Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā

    ๑. สงฺคหวารวณฺณนา

    1. Saṅgahavāravaṇṇanā

    เอวํ อเนกเภทวิภเตฺต เนตฺติปฺปกรเณ ยทิทํ วุตฺตํ ‘‘สงฺคหวิภาควารวเสน ทุวิธ’’นฺติ, ตตฺถ สงฺคหวาโร อาทิฯ ตสฺสาปิ ‘‘ยํ โลโก ปูชยเต’’ติ อยํ คาถา อาทิฯ ตตฺถ นฺติ อนิยมโต อุปโยคนิเทฺทโส, ตสฺส ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา นิยมนํ เวทิตพฺพํฯ โลโกติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ ปูชยเตติ กิริยานิเทฺทโสฯ สโลกปาโลติ กตฺตุวิเสสนํฯ สทาติ กาลนิเทฺทโสฯ นมสฺสติ จาติ อุปจเยน กิริยานิเทฺทโส ฯ ตสฺสาติ สามินิเทฺทโสฯ เอตนฺติ ปจฺจตฺตนิเทฺทโสฯ สาสนวรนฺติ ปจฺจตฺตนิเทฺทเสน นิทฺทิฎฺฐธมฺมนิทสฺสนํฯ วิทูหีติ กรณวจเนน กตฺตุนิเทฺทโสฯ เญยฺยนฺติ กมฺมวาจกกิริยานิเทฺทโสฯ นรวรสฺสาติ ‘‘ตสฺสา’’ติ นิยเมตฺวา ทสฺสิตสฺส สรูปโต ทสฺสนํฯ

    Evaṃ anekabhedavibhatte nettippakaraṇe yadidaṃ vuttaṃ ‘‘saṅgahavibhāgavāravasena duvidha’’nti, tattha saṅgahavāro ādi. Tassāpi ‘‘yaṃ loko pūjayate’’ti ayaṃ gāthā ādi. Tattha yanti aniyamato upayoganiddeso, tassa ‘‘tassā’’ti iminā niyamanaṃ veditabbaṃ. Lokoti kattuniddeso. Pūjayateti kiriyāniddeso. Salokapāloti kattuvisesanaṃ. Sadāti kālaniddeso. Namassati cāti upacayena kiriyāniddeso . Tassāti sāminiddeso. Etanti paccattaniddeso. Sāsanavaranti paccattaniddesena niddiṭṭhadhammanidassanaṃ. Vidūhīti karaṇavacanena kattuniddeso. Ñeyyanti kammavācakakiriyāniddeso. Naravarassāti ‘‘tassā’’ti niyametvā dassitassa sarūpato dassanaṃ.

    ตตฺถ โลกิยนฺติ เอตฺถ ปุญฺญาปุญฺญานิ ตพฺพิปาโก จาติ โลโก, ปชา, สตฺตนิกาโยติ อโตฺถฯ โลก-สโทฺท หิ ชาติสทฺทตาย สามญฺญวเสน นิรวเสสโต สเตฺต สงฺคณฺหาติฯ กิญฺจาปิ หิ โลกสโทฺท สงฺขารภาชเนสุปิ ทิฎฺฐปฺปโยโค, ปูชนกิริยาโยคฺยภูตตาวเสน ปน สตฺตโลกวจโน เอว อิธ คหิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปูชยเตติ มานยติ, อปจายตีติ อโตฺถฯ

    Tattha lokiyanti ettha puññāpuññāni tabbipāko cāti loko, pajā, sattanikāyoti attho. Loka-saddo hi jātisaddatāya sāmaññavasena niravasesato satte saṅgaṇhāti. Kiñcāpi hi lokasaddo saṅkhārabhājanesupi diṭṭhappayogo, pūjanakiriyāyogyabhūtatāvasena pana sattalokavacano eva idha gahitoti daṭṭhabbaṃ. Pūjayateti mānayati, apacāyatīti attho.

    โลกํ ปาเลนฺตีติ โลกปาลา, จตฺตาโร มหาราชาโนฯ โลกิยา ปน อินฺทยมวรุณกุเวรา โลกปาลาติ วทนฺติฯ สห โลกปาเลหีติ สโลกปาโล, ‘‘โลโก’’ติ อิมินา ตุลฺยาธิกรณํฯ อถ วา อิสฺสริยาธิปเจฺจน ตํตํสตฺตโลกสฺส ปาลนโต รกฺขณโต ขตฺติยจตุมหาราชสกฺกสุยามสนฺตุสิตสุนิมฺมิตปรนิมฺมิตวสวตฺติมหาพฺรหฺมาทโย โลกปาลาฯ เตหิ สห ตํตํสตฺตนิกาโย สโลกปาโล โลโกติ วุโตฺตฯ อถ วา ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, สุกฺกา ธมฺมา โลกํ ปาเลนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๒.๙; อิติวุ. ๔๒) วจนโต หิโรตฺตปฺปธมฺมา โลกปาลาฯ เตหิ สมนฺนาคโต โลโก สโลกปาโลฯ หิโรตฺตปฺปสมฺปนฺนา หิ ปาปครหิโน สปฺปุริสา ธมฺมจฺฉนฺทวนฺตตาย ภควติ ปูชานมกฺการปรา โหนฺตีติฯ

    Lokaṃ pālentīti lokapālā, cattāro mahārājāno. Lokiyā pana indayamavaruṇakuverā lokapālāti vadanti. Saha lokapālehīti salokapālo, ‘‘loko’’ti iminā tulyādhikaraṇaṃ. Atha vā issariyādhipaccena taṃtaṃsattalokassa pālanato rakkhaṇato khattiyacatumahārājasakkasuyāmasantusitasunimmitaparanimmitavasavattimahābrahmādayo lokapālā. Tehi saha taṃtaṃsattanikāyo salokapālo lokoti vutto. Atha vā ‘‘dveme, bhikkhave, sukkā dhammā lokaṃ pālentī’’ti (a. ni. 2.9; itivu. 42) vacanato hirottappadhammā lokapālā. Tehi samannāgato loko salokapālo. Hirottappasampannā hi pāpagarahino sappurisā dhammacchandavantatāya bhagavati pūjānamakkāraparā hontīti.

    สทาติ สพฺพกาลํ รตฺติเญฺจว ทิวา จ, สทาติ วา ภควโต ธรมานกาเล ตโต ปรญฺจฯ อถ วา สทาติ อภินีหารโต ปฎฺฐาย ยาว สาสนนฺตรธานา, ตโต ปรมฺปิ วาฯ มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย หิ มหาโพธิสตฺตา โพธิยา นิยตตาย พุทฺธงฺกุรภูตา สเทวกสฺส โลกสฺส ปูชนียา เจว วนฺทนียา จ โหนฺติฯ ยถาห ภควา สุเมธภูโต –

    Sadāti sabbakālaṃ rattiñceva divā ca, sadāti vā bhagavato dharamānakāle tato parañca. Atha vā sadāti abhinīhārato paṭṭhāya yāva sāsanantaradhānā, tato parampi vā. Mahābhinīhārato paṭṭhāya hi mahābodhisattā bodhiyā niyatatāya buddhaṅkurabhūtā sadevakassa lokassa pūjanīyā ceva vandanīyā ca honti. Yathāha bhagavā sumedhabhūto –

    ‘‘ทีปงฺกโร โลกวิทู, อาหุตีนํ ปฎิคฺคโห;

    ‘‘Dīpaṅkaro lokavidū, āhutīnaṃ paṭiggaho;

    มม กมฺมํ ปกิเตฺตตฺวา, ทกฺขิณํ ปาทมุทฺธริฯ

    Mama kammaṃ pakittetvā, dakkhiṇaṃ pādamuddhari.

