Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๘๒] ๒. สงฺคามาวจรชาตกวณฺณนา
[182] 2. Saṅgāmāvacarajātakavaṇṇanā
สงฺคามาวจโร สูโรติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต นนฺทเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ สตฺถริ หิ ปฐมคมเนน กปิลปุรํ คนฺตฺวา กนิฎฺฐภาติกํ นนฺทราชกุมารํ ปพฺพาเชตฺวา กปิลปุรา นิกฺขมฺม อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา วิหรเนฺต อายสฺมา นโนฺท ภควโต ปตฺตํ อาทาย ตถาคเตน สทฺธิํ เคหา นิกฺขมนกาเล ‘‘นนฺทกุมาโร กิร สตฺถารา สทฺธิํ คจฺฉตี’’ติ สุตฺวา อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ วาตปานนฺตเรน โอโลเกตฺวา ‘‘ตุวฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ อิทํ ชนปทกลฺยาณิยา วุตฺตวจนํ อนุสฺสรโนฺต อุกฺกณฺฐิโต อนภิรโต อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต อโหสิฯ สตฺถา ตสฺส ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘ยํนูนาหํ นนฺทํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส วสนปริเวณํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ‘‘กจฺจิ, นนฺท, อิมสฺมิํ สาสเน อภิรมสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, ชนปทกลฺยาณิยา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา นาภิรมามี’’ติฯ ‘‘หิมวนฺตจาริกํ คตปุโพฺพสิ นนฺทา’’ติ? ‘‘น คตปุโพฺพ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉามา’’ติฯ ‘‘นตฺถิ เม, ภเนฺต, อิทฺธิ, กตาหํ คมิสฺสามี’’ติฯ สตฺถา ‘‘อหํ ตํ, นนฺท, มม อิทฺธิพเลน เนสฺสามี’’ติ เถรํ หเตฺถ คเหตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกสฺมิํ ฌามเขเตฺต ฌามขาณุเก นิสินฺนํ ฉินฺนกณฺณนาสนงฺคุฎฺฐํ ฌามโลมํ ฉินฺนฉวิํ จมฺมมตฺตํ โลหิตปลิคุณฺฐิตํ เอกํ ปลุฎฺฐมกฺกฎิํ ทเสฺสสิ – ‘‘ปสฺสสิ, นนฺท, เอตํ มกฺกฎิ’’นฺติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สุฎฺฐุ ปจฺจกฺขํ กโรหี’’ติฯ
Saṅgāmāvacarosūroti idaṃ satthā jetavane viharanto nandattheraṃ ārabbha kathesi. Satthari hi paṭhamagamanena kapilapuraṃ gantvā kaniṭṭhabhātikaṃ nandarājakumāraṃ pabbājetvā kapilapurā nikkhamma anupubbena sāvatthiṃ gantvā viharante āyasmā nando bhagavato pattaṃ ādāya tathāgatena saddhiṃ gehā nikkhamanakāle ‘‘nandakumāro kira satthārā saddhiṃ gacchatī’’ti sutvā aḍḍhullikhitehi kesehi vātapānantarena oloketvā ‘‘tuvaṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti idaṃ janapadakalyāṇiyā vuttavacanaṃ anussaranto ukkaṇṭhito anabhirato uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto ahosi. Satthā tassa taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘yaṃnūnāhaṃ nandaṃ arahatte patiṭṭhāpeyya’’nti cintetvā tassa vasanapariveṇaṃ gantvā paññattāsane nisinno ‘‘kacci, nanda, imasmiṃ sāsane abhiramasī’’ti pucchi. ‘‘Bhante, janapadakalyāṇiyā paṭibaddhacitto hutvā nābhiramāmī’’ti. ‘‘Himavantacārikaṃ gatapubbosi nandā’’ti? ‘‘Na gatapubbo, bhante’’ti. ‘‘Tena hi gacchāmā’’ti. ‘‘Natthi me, bhante, iddhi, katāhaṃ gamissāmī’’ti. Satthā ‘‘ahaṃ taṃ, nanda, mama iddhibalena nessāmī’’ti theraṃ hatthe gahetvā ākāsaṃ pakkhandanto antarāmagge ekasmiṃ jhāmakhette jhāmakhāṇuke nisinnaṃ chinnakaṇṇanāsanaṅguṭṭhaṃ jhāmalomaṃ chinnachaviṃ cammamattaṃ lohitapaliguṇṭhitaṃ ekaṃ paluṭṭhamakkaṭiṃ dassesi – ‘‘passasi, nanda, etaṃ makkaṭi’’nti. ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Suṭṭhu paccakkhaṃ karohī’’ti.
