Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. สงฺคารวสุตฺตวณฺณนา
10. Saṅgāravasuttavaṇṇanā
๔๗๓. เอวํ เม สุตนฺติ สงฺคารวสุตฺตํฯ ตตฺถ จญฺจลิกเปฺปติ เอวํนามเก คาเมฯ อภิปฺปสนฺนาติ อเวจฺจปฺปสาทวเสน ปสนฺนาฯ สา กิร โสตาปนฺนา อริยสาวิกา ภารทฺวาชโคตฺตสฺส พฺราหฺมณสฺส ภริยาฯ โส พฺราหฺมโณ ปุเพฺพ กาเลน กาลํ พฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา เตสํ สกฺการํ กโรติฯ อิมํ ปน พฺราหฺมณิํ ฆรํ อาเนตฺวา อภิรูปาย มหากุลาย พฺราหฺมณิยา จิตฺตํ โกเปตุํ อสโกฺกโนฺต พฺราหฺมณานํ สกฺการํ กาตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ พฺราหฺมณา ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน – ‘‘นยิทานิ ตฺวํ พฺราหฺมณลทฺธิโก, เอกาหมฺปิ พฺราหฺมณานํ สกฺการํ น กโรสี’’ติ นิปฺปีเฬนฺติฯ โส ฆรํ อาคนฺตฺวา พฺราหฺมณิยา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา – ‘‘สเจ, โภติ เอกทิวสํ มุขํ รกฺขิตุํ สกฺกุเณยฺยาสิ, พฺราหฺมณานํ เอกทิวสํ ภิกฺขํ ทเทยฺย’’นฺติ อาหฯ ตุยฺหํ เทยฺยธมฺมํ รุจฺจนกฎฺฐาเน เทหิ, กิํ มยฺหํ เอตฺถาติฯ โส พฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา อโปฺปทกํ ปายาสํ ปจาเปตฺวา ฆรญฺจ สุชฺฌาเปตฺวา อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา พฺราหฺมเณ นิสีทาเปสิฯ พฺราหฺมณี มหาสาฎกํ นิวาเสตฺวา กฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปริวิสนฺตี ทุสฺสกณฺณเก ปกฺขลิตฺวา ‘‘พฺราหฺมเณ ปริวิสามี’’ติ สญฺญมฺปิ อกตฺวา อาเสวนวเสน สหสา สตฺถารเมว อนุสฺสริตฺวา อุทานํ อุทาเนสิฯ
473.Evaṃme sutanti saṅgāravasuttaṃ. Tattha cañcalikappeti evaṃnāmake gāme. Abhippasannāti aveccappasādavasena pasannā. Sā kira sotāpannā ariyasāvikā bhāradvājagottassa brāhmaṇassa bhariyā. So brāhmaṇo pubbe kālena kālaṃ brāhmaṇe nimantetvā tesaṃ sakkāraṃ karoti. Imaṃ pana brāhmaṇiṃ gharaṃ ānetvā abhirūpāya mahākulāya brāhmaṇiyā cittaṃ kopetuṃ asakkonto brāhmaṇānaṃ sakkāraṃ kātuṃ nāsakkhi. Atha naṃ brāhmaṇā diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne – ‘‘nayidāni tvaṃ brāhmaṇaladdhiko, ekāhampi brāhmaṇānaṃ sakkāraṃ na karosī’’ti nippīḷenti. So gharaṃ āgantvā brāhmaṇiyā tamatthaṃ ārocetvā – ‘‘sace, bhoti ekadivasaṃ mukhaṃ rakkhituṃ sakkuṇeyyāsi, brāhmaṇānaṃ ekadivasaṃ bhikkhaṃ dadeyya’’nti āha. Tuyhaṃ deyyadhammaṃ ruccanakaṭṭhāne dehi, kiṃ mayhaṃ etthāti. So brāhmaṇe nimantetvā appodakaṃ pāyāsaṃ pacāpetvā gharañca sujjhāpetvā āsanāni paññāpetvā brāhmaṇe nisīdāpesi. Brāhmaṇī mahāsāṭakaṃ nivāsetvā kaṭacchuṃ gahetvā parivisantī dussakaṇṇake pakkhalitvā ‘‘brāhmaṇe parivisāmī’’ti saññampi akatvā āsevanavasena sahasā satthārameva anussaritvā udānaṃ udānesi.
พฺราหฺมณา อุทานํ สุตฺวา ‘‘อุภโตปกฺขิโก เอส สมณสฺส โคตมสฺส สหาโย, นาสฺส เทยฺยธมฺมํ คณฺหิสฺสามา’’ติ กุปิตา โภชนานิ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมิํสุฯ พฺราหฺมโณ – ‘‘นนุ ปฐมํเยว ตํ อวจํ ‘อเชฺชกทิวสํ มุขํ รเกฺขยฺยาสี’ติ, เอตฺตกํ เต ขีรญฺจ ตณฺฑุลาทีนิ จ นาสิตานี’’ติ อติวิย โกปวสํ อุปคโต – ‘‘เอวเมว ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณสฺส วณฺณํ ภาสติ, อิทานิ ตฺยาหํ วสลิ ตสฺส สตฺถุโน วาทํ อาโรเปสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ พฺราหฺมณี ‘‘คจฺฉ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, คนฺตฺวา วิชานิสฺสสี’’ติ วตฺวา ‘‘น ขฺวาหํ ตํ, พฺราหฺมณ, ปสฺสามิ สเทวเก โลเก…เป.… วาทํ อาโรเปยฺยา’’ติอาทิมาหฯ โส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา –
Brāhmaṇā udānaṃ sutvā ‘‘ubhatopakkhiko esa samaṇassa gotamassa sahāyo, nāssa deyyadhammaṃ gaṇhissāmā’’ti kupitā bhojanāni chaḍḍetvā nikkhamiṃsu. Brāhmaṇo – ‘‘nanu paṭhamaṃyeva taṃ avacaṃ ‘ajjekadivasaṃ mukhaṃ rakkheyyāsī’ti, ettakaṃ te khīrañca taṇḍulādīni ca nāsitānī’’ti ativiya kopavasaṃ upagato – ‘‘evameva panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇassa vaṇṇaṃ bhāsati, idāni tyāhaṃ vasali tassa satthuno vādaṃ āropessāmī’’ti āha. Atha naṃ brāhmaṇī ‘‘gaccha tvaṃ, brāhmaṇa, gantvā vijānissasī’’ti vatvā ‘‘na khvāhaṃ taṃ, brāhmaṇa, passāmi sadevake loke…pe… vādaṃ āropeyyā’’tiādimāha. So satthāraṃ upasaṅkamitvā –
‘‘กิํสุ เฉตฺวา สุขํ เสติ, กิํสุ เฉตฺวา น โสจติ;
‘‘Kiṃsu chetvā sukhaṃ seti, kiṃsu chetvā na socati;
กิสฺสสฺสุ เอกธมฺมสฺส, วธํ โรเจสิ โคตมา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) –
Kissassu ekadhammassa, vadhaṃ rocesi gotamā’’ti. (saṃ. ni. 1.187) –
ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา อาห –
Pañhaṃ pucchi. Satthā āha –
‘‘โกธํ เฉตฺวา สุขํ เสติ, โกธํ เฉตฺวา น โสจติ;
‘‘Kodhaṃ chetvā sukhaṃ seti, kodhaṃ chetvā na socati;
โกธสฺส วิสมูลสฺส, มธุรคฺคสฺส พฺราหฺมณ;
Kodhassa visamūlassa, madhuraggassa brāhmaṇa;
วธํ อริยา ปสํสนฺติ, ตญฺหิ เฉตฺวา น โสจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) –
Vadhaṃ ariyā pasaṃsanti, tañhi chetvā na socatī’’ti. (saṃ. ni. 1.187) –
ปญฺหํ กเถสิฯ โส ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ ตเสฺสว กนิฎฺฐภาตา อโกฺกสกภารทฺวาโช นาม ‘‘ภาตา เม ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อโกฺกสิตฺวา ภควตา วินีโต ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ อปโร ตสฺส กนิโฎฺฐ สุนฺทริกภารทฺวาโช นามฯ โสปิ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสชฺชนํ สุตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ อปโร ตสฺส กนิโฎฺฐ ปิงฺคลภารทฺวาโช นามฯ โส ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ปญฺหพฺยากรณปริโยสาเน ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ สงฺคารโว มาณโวติ อยํ เตสํ สพฺพกนิโฎฺฐ ตสฺมิํ ทิวเส พฺราหฺมเณหิ สทฺธิํ เอกภตฺตเคฺค นิสิโนฺนฯ อวภูตาวาติ อวฑฺฒิภูตา อวมงฺคลภูตาเยวฯ ปรภูตาวาติ วินาสํ ปตฺตาเยวฯ วิชฺชมานานนฺติ วิชฺชมาเนสุฯ สีลปญฺญาณนฺติ สีลญฺจ ญาณญฺจ น ชานาสิฯ
Pañhaṃ kathesi. So pabbajitvā arahattaṃ patto. Tasseva kaniṭṭhabhātā akkosakabhāradvājo nāma ‘‘bhātā me pabbajito’’ti sutvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā akkositvā bhagavatā vinīto pabbajitvā arahattaṃ patto. Aparo tassa kaniṭṭho sundarikabhāradvājo nāma. Sopi bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchitvā vissajjanaṃ sutvā pabbajitvā arahattaṃ patto. Aparo tassa kaniṭṭho piṅgalabhāradvājo nāma. So pañhaṃ pucchitvā pañhabyākaraṇapariyosāne pabbajitvā arahattaṃ patto. Saṅgāravomāṇavoti ayaṃ tesaṃ sabbakaniṭṭho tasmiṃ divase brāhmaṇehi saddhiṃ ekabhattagge nisinno. Avabhūtāvāti avaḍḍhibhūtā avamaṅgalabhūtāyeva. Parabhūtāvāti vināsaṃ pattāyeva. Vijjamānānanti vijjamānesu. Sīlapaññāṇanti sīlañca ñāṇañca na jānāsi.