    ‘‘เย ตตฺถาสุํ ชินปุตฺตา, ปทกฺขิณมกํสุ มํ;

    ‘‘Ye tatthāsuṃ jinaputtā, padakkhiṇamakaṃsu maṃ;

    เทวา มนุสฺสา อสุรา จ, อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุ’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๒.๗๕-๗๖);

    Devā manussā asurā ca, abhivādetvāna pakkamu’’nti. (bu. vaṃ. 2.75-76);

    นมสฺสติ จาติ เกจิ เกสญฺจิ ปูชาสกฺการาทีนิ กโรนฺตาปิ เตสํ อปากฎคุณตาย นมกฺการํ น กโรนฺติ, น เอวํ ภควโต, ยถาภูตอพฺภุคฺคตกิตฺติสทฺทตาย ปน ภควนฺตํ สเทวโก โลโก ปูชยติ เจว นมสฺสติ จาติ อโตฺถฯ ‘‘สทา นรมนุโสฺส’’ติ เกจิ ปฐนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ ตสฺสาติ ยํ สเทวโก โลโก ปูชยติ เจว นมสฺสติ จ, ตสฺสฯ เอตนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ พุทฺธิยํ วิปริวตฺตมานํ สามเญฺญน ทเสฺสติฯ สาสนวรนฺติ ตํ สรูปโต ทเสฺสติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สเตฺต สาสติ วิเนติ เอเตนาติ สาสนํ, ตเทว เอกนฺตนิยฺยานเฎฺฐน อนญฺญสาธารณคุณตาย จ อุตฺตมเฎฺฐน ตํตํอภิปตฺถิตสมิทฺธิเหตุตาย ปณฺฑิเตหิ วริตพฺพโต วา วรํ, สาสนเมว วรนฺติ สาสนวรํฯ วิทูหีติ ยถาสภาวโต กมฺมกมฺมผลานิ กุสลาทิเภเท จ ธเมฺม วิทนฺตีติ วิทู, ปณฺฑิตมนุสฺสา, เตหิฯ ญาตพฺพํ, ญาณมรหตีติ วา เญยฺยํฯ นรวรสฺสาติ ปุริสวรสฺส, อคฺคปุคฺคลสฺสาติ อโตฺถฯ

    Namassati cāti keci kesañci pūjāsakkārādīni karontāpi tesaṃ apākaṭaguṇatāya namakkāraṃ na karonti, na evaṃ bhagavato, yathābhūtaabbhuggatakittisaddatāya pana bhagavantaṃ sadevako loko pūjayati ceva namassati cāti attho. ‘‘Sadā naramanusso’’ti keci paṭhanti, taṃ na sundaraṃ. Tassāti yaṃ sadevako loko pūjayati ceva namassati ca, tassa. Etanti idāni vattabbaṃ buddhiyaṃ viparivattamānaṃ sāmaññena dasseti. Sāsanavaranti taṃ sarūpato dasseti. Tattha diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ satte sāsati vineti etenāti sāsanaṃ, tadeva ekantaniyyānaṭṭhena anaññasādhāraṇaguṇatāya ca uttamaṭṭhena taṃtaṃabhipatthitasamiddhihetutāya paṇḍitehi varitabbato vā varaṃ, sāsanameva varanti sāsanavaraṃ. Vidūhīti yathāsabhāvato kammakammaphalāni kusalādibhede ca dhamme vidantīti vidū, paṇḍitamanussā, tehi. Ñātabbaṃ, ñāṇamarahatīti vā ñeyyaṃ. Naravarassāti purisavarassa, aggapuggalassāti attho.

    อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย อนญฺญสาธารณมหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิคุณวิเสสโยเคน สเทวเกน โลเกน ปูชนีโย นมสฺสนีโย จ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ตสฺส โลเก อุตฺตมปุคฺคลสฺส เอตํ อิทานิ อเมฺหหิ วิภชิตพฺพหารนยปฎฺฐานวิจารณวิสยภูตํ สาสนํ อาทิกลฺยาณตาทิคุณสมฺปตฺติยา วรํ อคฺคํ อุตฺตมํ นิปุณญาณโคจรตาย ปณฺฑิตเวทนียเมวาติฯ ภควโต หิ วจนํ เอกคาถามตฺตมฺปิ สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทขนฺธายตนธาตินฺทฺริยสติปฎฺฐานาทิสภาวธมฺมนิทฺธารณกฺขมตาย โสฬสหารปญฺจนยโสฬสอฎฺฐวีสติวิธปฎฺฐานวิจารโยคฺยภาเวน จ ปรมคมฺภีรํ อตฺถโต อคาธปารํ สณฺหสุขุมญาณวิสยเมวาติฯ เตเนวาห – ‘‘ปญฺญวนฺตสฺสายํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม ทุปฺปญฺญสฺสา’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๕๘; อ. นิ. ๘.๓๐)ฯ อถ วา ภควโต สาสนํ ปริญฺญากฺกเมน ลกฺขณาวโพธปฺปฎิปตฺติยา สุญฺญตมุขาทีหิ โอคาหิตพฺพตฺตา อวิญฺญูนํ สุปินเนฺตนปิ น วิสโย โหตีติ อาห – ‘‘วิทูหิ เญยฺย’’นฺติฯ ตถา จ วุตฺตํ – ‘‘เอตุ วิญฺญู ปุริโส’’ติอาทิฯ

    Idaṃ vuttaṃ hoti – yo anaññasādhāraṇamahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiguṇavisesayogena sadevakena lokena pūjanīyo namassanīyo ca bhagavā arahaṃ sammāsambuddho, tassa loke uttamapuggalassa etaṃ idāni amhehi vibhajitabbahāranayapaṭṭhānavicāraṇavisayabhūtaṃ sāsanaṃ ādikalyāṇatādiguṇasampattiyā varaṃ aggaṃ uttamaṃ nipuṇañāṇagocaratāya paṇḍitavedanīyamevāti. Bhagavato hi vacanaṃ ekagāthāmattampi saccapaṭiccasamuppādakhandhāyatanadhātindriyasatipaṭṭhānādisabhāvadhammaniddhāraṇakkhamatāya soḷasahārapañcanayasoḷasaaṭṭhavīsatividhapaṭṭhānavicārayogyabhāvena ca paramagambhīraṃ atthato agādhapāraṃ saṇhasukhumañāṇavisayamevāti. Tenevāha – ‘‘paññavantassāyaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo duppaññassā’’ti (dī. ni. 3.358; a. ni. 8.30). Atha vā bhagavato sāsanaṃ pariññākkamena lakkhaṇāvabodhappaṭipattiyā suññatamukhādīhi ogāhitabbattā aviññūnaṃ supinantenapi na visayo hotīti āha – ‘‘vidūhi ñeyya’’nti. Tathā ca vuttaṃ – ‘‘etu viññū puriso’’tiādi.

