Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī |
๑. สงฺคหวารอตฺถวิภาวนา
1. Saṅgahavāraatthavibhāvanā
ตตฺถ ยสฺส สิกฺขตฺตยสงฺคหสฺส นวงฺคสฺส สตฺถุสาสนวรสฺส อตฺถสํวณฺณนํ ยํ เนตฺติปฺปกรณํ กาตุกาโม, ตสฺส เนตฺติปฺปกรณสฺส นิสฺสยํ วิสยภูตํ สํวเณฺณตพฺพสหิตํ, สํวเณฺณตพฺพํ เอว วา สโลกปาเลน ติโลเกน สทา ปูเชตพฺพสฺส เจว นมสฺสิตพฺพสฺส จ นรุตฺตมสฺส สตฺถุโน สาสนวรํ วิทูเหว ญาตพฺพํฯ เอตํ สาสนวรํ ตาว ทเสฺสโนฺต ตํชนเกน, ตํวิชานกวิทูหิ จ นิยเมตุํ, รตนตฺตยคุณปริทีปนญฺจ กาตุํ –
Tattha yassa sikkhattayasaṅgahassa navaṅgassa satthusāsanavarassa atthasaṃvaṇṇanaṃ yaṃ nettippakaraṇaṃ kātukāmo, tassa nettippakaraṇassa nissayaṃ visayabhūtaṃ saṃvaṇṇetabbasahitaṃ, saṃvaṇṇetabbaṃ eva vā salokapālena tilokena sadā pūjetabbassa ceva namassitabbassa ca naruttamassa satthuno sāsanavaraṃ vidūheva ñātabbaṃ. Etaṃ sāsanavaraṃ tāva dassento taṃjanakena, taṃvijānakavidūhi ca niyametuṃ, ratanattayaguṇaparidīpanañca kātuṃ –
‘‘ยํ โลโก ปูชยเต, สโลกปาโล สทา นมสฺสติ จ;
‘‘Yaṃ loko pūjayate, salokapālo sadā namassati ca;
ตเสฺสต สาสนวรํ, วิทูหิ เญยฺยํ นรวรสฺสา’’ติฯ – ปฐมคาถมาห;
Tasseta sāsanavaraṃ, vidūhi ñeyyaṃ naravarassā’’ti. – paṭhamagāthamāha;
อิมาย หิ ปฐมคาถาย ‘‘เอตํ สาสนวรํ เญยฺย’’นฺติ เอตฺตกเมว เอกนฺตโต กรณวิเสสภาเวน อธิเปฺปตํฯ เอเตเนว วิเสสกรเณน เอกนฺตาธิเปฺปตเนตฺติวิสยสาสนวรสฺส ทสฺสิตตฺตาฯ เอกนฺตาธิเปฺปตสาสนวรเมว เนตฺติสํวณฺณนาย สํวเณฺณตพฺพตฺตา วิสยํ เตเนว วกฺขติ อฎฺฐกถาจริโย –
Imāya hi paṭhamagāthāya ‘‘etaṃ sāsanavaraṃ ñeyya’’nti ettakameva ekantato karaṇavisesabhāvena adhippetaṃ. Eteneva visesakaraṇena ekantādhippetanettivisayasāsanavarassa dassitattā. Ekantādhippetasāsanavarameva nettisaṃvaṇṇanāya saṃvaṇṇetabbattā visayaṃ teneva vakkhati aṭṭhakathācariyo –
‘‘เอตํ อิทานิ อเมฺหหิ วิภชิตพฺพหารนยปฎฺฐานวิจารณวิสยภูตํ สาสนํ อาทิกลฺยาณตาทิคุณสมฺปตฺติยา วรํ อคฺคํ อุตฺตมํ นิปุณญาณโคจรตาย ปณฺฑิตเวทนียเมวา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา) จ,
‘‘Etaṃ idāni amhehi vibhajitabbahāranayapaṭṭhānavicāraṇavisayabhūtaṃ sāsanaṃ ādikalyāṇatādiguṇasampattiyā varaṃ aggaṃ uttamaṃ nipuṇañāṇagocaratāya paṇḍitavedanīyamevā’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā) ca,
‘‘เอตํ ติวิธมฺปิ ‘สาสนวร’นฺติ ปเทน สงฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ ยํ ปฐมํ, ตํ อิตเรสํ อธิคมูปาโยติ สพฺพสาสนมูลภูตํ, อตฺตโน ปกรณสฺส จ วิสยภูตํ ปริยตฺติสาสนเมวา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา) จ,
‘‘Etaṃ tividhampi ‘sāsanavara’nti padena saṅgaṇhitvā tattha yaṃ paṭhamaṃ, taṃ itaresaṃ adhigamūpāyoti sabbasāsanamūlabhūtaṃ, attano pakaraṇassa ca visayabhūtaṃ pariyattisāsanamevā’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā) ca,
‘‘อิทานิ ยํ วุตฺตํ ‘สาสนวรํ วิทูหิ เญยฺย’นฺติ, ตตฺถ เนตฺติสํวณฺณนาย วิสยภูตํ ปริยตฺติธมฺมเมว ปการนฺตเรน นิยเมตฺวา ทเสฺสตุ’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา) จฯ
‘‘Idāni yaṃ vuttaṃ ‘sāsanavaraṃ vidūhi ñeyya’nti, tattha nettisaṃvaṇṇanāya visayabhūtaṃ pariyattidhammameva pakārantarena niyametvā dassetu’’nti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā) ca.
ตตฺถ ปริยตฺติสาสนสฺสาปิ มูลํ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘สพฺพสาสนมูลภูต’’นฺติฯ เอเตน กมฺมสาธเนนปิ อธิเปฺปตเตฺถ สิเทฺธ นานาวิธสาธกวจนํ นานาวาทานํ อโนกาสกรณตฺถาย กตํฯ สฺวากฺขาตตาทิธมฺมคุณา ปน สาสนสฺส วิเสสเทสกนรวรสเทฺทน วา ปริทีปกตฺถภาเวน วา ทีปิตา อวินาภาวโตฯ สาสนวรสฺส ปน ชนกสมฺพนฺธิเปกฺขตฺตา ‘‘นรวรสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ เตน จ อคฺคปุคฺคโล สาสนวรชนโก วาจกตฺถสมฺพนฺธิภาเวน วุโตฺตฯ อนญฺญสาธารณมหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิคุณวิเสสา ปน ชนกสมฺพนฺธิภูตสฺส นรสฺส วิเสสเกนวรสเทฺทน วา ปริทีปกตฺถภาเวน วา ทีปิโตฯ
Tattha pariyattisāsanassāpi mūlaṃ hotīti vuttaṃ ‘‘sabbasāsanamūlabhūta’’nti. Etena kammasādhanenapi adhippetatthe siddhe nānāvidhasādhakavacanaṃ nānāvādānaṃ anokāsakaraṇatthāya kataṃ. Svākkhātatādidhammaguṇā pana sāsanassa visesadesakanaravarasaddena vā paridīpakatthabhāvena vā dīpitā avinābhāvato. Sāsanavarassa pana janakasambandhipekkhattā ‘‘naravarassā’’ti vuttaṃ. Tena ca aggapuggalo sāsanavarajanako vācakatthasambandhibhāvena vutto. Anaññasādhāraṇamahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiguṇavisesā pana janakasambandhibhūtassa narassa visesakenavarasaddena vā paridīpakatthabhāvena vā dīpito.
กิํ นุ โส สาสนวรชนโก นรวโร ปรมโตฺถว, อุทาหุ ปูชนีโย เจว นมสฺสนีโย จาติ วุตฺตํ ‘‘ยํ โลโก…เป.… นมสฺสติ จา’’ติ, เตน สาสนวรชนโก นรวโร ปรมโตฺถว น โหติ, อถ โข สโลกปาเลน โลเกน สทา สพฺพกาเลสุ ปูชนีโย เจว นมสฺสนีโย จาติ วิเสสิโต โถมิโตติฯ
Kiṃ nu so sāsanavarajanako naravaro paramatthova, udāhu pūjanīyo ceva namassanīyo cāti vuttaṃ ‘‘yaṃ loko…pe… namassati cā’’ti, tena sāsanavarajanako naravaro paramatthova na hoti, atha kho salokapālena lokena sadā sabbakālesu pūjanīyo ceva namassanīyo cāti visesito thomitoti.
เอตฺถ จ ปูชนนมสฺสนเจตนาวาจเกน วา ปูชนนมสฺสนสเทฺทน ผลูปจารโตฺถ ปุญฺญมหตฺตสงฺขาโต ปูชนียภาโว เจว อาสวกฺขยญาณปทฎฺฐานสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิคุณสงฺขาโต นมสฺสนียภาโว จ ทีปกตฺถภาเวน ปริคฺคเหตฺวา ทีปิโตฯ เตนาห อฎฺฐกถาจริโย ‘‘ภควโต สเทวกสฺส โลกสฺส ปูชนียวนฺทนียภาโว, อคฺคปุคฺคลภาโว จ วุจฺจมาโน คุณวิสิฎฺฐตํ ทีเปตี’’ติอาทิ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา)ฯ
Ettha ca pūjananamassanacetanāvācakena vā pūjananamassanasaddena phalūpacārattho puññamahattasaṅkhāto pūjanīyabhāvo ceva āsavakkhayañāṇapadaṭṭhānasabbaññutaññāṇādiguṇasaṅkhāto namassanīyabhāvo ca dīpakatthabhāvena pariggahetvā dīpito. Tenāha aṭṭhakathācariyo ‘‘bhagavato sadevakassa lokassa pūjanīyavandanīyabhāvo, aggapuggalabhāvo ca vuccamāno guṇavisiṭṭhataṃ dīpetī’’tiādi (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā).
ตาทิสสฺส นรวรสฺส ตาทิสํ สาสนวรํ กิํ เยน เกนจิ วิเญฺญยฺยนฺติ วุตฺตํ ‘‘วิทูหี’’ติฯ เตน ติปิฎกธรา อริยภูตา ปณฺฑิตา วาจกตฺถภาเวน คหิตา, สุปฺปฎิปนฺนตาทิสงฺฆคุณา ปน วนฺทธาตุวจเนน วา ทีปกตฺถภาเวน วา ทีปิตาติฯ เอวํ ปริคฺคเหตฺวา ทีปิเต รตนตฺตยคุเณ สนฺธาย ‘‘เอวํ ปฐมคาถาย สาติสยํ รตนตฺตยคุณปริทีปนํ กตฺวา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา) วกฺขติ, น คาถาย นิรวเสสเตฺถฯ ตตฺถ เอวนฺติ เอวํ สาสนวรทสฺสนภูตาย ปฐมคาถายาติ อโตฺถว ทฎฺฐโพฺพฯ อปเร ปนาจริยา ‘‘อิมาย ปฐมคาถาย เอกนฺตโต อธิเปฺปตานาธิเปฺปตวจนานิ เจว วาจกตฺถทีปกตฺถวิเสสานิ จ สุฎฺฐุ อวิจาเรตฺวา ‘เอวํ ปฐมคาถาย สาติสยํ รตนตฺตยคุณปริทีปนํ กตฺวา’ติ วจนจฺฉายํ นิสฺสาย สาติสยํ รตนตฺตยคุณปริทีปนํ กาตุํ ‘ยํ โลโกตฺยาทิมาหา’ติ จ สาติสยรตนตฺตยคุเณ ทเสฺสโนฺต ‘ยํ โลโกตฺยาทิมาหา’ติ’’ จ วทนฺติฯ เตสํ วาโท อมฺหากํ นกฺขมติฯ การณํ ปน มยา เหฎฺฐา วุตฺตานุสาเรน ญาตพฺพนฺติ อยํ ปทานุกฺกมานุรูปานุสนฺธฺยโตฺถฯ
Tādisassa naravarassa tādisaṃ sāsanavaraṃ kiṃ yena kenaci viññeyyanti vuttaṃ ‘‘vidūhī’’ti. Tena tipiṭakadharā ariyabhūtā paṇḍitā vācakatthabhāvena gahitā, suppaṭipannatādisaṅghaguṇā pana vandadhātuvacanena vā dīpakatthabhāvena vā dīpitāti. Evaṃ pariggahetvā dīpite ratanattayaguṇe sandhāya ‘‘evaṃ paṭhamagāthāya sātisayaṃ ratanattayaguṇaparidīpanaṃ katvā’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā) vakkhati, na gāthāya niravasesatthe. Tattha evanti evaṃ sāsanavaradassanabhūtāya paṭhamagāthāyāti atthova daṭṭhabbo. Apare panācariyā ‘‘imāya paṭhamagāthāya ekantato adhippetānādhippetavacanāni ceva vācakatthadīpakatthavisesāni ca suṭṭhu avicāretvā ‘evaṃ paṭhamagāthāya sātisayaṃ ratanattayaguṇaparidīpanaṃ katvā’ti vacanacchāyaṃ nissāya sātisayaṃ ratanattayaguṇaparidīpanaṃ kātuṃ ‘yaṃ lokotyādimāhā’ti ca sātisayaratanattayaguṇe dassento ‘yaṃ lokotyādimāhā’ti’’ ca vadanti. Tesaṃ vādo amhākaṃ nakkhamati. Kāraṇaṃ pana mayā heṭṭhā vuttānusārena ñātabbanti ayaṃ padānukkamānurūpānusandhyattho.