อถ นํ คเหตฺวา สฎฺฐิโยชนิกํ มโนสิลาตลํ, อโนตตฺตทหาทโย สตฺต มหาสเร, ปญฺจ มหานทิโย, สุวณฺณปพฺพตรชตปพฺพตมณิปพฺพตปฎิมณฺฑิตํ อเนกสตรามเณยฺยกํ หิมวนฺตปพฺพตญฺจ ทเสฺสตฺวา ‘‘ตาวติํสภวนํ เต, นนฺท, ทิฎฺฐปุพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘น , ทิฎฺฐปุพฺพํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘เอหิ, นนฺท, ตาวติํสภวนํ เต ทสฺสยิสฺสามี’’ติ ตตฺถ เนตฺวา ปณฺฑุกมฺพลสิลาสเน นิสีทิฯ สโกฺก เทวราชา ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวสเงฺฆน สทฺธิํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อฑฺฒติยโกฎิสงฺขา ตสฺส ปริจาริกา ปญฺจสตา กกุฎปาทา เทวจฺฉราโยปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ตา ปญฺจสตา อจฺฉรา กิเลสวเสน ปุนปฺปุนํ โอโลกาเปสิฯ ‘‘ปสฺสสิ, นนฺท, อิมา กกุฎปาทินิโย อจฺฉราโย’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข เอตา โสภนฺติ, อุทาหุ ชนปทกลฺยาณี’’ติฯ ‘‘เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, ชนปทกลฺยาณิํ อุปนิธาย สา ปลุฎฺฐมกฺกฎี, เอวเมว อิมา อุปนิธาย ชนปทกลฺยาณี’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสสิ นนฺทา’’ติ? ‘‘กิํ กมฺมํ กตฺวา, ภเนฺต, อิมา อจฺฉรา ลภนฺตี’’ติ? ‘‘สมณธมฺมํ กตฺวา’’ติฯ ‘‘สเจ เม, ภเนฺต, อิมาสํ ปฎิลาภตฺถาย ภควา ปาฎิโภโค โหติ, อหํ สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘กโรหิ, นนฺท, อหํ เต ปาฎิโภโค’’ติฯ เอวํ เถโร เทวสงฺฆสฺส มเชฺฌ ตถาคตํ ปาฎิโภคํ คเหตฺวา ‘‘มา, ภเนฺต, อติปปญฺจํ กโรถ, เอถ คจฺฉาม, อหํ สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ สตฺถา ตํ อาทาย เชตวนเมว ปจฺจาคมิฯ เถโร สมณธมฺมํ กาตุํ อารภิฯ
Atha naṃ gahetvā saṭṭhiyojanikaṃ manosilātalaṃ, anotattadahādayo satta mahāsare, pañca mahānadiyo, suvaṇṇapabbatarajatapabbatamaṇipabbatapaṭimaṇḍitaṃ anekasatarāmaṇeyyakaṃ himavantapabbatañca dassetvā ‘‘tāvatiṃsabhavanaṃ te, nanda, diṭṭhapubba’’nti pucchitvā ‘‘na , diṭṭhapubbaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘ehi, nanda, tāvatiṃsabhavanaṃ te dassayissāmī’’ti tattha netvā paṇḍukambalasilāsane nisīdi. Sakko devarājā dvīsu devalokesu devasaṅghena saddhiṃ āgantvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Aḍḍhatiyakoṭisaṅkhā tassa paricārikā pañcasatā kakuṭapādā devaccharāyopi āgantvā vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Satthā āyasmantaṃ nandaṃ tā pañcasatā accharā kilesavasena punappunaṃ olokāpesi. ‘‘Passasi, nanda, imā kakuṭapādiniyo accharāyo’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho etā sobhanti, udāhu janapadakalyāṇī’’ti. ‘‘Seyyathāpi, bhante, janapadakalyāṇiṃ upanidhāya sā paluṭṭhamakkaṭī, evameva imā upanidhāya janapadakalyāṇī’’ti. ‘‘Idāni kiṃ karissasi nandā’’ti? ‘‘Kiṃ kammaṃ katvā, bhante, imā accharā labhantī’’ti? ‘‘Samaṇadhammaṃ katvā’’ti. ‘‘Sace me, bhante, imāsaṃ paṭilābhatthāya bhagavā pāṭibhogo hoti, ahaṃ samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Karohi, nanda, ahaṃ te pāṭibhogo’’ti. Evaṃ thero devasaṅghassa majjhe tathāgataṃ pāṭibhogaṃ gahetvā ‘‘mā, bhante, atipapañcaṃ karotha, etha gacchāma, ahaṃ samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti āha. Satthā taṃ ādāya jetavanameva paccāgami. Thero samaṇadhammaṃ kātuṃ ārabhi.
สตฺถา ธมฺมเสนาปติํ อามเนฺตตฺวา ‘‘สาริปุตฺต, มยฺหํ กนิฎฺฐภาตา นโนฺท ตาวติํสเทวโลเก เทวสงฺฆสฺส มเชฺฌ เทวจฺฉรานํ การณา มํ ปาฎิโภคํ อคฺคเหสี’’ติ ตสฺส อาจิกฺขิฯ เอเตนุปาเยน มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส มหากสฺสปเตฺถรสฺส อนุรุทฺธเตฺถรสฺส ธมฺมภณฺฑาคาริกอานนฺทเตฺถรสฺสาติ อสีติยา มหาสาวกานํ เยภุเยฺยน จ เสสภิกฺขูนํ อาจิกฺขิฯ ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโร นนฺทเตฺถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อาวุโส นนฺท, ตาวติํสเทวโลเก เทวสงฺฆสฺส มเชฺฌ ‘เทวจฺฉรา ลภโนฺต สมณธมฺมํ กริสฺสามี’ติ ทสพลํ ปาฎิโภคํ คณฺหี’’ติ วตฺวา ‘‘นนุ เอวํ สเนฺต ตว พฺรหฺมจริยวาโส มาตุคามสนฺนิสฺสิโต กิเลสสนฺนิสฺสิโต, ตสฺส เต อิตฺถีนํ อตฺถาย สมณธมฺมํ กโรนฺตสฺส ภติยา กมฺมํ กโรเนฺตน กมฺมการเกน สทฺธิํ กิํ นานากรณ’’นฺติ เถรํ ลชฺชาเปสิ นิเตฺตชํ อกาสิฯ เอเตนุปาเยน สเพฺพปิ อสีติมหาสาวกา อวเสสภิกฺขู จ ตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ลชฺชาปยิํสุฯ
Satthā dhammasenāpatiṃ āmantetvā ‘‘sāriputta, mayhaṃ kaniṭṭhabhātā nando tāvatiṃsadevaloke devasaṅghassa majjhe devaccharānaṃ kāraṇā maṃ pāṭibhogaṃ aggahesī’’ti tassa ācikkhi. Etenupāyena mahāmoggallānattherassa mahākassapattherassa anuruddhattherassa dhammabhaṇḍāgārikaānandattherassāti asītiyā mahāsāvakānaṃ yebhuyyena ca sesabhikkhūnaṃ ācikkhi. Dhammasenāpati sāriputtatthero nandattheraṃ upasaṅkamitvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, āvuso nanda, tāvatiṃsadevaloke devasaṅghassa majjhe ‘devaccharā labhanto samaṇadhammaṃ karissāmī’ti dasabalaṃ pāṭibhogaṃ gaṇhī’’ti vatvā ‘‘nanu evaṃ sante tava brahmacariyavāso mātugāmasannissito kilesasannissito, tassa te itthīnaṃ atthāya samaṇadhammaṃ karontassa bhatiyā kammaṃ karontena kammakārakena saddhiṃ kiṃ nānākaraṇa’’nti theraṃ lajjāpesi nittejaṃ akāsi. Etenupāyena sabbepi asītimahāsāvakā avasesabhikkhū ca taṃ āyasmantaṃ nandaṃ lajjāpayiṃsu.
โส ‘‘อยุตฺตํ วต เม กต’’นฺติ หิริยา จ โอตฺตเปฺปน จ วีริยํ ทฬฺหํ ปคฺคณฺหิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ภควโต ปฎิสฺสวํ มุญฺจามี’’ติ อาหฯ สตฺถาปิ ‘‘ยทา ตฺวํ, นนฺท, อรหตฺตํ ปโตฺต, ตทาเยวาหํ ปฎิสฺสวา มุโตฺต’’ติ อาหฯ เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘ยาว โอวาทกฺขโม จายํ, อาวุโส, นนฺทเตฺถโร เอโกวาเทเนว หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา สมณธมฺมํ กตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ นโนฺท โอวาทกฺขโมเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
So ‘‘ayuttaṃ vata me kata’’nti hiriyā ca ottappena ca vīriyaṃ daḷhaṃ paggaṇhitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā satthāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘ahaṃ, bhante, bhagavato paṭissavaṃ muñcāmī’’ti āha. Satthāpi ‘‘yadā tvaṃ, nanda, arahattaṃ patto, tadāyevāhaṃ paṭissavā mutto’’ti āha. Etamatthaṃ viditvā dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘yāva ovādakkhamo cāyaṃ, āvuso, nandatthero ekovādeneva hirottappaṃ paccupaṭṭhapetvā samaṇadhammaṃ katvā arahattaṃ patto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi nando ovādakkhamoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หตฺถาจริยกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต หตฺถาจริยสิเปฺป นิปฺผตฺติํ ปโตฺต เอกํ พาราณสิรโญฺญ สปตฺตราชานํ อุปฎฺฐาสิฯ โส ตสฺส มงฺคลหตฺถิํ สุสิกฺขิตํ กตฺวา สิกฺขาเปสิฯ โส ราชา ‘‘พาราณสิรชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ โพธิสตฺตํ คเหตฺวา มงฺคลหตฺถิํ อารุยฺห มหติยา เสนาย พาราณสิํ คนฺตฺวา ปริวาเรตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ รโญฺญ ปณฺณํ เปเสสิฯ พฺรหฺมทโตฺต ‘‘ยุทฺธํ ทสฺสามี’’ติ ปาการทฺวารฎฺฎาลกโคปุเรสุ พลกายํ อาโรเปตฺวา ยุทฺธํ อทาสิฯ สปตฺตราชา มงฺคลหตฺถิํ วเมฺมน ฉาเทตฺวา สยมฺปิ วมฺมํ ปฎิมุญฺจิตฺวา หตฺติกฺขนฺธวรคโต ติขิณํ องฺกุสํ อาทาย ‘‘นครํ ภินฺทิตฺวา ปจฺจามิตฺตํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา รชฺชํ หตฺถคตํ กริสฺสามี’’ติ หตฺถิํ นคราภิมุขํ เปเสสิฯ โส อุณฺหกลลานิ เจว ยนฺตปาสาเณ จ นานปฺปการานิ จ ปหรณานิ วิสฺสเชฺชเนฺต ทิสฺวา มรณภยภีโต อุปสงฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต ปฎิกฺกมิฯ อถ นํ หตฺถาจริโย อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ สูโร สงฺคามาวจโร, เอวรูเป ฐาเน ปฎิกฺกมนํ นาม ตุยฺหํ นานุจฺฉวิก’’นฺติ วตฺวา หตฺถิํ โอวทโนฺต อิมา คาถา อโวจ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto hatthācariyakule nibbattitvā vayappatto hatthācariyasippe nipphattiṃ patto ekaṃ bārāṇasirañño sapattarājānaṃ upaṭṭhāsi. So tassa maṅgalahatthiṃ susikkhitaṃ katvā sikkhāpesi. So rājā ‘‘bārāṇasirajjaṃ gaṇhissāmī’’ti bodhisattaṃ gahetvā maṅgalahatthiṃ āruyha mahatiyā senāya bārāṇasiṃ gantvā parivāretvā ‘‘rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti rañño paṇṇaṃ pesesi. Brahmadatto ‘‘yuddhaṃ dassāmī’’ti pākāradvāraṭṭālakagopuresu balakāyaṃ āropetvā yuddhaṃ adāsi. Sapattarājā maṅgalahatthiṃ vammena chādetvā sayampi vammaṃ paṭimuñcitvā hattikkhandhavaragato tikhiṇaṃ aṅkusaṃ ādāya ‘‘nagaraṃ bhinditvā paccāmittaṃ jīvitakkhayaṃ pāpetvā rajjaṃ hatthagataṃ karissāmī’’ti hatthiṃ nagarābhimukhaṃ pesesi. So uṇhakalalāni ceva yantapāsāṇe ca nānappakārāni ca paharaṇāni vissajjente disvā maraṇabhayabhīto upasaṅkamituṃ asakkonto paṭikkami. Atha naṃ hatthācariyo upasaṅkamitvā ‘‘tāta, tvaṃ sūro saṅgāmāvacaro, evarūpe ṭhāne paṭikkamanaṃ nāma tuyhaṃ nānucchavika’’nti vatvā hatthiṃ ovadanto imā gāthā avoca –
๖๓.
63.
‘‘สงฺคามาวจโร สูโร, พลวา อิติ วิสฺสุโต;
‘‘Saṅgāmāvacaro sūro, balavā iti vissuto;
กิํ นุ โตรณมาสชฺช, ปฎิกฺกมสิ กุญฺชรฯ
Kiṃ nu toraṇamāsajja, paṭikkamasi kuñjara.
๖๔.
64.
‘‘โอมทฺท ขิปฺปํ ปลิฆํ, เอสิกานิ จ อพฺพห;
‘‘Omadda khippaṃ palighaṃ, esikāni ca abbaha;
โตรณานิ จ มทฺทิตฺวา, ขิปฺปํ ปวิส กุญฺชรา’’ติฯ
Toraṇāni ca madditvā, khippaṃ pavisa kuñjarā’’ti.
ตตฺถ อิติ วิสฺสุโตติ, ตาต, ตฺวํ ปวตฺตสมฺปหารํ สงฺคามํ มทฺทิตฺวา อวจรณโต สงฺคามาวจโร, ถิรหทยตาย สูโร, ถามสมฺปตฺติยา พลวาติ เอวํ วิสฺสุโต ปญฺญาโต ปากโฎฯ โตรณมาสชฺชาติ นครทฺวารสงฺขาตํ โตรณํ ปตฺวาฯ ปฎิกฺกมสีติ กิํ นุ โข โอสกฺกสิ, เกน การเณน นิวตฺตสีติ วทติฯ โอมทฺทาติ อวมทฺท อโธ ปาตยฯ เอสิกานิ จ อพฺพหาติ นครทฺวาเร โสฬสรตนํ อฎฺฐรตนํ ภูมิยํ ปเวเสตฺวา นิจฺจลํ กตฺวา นิขาตา เอสิกตฺถมฺภา โหนฺติ, เต ขิปฺปํ อุทฺธร ลุญฺจาหีติ อาณาเปติฯ โตรณานิ จ มทฺทิตฺวาติ นครทฺวารสฺส ปิฎฺฐสงฺฆาเฎ มทฺทิตฺวาฯ ขิปฺปํ ปวิสาติ สีฆํ นครํ ปวิสฯ กุญฺชราติ นาคํ อาลปติฯ
Tattha iti vissutoti, tāta, tvaṃ pavattasampahāraṃ saṅgāmaṃ madditvā avacaraṇato saṅgāmāvacaro, thirahadayatāya sūro, thāmasampattiyā balavāti evaṃ vissuto paññāto pākaṭo. Toraṇamāsajjāti nagaradvārasaṅkhātaṃ toraṇaṃ patvā. Paṭikkamasīti kiṃ nu kho osakkasi, kena kāraṇena nivattasīti vadati. Omaddāti avamadda adho pātaya. Esikāni ca abbahāti nagaradvāre soḷasaratanaṃ aṭṭharatanaṃ bhūmiyaṃ pavesetvā niccalaṃ katvā nikhātā esikatthambhā honti, te khippaṃ uddhara luñcāhīti āṇāpeti. Toraṇāni ca madditvāti nagaradvārassa piṭṭhasaṅghāṭe madditvā. Khippaṃ pavisāti sīghaṃ nagaraṃ pavisa. Kuñjarāti nāgaṃ ālapati.
ตํ สุตฺวา นาโค โพธิสตฺตสฺส เอโกวาเทเนว นิวตฺติตฺวา เอสิกตฺถเมฺภ โสณฺฑาย ปลิเวเฐตฺวา อหิจฺฉตฺตกานิ วิย ลุญฺจิตฺวา โตรณํ มทฺทิตฺวา ปลิฆํ โอตาเรตฺวา นครทฺวารํ ภินฺทิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา รชฺชํ คเหตฺวา อทาสิฯ
Taṃ sutvā nāgo bodhisattassa ekovādeneva nivattitvā esikatthambhe soṇḍāya paliveṭhetvā ahicchattakāni viya luñcitvā toraṇaṃ madditvā palighaṃ otāretvā nagaradvāraṃ bhinditvā nagaraṃ pavisitvā rajjaṃ gahetvā adāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา หตฺถี นโนฺท อโหสิ, ราชา อานโนฺท, หตฺถาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā hatthī nando ahosi, rājā ānando, hatthācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
สงฺคามาวจรชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Saṅgāmāvacarajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๘๒. สงฺคามาวจรชาตกํ • 182. Saṅgāmāvacarajātakaṃ