    อปเร ปน ‘‘ตํ ตสฺส สาสนวร’’นฺติ ปฐนฺติ, เตสํ มเตน ยํ-สโทฺท สาสน-สเทฺทน สมานาธิกรโณติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ยํ สาสนวรํ สโลกปาโล โลโก ปูชยติ นมสฺสติ จ, ตํ สาสนวรํ วิทูหิ ญาตพฺพนฺติฯ อิมสฺมิญฺจ นเย โลกปาล-สเทฺทน ภควาปิ วุจฺจติฯ ภควา หิ โลกคฺคตายกตฺตา นิปฺปริยาเยน โลกปาโล, ตสฺมา ‘‘ตสฺสา’’ติ โลกปาลสฺส สตฺถุโนติ อโตฺถฯ สโลกปาโลติ เจตฺถ โลกปาล-สโทฺท คุณีภูโตปิ สตฺถุวิสยตฺตา สาสน-สทฺทาเปกฺขตาย สามิภาเวน สมฺพนฺธีวิเสสภูโต ปธานภูโต วิย ปฎินิเทฺทสํ อรหตีติฯ

    Apare pana ‘‘taṃ tassa sāsanavara’’nti paṭhanti, tesaṃ matena yaṃ-saddo sāsana-saddena samānādhikaraṇoti daṭṭhabbo. Idaṃ vuttaṃ hoti yaṃ sāsanavaraṃ salokapālo loko pūjayati namassati ca, taṃ sāsanavaraṃ vidūhi ñātabbanti. Imasmiñca naye lokapāla-saddena bhagavāpi vuccati. Bhagavā hi lokaggatāyakattā nippariyāyena lokapālo, tasmā ‘‘tassā’’ti lokapālassa satthunoti attho. Salokapāloti cettha lokapāla-saddo guṇībhūtopi satthuvisayattā sāsana-saddāpekkhatāya sāmibhāvena sambandhīvisesabhūto padhānabhūto viya paṭiniddesaṃ arahatīti.

    กถํ ปน สยํ ธมฺมสฺสามี ภควา ธมฺมํ ปูชยตีติ? นายํ วิโรโธฯ ธมฺมครุโน หิ พุทฺธา ภควโนฺต, เต สพฺพกาลํ ธมฺมํ อปจายมานาว วิหรนฺตีติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยํนูนาหํ ยฺวายํ ธโมฺม มยา อภิสมฺพุโทฺธ, ตเมว ธมฺมํ สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๓; อ. นิ. ๔.๒๑)ฯ

    Kathaṃ pana sayaṃ dhammassāmī bhagavā dhammaṃ pūjayatīti? Nāyaṃ virodho. Dhammagaruno hi buddhā bhagavanto, te sabbakālaṃ dhammaṃ apacāyamānāva viharantīti. Vuttañhetaṃ – ‘‘yaṃnūnāhaṃ yvāyaṃ dhammo mayā abhisambuddho, tameva dhammaṃ sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyya’’nti (saṃ. ni. 1.173; a. ni. 4.21).

    อปิ จ ภควโต ธมฺมปูชนา สตฺตสตฺตาหปฺปฎิปตฺติอาทีหิ ทีเปตพฺพาฯ ธมฺมสฺสามีติ จ ธเมฺมน สเทวกสฺส โลกสฺส สามีติ อโตฺถ, น ธมฺมสฺส สามีติฯ เอวมฺปิ นมสฺสตีติ วจนํ น ยุชฺชติฯ น หิ ภควา กญฺจิ นมสฺสตีติ, เอโสปิ นิโทฺทโสฯ น หิ นมสฺสตีติ ปทสฺส นมกฺการํ กโรตีติ อยเมว อโตฺถ, อถ โข ครุกรเณน ตนฺนิโนฺน ตโปฺปโณ ตปฺปพฺภาโรติ อยมฺปิ อโตฺถ ลพฺภติฯ ภควา จ ธมฺมครุตาย สพฺพกาลํ ธมฺมนินฺนโปณปพฺภารภาเวน วิหรตีติฯ อยญฺจ อโตฺถ ‘‘เยน สุทํ สฺวาหํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) เอวมาทีหิ สุตฺตปเทหิ ทีเปตโพฺพฯ ‘‘วิทูหิ เนยฺย’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺส ปณฺฑิเตหิ สปรสนฺตาเนสุ เนตพฺพํ ปาเปตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ อตฺตสนฺตาเน ปาปนํ พุชฺฌนํ, ปรสนฺตาเน โพธนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Api ca bhagavato dhammapūjanā sattasattāhappaṭipattiādīhi dīpetabbā. Dhammassāmīti ca dhammena sadevakassa lokassa sāmīti attho, na dhammassa sāmīti. Evampi namassatīti vacanaṃ na yujjati. Na hi bhagavā kañci namassatīti, esopi niddoso. Na hi namassatīti padassa namakkāraṃ karotīti ayameva attho, atha kho garukaraṇena tanninno tappoṇo tappabbhāroti ayampi attho labbhati. Bhagavā ca dhammagarutāya sabbakālaṃ dhammaninnapoṇapabbhārabhāvena viharatīti. Ayañca attho ‘‘yena sudaṃ svāhaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti (ma. ni. 1.387) evamādīhi suttapadehi dīpetabbo. ‘‘Vidūhi neyya’’ntipi pāṭho, tassa paṇḍitehi saparasantānesu netabbaṃ pāpetabbanti attho. Tattha attasantāne pāpanaṃ bujjhanaṃ, parasantāne bodhananti daṭṭhabbaṃ.

    เอวํ ภควโต สเทวกสฺส โลกสฺส ปูชนียวนฺทนียภาโว อคฺคปุคฺคลภาโว จ วุจฺจมาโน คุณวิสิฎฺฐตํ ทีเปติ, สา จ คุณวิสิฎฺฐตา มหาโพธิยา เวทิตพฺพาฯ อาสวกฺขยญาณปทฎฺฐานญฺหิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานญฺจ อาสวกฺขยญาณํ ‘‘มหาโพธี’’ติ วุจฺจติฯ สา อวิปรีตธมฺมเทสนโต ตถาคเต สุปฺปติฎฺฐิตาติ วิญฺญายติ ฯ น หิ สวาสนนิรวเสสกิเลสปฺปหานํ อนาวรณญาณญฺจ วินา ตาทิสี ธมฺมเทสนา สมฺภวติฯ อิจฺจสฺส จตุเวสารชฺชโยโคฯ เตน ทสพลฉอสาธารณญาณอฎฺฐารสาเวณิกพุทฺธธมฺมาทิสกลสพฺพญฺญุคุณปาริปูรี ปกาสิตา โหติฯ เอตาทิสี จ คุณวิภูติ มหากรุณาปุพฺพงฺคมํ อภินีหารสมฺปตฺติํ ปุรสฺสรํ กตฺวา สมฺปาทิตํ สมตฺติํสปารมิสงฺขาตํ ปุญฺญญาณสมฺภารมนฺตเรน น อุปลพฺภตีติ เหตุสมฺปทาปิ อตฺถโต วิภาวิตา โหตีติ เอวํ ภควโต ตีสุปิ อวตฺถาสุ สพฺพสตฺตานํ เอกนฺตหิตปฺปฎิลาภเหตุภูตา อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา นิรวเสสา พุทฺธคุณา อิมาย คาถาย ปกาสิตาติ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ bhagavato sadevakassa lokassa pūjanīyavandanīyabhāvo aggapuggalabhāvo ca vuccamāno guṇavisiṭṭhataṃ dīpeti, sā ca guṇavisiṭṭhatā mahābodhiyā veditabbā. Āsavakkhayañāṇapadaṭṭhānañhi sabbaññutaññāṇaṃ sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānañca āsavakkhayañāṇaṃ ‘‘mahābodhī’’ti vuccati. Sā aviparītadhammadesanato tathāgate suppatiṭṭhitāti viññāyati . Na hi savāsananiravasesakilesappahānaṃ anāvaraṇañāṇañca vinā tādisī dhammadesanā sambhavati. Iccassa catuvesārajjayogo. Tena dasabalachaasādhāraṇañāṇaaṭṭhārasāveṇikabuddhadhammādisakalasabbaññuguṇapāripūrī pakāsitā hoti. Etādisī ca guṇavibhūti mahākaruṇāpubbaṅgamaṃ abhinīhārasampattiṃ purassaraṃ katvā sampāditaṃ samattiṃsapāramisaṅkhātaṃ puññañāṇasambhāramantarena na upalabbhatīti hetusampadāpi atthato vibhāvitā hotīti evaṃ bhagavato tīsupi avatthāsu sabbasattānaṃ ekantahitappaṭilābhahetubhūtā ādimajjhapariyosānakalyāṇā niravasesā buddhaguṇā imāya gāthāya pakāsitāti veditabbaṃ.

