Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. สงฺคารวสุตฺตวณฺณนา
10. Saṅgāravasuttavaṇṇanā
๔๗๓. อภิปฺปสนฺนาติ อภิสเมจฺจ ปสนฺนาฯ เตนาห – ‘‘อเวจฺจปฺปสาทวเสน ปสนฺนา’’ติฯ พฺราหฺมณี วิคตมลมเจฺฉรตาย ‘‘ตุยฺหํ เทยฺยธมฺมํ รุจฺจนกฎฺฐาเน เทหี’’ติ อาหฯ มเคฺคเนว หิสฺสา มจฺฉริยสฺส ปหีนตฺตา พุทฺธปกฺขพฺราหฺมณปกฺขวเสน อุภโตปกฺขิกาฯ
473.Abhippasannāti abhisamecca pasannā. Tenāha – ‘‘aveccappasādavasena pasannā’’ti. Brāhmaṇī vigatamalamaccheratāya ‘‘tuyhaṃ deyyadhammaṃ ruccanakaṭṭhāne dehī’’ti āha. Maggeneva hissā macchariyassa pahīnattā buddhapakkhabrāhmaṇapakkhavasena ubhatopakkhikā.
กิํสูติ กินฺติ ปุจฺฉาวจนํฯ เฉตฺวา อนาทิยิตฺวา วินาเสตฺวาฯ สุขํ เสตีติ จิตฺตสนฺตาปาภาเวน สุเขน สุปติฯ น โสจตีติ ตโต เอว โสกํ นาม วินาเสติฯ โกธนฺติ กุชฺฌนลกฺขณํ โกธํฯ เฉตฺวา สมุจฺฉินฺทิตฺวาฯ สุขํ เสตีติ โกธปริฬาเหน อปริฑยฺหมานตฺตา สุขํ สุปติฯ โกธวินาเสน วินฎฺฐโทมนสฺสตฺตา น โสจติฯ วิสมูลสฺสาติ ทุกฺขวิปากสฺสฯ มธุรคฺคสฺสาติ อโกฺกสกสฺส ปจฺจโกฺกสเนน, ปหารกสฺส ปฎิปฺปหรเณน ยํ สุขํ อุปฺปชฺชติ, ตํ สนฺธาเยว ‘‘มธุรโคฺค’’ติ วุโตฺตฯ อิมสฺมิญฺหิ ฐาเน ปริโยสานํ ‘‘อคฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ อริยาติ พุทฺธาทโย อริยาฯ
Kiṃsūti kinti pucchāvacanaṃ. Chetvā anādiyitvā vināsetvā. Sukhaṃ setīti cittasantāpābhāvena sukhena supati. Na socatīti tato eva sokaṃ nāma vināseti. Kodhanti kujjhanalakkhaṇaṃ kodhaṃ. Chetvā samucchinditvā. Sukhaṃ setīti kodhapariḷāhena apariḍayhamānattā sukhaṃ supati. Kodhavināsena vinaṭṭhadomanassattā na socati. Visamūlassāti dukkhavipākassa. Madhuraggassāti akkosakassa paccakkosanena, pahārakassa paṭippaharaṇena yaṃ sukhaṃ uppajjati, taṃ sandhāyeva ‘‘madhuraggo’’ti vutto. Imasmiñhi ṭhāne pariyosānaṃ ‘‘agga’’nti vuttaṃ. Ariyāti buddhādayo ariyā.