อถ วา เอกํ สมยํ ชมฺพุวนสเณฺฑ นิสีทิตฺวา สิสฺสานํ หิตํ จิเนฺตโนฺต, อตฺตโน อภินีหารสมฺปตฺติํ ปสฺสโนฺต, สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปสํสิโต, มหากจฺจายโน สตฺถารา อนุโมทิตํ สาสนายตฺตํ นวงฺคสฺสตฺถวณฺณนํ โสฬสหาราทิอเนกตฺถวิธํ เนตฺติปฺปกรณํ อารภโนฺต, ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิมาหฯ ยทิ เอวํ ยถาวุตฺตปฺปการํ เนตฺติปฺปกรณภูตํ โสฬสหาราตฺยาทิกํ อารภิตพฺพํ, ตํ อนารภิตฺวา กสฺมา เนตฺติปฺปกรณโต พหิภูตํ ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิกํ อารภิตพฺพํ, เสยฺยถาปิ อมฺพํ ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากเรยฺย, ลพุชํ ปุโฎฺฐ อมฺพํ พฺยากเรยฺย, เอวเมว เนตฺติปฺปกรณมารภโนฺต อญฺญํ อารภตีติ? ตถาปิ ยสฺส ยถาวุตฺตสฺส สาสนวรสฺส อตฺถสํวณฺณนํ ยํ เนตฺติปฺปกรณํ กาตุกาโม ยสฺส เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยภูตํ สํวเณฺณตพฺพสหิตํ, สํวเณฺณตพฺพํ เอว วา ตํ สาสนวรํ ตาว ทเสฺสโนฺต ตํชนเกน, ตํวิชานกวิทูหิ จ นิยเมตุํ, รตนตฺตยคุณปริทีปนญฺจ กาตุํ ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิมาหฯ อยํ ลีนนฺตรโจทนาสหิโต อนุสนฺธฺยโตฺถฯ
Atha vā ekaṃ samayaṃ jambuvanasaṇḍe nisīditvā sissānaṃ hitaṃ cintento, attano abhinīhārasampattiṃ passanto, sammāsambuddhena pasaṃsito, mahākaccāyano satthārā anumoditaṃ sāsanāyattaṃ navaṅgassatthavaṇṇanaṃ soḷasahārādianekatthavidhaṃ nettippakaraṇaṃ ārabhanto, ‘‘yaṃ loko’’tyādimāha. Yadi evaṃ yathāvuttappakāraṃ nettippakaraṇabhūtaṃ soḷasahārātyādikaṃ ārabhitabbaṃ, taṃ anārabhitvā kasmā nettippakaraṇato bahibhūtaṃ ‘‘yaṃ loko’’tyādikaṃ ārabhitabbaṃ, seyyathāpi ambaṃ puṭṭho labujaṃ byākareyya, labujaṃ puṭṭho ambaṃ byākareyya, evameva nettippakaraṇamārabhanto aññaṃ ārabhatīti? Tathāpi yassa yathāvuttassa sāsanavarassa atthasaṃvaṇṇanaṃ yaṃ nettippakaraṇaṃ kātukāmo yassa nettippakaraṇassa visayabhūtaṃ saṃvaṇṇetabbasahitaṃ, saṃvaṇṇetabbaṃ eva vā taṃ sāsanavaraṃ tāva dassento taṃjanakena, taṃvijānakavidūhi ca niyametuṃ, ratanattayaguṇaparidīpanañca kātuṃ ‘‘yaṃ loko’’tyādimāha. Ayaṃ līnantaracodanāsahito anusandhyattho.
‘‘ยํ โลโก ปูชยเต, สโลกปาโล สทา นมสฺสติ จ;
‘‘Yaṃ loko pūjayate, salokapālo sadā namassati ca;
ตเสฺสต สาสนวรํ, วิทูหิ เญยฺยํ นรวรสฺสา’’ติฯ –
Tasseta sāsanavaraṃ, vidūhi ñeyyaṃ naravarassā’’ti. –
นิคฺคหิตโลปํ กตฺวา รจิตา คาถา อริยาสามญฺญลกฺขเณน สมฺปนฺนาฯ กถํ? ปุพฺพเฑฺฒ ติํส มตฺตา, อปรเฑฺฒ สตฺตวีส มตฺตาฯ สมฺปิณฺฑิตา สตฺตปญฺญาส มตฺตาว ภวนฺติฯ อกฺขรานํ ปน อิมิสฺสํ คาถายํ สตฺตติํสฯ เตสุ ครุกฺขรา วีสติ, ลหุกฺขรา สตฺตรส ภวนฺติฯ ‘‘ตเสฺสตํ สาสนวร’’นฺติ ปน สานุนาสิกํ วิรุชฺฌติฯ
Niggahitalopaṃ katvā racitā gāthā ariyāsāmaññalakkhaṇena sampannā. Kathaṃ? Pubbaḍḍhe tiṃsa mattā, aparaḍḍhe sattavīsa mattā. Sampiṇḍitā sattapaññāsa mattāva bhavanti. Akkharānaṃ pana imissaṃ gāthāyaṃ sattatiṃsa. Tesu garukkharā vīsati, lahukkharā sattarasa bhavanti. ‘‘Tassetaṃ sāsanavara’’nti pana sānunāsikaṃ virujjhati.
ตตฺถ นิเทฺทสโตฺถ อฎฺฐกถานุสาเรน วิชานิตโพฺพฯ สโลกปาโล สโพฺพ สตฺตโลโก สกฺกจฺจํ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอเนกคุณานุสฺสรเณน วา ปูเชตพฺพปูชเนน วา ปฎิปตฺติปูชเนน วา สทา สพฺพกาเลสุ สกฺกจฺจํ ยํ นรวรํ ปูชยเต เจว นมสฺสติ จ, ตสฺส ปูเชตพฺพสฺส เจว นมสฺสิตพฺพสฺส จ สตฺถุโน นรวรสฺส ติโลกคฺคสฺส มยา สํวเณฺณตพฺพสหิตํ, สํวเณฺณตพฺพํ เอว วา วิทูเหว เญยฺยํ ญาตพฺพํฯ นิปุณญาณโคจรํ เอตํ มยา พุทฺธิยํ ฐปิตํ สาสนวรํ มยา อารภิตพฺพสฺส เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยนฺติ ปฐมํ ชานิตพฺพํ ทเสฺสตฺวา ตสฺส อตฺถสํวณฺณนาภูตํ เนตฺติปฺปกรณํ อหํ อารภิสฺสามิ, ตํ ตุเมฺห สาธโว สุณาถ มนสิ กโรถาติ สมุทายโยชนา, อวยวโยชนาปิ กาตพฺพาฯ
Tattha niddesattho aṭṭhakathānusārena vijānitabbo. Salokapālo sabbo sattaloko sakkaccaṃ sabbaññutaññāṇādianekaguṇānussaraṇena vā pūjetabbapūjanena vā paṭipattipūjanena vā sadā sabbakālesu sakkaccaṃ yaṃ naravaraṃ pūjayate ceva namassati ca, tassa pūjetabbassa ceva namassitabbassa ca satthuno naravarassa tilokaggassa mayā saṃvaṇṇetabbasahitaṃ, saṃvaṇṇetabbaṃ eva vā vidūheva ñeyyaṃ ñātabbaṃ. Nipuṇañāṇagocaraṃ etaṃ mayā buddhiyaṃ ṭhapitaṃ sāsanavaraṃ mayā ārabhitabbassa nettippakaraṇassa visayanti paṭhamaṃ jānitabbaṃ dassetvā tassa atthasaṃvaṇṇanābhūtaṃ nettippakaraṇaṃ ahaṃ ārabhissāmi, taṃ tumhe sādhavo suṇātha manasi karothāti samudāyayojanā, avayavayojanāpi kātabbā.
กถํ? ‘‘สโลกปาโล โลโก’’ติ วิเสสนวิเสสิตพฺพภาเวน โยชนาฯ โลกปาโล วเชฺชตฺวา อวเสโส โลโก จ น โหติ, อถ โข โลกปาลสหิโต โลโกติ วิเสเสติฯ ‘‘โลโก ปูชยเต เจว นมสฺสติ จา’’ติ กตฺตุการกอาขฺยาตกิริยาภาเวน โยชนา ‘‘โย กโรติ, ส กตฺตา’’ติ วุตฺตตฺตาฯ โย โลโก การโก, โส กตฺตา โหตุฯ โย โลโก ปูชยเต เจว นมสฺสติ จ, กถํ โส กตฺตาติ? ‘‘โย กโรติ, ส กตฺตา’’ติ สุตฺตสฺส ‘‘โย กโรติ กิริยํ นิปฺผาเทติ, โส กิริยานิปฺผาทโก กตฺตา’’ติ อตฺถสมฺภวโต สยนภุญฺชนาทิสพฺพกิริยานิปฺผาทโก กตฺตาเยว โหติฯ อยญฺจ โลโก ปูชนนมสฺสนกิริยานิปฺผาทโกเยวาติฯ กถํ อยํ โลโก กิริยานิปฺผาทโกติ? ‘‘โลโก’’ติ สตฺตปญฺญตฺติยา ปรมตฺถโต อวิชฺชมานายปิ ปญฺญาเปตโพฺพ สนฺตาเน ปวตฺตมาโน หทยวตฺถุนิสฺสิโต จิตฺตุปฺปาโท คเหตโพฺพ, โส ยถารหํ เหตาธิปติสหชาตาทิปจฺจเยน ปจฺจโย นิปฺผาทโก ภเวฯ เอวํ โลกสฺส กตฺตุการกภาโว วิชานิตโพฺพติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน โยชนาฯ เอส นโย ตีสุ ปิฎเกสุปิ เอวรูเปสุ ฐาเนสุฯ
Kathaṃ? ‘‘Salokapālo loko’’ti visesanavisesitabbabhāvena yojanā. Lokapālo vajjetvā avaseso loko ca na hoti, atha kho lokapālasahito lokoti viseseti. ‘‘Loko pūjayate ceva namassati cā’’ti kattukārakaākhyātakiriyābhāvena yojanā ‘‘yo karoti, sa kattā’’ti vuttattā. Yo loko kārako, so kattā hotu. Yo loko pūjayate ceva namassati ca, kathaṃ so kattāti? ‘‘Yo karoti, sa kattā’’ti suttassa ‘‘yo karoti kiriyaṃ nipphādeti, so kiriyānipphādako kattā’’ti atthasambhavato sayanabhuñjanādisabbakiriyānipphādako kattāyeva hoti. Ayañca loko pūjananamassanakiriyānipphādakoyevāti. Kathaṃ ayaṃ loko kiriyānipphādakoti? ‘‘Loko’’ti sattapaññattiyā paramatthato avijjamānāyapi paññāpetabbo santāne pavattamāno hadayavatthunissito cittuppādo gahetabbo, so yathārahaṃ hetādhipatisahajātādipaccayena paccayo nipphādako bhave. Evaṃ lokassa kattukārakabhāvo vijānitabboti paccayapaccayuppannabhāvena yojanā. Esa nayo tīsu piṭakesupi evarūpesu ṭhānesu.
‘‘ยํ นรวรํ ปูชยเต เจว นมสฺสติ จา’’ติ กมฺมการกอาขฺยาตกิริยาภาเวน โยชนา ‘‘ยํ กโรติ, ตํ กมฺม’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ ยํ กาตพฺพํ, ตํ กมฺมํ โหตุฯ ยํ ปูชยติ เจว นมสฺสติ จ, กถํ ตํ กมฺมนฺติ? ‘‘ยํ กโรติ, ตํ กมฺม’’นฺติ สุตฺตสฺส ‘‘ยํ กโรติ กิริยาย สมฺพชฺฌติ, กิริยาย สมฺพชฺฌิตพฺพํ กมฺม’’นฺติ อตฺถสมฺภวโต กรณวาจกวจนียาทิสพฺพกิริยาย สมฺพชฺฌิตพฺพํ กมฺมํ โหเตฺววฯ อยญฺจ นรวโร ปูชนนมสฺสนกิริยาย วาจกวจนียภาเวน สมฺพชฺฌิตโพฺพเยวาติฯ กถํ อยํ นรวโร วจนีโยติ? ปูชนนมสฺสนเจตนาย อารมฺมณกรณวเสน นรวโร วจนีโย, เจตนา วาจกา, เอวํ วาจกวจิตพฺพภาโว โหเตฺววฯ ‘‘ยํ นรวร’’นฺติ ปญฺญตฺติยา ปรมตฺถโต อวิชฺชมานายปิ ปญฺญาเปตโพฺพ สนฺตานวเสน ปวตฺตมาโน โลกิยโลกุตฺตรคุณสหิโต ขนฺธปญฺจโก วุโตฺต, โส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, เจตนา ปจฺจยุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน โยชนาฯ เอส นโย ตีสุ ปิฎเกสุ เอวรูเปสุ ฐาเนสุฯ
‘‘Yaṃnaravaraṃ pūjayate ceva namassati cā’’ti kammakārakaākhyātakiriyābhāvena yojanā ‘‘yaṃ karoti, taṃ kamma’’nti vuttattā. Yaṃ kātabbaṃ, taṃ kammaṃ hotu. Yaṃ pūjayati ceva namassati ca, kathaṃ taṃ kammanti? ‘‘Yaṃ karoti, taṃ kamma’’nti suttassa ‘‘yaṃ karoti kiriyāya sambajjhati, kiriyāya sambajjhitabbaṃ kamma’’nti atthasambhavato karaṇavācakavacanīyādisabbakiriyāya sambajjhitabbaṃ kammaṃ hotveva. Ayañca naravaro pūjananamassanakiriyāya vācakavacanīyabhāvena sambajjhitabboyevāti. Kathaṃ ayaṃ naravaro vacanīyoti? Pūjananamassanacetanāya ārammaṇakaraṇavasena naravaro vacanīyo, cetanā vācakā, evaṃ vācakavacitabbabhāvo hotveva. ‘‘Yaṃ naravara’’nti paññattiyā paramatthato avijjamānāyapi paññāpetabbo santānavasena pavattamāno lokiyalokuttaraguṇasahito khandhapañcako vutto, so ārammaṇapaccayena paccayo, cetanā paccayuppannāti paccayapaccayuppannabhāvena yojanā. Esa nayo tīsu piṭakesu evarūpesu ṭhānesu.
‘‘ตสฺส นรวรสฺสา’’ติ วิเสสนวิเสสิตพฺพภาเวน โยชนาฯ นรวโร นาม นิมนฺติตพฺพาทิโก น โหติ, อถ โข ปูเชตโพฺพ นมสฺสิตโพฺพ เอวาติ วิเสเสติฯ ตสฺส ปูเชตพฺพสฺส เจว นมสฺสิตพฺพสฺส จ นรวรสฺส สาสนวรนฺติ ชญฺญชนกภาเวน โยชนาฯ สาสนวรํ นาม ปเจฺจกพุทฺธสาวกพุทฺธราชราชาทีนํ สาสนวรํ น โหติ, ปูเชตพฺพสฺส เจว นมสฺสิตพฺพสฺส จ นรวรสฺส ติโลกเสฺสว สาสนวรนฺติ นิยเมติฯ
‘‘Tassa naravarassā’’ti visesanavisesitabbabhāvena yojanā. Naravaro nāma nimantitabbādiko na hoti, atha kho pūjetabbo namassitabbo evāti viseseti. Tassa pūjetabbassa ceva namassitabbassa ca naravarassa sāsanavaranti jaññajanakabhāvena yojanā. Sāsanavaraṃ nāma paccekabuddhasāvakabuddharājarājādīnaṃ sāsanavaraṃ na hoti, pūjetabbassa ceva namassitabbassa ca naravarassa tilokasseva sāsanavaranti niyameti.