    ทุติยนเย ปน ยสฺมา สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สผลํ อริยมคฺคสาสนํ ตสฺส อารมฺมณภูตญฺจ อมตธาตุํ ตทธิคมูปายญฺจ ปุพฺพภาคปฎิปตฺติสาสนํ ตทตฺถปริทีปนญฺจ ปริยตฺติสาสนํ ยถารหํ สจฺจาภิสมยวเสน อภิสเมโนฺต สฺวากฺขาตตาทิคุณวิเสสยุตฺตตํ มนสิกโรโนฺต สกฺกจฺจํ สวนธารณปริปุจฺฉาทีหิ ปริจยํ กโรโนฺต จ สเทวโก โลโก ปูชยติ นามฯ โลกนาโถ จ สมฺมาสโมฺพธิปฺปตฺติยา เวเนยฺยานํ สกฺกจฺจํ ธมฺมเทสเนน ‘‘อริยํ โว, ภิกฺขเว, สมฺมาสมาธิํ เทเสสฺสามิ’’ (ม. นิ. ๓.๑๓๖; สํ. นิ. ๕.๒๘; เปฎโก. ๒๔), ‘‘มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ’’ (ธ. ป. ๒๗๓; กถา. ๘๗๒; เนตฺติ. ๑๒๕; เปฎโก. ๓๐), ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ’’ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔), ‘‘ขยํ วิราคํ อมตํ ปณีตํ’’ (ขุ. ปา. ๖.๔; สุ. นิ. ๒๒๗), ‘‘เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ (ที. นิ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. ๑.๑๐๖; สํ. นิ. ๕.๓๖๗), ‘‘ธมฺมํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณ’’นฺติอาทีหิ (ม. นิ. ๓.๔๒๐; เนตฺติ. ๕) วจเนหิ โถมเนน จ ปูชยติ นามฯ ตสฺมา สาสนวรสฺส ปูชนียภาโว อิธ วุจฺจมาโน อนวเสสโต ธมฺมคุเณ ทีเปตีติ เย อริยภาวาทโย นิยฺยานาทโย ขยวิราคาทโย มทนิมฺมทนาทโย อสงฺขตาทโย สฺวากฺขาตตาทโย อาทิกลฺยาณตาทโย จ อเนเกหิ สุตฺตปเทหิ ปเวทิตา อเนเก ธมฺมคุณา, เต นิรวเสสโต อิมาย คาถาย ปกาสิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Dutiyanaye pana yasmā sikkhattayasaṅgahaṃ saphalaṃ ariyamaggasāsanaṃ tassa ārammaṇabhūtañca amatadhātuṃ tadadhigamūpāyañca pubbabhāgapaṭipattisāsanaṃ tadatthaparidīpanañca pariyattisāsanaṃ yathārahaṃ saccābhisamayavasena abhisamento svākkhātatādiguṇavisesayuttataṃ manasikaronto sakkaccaṃ savanadhāraṇaparipucchādīhi paricayaṃ karonto ca sadevako loko pūjayati nāma. Lokanātho ca sammāsambodhippattiyā veneyyānaṃ sakkaccaṃ dhammadesanena ‘‘ariyaṃ vo, bhikkhave, sammāsamādhiṃ desessāmi’’ (ma. ni. 3.136; saṃ. ni. 5.28; peṭako. 24), ‘‘maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho’’ (dha. pa. 273; kathā. 872; netti. 125; peṭako. 30), ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ aggamakkhāyati’’ (itivu. 90; a. ni. 4.34), ‘‘khayaṃ virāgaṃ amataṃ paṇītaṃ’’ (khu. pā. 6.4; su. ni. 227), ‘‘ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggo sattānaṃ visuddhiyā’’ (dī. ni. 2.373; ma. ni. 1.106; saṃ. ni. 5.367), ‘‘dhammaṃ vo, bhikkhave, desessāmi ādikalyāṇa’’ntiādīhi (ma. ni. 3.420; netti. 5) vacanehi thomanena ca pūjayati nāma. Tasmā sāsanavarassa pūjanīyabhāvo idha vuccamāno anavasesato dhammaguṇe dīpetīti ye ariyabhāvādayo niyyānādayo khayavirāgādayo madanimmadanādayo asaṅkhatādayo svākkhātatādayo ādikalyāṇatādayo ca anekehi suttapadehi paveditā aneke dhammaguṇā, te niravasesato imāya gāthāya pakāsitāti veditabbā.

    ยสฺมา ปน อริยสจฺจปฺปฎิเวเธน สมุคฺฆาฎิตสโมฺมหาเยว ปรมตฺถโต ปณฺฑิตา พาลฺยาทิสมติกฺกมนโต, ตสฺมา ภาวิตโลกุตฺตรมคฺคา สจฺฉิกตสามญฺญผลา จ อริยปุคฺคลา วิเสสโต วิทูติ วุจฺจนฺติฯ เต หิ ยถาวุตฺตสาสนวรํ อวิปรีตโต ญาตุํ เนตุญฺจ สปรสนฺตาเน สกฺกุณนฺตีติ อฎฺฐอริยปุคฺคลสมูหสฺส ปรมตฺถสงฺฆสฺสาปิ อิธ คหิตตฺตา เย สุปฺปฎิปนฺนตาทโย อเนเกหิ สุตฺตปเทหิ สํวณฺณิตา อริยสงฺฆคุณา, เตปิ นิรวเสสโต อิธ ปกาสิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Yasmā pana ariyasaccappaṭivedhena samugghāṭitasammohāyeva paramatthato paṇḍitā bālyādisamatikkamanato, tasmā bhāvitalokuttaramaggā sacchikatasāmaññaphalā ca ariyapuggalā visesato vidūti vuccanti. Te hi yathāvuttasāsanavaraṃ aviparītato ñātuṃ netuñca saparasantāne sakkuṇantīti aṭṭhaariyapuggalasamūhassa paramatthasaṅghassāpi idha gahitattā ye suppaṭipannatādayo anekehi suttapadehi saṃvaṇṇitā ariyasaṅghaguṇā, tepi niravasesato idha pakāsitāti veditabbā.