ปญฺหํ กเถสีติ พฺราหฺมโณ กิร จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม โลกปูชิโต, น สกฺกา ยํ วา ตํ วา วตฺวา สนฺตเชฺชตุํ, เอกํ สณฺหปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ โส เอกํ ปุจฺฉาคาถํ อภิสงฺขริตฺวา ‘‘สเจ อสุกสฺส นาม วธํ โรเจมีติ วกฺขติ, เย ตุยฺหํ น รุจฺจนฺติ, เต มาเรตุกาโมสิ, โลกวธาย อุปฺปโนฺน กิํ ตุยฺหํ สมณภาเวนาติ นิคฺคเหสฺสามิฯ สเจ น กสฺสจิ วธํ โรเจมีติ วกฺขติ, อถ นํ ตฺวํ ราคาทีนมฺปิ วธํ น อิจฺฉสิ, ตสฺมา สมโณ หุตฺวา อาหิณฺฑสีติ นิคฺคณฺหิสฺสามีติ อิมํ อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมโณ โคตโม เนว คิลิตุํ น อุคฺคิลิตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ เอวํ จิเนฺตตฺวา อิมํ ปยฺหํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ภควา อชฺฌาสยานุรูปํ กเถสิฯ โส ปญฺหพฺยากรเณน อาราธิตจิโตฺต ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สตฺถา ตํ ปพฺพาเชสิ, โส ปพฺพชฺชากิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติฯ
Pañhaṃ kathesīti brāhmaṇo kira cintesi – ‘‘samaṇo gotamo lokapūjito, na sakkā yaṃ vā taṃ vā vatvā santajjetuṃ, ekaṃ saṇhapañhaṃ pucchissāmī’’ti. So ekaṃ pucchāgāthaṃ abhisaṅkharitvā ‘‘sace asukassa nāma vadhaṃ rocemīti vakkhati, ye tuyhaṃ na ruccanti, te māretukāmosi, lokavadhāya uppanno kiṃ tuyhaṃ samaṇabhāvenāti niggahessāmi. Sace na kassaci vadhaṃ rocemīti vakkhati, atha naṃ tvaṃ rāgādīnampi vadhaṃ na icchasi, tasmā samaṇo hutvā āhiṇḍasīti niggaṇhissāmīti imaṃ ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho samaṇo gotamo neva gilituṃ na uggilituṃ sakkhissatī’’ti evaṃ cintetvā imaṃ payhaṃ pucchi. Tassa bhagavā ajjhāsayānurūpaṃ kathesi. So pañhabyākaraṇena ārādhitacitto pabbajjaṃ yāci. Satthā taṃ pabbājesi, so pabbajjākiccaṃ matthakaṃ pāpesi. Tena vuttaṃ ‘‘pabbajitvā arahattaṃ patto’’ti.
อวภูตาติ อโธภูตาฯ อโธภาโว สตฺตานํ อวฑฺฒิ อวมงฺคลนฺติ อาห – ‘‘อวฑฺฒิภูตา อวมงฺคลภูตาเยวา’’ติฯ ปริภูตาติ ปริภวปฺปตฺตาฯ วิชฺชมานานนฺติ ปาฬิยํ อนาทเร สามิวจนนฺติ ตทตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วิชฺชมาเนสู’’ติอาหฯ ปกฎฺฐํ, ปวฑฺฒํ วา ญาณนฺติ ปญฺญาณนฺติ ภควโต ญาณํ วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ
Avabhūtāti adhobhūtā. Adhobhāvo sattānaṃ avaḍḍhi avamaṅgalanti āha – ‘‘avaḍḍhibhūtā avamaṅgalabhūtāyevā’’ti. Paribhūtāti paribhavappattā. Vijjamānānanti pāḷiyaṃ anādare sāmivacananti tadatthaṃ dassento ‘‘vijjamānesū’’tiāha. Pakaṭṭhaṃ, pavaḍḍhaṃ vā ñāṇanti paññāṇanti bhagavato ñāṇaṃ visesetvā vuttaṃ.
๔๗๔. อภิชานิตฺวาติ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ชานิตฺวาฯ โวสิตโวสานาติ กตกรณียตาย สพฺพโส ปริโสสิตนิฎฺฐาฯ ปารมิสงฺขาตนฺติ ปรมุกฺกํสภาวโต ปารมีติ สงฺขาตํฯ เตนาห ‘‘สพฺพธมฺมานํ ปารภูต’’นฺติฯ พฺรหฺมจริยสฺสาติ สาสนพฺรหฺมจริยสฺส อาทิภูตํฯ เตนาห ‘‘อุปฺปาทกา ชนกา’’ติฯ ‘‘อิทเมวํ ภวิสฺสติ อิทเมว’’นฺติ ตกฺกนํ ตโกฺก, โส เอตสฺส อตฺถีติ ตกฺกีฯ ยสฺมา โส ตํ ตํ วตฺถุํ ตถา ตถา ตกฺกิตฺวา คณฺหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตกฺกคาหี’’ติฯ วีมํสนสีโล วีมํสี ปจฺจกฺขภูตมตฺถํ วีมํสนภูตาย ปญฺญาย เกวลํ วีมํสนโตฯ เตนาห ‘‘ปญฺญาจารํ จราเปตฺวา เอวํวาที’’ติฯ ยถาวุตฺตตกฺกีวีมํสีภาเวน ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ เอวเมตนฺติ วตฺวาฯ
474.Abhijānitvāti abhivisiṭṭhena ñāṇena jānitvā. Vositavosānāti katakaraṇīyatāya sabbaso parisositaniṭṭhā. Pāramisaṅkhātanti paramukkaṃsabhāvato pāramīti saṅkhātaṃ. Tenāha ‘‘sabbadhammānaṃ pārabhūta’’nti. Brahmacariyassāti sāsanabrahmacariyassa ādibhūtaṃ. Tenāha ‘‘uppādakā janakā’’ti. ‘‘Idamevaṃ bhavissati idameva’’nti takkanaṃ takko, so etassa atthīti takkī. Yasmā so taṃ taṃ vatthuṃ tathā tathā takkitvā gaṇhati, tasmā vuttaṃ ‘‘takkagāhī’’ti. Vīmaṃsanasīlo vīmaṃsī paccakkhabhūtamatthaṃ vīmaṃsanabhūtāya paññāya kevalaṃ vīmaṃsanato. Tenāha ‘‘paññācāraṃ carāpetvā evaṃvādī’’ti. Yathāvuttatakkīvīmaṃsībhāvena takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ evametanti vatvā.