๔๗๔. ทิฎฺฐธมฺมาภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตาติ ทิฎฺฐธเมฺม อภิญฺญาเต อิมสฺมิเญฺญว อตฺตภาเว อภิชานิตฺวา โวสิตโวสานา หุตฺวา ปารมีสงฺขาตํ สพฺพธมฺมานํ ปารภูตํ นิพฺพานํ ปตฺตา มยนฺติ วตฺวา อาทิพฺรหฺมจริยํ ปฎิชานนฺตีติ อโตฺถฯ อาทิพฺรหฺมจริยนฺติ พฺรหฺมจริยสฺส อาทิภูตา อุปฺปาทกา ชนกาติ เอวํ ปฎิชานนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตกฺกีติ ตกฺกคาหีฯ วีมํสีติ วีมํสโก, ปญฺญาจารํ จราเปตฺวา เอวํวาทีฯ เตสาหมสฺมีติ เตสํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ อหมสฺมิ อญฺญตโรฯ
474.Diṭṭhadhammābhiññāvosānapāramippattāti diṭṭhadhamme abhiññāte imasmiññeva attabhāve abhijānitvā vositavosānā hutvā pāramīsaṅkhātaṃ sabbadhammānaṃ pārabhūtaṃ nibbānaṃ pattā mayanti vatvā ādibrahmacariyaṃ paṭijānantīti attho. Ādibrahmacariyanti brahmacariyassa ādibhūtā uppādakā janakāti evaṃ paṭijānantīti vuttaṃ hoti. Takkīti takkagāhī. Vīmaṃsīti vīmaṃsako, paññācāraṃ carāpetvā evaṃvādī. Tesāhamasmīti tesaṃ sammāsambuddhānaṃ ahamasmi aññataro.
๔๘๕. อฎฺฐิตวตนฺติ อฎฺฐิตตปํ, อสฺส ปธานปเทน สทฺธิํ สมฺพโนฺธ, ตถา สปฺปุริสปทสฺสฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – โภโต โคตมสฺส อฎฺฐิตปธานวตํ อโหสิ, สปฺปุริสปธานวตํ อโหสีติฯ อตฺถิ เทวาติ ปุโฎฺฐ สมาโนติ อิทํ มาณโว ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ อชานโนฺตว ปกาเสสี’’ติ สญฺญาย อาหฯ เอวํ สเนฺตติ ตุมฺหากํ อชานนภาเว สเนฺตฯ ตุจฺฉํ มุสา โหตีติ ตุมฺหากํ กถา อผลา นิปฺผลา โหติฯ เอวํ มาณโว ภควนฺตํ มุสาวาเทน นิคฺคณฺหาติ นามฯ วิญฺญุนา ปุริเสนาติ ปณฺฑิเตน มนุเสฺสนฯ ตฺวํ ปน อวิญฺญุตาย มยา พฺยากตมฺปิ น ชานาสีติ ทีเปติฯ อุเจฺจน สมฺมตนฺติ อุเจฺจน สเทฺทน สมฺมตํ ปากฎํ โลกสฺมิํฯ อธิเทวาติ สุสุทารกาปิ หิ เทวา นาม โหนฺติ, เทวิโย นาม โหนฺติ เทวา ปน อธิเทวา นาม, โลเก เทโว เทวีติ ลทฺธนาเมหิ มนุเสฺสหิ อธิกาติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
485.Aṭṭhitavatanti aṭṭhitatapaṃ, assa padhānapadena saddhiṃ sambandho, tathā sappurisapadassa. Idañhi vuttaṃ hoti – bhoto gotamassa aṭṭhitapadhānavataṃ ahosi, sappurisapadhānavataṃ ahosīti. Atthidevātipuṭṭho samānoti idaṃ māṇavo ‘‘sammāsambuddho ajānantova pakāsesī’’ti saññāya āha. Evaṃ santeti tumhākaṃ ajānanabhāve sante. Tucchaṃ musā hotīti tumhākaṃ kathā aphalā nipphalā hoti. Evaṃ māṇavo bhagavantaṃ musāvādena niggaṇhāti nāma. Viññunā purisenāti paṇḍitena manussena. Tvaṃ pana aviññutāya mayā byākatampi na jānāsīti dīpeti. Uccena sammatanti uccena saddena sammataṃ pākaṭaṃ lokasmiṃ. Adhidevāti susudārakāpi hi devā nāma honti, deviyo nāma honti devā pana adhidevā nāma, loke devo devīti laddhanāmehi manussehi adhikāti attho. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
สงฺคารวสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅgāravasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
มชฺฌิมปณฺณาส-อฎฺฐกถา นิฎฺฐิตาฯ
Majjhimapaṇṇāsa-aṭṭhakathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. สงฺคารวสุตฺตํ • 10. Saṅgāravasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. สงฺคารวสุตฺตวณฺณนา • 10. Saṅgāravasuttavaṇṇanā