    เอวํ ปฐมคาถาย สาติสยํ รตนตฺตยคุณปริทีปนํ กตฺวา อิทานิ –

    Evaṃ paṭhamagāthāya sātisayaṃ ratanattayaguṇaparidīpanaṃ katvā idāni –

    ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;

    ‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;

    สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓; เนตฺติ. ๓๐, ๕๐, ๑๑๖, ๑๒๔) –

    Sacittapariyodapanaṃ, etaṃ buddhāna sāsana’’nti. (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183; netti. 30, 50, 116, 124) –

    วจนโต สเงฺขปโต สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สาสนํ, ตํ ปน สิกฺขตฺตยํ ญาณวิเสสวิสยภาวเภทโต อวตฺถาเภทโต จ ติวิธํ โหติฯ กถํ? สุตมยญาณโคจโร จ โย ‘‘ปริยตฺติสทฺธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ จินฺตามยญาณโคจโร จ โย อาการปริวิตกฺกทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺตีหิ คเหตพฺพากาโร วิมุตฺตายตนวิเสโส ‘‘ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ วิปสฺสนาญาณาทิสหคโต ภาวนามยญาณโคจโร จ โย ‘‘ปฎิเวธสทฺธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ติวิธมฺปิ สาสนํ สาสนวรนฺติ ปเทน สงฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ ยํ ปฐมํ, ตํ อิตเรสํ อธิคมูปาโยติ สพฺพสาสนมูลภูตํ อตฺตโน ปกรณสฺส จ วิสยภูตํ ปริยตฺติสาสนเมว ตาว สเงฺขปโต วิภชโนฺต ‘‘ทฺวาทส ปทานี’’ติ คาถมาหฯ

    Vacanato saṅkhepato sikkhattayasaṅgahaṃ sāsanaṃ, taṃ pana sikkhattayaṃ ñāṇavisesavisayabhāvabhedato avatthābhedato ca tividhaṃ hoti. Kathaṃ? Sutamayañāṇagocaro ca yo ‘‘pariyattisaddhammo’’ti vuccati. Cintāmayañāṇagocaro ca yo ākāraparivitakkadiṭṭhinijjhānakkhantīhi gahetabbākāro vimuttāyatanaviseso ‘‘paṭipattisaddhammo’’ti vuccati. Vipassanāñāṇādisahagato bhāvanāmayañāṇagocaro ca yo ‘‘paṭivedhasaddhammo’’ti vuccati. Evaṃ tividhampi sāsanaṃ sāsanavaranti padena saṅgaṇhitvā tattha yaṃ paṭhamaṃ, taṃ itaresaṃ adhigamūpāyoti sabbasāsanamūlabhūtaṃ attano pakaraṇassa ca visayabhūtaṃ pariyattisāsanameva tāva saṅkhepato vibhajanto ‘‘dvādasa padānī’’ti gāthamāha.

    ตตฺถ ทฺวาทสาติ คณนปริเจฺฉโทฯ ปทานีติ ปริจฺฉินฺนธมฺมนิทสฺสนํฯ เตสุ พฺยญฺชนปทานิ ปชฺชติ อโตฺถ เอเตหีติ ปทานิฯ อตฺถปทานิ ปน ปชฺชนฺติ ญายนฺตีติ ปทานิฯ อุภยมฺปิ วา อุภยถา โยเชตพฺพํ พฺยญฺชนปทานมฺปิ อวิปรีตํ ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา, อตฺถปทานํ อุตฺตริวิเสสาธิคมสฺส การณภาวโต, ตานิ ปทานิ ปรโต ปาฬิยเญฺญว อาวิ ภวิสฺสนฺตีติ ตเตฺถว วณฺณยิสฺสามฯ อตฺถสูจนาทิอตฺถโต สุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ สงฺคเหสุ –

    Tattha dvādasāti gaṇanaparicchedo. Padānīti paricchinnadhammanidassanaṃ. Tesu byañjanapadāni pajjati attho etehīti padāni. Atthapadāni pana pajjanti ñāyantīti padāni. Ubhayampi vā ubhayathā yojetabbaṃ byañjanapadānampi aviparītaṃ paṭipajjitabbattā, atthapadānaṃ uttarivisesādhigamassa kāraṇabhāvato, tāni padāni parato pāḷiyaññeva āvi bhavissantīti tattheva vaṇṇayissāma. Atthasūcanādiatthato suttaṃ. Vuttañhetaṃ saṅgahesu –

    ‘‘อตฺถานํ สูจนโต, สุวุตฺตโต สวนโตถ สูทนโต;

    ‘‘Atthānaṃ sūcanato, suvuttato savanatotha sūdanato;

    สุตฺตาณา สุตฺตสภาคโต จ, ‘สุตฺต’นฺติ อกฺขาต’’นฺติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.ปฐมมหาสงฺคีติกถา; ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.ปฐมมหาสงฺคีติกถา; ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา);

    Suttāṇā suttasabhāgato ca, ‘sutta’nti akkhāta’’nti. (pārā. aṭṭha. 1.paṭhamamahāsaṅgītikathā; dī. ni. aṭṭha. 1.paṭhamamahāsaṅgītikathā; dha. sa. aṭṭha. nidānakathā);

    ตเทตํ ตตฺถ สุตฺตปิฎกวเสน อาคตํ, อิธ ปน ปิฎกตฺตยวเสน โยเชตพฺพํฯ ‘‘ทฺวาทส ปทานิ สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํ, ยํ ปริยตฺติสาสนนฺติ อโตฺถฯ ตํ สพฺพนฺติ ตํ ‘‘สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํ สกลํ พุทฺธวจนํฯ พฺยญฺชนญฺจ อโตฺถ จาติ พฺยญฺชนเญฺจว ตทโตฺถ จฯ ยโต ‘‘ทฺวาทส ปทานิ สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อตฺถสูจนาทิโต สุตฺตํ ปริยตฺติธโมฺม, ตญฺจ สพฺพํ อตฺถโต ทฺวาทส ปทานิ ฉ พฺยญฺชนปทานิ เจว ฉ อตฺถปทานิ จาติฯ อถ วา ยเทตํ ‘‘สาสนวร’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ สพฺพํ สุตฺตํ, ปริยตฺติสาสนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ อตฺถโต ปน ทฺวาทส ปทานิ, พฺยญฺชนตฺถปทสมุทายภาวโตฯ ยถาห – ‘‘พฺยญฺชนญฺจ อโตฺถ จา’’ติฯ ตํ วิเญฺญยฺยํ อุภยนฺติ ยสฺมิํ พฺยญฺชเน อเตฺถ จ วจนวจนียภาเวน สมฺพเนฺธ สุตฺตโวหาโร, ตทุภยํ สรูปโต วิญฺญาตพฺพํ ตตฺถ กตมํ พฺยญฺชนํ กตโม อโตฺถติ? เตเนวาห – ‘‘โก อโตฺถ พฺยญฺชนํ กตม’’นฺติฯ

    Tadetaṃ tattha suttapiṭakavasena āgataṃ, idha pana piṭakattayavasena yojetabbaṃ. ‘‘Dvādasa padāni sutta’’nti vuttaṃ, yaṃ pariyattisāsananti attho. Taṃ sabbanti taṃ ‘‘sutta’’nti vuttaṃ sakalaṃ buddhavacanaṃ. Byañjanañca attho cāti byañjanañceva tadattho ca. Yato ‘‘dvādasa padāni sutta’’nti vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – atthasūcanādito suttaṃ pariyattidhammo, tañca sabbaṃ atthato dvādasa padāni cha byañjanapadāni ceva cha atthapadāni cāti. Atha vā yadetaṃ ‘‘sāsanavara’’nti vuttaṃ, taṃ sabbaṃ suttaṃ, pariyattisāsanassa adhippetattā. Atthato pana dvādasa padāni, byañjanatthapadasamudāyabhāvato. Yathāha – ‘‘byañjanañca attho cā’’ti. Taṃ viññeyyaṃ ubhayanti yasmiṃ byañjane atthe ca vacanavacanīyabhāvena sambandhe suttavohāro, tadubhayaṃ sarūpato viññātabbaṃ tattha katamaṃ byañjanaṃ katamo atthoti? Tenevāha – ‘‘ko attho byañjanaṃ katama’’nti.