๔๘๕. อฎฺฐิตปธานวตนฺติ อญฺญตฺถ กิสฺมิญฺจิ ปุคฺคเล อฎฺฐิตปธานวตํ อนญฺญสาธารณํ โภโต โคตมสฺส ปธานํ อโหสิฯ สปฺปุริสปธานวตํ อโหสิ สปฺปุริสปธานวตาธิคตานํ เอตาทิสานํ อรหตํ อจฺฉริยปุคฺคลานํเยว อาเวณิกปธานวตํ อโหสิฯ อชานโนฺตว ปกาเสตีติ อยํ ปุจฺฉิตมตฺถํ สยํ ปจฺจกฺขโต อชานโนฺต เอว เกวลํ สทฺทํ อุปฺปาเทตฺวาว ปกาเสสีติ สญฺญาย อาหฯ อชานนภาเว สเนฺตติ อิเม อธิเทวาติ ปจฺจกฺขโต ชานเน อสติฯ ปณฺฑิเตน มนุเสฺสนาติ โลกโวหารกุสเลน มนุเสฺสน, ตฺวํ ปน โลกโวหาเรปิ อกุสโลฯ วจนตฺถญฺหิ อชานโนฺต ยํ กิญฺจิ วทติฯ อุเจฺจน สมฺมตนฺติ อุจฺจํ สุปากฎํ สพฺพโส ตรุณทารเกหิปิ สมฺมตํฯ ญาตเมตํ ยทิทํ อตฺถิ เทวาติฯ เตนาห ‘‘สุสุทารกาปี’’ติอาทิฯ เทวาติ อุปปตฺติเทวาฯ อธิเทวา นาม สมฺมุติเทเวหิ อธิกเทวาติ กตฺวา, ตทเญฺญ จ มนุเสฺส อธิกภาเว กิเมว วตฺตพฺพํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
485.Aṭṭhitapadhānavatanti aññattha kismiñci puggale aṭṭhitapadhānavataṃ anaññasādhāraṇaṃ bhoto gotamassa padhānaṃ ahosi. Sappurisapadhānavataṃ ahosi sappurisapadhānavatādhigatānaṃ etādisānaṃ arahataṃ acchariyapuggalānaṃyeva āveṇikapadhānavataṃ ahosi. Ajānantova pakāsetīti ayaṃ pucchitamatthaṃ sayaṃ paccakkhato ajānanto eva kevalaṃ saddaṃ uppādetvāva pakāsesīti saññāya āha. Ajānanabhāve santeti ime adhidevāti paccakkhato jānane asati. Paṇḍitena manussenāti lokavohārakusalena manussena, tvaṃ pana lokavohārepi akusalo. Vacanatthañhi ajānanto yaṃ kiñci vadati. Uccena sammatanti uccaṃ supākaṭaṃ sabbaso taruṇadārakehipi sammataṃ. Ñātametaṃ yadidaṃ atthi devāti. Tenāha ‘‘susudārakāpī’’tiādi. Devāti upapattidevā. Adhidevā nāma sammutidevehi adhikadevāti katvā, tadaññe ca manusse adhikabhāve kimeva vattabbaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
สงฺคารวสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Saṅgāravasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
นิฎฺฐิตา จ พฺราหฺมณวคฺควณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca brāhmaṇavaggavaṇṇanā.
มชฺฌิมปณฺณาสฎีกา สมตฺตาฯ
Majjhimapaṇṇāsaṭīkā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. สงฺคารวสุตฺตํ • 10. Saṅgāravasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. สงฺคารวสุตฺตวณฺณนา • 10. Saṅgāravasuttavaṇṇanā