Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๖. สนฺทกสุตฺตวณฺณนา
6. Sandakasuttavaṇṇanā
๒๒๓. เทเวน วเสฺสน กโต โสโพฺภ เทวกตโสโพฺภฯ เตนาห ‘‘วโสฺส…เป.… รหโท’’ติฯ คุหาติ ปํสุคุหา ปาสาณคุหา มิสฺสกคุหาติ ติโสฺส คุหาฯ ตตฺถ ปํสุคุหา อุทกมุตฺตฎฺฐาเน อโหสิ นินฺนฎฺฐานํ ปน อุทเกน อโชฺฌตฺถตํฯ อุมงฺคํ กตฺวาติ เหฎฺฐา สุทุคฺคํ กตฺวาฯ อนมตคฺคิยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาติ ‘‘น โข โส สตฺตาวาโส สุลภรูโป, โย อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา อนาวุฎฺฐปุโพฺพ’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๖๐) อิทญฺจ ตฬากํ มยา วุตฺถปุพฺพํ ภวิสฺสติ, ตมฺปิ ฐานํ โส จ อตฺตภาโว อปญฺญตฺติกภาวํ คโตติ เอวํ อนมตคฺคิยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ตาทิสํ ฐานํ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ อิมินา นเยน สมุทฺทปพฺพตทสฺสนาทีสุปิ ปจฺจเวกฺขณาวิธิ เวทิตโพฺพฯ
223. Devena vassena kato sobbho devakatasobbho. Tenāha ‘‘vasso…pe… rahado’’ti. Guhāti paṃsuguhā pāsāṇaguhā missakaguhāti tisso guhā. Tattha paṃsuguhā udakamuttaṭṭhāne ahosi ninnaṭṭhānaṃ pana udakena ajjhotthataṃ. Umaṅgaṃ katvāti heṭṭhā suduggaṃ katvā. Anamataggiyaṃpaccavekkhitvāti ‘‘na kho so sattāvāso sulabharūpo, yo iminā dīghena addhunā anāvuṭṭhapubbo’’tiādinā (ma. ni. 1.160) idañca taḷākaṃ mayā vutthapubbaṃ bhavissati, tampi ṭhānaṃ so ca attabhāvo apaññattikabhāvaṃ gatoti evaṃ anamataggiyaṃ paccavekkhitvā tādisaṃ ṭhānaṃ gantuṃ vaṭṭati. Iminā nayena samuddapabbatadassanādīsupi paccavekkhaṇāvidhi veditabbo.
อุจฺจํ นทมานายาติ อุจฺจํ กตฺวา สทฺทํ กโรนฺติยา กามสฺสาทภวสฺสาทาทิวตฺถุนฺติ ‘‘อยญฺจ อยญฺจ กาโม อิโฎฺฐ กโนฺต มนาโป, อสุโก ภโว อิโฎฺฐ กโนฺต มนาโป, เอวมยํ โลโก ปิเยหิ ปิยตโร’’ติ เอวํ กามสฺสาทภวสฺสาทโลกสฺสาทาทิสงฺขาตํ วตฺถุํฯ ทุคฺคติโต สํสารโต จ นิยฺยาติ เอเตนาติ นิยฺยานํ, สคฺคมโคฺค โมกฺขมโคฺค จ, ตํ นิยฺยานํ อรหติ, นิยฺยาเน วา นิยุตฺตาติ นิยฺยานิกา, นิยฺยานํ วา ผลํ เอติสฺสา อตฺถีติ นิยฺยานิกา, วจีทุจฺจริตาทิสํกิเลสโต นิยฺยาตีติ วา นิยฺยานียา, อี-การสฺส รสฺสตฺตํ ย-การสฺส จ ก-การํ กตฺวา นิยฺยานิกา, เจตนาย สทฺธิํ สมฺผปฺปลาปา เวรมณิฯ ตปฺปฎิปกฺขโต อนิยฺยานิกา, ตสฺสา ภาโว อนิยฺยานิกตฺตํ, ตสฺมา อนิยฺยานิกตฺตาฯ ติรจฺฉานภูตาติ ติโรกรณภูตาฯ เคหสฺสิตกถาติ กามปฎิสํยุตฺตกถาฯ กมฺมฎฺฐานภาเวติ อนิจฺจตาปฎิสํยุตฺตจตุสจฺจกมฺมฎฺฐานภาเวฯ สห อเตฺถนาติ สาตฺถกํ, หิตปฎิสํยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ วิสิขาติ ฆรสนฺนิเวโส, วิสิขาคหเณน จ ตนฺนิวาสิโน คหิตา ‘‘คาโม อาคโต’’ติอาทีสุ (สารตฺถ. ฎี. ๑.