    เอวํ ‘‘สาสนวร’’นฺติ วุตฺตสฺส สุตฺตสฺส ปริยตฺติภาวํ ตสฺส จ อตฺถพฺยญฺชนปทภาเวน เวทิตพฺพตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส ปวิจยุปายํ เนตฺติปฺปกรณํ ปทตฺถวิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘โสฬสหารา’’ติ คาถมาหฯ

    Evaṃ ‘‘sāsanavara’’nti vuttassa suttassa pariyattibhāvaṃ tassa ca atthabyañjanapadabhāvena veditabbataṃ dassetvā idāni tassa pavicayupāyaṃ nettippakaraṇaṃ padatthavibhāgena dassetuṃ ‘‘soḷasahārā’’ti gāthamāha.

    ตตฺถ โสฬส หารา เอติสฺสาติ โสฬสหาราฯ ปญฺจนยา อฎฺฐารสมูลปทาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อถ วา โสฬส หารา โสฬสหาราฯ เอวํ อิตรตฺถาปิฯ หารนยมูลปทานิ เอว หิ สเงฺขปโต วิตฺถารโต จ ภาสิตานิ เนตฺตีติฯ สาสนสฺส ปริเยฎฺฐีติ สาสนสฺส อตฺถปริเยสนา, ปริยตฺติสาสนสฺส อตฺถสํวณฺณนาติ อโตฺถ, สกลเสฺสว วา สาสนสฺส อตฺถวิจารณาติ อโตฺถฯ ปฎิปตฺติปฎิเวเธปิ หิ เนตฺตินยานุสาเรน อธิคจฺฉนฺตีติฯ มหกจฺจาเนนาติ กโจฺจติ ปุราตโน อิสิ, ตสฺส วํสาลงฺการภูโตยํ มหาเถโร ‘‘กจฺจาโน’’ติ วุจฺจติฯ มหกจฺจาโนติ ปน ปูชาวจนํ, ยถา มหาโมคฺคลฺลาโนติ, ‘‘กจฺจายนโคตฺตนิทฺทิฎฺฐา’’ติปิ ปาโฐฯ อยญฺจ คาถา เนตฺติํ สงฺคายเนฺตหิ ปกรณตฺถสงฺคณฺหนวเสน ฐปิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ยถา จายํ, เอวํ หารวิภงฺควาเร ตํตํหารนิเทฺทสนิคมเน ‘‘เตนาห อายสฺมา’’ติอาทิวจนํ, หาราทิสมุทายภูตายํ เนตฺติยํ พฺยญฺชนตฺถสมุทาเย จ สุเตฺต กิํ เกน วิจิยตีติ วิจารณายํ อาห – ‘‘หารา พฺยญฺชนวิจโย’’ติอาทิฯ

    Tattha soḷasa hārā etissāti soḷasahārā. Pañcanayā aṭṭhārasamūlapadāti etthāpi eseva nayo. Atha vā soḷasa hārā soḷasahārā. Evaṃ itaratthāpi. Hāranayamūlapadāni eva hi saṅkhepato vitthārato ca bhāsitāni nettīti. Sāsanassa pariyeṭṭhīti sāsanassa atthapariyesanā, pariyattisāsanassa atthasaṃvaṇṇanāti attho, sakalasseva vā sāsanassa atthavicāraṇāti attho. Paṭipattipaṭivedhepi hi nettinayānusārena adhigacchantīti. Mahakaccānenāti kaccoti purātano isi, tassa vaṃsālaṅkārabhūtoyaṃ mahāthero ‘‘kaccāno’’ti vuccati. Mahakaccānoti pana pūjāvacanaṃ, yathā mahāmoggallānoti, ‘‘kaccāyanagottaniddiṭṭhā’’tipi pāṭho. Ayañca gāthā nettiṃ saṅgāyantehi pakaraṇatthasaṅgaṇhanavasena ṭhapitāti daṭṭhabbā. Yathā cāyaṃ, evaṃ hāravibhaṅgavāre taṃtaṃhāraniddesanigamane ‘‘tenāha āyasmā’’tiādivacanaṃ, hārādisamudāyabhūtāyaṃ nettiyaṃ byañjanatthasamudāye ca sutte kiṃ kena viciyatīti vicāraṇāyaṃ āha – ‘‘hārā byañjanavicayo’’tiādi.

    ตตฺถ โสฬสปิ หารา มูลปทนิทฺธารณมนฺตเรน พฺยญฺชนมุเขเนว สุตฺตสฺส สํวณฺณนา โหนฺติ, น นยา วิย มูลปทสงฺขาตสภาวธมฺมนิทฺธารณมุเขนาติ เต ‘‘พฺยญฺชนวิจโย สุตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตาฯ อตฺถนยา ปน ยถาวุตฺตอตฺถมุเขเนว สุตฺตสฺส อตฺถสมฺปฎิปตฺติยา โหนฺตีติ อาห – ‘‘นยา ตโย จ สุตฺตโตฺถ’’ติฯ อยญฺจ วิจารณา ปรโตปิ อาคมิสฺสติฯ เกจิ ‘‘นโย จา’’ติ ปฐนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ อุภยํ ปริคฺคหีตนฺติ หารา นยา จาติ เอตํ อุภยํ สุตฺตสฺส อตฺถนิทฺธารณวเสน ปริสมนฺตโต คหิตํ สพฺพถา สุเตฺต โยชิตํฯ วุจฺจติ สุตฺตํ วทติ สํวเณฺณติฯ กถํ? ยถาสุตฺตํ สุตฺตานุรูปํ, ยํ สุตฺตํ ยถา สํวเณฺณตพฺพํ, ตถา สํวเณฺณตีติ อโตฺถฯ ยํ ยํ สุตฺตนฺติ วา ยถาสุตฺตํ, สพฺพํ สุตฺตนฺติ อโตฺถฯ เนตฺตินเยน หิ สํวเณฺณตุํ อสกฺกุเณยฺยํ นาม สุตฺตํ นตฺถีติฯ

    Tattha soḷasapi hārā mūlapadaniddhāraṇamantarena byañjanamukheneva suttassa saṃvaṇṇanā honti, na nayā viya mūlapadasaṅkhātasabhāvadhammaniddhāraṇamukhenāti te ‘‘byañjanavicayo suttassā’’ti vuttā. Atthanayā pana yathāvuttaatthamukheneva suttassa atthasampaṭipattiyā hontīti āha – ‘‘nayā tayo ca suttattho’’ti. Ayañca vicāraṇā paratopi āgamissati. Keci ‘‘nayo cā’’ti paṭhanti, taṃ na sundaraṃ. Ubhayaṃ pariggahītanti hārā nayā cāti etaṃ ubhayaṃ suttassa atthaniddhāraṇavasena parisamantato gahitaṃ sabbathā sutte yojitaṃ. Vuccati suttaṃ vadati saṃvaṇṇeti. Kathaṃ? Yathāsuttaṃ suttānurūpaṃ, yaṃ suttaṃ yathā saṃvaṇṇetabbaṃ, tathā saṃvaṇṇetīti attho. Yaṃ yaṃ suttanti vā yathāsuttaṃ, sabbaṃ suttanti attho. Nettinayena hi saṃvaṇṇetuṃ asakkuṇeyyaṃ nāma suttaṃ natthīti.

