โข ปน, สนฺทก , สตฺถุโน อนุสฺสวสจฺจสฺส สุสฺสุตมฺปิ โหติ ทุสฺสุตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติฯ ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อนุสฺสวิโก อนุสฺสวสโจฺจ โส อนุสฺสเวน อิติหิติหปรมฺปราย ปิฎกสมฺปทาย ธมฺมํ เทเสติฯ อนุสฺสวิกสฺส โข ปน สตฺถุโน อนุสฺสวสจฺจสฺส สุสฺสุตมฺปิ โหติ ทุสฺสุตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติ’ฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทุติยํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
230. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā anussaviko hoti anussavasacco. So anussavena itihitihaparamparāya piṭakasampadāya dhammaṃ deseti. Anussavikassa kho pana, sandaka , satthuno anussavasaccassa sussutampi hoti dussutampi hoti tathāpi hoti aññathāpi hoti. Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā anussaviko anussavasacco so anussavena itihitihaparamparāya piṭakasampadāya dhammaṃ deseti. Anussavikassa kho pana satthuno anussavasaccassa sussutampi hoti dussutampi hoti tathāpi hoti aññathāpi hoti’. So ‘anassāsikaṃ idaṃ brahmacariya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Idaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena dutiyaṃ anassāsikaṃ brahmacariyaṃ akkhātaṃ yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๓๑. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา ตกฺกี โหติ วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตกฺกิสฺส โข ปน, สนฺทก, สตฺถุโน วีมํสิสฺส สุตกฺกิตมฺปิ โหติ ทุตฺตกฺกิตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติฯ ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา ตกฺกี วีมํสีฯ โส ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ ธมฺมํ เทเสติฯ ตกฺกิสฺส โข ปน สตฺถุโน วีมํสิสฺส สุตกฺกิตมฺปิ โหติ ทุตฺตกฺกิตมฺปิ โหติ ตถาปิ โหติ อญฺญถาปิ โหติ’ฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ตติยํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
231. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā takkī hoti vīmaṃsī. So takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ dhammaṃ deseti. Takkissa kho pana, sandaka, satthuno vīmaṃsissa sutakkitampi hoti duttakkitampi hoti tathāpi hoti aññathāpi hoti. Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā takkī vīmaṃsī. So takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ dhammaṃ deseti. Takkissa kho pana satthuno vīmaṃsissa sutakkitampi hoti duttakkitampi hoti tathāpi hoti aññathāpi hoti’. So ‘anassāsikaṃ idaṃ brahmacariya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Idaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena tatiyaṃ anassāsikaṃ brahmacariyaṃ akkhātaṃ yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
๒๓๒. ‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, อิเธกโจฺจ สตฺถา มโนฺท โหติ โมมูโหฯ โส มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ตตฺถ ตตฺถ 15 ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน วาจาวิเกฺขปํ อาปชฺชติ อมราวิเกฺขปํ – ‘เอวนฺติปิ 16 เม โน, ตถาติปิ 17 เม โน, อญฺญถาติปิ 18 เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน’ติฯ ตตฺร, สนฺทก, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา มโนฺท โมมูโหฯ โส มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน วาจาวิเกฺขปํ อาปชฺชติ อมราวิเกฺขปํ – เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน, อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน’ติฯ โส ‘อนสฺสาสิกํ อิทํ พฺรหฺมจริย’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺมา พฺรหฺมจริยา นิพฺพิชฺช ปกฺกมติฯ อิทํ โข, สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตุตฺถํ อนสฺสาสิกํ พฺรหฺมจริยํ อกฺขาตํ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
232. ‘‘Puna caparaṃ, sandaka, idhekacco satthā mando hoti momūho. So mandattā momūhattā tattha tattha 19 pañhaṃ puṭṭho samāno vācāvikkhepaṃ āpajjati amarāvikkhepaṃ – ‘evantipi 20 me no, tathātipi 21 me no, aññathātipi 22 me no, notipi me no, no notipi me no’ti. Tatra, sandaka, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā mando momūho. So mandattā momūhattā tattha tattha pañhaṃ puṭṭho samāno vācāvikkhepaṃ āpajjati amarāvikkhepaṃ – evantipi me no, tathātipi me no, aññathātipi me no, notipi me no, no notipi me no’ti. So ‘anassāsikaṃ idaṃ brahmacariya’nti – iti viditvā tasmā brahmacariyā nibbijja pakkamati. Idaṃ kho, sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena catutthaṃ anassāsikaṃ brahmacariyaṃ akkhātaṃ yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘อิมานิ โข, (ตานิ สนฺทก, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานิ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติฯ
‘‘Imāni kho, (tāni sandaka, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāri anassāsikāni brahmacariyāni akkhātāni yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti.
‘‘อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน จตฺตาริ อนสฺสาสิกาเนว พฺรหฺมจริยานิ อนสฺสาสิกานิ พฺรหฺมจริยานีติ อกฺขาตานิ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ น วเสยฺย, วสโนฺต จ นาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ โส ปน, โภ อานนฺท, สตฺถา กิํ วาที กิํ อกฺขายี ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติฯ
‘‘Acchariyaṃ, bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! Yāvañcidaṃ tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena cattāri anassāsikāneva brahmacariyāni anassāsikāni brahmacariyānīti akkhātāni yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ na vaseyya, vasanto ca nārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ. So pana, bho ānanda, satthā kiṃ vādī kiṃ akkhāyī yattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti.
๒๓๓. ‘‘อิธ, สนฺทก, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา…เป.… 23 โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมิํ โข 24, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
233. ‘‘Idha, sandaka, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā…pe… 25 so ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yasmiṃ kho 26, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป... ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Puna caparaṃ, sandaka, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe... dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Puna caparaṃ, sandaka, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, สนฺทก, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘Puna caparaṃ, sandaka, bhikkhu sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสลํฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate…pe… yathākammūpage satte pajānāti. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusalaṃ.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ ยสฺมิํ โข, สนฺทก, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารวิเสสํ อธิคจฺฉติ ตตฺถ วิญฺญู ปุริโส สสกฺกํ พฺรหฺมจริยํ วเสยฺย, วสโนฺต จ อาราเธยฺย ญายํ ธมฺมํ กุสล’’นฺติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti; ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Yasmiṃ kho, sandaka, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāravisesaṃ adhigacchati tattha viññū puriso sasakkaṃ brahmacariyaṃ vaseyya, vasanto ca ārādheyya ñāyaṃ dhammaṃ kusala’’nti.
๒๓๔. ‘‘โย ปน โส, โภ อานนฺท, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทโตฺถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต ปริภุเญฺชยฺย โส กาเม’’ติ? ‘‘โย โส, สนฺทก, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทโตฺถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต อภโพฺพ โส ปญฺจฎฺฐานานิ อชฺฌาจริตุํฯ อภโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตุํ, อภโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทาตุํ, อภโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวตุํ, อภโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สมฺปชานมุสา ภาสิตุํ, อภโพฺพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สนฺนิธิการกํ กาเม ปริภุญฺชิตุํ, เสยฺยถาปิ ปุเพฺพ อคาริยภูโตฯ โย โส, สนฺทก, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทโตฺถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต อภโพฺพ โส อิมานิ ปญฺจฎฺฐานานิ อชฺฌาจริตุ’’นฺติฯ
234. ‘‘Yo pana so, bho ānanda, bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo vusitavā katakaraṇīyo ohitabhāro anuppattasadattho parikkhīṇabhavasaṃyojano sammadaññā vimutto paribhuñjeyya so kāme’’ti? ‘‘Yo so, sandaka, bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo vusitavā katakaraṇīyo ohitabhāro anuppattasadattho parikkhīṇabhavasaṃyojano sammadaññā vimutto abhabbo so pañcaṭṭhānāni ajjhācarituṃ. Abhabbo khīṇāsavo bhikkhu sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropetuṃ, abhabbo khīṇāsavo bhikkhu adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādātuṃ, abhabbo khīṇāsavo bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevetuṃ, abhabbo khīṇāsavo bhikkhu sampajānamusā bhāsituṃ, abhabbo khīṇāsavo bhikkhu sannidhikārakaṃ kāme paribhuñjituṃ, seyyathāpi pubbe agāriyabhūto. Yo so, sandaka, bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo vusitavā katakaraṇīyo ohitabhāro anuppattasadattho parikkhīṇabhavasaṃyojano sammadaññā vimutto abhabbo so imāni pañcaṭṭhānāni ajjhācaritu’’nti.
๒๓๕. ‘‘โย ปน โส, โภ อานนฺท, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทโตฺถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต ตสฺส จรโต เจว ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – ‘ขีณา เม อาสวา’’’ติ? ‘‘เตน หิ, สนฺทก, อุปมํ เต กริสฺสามิ; อุปมายปิเธกเจฺจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, สนฺทก, ปุริสสฺส หตฺถปาทา ฉินฺนา; ตสฺส จรโต เจว ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ (ชานาติ – ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา’ติ, อุทาหุ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ – ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา’’’ติ? ‘‘น โข, โภ อานนฺท, โส ปุริโส สตตํ สมิตํ ชานาติ – ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา’ ติฯ) 27 อปิ จ โข ปน นํ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ – ‘ฉินฺนา เม หตฺถปาทา’’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, สนฺทก, โย โส ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทโตฺถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต ตสฺส จรโต เจว ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ (ญาณทสฺสนํ น ปจฺจุปฎฺฐิตํ – ‘ขีณา เม อาสวา’ติ;) 28 อปิ จ โข ปน นํ ปจฺจเวกฺขมาโน ชานาติ – ‘ขีณา เม อาสวา’’’ติฯ
235. ‘‘Yo pana so, bho ānanda, bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo vusitavā katakaraṇīyo ohitabhāro anuppattasadattho parikkhīṇabhavasaṃyojano sammadaññā vimutto tassa carato ceva tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ‘khīṇā me āsavā’’’ti? ‘‘Tena hi, sandaka, upamaṃ te karissāmi; upamāyapidhekacce viññū purisā bhāsitassa atthaṃ ājānanti. Seyyathāpi, sandaka, purisassa hatthapādā chinnā; tassa carato ceva tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ (jānāti – ‘chinnā me hatthapādā’ti, udāhu paccavekkhamāno jānāti – ‘chinnā me hatthapādā’’’ti? ‘‘Na kho, bho ānanda, so puriso satataṃ samitaṃ jānāti – ‘chinnā me hatthapādā’ ti.) 29 Api ca kho pana naṃ paccavekkhamāno jānāti – ‘chinnā me hatthapādā’’’ti. ‘‘Evameva kho, sandaka, yo so bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo vusitavā katakaraṇīyo ohitabhāro anuppattasadattho parikkhīṇabhavasaṃyojano sammadaññā vimutto tassa carato ceva tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ (ñāṇadassanaṃ na paccupaṭṭhitaṃ – ‘khīṇā me āsavā’ti;) 30 api ca kho pana naṃ paccavekkhamāno jānāti – ‘khīṇā me āsavā’’’ti.
๒๓๖. ‘‘กีวพหุกา ปน, โภ อานนฺท, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย นิยฺยาตาโร’’ติ? ‘‘น โข, สนฺทก, เอกํเยว สตํ น เทฺว สตานิ น ตีณิ สตานิ น จตฺตาริ สตานิ น ปญฺจ สตานิ, อถ โข ภิโยฺยว เย อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย นิยฺยาตาโร’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! น จ นาม สธโมฺมกฺกํสนา ภวิสฺสติ, น ปรธมฺมวมฺภนา, อายตเน จ ธมฺมเทสนา ตาว พหุกา จ นิยฺยาตาโร ปญฺญายิสฺสนฺติฯ อิเม ปนาชีวกา ปุตฺตมตาย ปุตฺตา อตฺตานเญฺจว อุกฺกํเสนฺติ, ปเร จ วเมฺภนฺติ ตโย เจว นิยฺยาตาโร ปญฺญเปนฺติ, เสยฺยถิทํ – นนฺทํ วจฺฉํ, กิสํ สํกิจฺจํ, มกฺขลิํ โคสาล’’นฺติฯ อถ โข สนฺทโก ปริพฺพาชโก สกํ ปริสํ อามเนฺตสิ – ‘‘จรนฺตุ โภโนฺต สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยวาโสฯ น ทานิ สุกรํ อเมฺหหิ ลาภสกฺการสิโลเก ปริจฺจชิตุ’’นฺติฯ อิติ หิทํ สนฺทโก ปริพฺพาชโก สกํ ปริสํ อุโยฺยเชสิ ภควติ พฺรหฺมจริเยติฯ
236. ‘‘Kīvabahukā pana, bho ānanda, imasmiṃ dhammavinaye niyyātāro’’ti? ‘‘Na kho, sandaka, ekaṃyeva sataṃ na dve satāni na tīṇi satāni na cattāri satāni na pañca satāni, atha kho bhiyyova ye imasmiṃ dhammavinaye niyyātāro’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! Na ca nāma sadhammokkaṃsanā bhavissati, na paradhammavambhanā, āyatane ca dhammadesanā tāva bahukā ca niyyātāro paññāyissanti. Ime panājīvakā puttamatāya puttā attānañceva ukkaṃsenti, pare ca vambhenti tayo ceva niyyātāro paññapenti, seyyathidaṃ – nandaṃ vacchaṃ, kisaṃ saṃkiccaṃ, makkhaliṃ gosāla’’nti. Atha kho sandako paribbājako sakaṃ parisaṃ āmantesi – ‘‘carantu bhonto samaṇe gotame brahmacariyavāso. Na dāni sukaraṃ amhehi lābhasakkārasiloke pariccajitu’’nti. Iti hidaṃ sandako paribbājako sakaṃ parisaṃ uyyojesi bhagavati brahmacariyeti.
สนฺทกสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ฉฎฺฐํฯ
Sandakasuttaṃ niṭṭhitaṃ chaṭṭhaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. สนฺทกสุตฺตวณฺณนา • 6. Sandakasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. สนฺทกสุตฺตวณฺณนา • 6. Sandakasuttavaṇṇanā