อาจริยปรมฺปรกถาวณฺณนา) วิยฯ เตเนวาห ‘‘สูรา สมตฺถา’’ติ ‘‘สทฺธา ปสนฺนา’’ติ จฯ กุมฺภฎฺฐานปฺปเทเสน กุมฺภทาสิโย วุตฺตาติ อาห ‘‘กุมฺภทาสิกถา วา’’ติฯ
Uccaṃ nadamānāyāti uccaṃ katvā saddaṃ karontiyā kāmassādabhavassādādivatthunti ‘‘ayañca ayañca kāmo iṭṭho kanto manāpo, asuko bhavo iṭṭho kanto manāpo, evamayaṃ loko piyehi piyataro’’ti evaṃ kāmassādabhavassādalokassādādisaṅkhātaṃ vatthuṃ. Duggatito saṃsārato ca niyyāti etenāti niyyānaṃ, saggamaggo mokkhamaggo ca, taṃ niyyānaṃ arahati, niyyāne vā niyuttāti niyyānikā, niyyānaṃ vā phalaṃ etissā atthīti niyyānikā, vacīduccaritādisaṃkilesato niyyātīti vā niyyānīyā, ī-kārassa rassattaṃ ya-kārassa ca ka-kāraṃ katvā niyyānikā, cetanāya saddhiṃ samphappalāpā veramaṇi. Tappaṭipakkhato aniyyānikā, tassā bhāvo aniyyānikattaṃ, tasmā aniyyānikattā. Tiracchānabhūtāti tirokaraṇabhūtā. Gehassitakathāti kāmapaṭisaṃyuttakathā. Kammaṭṭhānabhāveti aniccatāpaṭisaṃyuttacatusaccakammaṭṭhānabhāve. Saha atthenāti sātthakaṃ, hitapaṭisaṃyuttanti attho. Visikhāti gharasanniveso, visikhāgahaṇena ca tannivāsino gahitā ‘‘gāmo āgato’’tiādīsu (sārattha. ṭī. 1.ācariyaparamparakathāvaṇṇanā) viya. Tenevāha ‘‘sūrā samatthā’’ti ‘‘saddhā pasannā’’ti ca. Kumbhaṭṭhānappadesena kumbhadāsiyo vuttāti āha ‘‘kumbhadāsikathā vā’’ti.
๒๒๘. โวหาโร วิย เตสํ ตถา โวหารมตฺตํ คเหตฺวา วุตฺตํ ‘‘พฺรหฺมจริยวาเส’’ติฯ อกตาติ สเมน, วิสเมน วา เกนจิ เหตุนา น กตา น วิหิตาฯ กตวิโธ กรณวิธิ นตฺถิ เอเตสนฺติ อกฎวิธาฯ ปททฺวเยนปิ โลเก เกนจิ เหตุปจฺจเยน เนสํ อนิพฺพตฺตตํ ทเสฺสติฯ อิทฺธิยาปิ น นิมฺมิตาติ กสฺสจิ อิทฺธิมโต เจโตวสิปฺปตฺตสฺส เทวสฺส, อิสฺสราทิโน วา อิทฺธิยาปิ น นิมฺมิตาฯ อนิมฺมาตาติ กสฺสจิ อนิมฺมาปิตาฯ รูปาทิชนกภาวนฺติ รูปสทฺทาทีนํ ปจฺจยภาวํ, รูปาทโยปิ ปถวิยาทีหิ อปฺปฎิพทฺธวุตฺติกาติ ตสฺส อธิปฺปาโยฯ ยถา ปพฺพตกูฎํ เกนจิ อนิพฺพตฺติตํ กสฺสจิ จ อนิพฺพตฺตนกํ, เอวเมเตปีติ อาห ‘‘ปพฺพตกูฎา วิย ฐิตาติ กูฎฎฺฐา’’ติฯ ยมิทํ พีชโต องฺกุราทิ ชายตีติ วุจฺจติ, ตํ วิชฺชมานเมว ตโต นิกฺขมติ นาวิชฺชมานํ, อญฺญถา อญฺญโตปิ อญฺญสฺส อุปลทฺธิ สิยาติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ ฐิตาติ เอวํ นิพฺพิการา ฐิตาฯ อุภเยนปีติ อตฺถทฺวเยนปีติ วทนฺติฯ ‘‘กูฎฎฺฐา เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตา’’ติ ปททฺวเยนปิฯ เตสํ สตฺตนฺนํ กายานํฯ ฐิตตฺตาติ นิพฺพิการาภาเวน ฐิตตฺตาฯ น จลนฺตีติ วิการํ นาปชฺชนฺติฯ วิการาภาวโต หิ เตสํ สตฺตนฺนํ กายานํ เอสิกฎฺฐายิฎฺฐิตตาฯ อนิญฺชนญฺจ อตฺถโต ปกติยา อวฎฺฐานเมวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘น วิปริณาเมนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตถา อวิปริณามธมฺมตฺตา เอว เต อญฺญมญฺญํ น พฺยาพาเธนฺติฯ สติ หิ วิการํ อาปาเทตพฺพตาย พฺยาพาธกตาปิ สิยา, ตถา อนุคฺคเหตพฺพตาย อนุคฺคาหกตาติ ตทภาวํ ทเสฺสตุํ ปาฬิยํ ‘‘นาล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
228. Vohāro viya tesaṃ tathā vohāramattaṃ gahetvā vuttaṃ ‘‘brahmacariyavāse’’ti. Akatāti samena, visamena vā kenaci hetunā na katā na vihitā. Katavidho karaṇavidhi natthi etesanti akaṭavidhā. Padadvayenapi loke kenaci hetupaccayena nesaṃ anibbattataṃ dasseti. Iddhiyāpi na nimmitāti kassaci iddhimato cetovasippattassa devassa, issarādino vā iddhiyāpi na nimmitā. Animmātāti kassaci animmāpitā. Rūpādijanakabhāvanti rūpasaddādīnaṃ paccayabhāvaṃ, rūpādayopi pathaviyādīhi appaṭibaddhavuttikāti tassa adhippāyo. Yathā pabbatakūṭaṃ kenaci anibbattitaṃ kassaci ca anibbattanakaṃ, evametepīti āha ‘‘pabbatakūṭā viya ṭhitāti kūṭaṭṭhā’’ti. Yamidaṃ bījato aṅkurādi jāyatīti vuccati, taṃ vijjamānameva tato nikkhamati nāvijjamānaṃ, aññathā aññatopi aññassa upaladdhi siyāti adhippāyo. Evaṃ ṭhitāti evaṃ nibbikārā ṭhitā. Ubhayenapīti atthadvayenapīti vadanti. ‘‘Kūṭaṭṭhā esikaṭṭhāyiṭṭhitā’’ti padadvayenapi. Tesaṃ sattannaṃ kāyānaṃ. Ṭhitattāti nibbikārābhāvena ṭhitattā. Na calantīti vikāraṃ nāpajjanti. Vikārābhāvato hi tesaṃ sattannaṃ kāyānaṃ esikaṭṭhāyiṭṭhitatā. Aniñjanañca atthato pakatiyā avaṭṭhānamevāti dassetuṃ ‘‘na vipariṇāmentī’’ti vuttaṃ. Tathā avipariṇāmadhammattā eva te aññamaññaṃ na byābādhenti. Sati hi vikāraṃ āpādetabbatāya byābādhakatāpi siyā, tathā anuggahetabbatāya anuggāhakatāti tadabhāvaṃ dassetuṃ pāḷiyaṃ ‘‘nāla’’ntiādi vuttaṃ.