    อิทานิ ยํ วุตฺตํ – ‘‘สาสนวรํ วิทูหิ เญยฺย’’นฺติ, ตตฺถ เนตฺติสํวณฺณนาย วิสยภูตํ ปริยตฺติธมฺมเมว ปการนฺตเรน นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ยา เจวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Idāni yaṃ vuttaṃ – ‘‘sāsanavaraṃ vidūhi ñeyya’’nti, tattha nettisaṃvaṇṇanāya visayabhūtaṃ pariyattidhammameva pakārantarena niyametvā dassetuṃ ‘‘yā cevā’’tiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ อเตฺถสุ กตปริเจฺฉโท พฺยญฺชนปฺปพโนฺธ เทสนา, โย ปาโฐติ วุจฺจติฯ ตทโตฺถ เทสิตํ ตาย เทสนาย ปโพธิตตฺตาฯ ตทุภยญฺจ วิมุตฺตายตนสีเสน ปริจยํ กโรนฺตานํ อนุปาทาปรินิพฺพานปริโยสานานํ สมฺปตฺตีนํ เหตุภาวโต เอกเนฺตน วิเญฺญยฺยํ, ตทุภยวินิมุตฺตสฺส วา เญยฺยสฺส อภาวโต ตเทว ทฺวยํ วิเญฺญยฺยนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ยา เจว…เป.… วิเญฺญยฺยนฺติฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ วิชานเน สาเธตเพฺพ, นิปฺผาเทตเพฺพ เจตํ ภุมฺมํฯ อยมานุปุพฺพีติ อยํ วกฺขมานา อนุปุพฺพิ หารนยานํ อนุกฺกโม, อนุกฺกเมน วกฺขมานา หารนยาติ อโตฺถฯ นววิธสุตฺตนฺตปริเยฎฺฐีติ สุตฺตาทิวเสน นวงฺคสฺส สาสนสฺส ปริเยสนา, อตฺถวิจารณาติ อโตฺถฯ สามิอเตฺถ วา เอตํ ปจฺจตฺตํ นววิธสุตฺตนฺตปริเยฎฺฐิยา อนุปุพฺพีติฯ อถ วา อนุปุพฺพีติ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถาวุตฺตวิชานเน สาเธตเพฺพ วกฺขมานาย หารนยานุปุพฺพิยา อยํ นววิธสุตฺตนฺตสฺส อตฺถปริเยสนาติฯ

    Tattha atthesu kataparicchedo byañjanappabandho desanā, yo pāṭhoti vuccati. Tadattho desitaṃ tāya desanāya pabodhitattā. Tadubhayañca vimuttāyatanasīsena paricayaṃ karontānaṃ anupādāparinibbānapariyosānānaṃ sampattīnaṃ hetubhāvato ekantena viññeyyaṃ, tadubhayavinimuttassa vā ñeyyassa abhāvato tadeva dvayaṃ viññeyyanti imamatthaṃ dasseti yā ceva…pe… viññeyyanti. Tatrāti tasmiṃ vijānane sādhetabbe, nipphādetabbe cetaṃ bhummaṃ. Ayamānupubbīti ayaṃ vakkhamānā anupubbi hāranayānaṃ anukkamo, anukkamena vakkhamānā hāranayāti attho. Navavidhasuttantapariyeṭṭhīti suttādivasena navaṅgassa sāsanassa pariyesanā, atthavicāraṇāti attho. Sāmiatthe vā etaṃ paccattaṃ navavidhasuttantapariyeṭṭhiyā anupubbīti. Atha vā anupubbīti karaṇatthe paccattaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathāvuttavijānane sādhetabbe vakkhamānāya hāranayānupubbiyā ayaṃ navavidhasuttantassa atthapariyesanāti.

    เอตฺถาห – กถํ ปเนตฺถ เคยฺยงฺคาทีนํ สุตฺตภาโว, สุตฺตภาเว จ เตสํ กถํ สาสนสฺส นวงฺคภาโวฯ ยญฺจ สงฺคเหสุ วุจฺจติ ‘‘สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ เวยฺยากรณ’’นฺติ, ตถา จ สติ สุตฺตงฺคเมว น สิยาฯ อถาปิ วิสุํ สุตฺตงฺคํ สิยา, มงฺคลสุตฺตาทีนํ (ขุ. ปา. ๕.๑ อาทโย; สุ. นิ. ๒๖๑ อาทโย) สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา, คาถาภาวโต ธมฺมปทาทีนํ วิย, เคยฺยงฺคสงฺคโห วา สิยา, สคาถกตฺตา สคาถาวคฺคสฺส วิย, ตถา อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานนฺติฯ วุจฺจเต –

    Etthāha – kathaṃ panettha geyyaṅgādīnaṃ suttabhāvo, suttabhāve ca tesaṃ kathaṃ sāsanassa navaṅgabhāvo. Yañca saṅgahesu vuccati ‘‘sagāthakaṃ suttaṃ geyyaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ veyyākaraṇa’’nti, tathā ca sati suttaṅgameva na siyā. Athāpi visuṃ suttaṅgaṃ siyā, maṅgalasuttādīnaṃ (khu. pā. 5.1 ādayo; su. ni. 261 ādayo) suttaṅgasaṅgaho na siyā, gāthābhāvato dhammapadādīnaṃ viya, geyyaṅgasaṅgaho vā siyā, sagāthakattā sagāthāvaggassa viya, tathā ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānanti. Vuccate –

    สุตฺตนฺติ สามญฺญวิธิ, วิเสสวิธโย ปเร;

    Suttanti sāmaññavidhi, visesavidhayo pare;

    สนิมิตฺตา นิรุฬฺหตฺตา, สหตาเญฺญน นาญฺญโตฯ

    Sanimittā niruḷhattā, sahatāññena nāññato.

    สพฺพสฺสาปิ หิ พุทฺธวจนสฺส สุตฺตนฺติ อยํ สามญฺญวิธิฯ ตถา หิ ‘‘เอตฺตกํ ตสฺส ภควโต สุตฺตาคตํ สุตฺตปริยาปนฺนํ (ปาจิ. ๑๒๔๒), สาวตฺถิยา สุตฺตวิภเงฺค, สกวาเท ปญฺจ สุตฺตสตานี’’ติอาทิวจนโต วินยาภิธมฺมปริยตฺติวิเสเสปิ สุตฺตโวหาโร ทิสฺสติฯ ตเทกเทเสสุ ปน เคยฺยาทโย วิเสสวิธโย เตน เตน นิมิเตฺตน ปติฎฺฐิตาฯ ตถา หิ เคยฺยสฺส สคาถกตฺตํ ตพฺภาวนิมิตฺตํฯ โลเกปิ หิ สสิโลกํ สคาถกํ จุณฺณิยคนฺถํ เคยฺย’’นฺติ วทนฺติฯ คาถาวิรเห ปน สติ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺสฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนญฺหิ ‘‘พฺยากรณ’’นฺติ วุจฺจติฯ พฺยากรณเมว เวยฺยากรณนฺติฯ เอวํ สเนฺต สคาถกาทีนมฺปิ ปญฺหาวิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตานํ เวยฺยากรณภาโว อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, เคยฺยาทิสญฺญานํ อโนกาสภาวโต ‘‘คาถาวิรเห สตี’’ติ วิเสสิตตฺตา จฯ ตถา หิ ธมฺมปทาทีสุ เกวลํ คาถาพเนฺธสุ สคาถกเตฺตปิ โสมนสฺสญาณมยิกคาถายุเตฺตสุ ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิวจนสมฺพเนฺธสุ อพฺภุตธมฺมปฎิสํยุเตฺตสุ จ สุตฺตวิเสเสสุ ยถากฺกมํ คาถาอุทานอิติวุตฺตกอพฺภุตธมฺมสญฺญา ปติฎฺฐิตา, ตถา สติปิ คาถาพนฺธภาเว ภควโต อตีตาสุ ชาตีสุ จริยานุภาวปฺปกาสเกสุ ชาตกสญฺญาฯ สติปิ ปญฺหาวิสฺสชฺชนภาเว สคาถกเตฺต จ เกสุจิ สุตฺตเนฺตสุ เวทสฺส ลภาปนโต เวทลฺลสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ เอวํ เตน เตน สคาถกตฺตาทินา นิมิเตฺตน เตสุ เตสุ สุตฺตวิเสเสสุ เคยฺยงฺคาทิสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ วิเสสวิธโย สุตฺตงฺคโต ปเร เคยฺยาทโยฯ