‘‘วิทูหิ เญยฺย’’นฺติ กตฺตุการกกิตกิริยาภาเวน โยชนาฯ กตฺตุภาโว เหฎฺฐา วุโตฺตวฯ ‘‘วิทูหี’’ติ สตฺตปญฺญตฺติยา ปรมตฺถโต อวิชฺชมานายปิ ปญฺญาเปตโพฺพ สนฺตาเน ปวตฺตมาโน สาสนวเร สโมฺมหธํสกญาณสหิโต หทยวตฺถุนิสฺสิโต จิตฺตุปฺปาโท วุโตฺต, โส ยถารหํ เหตาธิปติสหชาตาทิปจฺจเยน ปจฺจโย นิปฺผาทโก ภเวฯ ญา-อิติธาตุยา อตฺถภูตํ ญาณํ ปจฺจยุปฺปนฺนํ นิปฺผาเทยฺยํ ภเว, เอวํ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน โยชนาฯ
‘‘Vidūhi ñeyya’’nti kattukārakakitakiriyābhāvena yojanā. Kattubhāvo heṭṭhā vuttova. ‘‘Vidūhī’’ti sattapaññattiyā paramatthato avijjamānāyapi paññāpetabbo santāne pavattamāno sāsanavare sammohadhaṃsakañāṇasahito hadayavatthunissito cittuppādo vutto, so yathārahaṃ hetādhipatisahajātādipaccayena paccayo nipphādako bhave. Ñā-itidhātuyā atthabhūtaṃ ñāṇaṃ paccayuppannaṃ nipphādeyyaṃ bhave, evaṃ paccayapaccayuppannabhāvena yojanā.
‘‘เญยฺยํ สาสนวร’’นฺติ วิเสสนวิเสสฺยภาเวน โยชนาฯ สาสนวรํ นาม น เยน เกนจิ เญยฺยํ, อถ โข วิทูเหว สณฺหสุขุมญาเณน เญยฺยํ สาสนวรนฺติ วิเสเสติฯ
‘‘Ñeyyaṃ sāsanavara’’nti visesanavisesyabhāvena yojanā. Sāsanavaraṃ nāma na yena kenaci ñeyyaṃ, atha kho vidūheva saṇhasukhumañāṇena ñeyyaṃ sāsanavaranti viseseti.
‘‘เอตํ สาสนวร’’นฺติ วิเสสนวิเสสฺยภาเวน โยชนาฯ สาสนวรํ นาม มยา พุทฺธิยํ อฎฺฐปิตํ อปฺปวเตฺตตพฺพํ โหติ, มยา อิทานิ เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยภาเวน พุทฺธิยํ วิปริวตฺตมานํ ฐเปตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพํ สาสนวรนฺติ วิเสเสติฯ เอตํ สาสนวรํ เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยนฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ เตนาห ‘‘เอตํ อิทานิ อเมฺหหิ วิภชิตพฺพหารนยปฎฺฐานวิจารณวิสยภูตํ สาสน’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา)ฯ อิเจฺจวํ เนตฺติยา ปฐมคาถาย สเงฺขเปน โยชนโตฺถ สมโตฺตฯ
‘‘Etaṃ sāsanavara’’nti visesanavisesyabhāvena yojanā. Sāsanavaraṃ nāma mayā buddhiyaṃ aṭṭhapitaṃ appavattetabbaṃ hoti, mayā idāni nettippakaraṇassa visayabhāvena buddhiyaṃ viparivattamānaṃ ṭhapetabbaṃ pavattetabbaṃ sāsanavaranti viseseti. Etaṃ sāsanavaraṃ nettippakaraṇassa visayanti yojanā kātabbā. Tenāha ‘‘etaṃ idāni amhehi vibhajitabbahāranayapaṭṭhānavicāraṇavisayabhūtaṃ sāsana’’nti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā). Iccevaṃ nettiyā paṭhamagāthāya saṅkhepena yojanattho samatto.
ตตฺถ ยนฺติ อนิยมนรวรสฺส สตฺถุโน วาจกํ ปโยควนฺตสพฺพนามํฯ อนิยโม จ ปูชนนมสฺสนกิริยาย อนิยมิตตฺตา วุโตฺต, น นรวรโต อญฺญสตฺตสฺส สมฺภวโตติฯ เอส นโย เสสานิยเตสุปิ ตีสุ ปิฎเกสุฯ โลกิยนฺติ เอตฺถ ปุญฺญาปุญฺญานิ, ตพฺพิปาโก จาติ โลโกฯเอตฺถ สตฺตนิกาเย ปุญฺญาปุญฺญานิ โลกิยนฺติ ปวตฺตนฺติ, ตพฺพิปาโก จ โลกิยติ ปวตฺตติ, อิติ สตฺตนิกายสฺส ปุญฺญาปุญฺญานํ, ตพฺพิปากสฺส จ ปวตฺตนสฺส อาธารภาวโต ‘‘เอตฺถา’’ติปเทน นิทฺทิโฎฺฐ สตฺตนิกาโย โลโกนามฯ ปูชยเตติ วิคฺคหวิรหิตํ อาขฺยาตปทํ, สกฺกจฺจํ ปูชนํ กโรติฯ
Tattha yanti aniyamanaravarassa satthuno vācakaṃ payogavantasabbanāmaṃ. Aniyamo ca pūjananamassanakiriyāya aniyamitattā vutto, na naravarato aññasattassa sambhavatoti. Esa nayo sesāniyatesupi tīsu piṭakesu. Lokiyanti ettha puññāpuññāni, tabbipāko cāti loko.Ettha sattanikāye puññāpuññāni lokiyanti pavattanti, tabbipāko ca lokiyati pavattati, iti sattanikāyassa puññāpuññānaṃ, tabbipākassa ca pavattanassa ādhārabhāvato ‘‘etthā’’tipadena niddiṭṭho sattanikāyo lokonāma. Pūjayateti viggahavirahitaṃ ākhyātapadaṃ, sakkaccaṃ pūjanaṃ karoti.
โลกํ ปาเลนฺตีติ โลกปาลา, ปุญฺญาปุญฺญานเญฺจว ตพฺพิปากสฺส จ ปวตฺตนาธารตฺตา โลกา จฯ เก เต? จตฺตาโร มหาราชาโน, อินฺทยมวรุณกุเวรา วา, ขตฺติยจตุมหาราชสกฺกสุยามสนฺตุสิตสุนิมฺมิตปรนิมฺมิตวสวตฺติมหาพฺรหฺมาทโย วาฯ ปาลนเญฺจตฺถ อิสฺสริยาธิปเจฺจน ตํตํสตฺตโลกสฺส อญฺญมญฺญวิเหสนนิวารณาทิอาณาปวตฺตาปนยสปริวารฎฺฐานนฺตราทินิยฺยาทนา, สห โลกปาเลหิ โย วตฺตตีติ สโลกปาโลฯ อถ วา เย หิโรตฺตปฺปา โลกํ ปาเลนฺติ, อิติ ปาลนโต เต หิโรตฺตปฺปา โลกปาลาฯ เตนาห ภควา ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, สุกฺกา ธมฺมา โลกํ ปาเลนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๒.๙; อิติวุ. ๔๒)ฯ โลกปาเลหิ หิโรตฺตเปฺปหิ สมนฺนาคโต โลโก สโลกปาโล นามฯ หิโรตฺตปฺปสมฺปโนฺน หิ สปฺปุริโส โลโก สกฺกจฺจํ สทา สพฺพกาเลสุ ปูชยติ เจว นมสฺสติ จ ปาปหิริชิคุจฺฉนโต, ธมฺมจฺฉนฺทวนฺตตาย จฯ
Lokaṃ pālentīti lokapālā, puññāpuññānañceva tabbipākassa ca pavattanādhārattā lokā ca. Ke te? Cattāro mahārājāno, indayamavaruṇakuverā vā, khattiyacatumahārājasakkasuyāmasantusitasunimmitaparanimmitavasavattimahābrahmādayo vā. Pālanañcettha issariyādhipaccena taṃtaṃsattalokassa aññamaññavihesananivāraṇādiāṇāpavattāpanayasaparivāraṭṭhānantarādiniyyādanā, saha lokapālehi yo vattatīti salokapālo. Atha vā ye hirottappā lokaṃ pālenti, iti pālanato te hirottappā lokapālā. Tenāha bhagavā ‘‘dveme, bhikkhave, sukkā dhammā lokaṃ pālentī’’ti (a. ni. 2.9; itivu. 42). Lokapālehi hirottappehi samannāgato loko salokapālo nāma. Hirottappasampanno hi sappuriso loko sakkaccaṃ sadā sabbakālesu pūjayati ceva namassati ca pāpahirijigucchanato, dhammacchandavantatāya ca.
อเญฺญ ปน ปูเชนฺตา นมสฺสนฺตาปิ กทาจิเยว ปูเชนฺติ นมสฺสนฺติ, น สพฺพทาติฯ สทาติ ปูชนนมสฺสนกาลวาจกวิคฺคหวิรหิตํ วิกปฺปนามํ, สพฺพนามํ วาฯ นมสฺสตีติ วิคฺคหวิรหิตํ อาขฺยาตปทํ, สกฺกจฺจํ นมสฺสนํ กโรติฯ ตเสฺสตาติ เอตฺถ ตสฺสาติ นิยมวาจกํ ปโยควนฺตสพฺพนามํ วิคฺคหวิรหิตเมวฯ นิยโม จ ปูชนนมสฺสนกิริยาย วิเสสิโตฯ ตสฺมา ตสฺส ปูชนนมสฺสนกิริยาย นิยมิตพฺพสฺส ปูเชตพฺพสฺส นมสฺสิตพฺพสฺส นรวรสฺสาติ อโตฺถ ยุโตฺตวฯ เสสนิยเมสุ อเญฺญสุปิ เอเสว นโยฯ เอตนฺติ อาจริเยน วิภชิตพฺพหารนยปฎฺฐานวิจารณวิสยภูตสฺส สาสนวรปรามสนํ ปโยควนฺตสพฺพนามํ วิคฺคหวิรหิตํฯ
Aññe pana pūjentā namassantāpi kadāciyeva pūjenti namassanti, na sabbadāti. Sadāti pūjananamassanakālavācakaviggahavirahitaṃ vikappanāmaṃ, sabbanāmaṃ vā. Namassatīti viggahavirahitaṃ ākhyātapadaṃ, sakkaccaṃ namassanaṃ karoti. Tassetāti ettha tassāti niyamavācakaṃ payogavantasabbanāmaṃ viggahavirahitameva. Niyamo ca pūjananamassanakiriyāya visesito. Tasmā tassa pūjananamassanakiriyāya niyamitabbassa pūjetabbassa namassitabbassa naravarassāti attho yuttova. Sesaniyamesu aññesupi eseva nayo. Etanti ācariyena vibhajitabbahāranayapaṭṭhānavicāraṇavisayabhūtassa sāsanavaraparāmasanaṃ payogavantasabbanāmaṃ viggahavirahitaṃ.
สาสติ เอเตนาติ สาสนํ, เอเตน นววิธสุตฺตเนฺตน, นววิธสุตฺตนฺตสหิเตน วา วเรน สเพฺพน สมเตฺถ เวเนเยฺย ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ติวิธยานมุเขน ยถารหํ สเตฺต สาสติ อนุสาสติ วิเนติฯ อิติ สาสนานุสาสนกิริยานุสาเรน เวเนยฺยสตฺตานํ ชานนปฎิปชฺชนาธิคมสฺส การณกรณตฺตา ‘‘เอเตนา’’ติ ปเทน นิทฺทิฎฺฐํ นววิธสุตฺตนฺตํ, นววิธสุตฺตนฺตสหิตํ วา วรํ สพฺพํ สาสนํ นามฯ นววิธสุตฺตนฺตเทสนาย หิ เวเนยฺยานํ ชานนํ ปุริมชานเนน ปจฺฉิมชานนํ, ชานเนน ปฎิปชฺชเนน ปจฺฉิมปฎิปชฺชเนน อธิคโม, ปุริมาธิคเมน ปจฺฉิมาธิคโม โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สทฺธา สีลํ สุตํ จาโค ปญฺญา สทฺธาย สีลสฺส สุตสฺส จาคสฺส ปญฺญายา’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓) จ ‘‘ปฐมสฺส ฌานสฺส ปริกมฺมํ ปฐมสฺส ฌานสฺส’’ตฺยาทิ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓) จฯ สาสธาตุยา เทสนาสโทฺท จ ตํชนโก เทสนาญาณสมฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาโท จ มุขฺยโตฺถ, ตํอุปนิสฺสยปจฺจยา เวเนยฺยานํ อตฺถชานนปฎิปชฺชนอธิคมนาทิ การณูปจารโตฺถ, ‘‘เอเตนา’’ติ ปเทน วุตฺตาย สาสนภูตาย นามปญฺญตฺติยา กรณสตฺติสงฺขาตา อุปนิสฺสยปจฺจยสตฺติ ผลูปจารโตฺถฯ อิติ-สโทฺทปิ ตเมว นามปญฺญตฺติยา อุปนิสฺสยปจฺจยสตฺติํ เหตุภาเวน ปรามสติ, ตสฺสา สตฺติยา อาธารภูตา นามปญฺญตฺติ ยุ-ปจฺจยโตฺถฯ เอเสว นโย ตีสุ ปิฎเกสุ เอวรูเปสุ ฐาเนสุฯ
Sāsati etenāti sāsanaṃ, etena navavidhasuttantena, navavidhasuttantasahitena vā varena sabbena samatthe veneyye diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi tividhayānamukhena yathārahaṃ satte sāsati anusāsati vineti. Iti sāsanānusāsanakiriyānusārena veneyyasattānaṃ jānanapaṭipajjanādhigamassa kāraṇakaraṇattā ‘‘etenā’’ti padena niddiṭṭhaṃ navavidhasuttantaṃ, navavidhasuttantasahitaṃ vā varaṃ sabbaṃ sāsanaṃ nāma. Navavidhasuttantadesanāya hi veneyyānaṃ jānanaṃ purimajānanena pacchimajānanaṃ, jānanena paṭipajjanena pacchimapaṭipajjanena adhigamo, purimādhigamena pacchimādhigamo hoti. Tena vuttaṃ ‘‘saddhā sīlaṃ sutaṃ cāgo paññā saddhāya sīlassa sutassa cāgassa paññāyā’’ti (paṭṭhā. 1.1.423) ca ‘‘paṭhamassa jhānassa parikammaṃ paṭhamassa jhānassa’’tyādi (paṭṭhā. 1.1.423) ca. Sāsadhātuyā desanāsaddo ca taṃjanako desanāñāṇasampayuttacittuppādo ca mukhyattho, taṃupanissayapaccayā veneyyānaṃ atthajānanapaṭipajjanaadhigamanādi kāraṇūpacārattho, ‘‘etenā’’ti padena vuttāya sāsanabhūtāya nāmapaññattiyā karaṇasattisaṅkhātā upanissayapaccayasatti phalūpacārattho. Iti-saddopi tameva nāmapaññattiyā upanissayapaccayasattiṃ hetubhāvena parāmasati, tassā sattiyā ādhārabhūtā nāmapaññatti yu-paccayattho. Eseva nayo tīsu piṭakesu evarūpesu ṭhānesu.
เอกนฺตนิยฺยานเฎฺฐน, อนญฺญสาธารณคุณตาย จ อุตฺตมเฎฺฐน วรํ อุตฺตมํ, ปริยตฺติสาสนมฺหิ ผลนิยฺยาทนโต, มคฺคนิยฺยานเหตุภาวโต จ นิยฺยานเฎฺฐน, สาวกาทีหิ อชนิยตฺตา อสาธารณเฎฺฐน จ อุตฺตมเฎฺฐน วรํ, วริตพฺพนฺติ วา วรํฯ ยถาวุตฺตสฺส สาสนสฺส ปณฺฑิเตหิ อภิปตฺถิตสมิทฺธิเหตุตาย วริตพฺพตฺตา ปเตฺถตพฺพตฺตา สาสนวรํ นาม, ยถาวุตฺตเฎฺฐน วา สาสนญฺจ ตํ วรญฺจาติ สาสนวรํฯ จ-สเทฺทน สตฺติเภทํ, ตํ-สเทฺทน อตฺถาเภทํ เทเสฺสติฯ
Ekantaniyyānaṭṭhena, anaññasādhāraṇaguṇatāya ca uttamaṭṭhena varaṃ uttamaṃ, pariyattisāsanamhi phalaniyyādanato, magganiyyānahetubhāvato ca niyyānaṭṭhena, sāvakādīhi ajaniyattā asādhāraṇaṭṭhena ca uttamaṭṭhena varaṃ, varitabbanti vā varaṃ. Yathāvuttassa sāsanassa paṇḍitehi abhipatthitasamiddhihetutāya varitabbattā patthetabbattā sāsanavaraṃ nāma, yathāvuttaṭṭhena vā sāsanañca taṃ varañcāti sāsanavaraṃ. Ca-saddena sattibhedaṃ, taṃ-saddena atthābhedaṃ desseti.
วิทนฺตีติ วิทูฯ เย ปณฺฑิตา ยถาสภาวโต กมฺมกมฺมผลานิ, กุสลาทิเภเท จ ธเมฺม วิทนฺติ, อิติ วิทนโต เต ปณฺฑิตา วิทู นาม, เตหิฯ ญาตพฺพนฺติ เญยฺยํฯ ญา-ธาตุยา นิปฺปริยายโต อารมฺมณิกํ ญาณํ วุตฺตํ, ฐานูปจารโต สาสนวรสฺส อารมฺมณปจฺจยภาโว ทสฺสิโต, อิติ-สเทฺทน อารมฺมณปจฺจยภาโว ปรามสิโตฯ ตสฺส อิติ-สเทฺทน ปรามสิตพฺพสฺส อารมฺมณปจฺจยภาวสฺส อาธารํ สาสนวรํ ณฺย-ปจฺจยโตฺถติ ทฎฺฐพฺพํฯ ญาณํ อรหตีติ วา เญยฺยํ, วิทูนํ ญาณํ ชานนํ อารมฺมณภาเวน อรหตีติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ นเย ตทฺธิตปทํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Vidantīti vidū. Ye paṇḍitā yathāsabhāvato kammakammaphalāni, kusalādibhede ca dhamme vidanti, iti vidanato te paṇḍitā vidū nāma, tehi. Ñātabbanti ñeyyaṃ. Ñā-dhātuyā nippariyāyato ārammaṇikaṃ ñāṇaṃ vuttaṃ, ṭhānūpacārato sāsanavarassa ārammaṇapaccayabhāvo dassito, iti-saddena ārammaṇapaccayabhāvo parāmasito. Tassa iti-saddena parāmasitabbassa ārammaṇapaccayabhāvassa ādhāraṃ sāsanavaraṃ ṇya-paccayatthoti daṭṭhabbaṃ. Ñāṇaṃ arahatīti vā ñeyyaṃ, vidūnaṃ ñāṇaṃ jānanaṃ ārammaṇabhāvena arahatīti attho. Imasmiṃ naye taddhitapadaṃ daṭṭhabbaṃ.
นรติ เนตีติ นโรฯ โย ปุริโส อตฺตานํ อิตฺถีนํ อุจฺจฎฺฐานํ นรติ เนติ, อิติ นรนโต นยนโต โส ปุริโส นโร นามฯ โส หิ ปุตฺตภูโตปิ มาตุยา ปิตุฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, กนิฎฺฐภาตุภูโตปิ เชฎฺฐภคินีนํ ปิตุฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ อถ วา นริตโพฺพ เนตโพฺพติ นโรฯ โส หิ ชาตกาลโต ปฎฺฐาย ยาว อตฺตโน สภาเวน อตฺตานํ ธาเรตุํ สมโตฺถ น โหติ, ตาว ปเรหิ เนตโพฺพ, น ตถา อโญฺญ ติรจฺฉานาทิโกติฯ เอตฺถ ปน สตฺถุวิสยตาย นรติ เวเนยฺยสเตฺตติ นโรติ อโตฺถ อธิเปฺปโตฯ สตฺถา หิ สเตฺต อปายาทิโต สุคติํ วา มคฺคผลนิพฺพานํ วา เนตีติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอเนกคุณสมนฺนาคตตฺตา วโร อุตฺตโม, วริตโพฺพ ปเตฺถตโพฺพติ วา วโร, ติโลกโคฺคฯ ปกติยา อุจฺจฎฺฐานโฎฺฐ นโร คุณุตฺตเมน สมนฺนาคโต วโร, นโร จ โส วโร จาติ นรวโรฯ จ-ต-สทฺทานํ อตฺถเภโท วุโตฺตว, วิเสสนปรปทสมาโสยํฯ เยน วุตฺตํ ‘‘อคฺคปุคฺคลสฺสาติ อโตฺถ’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา)ฯ อเญฺญ ปน ‘‘นรานํ, นเรสุ วา วโรติ นรวโร’’ติ วทนฺติ, ตํ วจนํ ‘‘อคฺคปุคฺคลสฺสาติ อโตฺถ’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา) อฎฺฐกถาวจเนน วิรุชฺฌติ มเญฺญฯ ตสฺส นรวรสฺสาติฯ อิเจฺจวํ เนตฺติปฺปกรณสฺส อาทิคาถาย สมาเสน จ วจนโตฺถ สมโตฺตฯ
Narati netīti naro. Yo puriso attānaṃ itthīnaṃ uccaṭṭhānaṃ narati neti, iti naranato nayanato so puriso naro nāma. So hi puttabhūtopi mātuyā pituṭṭhāne tiṭṭhati, kaniṭṭhabhātubhūtopi jeṭṭhabhaginīnaṃ pituṭṭhāne tiṭṭhati. Atha vā naritabbo netabboti naro. So hi jātakālato paṭṭhāya yāva attano sabhāvena attānaṃ dhāretuṃ samattho na hoti, tāva parehi netabbo, na tathā añño tiracchānādikoti. Ettha pana satthuvisayatāya narati veneyyasatteti naroti attho adhippeto. Satthā hi satte apāyādito sugatiṃ vā maggaphalanibbānaṃ vā netīti. Sabbaññutaññāṇādianekaguṇasamannāgatattā varo uttamo, varitabbo patthetabboti vā varo, tilokaggo. Pakatiyā uccaṭṭhānaṭṭho naro guṇuttamena samannāgato varo, naro ca so varo cāti naravaro. Ca-ta-saddānaṃ atthabhedo vuttova, visesanaparapadasamāsoyaṃ. Yena vuttaṃ ‘‘aggapuggalassāti attho’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā). Aññe pana ‘‘narānaṃ, naresu vā varoti naravaro’’ti vadanti, taṃ vacanaṃ ‘‘aggapuggalassāti attho’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā) aṭṭhakathāvacanena virujjhati maññe. Tassa naravarassāti. Iccevaṃ nettippakaraṇassa ādigāthāya samāsena ca vacanattho samatto.
สรูปโตฺถ โยชนตฺถวจนตฺถานุสาเรน วิชานิตโพฺพฯ ตถาปิ วิสุํ สุฎฺฐุ ชานนตฺถาย ปุน วตฺตโพฺพฯ ‘‘ย’’นฺติ ปทสฺส อนญฺญสาธารณสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอเนกคุณสมฺปโนฺน สโลกปาเลน โลเกน ปูเชตโพฺพ เจว นมสฺสิตโพฺพ จ สาสนวรเทสโก ติโลกโคฺค สรูปโตฺถฯ ‘‘โลโก’’ติ ปทสฺส ยถาวุตฺตโลกปาลสหิโต สทฺธาจาคาทิสมฺปโนฺน สพฺพสตฺตโลโก สรูปโตฺถฯ โลกสโทฺท เอกวจนยุโตฺตปิ ชาติสทฺทตฺตา นิรวเสสโต สเตฺต สงฺคณฺหาติ ยถา ‘‘มหาชโน’’ติฯ กามเญฺจตฺถ โลกสโทฺท ‘‘โลกวิทู’’ตฺยาทีสุ สงฺขารภาชเนสุปิ ปวโตฺต, ปูชนนมสฺสนกิริยาสาธนตฺตา ปน สตฺตโลเกว วาจกภาเวน ปวโตฺตติฯ เตนาห ‘‘ปูชนกิริยาโยคฺยภูตตาวเสนา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา)ฯ
Sarūpattho yojanatthavacanatthānusārena vijānitabbo. Tathāpi visuṃ suṭṭhu jānanatthāya puna vattabbo. ‘‘Ya’’nti padassa anaññasādhāraṇasabbaññutaññāṇādianekaguṇasampanno salokapālena lokena pūjetabbo ceva namassitabbo ca sāsanavaradesako tilokaggo sarūpattho. ‘‘Loko’’ti padassa yathāvuttalokapālasahito saddhācāgādisampanno sabbasattaloko sarūpattho. Lokasaddo ekavacanayuttopi jātisaddattā niravasesato satte saṅgaṇhāti yathā ‘‘mahājano’’ti. Kāmañcettha lokasaddo ‘‘lokavidū’’tyādīsu saṅkhārabhājanesupi pavatto, pūjananamassanakiriyāsādhanattā pana sattalokeva vācakabhāvena pavattoti. Tenāha ‘‘pūjanakiriyāyogyabhūtatāvasenā’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā).
ปูชยเตติ เอตฺถ ปูชนกิริยาย มุขฺยโต ปูชนสงฺขาโต ปูเชนฺตานํ จิตฺตุปฺปาโท สรูปโตฺถ, ผลูปจาเรน ตํจิตฺตุปฺปาทสฺส อารมฺมณปกตูปนิสฺสยภูตา วุตฺตปฺปการา สเพฺพ พุทฺธคุณา สรูปตฺถาฯ เต-วิภตฺติปจฺจยสฺส ปูชนกิริยาสาธโก วุตฺตปฺปกาโร โลโก จ สรูปโตฺถ, เอวํ สติ อตฺถเภทาภาวโต ทฺวีสุ วาจเกสุ เอโกว วาจโก วตฺตโพฺพ, กสฺมา เอกสฺมิํ อเตฺถ เทฺว วาจกา วุตฺตาติ? นายํ โทโส ทฺวินฺนํ วาจกานํ สามญฺญวิเสสวาจกตฺตาฯ โลกสโทฺท หิ ปูชนกิริยาสาธโก, อญฺญกิริยาสาธโก จ วทตีติ สามญฺญวาจโก จ โหติฯ ปูชยเต-สโทฺท โลกปูชนอิตฺถิปูชนปุริสปูชนติรจฺฉานปูชนาทิกิริยาสาธกญฺจ วทตีติ สามญฺญวาจโก ฯ ตสฺมา ปูชยเต-สโทฺท โลกสทฺทสฺส สรูปโตฺถ, ปูชนกิริยาสาธโก จ น อญฺญกิริยาสาธโกติ นิยเมติฯ โลกสโทฺท จ ปูชยเตสทฺทสฺส สรูปโตฺถ ปูชนกิริยาสาธโกฯ โลโก ปน ปูชนกิริยาสาธโก อิตฺถิปุริสติรจฺฉานาทิโกติ นิยเมติฯ ตีสุ ปิฎเกสุ อเญฺญสุปิ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ เอเสว นโยฯ
Pūjayateti ettha pūjanakiriyāya mukhyato pūjanasaṅkhāto pūjentānaṃ cittuppādo sarūpattho, phalūpacārena taṃcittuppādassa ārammaṇapakatūpanissayabhūtā vuttappakārā sabbe buddhaguṇā sarūpatthā. Te-vibhattipaccayassa pūjanakiriyāsādhako vuttappakāro loko ca sarūpattho, evaṃ sati atthabhedābhāvato dvīsu vācakesu ekova vācako vattabbo, kasmā ekasmiṃ atthe dve vācakā vuttāti? Nāyaṃ doso dvinnaṃ vācakānaṃ sāmaññavisesavācakattā. Lokasaddo hi pūjanakiriyāsādhako, aññakiriyāsādhako ca vadatīti sāmaññavācako ca hoti. Pūjayate-saddo lokapūjanaitthipūjanapurisapūjanatiracchānapūjanādikiriyāsādhakañca vadatīti sāmaññavācako . Tasmā pūjayate-saddo lokasaddassa sarūpattho, pūjanakiriyāsādhako ca na aññakiriyāsādhakoti niyameti. Lokasaddo ca pūjayatesaddassa sarūpattho pūjanakiriyāsādhako. Loko pana pūjanakiriyāsādhako itthipurisatiracchānādikoti niyameti. Tīsu piṭakesu aññesupi evarūpesu ṭhānesu eseva nayo.
‘‘สโลกปาโล’’ติ ปทสฺส ยถาวุตฺตเสฎฺฐโลกปาลสหคโต, ปูชนนมสฺสนกิริยาสาธโก จ สตฺตนิกาโย สรูปโตฺถฯ ‘‘สทา’’ติ ปทสฺส รตฺติทิวสกาโล อตีตภควโต ธรมานกาโล ตโต ปรกาโล อภินีหารโต ยาว สาสนนฺตรธานา กาโล ตโต ปรกาโล สรูปโตฺถฯ โส ปน อนาคตพุทฺธุปฺปชฺชนกาโล อตีตสมฺมาสมฺพุเทฺธ อิทานิ ปูชยนฺติ นมสฺสนฺติ วิย ปูชยิสฺสติ เจว นมสฺสิสฺสติ จฯ นมสฺสตีติ เอตฺถ นมสฺสนกิริยาย มุขฺยโต นมสฺสนสงฺขาโต จิตฺตุปฺปาโท สรูปโตฺถ, ผลูปจาเรน ตํจิตฺตุปฺปาทสฺส อารมฺมณปกตูปนิสฺสยภูตา วุตฺตปฺปการา สเพฺพ พุทฺธคุณา สรูปโตฺถฯ ติ-วิภตฺติปจฺจยสฺส นมสฺสนกิริยาสาธโก ยถาวุตฺตสตฺตนิกาโย โลโก จ สรูปโตฺถ, อตฺถเภทาภาเวปิ ทฺวินฺนํ วาจกานํ ปวตฺตภาโว เหฎฺฐา วุโตฺตวฯ ‘‘จา’’ติ ปทสฺส อิเธกโจฺจ ปูเชโนฺตปิ น นมสฺสติ, นมสฺสโนฺตปิ น ปูเชติ จ, อยํ ปน สตฺตนิกาโย โลโก ปูชยติ เจว นมสฺสติ จาติ สมุจฺจยโตฺถ สรูปโตฺถฯ
‘‘Salokapālo’’ti padassa yathāvuttaseṭṭhalokapālasahagato, pūjananamassanakiriyāsādhako ca sattanikāyo sarūpattho. ‘‘Sadā’’ti padassa rattidivasakālo atītabhagavato dharamānakālo tato parakālo abhinīhārato yāva sāsanantaradhānā kālo tato parakālo sarūpattho. So pana anāgatabuddhuppajjanakālo atītasammāsambuddhe idāni pūjayanti namassanti viya pūjayissati ceva namassissati ca. Namassatīti ettha namassanakiriyāya mukhyato namassanasaṅkhāto cittuppādo sarūpattho, phalūpacārena taṃcittuppādassa ārammaṇapakatūpanissayabhūtā vuttappakārā sabbe buddhaguṇā sarūpattho. Ti-vibhattipaccayassa namassanakiriyāsādhako yathāvuttasattanikāyo loko ca sarūpattho, atthabhedābhāvepi dvinnaṃ vācakānaṃ pavattabhāvo heṭṭhā vuttova. ‘‘Cā’’ti padassa idhekacco pūjentopi na namassati, namassantopi na pūjeti ca, ayaṃ pana sattanikāyo loko pūjayati ceva namassati cāti samuccayattho sarūpattho.
ตสฺสาติ เอตฺถ ตํ-สทฺทสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอเนกคุณสมนฺนาคโต ปูเชตโพฺพ นมสฺสิตโพฺพ ติโลกโคฺค สตฺถา สรูปโตฺถ, ฉฎฺฐีวิภตฺติยา ชนกสฺส นรวรสฺส ชเญฺญน สาสนวเรน สมฺพโนฺธ ปธานสรูปโตฺถ, ชญฺญสาสนวรสฺส ชนเกน นรวเรน สมฺพโนฺธ อปธานสรูปโตฺถฯ ตีสุ ปิฎเกสุ เอวรูเปสุ อเญฺญสุปิ เอเสว นโยฯ
Tassāti ettha taṃ-saddassa sabbaññutaññāṇādianekaguṇasamannāgato pūjetabbo namassitabbo tilokaggo satthā sarūpattho, chaṭṭhīvibhattiyā janakassa naravarassa jaññena sāsanavarena sambandho padhānasarūpattho, jaññasāsanavarassa janakena naravarena sambandho apadhānasarūpattho. Tīsu piṭakesu evarūpesu aññesupi eseva nayo.
‘‘เอต’’นฺติ ปทสฺส อาจริเยน วิภชิตพฺพหารนยปฎฺฐานวิจารณวิสยภูตํ สาสนํ สรูปโตฺถฯ ‘‘สาสนวร’’นฺติ ปทสฺสาปิ ตเมว สรูปโตฺถ, เอตํ สาสนวรํ ปริยตฺติปฎิปตฺติปฎิเวธเภเทน ติวิธมฺปิ ปริยตฺติสาสนเมว สพฺพสาสนมูลภูตตฺตา, เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยภูตตฺตา จ วิเสสโต อธิเปฺปตํ ตสฺส มูลภูตภาวโต วินยสํวณฺณนาทีสุ พหูปกาเรน ทสฺสิโตติ อเมฺหหิ น วตฺตโพฺพฯ วทโนฺตปิ อญฺญํ รจิตพฺพํ รจิตุํ อสมโตฺถว หุตฺวา วทตีติ คหิตโพฺพ วเทยฺยฯ
‘‘Eta’’nti padassa ācariyena vibhajitabbahāranayapaṭṭhānavicāraṇavisayabhūtaṃ sāsanaṃ sarūpattho. ‘‘Sāsanavara’’nti padassāpi tameva sarūpattho, etaṃ sāsanavaraṃ pariyattipaṭipattipaṭivedhabhedena tividhampi pariyattisāsanameva sabbasāsanamūlabhūtattā, nettippakaraṇassa visayabhūtattā ca visesato adhippetaṃ tassa mūlabhūtabhāvato vinayasaṃvaṇṇanādīsu bahūpakārena dassitoti amhehi na vattabbo. Vadantopi aññaṃ racitabbaṃ racituṃ asamatthova hutvā vadatīti gahitabbo vadeyya.
ตํ ปน ปริยตฺติสาสนํ วิมุตฺติรสวเสน เอกวิธํ, ธมฺมวินยวเสน ทุวิธํ, วินยปิฎกสุตฺตนฺตปิฎกอภิธมฺมปิฎกวเสน ติวิธํ , อาณาเทสนาโวหารเทสนาปรมตฺถเทสนาวเสน ติวิธํ, ยถาปราธสาสนายถานุโลมสาสนายถาธมฺมสาสนาเภเทนปิ ติวิธํ, สํวราสํวรกถาทิฎฺฐิวินิเวฐนกถานามรูปปริเจฺฉทกถาเภเทนปิ ติวิธํฯ เอตฺถ จ เทสนา เทสกาธีนา, สาสนํ สาสิตพฺพายตฺตํ, กถา กเถตพฺพตฺถาเปกฺขาติ วิเสโสฯ ทีฆนิกาโย, มชฺฌิมนิกาโย, สํยุตฺตนิกาโย, องฺคุตฺตรนิกาโย, ขุทฺทกนิกาโยติ นิกายเภเทน ปน ปญฺจวิธํ; สุตฺตเคยฺยเวยฺยากรณคาถาอุทานอิติวุตฺตกชาตกอพฺภุตธมฺมเวทลฺลเภเทน ปน นววิธํ; ธมฺมกฺขนฺธเภเทน ปน จตุราสีติธมฺมกฺขนฺธสหสฺสวิธํ; ‘‘สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยอเสกฺขภาคิยาติ อมิสฺสานิ จตฺตาริ; สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยสํกิเลสภาคิยนิเพฺพธ ภาคิยสํกิเลสภาคิยอเสกฺขภาคิยวาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยาติ มิสฺสกทุกานิ จตฺตาริ; สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยอเสกฺขภาคิยสํกิเลสภาคิยวาสนา ภาคิยนิเพฺพธภาคิยาติ มิสฺสกติกานิ เทฺว; ตณฺหาสํกิเลสทิฎฺฐิสํกิเลสทุจฺจริตสํกิเลสตณฺหาโวทานภาคิยทิฎฺฐิว- อุทานภาคิยทุจฺจริตโวทานภาคิยาติฉา’’ติ (เนตฺติ. ๘๙) โสฬสนฺนํ สุตฺตานํ เภเทน โสฬสวิธํ; ‘‘โลกิยโลกุตฺตรโลกิยโลกุตฺตรสตฺตาธิฎฺฐานธมฺมาธิฎฺฐานสตฺตธมฺมาธิฎฺฐานญาณเญยฺย- ญาณเญยฺยทสฺสนภาวนาทสฺสนภาวนาสกวจนปรวจนสกวจนปรวจน วิสฺสชฺชนียอวิสฺสชฺชนียวิสฺสชฺชนียอวิสฺสชฺชนียกมฺมวิปากกมฺมวิปากกุสล อกุสลกุสลากุสลอนุญฺญาตปฎิกฺขิตฺตอนุญฺญาตปฎิกฺขิตฺตถวสฺส เภเทน อฎฺฐวีสติวิธ’’นฺติ (เนตฺติ. ๑๑๒) เอวมาทิพหุวิธํ ปริยตฺติสาสนํ เนตฺติปฺปกรณสฺส วิเสสโต วิสยํฯ ตสฺส วิสยภาเว สติ ปฎิปตฺติปฎิเวธสงฺขาตํ สาสนทฺวยมฺปิ ตมฺมูลกตฺตา วิสยํ โหติ ปริยายโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Taṃ pana pariyattisāsanaṃ vimuttirasavasena ekavidhaṃ, dhammavinayavasena duvidhaṃ, vinayapiṭakasuttantapiṭakaabhidhammapiṭakavasena tividhaṃ , āṇādesanāvohāradesanāparamatthadesanāvasena tividhaṃ, yathāparādhasāsanāyathānulomasāsanāyathādhammasāsanābhedenapi tividhaṃ, saṃvarāsaṃvarakathādiṭṭhiviniveṭhanakathānāmarūpaparicchedakathābhedenapi tividhaṃ. Ettha ca desanā desakādhīnā, sāsanaṃ sāsitabbāyattaṃ, kathā kathetabbatthāpekkhāti viseso. Dīghanikāyo, majjhimanikāyo, saṃyuttanikāyo, aṅguttaranikāyo, khuddakanikāyoti nikāyabhedena pana pañcavidhaṃ; suttageyyaveyyākaraṇagāthāudānaitivuttakajātakaabbhutadhammavedallabhedena pana navavidhaṃ; dhammakkhandhabhedena pana caturāsītidhammakkhandhasahassavidhaṃ; ‘‘saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyaasekkhabhāgiyāti amissāni cattāri; saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyasaṃkilesabhāgiyanibbedha bhāgiyasaṃkilesabhāgiyaasekkhabhāgiyavāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyāti missakadukāni cattāri; saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyaasekkhabhāgiyasaṃkilesabhāgiyavāsanā bhāgiyanibbedhabhāgiyāti missakatikāni dve; taṇhāsaṃkilesadiṭṭhisaṃkilesaduccaritasaṃkilesataṇhāvodānabhāgiyadiṭṭhiva- udānabhāgiyaduccaritavodānabhāgiyātichā’’ti (netti. 89) soḷasannaṃ suttānaṃ bhedena soḷasavidhaṃ; ‘‘lokiyalokuttaralokiyalokuttarasattādhiṭṭhānadhammādhiṭṭhānasattadhammādhiṭṭhānañāṇañeyya- ñāṇañeyyadassanabhāvanādassanabhāvanāsakavacanaparavacanasakavacanaparavacana vissajjanīyaavissajjanīyavissajjanīyaavissajjanīyakammavipākakammavipākakusala akusalakusalākusalaanuññātapaṭikkhittaanuññātapaṭikkhittathavassa bhedena aṭṭhavīsatividha’’nti (netti. 112) evamādibahuvidhaṃ pariyattisāsanaṃ nettippakaraṇassa visesato visayaṃ. Tassa visayabhāve sati paṭipattipaṭivedhasaṅkhātaṃ sāsanadvayampi tammūlakattā visayaṃ hoti pariyāyatoti daṭṭhabbaṃ.
‘‘วิทูหี’’ติ ปทสฺส ยถาวุตฺตสาสนวรสฺส สปรสนฺตานปวตฺตนปวตฺตาปนาทิวเสน วิชานนสมโตฺถ สณฺหสุขุมญาณาทิคุณสมฺปโนฺน กลฺยาณปุถุชฺชนโสตาปนฺนาทิโก ปุคฺคโล สรูปโตฺถฯ ‘‘เญยฺย’’นฺติ ปทสฺส ตาทิเสหิ วิทูหิ สณฺหสุขุมญาณาทินา วิชานิตพฺพํ สาสนวรํ สรูปโตฺถฯ ‘‘นรวรสฺสา’’ติ ปทสฺส เอกวิธาทิเภทสฺส สาสนวรสฺส ชนโก อเนกคุณสมฺปโนฺน ติโลกโคฺค สรูปโตฺถฯ อิเจฺจวํ เนตฺติยา อาทิคาถาย สรูปโตฺถ สเงฺขเปน วิชานิตโพฺพฯ
‘‘Vidūhī’’ti padassa yathāvuttasāsanavarassa saparasantānapavattanapavattāpanādivasena vijānanasamattho saṇhasukhumañāṇādiguṇasampanno kalyāṇaputhujjanasotāpannādiko puggalo sarūpattho. ‘‘Ñeyya’’nti padassa tādisehi vidūhi saṇhasukhumañāṇādinā vijānitabbaṃ sāsanavaraṃ sarūpattho. ‘‘Naravarassā’’ti padassa ekavidhādibhedassa sāsanavarassa janako anekaguṇasampanno tilokaggo sarūpattho. Iccevaṃ nettiyā ādigāthāya sarūpattho saṅkhepena vijānitabbo.
เอวํ ตสฺสา อนุสนฺธฺยาทีนํ ชานิตพฺพภาเว สติปิ อชานโนฺต วิย ปุจฺฉิตฺวา โทสํ อาโรเปตฺวา ปริหารวเสนาปิ คมฺภีราธิปฺปายสฺส อนากุลสฺส วิเสสชานนํ ภวิสฺสติฯ ตสฺมา ปุจฺฉิตฺวา โทสํ โรเปตฺวา ปริหารวเสน คมฺภีราธิปฺปายํ สมฺปิเณฺฑตฺวา กถยิสฺสํฯ อมฺหากาจริย กิมตฺถํ ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิมาห? เนตฺติปฺปกรณํ กาตุํฯ เอวํ สติ เนตฺติปฺปกรณภูตํ ‘‘โสฬสหารา เนตฺติ’’ตฺยาทิกํ เอว วตฺตพฺพํ, กสฺมา ตํ อวตฺวา ตโต เนตฺติปฺปกรณโต อญฺญํ ‘‘ยํ โลโก ปูชยเต’’ตฺยาทิมาหฯ เสยฺยถาปิ สมุทฺทํ คจฺฉโนฺต หิมวนฺตํ คจฺฉติ, หิมวนฺตํ คจฺฉโนฺต สมุทฺทํ คจฺฉติ, เอวเมว เนตฺติปฺปกรณํ กโรโนฺต สาสนวรทสฺสนํ กโรตีติ? สจฺจํ, ตถาปิ ยสฺส สํวณฺณนํ เนตฺติปฺปกรณํ กาตุกาโม ตํ สาสนวรํ ปฐมํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิมาหฯ เอวํ สติ ‘‘เอตํ สาสนวร’’นฺติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํ, กสฺมา ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิ วุตฺตนฺติ? ตํ สาสนวรํ ชนเกน นรวเรน นิยเมตฺวา โถเมตุํ วุตฺตํฯ ตถาปิ ‘‘ตสฺส นรวรสฺสา’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํ, กสฺมา ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิ วุตฺตนฺติ? ตํ ชนกํ นรวรํ โลกปาเลน โลกเสเฎฺฐน สทฺธิํ สเพฺพน โลเกน ปูชนียนมสฺสนียภาเวน โถเมตุํ ‘‘ยํ โลโก’’ตฺยาทิ วุตฺตํฯ ปูเชนฺตาปิ วนฺทิตฺวา ปูเชนฺติ, ตสฺมา ‘‘ปูชยเต’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ? ตถาปิ เกจิ เกสญฺจิ ปูชาสกฺการาทีนิ กโรนฺตาปิ เตสํ อปากฎคุณตาย นมกฺการํ น กโรนฺติฯ เอวํ ภควโต ยถาภูตอพฺภุคฺคตสทฺทตาย ปน ภควนฺตํ ปูเชตฺวาปิ วนฺทติเยวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘นมสฺสติ จา’’ติ วุตฺตํฯ ปูเชโนฺต, นมสฺสโนฺต จ น กทาจิเยว, อถ โข สพฺพกาลนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘สทา’’ติ วุตฺตํฯ ตาทิสสฺส นรวรสฺส ตาทิสํ สาสนวรํ สณฺหสุขุมญาณสมฺปเนฺนหิ วิทูเหว สุขุมญาเณเนว เญยฺยนฺติ สาสนวรํ โถเมตุํ ‘‘วิทูหิ เญยฺย’’นฺติ วุตฺตํฯ
Evaṃ tassā anusandhyādīnaṃ jānitabbabhāve satipi ajānanto viya pucchitvā dosaṃ āropetvā parihāravasenāpi gambhīrādhippāyassa anākulassa visesajānanaṃ bhavissati. Tasmā pucchitvā dosaṃ ropetvā parihāravasena gambhīrādhippāyaṃ sampiṇḍetvā kathayissaṃ. Amhākācariya kimatthaṃ ‘‘yaṃ loko’’tyādimāha? Nettippakaraṇaṃ kātuṃ. Evaṃ sati nettippakaraṇabhūtaṃ ‘‘soḷasahārā netti’’tyādikaṃ eva vattabbaṃ, kasmā taṃ avatvā tato nettippakaraṇato aññaṃ ‘‘yaṃ loko pūjayate’’tyādimāha. Seyyathāpi samuddaṃ gacchanto himavantaṃ gacchati, himavantaṃ gacchanto samuddaṃ gacchati, evameva nettippakaraṇaṃ karonto sāsanavaradassanaṃ karotīti? Saccaṃ, tathāpi yassa saṃvaṇṇanaṃ nettippakaraṇaṃ kātukāmo taṃ sāsanavaraṃ paṭhamaṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ loko’’tyādimāha. Evaṃ sati ‘‘etaṃ sāsanavara’’nti ettakameva vattabbaṃ, kasmā ‘‘yaṃ loko’’tyādi vuttanti? Taṃ sāsanavaraṃ janakena naravarena niyametvā thometuṃ vuttaṃ. Tathāpi ‘‘tassa naravarassā’’ti ettakameva vattabbaṃ, kasmā ‘‘yaṃ loko’’tyādi vuttanti? Taṃ janakaṃ naravaraṃ lokapālena lokaseṭṭhena saddhiṃ sabbena lokena pūjanīyanamassanīyabhāvena thometuṃ ‘‘yaṃ loko’’tyādi vuttaṃ. Pūjentāpi vanditvā pūjenti, tasmā ‘‘pūjayate’’ti ettakameva vattabbanti? Tathāpi keci kesañci pūjāsakkārādīni karontāpi tesaṃ apākaṭaguṇatāya namakkāraṃ na karonti. Evaṃ bhagavato yathābhūtaabbhuggatasaddatāya pana bhagavantaṃ pūjetvāpi vandatiyevāti dassetuṃ ‘‘namassati cā’’ti vuttaṃ. Pūjento, namassanto ca na kadāciyeva, atha kho sabbakālanti dassetuṃ ‘‘sadā’’ti vuttaṃ. Tādisassa naravarassa tādisaṃ sāsanavaraṃ saṇhasukhumañāṇasampannehi vidūheva sukhumañāṇeneva ñeyyanti sāsanavaraṃ thometuṃ ‘‘vidūhi ñeyya’’nti vuttaṃ.
เอตฺถ จ ‘‘ปูชยเต, นมสฺสตี’’ติ เอเตหิ ปูชนนมสฺสนกิริยาย เหตุภูตา สพฺพญฺญุตญฺญาณาทโย อเนเก โลกิยโลกุตฺตรคุณา ปกาสิตา โหนฺติ เต คุเณ อาคมฺม สพฺพโลกสฺส ปูชนนมสฺสนเจตนาย ปวตฺตนโตฯ เตสุ หิ กิญฺจิ สรูปโต, กิญฺจิ อนุมานโต สาริปุตฺตเตฺถราทโย อนุสฺสรนฺติ, ปูเชนฺติ, นมสฺสนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนุสฺสเรถ สมฺพุทฺธ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙)ฯ เอกเทสคุณาปิ ปูชารหา นมสฺสนารหา, กสฺมา สเพฺพปิ คุณา ปกาสิตาติ? สพฺพคุณทสฺสเนน โพธิสมฺภารสมฺภรณมหากรุณาโยคสงฺขาตเหตุญาณปหาน- อานุภาวรูปกายสมฺปตฺติสงฺขาตผลหิตชฺฌาสยินฺทฺริย- ปากกาลาคมนเทสนาญาณสงฺขาตสตฺตุ- ปการสมฺปทาวเสน โถมนา ทสฺสิตาฯ เตน อตฺตหิตปฎิปตฺติ, ปรหิตปฎิปตฺติ จ นิรุปกฺกิเลสูปคมนาปคมนญฺจ โลกสมญฺญานุปปวตฺติ, ตทนติธาวนญฺจ จรณสมฺปตฺติ, วิชฺชาสมฺปตฺติ จ อตฺตาธิปติตา, ธมฺมาธิปติตา จ โลกนาถอตฺตนาถตา จ ปุพฺพการิกตญฺญุตา จ อปรนฺตปตา, อนตฺตนฺตปตา จ พุทฺธกรณธมฺมพุทฺธภาวสิทฺธิ จ ปรตารณอตฺตตารณญฺจ สตฺตานุคฺคหจิตฺตตา, ธมฺมวิรตฺตจิตฺตตา จ ปกาสิตา ภวนฺติฯ เตน สพฺพปฺปกาเรน อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยตาอุตฺตมปูชนียนมสฺสนียภาวปูชนนมสฺสนกิริยาย จ เขตฺตงฺคตภาวํ ปกาเสติฯ เตน ปูชนกนมสฺสนกานํ ยถิจฺฉิตพฺพปโยชนสมฺปตฺติ ปกาสิตาติ สพฺพคุณา ปกาสิตาติฯ
Ettha ca ‘‘pūjayate, namassatī’’ti etehi pūjananamassanakiriyāya hetubhūtā sabbaññutaññāṇādayo aneke lokiyalokuttaraguṇā pakāsitā honti te guṇe āgamma sabbalokassa pūjananamassanacetanāya pavattanato. Tesu hi kiñci sarūpato, kiñci anumānato sāriputtattherādayo anussaranti, pūjenti, namassanti. Tena vuttaṃ ‘‘anussaretha sambuddha’’nti (saṃ. ni. 1.249). Ekadesaguṇāpi pūjārahā namassanārahā, kasmā sabbepi guṇā pakāsitāti? Sabbaguṇadassanena bodhisambhārasambharaṇamahākaruṇāyogasaṅkhātahetuñāṇapahāna- ānubhāvarūpakāyasampattisaṅkhātaphalahitajjhāsayindriya- pākakālāgamanadesanāñāṇasaṅkhātasattu- pakārasampadāvasena thomanā dassitā. Tena attahitapaṭipatti, parahitapaṭipatti ca nirupakkilesūpagamanāpagamanañca lokasamaññānupapavatti, tadanatidhāvanañca caraṇasampatti, vijjāsampatti ca attādhipatitā, dhammādhipatitā ca lokanāthaattanāthatā ca pubbakārikataññutā ca aparantapatā, anattantapatā ca buddhakaraṇadhammabuddhabhāvasiddhi ca paratāraṇaattatāraṇañca sattānuggahacittatā, dhammavirattacittatā ca pakāsitā bhavanti. Tena sabbappakārena anuttaradakkhiṇeyyatāuttamapūjanīyanamassanīyabhāvapūjananamassanakiriyāya ca khettaṅgatabhāvaṃ pakāseti. Tena pūjanakanamassanakānaṃ yathicchitabbapayojanasampatti pakāsitāti sabbaguṇā pakāsitāti.
อาทิกลฺยาณตาทิคุณสมฺปตฺติยา วรํ อคฺคํ อุตฺตมํ, นิปุณญาณโคจรตาย ปณฺฑิตเวทนียญฺจ, ตสฺมา ‘‘วรํ เญยฺย’’นฺติ วจเนหิ สฺวากฺขาตตาทโย สเพฺพ ธมฺมคุณา ปกาสิตาฯ อริยสจฺจปฎิเวเธน สมุคฺฆาตกิเลสสโมฺมหาเยว ปรมตฺถโต ปณฺฑิตา พาลฺยาทิสมติกฺกมนโต, ตสฺมา ภาวิตโลกุตฺตรมคฺคา, สจฺฉิกตสามญฺญผลา จ ปุคฺคลา วิเสสโต ‘‘วิทู’’ติ วุจฺจนฺติฯ เต หิ ยถาวุตฺตสาสนวรํ อวิปรีตโต ญาตุํ, เนตุญฺจ สปรสนฺตาเน สกฺกุณนฺติฯ ตสฺมา เย สุปฺปฎิปนฺนตาทโย อเนเกหิ สุตฺตปเทหิ สํวณฺณิตา, เต อริยสงฺฆคุณาปิ นิรวเสสโต ‘‘วิทูหี’’ติ ปเทน ปกาสิตาติฯ เอวํ เนตฺติยา ปฐมคาถาย ‘‘เอตํ สาสนวร’’นฺติ ปเทน สาสนตฺตยํ สงฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ อิตเรสํ ทฺวินฺนํ อธิคมูปายภาวโต สพฺพสาสนมูลภูตสฺส, อตฺตโน เนตฺติปฺปกรณสฺส จ วิสยภูตสฺส ปริยตฺติสาสนวรสฺส ทสฺสนมุเขน สเพฺพ รตนตฺตยคุณาปิ โถมนาวเสน นยโตว ปกาสิตา โหนฺติฯ นยโต หิ ทสฺสิตา สเพฺพ คุณา นิรวเสสา คหิตา ภวนฺติ, น สรูปโตฯ เตนาห ภควนฺตํ ฐเปตฺวา ปญฺญวนฺตานํ อคฺคภูโต ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถโรปิ พุทฺธคุณปริเจฺฉทนมนุยุโตฺต ‘‘อปิจ เม ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖) ภควตาปิ –
Ādikalyāṇatādiguṇasampattiyā varaṃ aggaṃ uttamaṃ, nipuṇañāṇagocaratāya paṇḍitavedanīyañca, tasmā ‘‘varaṃ ñeyya’’nti vacanehi svākkhātatādayo sabbe dhammaguṇā pakāsitā. Ariyasaccapaṭivedhena samugghātakilesasammohāyeva paramatthato paṇḍitā bālyādisamatikkamanato, tasmā bhāvitalokuttaramaggā, sacchikatasāmaññaphalā ca puggalā visesato ‘‘vidū’’ti vuccanti. Te hi yathāvuttasāsanavaraṃ aviparītato ñātuṃ, netuñca saparasantāne sakkuṇanti. Tasmā ye suppaṭipannatādayo anekehi suttapadehi saṃvaṇṇitā, te ariyasaṅghaguṇāpi niravasesato ‘‘vidūhī’’ti padena pakāsitāti. Evaṃ nettiyā paṭhamagāthāya ‘‘etaṃ sāsanavara’’nti padena sāsanattayaṃ saṅgaṇhitvā tattha itaresaṃ dvinnaṃ adhigamūpāyabhāvato sabbasāsanamūlabhūtassa, attano nettippakaraṇassa ca visayabhūtassa pariyattisāsanavarassa dassanamukhena sabbe ratanattayaguṇāpi thomanāvasena nayatova pakāsitā honti. Nayato hi dassitā sabbe guṇā niravasesā gahitā bhavanti, na sarūpato. Tenāha bhagavantaṃ ṭhapetvā paññavantānaṃ aggabhūto dhammasenāpatisāriputtattheropi buddhaguṇaparicchedanamanuyutto ‘‘apica me dhammanvayo vidito’’ti (dī. ni. 2.146) bhagavatāpi –
‘‘เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา, พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา;
‘‘Evaṃ acintiyā buddhā, buddhadhammā acintiyā;
อจินฺติเย ปสนฺนานํ, วิปาโก โหติ อจินฺติโย’’ติฯ (อป. เถร ๑.๑.๘๒; เนตฺติ. ๙๕) –
Acintiye pasannānaṃ, vipāko hoti acintiyo’’ti. (apa. thera 1.1.82; netti. 95) –
คาถา วุตฺตาฯ ตตฺถ พุทฺธธมฺมาติ พุทฺธคุณาฯ อมฺหากํ ปน ยาวชีวํ รตนตฺตยคุณปริทีปเน อติอุสฺสาหนฺตานมฺปิ สรูปโต นีหริตฺวา ทเสฺสตุํ อสมตฺถภาโว ปเคว ปณฺฑิเตหิ เวทิตโพฺพติฯ
Gāthā vuttā. Tattha buddhadhammāti buddhaguṇā. Amhākaṃ pana yāvajīvaṃ ratanattayaguṇaparidīpane atiussāhantānampi sarūpato nīharitvā dassetuṃ asamatthabhāvo pageva paṇḍitehi veditabboti.
อิเจฺจวํ –
Iccevaṃ –
‘‘ยํ โลโก ปูชยเต, สโลกปาโล สทา นมสฺสติ จ;
‘‘Yaṃ loko pūjayate, salokapālo sadā namassati ca;
ตเสฺสต สาสนวรํ, วิทูหิ เญยฺยํ นรวรสฺสา’’ติฯ –
Tasseta sāsanavaraṃ, vidūhi ñeyyaṃ naravarassā’’ti. –
นิคฺคหิตโลปวเสน วุตฺตาย คาถาย สเงฺขเปน กถิโต อนุสนฺธฺยาทิโก สมโตฺตติฯ
Niggahitalopavasena vuttāya gāthāya saṅkhepena kathito anusandhyādiko samattoti.
‘‘ยํ โลโก ปูชยเต, ส โลกปาโล สทา นมสฺสติ จ;
‘‘Yaṃ loko pūjayate, sa lokapālo sadā namassati ca;
ตํ ตสฺส สาสนวรํ, วิทูหิ เญยฺยํ นรวรสฺสา’’ติฯ –
Taṃ tassa sāsanavaraṃ, vidūhi ñeyyaṃ naravarassā’’ti. –
คาถํ อปเร ปฐนฺติฯ ตสฺสาปิ อนุสนฺธฺยโตฺถ วุตฺตนโยวฯ โยชนโตฺถ ปน วิเสโสฯ ตตฺถ หิ สโลกปาโล โลโก ยสฺส สตฺถุโน นรวรสฺส ยํ สาสนวรํ สํวเณฺณตพฺพสหิตํ, สํวเณฺณตพฺพํ เอว วา ปูชยเต เจว นมสฺสติ จ, ตสฺส โลกปาลสฺส สตฺถุโน ตํ ปูเชตพฺพํ, นมสฺสิตพฺพญฺจ วิทูเหว วิญฺญาตพฺพํ, เอตํ สาสนวรํ เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยนฺติ คเหตพฺพนฺติ โยชนาฯ โยชนากาโรปิ เหฎฺฐา วุตฺตนโยวฯ
Gāthaṃ apare paṭhanti. Tassāpi anusandhyattho vuttanayova. Yojanattho pana viseso. Tattha hi salokapālo loko yassa satthuno naravarassa yaṃ sāsanavaraṃ saṃvaṇṇetabbasahitaṃ, saṃvaṇṇetabbaṃ eva vā pūjayate ceva namassati ca, tassa lokapālassa satthuno taṃ pūjetabbaṃ, namassitabbañca vidūheva viññātabbaṃ, etaṃ sāsanavaraṃ nettippakaraṇassa visayanti gahetabbanti yojanā. Yojanākāropi heṭṭhā vuttanayova.
วิคฺคหโตฺถปิ วิเสโสฯ อิมสฺมิญฺหิ นเย โลกํ ปาเลนฺตีติ โลกปาลา, ยถาวุตฺตจตุมหาราชาทโยฯ เตหิ โลกปาเลหิ สหิตํ สพฺพโลกํ ปาเลติ โลกคฺคนายกตฺตาติ โลกปาโลติ ภควาปิ โลกปาลสเทฺทน วุโตฺตฯ โส หิ ‘‘ตสฺสา’’ติ เอตฺถ ตํ-สเทฺทน ปรามสียติ, ตสฺมา ตสฺส โลกปาลสฺส สตฺถุโน นรวรสฺสาติ อโตฺถ คหิโตฯ ยทิ เอวํ โลกปาโล คุณีภูโต อปธาโน ปธานภูตํ โลกํ วิเสเสตฺวา วินิวโตฺต, กถํ ตํ-สเทฺทน ปรามสียตีติ? โลกวิเสสโก สมาโนปิ สาสนวราเปกฺขตาย ชนกสามิภาเวน สมฺพนฺธิวิเสสภูตตฺตา ปธานภูโต วิย ปรามสียตีติฯ ภควา สาสนวรสฺส สามิภาเวน คหิโตฯ กถํ สาสนวรสฺส สามี ภควา สาสนวรํ ปูชยตีติ? น จายํ วิโรโธฯ พุทฺธา หิ ภควโนฺต ธมฺมครุโน, เต สพฺพกาลํ ธมฺมมปจยมานาว วิหรนฺตีติฯ พุทฺธานญฺหิ ธมฺมครุธมฺมาปจยมานภาโว ‘‘ยํนูนาหํ…เป.… ตเมว ธมฺมํ สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา มาเนตฺวา ปูเชตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺย’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๒๑) วุโตฺต, ตสฺมา โลกปาโล ภควา สาสนวรํ ปูชยตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ สติ โลกปาโล ภควา สาสนวรํ ปูชยตีติ อโตฺถ ยุโตฺต โหตุ, กถํ โลกปาโล ภควา สาสนวรํ นมสฺสตีติ ยุโตฺตติ? ยุโตฺตว ‘‘นมสฺสตี’’ติ ปทสฺส ครุกรเณน ตนฺนินฺนโปณปพฺภาโรติ อตฺถสฺสาปิ ลพฺภนโตฯ ภควา หิ ธมฺมครุตาย สพฺพกาลํ ธมฺมนินฺนโปณปพฺภารภาเวน วิหรตีติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทิฯ เสสเมตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน วา สํวณฺณนาสุ วุตฺตนเยน วา ญาตพฺพนฺติ อเมฺหหิ น วิตฺถารียติฯ
Viggahatthopi viseso. Imasmiñhi naye lokaṃ pālentīti lokapālā, yathāvuttacatumahārājādayo. Tehi lokapālehi sahitaṃ sabbalokaṃ pāleti lokagganāyakattāti lokapāloti bhagavāpi lokapālasaddena vutto. So hi ‘‘tassā’’ti ettha taṃ-saddena parāmasīyati, tasmā tassa lokapālassa satthuno naravarassāti attho gahito. Yadi evaṃ lokapālo guṇībhūto apadhāno padhānabhūtaṃ lokaṃ visesetvā vinivatto, kathaṃ taṃ-saddena parāmasīyatīti? Lokavisesako samānopi sāsanavarāpekkhatāya janakasāmibhāvena sambandhivisesabhūtattā padhānabhūto viya parāmasīyatīti. Bhagavā sāsanavarassa sāmibhāvena gahito. Kathaṃ sāsanavarassa sāmī bhagavā sāsanavaraṃ pūjayatīti? Na cāyaṃ virodho. Buddhā hi bhagavanto dhammagaruno, te sabbakālaṃ dhammamapacayamānāva viharantīti. Buddhānañhi dhammagarudhammāpacayamānabhāvo ‘‘yaṃnūnāhaṃ…pe… tameva dhammaṃ sakkatvā garuṃ katvā mānetvā pūjetvā upanissāya vihareyya’’nti (a. ni. 4.21) vutto, tasmā lokapālo bhagavā sāsanavaraṃ pūjayatīti daṭṭhabbo. Evaṃ sati lokapālo bhagavā sāsanavaraṃ pūjayatīti attho yutto hotu, kathaṃ lokapālo bhagavā sāsanavaraṃ namassatīti yuttoti? Yuttova ‘‘namassatī’’ti padassa garukaraṇena tanninnapoṇapabbhāroti atthassāpi labbhanato. Bhagavā hi dhammagarutāya sabbakālaṃ dhammaninnapoṇapabbhārabhāvena viharatīti. Vuttañhetaṃ ‘‘yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādi. Sesamettha heṭṭhā vuttanayena vā saṃvaṇṇanāsu vuttanayena vā ñātabbanti amhehi na vitthārīyati.
เอวํ ปฐมคาถาย ‘‘สาสนวร’’นฺติ ปเทน ติวิธมฺปิ สาสนํ สงฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ ปริยตฺติสาสนเมว อตฺตโน เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยํ นิยเมตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ทฺวาทส ปทานิ’’ตฺยาทิมาหฯ อถ วา ปฐมคาถาย รตนตฺตยโถมเนน สห เนตฺติปฺปกรณตาวิสยํ สาสนวรํ อาจริเยน ทสฺสิตํ, ‘‘ตสฺส สาสนวรํ กิํ สพฺพํเยว เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยํ, อุทาหุ ปริยตฺติสาสนเมวา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ปริยตฺติสาสนภูตํ สุตฺตเมวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทฺวาทส ปทานิ สุตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘สาสนวร’’นฺติ สามเญฺญน วุตฺตมฺปิ ปริยตฺติสุตฺตเมว สาสนวรนฺติ คเหตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ตํ ปน กติวิธ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทฺวาทส ปทานี’’ติ วุตฺตํ, สเงฺขปโต ปเภเทน ทฺวาทสวิธนฺติ อโตฺถฯ ปเภทโต ทฺวาทสวิธมฺปิ พฺยญฺชนปทอตฺถปทโต ปน ทุวิธเมวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ สพฺพํ พฺยญฺชนญฺจ อโตฺถ จา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ตสฺมิํ ทฺวเย เอกเมว สรูปโต เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยนฺติ วิเญฺญยฺยํ, อุทาหุ อุภย’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา อุภยนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ วิเญฺญยฺยํ อุภย’’นฺติ วุตฺตํฯ วจนวจนียภาเวน สมฺพเนฺธ ยสฺมิํ พฺยญฺชเน, อเตฺถ จ ‘‘สุตฺต’’นฺติ โวหาโร ปวโตฺต, ตํ อุภยํ สรูปโต เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยนฺติ วิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘กินฺติ วิเญฺญยฺย’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โก อโตฺถ, พฺยญฺชนํ กตม’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ฉพฺยญฺชนปทฉอตฺถปทเภเทน ทฺวาทสวิธํ พฺยญฺชนปทอตฺถปทวเสน ทุวิธํ สพฺพปริยตฺติสงฺขาตํ สุตฺตํ มม เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยํ สาสนวรนฺติ ญาตพฺพํฯ สรูปโต ปุจฺฉิตฺวา อตฺถปทํ, พฺยญฺชนปทญฺจ สรูปโต ญาตพฺพนฺติฯ
Evaṃ paṭhamagāthāya ‘‘sāsanavara’’nti padena tividhampi sāsanaṃ saṅgaṇhitvā tattha pariyattisāsanameva attano nettippakaraṇassa visayaṃ niyametvā dassento ‘‘dvādasa padāni’’tyādimāha. Atha vā paṭhamagāthāya ratanattayathomanena saha nettippakaraṇatāvisayaṃ sāsanavaraṃ ācariyena dassitaṃ, ‘‘tassa sāsanavaraṃ kiṃ sabbaṃyeva nettippakaraṇassa visayaṃ, udāhu pariyattisāsanamevā’’ti pucchitabbattā pariyattisāsanabhūtaṃ suttamevāti dassento ‘‘dvādasa padāni sutta’’ntiādimāha. Tattha ‘‘sāsanavara’’nti sāmaññena vuttampi pariyattisuttameva sāsanavaranti gahetabbanti attho. ‘‘Taṃ pana katividha’’nti vattabbattā ‘‘dvādasa padānī’’ti vuttaṃ, saṅkhepato pabhedena dvādasavidhanti attho. Pabhedato dvādasavidhampi byañjanapadaatthapadato pana duvidhamevāti dassetuṃ ‘‘taṃ sabbaṃ byañjanañca attho cā’’ti vuttaṃ. ‘‘Tasmiṃ dvaye ekameva sarūpato nettippakaraṇassa visayanti viññeyyaṃ, udāhu ubhaya’’nti pucchitabbattā ubhayanti dassetuṃ ‘‘taṃ viññeyyaṃ ubhaya’’nti vuttaṃ. Vacanavacanīyabhāvena sambandhe yasmiṃ byañjane, atthe ca ‘‘sutta’’nti vohāro pavatto, taṃ ubhayaṃ sarūpato nettippakaraṇassa visayanti viññeyyanti attho. ‘‘Kinti viññeyya’’nti vattabbattā ‘‘ko attho, byañjanaṃ katama’’nti vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – chabyañjanapadachaatthapadabhedena dvādasavidhaṃ byañjanapadaatthapadavasena duvidhaṃ sabbapariyattisaṅkhātaṃ suttaṃ mama nettippakaraṇassa visayaṃ sāsanavaranti ñātabbaṃ. Sarūpato pucchitvā atthapadaṃ, byañjanapadañca sarūpato ñātabbanti.
เอวํ ปฐมคาถาย ‘‘สาสนวร’’นฺติ วุตฺตสฺส สุตฺตสฺส ปริยตฺติภาวเญฺจว อตฺถปทพฺยญฺชนปทภาเวน เวทิตพฺพตฺตญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส สุตฺตสฺส ปวิจยูปายํ เนตฺติปฺปกรณํ ปทตฺถวิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘โสฬสหารา’’ตฺยาทิมาหฯ อถ วา ทุติยคาถาย เนตฺติปฺปกรณสฺส วิสยํ สาสนวรํ นิยเมตฺวา ทสฺสิตํ, ‘‘เนตฺติ นาม กตมา, กติวิธา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา เนตฺตินาม เอตฺติกาติ สเงฺขปโต ทเสฺสตุํ ‘‘โสฬสหารา’’ตฺยาทิมาหฯ ตตฺถ ตสฺส สาสนสฺส สุตฺตสฺส อตฺถปริเยฎฺฐิ เนตฺติสํวณฺณนา มยา มหากจฺจายเนน นิทฺทิฎฺฐา เนตฺติ นาม โสฬสหารสมุทายา ปญฺจนยสมุทายา อฎฺฐารสมูลปทสมุทายาติ วิชานิตพฺพาติฯ
Evaṃ paṭhamagāthāya ‘‘sāsanavara’’nti vuttassa suttassa pariyattibhāvañceva atthapadabyañjanapadabhāvena veditabbattañca dassetvā idāni tassa suttassa pavicayūpāyaṃ nettippakaraṇaṃ padatthavibhāgena dassetuṃ ‘‘soḷasahārā’’tyādimāha. Atha vā dutiyagāthāya nettippakaraṇassa visayaṃ sāsanavaraṃ niyametvā dassitaṃ, ‘‘netti nāma katamā, katividhā’’ti pucchitabbattā nettināma ettikāti saṅkhepato dassetuṃ ‘‘soḷasahārā’’tyādimāha. Tattha tassa sāsanassa suttassa atthapariyeṭṭhi nettisaṃvaṇṇanā mayā mahākaccāyanena niddiṭṭhā netti nāma soḷasahārasamudāyā pañcanayasamudāyā aṭṭhārasamūlapadasamudāyāti vijānitabbāti.
เต หาราทโย เกนเฎฺฐน เนตฺติ นาม? เวเนยฺยสเตฺต อริยธมฺมํ เนตีติ เนตฺตีติ เอวมาทิ อโตฺถ สํวณฺณนาสุ (เนตฺติ. อฎฺฐ. คนฺถารมฺภกถา) วุโตฺตวฯ อิมาย ตติยคาถายปิ ‘‘มหากจฺจาเนน นิทฺทิฎฺฐา’’ติ ปาโฐ สุนฺทโรฯ ‘‘มหากจฺจายเนน นิทฺทิฎฺฐา’’ติ วา ปาโฐ, น สุนฺทโรฯ ลกฺขณญฺหิ มยา เหฎฺฐา วุตฺตนฺติฯ ‘‘โสฬสหาราทิสมุทายา เนตฺตี’’ติ วุตฺตา, เต หารา สุตฺตสฺส พฺยญฺชนวิจโย วา โหนฺติ, อตฺถวิจโย วา, นยา จ พฺยญฺชนวิจโย วา โหนฺติ, อตฺถวิจโย วาติ วิจารณายํ สติ ‘‘อิเม อิมสฺส วิจโย’’ติ นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘หารา พฺยญฺชนวิจโย’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ หารา สุตฺตสฺส พฺยญฺชนวิจโย โหนฺติ, น อตฺถวิจโย โสฬสหารานํ มูลปทนิทฺธารณํ วเชฺชตฺวา พฺยญฺชนมุเขเนว สํวณฺณนาภาวโตฯ ตโย ปน นยา สุตฺตสฺส อตฺถวิจโย โหนฺติ, ติณฺณํ นยานํ มูลปทสงฺขาตอวิชฺชาทิสภาวธมฺมนิทฺธารณมุเขเนว สุตฺตสฺส อตฺถสํวณฺณนาภาวโตติฯ
Te hārādayo kenaṭṭhena netti nāma? Veneyyasatte ariyadhammaṃ netīti nettīti evamādi attho saṃvaṇṇanāsu (netti. aṭṭha. ganthārambhakathā) vuttova. Imāya tatiyagāthāyapi ‘‘mahākaccānena niddiṭṭhā’’ti pāṭho sundaro. ‘‘Mahākaccāyanena niddiṭṭhā’’ti vā pāṭho, na sundaro. Lakkhaṇañhi mayā heṭṭhā vuttanti. ‘‘Soḷasahārādisamudāyā nettī’’ti vuttā, te hārā suttassa byañjanavicayo vā honti, atthavicayo vā, nayā ca byañjanavicayo vā honti, atthavicayo vāti vicāraṇāyaṃ sati ‘‘ime imassa vicayo’’ti niyametvā dassetuṃ ‘‘hārā byañjanavicayo’’tiādimāha. Tattha hārā suttassa byañjanavicayo honti, na atthavicayo soḷasahārānaṃ mūlapadaniddhāraṇaṃ vajjetvā byañjanamukheneva saṃvaṇṇanābhāvato. Tayo pana nayā suttassa atthavicayo honti, tiṇṇaṃ nayānaṃ mūlapadasaṅkhātaavijjādisabhāvadhammaniddhāraṇamukheneva suttassa atthasaṃvaṇṇanābhāvatoti.
‘‘ตํ อุภยํ สุเตฺต สํวณฺณนาภาเวน เกนจิ กตฺถจิเยว โยเชตพฺพํ, อุทาหุ สพฺพถา สพฺพตฺถ โยชิต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพภาวโต ตํ อุภยํ สพฺพตฺถ สุเตฺตสุ สพฺพถา โยชิตนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อุภยํ ปริคฺคหีต’’นฺติ วุตฺตํฯ หารา เจว นยา จ อุภยํ สุตฺตสฺส อตฺถนิทฺธารณวเสน ปริโต สมนฺตโต คหิตํ สพฺพถา สุเตฺตสุ โยชิตนฺติฯ
‘‘Taṃ ubhayaṃ sutte saṃvaṇṇanābhāvena kenaci katthaciyeva yojetabbaṃ, udāhu sabbathā sabbattha yojita’’nti pucchitabbabhāvato taṃ ubhayaṃ sabbattha suttesu sabbathā yojitanti dassetuṃ ‘‘ubhayaṃ pariggahīta’’nti vuttaṃ. Hārā ceva nayā ca ubhayaṃ suttassa atthaniddhāraṇavasena parito samantato gahitaṃ sabbathā suttesu yojitanti.
‘‘หาราทิสมุทายภูตํ เนตฺติสงฺขาตํ สุตฺตํ กถํ สํวเณฺณตพฺพํ สุตฺตํ สํวเณฺณตี’’ติ วตฺตพฺพภาวโต วุตฺตํ ‘‘วุจฺจติ สุตฺตํ ยถาสุตฺต’’นฺติฯ เนตฺติสงฺขาตํ สํวณฺณนาสุตฺตํ สํวเณฺณตพฺพสุตฺตานุรูปํ ยถา เยน เยน เทสนาหาเรน วา อเญฺญน วา สํวเณฺณตพฺพํ, เตน เตน วุจฺจติ สํวเณฺณตีติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘เนตฺติสงฺขาตํ สุตฺตํ กิตฺตกํ สํวเณฺณตพฺพํ สุตฺตํ สํวเณฺณตี’’ติ วตฺตพฺพภาวโต วุตฺตํ ‘‘วุจฺจติ สุตฺตํ ยถาสุตฺต’’นฺติฯ ตตฺถ ยถาสุตฺตํ ยํ ยํ สุตฺตํ ภควตา วุตฺตํ, ตํ ตํ สพฺพํ สุตฺตํ เนตฺติสงฺขาตํ สุตฺตํ วุจฺจติ วทติ อสฺสาทาทีนวทสฺสนวเสน สํวเณฺณตีติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เนตฺตินเยน หิ สํวเณฺณตุํ อสกฺกุเณยฺยํ นาม สุตฺตํ นตฺถี’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. สงฺคหวารวณฺณนา)ฯ
‘‘Hārādisamudāyabhūtaṃ nettisaṅkhātaṃ suttaṃ kathaṃ saṃvaṇṇetabbaṃ suttaṃ saṃvaṇṇetī’’ti vattabbabhāvato vuttaṃ ‘‘vuccati suttaṃ yathāsutta’’nti. Nettisaṅkhātaṃ saṃvaṇṇanāsuttaṃ saṃvaṇṇetabbasuttānurūpaṃ yathā yena yena desanāhārena vā aññena vā saṃvaṇṇetabbaṃ, tena tena vuccati saṃvaṇṇetīti attho. Atha vā ‘‘nettisaṅkhātaṃ suttaṃ kittakaṃ saṃvaṇṇetabbaṃ suttaṃ saṃvaṇṇetī’’ti vattabbabhāvato vuttaṃ ‘‘vuccati suttaṃ yathāsutta’’nti. Tattha yathāsuttaṃ yaṃ yaṃ suttaṃ bhagavatā vuttaṃ, taṃ taṃ sabbaṃ suttaṃ nettisaṅkhātaṃ suttaṃ vuccati vadati assādādīnavadassanavasena saṃvaṇṇetīti. Tena vuttaṃ ‘‘nettinayena hi saṃvaṇṇetuṃ asakkuṇeyyaṃ nāma suttaṃ natthī’’ti (netti. aṭṭha. saṅgahavāravaṇṇanā).
‘‘ยํ ยํ ภควตา เทสิตํ สุตฺตํ เนตฺติสํวณฺณนาย สํวณฺณิตํ, สา สํวเณฺณตพฺพา เทสนา จ วิเญฺญยฺยา, อุทาหุ เทสิตพฺพญฺจา’’ติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘ยา เจว เทสนา’’ตฺยาทิมาหฯ ยา เจว เทสนา ปาฬิ สํวณฺณิตา, สา จ, ตาย เทสนาย เทสิตํ ยํ ธมฺมชาตํ, ตญฺจ อุภยํ วิมุตฺตายตนเทสนาสีเสน ปริจยํ กโรเนฺตหิ เอกเนฺตน วิเญฺญยฺยํ อุภยเสฺสว อนุปาทิเสสปรินิพฺพานปริโยสานานํ สมฺปตฺตีนํ เหตุภาวโตฯ ‘‘ตสฺส อุภยสฺส วิชานเน สาเธตเพฺพ สาเธตพฺพสฺส วิชานนสฺส เหตุภูตา กตมา อนุปุพฺพี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพภาวโต วุตฺตํ ‘‘ตตฺรา’’ตฺยาทิฯ ตตฺถ ตตฺร วิชานเน สาเธตเพฺพ สุตฺตาทินวงฺคสฺส สาสนสฺส อตฺถปริเยสนา อตฺถวิจารณา หารนยานํ อยํ อนุปุพฺพี วิชานนสฺส สาเธตพฺพสฺส เหตุภูตา อนุปุพฺพี นามาติ อโตฺถฯ อถ วา ตสฺส อุภยสฺส วิชานเน สาเธตเพฺพ สุตฺตาทินวงฺคสฺส สาสนสฺส อตฺถปริเยสนาย อตฺถวิจารณาย อยํ อนุปุพฺพี วิชานนสฺส สาเธตพฺพสฺส เหตุภูตา อนุปุพฺพี นามาติฯ อถ วา วกฺขมานาย หารนยานุปุพฺพิยา นววิธสุตฺตนฺตปริเยสนา วิชานนสฺส เหตุภูตาติ เวทิตพฺพาฯ เตนากาเรเนว อฎฺฐกถายํ ติธา วุตฺตาติฯ
‘‘Yaṃ yaṃ bhagavatā desitaṃ suttaṃ nettisaṃvaṇṇanāya saṃvaṇṇitaṃ, sā saṃvaṇṇetabbā desanā ca viññeyyā, udāhu desitabbañcā’’ti vattabbabhāvato ‘‘yā ceva desanā’’tyādimāha. Yā ceva desanā pāḷi saṃvaṇṇitā, sā ca, tāya desanāya desitaṃ yaṃ dhammajātaṃ, tañca ubhayaṃ vimuttāyatanadesanāsīsena paricayaṃ karontehi ekantena viññeyyaṃ ubhayasseva anupādisesaparinibbānapariyosānānaṃ sampattīnaṃ hetubhāvato. ‘‘Tassa ubhayassa vijānane sādhetabbe sādhetabbassa vijānanassa hetubhūtā katamā anupubbī’’ti pucchitabbabhāvato vuttaṃ ‘‘tatrā’’tyādi. Tattha tatra vijānane sādhetabbe suttādinavaṅgassa sāsanassa atthapariyesanā atthavicāraṇā hāranayānaṃ ayaṃ anupubbī vijānanassa sādhetabbassa hetubhūtā anupubbī nāmāti attho. Atha vā tassa ubhayassa vijānane sādhetabbe suttādinavaṅgassa sāsanassa atthapariyesanāya atthavicāraṇāya ayaṃ anupubbī vijānanassa sādhetabbassa hetubhūtā anupubbī nāmāti. Atha vā vakkhamānāya hāranayānupubbiyā navavidhasuttantapariyesanā vijānanassa hetubhūtāti veditabbā. Tenākāreneva aṭṭhakathāyaṃ tidhā vuttāti.
สงฺคหวารสฺส อตฺถวิภาวนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅgahavārassa atthavibhāvanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๑. สงฺคหวาโร • 1. Saṅgahavāro
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / ๑. สงฺคหวารวณฺณนา • 1. Saṅgahavāravaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๑. สงฺคหวารวณฺณนา • 1. Saṅgahavāravaṇṇanā