ปถวี เอว กาเยกเทสตฺตา ปถวีกาโยฯ หนฺตุํ วา ฆาเตตุํ วา สมโตฺถ นาม นตฺถิ ชีวสตฺตมานํ กายานํ นิจฺจตาย นิพฺพิการภาวโต, เอเตเนว เนสมหนฺตพฺพตา อฆาเตตพฺพตา อตฺถโต วุตฺตาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘สตฺตนฺนํเตฺวว กายาน’’นฺติอาทิฯ โสตุํ วา สาเวตุํ วา สมโตฺถ นาม นตฺถีติ ปเจฺจกํ เนสํ สวเนสุ อสมตฺถตฺตา ตเทกเทสาทีสุปิ อสมตฺถตํ ทีเปติฯ ยทิ โกจิ หนฺตา นตฺถิ, กถํ สตฺถปฺปหาโรติ อาห ‘‘ยถา มุคฺคราสิอาทีสู’’ติอาทิฯ เกวลํ สญฺญามตฺตเมว โหติ, หนนฆาตนาทิ ปน ปรมตฺถโต นเตฺถว กายานํ อวิโกปนียภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ เกวลํ ตกฺกมเตฺตน นิรตฺถกํ ทิฎฺฐิํ ทีเปตีติ เอเตน ยสฺมา ตกฺกิกา นิรงฺกุสตาย ปริกปฺปนสฺส ยํ กิญฺจิ อตฺตนา ปริกปฺปิตํ สารโต มญฺญมานา ตเถว อภินิวิสฺส ตกฺกทิฎฺฐิคฺคาหํ คณฺหนฺติ, ตสฺมา น เตสํ ทิฎฺฐิวตฺถุสฺมิํ วิญฺญูหิ วิจารณา กตฺตพฺพาติ ทเสฺสติฯ เกจีติ สารสมาสาจริยาฯ ปญฺจินฺทฺริยวเสนาติ ปญฺจรูปินฺทฺริยวเสนฯ กมฺมนฺติ ลทฺธิ กมฺมภาเวน สุปากฎตฺตาฯ อวงฺกกถาตารณาทิกา ทฺวาสฎฺฐิ ปฎิปทาฯ เอกสฺมิํ กเปฺปติ เอกสฺมิํ มหากเปฺปฯ
Pathavī eva kāyekadesattā pathavīkāyo. Hantuṃ vā ghātetuṃ vā samattho nāma natthi jīvasattamānaṃ kāyānaṃ niccatāya nibbikārabhāvato, eteneva nesamahantabbatā aghātetabbatā atthato vuttāyevāti daṭṭhabbā. Tathā hi vuttaṃ ‘‘sattannaṃtveva kāyāna’’ntiādi. Sotuṃ vā sāvetuṃ vā samattho nāma natthīti paccekaṃ nesaṃ savanesu asamatthattā tadekadesādīsupi asamatthataṃ dīpeti. Yadi koci hantā natthi, kathaṃ satthappahāroti āha ‘‘yathā muggarāsiādīsū’’tiādi. Kevalaṃ saññāmattameva hoti, hananaghātanādi pana paramatthato nattheva kāyānaṃ avikopanīyabhāvatoti adhippāyo. Kevalaṃ takkamattena niratthakaṃ diṭṭhiṃ dīpetīti etena yasmā takkikā niraṅkusatāya parikappanassa yaṃ kiñci attanā parikappitaṃ sārato maññamānā tatheva abhinivissa takkadiṭṭhiggāhaṃ gaṇhanti, tasmā na tesaṃ diṭṭhivatthusmiṃ viññūhi vicāraṇā kattabbāti dasseti. Kecīti sārasamāsācariyā. Pañcindriyavasenāti pañcarūpindriyavasena. Kammanti laddhi kammabhāvena supākaṭattā. Avaṅkakathātāraṇādikā dvāsaṭṭhi paṭipadā. Ekasmiṃ kappeti ekasmiṃ mahākappe.
ปุริสภูมิโยติ ปธานปุคฺคเลน นิเทฺทโส, อิตฺถีนเมฺปตา ภูมิโย อิจฺฉเนฺตวฯ ภิกฺขุ จ ปนฺนโกติอาทิ เตสํ ปาฬิเยวฯ ตตฺถ ปนฺนโกติ ภิกฺขาย วิจรณโกติ วทนฺติ, เตสํ วา ปฎิปตฺติํ ปฎิปนฺนโกฯ ชิโนติ ชิโณฺณ, ชราวเสน นิหีนธาตุโกติ วทนฺติ, อตฺตโน วา ปฎิปตฺติยา ปฎิปกฺขํ ชินิตฺวา ฐิโตฯ โส กิร ตถาภูโต กสฺสจิปิ ธมฺมํ น กเถติ, เตนาห ‘‘น กิญฺจิ อาหา’’ติฯ อลาภินฺติ ‘‘โส น กุมฺภิมุขา ปฎิคฺคณฺหตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๓๙๔) นเยน วุตฺตอลาภเหตุสมาโยเคน อลาภิํฯ ตโต เอว ชิฆจฺฉาทุพฺพลปเรตตาย สยนปรายณํ สมณํ ปนฺนภูมีติ วทติฯ
Purisabhūmiyoti padhānapuggalena niddeso, itthīnampetā bhūmiyo icchanteva. Bhikkhu ca pannakotiādi tesaṃ pāḷiyeva. Tattha pannakoti bhikkhāya vicaraṇakoti vadanti, tesaṃ vā paṭipattiṃ paṭipannako. Jinoti jiṇṇo, jarāvasena nihīnadhātukoti vadanti, attano vā paṭipattiyā paṭipakkhaṃ jinitvā ṭhito. So kira tathābhūto kassacipi dhammaṃ na katheti, tenāha ‘‘na kiñci āhā’’ti. Alābhinti ‘‘so na kumbhimukhā paṭiggaṇhatī’’tiādinā (dī. ni. 1.394) nayena vuttaalābhahetusamāyogena alābhiṃ. Tato eva jighacchādubbalaparetatāya sayanaparāyaṇaṃ samaṇaṃ pannabhūmīti vadati.
อาชีววุตฺติสตานีติ สตฺตานํ อาชีวภูตานิ ชีวิกาวุตฺติสตานิฯ ปสุคฺคหเณน เอฬกชาติ คหิตา, มิคคฺคหเณน รุรุควยาทิสพฺพมิคชาติฯ พหู เทวาติ จาตุมหาราชิกาทิพฺรหฺมกายิกาทิวเสน เนสํ อนฺตรเภทวเสน พหู เทวาฯ ตตฺถ จาตุมหาราชิกานํ เอกโจฺจ อนฺตรเภโท ‘‘มหาสมยสุเตฺตน’’ (ที. นิ. ๒.๓๓๑ อาทโย) ทีเปตโพฺพฯ มานุสาปิ อนนฺตาติ ทีปเทสกุลวํสาชีวาทิวิภาควเสน มานุสาปิ อนนฺตเภทาฯ ปิสาจา เอว เปสาจา, เต อปรเปตาทโย มหนฺตา เวทิตพฺพาฯ
Ājīvavuttisatānīti sattānaṃ ājīvabhūtāni jīvikāvuttisatāni. Pasuggahaṇena eḷakajāti gahitā, migaggahaṇena rurugavayādisabbamigajāti. Bahū devāti cātumahārājikādibrahmakāyikādivasena nesaṃ antarabhedavasena bahū devā. Tattha cātumahārājikānaṃ ekacco antarabhedo ‘‘mahāsamayasuttena’’ (dī. ni. 2.331 ādayo) dīpetabbo. Mānusāpi anantāti dīpadesakulavaṃsājīvādivibhāgavasena mānusāpi anantabhedā. Pisācā eva pesācā, te aparapetādayo mahantā veditabbā.
ฉทฺทนฺตทหมนฺทากินิโย กุฬีรมุจลินฺทนาเมน วทติฯ คณฺฐิกาติ ปพฺพคณฺฐิกาฯ ปณฺฑิโตปิ…เป.… อุทฺธํ น คจฺฉติ, กสฺมา? สตฺตานํ สํสรณกาลสฺส นิยตภาวโตฯ
Chaddantadahamandākiniyo kuḷīramucalindanāmena vadati. Gaṇṭhikāti pabbagaṇṭhikā. Paṇḍitopi…pe… uddhaṃ na gacchati, kasmā? Sattānaṃ saṃsaraṇakālassa niyatabhāvato.
อปริปกฺกํ สํสรณนิมิตฺตํ สีลาทินา ปริปาเจติ นาม สีฆํเยว วิสุทฺธิปฺปตฺติยาฯ ปริปกฺกํ ผุสฺส ผุสฺส ปตฺวา ปตฺวา ปริปกฺกภาวาปาทเนน พฺยนฺติํ กโรติ นามฯ สุตฺตคุเฬติ สุตฺตวฎฺฎิยํฯ นิเพฺพฐิยมานเมว ปเลตีติ อุปมาย สตฺตานํ สํสาโร อนุกฺกเมน ขียเตว, น ตสฺส วทฺธีติ ทเสฺสติ ปริจฺฉินฺนรูปตฺตาฯ
Aparipakkaṃ saṃsaraṇanimittaṃ sīlādinā paripāceti nāma sīghaṃyeva visuddhippattiyā. Paripakkaṃ phussa phussa patvā patvā paripakkabhāvāpādanena byantiṃ karoti nāma. Suttaguḷeti suttavaṭṭiyaṃ. Nibbeṭhiyamānameva paletīti upamāya sattānaṃ saṃsāro anukkamena khīyateva, na tassa vaddhīti dasseti paricchinnarūpattā.
๒๒๙. นิยติวาเท ปกฺขิปโนฺตติ สพฺพญฺญุตํ ปฎิชานิตฺวาปิ ปเทสญฺญุตาย อสมฺปายมาโน ตตฺถ อตฺตโน อญฺญาณกิริยํ ปริหริตุํ อสโกฺกโนฺต จ ‘‘เอวเมสา นิยตี’’ติ นิยติวาเท ปกฺขิปโนฺตฯ
229.Niyativāde pakkhipantoti sabbaññutaṃ paṭijānitvāpi padesaññutāya asampāyamāno tattha attano aññāṇakiriyaṃ pariharituṃ asakkonto ca ‘‘evamesā niyatī’’ti niyativāde pakkhipanto.
๒๓๐. ธมฺมกถาย อปสฺสยภูโต อนุสฺสโว เอตสฺส อตฺถีติ อนุสฺสวี, เตเนวสฺส อปสฺสยวาทํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุสฺสวนิสฺสิโต’’ติ อาหฯ สวนํ สจฺจโตติ ยํ กิญฺจิ อนุสฺสวํ, ตํ สวนํ สจฺจนฺติ คเหตฺวา ฐิโตฯ ปิฎกสมฺปทายาติ คนฺถสมฺปาทเนน, ตาทิสํ คนฺถํ ปคุณํ วาจุคฺคตํ กตฺวา ตํ นิสฺสาย ธมฺมํ กเถติฯ เตนาห ‘‘วคฺคปณฺณาสกายา’’ติอาทิฯ
230. Dhammakathāya apassayabhūto anussavo etassa atthīti anussavī, tenevassa apassayavādaṃ dassetuṃ ‘‘anussavanissito’’ti āha. Savanaṃ saccatoti yaṃ kiñci anussavaṃ, taṃ savanaṃ saccanti gahetvā ṭhito. Piṭakasampadāyāti ganthasampādanena, tādisaṃ ganthaṃ paguṇaṃ vācuggataṃ katvā taṃ nissāya dhammaṃ katheti. Tenāha ‘‘vaggapaṇṇāsakāyā’’tiādi.
๒๓๒. มนฺทปโญฺญติ ปริตฺตปโญฺญฯ โมมูโหติ สมฺมุยฺหโกฯ ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา วิวิโธ นานปฺปกาโร เขโป วาจาย ปรวาทานํ ขีปนํ วาจาวิเกฺขโป, ตํ วาจาวิเกฺขปํ, น มรติ น ปจฺฉิชฺชติ ยถาวุโตฺต วาทวิเกฺขโป เอตายาติ อมรา, ตตฺถ ปวตฺตา ทิฎฺฐิ อมราวิเกฺขโป, ตํ อมราวิเกฺขปํฯ อปริยนฺตวิเกฺขปนฺติ ‘‘เอวมฺปิ เม โน’’ติอาทินา ปุจฺฉิตสฺส อปริโยสาปนวเสน วิเกฺขปํฯ อิโต จิโต จ สนฺธาวติ เอกสฺมิํ สภาเว อนวฎฺฐานโตฯ คาหํ น อุปคจฺฉตีติ มิจฺฉาคาหตาย อุตฺตรวิธานาย ปุริมปกฺขํ ฐเปตฺวา คาหํ น อุปคจฺฉติฯ อมราสทิสาย อมราย วิเกฺขโปติ อมราวิเกฺขโปฯ
232.Mandapaññoti parittapañño. Momūhoti sammuyhako. ‘‘Evantipi me no’’tiādinā vividho nānappakāro khepo vācāya paravādānaṃ khīpanaṃ vācāvikkhepo, taṃ vācāvikkhepaṃ, na marati na pacchijjati yathāvutto vādavikkhepo etāyāti amarā, tattha pavattā diṭṭhi amarāvikkhepo, taṃ amarāvikkhepaṃ. Apariyantavikkhepanti ‘‘evampi me no’’tiādinā pucchitassa apariyosāpanavasena vikkhepaṃ. Ito cito ca sandhāvati ekasmiṃ sabhāve anavaṭṭhānato. Gāhaṃ na upagacchatīti micchāgāhatāya uttaravidhānāya purimapakkhaṃ ṭhapetvā gāhaṃ na upagacchati. Amarāsadisāya amarāya vikkhepoti amarāvikkhepo.
อิทํ กุสลนฺติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ปการโตฺถ, อิมินา ปกาเรนาติ อโตฺถฯ อมราวิเกฺขปิโก ยถา กุสเล, เอวํ อญฺญสฺมิํ ยํ กิญฺจิ เกนจิ ปุจฺฉิตํ อตฺถํ อตฺตโน อรุจฺจนตาย ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา ตตฺถ ตตฺถ วิเกฺขปเญฺญว อาปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทิ ตตฺถ ตตฺถ ปุจฺฉิตาการปฎิเสธนวเสน วิกฺขิปนาการทสฺสนํฯ นนุ เจตฺถ วิเกฺขปวาทิโน วิเกฺขปปกฺขสฺส อนนุชานนํ วิเกฺขปปเกฺข อวฎฺฐานํ ยุตฺตนฺติ? น, ตตฺถาปิ ตสฺส สมฺมูฬฺหสฺส ปฎิเกฺขปวเสเนว วิเกฺขปวาทสฺส ปวตฺตนโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โน’’ติฯ ตถา หิ สญฺจโย เพลฎฺฐปุโตฺต รญฺญา อชาตสตฺตุนา สนฺทิฎฺฐิกํ สามญฺญผลํ ปุโฎฺฐ ปรโลกตฺติกาทีนํ ปฎิเสธนมุเขน วิเกฺขปํ พฺยากาสิฯ
Idaṃ kusalanti ettha iti-saddo pakārattho, iminā pakārenāti attho. Amarāvikkhepiko yathā kusale, evaṃ aññasmiṃ yaṃ kiñci kenaci pucchitaṃ atthaṃ attano aruccanatāya ‘‘evantipi me no’’tiādinā tattha tattha vikkhepaññeva āpajjati, tasmā ‘‘evantipi me no’’tiādi tattha tattha pucchitākārapaṭisedhanavasena vikkhipanākāradassanaṃ. Nanu cettha vikkhepavādino vikkhepapakkhassa ananujānanaṃ vikkhepapakkhe avaṭṭhānaṃ yuttanti? Na, tatthāpi tassa sammūḷhassa paṭikkhepavaseneva vikkhepavādassa pavattanato. Tena vuttaṃ ‘‘no’’ti. Tathā hi sañcayo belaṭṭhaputto raññā ajātasattunā sandiṭṭhikaṃ sāmaññaphalaṃ puṭṭho paralokattikādīnaṃ paṭisedhanamukhena vikkhepaṃ byākāsi.
เอตฺถาห – ‘‘นนุ จายํ สโพฺพปิ อมราวิเกฺขปิโก กุสลาทโย ธเมฺม ปรโลกตฺติกาทีนิ จ ยถาภูตํ อนวพุชฺฌมาโน ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน ปุจฺฉาย วิเกฺขปมตฺตํ อาปชฺชติ, ตสฺส กถํ ทิฎฺฐิคตภาโวฯ น หิ อวตฺตุกามสฺส วิย ปุจฺฉิตมตฺถํ อชานนฺตสฺส วิเกฺขปกรณมเตฺตน ตสฺส ทิฎฺฐิคติกตา ยุตฺตา’’ติ? วุจฺจเต – น เหว โข ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณมเตฺตน ตสฺส ทิฎฺฐิคติกตา, อถ โข มิจฺฉาภินิเวสวเสนฯ สสฺสตาภินิเวเสน มิจฺฉาภินิวิโฎฺฐเยว หิ ปุคฺคโล มนฺทพุทฺธิตาย กุสลาทิธเมฺม ปรโลกตฺติกาทีนิ จ ยาถาวโต อปฺปฎิปชฺชมาโน อตฺตนา อวิญฺญาตสฺส อตฺถสฺส ปรํ วิญฺญาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย มุสาวาทภเยน จ วิเกฺขปํ อาปชฺชตีติฯ อถ วา ปุญฺญปาปานํ ตพฺพิปากานญฺจ อนวโพเธน อสทฺทหเนน จ ตพฺพิสยาย ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณํเยว สุนฺทรนฺติ ขนฺติํ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อภินิวิสนฺตสฺส อุปฺปนฺนา วิสุํเยว สา เอกา ทิฎฺฐิ สตฺตภงฺคทิฎฺฐิ วิยาติ ทฎฺฐพฺพา, อินฺทฺริยพทฺธโต จ ตติยฎฺฐานภาเว ทสฺสิโตฯ
Etthāha – ‘‘nanu cāyaṃ sabbopi amarāvikkhepiko kusalādayo dhamme paralokattikādīni ca yathābhūtaṃ anavabujjhamāno tattha tattha pañhaṃ puṭṭho samāno pucchāya vikkhepamattaṃ āpajjati, tassa kathaṃ diṭṭhigatabhāvo. Na hi avattukāmassa viya pucchitamatthaṃ ajānantassa vikkhepakaraṇamattena tassa diṭṭhigatikatā yuttā’’ti? Vuccate – na heva kho pucchāya vikkhepakaraṇamattena tassa diṭṭhigatikatā, atha kho micchābhinivesavasena. Sassatābhinivesena micchābhiniviṭṭhoyeva hi puggalo mandabuddhitāya kusalādidhamme paralokattikādīni ca yāthāvato appaṭipajjamāno attanā aviññātassa atthassa paraṃ viññāpetuṃ asakkuṇeyyatāya musāvādabhayena ca vikkhepaṃ āpajjatīti. Atha vā puññapāpānaṃ tabbipākānañca anavabodhena asaddahanena ca tabbisayāya pucchāya vikkhepakaraṇaṃyeva sundaranti khantiṃ ruciṃ uppādetvā abhinivisantassa uppannā visuṃyeva sā ekā diṭṭhi sattabhaṅgadiṭṭhi viyāti daṭṭhabbā, indriyabaddhato ca tatiyaṭṭhānabhāve dassito.
๒๓๔. สนฺนิธิการกํ กาเมติ เอตฺถ อนินฺทฺริยพทฺธานิ อธิเปฺปตานีติ ติลตณฺฑุลาทิคฺคหณํ, ตสฺส โลกสฺส อปฺปสาทปริหารตฺถํ กทาจิ ตณฺฑุลนาฬิอาทิสงฺคหณกรณํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ติลตณฺฑุลาทโย ปญฺญายนฺตี’’ติฯ
234.Sannidhikārakaṃkāmeti ettha anindriyabaddhāni adhippetānīti tilataṇḍulādiggahaṇaṃ, tassa lokassa appasādaparihāratthaṃ kadāci taṇḍulanāḷiādisaṅgahaṇakaraṇaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘tilataṇḍulādayo paññāyantī’’ti.
๒๓๖. อาชีวกา มตา นามาติ อิเม อาชีวกา สพฺพโส สมฺมาปฎิปตฺติรหิตา มิจฺฉา เอว จ ปฎิปชฺชมานา อธิสีลสงฺขาตสฺส สีลชีวิตสฺส อภาเวน มตา นามฯ ปุตฺตมตาติ มตปุตฺตาฯ สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยวาโส อตฺถีติ สมณํ เอว โคตมํ ปริสุโทฺธ สุปริปุโณฺณ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาวโห พฺรหฺมจริยวาโส อตฺถิฯ เอเตเนตฺถ ธมฺมสุธมฺมตาทิทีปเนน พุทฺธสุพุทฺธตญฺจ ทีเปติ, อญฺญตฺถ นตฺถีติ อิมินา พาหิรเกสุ ตสฺส อภาวํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
236.Ājīvakā matā nāmāti ime ājīvakā sabbaso sammāpaṭipattirahitā micchā eva ca paṭipajjamānā adhisīlasaṅkhātassa sīlajīvitassa abhāvena matā nāma. Puttamatāti mataputtā. Samaṇe gotame brahmacariyavāso atthīti samaṇaṃ eva gotamaṃ parisuddho suparipuṇṇo takkarassa sammā dukkhakkhayāvaho brahmacariyavāso atthi. Etenettha dhammasudhammatādidīpanena buddhasubuddhatañca dīpeti, aññattha natthīti iminā bāhirakesu tassa abhāvaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.
สนฺทกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Sandakasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. สนฺทกสุตฺตํ • 6. Sandakasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. สนฺทกสุตฺตวณฺณนา • 6. Sandakasuttavaṇṇanā