    Sabbassāpi hi buddhavacanassa suttanti ayaṃ sāmaññavidhi. Tathā hi ‘‘ettakaṃ tassa bhagavato suttāgataṃ suttapariyāpannaṃ (pāci. 1242), sāvatthiyā suttavibhaṅge, sakavāde pañca suttasatānī’’tiādivacanato vinayābhidhammapariyattivisesepi suttavohāro dissati. Tadekadesesu pana geyyādayo visesavidhayo tena tena nimittena patiṭṭhitā. Tathā hi geyyassa sagāthakattaṃ tabbhāvanimittaṃ. Lokepi hi sasilokaṃ sagāthakaṃ cuṇṇiyaganthaṃ geyya’’nti vadanti. Gāthāvirahe pana sati pucchitvā vissajjanabhāvo veyyākaraṇassa. Pucchāvissajjanañhi ‘‘byākaraṇa’’nti vuccati. Byākaraṇameva veyyākaraṇanti. Evaṃ sante sagāthakādīnampi pañhāvissajjanavasena pavattānaṃ veyyākaraṇabhāvo āpajjatīti? Nāpajjati, geyyādisaññānaṃ anokāsabhāvato ‘‘gāthāvirahe satī’’ti visesitattā ca. Tathā hi dhammapadādīsu kevalaṃ gāthābandhesu sagāthakattepi somanassañāṇamayikagāthāyuttesu ‘‘vuttañheta’’ntiādivacanasambandhesu abbhutadhammapaṭisaṃyuttesu ca suttavisesesu yathākkamaṃ gāthāudānaitivuttakaabbhutadhammasaññā patiṭṭhitā, tathā satipi gāthābandhabhāve bhagavato atītāsu jātīsu cariyānubhāvappakāsakesu jātakasaññā. Satipi pañhāvissajjanabhāve sagāthakatte ca kesuci suttantesu vedassa labhāpanato vedallasaññā patiṭṭhitāti evaṃ tena tena sagāthakattādinā nimittena tesu tesu suttavisesesu geyyaṅgādisaññā patiṭṭhitāti visesavidhayo suttaṅgato pare geyyādayo.

    ยํ ปเนตฺถ เคยฺยงฺคาทินิมิตฺตรหิตํ สุตฺตํ, ตํ สุตฺตงฺคํ วิเสสสญฺญาปริหาเรน สามญฺญสญฺญาย ปวตฺตนโตติฯ นนุ จ สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ เวยฺยากรณนฺติ สุตฺตงฺคํ น สมฺภวตีติ โจทนา ตทวตฺถา เอวาติ? น ตทวตฺถา, โสธิตตฺตาฯ โสธิตญฺหิ ปุเพฺพ คาถาวิรเห สติ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺส ตพฺภาวนิมิตฺตนฺติฯ ยญฺจ วุตฺตํ – ‘‘คาถาภาวโต มงฺคลสุตฺตาทีนํ สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา’’ติ, ตมฺปิ น, นิรุฬฺหตฺตาฯ นิรุโฬฺห หิ มงฺคลสุตฺตาทีสุ สุตฺตภาโว, น หิ ตานิ ธมฺมปทพุทฺธวํสาทโย วิย คาถาภาเวน ปญฺญาตานิ, กินฺตุ สุตฺตภาเวเนวฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายํ ‘‘สุตฺตนามก’’นฺติ นามคฺคหณํ กตํฯ

    Yaṃ panettha geyyaṅgādinimittarahitaṃ suttaṃ, taṃ suttaṅgaṃ visesasaññāparihārena sāmaññasaññāya pavattanatoti. Nanu ca sagāthakaṃ suttaṃ geyyaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ veyyākaraṇanti suttaṅgaṃ na sambhavatīti codanā tadavatthā evāti? Na tadavatthā, sodhitattā. Sodhitañhi pubbe gāthāvirahe sati pucchāvissajjanabhāvo veyyākaraṇassa tabbhāvanimittanti. Yañca vuttaṃ – ‘‘gāthābhāvato maṅgalasuttādīnaṃ suttaṅgasaṅgaho na siyā’’ti, tampi na, niruḷhattā. Niruḷho hi maṅgalasuttādīsu suttabhāvo, na hi tāni dhammapadabuddhavaṃsādayo viya gāthābhāvena paññātāni, kintu suttabhāveneva. Teneva hi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘suttanāmaka’’nti nāmaggahaṇaṃ kataṃ.

    ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สคาถกตฺตา เคยฺยงฺคสงฺคโห วา สิยา’’ติ, ตทปิ นตฺถิ, ยสฺมา สหตาเญฺญนฯ สห คาถาหีติ หิ สคาถกํฯ สหภาโว จ นาม อตฺถโต อเญฺญน โหติ, น จ มงฺคลสุตฺตาทีสุ คาถาวินิมุโตฺต โกจิ สุตฺตปฺปเทโส อตฺถิฯ โย สห คาถาหีติ วุเจฺจยฺย, น จ สมุทาโย นาม โกจิ อตฺถิฯ ยทปิ วุตฺตํ – ‘‘อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานํ เคยฺยงฺคสงฺคโห สิยา’’ติ, ตทปิ น อญฺญโตฯ อญฺญา เอว หิ ตา คาถา, ชาตกาทิปริยาปนฺนตฺตาฯ อโต น ตาหิ อุภโตวิภงฺคาทีนํ เคยฺยงฺคภาโวติ เอวํ สุตฺตาทีนํ องฺคานํ อญฺญมญฺญสงฺกราภาโว เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปน สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํ ยถาวุตฺตนเยน อตฺถานํ สูจนาทิอเตฺถน สุตฺตเนฺตฺวว วุจฺจติ, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘นววิธสุตฺตนฺตปริเยฎฺฐี’’ติฯ

    Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘sagāthakattā geyyaṅgasaṅgaho vā siyā’’ti, tadapi natthi, yasmā sahatāññena. Saha gāthāhīti hi sagāthakaṃ. Sahabhāvo ca nāma atthato aññena hoti, na ca maṅgalasuttādīsu gāthāvinimutto koci suttappadeso atthi. Yo saha gāthāhīti vucceyya, na ca samudāyo nāma koci atthi. Yadapi vuttaṃ – ‘‘ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānaṃ geyyaṅgasaṅgaho siyā’’ti, tadapi na aññato. Aññā eva hi tā gāthā, jātakādipariyāpannattā. Ato na tāhi ubhatovibhaṅgādīnaṃ geyyaṅgabhāvoti evaṃ suttādīnaṃ aṅgānaṃ aññamaññasaṅkarābhāvo veditabbo. Yasmā pana sabbampi buddhavacanaṃ yathāvuttanayena atthānaṃ sūcanādiatthena suttantveva vuccati, tasmā vuttaṃ – ‘‘navavidhasuttantapariyeṭṭhī’’ti.

    สงฺคหวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅgahavāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๑. สงฺคหวาโร • 1. Saṅgahavāro

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๑. สงฺคหวารวณฺณนา • 1. Saṅgahavāravaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / ๑. สงฺคหวารอตฺถวิภาวนา • 1. Saṅgahavāraatthavibhāvanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact