Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เทฺวมาติกาปาฬิ • Dvemātikāpāḷi |
สงฺฆาทิเสสกโณฺฑ
Saṅghādisesakaṇḍo
อิเม โข ปนาติ อิทานิ วตฺตพฺพานํ อภิมุขีกรณํฯ อายสฺมโนฺตติ สนฺนิปติตานํ ปิยวจเนน อาลปนํฯ เตรสาติ คณนปริเจฺฉโทฯ สงฺฆาทิเสสาติ เอวํนามกาฯ ธมฺมาติ อาปตฺติโยฯ อุเทฺทสํ อาคจฺฉนฺตีติ สรูเปน อุทฺทิสิตพฺพตํ อาคจฺฉนฺติ, น นิทาเน วิย ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติ สาธารณวจนมเตฺตนฯ
Imekho panāti idāni vattabbānaṃ abhimukhīkaraṇaṃ. Āyasmantoti sannipatitānaṃ piyavacanena ālapanaṃ. Terasāti gaṇanaparicchedo. Saṅghādisesāti evaṃnāmakā. Dhammāti āpattiyo. Uddesaṃ āgacchantīti sarūpena uddisitabbataṃ āgacchanti, na nidāne viya ‘‘yassa siyā āpattī’’ti sādhāraṇavacanamattena.
๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā
สํวิชฺชติ เจตนา อสฺสาติ สเญฺจตนา, สเญฺจตนาว สเญฺจตนิกา, สเญฺจตนา วา อสฺส อตฺถีติ สเญฺจตนิกาฯ สุกฺกวิสฺสฎฺฐีติ สุกฺกสฺส วิสฺสฎฺฐิ, ราคูปตฺถมฺภาทีสุ เยน เกนจิ องฺคชาเต กมฺมญฺญตํ ปเตฺต อาโรคฺยาทีสุ ยํกิญฺจิ อปทิสิตฺวา อชฺฌตฺตรูปาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ โมจนสฺสาทเจตนาย นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตสฺส อาสยธาตุนานตฺตโต นีลาทิวเสน (ปารา. ๒๓๙-๒๔๐) ทสวิเธสุ สุเกฺกสุ ยสฺส กสฺสจิ สุกฺกสฺส ฐานา จาวนาติ อโตฺถฯ อญฺญตฺร สุปินนฺตาติ ยา สุปิเน สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ โหติ, ตํ ฐเปตฺวาฯ สงฺฆาทิเสโสติ ยา อญฺญตฺร สุปินนฺตา สเญฺจตนิกา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ, อยํ สงฺฆาทิเสโส นาม อาปตฺตินิกาโยติ อโตฺถฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ สโงฺฆ อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิตโพฺพ อสฺสาติ สงฺฆาทิเสโสฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – อิมํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาตุกามสฺส ยํ ตํ อาปตฺติวุฎฺฐานํ, ตสฺส อาทิมฺหิ เจว ปริวาสทานตฺถาย, อาทิโต เสเส มเชฺฌ มานตฺตทานตฺถาย มูลาย ปฎิกสฺสเนน วา สห มานตฺตทานตฺถาย, อวสาเน อพฺภานตฺถาย จ สโงฺฆ อิจฺฉิตโพฺพ, น เหตฺถ เอกมฺปิ กมฺมํ วินา สเงฺฆน สกฺกา กาตุํฯ อิติ สโงฺฆ อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิตโพฺพ อสฺสาติ สงฺฆาทิเสโสติฯ
Saṃvijjati cetanā assāti sañcetanā, sañcetanāva sañcetanikā, sañcetanā vā assa atthīti sañcetanikā. Sukkavissaṭṭhīti sukkassa vissaṭṭhi, rāgūpatthambhādīsu yena kenaci aṅgajāte kammaññataṃ patte ārogyādīsu yaṃkiñci apadisitvā ajjhattarūpādīsu yattha katthaci mocanassādacetanāya nimitte upakkamantassa āsayadhātunānattato nīlādivasena (pārā. 239-240) dasavidhesu sukkesu yassa kassaci sukkassa ṭhānā cāvanāti attho. Aññatra supinantāti yā supine sukkavissaṭṭhi hoti, taṃ ṭhapetvā. Saṅghādisesoti yā aññatra supinantā sañcetanikā sukkavissaṭṭhi, ayaṃ saṅghādiseso nāma āpattinikāyoti attho. Vacanattho panettha saṅgho ādimhi ceva sese ca icchitabbo assāti saṅghādiseso. Kiṃ vuttaṃ hoti – imaṃ āpattiṃ āpajjitvā vuṭṭhātukāmassa yaṃ taṃ āpattivuṭṭhānaṃ, tassa ādimhi ceva parivāsadānatthāya, ādito sese majjhe mānattadānatthāya mūlāya paṭikassanena vā saha mānattadānatthāya, avasāne abbhānatthāya ca saṅgho icchitabbo, na hettha ekampi kammaṃ vinā saṅghena sakkā kātuṃ. Iti saṅgho ādimhi ceva sese ca icchitabbo assāti saṅghādisesoti.
สาวตฺถิยํ เสยฺยสกํ อารพฺภ อุปกฺกมิตฺวา อสุจิโมจนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, อสาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํฯ สเจ ปน ปเรน อตฺตโน องฺคชาเต อุปกฺกมํ กาเรตฺวา โมจาเปติ, อาปชฺชติเยวฯ เจเตตฺวา อนฺตมโส อากาเส กฎิกมฺปเนนปิ นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตสฺส สเจ น มุจฺจติ, ถุลฺลจฺจยํฯ สเจ ปน อนฺตมโส ยํ เอกา ขุทฺทกมกฺขิกา ปิเวยฺย, ตตฺตกมฺปิ ฐานโต มุจฺจติ, ทกโสตํ อโนติเณฺณปิ สงฺฆาทิเสโสฯ ฐานโต ปน จุตํ อวสฺสเมว ทกโสตํ โอตรติ, ตสฺมา ‘‘ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺต พหิ นิกฺขเนฺต วา อนิกฺขเนฺต วา สงฺฆาทิเสโส’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) อฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ อนุปกฺกมนฺตสฺส จ, อโมจนาธิปฺปายสฺส จ, สุปินํ ปสฺสนฺตสฺส จ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ มุเตฺตปิ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, เจตนา, อุปกฺกโม , มุจฺจนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมปาราชิเก วุตฺตสทิสาเนวาติฯ
Sāvatthiyaṃ seyyasakaṃ ārabbha upakkamitvā asucimocanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘aññatra supinantā’’ti ayamettha anupaññatti, asādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ. Sace pana parena attano aṅgajāte upakkamaṃ kāretvā mocāpeti, āpajjatiyeva. Cetetvā antamaso ākāse kaṭikampanenapi nimitte upakkamantassa sace na muccati, thullaccayaṃ. Sace pana antamaso yaṃ ekā khuddakamakkhikā piveyya, tattakampi ṭhānato muccati, dakasotaṃ anotiṇṇepi saṅghādiseso. Ṭhānato pana cutaṃ avassameva dakasotaṃ otarati, tasmā ‘‘dakasotaṃ otiṇṇamatte bahi nikkhante vā anikkhante vā saṅghādiseso’’ti (pārā. aṭṭha. 2.237) aṭṭhakathāsu vuttaṃ. Anupakkamantassa ca, amocanādhippāyassa ca, supinaṃ passantassa ca, ummattakādīnañca muttepi anāpatti. Sīlavipatti, cetanā, upakkamo , muccananti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamapārājike vuttasadisānevāti.
สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. กายสํสคฺคสิกฺขาปทวณฺณนา
2. Kāyasaṃsaggasikkhāpadavaṇṇanā
ทุติเย โอติโณฺณติ ยกฺขาทีหิ วิย สตฺตา อโนฺต อุปฺปชฺชเนฺตน ราเคน วา โอติโณฺณ, กูปาทีนิ วิย สตฺตา อสมเปกฺขิตฺวา รชฺชนีเย ฐาเน รชฺชโนฺต สยํ วา ราคํ โอติโณฺณ, กายสํสคฺคราคสมงฺคิเสฺสตํ อธิวจนํฯ วิปริณเตน จิเตฺตนาติ ปริสุทฺธภวงฺคสนฺตติสงฺขาตํ ปกติํ วิชหิตฺวา อญฺญถา ปวเตฺตน, วิรูปํ วา ปริณเตน ยถา ปริวตฺตมานํ วิรูปํ โหติ, เอวํ วุตฺตราควเสน ปริวเตฺตตฺวา ฐิเตน จิเตฺตนาติ อโตฺถฯ มาตุคาเมน สทฺธินฺติ ตทหุชาตายปิ ชีวมานกมนุสฺสิตฺถิยา สทฺธิํฯ กายสํสคฺคํ สมาปเชฺชยฺยาติ หตฺถคฺคหณาทิกอายสมฺปโยคํ กายมิสฺสีภาวํ สมาปเชฺชยฺยฯ หตฺถคฺคาหํ วาติอาทิ ปนสฺส วิตฺถาเรน อตฺถทสฺสนํฯ ตตฺถ หโตฺถ นาม กปฺปรโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคนขาฯ เวณี นาม วินนฺธิตฺวา วา อวินนฺธิตฺวา วา สุทฺธเกเสหิ วา นีลาทิวณฺณสุตฺตกุสุมกหาปณมาลาสุวณฺณจีรกมุตฺตาวฬิอาทีสุ อญฺญตรมิเสฺสหิ วา กตเกสกลาปเสฺสตํ อธิวจนํฯ เวณิคฺคหเณน เจตฺถ เกสาปิ คหิตาเยว สทฺธิํ โลเมหิฯ อิติ วุตฺตลกฺขณสฺส หตฺถสฺส คหณํ หตฺถคฺคาโห, เวณิยา คหณํ เวณิคฺคาโหฯ อวเสสสฺส สรีรสฺส ปรามสนํ อญฺญตรสฺส วา อญฺญตรสฺส วา องฺคสฺส ปรามสนํ นามฯ โย ตํ หตฺถคฺคาหํ วา เวณิคฺคาหํ วา อญฺญตรสฺส วา อญฺญตรสฺส วา องฺคสฺส ปรามสนํ สมาปเชฺชยฺย, ตสฺส สงฺฆาทิเสโส นาม อาปตฺตินิกาโย โหตีติฯ
Dutiye otiṇṇoti yakkhādīhi viya sattā anto uppajjantena rāgena vā otiṇṇo, kūpādīni viya sattā asamapekkhitvā rajjanīye ṭhāne rajjanto sayaṃ vā rāgaṃ otiṇṇo, kāyasaṃsaggarāgasamaṅgissetaṃ adhivacanaṃ. Vipariṇatena cittenāti parisuddhabhavaṅgasantatisaṅkhātaṃ pakatiṃ vijahitvā aññathā pavattena, virūpaṃ vā pariṇatena yathā parivattamānaṃ virūpaṃ hoti, evaṃ vuttarāgavasena parivattetvā ṭhitena cittenāti attho. Mātugāmena saddhinti tadahujātāyapi jīvamānakamanussitthiyā saddhiṃ. Kāyasaṃsaggaṃ samāpajjeyyāti hatthaggahaṇādikaāyasampayogaṃ kāyamissībhāvaṃ samāpajjeyya. Hatthaggāhaṃ vātiādi panassa vitthārena atthadassanaṃ. Tattha hattho nāma kapparato paṭṭhāya yāva agganakhā. Veṇī nāma vinandhitvā vā avinandhitvā vā suddhakesehi vā nīlādivaṇṇasuttakusumakahāpaṇamālāsuvaṇṇacīrakamuttāvaḷiādīsu aññataramissehi vā katakesakalāpassetaṃ adhivacanaṃ. Veṇiggahaṇena cettha kesāpi gahitāyeva saddhiṃ lomehi. Iti vuttalakkhaṇassa hatthassa gahaṇaṃ hatthaggāho, veṇiyā gahaṇaṃ veṇiggāho. Avasesassa sarīrassa parāmasanaṃ aññatarassa vā aññatarassa vā aṅgassa parāmasanaṃ nāma. Yo taṃ hatthaggāhaṃ vā veṇiggāhaṃ vā aññatarassa vā aññatarassa vā aṅgassa parāmasanaṃ samāpajjeyya, tassa saṅghādiseso nāma āpattinikāyo hotīti.
สาวตฺถิยํ อุทายิเตฺถรํ อารพฺภ กายสํสคฺคสมาปชฺชนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อสาธารณปญฺญตฺติ , อนาณตฺติกํ, อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน อนฺตมโส โลเมน โลมํ ผุสนฺตสฺสาปิ, อิตฺถิยา วา ผุสิยมานสฺส เสวนาธิปฺปาเยน วายมิตฺวา ผสฺสํ ปฎิชานนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสฯ เอเกน ปน หเตฺถน คเหตฺวา ทุติเยน หเตฺถน ทิวสมฺปิ ตตฺถ ตตฺถ ผุสนฺตสฺส เอกาว อาปตฺติ, อคฺคเหตฺวา ผุสโนฺต ปน สเจ สีสโต ยาว ปาทา, ตาว กายโต หตฺถํ อโมเจโนฺตเยว ผุสติ, เอกาว อาปตฺติ, ปญฺจนฺนํ องฺคุลีนํ เอกโต คหเณปิ เอกาเยวฯ สเจ ปน นานิตฺถีนํ ปญฺจงฺคุลิโย เอกโต คณฺหาติ, ปญฺจ อาปตฺติโยฯ อิตฺถิยา เวมติกสฺส, ปณฺฑกปุริสติรจฺฉานคตสญฺญิสฺส จ ถุลฺลจฺจยํ, ตถา กาเยน กายปฺปฎิพเทฺธน, อมนุสฺสิตฺถิปณฺฑเกหิ จ สทฺธิํ กายสํสเคฺคปิฯ มนุสฺสิตฺถิยา ปน กายปฺปฎิพเทฺธน กายปฺปฎิพทฺธาทีสุ, ปุริสกายผุสนาทีสุ จ ทุกฺกฎํฯ อิตฺถิยา ผุสิยมานสฺส เสวนาธิปฺปายสฺสาปิ กาเยน อวายมิตฺวา ผสฺสํ ปฎิชานนฺตสฺส, โมกฺขาธิปฺปาเยน อิตฺถิํ ผุสนฺตสฺส, อสญฺจิจฺจ, อสฺสติยา, อชานนฺตสฺส, อสาทิยนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, มนุสฺสิตฺถี, อิตฺถิสญฺญิตา, กายสํสคฺคราโค, เตน ราเคน วายาโม, หตฺถคฺคาหาทิสมาปชฺชนนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมปาราชิเก วุตฺตสทิสาเนวาติฯ
Sāvatthiyaṃ udāyittheraṃ ārabbha kāyasaṃsaggasamāpajjanavatthusmiṃ paññattaṃ, asādhāraṇapaññatti , anāṇattikaṃ, itthiyā itthisaññino antamaso lomena lomaṃ phusantassāpi, itthiyā vā phusiyamānassa sevanādhippāyena vāyamitvā phassaṃ paṭijānantassa saṅghādiseso. Ekena pana hatthena gahetvā dutiyena hatthena divasampi tattha tattha phusantassa ekāva āpatti, aggahetvā phusanto pana sace sīsato yāva pādā, tāva kāyato hatthaṃ amocentoyeva phusati, ekāva āpatti, pañcannaṃ aṅgulīnaṃ ekato gahaṇepi ekāyeva. Sace pana nānitthīnaṃ pañcaṅguliyo ekato gaṇhāti, pañca āpattiyo. Itthiyā vematikassa, paṇḍakapurisatiracchānagatasaññissa ca thullaccayaṃ, tathā kāyena kāyappaṭibaddhena, amanussitthipaṇḍakehi ca saddhiṃ kāyasaṃsaggepi. Manussitthiyā pana kāyappaṭibaddhena kāyappaṭibaddhādīsu, purisakāyaphusanādīsu ca dukkaṭaṃ. Itthiyā phusiyamānassa sevanādhippāyassāpi kāyena avāyamitvā phassaṃ paṭijānantassa, mokkhādhippāyena itthiṃ phusantassa, asañcicca, assatiyā, ajānantassa, asādiyantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, manussitthī, itthisaññitā, kāyasaṃsaggarāgo, tena rāgena vāyāmo, hatthaggāhādisamāpajjananti imānettha pañca aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamapārājike vuttasadisānevāti.
กายสํสคฺคสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kāyasaṃsaggasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๓. ทุฎฺฐุลฺลวาจาสิกฺขาปทวณฺณนา
3. Duṭṭhullavācāsikkhāpadavaṇṇanā
ตติเย โอติณฺณตา จ วิปริณตจิตฺตตา จ ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาทราควเสน เวทิตพฺพาฯ มาตุคามนฺติ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลสํลกฺขณสมตฺถํ มนุสฺสิตฺถิํฯ ทุฎฺฐุลฺลาหิวาจาหีติ วจฺจมคฺคปสฺสาวมเคฺคเมถุนธมฺมปฺปฎิสํยุตฺตาหิ วาจาหิฯ โอภาเสยฺยาติ อวภาเสยฺย, วณฺณาวณฺณยาจนอายาจนปุจฺฉนปฎิปุจฺฉนอาจิกฺขณานุสาสนอโกฺกสนวเสน นานปฺปการํ อสทฺธมฺมวจนํ วเทยฺยฯ ยถา ตนฺติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํ, ยถา ยุวา ยุวตินฺติ อโตฺถฯ เอเตน โอภาสเน นิราสงฺกภาวํ ทเสฺสติฯ เมถุนุปสํหิตาหีติอิทํ ทุฎฺฐุลฺลวาจาย สิขาปตฺตลกฺขณทสฺสนํฯ สงฺฆาทิเสโสติ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วเสน วณฺณาวเณฺณหิ วา เมถุนยาจนาทีหิ วา ‘‘สิขรณีสิ, สํภินฺนาสิ, อุภโตพฺยญฺชนกาสี’’ติ อิเมสุ ตีสุ อญฺญตเรน อโกฺกสวจเนน วา มาตุคามํ โอภาสนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโส นาม อาปตฺตินิกาโย โหตีติฯ
Tatiye otiṇṇatā ca vipariṇatacittatā ca duṭṭhullavācassādarāgavasena veditabbā. Mātugāmanti duṭṭhullāduṭṭhullasaṃlakkhaṇasamatthaṃ manussitthiṃ. Duṭṭhullāhivācāhīti vaccamaggapassāvamaggemethunadhammappaṭisaṃyuttāhi vācāhi. Obhāseyyāti avabhāseyya, vaṇṇāvaṇṇayācanaāyācanapucchanapaṭipucchanaācikkhaṇānusāsanaakkosanavasena nānappakāraṃ asaddhammavacanaṃ vadeyya. Yathā tanti ettha nti nipātamattaṃ, yathā yuvā yuvatinti attho. Etena obhāsane nirāsaṅkabhāvaṃ dasseti. Methunupasaṃhitāhītiidaṃ duṭṭhullavācāya sikhāpattalakkhaṇadassanaṃ. Saṅghādisesoti dvinnaṃ maggānaṃ vasena vaṇṇāvaṇṇehi vā methunayācanādīhi vā ‘‘sikharaṇīsi, saṃbhinnāsi, ubhatobyañjanakāsī’’ti imesu tīsu aññatarena akkosavacanena vā mātugāmaṃ obhāsantassa saṅghādiseso nāma āpattinikāyo hotīti.
สาวตฺถิยํ อุทายิเตฺถรํ อารพฺภ ทุฎฺฐุลฺลวาจาหิ โอภาสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อสาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน อนฺตมโส หตฺถมุทฺทายปิ วุตฺตนเยน โอภาสนฺตสฺส สเจ สา ตมตฺถํ ตสฺมิํเยว ขเณ ชานาติ, สงฺฆาทิเสโสฯ ปณฺฑเก ถุลฺลจฺจยํฯ ตสฺมิํเยว อิตฺถิสญฺญิโน ทุกฺกฎํฯ ปุนปฺปุนํ โอภาสนฺตสฺส, สมฺพหุลา จ อิตฺถิโย เอกวาจาย โอภาสนฺตสฺส วาจาคณนาย เจว อิตฺถิคณนาย จ อาปตฺติโยฯ สเจ ยํ อิตฺถิํ โอภาสติ, สา น ชานาติ, ถุลฺลจฺจยํฯ อธกฺขกํ อุพฺภชาณุมณฺฑลํ อาทิสฺส วณฺณาทิภณเนปิ ถุลฺลจฺจยํฯ ปณฺฑเก ทุกฺกฎํ, อุพฺภกฺขกํ อโธชาณุมณฺฑลํ กายปฺปฎิพทฺธญฺจ อาทิสฺส วณฺณาทิภณเน สพฺพตฺถ ทุกฺกฎํฯ อตฺถธมฺมอนุสาสนิปุเรกฺขารานํ อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, มนุสฺสิตฺถี, อิตฺถิสญฺญิตา, ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาทราโค, เตน ราเคน โอภาสนํ, ตงฺขณวิชานนนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ อทินฺนาทานสมุฎฺฐานํ, กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทฺวิเวทนนฺติฯ
Sāvatthiyaṃ udāyittheraṃ ārabbha duṭṭhullavācāhi obhāsanavatthusmiṃ paññattaṃ, asādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, itthiyā itthisaññino antamaso hatthamuddāyapi vuttanayena obhāsantassa sace sā tamatthaṃ tasmiṃyeva khaṇe jānāti, saṅghādiseso. Paṇḍake thullaccayaṃ. Tasmiṃyeva itthisaññino dukkaṭaṃ. Punappunaṃ obhāsantassa, sambahulā ca itthiyo ekavācāya obhāsantassa vācāgaṇanāya ceva itthigaṇanāya ca āpattiyo. Sace yaṃ itthiṃ obhāsati, sā na jānāti, thullaccayaṃ. Adhakkhakaṃ ubbhajāṇumaṇḍalaṃ ādissa vaṇṇādibhaṇanepi thullaccayaṃ. Paṇḍake dukkaṭaṃ, ubbhakkhakaṃ adhojāṇumaṇḍalaṃ kāyappaṭibaddhañca ādissa vaṇṇādibhaṇane sabbattha dukkaṭaṃ. Atthadhammaanusāsanipurekkhārānaṃ ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, manussitthī, itthisaññitā, duṭṭhullavācassādarāgo, tena rāgena obhāsanaṃ, taṅkhaṇavijānananti imānettha pañca aṅgāni. Adinnādānasamuṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dvivedananti.
ทุฎฺฐุลฺลวาจาสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Duṭṭhullavācāsikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๔. อตฺตกามสิกฺขาปทวณฺณนา
4. Attakāmasikkhāpadavaṇṇanā
จตุเตฺถ โอติณฺณตา จ วิปริณตจิตฺตตา จ อตฺตกามปาริจริยาวเสน เวทิตพฺพาฯ มาตุคามสฺส สนฺติเกติ ทุฎฺฐุโลฺลภาสเน วุตฺตปฺปการาย อิตฺถิยา สมีเปฯ อตฺตกามปาริจริยายาติ เมถุนธมฺมสงฺขาเตน กาเมน ปาริจริยา กามปาริจริยา, อตฺตโน อตฺถาย กามปาริจริยา อตฺตกามปาริจริยา, อตฺตนา วา กามิตา อิจฺฉิตาติ อตฺตกามา, สยํ เมถุนราควเสน ปตฺถิตาติ อโตฺถ, อตฺตกามา จ สา ปาริจริยา จาติ อตฺตกามปาริจริยา, ตสฺสา อตฺตกามปาริจริยายฯ วณฺณํ ภาเสยฺยาติ คุณํ อานิสํสํ ปกาเสยฺยฯ เอตทคฺคนฺติอาทิ ตสฺสา อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณภาสนาการนิทสฺสนํฯ ตตฺรายํ ปทสมฺพนฺธวเสเนว สเงฺขปโตฺถ – ยา มาทิสํ ปาณาติปาตาทีหิ วิรหิตตฺตา สีลวนฺตํ เมถุนธมฺมา วิรหิตตฺตา พฺรหฺมจาริํ ตทุภเยนาปิ กลฺยาณธมฺมํ เอเตน ธเมฺมน ปริจเรยฺย อภิรเมยฺย, ตสฺสา เอวํ มาทิสํ ปริจรนฺติยา ยา อยํ ปาริจริยา นาม, เอตทคฺคํ ปาริจริยานนฺติฯ เมถุนุปสํหิเตน สงฺฆาทิเสโสติ เอวํ อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภาสโนฺต จ ‘‘อรหสิ ตฺวํ มยฺหํ เมถุนธมฺมํ ทาตุ’’นฺติอาทินา เมถุนปฺปฎิสํยุเตฺตเนว วจเนน โย ภาเสยฺย, ตสฺส สงฺฆาทิเสโสฯ
Catutthe otiṇṇatā ca vipariṇatacittatā ca attakāmapāricariyāvasena veditabbā. Mātugāmassa santiketi duṭṭhullobhāsane vuttappakārāya itthiyā samīpe. Attakāmapāricariyāyāti methunadhammasaṅkhātena kāmena pāricariyā kāmapāricariyā, attano atthāya kāmapāricariyā attakāmapāricariyā, attanā vā kāmitā icchitāti attakāmā, sayaṃ methunarāgavasena patthitāti attho, attakāmā ca sā pāricariyā cāti attakāmapāricariyā, tassā attakāmapāricariyāya. Vaṇṇaṃ bhāseyyāti guṇaṃ ānisaṃsaṃ pakāseyya. Etadaggantiādi tassā attakāmapāricariyāya vaṇṇabhāsanākāranidassanaṃ. Tatrāyaṃ padasambandhavaseneva saṅkhepattho – yā mādisaṃ pāṇātipātādīhi virahitattā sīlavantaṃ methunadhammā virahitattā brahmacāriṃ tadubhayenāpi kalyāṇadhammaṃ etena dhammena paricareyya abhirameyya, tassā evaṃ mādisaṃ paricarantiyā yā ayaṃ pāricariyā nāma, etadaggaṃ pāricariyānanti. Methunupasaṃhitena saṅghādisesoti evaṃ attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhāsanto ca ‘‘arahasi tvaṃ mayhaṃ methunadhammaṃ dātu’’ntiādinā methunappaṭisaṃyutteneva vacanena yo bhāseyya, tassa saṅghādiseso.
สาวตฺถิยํ อุทายิเตฺถรํ อารพฺภ อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณภาสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อสาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน อนฺตมโส หตฺถมุทฺทายปิ วุตฺตนเยเนว อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภาสนฺตสฺส สเจ สา ตมตฺถํ ตสฺมิํเยว ขเณ ชานาติ, สงฺฆาทิเสโส ฯ โน เจ ชานาติ, ถุลฺลจฺจยํฯ ปณฺฑเก ปณฺฑกสญฺญิโนปิ ถุลฺลจฺจยํฯ ตสฺมิํเยว อิตฺถิสญฺญิโน ทุกฺกฎํฯ จีวราทีหิ วตฺถุกาเมหิ ปาริจริยาย วณฺณํ ภาสนฺตสฺส อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, มนุสฺสิตฺถี, อิตฺถิสญฺญิตา, อตฺตกามปาริจริยาย ราโค, เตน ราเคน วณฺณภณนํ, ตงฺขณวิชานนนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ทุฎฺฐุโลฺลภาสเน วุตฺตสทิสาเนวาติฯ
Sāvatthiyaṃ udāyittheraṃ ārabbha attakāmapāricariyāya vaṇṇabhāsanavatthusmiṃ paññattaṃ, asādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, itthiyā itthisaññino antamaso hatthamuddāyapi vuttanayeneva attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhāsantassa sace sā tamatthaṃ tasmiṃyeva khaṇe jānāti, saṅghādiseso . No ce jānāti, thullaccayaṃ. Paṇḍake paṇḍakasaññinopi thullaccayaṃ. Tasmiṃyeva itthisaññino dukkaṭaṃ. Cīvarādīhi vatthukāmehi pāricariyāya vaṇṇaṃ bhāsantassa ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, manussitthī, itthisaññitā, attakāmapāricariyāya rāgo, tena rāgena vaṇṇabhaṇanaṃ, taṅkhaṇavijānananti imānettha pañca aṅgāni. Samuṭṭhānādīni duṭṭhullobhāsane vuttasadisānevāti.
อตฺตกามสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Attakāmasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๕. สญฺจริตฺตสิกฺขาปทวณฺณนา
5. Sañcarittasikkhāpadavaṇṇanā
ปญฺจเม สญฺจริตฺตนฺติ อิตฺถิปุริสานํ อนฺตเร สํจรณภาวํฯ สมาปเชฺชยฺยาติ สมฺมา ปฎิคฺคณฺหนวีมํสนปจฺจาหรณานิ กโรโนฺต อาปเชฺชยฺยฯ อิตฺถิยา วาติอาทิ สมาปชฺชนาการทสฺสนํฯ ตตฺถ อิตฺถิยา วา ปุริสมตินฺติ ปุริเสน วา ตสฺส มาตาปิตาทีหิ วา เปสิโต ปุริสสฺส มติํ อธิปฺปายํ อิตฺถิยา อาโรเจยฺยาติ อโตฺถฯ ปุริสสฺส วา อิตฺถิมตินฺติ อิตฺถิยา วา ตสฺสา มาตาปิตาทีหิ วา เปสิโต อิตฺถิยา มติํ อธิปฺปายํ ปุริสสฺส อาโรเจยฺยาติ อโตฺถฯ ชายตฺตเน วา ชารตฺตเน วาติ ชายภาเว วา ชารภาเว วาฯ ปุริสสฺส หิ มติํ อิตฺถิยา อาโรเจโนฺต ชายตฺตเน อาโรเจติ, อิตฺถิยา มติํ ปุริสสฺส อาโรเจโนฺต ชารตฺตเน อาโรเจติฯ อปิจ ปุริสเสฺสว มติํ อิตฺถิยา อาโรเจโนฺต ชายตฺตเน วา อาโรเจติ นิพทฺธภริยภาเว, ชารตฺตเน วา มิจฺฉาจารภาเว, เตเนวสฺส ปทภาชเน (ปารา. ๓๐๒) ‘‘ชายตฺตเน วาติ ชายา ภวิสฺสสิ, ชารตฺตเน วาติ ชารี ภวิสฺสสี’’ติ วุตฺตํฯ เอเตเนว อุปาเยน อิตฺถิยา มติํ ปุริสสฺส อาโรจเนปิ ‘‘ปติ ภวิสฺสสิ, ชาโร ภวิสฺสสี’’ติ วตฺตพฺพตา เวทิตพฺพาฯ อนฺตมโส ตงฺขณิกายปีติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน ยา อยํ ตงฺขเณ มุหุตฺตมเตฺต สํวสิตพฺพโต ‘‘ตงฺขณิกา’’ติ วุจฺจติ, มุหุตฺติกาติ อโตฺถฯ ตสฺสาปิ ‘‘มุหุตฺติกา ภวิสฺสสี’’ติ เอวํ ปุริสสฺส มติํ อาโรเจนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโส, เอเตเนว อุปาเยน ‘‘มุหุตฺติโก ภวิสฺสสี’’ติ เอวํ ปุริสสฺส อิตฺถิมติํ อาโรเจโนฺตปิ สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Pañcame sañcarittanti itthipurisānaṃ antare saṃcaraṇabhāvaṃ. Samāpajjeyyāti sammā paṭiggaṇhanavīmaṃsanapaccāharaṇāni karonto āpajjeyya. Itthiyā vātiādi samāpajjanākāradassanaṃ. Tattha itthiyā vā purisamatinti purisena vā tassa mātāpitādīhi vā pesito purisassa matiṃ adhippāyaṃ itthiyā āroceyyāti attho. Purisassa vā itthimatinti itthiyā vā tassā mātāpitādīhi vā pesito itthiyā matiṃ adhippāyaṃ purisassa āroceyyāti attho. Jāyattane vā jārattane vāti jāyabhāve vā jārabhāve vā. Purisassa hi matiṃ itthiyā ārocento jāyattane āroceti, itthiyā matiṃ purisassa ārocento jārattane āroceti. Apica purisasseva matiṃ itthiyā ārocento jāyattane vā āroceti nibaddhabhariyabhāve, jārattane vā micchācārabhāve, tenevassa padabhājane (pārā. 302) ‘‘jāyattane vāti jāyā bhavissasi, jārattane vāti jārī bhavissasī’’ti vuttaṃ. Eteneva upāyena itthiyā matiṃ purisassa ārocanepi ‘‘pati bhavissasi, jāro bhavissasī’’ti vattabbatā veditabbā. Antamaso taṅkhaṇikāyapīti sabbantimena paricchedena yā ayaṃ taṅkhaṇe muhuttamatte saṃvasitabbato ‘‘taṅkhaṇikā’’ti vuccati, muhuttikāti attho. Tassāpi ‘‘muhuttikā bhavissasī’’ti evaṃ purisassa matiṃ ārocentassa saṅghādiseso, eteneva upāyena ‘‘muhuttiko bhavissasī’’ti evaṃ purisassa itthimatiṃ ārocentopi saṅghādisesaṃ āpajjatīti veditabbo.
สาวตฺถิยํ อุทายิเตฺถรํ อารพฺภ สญฺจริตฺตสมาปชฺชนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อนฺตมโส ตงฺขณิกายปี’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ, วีมํสติ, อเนฺตวาสิํ ปจฺจาหราเปตี’’ติอิมินา (ปารา. ๓๓๘) นเยน สาณตฺติกํ, อญฺญตฺร นาลํวจนียาย ยาย กายจิ อิตฺถิยา อนฺตมโส มาตุยาปิ ปุริสมติํ อาโรเจโนฺต ‘‘โหหิ กิร ภริยา ธนกฺกีตา’’ติ วตฺตุกาโม สเจปิ ฉนฺทวาสินีอาทีสุ อญฺญตรากาเรน อาโรเจตฺวา ตาย ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิเตปิ อสมฺปฎิจฺฉิเตปิ ปุน อาคนฺตฺวา เยน ปหิโต, ตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจติ, สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชติฯ สา ปน ตสฺส ภริยา โหตุ วา, มา วา, อการณเมตํฯ สเจปิ ยสฺสา สนฺติกํ เปสิโต, ตํ อทิสฺวา อญฺญตรสฺส อวสฺสาโรจนกสฺส ‘‘อาโรเจหี’’ติ วตฺวา ปจฺจาหรติ, อาปชฺชติเยวฯ ‘‘มาตุรกฺขิตํ พฺรูหี’’ติ เปสิตสฺส ปน คนฺตฺวา อญฺญํ ปิตุรกฺขิตาทีสุ อญฺญตรํ วทนฺตสฺส วิสเงฺกตํ โหติ, ปุริสสฺส วา อิตฺถิยา วา วจนํ ‘‘สาธู’’ติ กาเยน วา วาจาย วา อุภเยน วา ปฎิคฺคณฺหิตฺวา ตสฺสา อิตฺถิยา วา ปุริสสฺส วา อาโรเจตฺวา วา อาโรจาเปตฺวา วา ปุน เยน เปสิโต, ตสฺส ตํ ปวตฺติํ สยํ อาโรเจนฺตสฺส วา อเญฺญน อาโรจาเปนฺตสฺส วา สงฺฆาทิเสโส ฯ เอตฺตาวตา หิ ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ, วีมํสติ, ปจฺจาหรตี’’ติอิทํ องฺคตฺตยํ สมฺปาทิตเมว โหติ, อิโต ปน เยหิ เกหิจิ ทฺวีหิ อเงฺคหิ, ปณฺฑเก จ องฺคตฺตเยนาปิ ถุลฺลจฺจยํฯ เอเกน ทุกฺกฎํฯ สงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา คิลานสฺส วา กิเจฺจน คจฺฉนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ
Sāvatthiyaṃ udāyittheraṃ ārabbha sañcarittasamāpajjanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘antamaso taṅkhaṇikāyapī’’ti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, ‘‘paṭiggaṇhāti, vīmaṃsati, antevāsiṃ paccāharāpetī’’tiiminā (pārā. 338) nayena sāṇattikaṃ, aññatra nālaṃvacanīyāya yāya kāyaci itthiyā antamaso mātuyāpi purisamatiṃ ārocento ‘‘hohi kira bhariyā dhanakkītā’’ti vattukāmo sacepi chandavāsinīādīsu aññatarākārena ārocetvā tāya ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitepi asampaṭicchitepi puna āgantvā yena pahito, tassa taṃ pavattiṃ āroceti, saṅghādisesaṃ āpajjati. Sā pana tassa bhariyā hotu vā, mā vā, akāraṇametaṃ. Sacepi yassā santikaṃ pesito, taṃ adisvā aññatarassa avassārocanakassa ‘‘ārocehī’’ti vatvā paccāharati, āpajjatiyeva. ‘‘Māturakkhitaṃ brūhī’’ti pesitassa pana gantvā aññaṃ piturakkhitādīsu aññataraṃ vadantassa visaṅketaṃ hoti, purisassa vā itthiyā vā vacanaṃ ‘‘sādhū’’ti kāyena vā vācāya vā ubhayena vā paṭiggaṇhitvā tassā itthiyā vā purisassa vā ārocetvā vā ārocāpetvā vā puna yena pesito, tassa taṃ pavattiṃ sayaṃ ārocentassa vā aññena ārocāpentassa vā saṅghādiseso . Ettāvatā hi ‘‘paṭiggaṇhāti, vīmaṃsati, paccāharatī’’tiidaṃ aṅgattayaṃ sampāditameva hoti, ito pana yehi kehici dvīhi aṅgehi, paṇḍake ca aṅgattayenāpi thullaccayaṃ. Ekena dukkaṭaṃ. Saṅghassa vā cetiyassa vā gilānassa vā kiccena gacchantassa, ummattakādīnañca anāpatti.
สีลวิปตฺติ, เยสุ สญฺจริตฺตํ สมาปชฺชติ, เตสํ มนุสฺสชาติกตา, น นาลํวจนียตา,
Sīlavipatti, yesu sañcarittaṃ samāpajjati, tesaṃ manussajātikatā, na nālaṃvacanīyatā,
ปฎิคฺคณฺหนวีมํสนปจฺจาหรณานีติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ ฉสมุฎฺฐานํ, ปณฺณตฺติํ วา อลํวจนียภาวํ วา อชานนฺตสฺส กายวิกาเรน สาสนํ คเหตฺวา ตเถว วีมํสิตฺวา ตเถว ปจฺจาหรนฺตสฺส กายโต สมุฎฺฐาติฯ ‘‘อิตฺถนฺนามา อาคมิสฺสติ, ตสฺสา จิตฺตํ ชาเนยฺยาถา’’ติ เกนจิ วุเตฺต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ อาคตํ วตฺวา ปุน ตสฺมิํ ปุริเส อาคเต อาโรเจนฺตสฺส กาเยน กิญฺจิ อกตตฺตา วาจโต สมุฎฺฐาติฯ วาจาย ‘‘สาธู’’ติ สาสนํ คเหตฺวา อเญฺญน กรณีเยน ตสฺสา ฆรํ คนฺตฺวา อญฺญตฺถ วา คมนกาเล ตํ ทิสฺวา วจีเภเทน วีมํสิตฺวา ปุนปิ อเญฺญเนว การเณน ตโต อปกฺกมฺม กทาจิเทว ตํ ปุริสํ ทิสฺวา อาโรเจนฺตสฺสาปิ วาจโต สมุฎฺฐาติฯ ปณฺณตฺติํ อชานนฺตสฺส ปน ขีณาสวสฺสาปิ ปิตุวจเนน คนฺตฺวา อลํวจนียํ มาตรมฺปิ ‘‘เอหิ เม ปิตรํ อุปฎฺฐาหี’’ติ วตฺวา ปจฺจาหรนฺตสฺส กายวาจโต สมุฎฺฐาติฯ อิมานิ ตีณิ อจิตฺตกสมุฎฺฐานานิฯ ตทุภยํ ปน ชานิตฺวา เอเตเหว ตีหิ นเยหิ สมาปชฺชนฺตสฺส ตาเนว ตีณิ ตทุภยชานนจิเตฺตน สจิตฺตกานิ โหนฺติ, กิริยํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, กุสลาทิวเสน เจตฺถ ตีณิ จิตฺตานิ, สุขาทิวเสน ติโสฺส เวทนาติฯ
Paṭiggaṇhanavīmaṃsanapaccāharaṇānīti imānettha pañca aṅgāni. Chasamuṭṭhānaṃ, paṇṇattiṃ vā alaṃvacanīyabhāvaṃ vā ajānantassa kāyavikārena sāsanaṃ gahetvā tatheva vīmaṃsitvā tatheva paccāharantassa kāyato samuṭṭhāti. ‘‘Itthannāmā āgamissati, tassā cittaṃ jāneyyāthā’’ti kenaci vutte ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā taṃ āgataṃ vatvā puna tasmiṃ purise āgate ārocentassa kāyena kiñci akatattā vācato samuṭṭhāti. Vācāya ‘‘sādhū’’ti sāsanaṃ gahetvā aññena karaṇīyena tassā gharaṃ gantvā aññattha vā gamanakāle taṃ disvā vacībhedena vīmaṃsitvā punapi aññeneva kāraṇena tato apakkamma kadācideva taṃ purisaṃ disvā ārocentassāpi vācato samuṭṭhāti. Paṇṇattiṃ ajānantassa pana khīṇāsavassāpi pituvacanena gantvā alaṃvacanīyaṃ mātarampi ‘‘ehi me pitaraṃ upaṭṭhāhī’’ti vatvā paccāharantassa kāyavācato samuṭṭhāti. Imāni tīṇi acittakasamuṭṭhānāni. Tadubhayaṃ pana jānitvā eteheva tīhi nayehi samāpajjantassa tāneva tīṇi tadubhayajānanacittena sacittakāni honti, kiriyaṃ, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, kusalādivasena cettha tīṇi cittāni, sukhādivasena tisso vedanāti.
สญฺจริตฺตสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sañcarittasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา
6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
ฉเฎฺฐ สญฺญาจิกาย ปนาติ เอตฺถ สญฺญาจิกา นาม สยํ ปวตฺติตยาจนา วุจฺจติ, ตสฺมา สญฺญาจิกายาติ อตฺตโน ยาจนายาติ วุตฺตํ โหติ, สยํ ยาจิตเกหิ อุปกรเณหีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ยํกิญฺจิ ปรปริคฺคหิตกํ มูลเจฺฉทวเสน ยาจิตุํ น วฎฺฎติ, ตาวกาลิกํ ปน วฎฺฎติฯ สหายตฺถาย กมฺมกรณตฺถาย ‘‘ปุริสํ เทถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติ, ปุริสตฺตกรมฺปิ ยาจิตุํ วฎฺฎติ, ปุริสตฺตกโร นาม วฑฺฒกิอาทินา ปุริเสน กาตพฺพํ หตฺถกมฺมํฯ ตํ ‘‘ปุริสตฺตกรํ เทหี’’ติ วา ‘‘หตฺถกมฺมํ เทหี’’ติ วา วตฺวา ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมํ นาม กิญฺจิ วตฺถุ น โหติ, ตสฺมา ‘‘กิํ, ภเนฺต, อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิเต วา อปุจฺฉิเต วา ยาจิตุํ วฎฺฎติ, วิญฺญตฺติปจฺจยา โทโส นตฺถิ, มิคลุทฺทกาทโย ปน สกกมฺมํ น ยาจิตพฺพาฯ กุฎินฺติ อุลฺลิตฺตาทีสุ อญฺญตรํฯ ตตฺถ อุลฺลิตฺตา นาม ฐเปตฺวา ถมฺภตุลาปิฎฺฐสงฺฆาฎวาตปานธูมจฺฉิทฺทาทิเภทํ อเลโปกาสํ อวเสเส เลโปกาเส กุเฎฺฎหิ สทฺธิํ ฆเฎตฺวา ฉทนสฺส อโนฺต สุธาย วา มตฺติกาย วา ลิตฺตาฯ อวลิตฺตา นาม ตเถว วุตฺตนเยเนว ฉทนสฺส พหิ ลิตฺตาฯ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตา นาม ตเถว ฉทนสฺส อโนฺต จ พหิ จ ลิตฺตาฯ การยมาเนนาติ สยํ วา กโรเนฺตน, อาณตฺติยา วา การาเปเนฺตนฯ อสามิกนฺติ กาเรตา ทายเกน วิรหิตํฯ อตฺตุเทฺทสนฺติ ‘‘มยฺหํ วาสาคารํ เอสา’’ติ เอวํ อตฺตา อุเทฺทโส เอติสฺสาติ อตฺตุเทฺทสา, ตํ อตฺตุเทฺทสํฯ ปมาณิกา กาเรตพฺพาติ ปมาณยุตฺตา กาเรตพฺพาฯ ตตฺริทํ ปมาณนฺติ ตสฺสา กุฎิยา อิทํ ปมาณํฯ ทีฆโสติ ทีฆโตฯ ทฺวาทส วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยาติเอตฺถ สุคตวิทตฺถิ นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ติโสฺส วิทตฺถิโย, วฑฺฒกิหเตฺถน ทิยโฑฺฒ หโตฺถ โหติฯ มินเนฺตน ปน กุฎิยา พหิกุเฎฺฎ ปฐมํ ทินฺนํ มหามตฺติกปริยนฺตํ อคฺคเหตฺวา ถุสปิณฺฑปริยเนฺตน ทฺวาทส วิทตฺถิโย มิเนตพฺพา, สเจ ถุสปิณฺฑเกน อนตฺถิโก โหติ, มหามตฺติกเลเปเนว นิฎฺฐาเปติ, เสฺวว ปริเจฺฉโทฯ ติริยนฺติ วิตฺถารโตฯ สตฺตนฺตราติ กุฎฺฎสฺส พหิอนฺตํ อคฺคเหตฺวา อพฺภนฺตริเมน อเนฺตน สตฺต สุคตวิทตฺถิโย ปมาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ จ เกสคฺคมตฺตมฺปิ ทีฆโต หาเปตฺวา ติริยํ, ติริยโต วา หาเปตฺวา ทีฆํ วเฑฺฒตุํ น วฎฺฎติ, โก ปน วาโท อุภโตวฑฺฒเนฯ ยา ปน ทีฆโต สฎฺฐิหตฺถาปิ โหติ, ติริยโต ติหตฺถา วา อูนกจตุหตฺถา วา, ยตฺถ ปมาณยุโตฺต มโญฺจ อิโต จิโต จ น ปริวฎฺฎติ, ปจฺฉิมโกฎิยา จตุหตฺถวิตฺถารา น โหติ, อยํ กุฎิสงฺขฺยํ น คจฺฉติ, ตสฺมา วฎฺฎติฯ ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนายาติ ยสฺมิํ ปเทเส กุฎิํ กาเรตุกาโม โหติ, ตํ โสเธตฺวา ปทภาชเน (ปารา. ๓๔๙) วุตฺตนเยน สงฺฆํ ติกฺขตฺตุํ ยาจิตฺวา สเพฺพ วา สงฺฆปริยาปนฺนา สเงฺฆน วา สมฺมตา เทฺว ตโย ภิกฺขู ตตฺถ วตฺถุเทสนตฺถาย เนตพฺพาฯ เตหิ ภิกฺขูหิ วตฺถุ เทเสตพฺพํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนนฺติ เตหิ ภิกฺขูหิ กิปิลฺลิกาทีนํ อาสยาทีหิ เตรสหิ, ปุพฺพณฺณาปรณฺณนิสฺสิตาทีหิ โสฬสหิ อุปทฺทเวหิ วิรหิตตฺตา อนารมฺภํ, ทฺวีหิ วา จตูหิ วา พลิพเทฺธหิ ยุเตฺตน สกเฎน เอกํ จกฺกํ นิโพฺพทกปตนฎฺฐาเน เอกํ พหิ กตฺวา อาวิชฺฌิตุํ สกฺกุเณยฺยตาย สปริกฺกมนนฺติ สลฺลเกฺขตฺวา สเจ สงฺฆปโหนกา โหนฺติ, ตเตฺถว, โน เจ, สงฺฆมชฺฌํ คนฺตฺวา เตน ภิกฺขุนา ยาจิเตหิ ญตฺติทุติเยน กเมฺมน วตฺถุ เทเสตพฺพํฯ สารเมฺภ เจติอาทิ ปฎิปกฺขนเยน เวทิตพฺพํฯ
Chaṭṭhe saññācikāya panāti ettha saññācikā nāma sayaṃ pavattitayācanā vuccati, tasmā saññācikāyāti attano yācanāyāti vuttaṃ hoti, sayaṃ yācitakehi upakaraṇehīti attho. Ettha ca yaṃkiñci parapariggahitakaṃ mūlacchedavasena yācituṃ na vaṭṭati, tāvakālikaṃ pana vaṭṭati. Sahāyatthāya kammakaraṇatthāya ‘‘purisaṃ dethā’’ti vattuṃ vaṭṭati, purisattakarampi yācituṃ vaṭṭati, purisattakaro nāma vaḍḍhakiādinā purisena kātabbaṃ hatthakammaṃ. Taṃ ‘‘purisattakaraṃ dehī’’ti vā ‘‘hatthakammaṃ dehī’’ti vā vatvā yācituṃ vaṭṭati. Hatthakammaṃ nāma kiñci vatthu na hoti, tasmā ‘‘kiṃ, bhante, āgatatthā’’ti pucchite vā apucchite vā yācituṃ vaṭṭati, viññattipaccayā doso natthi, migaluddakādayo pana sakakammaṃ na yācitabbā. Kuṭinti ullittādīsu aññataraṃ. Tattha ullittā nāma ṭhapetvā thambhatulāpiṭṭhasaṅghāṭavātapānadhūmacchiddādibhedaṃ alepokāsaṃ avasese lepokāse kuṭṭehi saddhiṃ ghaṭetvā chadanassa anto sudhāya vā mattikāya vā littā. Avalittā nāma tatheva vuttanayeneva chadanassa bahi littā. Ullittāvalittā nāma tatheva chadanassa anto ca bahi ca littā. Kārayamānenāti sayaṃ vā karontena, āṇattiyā vā kārāpentena. Asāmikanti kāretā dāyakena virahitaṃ. Attuddesanti ‘‘mayhaṃ vāsāgāraṃ esā’’ti evaṃ attā uddeso etissāti attuddesā, taṃ attuddesaṃ. Pamāṇikā kāretabbāti pamāṇayuttā kāretabbā. Tatridaṃ pamāṇanti tassā kuṭiyā idaṃ pamāṇaṃ. Dīghasoti dīghato. Dvādasa vidatthiyo sugatavidatthiyātiettha sugatavidatthi nāma idāni majjhimassa purisassa tisso vidatthiyo, vaḍḍhakihatthena diyaḍḍho hattho hoti. Minantena pana kuṭiyā bahikuṭṭe paṭhamaṃ dinnaṃ mahāmattikapariyantaṃ aggahetvā thusapiṇḍapariyantena dvādasa vidatthiyo minetabbā, sace thusapiṇḍakena anatthiko hoti, mahāmattikalepeneva niṭṭhāpeti, sveva paricchedo. Tiriyanti vitthārato. Sattantarāti kuṭṭassa bahiantaṃ aggahetvā abbhantarimena antena satta sugatavidatthiyo pamāṇanti vuttaṃ hoti. Ettha ca kesaggamattampi dīghato hāpetvā tiriyaṃ, tiriyato vā hāpetvā dīghaṃ vaḍḍhetuṃ na vaṭṭati, ko pana vādo ubhatovaḍḍhane. Yā pana dīghato saṭṭhihatthāpi hoti, tiriyato tihatthā vā ūnakacatuhatthā vā, yattha pamāṇayutto mañco ito cito ca na parivaṭṭati, pacchimakoṭiyā catuhatthavitthārā na hoti, ayaṃ kuṭisaṅkhyaṃ na gacchati, tasmā vaṭṭati. Bhikkhūabhinetabbā vatthudesanāyāti yasmiṃ padese kuṭiṃ kāretukāmo hoti, taṃ sodhetvā padabhājane (pārā. 349) vuttanayena saṅghaṃ tikkhattuṃ yācitvā sabbe vā saṅghapariyāpannā saṅghena vā sammatā dve tayo bhikkhū tattha vatthudesanatthāya netabbā. Tehi bhikkhūhi vatthu desetabbaṃ anārambhaṃ saparikkamananti tehi bhikkhūhi kipillikādīnaṃ āsayādīhi terasahi, pubbaṇṇāparaṇṇanissitādīhi soḷasahi upaddavehi virahitattā anārambhaṃ, dvīhi vā catūhi vā balibaddhehi yuttena sakaṭena ekaṃ cakkaṃ nibbodakapatanaṭṭhāne ekaṃ bahi katvā āvijjhituṃ sakkuṇeyyatāya saparikkamananti sallakkhetvā sace saṅghapahonakā honti, tattheva, no ce, saṅghamajjhaṃ gantvā tena bhikkhunā yācitehi ñattidutiyena kammena vatthu desetabbaṃ. Sārambhe cetiādi paṭipakkhanayena veditabbaṃ.
อาฬวิยํ อาฬวิเก ภิกฺขู อารพฺภ สญฺญาจิกาย กุฎิกรณวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อสาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, ‘‘อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ กุฎิํ กาเรสฺสามี’’ติ อุปกรณตฺถํ อรญฺญํ คมนโต ปฎฺฐาย สพฺพปโยเคสุ ทุกฺกฎํ, ‘‘อิทานิ ทฺวีหิ ปิเณฺฑหิ นิฎฺฐานํ คมิสฺสตี’’ติ เตสุ ปฐมปิณฺฑทาเน ถุลฺลจฺจยํ, ทุติยทาเนน เลเป ฆฎิเต สเจ อเทสิตวตฺถุกา เอว วา ปมาณาติกฺกนฺตา เอว วา โหติ, เอโก สงฺฆาทิเสโส, เทฺว จ ทุกฺกฎานิฯ อุภยวิปฺปนฺนา, เทฺว สงฺฆาทิเสสา, เทฺว จ ทุกฺกฎานิฯ สเจ ปน ทฺวารพนฺธํ วา วาตปานํ วา อฎฺฐเปตฺวาว มตฺติกาย ลิมฺปติ, ฐปิเต จ ตสฺมิํ เลโป น ฆฎิยติ, รกฺขติ ตาวฯ ปุน ลิมฺปนฺตสฺส ปน ฆฎิตมเตฺต สงฺฆาทิเสโสฯ สเจ ตํ ฐปิยมานํ ปฐมทินฺนเลเปน สทฺธิํ นิรนฺตรเมว หุตฺวา ติฎฺฐติ, ปฐมเมว สงฺฆาทิเสโสฯ เกวลํ สารมฺภาย ทุกฺกฎํ, ตถา อปริกฺกมนายฯ วิปฺปกตํ กุฎิํ อญฺญสฺส ททโต จ, ภูมิํ สมํ กตฺวา ภินฺทนฺตสฺส จ, เลณคุหาติณกุฎิปณฺณจฺฉทนเคเหสุ อญฺญตรํ กาเรนฺตสฺส, กุฎิมฺปิ อญฺญสฺส วาสตฺถาย, วาสาคารํ ฐเปตฺวา อุโปสถาคาราทีสุ อญฺญตรตฺถาย กาเรนฺตสฺส จ อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, อุลฺลิตฺตาทีนํ อญฺญตรตา, เหฎฺฐิมปมาณสมฺภโว, อเทสิตวตฺถุกตา, ปมาณาติกฺกนฺตตา, อตฺตุเทฺทสิกตา, วาสาคารตา , เลปฆฎนาติ อิมาเนตฺถ ฉ วา สตฺต วา องฺคานิฯ ฉสมุฎฺฐานํ, กิริยญฺจ, กิริยากิริยญฺจฯ อิทญฺหิ วตฺถุํ เทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกนฺตํ วา กโรโต กิริยโต สมุฎฺฐาติ, อเทสาเปตฺวา กโรโต กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติฯ เสสเมตฺถ สญฺจริเตฺต วุตฺตสทิสเมวาติฯ
Āḷaviyaṃ āḷavike bhikkhū ārabbha saññācikāya kuṭikaraṇavatthusmiṃ paññattaṃ, asādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, ‘‘adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ kuṭiṃ kāressāmī’’ti upakaraṇatthaṃ araññaṃ gamanato paṭṭhāya sabbapayogesu dukkaṭaṃ, ‘‘idāni dvīhi piṇḍehi niṭṭhānaṃ gamissatī’’ti tesu paṭhamapiṇḍadāne thullaccayaṃ, dutiyadānena lepe ghaṭite sace adesitavatthukā eva vā pamāṇātikkantā eva vā hoti, eko saṅghādiseso, dve ca dukkaṭāni. Ubhayavippannā, dve saṅghādisesā, dve ca dukkaṭāni. Sace pana dvārabandhaṃ vā vātapānaṃ vā aṭṭhapetvāva mattikāya limpati, ṭhapite ca tasmiṃ lepo na ghaṭiyati, rakkhati tāva. Puna limpantassa pana ghaṭitamatte saṅghādiseso. Sace taṃ ṭhapiyamānaṃ paṭhamadinnalepena saddhiṃ nirantarameva hutvā tiṭṭhati, paṭhamameva saṅghādiseso. Kevalaṃ sārambhāya dukkaṭaṃ, tathā aparikkamanāya. Vippakataṃ kuṭiṃ aññassa dadato ca, bhūmiṃ samaṃ katvā bhindantassa ca, leṇaguhātiṇakuṭipaṇṇacchadanagehesu aññataraṃ kārentassa, kuṭimpi aññassa vāsatthāya, vāsāgāraṃ ṭhapetvā uposathāgārādīsu aññataratthāya kārentassa ca ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, ullittādīnaṃ aññataratā, heṭṭhimapamāṇasambhavo, adesitavatthukatā, pamāṇātikkantatā, attuddesikatā, vāsāgāratā , lepaghaṭanāti imānettha cha vā satta vā aṅgāni. Chasamuṭṭhānaṃ, kiriyañca, kiriyākiriyañca. Idañhi vatthuṃ desāpetvā pamāṇātikkantaṃ vā karoto kiriyato samuṭṭhāti, adesāpetvā karoto kiriyākiriyato samuṭṭhāti. Sesamettha sañcaritte vuttasadisamevāti.
กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๗. วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา
7. Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā
สตฺตเม มหลฺลกนฺติ สสามิกภาเวน สญฺญาจิตกุฎิโต มหนฺตภาโว เอตสฺส อตฺถีติ มหลฺลโก, ยสฺมา วา วตฺถุํ เทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกเมนาปิ กาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ปมาณมหนฺตตายปิ มหลฺลโก, ตํ มหลฺลกํฯ ยสฺมา ปนสฺส ตํ ปมาณมหนฺตตฺตํ สสามิกตฺตาว ลพฺภติ, ตสฺมา ตทตฺถทสฺสนตฺถํ ‘‘มหลฺลโก นาม วิหาโร สสามิโก วุจฺจตี’’ติ เอวมสฺส ปทภาชเน (ปารา. ๓๖๗) วุตฺตํฯ เสสํ สพฺพํ กุฎิการสิกฺขาปเท วุตฺตสทิสํ, สสามิกภาวมตฺตเมว หิ วิเสโสฯ
Sattame mahallakanti sasāmikabhāvena saññācitakuṭito mahantabhāvo etassa atthīti mahallako, yasmā vā vatthuṃ desāpetvā pamāṇātikkamenāpi kātuṃ vaṭṭati, tasmā pamāṇamahantatāyapi mahallako, taṃ mahallakaṃ. Yasmā panassa taṃ pamāṇamahantattaṃ sasāmikattāva labbhati, tasmā tadatthadassanatthaṃ ‘‘mahallako nāma vihāro sasāmiko vuccatī’’ti evamassa padabhājane (pārā. 367) vuttaṃ. Sesaṃ sabbaṃ kuṭikārasikkhāpade vuttasadisaṃ, sasāmikabhāvamattameva hi viseso.
โกสมฺพิยํ ฉนฺนเตฺถรํ อารพฺภ เจติยรุกฺขํ เฉทาปนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตภาโว, อกิริยมตฺตโต สมุฎฺฐานภาโว, เอกสงฺฆาทิเสสตา จ เอตฺถ วิเสโสฯ
Kosambiyaṃ channattheraṃ ārabbha cetiyarukkhaṃ chedāpanavatthusmiṃ paññattabhāvo, akiriyamattato samuṭṭhānabhāvo, ekasaṅghādisesatā ca ettha viseso.
วิหารการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vihārakārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๘. ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา
8. Duṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
อฎฺฐเม ทุโฎฺฐ โทโสติ ทูสิโต เจว ทูสโก จฯ อุปฺปเนฺน หิ โทเส ปุคฺคโล เตน โทเสน ทูสิโต โหติ, ปกติภาวํ ชหาปิโต, ตสฺมา ‘‘ทุโฎฺฐ’’ติ วุจฺจติฯ ปรญฺจ ทูเสติ วินาเสติ, ตสฺมา ‘‘โทโส’’ติ วุจฺจติฯ อิติ ‘‘ทุโฎฺฐ โทโส’’ติ เอกเสฺสเวตํ ปุคฺคลสฺส อาการนานเตฺตน นิทสฺสนํฯ อปฺปตีโตติ นปฺปตีโต, ปีติสุขาทีหิ วิวชฺชิโต, น อภิสโฎติ อโตฺถฯ อมูลเกนาติ ยํ โจทเกน จุทิตกมฺหิ ปุคฺคเล อทิฎฺฐํ อสฺสุตํ อปริสงฺกิตํ, อิทํ เอเตสํ ทสฺสนสวนปริสงฺกาสงฺขาตานํ มูลานํ อภาวโต อมูลกํ นามฯ ตํ ปน โส อาปโนฺน วา โหตุ, อนาปโนฺน วา, เอตํ อิธ อปฺปมาณํฯ เอตฺถ จ อทิฎฺฐํ นาม อตฺตโน ปสาทจกฺขุนา วา ทิพฺพจกฺขุนา วา อทิฎฺฐํ, อสฺสุตํ นาม ตเถว เกนจิ วุจฺจมานํ น สุตํ, อปริสงฺกิตํ นาม อตฺตโน วา ปรสฺส วา ทิฎฺฐสุตมุตวเสน เจตสา อปริสงฺกิตํ, อิติ เอวรูเปน อมูลเกนฯ ปาราชิเกนาติ ภิกฺขุโน อนุรูเปสุ เอกูนวีสติยา อญฺญตเรน, ปทภาชเน (ปารา. ๓๘๖) ปน ปาราชิกุเทฺทเส อาคตาเนว คเหตฺวา ‘‘จตุนฺนํ อญฺญตเรนา’’ติ วุตฺตํฯ อนุทฺธํเสยฺยาติ ธํเสยฺย วิทฺธํเสยฺย ปธํเสยฺย อภิภเวยฺยฯ ตํ ปน อนุทฺธํสนํ ยสฺมา อตฺตนา โจเทโนฺตปิ ปเรน โจทาเปโนฺตปิ กโรติ, ตสฺมาสฺส ปทภาชเน ‘‘โจเทติ วา โจทาเปติ วา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ วตฺถุสนฺทสฺสนา อาปตฺติสนฺทสฺสนา สํวาสปฺปฎิเกฺขโป สามีจิปฺปฎิเกฺขโปติ สเงฺขปโต จตโสฺส โจทนาฯ ตาสุ วตฺถุสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวี’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตาฯ อาปตฺติสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนธมฺมาปตฺติํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตาฯ สํวาสปฺปฎิเกฺขโป นาม ‘‘นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ เอวํ ปวโตฺตฯ เอตฺตาวตา ปน สีสํ น เอติ, ‘‘อสฺสมโณสี’’ติอาทีหิ วจเนหิ สทฺธิํ ฆฎิเตเยว สีสํ เอติฯ สามีจิปฺปฎิเกฺขโป นาม อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานอญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมพีชนิกมฺมาทีนํ อกรณํ, ตํ ปฎิปาติยา วนฺทนาทีนิ กโรโต เอกสฺส อกตฺวา เสสานํ กรณกาเล เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา จ โจทนา นาม โหติ, อาปตฺติ ปน สีสํ น เอติฯ ‘‘กสฺมา มม วนฺทนาทีนิ น กโรสี’’ติ ปุจฺฉิเต ปน ‘‘อสฺสมโณสี’’ติอาทิวจเนหิ สทฺธิํ ฆฎิเตเยว สีสํ เอติ, ตสฺมา โย ภิกฺขุ ภิกฺขุํ สมีเป ฐตฺวา ‘‘ตฺวํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวี’’ติ วา ‘‘อสฺสมโณสี’’ติ วา อาทีหิ วจเนหิ หตฺถมุทฺทาย เอว วา เอตมตฺถํ ทีเปโนฺต สยํ วา โจเทติ, คหฎฺฐปพฺพชิเตสุ วา อญฺญตเรน โจทาเปติ, อยํ อนุทฺธํเสติ นามฯ อเปฺปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺยนฺติ อปิ เอว นาม นํ ปุคฺคลํ อิมมฺหา เสฎฺฐจริยา อปเนยฺยํฯ ‘‘สาธุ วตสฺส สจาหํ อิมํ ปุคฺคลํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ อิมินา อธิปฺปาเยน อนุทฺธํเสยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตน เอกํ จาวนาธิปฺปายํ คเหตฺวา อวเสสา อโกฺกสาธิปฺปาโย กมฺมาธิปฺปาโย วุฎฺฐานาธิปฺปาโย อุโปสถฎฺฐปนาธิปฺปาโย ปวารณฎฺฐปนาธิปฺปาโย อนุวิชฺชนาธิปฺปาโย ธมฺมกถาธิปฺปาโยติ สตฺต อธิปฺปายา ปฎิกฺขิตฺตา โหนฺติฯ ตโต อปเรน สมเยนาติ ยสฺมิํ สมเย อนุทฺธํสิโต โหติ, ตโต อญฺญสฺมิํ สมเยฯ สมนุคฺคาหียมาโน วาติ อนุวิชฺชเกน กิํ เต ทิฎฺฐนฺติอาทินา นเยน อนุวิชฺชิยมาโน อุปปริกฺขิยมาโนฯ อสมนุคฺคาหียมาโน วาติ ทิฎฺฐาทีสุ เกนจิ วตฺถุนาวา อนุวิชฺชกาทีสุ เยน เกนจิ ปุคฺคเลน วา อวุจฺจมาโนฯ อิเมสํ ปน ปทานํ ปรโต ‘‘ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฎฺฐาตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – เอวํ สมนุคฺคาหียมาโน วา อสมนุคฺคาหียมาโน วา ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฎฺฐาติ ปฎิจฺจ ติฎฺฐติ ปฎิชานาติ, สงฺฆาทิเสโสติฯ อิทญฺจ อมูลกภาวสฺส ปากฎกาลทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อาปตฺติํ ปน อนุทฺธํสิตกฺขเณเยว อาปชฺชติฯ อมูลกเญฺจว ตํ อธิกรณํ โหตีติ เอตฺถ ปน ทิฎฺฐมูลาทีนํ อภาเวน อมูลกํ, สมเถหิ อธิกรณียภาเวน อธิกรณํฯ ยญฺหิ อธิกิจฺจ อารพฺภ ปฎิจฺจ สนฺธาย สมถา ปวตฺตนฺติ, ตํ อธิกรณํฯ อิธ ปน ปาราชิกสงฺขาตํ อาปตฺตาธิกรณเมว อธิเปฺปตํฯ ยทิ หิ ตํ อธิกรณํ ทิฎฺฐาทีหิ มูเลหิ อมูลกเญฺจว โหติ, อยํ โจเทตุํ อาคโต ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฎฺฐาติ ปฎิจฺจ ติฎฺฐติ, ‘‘ตุจฺฉกํ มยา ภณิต’’นฺติอาทีนิ (ปารา. ๓๘๖) วทโนฺต ปฎิชานาติ, ตสฺส ภิกฺขุโน อนุทฺธํสิตกฺขเณเยว สงฺฆาทิเสโสติ, อยํ สิกฺขาปทสฺส ปทานุกฺกเมน อโตฺถฯ
Aṭṭhame duṭṭho dosoti dūsito ceva dūsako ca. Uppanne hi dose puggalo tena dosena dūsito hoti, pakatibhāvaṃ jahāpito, tasmā ‘‘duṭṭho’’ti vuccati. Parañca dūseti vināseti, tasmā ‘‘doso’’ti vuccati. Iti ‘‘duṭṭho doso’’ti ekassevetaṃ puggalassa ākāranānattena nidassanaṃ. Appatītoti nappatīto, pītisukhādīhi vivajjito, na abhisaṭoti attho. Amūlakenāti yaṃ codakena cuditakamhi puggale adiṭṭhaṃ assutaṃ aparisaṅkitaṃ, idaṃ etesaṃ dassanasavanaparisaṅkāsaṅkhātānaṃ mūlānaṃ abhāvato amūlakaṃ nāma. Taṃ pana so āpanno vā hotu, anāpanno vā, etaṃ idha appamāṇaṃ. Ettha ca adiṭṭhaṃ nāma attano pasādacakkhunā vā dibbacakkhunā vā adiṭṭhaṃ, assutaṃ nāma tatheva kenaci vuccamānaṃ na sutaṃ, aparisaṅkitaṃ nāma attano vā parassa vā diṭṭhasutamutavasena cetasā aparisaṅkitaṃ, iti evarūpena amūlakena. Pārājikenāti bhikkhuno anurūpesu ekūnavīsatiyā aññatarena, padabhājane (pārā. 386) pana pārājikuddese āgatāneva gahetvā ‘‘catunnaṃ aññatarenā’’ti vuttaṃ. Anuddhaṃseyyāti dhaṃseyya viddhaṃseyya padhaṃseyya abhibhaveyya. Taṃ pana anuddhaṃsanaṃ yasmā attanā codentopi parena codāpentopi karoti, tasmāssa padabhājane ‘‘codeti vā codāpeti vā’’ti vuttaṃ. Tattha vatthusandassanā āpattisandassanā saṃvāsappaṭikkhepo sāmīcippaṭikkhepoti saṅkhepato catasso codanā. Tāsu vatthusandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevī’’tiādinā nayena pavattā. Āpattisandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunadhammāpattiṃ āpanno’’tiādinā nayena pavattā. Saṃvāsappaṭikkhepo nāma ‘‘natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti evaṃ pavatto. Ettāvatā pana sīsaṃ na eti, ‘‘assamaṇosī’’tiādīhi vacanehi saddhiṃ ghaṭiteyeva sīsaṃ eti. Sāmīcippaṭikkhepo nāma abhivādanapaccuṭṭhānaañjalikammasāmīcikammabījanikammādīnaṃ akaraṇaṃ, taṃ paṭipātiyā vandanādīni karoto ekassa akatvā sesānaṃ karaṇakāle veditabbaṃ. Ettāvatā ca codanā nāma hoti, āpatti pana sīsaṃ na eti. ‘‘Kasmā mama vandanādīni na karosī’’ti pucchite pana ‘‘assamaṇosī’’tiādivacanehi saddhiṃ ghaṭiteyeva sīsaṃ eti, tasmā yo bhikkhu bhikkhuṃ samīpe ṭhatvā ‘‘tvaṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevī’’ti vā ‘‘assamaṇosī’’ti vā ādīhi vacanehi hatthamuddāya eva vā etamatthaṃ dīpento sayaṃ vā codeti, gahaṭṭhapabbajitesu vā aññatarena codāpeti, ayaṃ anuddhaṃseti nāma. Appeva nāma naṃ imamhā brahmacariyā cāveyyanti api eva nāma naṃ puggalaṃ imamhā seṭṭhacariyā apaneyyaṃ. ‘‘Sādhu vatassa sacāhaṃ imaṃ puggalaṃ imamhā brahmacariyā cāveyya’’nti iminā adhippāyena anuddhaṃseyyāti vuttaṃ hoti. Etena ekaṃ cāvanādhippāyaṃ gahetvā avasesā akkosādhippāyo kammādhippāyo vuṭṭhānādhippāyo uposathaṭṭhapanādhippāyo pavāraṇaṭṭhapanādhippāyo anuvijjanādhippāyo dhammakathādhippāyoti satta adhippāyā paṭikkhittā honti. Tato aparena samayenāti yasmiṃ samaye anuddhaṃsito hoti, tato aññasmiṃ samaye. Samanuggāhīyamāno vāti anuvijjakena kiṃ te diṭṭhantiādinā nayena anuvijjiyamāno upaparikkhiyamāno. Asamanuggāhīyamāno vāti diṭṭhādīsu kenaci vatthunāvā anuvijjakādīsu yena kenaci puggalena vā avuccamāno. Imesaṃ pana padānaṃ parato ‘‘bhikkhu ca dosaṃ patiṭṭhātī’’ti iminā sambandho. Idañhi vuttaṃ hoti – evaṃ samanuggāhīyamāno vā asamanuggāhīyamāno vā bhikkhu ca dosaṃ patiṭṭhāti paṭicca tiṭṭhati paṭijānāti, saṅghādisesoti. Idañca amūlakabhāvassa pākaṭakāladassanatthaṃ vuttaṃ. Āpattiṃ pana anuddhaṃsitakkhaṇeyeva āpajjati. Amūlakañceva taṃ adhikaraṇaṃ hotīti ettha pana diṭṭhamūlādīnaṃ abhāvena amūlakaṃ, samathehi adhikaraṇīyabhāvena adhikaraṇaṃ. Yañhi adhikicca ārabbha paṭicca sandhāya samathā pavattanti, taṃ adhikaraṇaṃ. Idha pana pārājikasaṅkhātaṃ āpattādhikaraṇameva adhippetaṃ. Yadi hi taṃ adhikaraṇaṃ diṭṭhādīhi mūlehi amūlakañceva hoti, ayaṃ codetuṃ āgato bhikkhu ca dosaṃ patiṭṭhāti paṭicca tiṭṭhati, ‘‘tucchakaṃ mayā bhaṇita’’ntiādīni (pārā. 386) vadanto paṭijānāti, tassa bhikkhuno anuddhaṃsitakkhaṇeyeva saṅghādisesoti, ayaṃ sikkhāpadassa padānukkamena attho.
ราชคเห เมตฺติยภูมชเก ภิกฺขู อารพฺภ อมูลเกน ปาราชิเกน อนุทฺธํสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, กตูปสมฺปทํ สุทฺธํ วา อสุทฺธํ วา ปุคฺคลํ เยน ปาราชิเกน โจเทติ, ตํ ‘‘อยํ อนชฺฌาปโนฺน’’ติ ญตฺวา จาวนาธิปฺปาเยน ‘‘กโรตุ เม อายสฺมา โอกาสํ, อหํ ตํ วตฺตุกาโม’’ติ เอวํ โอกาสํ อกาเรตฺวา โจเทนฺตสฺส สเจ โส ตงฺขเณเยว ชานาติ ‘‘มํ โจเทตี’’ติ, วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโส เจว ทุกฺกฎญฺจฯ โอกาสํ กาเรตฺวา โจเทนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสเยวฯ หตฺถมุทฺทาย สมฺมุขา โจเทนฺตสฺสาปิ เอเสว นโยฯ ปรมฺมุขา โจเทนฺตสฺส ปน สีสํ น เอติ ฯ อตฺตนา สมีเป ฐตฺวา อญฺญํ ภิกฺขุํ อาณาเปติ , โส ตสฺส วจเนน ตํ โจเทติ, โจทาปกเสฺสว วุตฺตนเยน อาปตฺติโยฯ อถ โสปิ ‘‘มยา ทิฎฺฐํ สุตํ อตฺถี’’ติ โจเทติ, ทฺวินฺนมฺปิ ชานานํ ตเถว อาปตฺติโยฯ อโกฺกสาธิปฺปาเยน ปน โอกาสํ อกาเรตฺวา วทนฺตสฺส วุตฺตนเยเนว ปาจิตฺติยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจฯ โอกาสํ กาเรตฺวา วทนฺตสฺส ปาจิตฺติยเมวฯ กมฺมาธิปฺปาเยน อสมฺมุขา สตฺตวิธมฺปิ กมฺมํ กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ วุฎฺฐานาธิปฺปาเยน ‘‘ตฺวํ อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ปฎิกโรหี’’ติ วทนฺตสฺส, อุโปสถํ วา ปวารณํ วา ฐเปนฺตสฺส จ โอกาสกมฺมํ นตฺถิ, ฐปนเกฺขตฺตํ ปน ชานิตพฺพํ, อนุวิชฺชกสฺสาปิ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อเตฺถตํ ตวา’’ติ อนุวิชฺชนาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิ, ธมฺมกถิกสฺสาปิ ‘‘โย อิทญฺจ อิทญฺจ กโรติ, อยํ อสฺสมโณ’’ติอาทินา นเยน อโนทิสกํ ธมฺมํ กเถนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิฯ สเจ ปน โอทิสฺส นิยเมตฺวา ‘‘อสุโก จ อสุโก จ อสฺสมโณ อนุปาสโก’’ติ กเถติ, อาสนโต โอรุยฺห อาปตฺติํ เทเสตฺวา คนฺตพฺพํฯ อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติ, สีลวิปตฺติ, ยํ โจเทติ วา โจทาเปติ วา, ตสฺส ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ สงฺขฺยุปคมนํ, ตสฺมิํ สุทฺธสญฺญิตา, เยน ปาราชิเกน โจเทติ, ตสฺส ทิฎฺฐาทิวเสน อมูลกตา, จาวนาธิปฺปาเยน สมฺมุขาโจทนา, ตสฺส ตงฺขณวิชานนนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิฯ เวทนา ปเนตฺถ ทุกฺขาเยวาติฯ
Rājagahe mettiyabhūmajake bhikkhū ārabbha amūlakena pārājikena anuddhaṃsanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, katūpasampadaṃ suddhaṃ vā asuddhaṃ vā puggalaṃ yena pārājikena codeti, taṃ ‘‘ayaṃ anajjhāpanno’’ti ñatvā cāvanādhippāyena ‘‘karotu me āyasmā okāsaṃ, ahaṃ taṃ vattukāmo’’ti evaṃ okāsaṃ akāretvā codentassa sace so taṅkhaṇeyeva jānāti ‘‘maṃ codetī’’ti, vācāya vācāya saṅghādiseso ceva dukkaṭañca. Okāsaṃ kāretvā codentassa saṅghādisesoyeva. Hatthamuddāya sammukhā codentassāpi eseva nayo. Parammukhā codentassa pana sīsaṃ na eti . Attanā samīpe ṭhatvā aññaṃ bhikkhuṃ āṇāpeti , so tassa vacanena taṃ codeti, codāpakasseva vuttanayena āpattiyo. Atha sopi ‘‘mayā diṭṭhaṃ sutaṃ atthī’’ti codeti, dvinnampi jānānaṃ tatheva āpattiyo. Akkosādhippāyena pana okāsaṃ akāretvā vadantassa vuttanayeneva pācittiyañceva dukkaṭañca. Okāsaṃ kāretvā vadantassa pācittiyameva. Kammādhippāyena asammukhā sattavidhampi kammaṃ karontassa dukkaṭameva. Vuṭṭhānādhippāyena ‘‘tvaṃ itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ paṭikarohī’’ti vadantassa, uposathaṃ vā pavāraṇaṃ vā ṭhapentassa ca okāsakammaṃ natthi, ṭhapanakkhettaṃ pana jānitabbaṃ, anuvijjakassāpi osaṭe vatthusmiṃ ‘‘atthetaṃ tavā’’ti anuvijjanādhippāyena vadantassa okāsakammaṃ natthi, dhammakathikassāpi ‘‘yo idañca idañca karoti, ayaṃ assamaṇo’’tiādinā nayena anodisakaṃ dhammaṃ kathentassa okāsakammaṃ natthi. Sace pana odissa niyametvā ‘‘asuko ca asuko ca assamaṇo anupāsako’’ti katheti, āsanato oruyha āpattiṃ desetvā gantabbaṃ. Ummattakādīnañca anāpatti, sīlavipatti, yaṃ codeti vā codāpeti vā, tassa ‘‘upasampanno’’ti saṅkhyupagamanaṃ, tasmiṃ suddhasaññitā, yena pārājikena codeti, tassa diṭṭhādivasena amūlakatā, cāvanādhippāyena sammukhācodanā, tassa taṅkhaṇavijānananti imānettha pañca aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni. Vedanā panettha dukkhāyevāti.
ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Duṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๙. อญฺญภาคิยสิกฺขาปทวณฺณนา
9. Aññabhāgiyasikkhāpadavaṇṇanā
นวเม อญฺญภาคิยสฺสาติอาทีสุ อญฺญภาคสฺส อิทํ, อญฺญภาโค วา อสฺส อตฺถีติ อญฺญภาคิยํฯ อธิกรณนฺติ อาธาโร เวทิตโพฺพ, วตฺถุ อธิฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โย หิ โส อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต นามา’’ติ ฉคลโก วุโตฺตฯ โส ยฺวายํ อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส ภาโค โกฎฺฐาโส ปโกฺข มนุสฺสชาติ เจว ภิกฺขุภาโว จ, ตโต อญฺญสฺส ภาคสฺส โกฎฺฐาสสฺส ปกฺขสฺส โหติ ติรจฺฉานชาติยา เจว ฉคลกภาวสฺส จ, โส วา อญฺญภาโค อสฺส อตฺถิ, ตสฺมา อญฺญภาคิยสงฺขฺยํ ลภติฯ ยสฺมา จ เตสํ ‘‘อิมํ มยํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ นาม กโรมา’’ติ วทนฺตานํ ตสฺส นามกรณสญฺญาย อาธาโร วตฺถุ อธิฎฺฐานํ, ตสฺมา ‘‘อธิกรณ’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ ตญฺหิ สนฺธาย ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสา’’ติอาทิ (ปารา. ๓๙๑) วุตฺตํฯ น วิวาทาธิกรณาทีสุ อญฺญตรํ, กสฺมา? อสมฺภวโตฯ น หิ เมตฺติยภูมชกา จตุนฺนํ อธิกรณานํ กสฺสจิ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กิญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปฺปาทิยิํสุ, น จ จตุนฺนํ อธิกรณานํ เลโส นาม อตฺถิฯ ชาติเลสาทโย หิ ปุคฺคลานํเยว เลสา วุตฺตา, น วิวาทาธิกรณาทีนํฯ ตญฺจ ‘‘ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต’’ติ นามํ ตสฺส อญฺญภาคิยาธิกรณภาเว ฐิตสฺส ฉคลกสฺส โกจิ เทโส โหติ เถรํ ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสตุํ เลสมโตฺต, เอตฺถ จ ทิสฺสติ อปทิสฺสติ ‘‘อสฺส อย’’นฺติ โวหรียตีติ เทโส, ชาติอาทีสุ อญฺญตรโกฎฺฐาสเสฺสตํ อธิวจนํฯ อญฺญมฺปิ วตฺถุํ ลิสฺสติ สิลิสฺสติ โวหารมเตฺตเนว อีสกํ อลฺลียตีติ เลโส, ชาติอาทีนํเยว อญฺญตรโกฎฺฐาสเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปทภาชเน (ปารา. ๓๙๓) ปน ยสฺส อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กิญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทาย ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสยฺย, ตํ ยสฺมา อฎฺฐุปฺปตฺติวเสเนว อาวิภูตํ, ตสฺมา ตํ อวิภชิตฺวา ยานิ ‘‘อธิกรณ’’นฺติ วจนสามญฺญโต อตฺถุทฺธารวเสน ปวตฺตานิ จตฺตาริ อธิกรณานิ, เตสํ อญฺญภาคิยตา จ ตพฺภาคิยตา จ ยสฺมา อปากฎา, ชานิตพฺพา จ วินยธเรหิ, ตสฺมา ตญฺจ อวสาเน อาปตฺตญฺญภาคิเยน โจทนญฺจ อาวิกาตุํ ‘‘อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสาติ อาปตฺตญฺญภาคิยํ วา โหติ อธิกรณญฺญภาคิยํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํ, เสสา วินิจฺฉยกถา อฎฺฐเม วุตฺตสทิสาเยวฯ อยํ ปน วิเสโส – อิทํ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กิญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทาย ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อิธ จ อาปตฺตญฺญภาคิยโจทนาย ตถาสญฺญิโนปิ อนาปตฺติฯ อเงฺคสุ จ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กิญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทิยนตา อธิกาติฯ
Navame aññabhāgiyassātiādīsu aññabhāgassa idaṃ, aññabhāgo vā assa atthīti aññabhāgiyaṃ. Adhikaraṇanti ādhāro veditabbo, vatthu adhiṭṭhānanti vuttaṃ hoti. Yo hi so aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘dabbo mallaputto nāmā’’ti chagalako vutto. So yvāyaṃ āyasmato dabbassa mallaputtassa bhāgo koṭṭhāso pakkho manussajāti ceva bhikkhubhāvo ca, tato aññassa bhāgassa koṭṭhāsassa pakkhassa hoti tiracchānajātiyā ceva chagalakabhāvassa ca, so vā aññabhāgo assa atthi, tasmā aññabhāgiyasaṅkhyaṃ labhati. Yasmā ca tesaṃ ‘‘imaṃ mayaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ nāma karomā’’ti vadantānaṃ tassa nāmakaraṇasaññāya ādhāro vatthu adhiṭṭhānaṃ, tasmā ‘‘adhikaraṇa’’nti veditabbo. Tañhi sandhāya ‘‘saccaṃ kira tumhe, bhikkhave, dabbaṃ mallaputtaṃ aññabhāgiyassa adhikaraṇassā’’tiādi (pārā. 391) vuttaṃ. Na vivādādhikaraṇādīsu aññataraṃ, kasmā? Asambhavato. Na hi mettiyabhūmajakā catunnaṃ adhikaraṇānaṃ kassaci aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kiñcidesaṃ lesamattaṃ uppādiyiṃsu, na ca catunnaṃ adhikaraṇānaṃ leso nāma atthi. Jātilesādayo hi puggalānaṃyeva lesā vuttā, na vivādādhikaraṇādīnaṃ. Tañca ‘‘dabbo mallaputto’’ti nāmaṃ tassa aññabhāgiyādhikaraṇabhāve ṭhitassa chagalakassa koci deso hoti theraṃ pārājikena dhammena anuddhaṃsetuṃ lesamatto, ettha ca dissati apadissati ‘‘assa aya’’nti voharīyatīti deso, jātiādīsu aññatarakoṭṭhāsassetaṃ adhivacanaṃ. Aññampi vatthuṃ lissati silissati vohāramatteneva īsakaṃ allīyatīti leso, jātiādīnaṃyeva aññatarakoṭṭhāsassetaṃ adhivacanaṃ. Padabhājane (pārā. 393) pana yassa aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kiñcidesaṃ lesamattaṃ upādāya pārājikena dhammena anuddhaṃseyya, taṃ yasmā aṭṭhuppattivaseneva āvibhūtaṃ, tasmā taṃ avibhajitvā yāni ‘‘adhikaraṇa’’nti vacanasāmaññato atthuddhāravasena pavattāni cattāri adhikaraṇāni, tesaṃ aññabhāgiyatā ca tabbhāgiyatā ca yasmā apākaṭā, jānitabbā ca vinayadharehi, tasmā tañca avasāne āpattaññabhāgiyena codanañca āvikātuṃ ‘‘aññabhāgiyassa adhikaraṇassāti āpattaññabhāgiyaṃ vā hoti adhikaraṇaññabhāgiyaṃ vā’’tiādi vuttaṃ, sesā vinicchayakathā aṭṭhame vuttasadisāyeva. Ayaṃ pana viseso – idaṃ aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kiñcidesaṃ lesamattaṃ upādāya pārājikena dhammena anuddhaṃsanavatthusmiṃ paññattaṃ, idha ca āpattaññabhāgiyacodanāya tathāsaññinopi anāpatti. Aṅgesu ca aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kiñcidesaṃ lesamattaṃ upādiyanatā adhikāti.
อญฺญภาคิยสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aññabhāgiyasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๐. สงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา
10. Saṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā
ทสเม สมคฺคสฺส สงฺฆสฺสาติ สหิตสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส, จิเตฺตน จ สรีเรน จ อวิยุตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ เตเนวสฺส ปทภาชเน (ปารา. ๔๑๒) ‘‘สมโคฺค นาม สโงฺฆ สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต’’ติ วุตฺตํฯ สมานสํวาสโก หิ สมจิตฺตตาย จิเตฺตน อวิยุโตฺต โหติ, สมานสีมายํ ฐิโต กายสามคฺคิทานโต สรีเรน อวิยุโตฺตฯ เภทาย ปรกฺกเมยฺยาติ ‘‘กถํ นามายํ ภิเชฺชยฺยา’’ติ เภทนตฺถาย วายาเมยฺยฯ เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณนฺติ เภทนสฺส สงฺฆเภทสฺส อตฺถาย สํวตฺตนิกํ การณํฯ อิมสฺมิญฺหิ โอกาเส ‘‘กามเหตุ กามนิทานํ กามาธิกรณ’’นฺติ อาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๖๘, ๑๗๘) วิย การณํ ‘‘อธิกรณ’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ ตํ เภทกรวตฺถุวเสน อฎฺฐารสวิธํฯ สมาทายาติ คเหตฺวาฯ ปคฺคยฺห ติเฎฺฐยฺยาติ ตํ สงฺฆเภทสฺส อตฺถาย สํวตฺตนิกํ สงฺฆเภทนิพฺพตฺติสมตฺถํ การณํ คเหตฺวา ทีเปยฺย เจว นปฺปฎินิสฺสเชฺชยฺย จฯ ภิกฺขูหิ เอวมสฺส วจนีโยติ เย ตํ ปคฺคยฺห ติฎฺฐนฺตํ สมฺมุขา ปสฺสนฺติ, เย วา ‘‘อสุกสฺมิํ นาม วิหาเร’’ติ สุณนฺติ, เตหิ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน อฑฺฒโยชนมตฺตํ คนฺตฺวาปิ ยฺวายํ อนนฺตเร ‘‘มายสฺมา’’ติอาทิวจนกฺกโม วุโตฺต, เอวมสฺส วจนีโยฯ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา อวทนฺตานํ ทุกฺกฎํฯ เอตฺถ จ มาอิติ ปทํ ‘‘ปรกฺกมี’’ติปเทน ‘‘อฎฺฐาสี’’ติปเทน จ สทฺธิํ ‘‘มา ปรกฺกมิ, มา อฎฺฐาสี’’ติ โยเชตพฺพํฯ สเมตายสฺมา สเงฺฆนาติ อายสฺมา สเงฺฆน สทฺธิํ สเมตุ สมาคจฺฉตุ, เอกลทฺธิโก โหตูติ อโตฺถฯ กิํ การณา? สมโคฺค หิ สโงฺฆ…เป.… วิหรตีติฯ ตตฺถ สโมฺมทมาโนติ อญฺญมญฺญสมฺปตฺติยา สุฎฺฐุ โมทมาโนฯ อวิวทมาโนติ ‘‘อยํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม’’ติ เอวํ น วิวทมาโนฯ เอโก อุเทฺทโส อสฺสาติ เอกุเทฺทโส, เอกโต ปวตฺตปาติโมกฺขุเทฺทโสติ อโตฺถฯ ผาสุ วิหรตีติ สุขํ วิหรติฯ เอวํ วิสุมฺปิ สงฺฆมเชฺฌปิ ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมานสฺส อปฺปฎินิสฺสชฺชโต ทุกฺกฎํฯ เอวญฺจ โสติอาทิมฺหิ สมนุภาสิตโพฺพติ สมนุภาสนกมฺมํ กาตพฺพํฯ อิเจฺจตํ กุสลนฺติ อิติ เอตํ ปฎินิสฺสชฺชนํ กุสลํ เขมํ โสตฺถิภาโว ตสฺส ภิกฺขุโนฯ โน เจ ปฎินิสฺสเชฺชยฺย, สงฺฆาทิเสโสติ เอตฺถ สมนุภาสนกมฺมปริโยสาเน อปฺปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสฯ เสสํ อุตฺตานปทตฺถเมวฯ
Dasame samaggassa saṅghassāti sahitassa bhikkhusaṅghassa, cittena ca sarīrena ca aviyuttassāti attho. Tenevassa padabhājane (pārā. 412) ‘‘samaggo nāma saṅgho samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito’’ti vuttaṃ. Samānasaṃvāsako hi samacittatāya cittena aviyutto hoti, samānasīmāyaṃ ṭhito kāyasāmaggidānato sarīrena aviyutto. Bhedāya parakkameyyāti ‘‘kathaṃ nāmāyaṃ bhijjeyyā’’ti bhedanatthāya vāyāmeyya. Bhedanasaṃvattanikaṃ vā adhikaraṇanti bhedanassa saṅghabhedassa atthāya saṃvattanikaṃ kāraṇaṃ. Imasmiñhi okāse ‘‘kāmahetu kāmanidānaṃ kāmādhikaraṇa’’nti ādīsu (ma. ni. 1.168, 178) viya kāraṇaṃ ‘‘adhikaraṇa’’nti adhippetaṃ. Taṃ bhedakaravatthuvasena aṭṭhārasavidhaṃ. Samādāyāti gahetvā. Paggayha tiṭṭheyyāti taṃ saṅghabhedassa atthāya saṃvattanikaṃ saṅghabhedanibbattisamatthaṃ kāraṇaṃ gahetvā dīpeyya ceva nappaṭinissajjeyya ca. Bhikkhūhi evamassa vacanīyoti ye taṃ paggayha tiṭṭhantaṃ sammukhā passanti, ye vā ‘‘asukasmiṃ nāma vihāre’’ti suṇanti, tehi sabbantimena paricchedena aḍḍhayojanamattaṃ gantvāpi yvāyaṃ anantare ‘‘māyasmā’’tiādivacanakkamo vutto, evamassa vacanīyo. Disvā vā sutvā vā avadantānaṃ dukkaṭaṃ. Ettha ca māiti padaṃ ‘‘parakkamī’’tipadena ‘‘aṭṭhāsī’’tipadena ca saddhiṃ ‘‘mā parakkami, mā aṭṭhāsī’’ti yojetabbaṃ. Sametāyasmā saṅghenāti āyasmā saṅghena saddhiṃ sametu samāgacchatu, ekaladdhiko hotūti attho. Kiṃ kāraṇā? Samaggo hi saṅgho…pe… viharatīti. Tattha sammodamānoti aññamaññasampattiyā suṭṭhu modamāno. Avivadamānoti ‘‘ayaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo’’ti evaṃ na vivadamāno. Eko uddeso assāti ekuddeso, ekato pavattapātimokkhuddesoti attho. Phāsu viharatīti sukhaṃ viharati. Evaṃ visumpi saṅghamajjhepi tikkhattuṃ vuccamānassa appaṭinissajjato dukkaṭaṃ. Evañca sotiādimhi samanubhāsitabboti samanubhāsanakammaṃ kātabbaṃ. Iccetaṃ kusalanti iti etaṃ paṭinissajjanaṃ kusalaṃ khemaṃ sotthibhāvo tassa bhikkhuno. No cepaṭinissajjeyya, saṅghādisesoti ettha samanubhāsanakammapariyosāne appaṭinissajjantassa saṅghādiseso. Sesaṃ uttānapadatthameva.
ราชคเห เทวทตฺตํ อารพฺภ สงฺฆเภทาย ปรกฺกมนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, สมนุภาสนกเมฺม กริยมาเน อปฺปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส ญตฺติปริโยสาเน ทุกฺกฎํ, ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ เทฺว ถุลฺลจฺจยา, ‘‘ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยา’’ติ เอวํ ยฺย-การปตฺตาย ตติยกมฺมวาจาย ตญฺจ ทุกฺกฎํ เต จ ถุลฺลจฺจยา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, สงฺฆาทิเสโสเยว ติฎฺฐติฯ อสมนุภาสิยมานสฺส จ ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส จ อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, เภทาย ปรกฺกมนํ, ธมฺมกเมฺมน สมนุภาสนํ, กมฺมวาจาปริโยสานํ, อปฺปฎินิสฺสชฺชนนฺติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมนุภาสนสมุฎฺฐานํ, อกิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ
Rājagahe devadattaṃ ārabbha saṅghabhedāya parakkamanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, samanubhāsanakamme kariyamāne appaṭinissajjantassa ñattipariyosāne dukkaṭaṃ, dvīhi kammavācāhi dve thullaccayā, ‘‘yassa nakkhamati, so bhāseyyā’’ti evaṃ yya-kārapattāya tatiyakammavācāya tañca dukkaṭaṃ te ca thullaccayā paṭippassambhanti, saṅghādisesoyeva tiṭṭhati. Asamanubhāsiyamānassa ca paṭinissajjantassa ca ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, bhedāya parakkamanaṃ, dhammakammena samanubhāsanaṃ, kammavācāpariyosānaṃ, appaṭinissajjananti imānettha cattāri aṅgāni. Samanubhāsanasamuṭṭhānaṃ, akiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.
สงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๑. เภทานุวตฺตกสิกฺขาปทวณฺณนา
11. Bhedānuvattakasikkhāpadavaṇṇanā
เอกาทสเม ตเสฺสว โข ปนาติ โย สงฺฆเภทาย ปรกฺกมติ, ตเสฺสวฯ อนุวตฺตกาติ ตสฺส ทิฎฺฐิํ ขนฺติํ รุจิํ คหเณน อนุปฎิปชฺชนกาฯ วคฺคํ อสามคฺคิปกฺขิยวจนํ วทนฺตีติ วคฺควาทกาฯ ยสฺมา ปน ติณฺณํ อุทฺธํ กมฺมารหา น โหนฺติฯ น หิ สโงฺฆ สงฺฆสฺส กมฺมํ กโรติ, ตสฺมา ‘‘เอโก วา เทฺว วา ตโย วา’’ติ วุตฺตํฯ ชานาติ โนติ อมฺหากํ ฉนฺทาทีนิ ชานาติฯ ภาสตีติ ‘‘เอวํ กโรมา’’ติ อเมฺหหิ สทฺธิํ ภาสติฯ อมฺหากเมฺปตํ ขมตีติ ยํ โส กโรติ, เอตํ อมฺหากมฺปิ รุจฺจติฯ สเมตายสฺมนฺตานํ สเงฺฆนาติ อายสฺมนฺตานํ จิตฺตํ สเงฺฆน สทฺธิํ สเมตุ สมาคจฺฉตุ, เอกีภาวํ คจฺฉตูติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ ปทตฺถโต อุตฺตานเมวฯ วินิจฺฉยกถาเปตฺถ ทสเม วุตฺตสทิสาเยวฯ
Ekādasame tasseva kho panāti yo saṅghabhedāya parakkamati, tasseva. Anuvattakāti tassa diṭṭhiṃ khantiṃ ruciṃ gahaṇena anupaṭipajjanakā. Vaggaṃ asāmaggipakkhiyavacanaṃ vadantīti vaggavādakā. Yasmā pana tiṇṇaṃ uddhaṃ kammārahā na honti. Na hi saṅgho saṅghassa kammaṃ karoti, tasmā ‘‘eko vā dve vā tayo vā’’ti vuttaṃ. Jānāti noti amhākaṃ chandādīni jānāti. Bhāsatīti ‘‘evaṃ karomā’’ti amhehi saddhiṃ bhāsati. Amhākampetaṃ khamatīti yaṃ so karoti, etaṃ amhākampi ruccati. Sametāyasmantānaṃ saṅghenāti āyasmantānaṃ cittaṃ saṅghena saddhiṃ sametu samāgacchatu, ekībhāvaṃ gacchatūti vuttaṃ hoti. Sesaṃ padatthato uttānameva. Vinicchayakathāpettha dasame vuttasadisāyeva.
อยํ ปน วิเสโส – อิทํ ราชคเห สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ เทวทตฺตสฺส สงฺฆเภทาย ปรกฺกมนฺตสฺส อนุวตฺตนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อเงฺคสุ จ ยถา ตตฺถ ปรกฺกมนํ, เอวํ อิธ อนุวตฺตนํ ทฎฺฐพฺพนฺติฯ
Ayaṃ pana viseso – idaṃ rājagahe sambahule bhikkhū ārabbha devadattassa saṅghabhedāya parakkamantassa anuvattanavatthusmiṃ paññattaṃ, aṅgesu ca yathā tattha parakkamanaṃ, evaṃ idha anuvattanaṃ daṭṭhabbanti.
เภทานุวตฺตกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhedānuvattakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๒. ทุพฺพจสิกฺขาปทวณฺณนา
12. Dubbacasikkhāpadavaṇṇanā
ทฺวาทสเม ทุพฺพจชาติโกติ ทุพฺพจสภาโว, วตฺตุํ อสกฺกุเณโยฺยติ อโตฺถฯ อุเทฺทสปริยาปเนฺนสูติ อุเทฺทเส ปริยาปเนฺนสุ อโนฺตคเธสุ, ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิกเรยฺยา’’ติ เอวํ สงฺคหิตตฺตา อโนฺต ปาติโมกฺขสฺส วตฺตมาเนสูติ อโตฺถฯ สหธมฺมิกํ วุจฺจมาโนติ สหธมฺมิเกน วุจฺจมาโน, การณเตฺถ เจตํ อุปโยควจนํฯ ปญฺจหิ สหธมฺมิเกหิ สิกฺขิตพฺพตฺตา, เตสํ วา สนฺตกตฺตา ‘‘สหธมฺมิก’’นฺติ ลทฺธนาเมน พุทฺธปญฺญเตฺตน สิกฺขาปเทน วุจฺจมาโนติ อโตฺถฯ วิรมถายสฺมโนฺต มม วจนายาติ เยน วจเนน มํ วทถ, ตโต มม วจนโต วิรมถ, มา มํ ตํ วจนํ วทถาติ วุตฺตํ โหติฯ วทตุ สห ธเมฺมนาติ สหธมฺมิเกน สิกฺขาปเทน, สหธเมฺมน วา อเญฺญนปิ ปาสาทิกภาวสํวตฺตนิเกน วจเนน วเทตุฯ ยทิทนฺติ วุทฺธิการณทสฺสนเตฺถ นิปาโต, เตน ยํ อิทํ อญฺญมญฺญสฺส หิตวจนํ, อาปตฺติโต จ วุฎฺฐาปนํ, เตน อญฺญมญฺญวจเนน อญฺญมญฺญวุฎฺฐาปเนนฯ เอวํ สํวทฺธาหิ ตสฺส ภควโต ปริสาติ เอวํ ปริสาย วุทฺธิการณํ ทสฺสิตํ โหติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ วินิจฺฉยกถาปิ ทสเม วุตฺตสทิสาเยวฯ
Dvādasame dubbacajātikoti dubbacasabhāvo, vattuṃ asakkuṇeyyoti attho. Uddesapariyāpannesūti uddese pariyāpannesu antogadhesu, ‘‘yassa siyā āpatti, so āvikareyyā’’ti evaṃ saṅgahitattā anto pātimokkhassa vattamānesūti attho. Sahadhammikaṃ vuccamānoti sahadhammikena vuccamāno, kāraṇatthe cetaṃ upayogavacanaṃ. Pañcahi sahadhammikehi sikkhitabbattā, tesaṃ vā santakattā ‘‘sahadhammika’’nti laddhanāmena buddhapaññattena sikkhāpadena vuccamānoti attho. Viramathāyasmanto mama vacanāyāti yena vacanena maṃ vadatha, tato mama vacanato viramatha, mā maṃ taṃ vacanaṃ vadathāti vuttaṃ hoti. Vadatu saha dhammenāti sahadhammikena sikkhāpadena, sahadhammena vā aññenapi pāsādikabhāvasaṃvattanikena vacanena vadetu. Yadidanti vuddhikāraṇadassanatthe nipāto, tena yaṃ idaṃ aññamaññassa hitavacanaṃ, āpattito ca vuṭṭhāpanaṃ, tena aññamaññavacanena aññamaññavuṭṭhāpanena. Evaṃ saṃvaddhāhi tassa bhagavato parisāti evaṃ parisāya vuddhikāraṇaṃ dassitaṃ hoti. Sesaṃ uttānatthameva. Vinicchayakathāpi dasame vuttasadisāyeva.
อยํ ปน วิเสโส – อิทํ โกสมฺพิยํ ฉนฺนเตฺถรํ อารพฺภ อตฺตานํ อวจนียกรณวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อเงฺคสุ จ ยถา ตตฺถ ปรกฺกมนํ, เอวํ อิธ อวจนียกรณตา ทฎฺฐพฺพาติฯ
Ayaṃ pana viseso – idaṃ kosambiyaṃ channattheraṃ ārabbha attānaṃ avacanīyakaraṇavatthusmiṃ paññattaṃ, aṅgesu ca yathā tattha parakkamanaṃ, evaṃ idha avacanīyakaraṇatā daṭṭhabbāti.
ทุพฺพจสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dubbacasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา
13. Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā
เตรสเม คามํ วา นิคมํวาติ เอตฺถ นครมฺปิ คาเม อโนฺตคธเมวฯ อุปนิสฺสาย วิหรตีติตตฺถ ปฎิพทฺธจีวราทิปจฺจยตาย ตํ นิสฺสาย วสติฯ ปุปฺผทานาทีหิ มนุสฺสานํ สทฺธํ วินาเสโนฺต กุลานิ ทูเสตีติ กุลทูสโกฯ มาลาวจฺฉโรปนาทโย ปาปกา สมาจารา อสฺสาติ ปาปสมาจาโรฯ โส ภิกฺขูติ โส กุลทูสโก ภิกฺขุฯ อายสฺมา โข กุลทูสโก…เป.… อลํ เต อิธ วาเสนาติ อิมินาสฺส ปพฺพาชนียกมฺมารหตํ ทเสฺสติฯ ปพฺพาชนียกมฺมกโต ปเนส ยสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา กุลทูสกกมฺมํ กตํ, ยสฺมิญฺจ วิหาเร วสติ, เนว ตสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา จริตุํ ลภติ, น วิหาเร วสิตุํฯ เอวญฺจ โส ภิกฺขูติเอตฺถ โสติ ปพฺพาชนียกมฺมกโต อธิเปฺปโตฯ ฉเนฺทน คจฺฉนฺตีติ ฉนฺทคามิโน, เอส นโย เสเสสุฯ โส ภิกฺขูติ โส ‘‘ฉนฺทคามิโน’’ติอาทีนิ วทมาโนฯ ตสฺส วจนสฺส ปฎินิสฺสคฺคาย เอวํ วจนีโย, น กุลทูสนนิวารณตฺถายฯ กุลทูสนกเมฺมน หิ โส อาปชฺชิตพฺพา อาปตฺติโย ปุเพฺพว อาปโนฺน, เอวํ ปนสฺส วิสุมฺปิ สงฺฆมเชฺฌปิ วุจฺจมานสฺส อปฺปฎินิสฺสชฺชโต อปรํ ทุกฺกฎํฯ เอวญฺจ โสติอาทิ อิโต ปุเพฺพ วุตฺตญฺจ อวุตฺตญฺจ สพฺพํ อุตฺตานตฺถเมวฯ วินิจฺฉยกถาปิ ทสเม วุตฺตสทิสาเยวฯ
Terasame gāmaṃ vā nigamaṃvāti ettha nagarampi gāme antogadhameva. Upanissāya viharatītitattha paṭibaddhacīvarādipaccayatāya taṃ nissāya vasati. Pupphadānādīhi manussānaṃ saddhaṃ vināsento kulāni dūsetīti kuladūsako. Mālāvaccharopanādayo pāpakā samācārā assāti pāpasamācāro. So bhikkhūti so kuladūsako bhikkhu. Āyasmā khokuladūsako…pe… alaṃ te idha vāsenāti imināssa pabbājanīyakammārahataṃ dasseti. Pabbājanīyakammakato panesa yasmiṃ gāme vā nigame vā kuladūsakakammaṃ kataṃ, yasmiñca vihāre vasati, neva tasmiṃ gāme vā nigame vā carituṃ labhati, na vihāre vasituṃ. Evañca so bhikkhūtiettha soti pabbājanīyakammakato adhippeto. Chandena gacchantīti chandagāmino, esa nayo sesesu. So bhikkhūti so ‘‘chandagāmino’’tiādīni vadamāno. Tassa vacanassa paṭinissaggāya evaṃ vacanīyo, na kuladūsananivāraṇatthāya. Kuladūsanakammena hi so āpajjitabbā āpattiyo pubbeva āpanno, evaṃ panassa visumpi saṅghamajjhepi vuccamānassa appaṭinissajjato aparaṃ dukkaṭaṃ. Evañca sotiādi ito pubbe vuttañca avuttañca sabbaṃ uttānatthameva. Vinicchayakathāpi dasame vuttasadisāyeva.
อยํ ปน วิเสโส – อิทํ สาวตฺถิยํ อสฺสชิปุนพฺพสุเก ภิกฺขู อารพฺภ ฉนฺทคามิตาทีหิ ปาปนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, อเงฺคสุ จ ยถา ตตฺถ ปรกฺกมนํ, เอวํ อิธ ฉนฺทาทีหิ ปาปนํ ทฎฺฐพฺพนฺติฯ
Ayaṃ pana viseso – idaṃ sāvatthiyaṃ assajipunabbasuke bhikkhū ārabbha chandagāmitādīhi pāpanavatthusmiṃ paññattaṃ, aṅgesu ca yathā tattha parakkamanaṃ, evaṃ idha chandādīhi pāpanaṃ daṭṭhabbanti.
กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิคมนวณฺณนา
Nigamanavaṇṇanā
อุทฺทิฎฺฐา โข…เป.… เอวเมตํ ธารยามีติเอตฺถ ปฐมํ อาปตฺติ เอเตสนฺติ ปฐมาปตฺติกา, ปฐมํ วีติกฺกมนกฺขเณเยว อาปชฺชิตพฺพาติ อโตฺถฯ อิตเร ปน ยถา ตติเย จ จตุเตฺถ จ ทิวเส โหตีติ เอตฺถ ‘‘ตติยโก, จตุตฺถโก’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ยาวตติเย สมนุภาสนกเมฺม โหนฺตีติ ยาวตติยกาติ เวทิตพฺพาฯ ยาวตีหนฺติ ยตฺตกานิ อหานิฯ ชานํ ปฎิจฺฉาเทตีติ ชานโนฺต ปฎิจฺฉาเทติฯ ตตฺถายํ ปฎิจฺฉาทนลกฺขณสฺส มาติกา – อาปตฺติ จ โหติ, อาปตฺติสญฺญี จ, ปกตโตฺต จ โหติ, ปกตตฺตสญฺญี จ, อนนฺตรายิโก จ โหติ, อนนฺตรายิกสญฺญี จ, ปหุ จ โหติ, ปหุสญฺญี จ, ฉาเทตุกาโม จ โหติ, ฉาเทติ จาติฯ ตตฺถ อาปตฺติ จ โหติ, อาปตฺติสญฺญี จาติ ยํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, สา เตรสนฺนํ อญฺญตรา โหติ, โสปิ จ ตตฺถ วตฺถุวเสน วา ‘‘อิทํ ภิกฺขูนํ น วฎฺฎตี’’ติ นามมตฺตวเสน วา ‘‘อยํ อิตฺถนฺนามา อาปตฺตี’’ติ อาปตฺติสญฺญีเยว หุตฺวา ‘‘น ทานิ นํ กสฺสจิ อาโรเจสฺสามี’’ติ เอวํ ฉาเทตุกาโมว ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา อรุณํ อุฎฺฐาเปติ, ฉนฺนา โหติ อาปตฺติฯ สเจ ปเนตฺถ อนาปตฺติสญฺญี วา โหติ, อญฺญาปตฺติกฺขนฺธสญฺญี วา, เวมติโก วา, อจฺฉนฺนาว โหติฯ ปกตโตฺตติ อนุกฺขิโตฺต สมานสํวาสโกฯ โส เจ ปกตตฺตสญฺญี หุตฺวา วุตฺตนเยเนว ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ อนนฺตรายิโกติ ยสฺส ทสสุ ราชโจรอคฺคิอุทกมนุสฺสอมนุสฺสวาฬสรีสปชีวิตพฺรหฺมจริยนฺตราเยสุ เอโกปิ นตฺถิ, โส เจ อนนฺตรายิกสญฺญี ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ ปหูติ โย สโกฺกติ ภิกฺขุโน สนฺติกํ คนฺตุเญฺจว อาโรเจตุญฺจ, โส เจ ปหุสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ ฉาเทตุกาโม จ โหติ, ฉาเทติ จาติอิทํ อุตฺตานเมวฯ สเจปิ หิ โส สภาคํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เม อุปชฺฌาโย วา อาจริโย วา’’ติ ลชฺชาย นาโรเจติ, ฉนฺนาว โหติฯ อุปชฺฌายาทิภาโว หิ อิธ อปฺปมาณํ, สภาคมตฺตเมว ปมาณํฯ อยํ ‘‘ชานํ ปฎิจฺฉาเทตี’’ติปทสฺส สเงฺขปโต อตฺถวินิจฺฉโยฯ
Uddiṭṭhākho…pe… evametaṃ dhārayāmītiettha paṭhamaṃ āpatti etesanti paṭhamāpattikā, paṭhamaṃ vītikkamanakkhaṇeyeva āpajjitabbāti attho. Itare pana yathā tatiye ca catutthe ca divase hotīti ettha ‘‘tatiyako, catutthako’’ti vuccati, evaṃ yāvatatiye samanubhāsanakamme hontīti yāvatatiyakāti veditabbā. Yāvatīhanti yattakāni ahāni. Jānaṃ paṭicchādetīti jānanto paṭicchādeti. Tatthāyaṃ paṭicchādanalakkhaṇassa mātikā – āpatti ca hoti, āpattisaññī ca, pakatatto ca hoti, pakatattasaññī ca, anantarāyiko ca hoti, anantarāyikasaññī ca, pahu ca hoti, pahusaññī ca, chādetukāmo ca hoti, chādeti cāti. Tattha āpatti ca hoti, āpattisaññī cāti yaṃ āpattiṃ āpanno, sā terasannaṃ aññatarā hoti, sopi ca tattha vatthuvasena vā ‘‘idaṃ bhikkhūnaṃ na vaṭṭatī’’ti nāmamattavasena vā ‘‘ayaṃ itthannāmā āpattī’’ti āpattisaññīyeva hutvā ‘‘na dāni naṃ kassaci ārocessāmī’’ti evaṃ chādetukāmova dhuraṃ nikkhipitvā aruṇaṃ uṭṭhāpeti, channā hoti āpatti. Sace panettha anāpattisaññī vā hoti, aññāpattikkhandhasaññī vā, vematiko vā, acchannāva hoti. Pakatattoti anukkhitto samānasaṃvāsako. So ce pakatattasaññī hutvā vuttanayeneva chādeti, channā hoti. Anantarāyikoti yassa dasasu rājacoraaggiudakamanussaamanussavāḷasarīsapajīvitabrahmacariyantarāyesu ekopi natthi, so ce anantarāyikasaññī chādeti, channā hoti. Pahūti yo sakkoti bhikkhuno santikaṃ gantuñceva ārocetuñca, so ce pahusaññī hutvā chādeti, channā hoti. Chādetukāmo ca hoti, chādeti cātiidaṃ uttānameva. Sacepi hi so sabhāgaṃ disvā ‘‘ayaṃ me upajjhāyo vā ācariyo vā’’ti lajjāya nāroceti, channāva hoti. Upajjhāyādibhāvo hi idha appamāṇaṃ, sabhāgamattameva pamāṇaṃ. Ayaṃ ‘‘jānaṃ paṭicchādetī’’tipadassa saṅkhepato atthavinicchayo.
ตาวตีหนฺติ ตตฺตกานิ อหานิ, ปฎิจฺฉาทิตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อาโรจิตทิวโส, ตาว ทิวสปกฺขมาสสํวจฺฉรวเสน ยตฺตโก กาโล อติกฺกโนฺต, ตตฺตกํ กาลนฺติ อโตฺถฯ อกามา ปริวตฺถพฺพนฺติ น กาเมน น วเสน, อถ โข อกาเมน อวเสน ปริวาสํ สมาทาย วตฺถพฺพํฯ ตตฺถ ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส สุทฺธนฺตปริวาโส สโมธานปริวาโส จาติ ติวิโธ ปริวาโสฯ ตตฺถ ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส ตาว ยถาปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ทาตโพฺพฯ กสฺสจิ หิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา อาปตฺติ โหติ, กสฺสจิ ทฺวีหาทิปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ กสฺสจิ เอกา อาปตฺติ โหติ, กสฺสจิ เทฺว วา ติโสฺส วา ตทุตฺตริ วาฯ ตสฺมา ปฎิจฺฉนฺนปริวาสํ เทเนฺตน ปฐมเมว วุตฺตนเยน ปฎิจฺฉนฺนภาวํ ญตฺวา ตโต ปฎิจฺฉนฺนทิวเส จ อาปตฺติโย จ สลฺลเกฺขตฺวา สเจ เอกา เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ‘‘อหํ, ภเนฺต, เอกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิํ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ เอวํ ปริวาสํ ยาจาเปตฺวา ขนฺธเก (จูฬว. ๙๘) อาคตนเยน กมฺมวาจํ วตฺวา ปริวาโส ทาตโพฺพฯ อถ ทฺวีหตีหาทิปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ , ทฺวีหปฺปฎิจฺฉนฺนํ ตีหปฺปฎิจฺฉนฺนํ จตูหปฺปฎิจฺฉนฺนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนํ…เป.… จุทฺทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนนฺติเอวํ ยาว จุทฺทสทิวสานิ ทิวสวเสน โยชนา กาตพฺพา, ปญฺจทสทิวสปฺปฎิจฺฉนฺนายํ ‘‘ปกฺขปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ ตโต ยาว เอกูนติํสติโม ทิวโส, ตาว ‘‘อติเรกปกฺขปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ, ตโต มาสปฺปฎิจฺฉนฺนํ อติเรกมาสปฺปฎิจฺฉนฺนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนํ อติเรกเทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนํ เตมาสปฺปฎิจฺฉนฺนํ…เป.… อติเรกเอกาทสมาสปฺปฎิจฺฉนฺนนฺติ เอวํ โยชนา กาตพฺพาฯ สํวจฺฉเร ปุเณฺณ ‘‘เอกสํวจฺฉรปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ, ตโต ปรํ อติเรกสํวจฺฉรํ เทฺวสํวจฺฉรํ เอวํ ยาว สฎฺฐิสํวจฺฉรอติเรกสฎฺฐิสํวจฺฉรปฺปฎิจฺฉนฺนนฺติ, ตโต วา ภิโยฺยปิ วตฺวา โยชนา กาตพฺพาฯ
Tāvatīhanti tattakāni ahāni, paṭicchāditadivasato paṭṭhāya yāva ārocitadivaso, tāva divasapakkhamāsasaṃvaccharavasena yattako kālo atikkanto, tattakaṃ kālanti attho. Akāmā parivatthabbanti na kāmena na vasena, atha kho akāmena avasena parivāsaṃ samādāya vatthabbaṃ. Tattha paṭicchannaparivāso suddhantaparivāso samodhānaparivāso cāti tividho parivāso. Tattha paṭicchannaparivāso tāva yathāpaṭicchannāya āpattiyā dātabbo. Kassaci hi ekāhappaṭicchannā āpatti hoti, kassaci dvīhādippaṭicchannā. Kassaci ekā āpatti hoti, kassaci dve vā tisso vā taduttari vā. Tasmā paṭicchannaparivāsaṃ dentena paṭhamameva vuttanayena paṭicchannabhāvaṃ ñatvā tato paṭicchannadivase ca āpattiyo ca sallakkhetvā sace ekā ekāhappaṭicchannā hoti, ‘‘ahaṃ, bhante, ekaṃ āpattiṃ āpajjiṃ sañcetanikaṃ sukkavissaṭṭhiṃ ekāhappaṭicchanna’’nti evaṃ parivāsaṃ yācāpetvā khandhake (cūḷava. 98) āgatanayena kammavācaṃ vatvā parivāso dātabbo. Atha dvīhatīhādippaṭicchannā hoti , dvīhappaṭicchannaṃ tīhappaṭicchannaṃ catūhappaṭicchannaṃ pañcāhappaṭicchannaṃ…pe… cuddasāhappaṭicchannantievaṃ yāva cuddasadivasāni divasavasena yojanā kātabbā, pañcadasadivasappaṭicchannāyaṃ ‘‘pakkhappaṭicchanna’’nti yojanā kātabbā. Tato yāva ekūnatiṃsatimo divaso, tāva ‘‘atirekapakkhappaṭicchanna’’nti, tato māsappaṭicchannaṃ atirekamāsappaṭicchannaṃ dvemāsappaṭicchannaṃ atirekadvemāsappaṭicchannaṃ temāsappaṭicchannaṃ…pe… atirekaekādasamāsappaṭicchannanti evaṃ yojanā kātabbā. Saṃvacchare puṇṇe ‘‘ekasaṃvaccharappaṭicchanna’’nti, tato paraṃ atirekasaṃvaccharaṃ dvesaṃvaccharaṃ evaṃ yāva saṭṭhisaṃvaccharaatirekasaṭṭhisaṃvaccharappaṭicchannanti, tato vā bhiyyopi vatvā yojanā kātabbā.
สเจ ปน เทฺว ติโสฺส ตทุตฺตริ วา อาปตฺติโย โหนฺติ, ยถา ‘‘เอกํ อาปตฺติ’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘เทฺว อาปตฺติโย, ติโสฺส อาปตฺติโย’’ติ วตฺตพฺพํฯ ตโต ปรํ ปน สตํ วา โหตุ, สหสฺสํ วา, ‘‘สมฺพหุลา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ นานาวตฺถุกาสุปิ ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ เอกํ กายสํสคฺคํ เอกํ ทุฎฺฐุลฺลวาจํ เอกํ อตฺตกามํ เอกํ สญฺจริตฺตํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ คณนวเสน วา, ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ นานาวตฺถุกาโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ วตฺถุกิตฺตนวเสน วา, ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ นามมตฺตวเสน วา โยชนา กาตพฺพาฯ ตตฺถ นามํ ทุวิธํ สชาติสาธารณํ สพฺพสาธารณญฺจ, ตตฺถ สงฺฆาทิเสโสติ สชาติสาธารณํ, อาปตฺตีติ สพฺพสาธารณํ, ตสฺมา ‘‘สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ สพฺพสาธารณนามวเสนาปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อิทญฺหิ ปริวาสาทิวินยกมฺมํ วตฺถุวเสน โคตฺตวเสน นามวเสน อาปตฺติวเสน จ กาตุํ วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ สุกฺกวิสฺสฎฺฐีติ วตฺถุ เจว โคตฺตญฺจ, สงฺฆาทิเสโสติ นามเญฺจว อาปตฺติ จ, ตตฺถ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ กายสํสคฺค’’นฺติอาทิวจเนนาปิ ‘‘นานาวตฺถุกาโย’’ติวจเนนาปิ วตฺถุ เจว โคตฺตญฺจ คหิตํ โหติ, ‘‘สงฺฆาทิเสโส’’ติวจเนนาปิ ‘‘อาปตฺติโย’’ติวจเนนาปิ นามเญฺจว อาปตฺติ จ คหิตา โหติ, ตสฺมา เอเตสุ ยสฺส กสฺสจิ วเสน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ
Sace pana dve tisso taduttari vā āpattiyo honti, yathā ‘‘ekaṃ āpatti’’nti vuttaṃ, evaṃ ‘‘dve āpattiyo, tisso āpattiyo’’ti vattabbaṃ. Tato paraṃ pana sataṃ vā hotu, sahassaṃ vā, ‘‘sambahulā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Nānāvatthukāsupi ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekaṃ sukkavissaṭṭhiṃ ekaṃ kāyasaṃsaggaṃ ekaṃ duṭṭhullavācaṃ ekaṃ attakāmaṃ ekaṃ sañcarittaṃ ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ gaṇanavasena vā, ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ nānāvatthukāyo ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ vatthukittanavasena vā, ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ nāmamattavasena vā yojanā kātabbā. Tattha nāmaṃ duvidhaṃ sajātisādhāraṇaṃ sabbasādhāraṇañca, tattha saṅghādisesoti sajātisādhāraṇaṃ, āpattīti sabbasādhāraṇaṃ, tasmā ‘‘sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ sabbasādhāraṇanāmavasenāpi vattuṃ vaṭṭati. Idañhi parivāsādivinayakammaṃ vatthuvasena gottavasena nāmavasena āpattivasena ca kātuṃ vaṭṭatiyeva. Tattha sukkavissaṭṭhīti vatthu ceva gottañca, saṅghādisesoti nāmañceva āpatti ca, tattha ‘‘sukkavissaṭṭhiṃ kāyasaṃsagga’’ntiādivacanenāpi ‘‘nānāvatthukāyo’’tivacanenāpi vatthu ceva gottañca gahitaṃ hoti, ‘‘saṅghādiseso’’tivacanenāpi ‘‘āpattiyo’’tivacanenāpi nāmañceva āpatti ca gahitā hoti, tasmā etesu yassa kassaci vasena kammavācā kātabbā.
กมฺมวาจาปริโยสาเน จ สเจ อปฺปภิกฺขุโก อาวาโส โหติ, สกฺกา รตฺติเจฺฉทํ อนาปชฺชเนฺตน วสิตุํ, ตเตฺถว ‘‘ปริวาสํ สมาทิยามิ, วตฺตํ สมาทิยามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตํ สมาทาตพฺพํ, สมาทิยิตฺวา ตเตฺถว สงฺฆสฺส อาโรเจตฺวา ปุน อาคตาคตานํ ภิกฺขูนํ อาโรเจเนฺตน วตฺตเภทญฺจ รตฺติเจฺฉทญฺจ อกตฺวา ปริวสิตพฺพํฯ สเจ น สกฺกา โหติ ปริวาสํ โสเธตุํ, นิกฺขิตฺตวเตฺตน วสิตุกาโม โหติ, ตเตฺถว สงฺฆมเชฺฌ, เอกปุคฺคลสฺส วา สนฺติเก ‘‘ปริวาสํ นิกฺขิปามิ, วตฺตํ นิกฺขิปามี’’ติ ปริวาโส นิกฺขิปิตโพฺพ, เอกปเทนาปิ เจตฺถ นิกฺขิโตฺต โหติ ปริวาโส, ทฺวีหิ ปน สุนิกฺขิโตฺตเยว, สมาทาเนปิ เอเสว นโยฯ นิกฺขิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ปกตตฺตฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, อถาเนน ปจฺจูสสมเย เอเกน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปโต, อปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขปารหฎฺฐานโต เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมิตฺวา มหามคฺคโต โอกฺกมฺม คุเมฺพน วา วติยา วา ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา อโนฺตอรุเณเยว วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตพฺพํฯ ยมฺปิ อญฺญํ ภิกฺขุํ ปสฺสติ, ตสฺสาปิ อาโรเจตพฺพเมวฯ อรุเณ อุฎฺฐิเต ตสฺส สนฺติเก วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา วิหารํ คนฺตพฺพํฯ สเจ โส ปุเร อรุเณเยว เกนจิ กรณีเยน คโต, วิหารํ คนฺตฺวา ยํ สพฺพปฐมํ ภิกฺขุํ ปสฺสติ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ เอวํ สลฺลเกฺขตฺวา ยาว รตฺติโย ปูเรนฺติ, ตาว ปริวตฺถพฺพํ, อยํ สเงฺขปโต ปฎิจฺฉนฺนปริวาสวินิจฺฉโย, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย (จูฬว. อฎฺฐ. ๙๗) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Kammavācāpariyosāne ca sace appabhikkhuko āvāso hoti, sakkā ratticchedaṃ anāpajjantena vasituṃ, tattheva ‘‘parivāsaṃ samādiyāmi, vattaṃ samādiyāmī’’ti tikkhattuṃ vattaṃ samādātabbaṃ, samādiyitvā tattheva saṅghassa ārocetvā puna āgatāgatānaṃ bhikkhūnaṃ ārocentena vattabhedañca ratticchedañca akatvā parivasitabbaṃ. Sace na sakkā hoti parivāsaṃ sodhetuṃ, nikkhittavattena vasitukāmo hoti, tattheva saṅghamajjhe, ekapuggalassa vā santike ‘‘parivāsaṃ nikkhipāmi, vattaṃ nikkhipāmī’’ti parivāso nikkhipitabbo, ekapadenāpi cettha nikkhitto hoti parivāso, dvīhi pana sunikkhittoyeva, samādānepi eseva nayo. Nikkhittakālato paṭṭhāya pakatattaṭṭhāne tiṭṭhati, athānena paccūsasamaye ekena bhikkhunā saddhiṃ parikkhittassa vihārassa parikkhepato, aparikkhittassa parikkhepārahaṭṭhānato dve leḍḍupāte atikkamitvā mahāmaggato okkamma gumbena vā vatiyā vā paṭicchannaṭṭhāne nisīditvā antoaruṇeyeva vattaṃ samādiyitvā ārocetabbaṃ. Yampi aññaṃ bhikkhuṃ passati, tassāpi ārocetabbameva. Aruṇe uṭṭhite tassa santike vattaṃ nikkhipitvā vihāraṃ gantabbaṃ. Sace so pure aruṇeyeva kenaci karaṇīyena gato, vihāraṃ gantvā yaṃ sabbapaṭhamaṃ bhikkhuṃ passati, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Evaṃ sallakkhetvā yāva rattiyo pūrenti, tāva parivatthabbaṃ, ayaṃ saṅkhepato paṭicchannaparivāsavinicchayo, vitthāro pana samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya (cūḷava. aṭṭha. 97) vuttanayeneva veditabbo.
อิตเรสุ ปน ทฺวีสุ ‘‘อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาตี’’ติ (จูฬว. ๑๕๗) อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ขนฺธเก อนุญฺญาโต สุทฺธนฺตปริวาโส นาม, โส ทุวิโธ จูฬสุทฺธโนฺต มหาสุทฺธโนฺตติ, ทุวิโธปิ เจส รตฺติปริเจฺฉทํ สกลํ วา เอกจฺจํ วา อชานนฺตสฺส จ อสฺสรนฺตสฺส จ ตตฺถ เวมติกสฺส จ ทาตโพฺพฯ อาปตฺติปริยนฺตํ ปน ‘‘เอตฺติกา อหํ อาปตฺติโย อาปโนฺน’’ติ ชานาตุ วา, มา วา, อการณเมตํฯ ตสฺส ทานวิธิ ขนฺธเก อาคโต, วินิจฺฉยกถา ปน วิตฺถารโต สมนฺตปาสาทิกายํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วุตฺตาฯ อิตโร ปน สโมธานปริวาโส นาม, โส ติวิโธ โหติ โอธานสโมธาโน อคฺฆสโมธาโน มิสฺสกสโมธาโนติฯ ตตฺถ โอธานสโมธาโน นาม อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส ปริวุตฺถทิวเส โอธุนิตฺวา มเกฺขตฺวา ปุริมาย อาปตฺติยา มูลทิวสปริเจฺฉเท ปจฺฉา อาปนฺนํ อาปตฺติํ สโมทหิตฺวา ทาตพฺพปริวาโส วุจฺจติฯ อคฺฆสโมธาโน นาม สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ ยา เอกา วา เทฺว วา ติโสฺส วา สมฺพหุลา วา อาปตฺติโย สพฺพจิรปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธาย ตาสํ รตฺติปริเจฺฉทวเสน อวเสสานํ อูนตรปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อาปตฺตีนํ ทาตพฺพปริวาโส วุจฺจติฯ มิสฺสกสโมธาโน นาม นานาวตฺถุกาโย อาปตฺติโย เอกโต กตฺวา ทาตพฺพปริวาโส วุจฺจติ, อยํ ติวิเธปิ สโมธานปริวาเส สเงฺขปกถา, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกายํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วุโตฺต, อิทํ ‘‘ปริวตฺถพฺพ’’นฺติ ปทสฺส วินิจฺฉยกถามุขํฯ
Itaresu pana dvīsu ‘‘āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānātī’’ti (cūḷava. 157) imasmiṃ vatthusmiṃ khandhake anuññāto suddhantaparivāso nāma, so duvidho cūḷasuddhanto mahāsuddhantoti, duvidhopi cesa rattiparicchedaṃ sakalaṃ vā ekaccaṃ vā ajānantassa ca assarantassa ca tattha vematikassa ca dātabbo. Āpattipariyantaṃ pana ‘‘ettikā ahaṃ āpattiyo āpanno’’ti jānātu vā, mā vā, akāraṇametaṃ. Tassa dānavidhi khandhake āgato, vinicchayakathā pana vitthārato samantapāsādikāyaṃ (cūḷava. aṭṭha. 102) vuttā. Itaro pana samodhānaparivāso nāma, so tividho hoti odhānasamodhāno agghasamodhāno missakasamodhānoti. Tattha odhānasamodhāno nāma antarāpattiṃ āpajjitvā paṭicchādentassa parivutthadivase odhunitvā makkhetvā purimāya āpattiyā mūladivasaparicchede pacchā āpannaṃ āpattiṃ samodahitvā dātabbaparivāso vuccati. Agghasamodhāno nāma sambahulāsu āpattīsu yā ekā vā dve vā tisso vā sambahulā vā āpattiyo sabbacirappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhāya tāsaṃ rattiparicchedavasena avasesānaṃ ūnatarappaṭicchannānaṃ āpattīnaṃ dātabbaparivāso vuccati. Missakasamodhāno nāma nānāvatthukāyo āpattiyo ekato katvā dātabbaparivāso vuccati, ayaṃ tividhepi samodhānaparivāse saṅkhepakathā, vitthāro pana samantapāsādikāyaṃ (cūḷava. aṭṭha. 102) vutto, idaṃ ‘‘parivatthabba’’nti padassa vinicchayakathāmukhaṃ.
อุตฺตริ ฉารตฺตนฺติ ปริวาสโต อุตฺตริ ฉ รตฺติโยฯ ภิกฺขุมานตฺตายาติ ภิกฺขูนํ มานภาวาย, อาราธนตฺถายาติ วุตฺตํ โหติฯ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ วตฺติตพฺพํฯ ภิกฺขุมานตฺตญฺจ ปเนตํ ปฎิจฺฉนฺนาปฎิจฺฉนฺนวเสน ทุวิธํฯ ตตฺถ ยสฺส อปฺปฎิจฺฉนฺนาปตฺติ โหติ, ตสฺส ปริวาสํ อทตฺวา มานตฺตเมว ทาตพฺพํ, อิทํ อปฺปฎิจฺฉนฺนมานตฺตํฯ ยสฺส ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ตสฺส ปริวาสปริโยสาเน ทาตพฺพํ มานตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนมานตฺตนฺติ วุจฺจติ, อิทํ อิธ อธิเปฺปตํฯ อุภินฺนมฺปิ ปเนเตสํ ทานวิธิ วินิจฺฉยกถา จ สมนฺตปาสาทิกายํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วุตฺตนเยน เวทิตพฺพา, อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโปฯ สเจ อยํ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺจูสสมเย สมาทาตุํ คจฺฉติ, สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน จตูหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปริวาเส วุตฺตปฺปการํ ปเทสํ คนฺตฺวา ‘‘มานตฺตํ สมาทิยามิ, วตฺตํ สมาทิยามี’’ติ สมาทิยิตฺวา เนสํ อาโรเจตฺวา ตโต เตสุ คเตสุ วา อคเตสุ วา ปุริมนเยน ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ ยตฺถ สิยา วีสติคโณติ เอตฺถ วีสติสโงฺฆ คโณ อสฺสาติ วีสติคโณฯ ตตฺราติ ยตฺร สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ อตฺถิ, ตตฺถฯ อเพฺภตโพฺพติ อภิเอตโพฺพ, สมฺปฎิจฺฉิตโพฺพ, อพฺภานกมฺมวเสน โอสาเรตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ อวฺหาตโพฺพติ วา อโตฺถฯ อพฺภานกมฺมํ ปน ปาฬิวเสน ขนฺธเก (จูฬว. ๑๐๐ อาทโย) วินิจฺฉยวเสน สมนฺตปาสาทิกายํ วุตฺตํฯ อนพฺภิโตติ น อพฺภิโต อสมฺปฎิจฺฉิโต, อกตพฺภานกโมฺมติ วุตฺตํ โหติฯ อนวฺหาโตติ วา อโตฺถฯ เต จ ภิกฺขู คารยฺหาติ เย อูนภาวํ ญตฺวา อเพฺภนฺติ, เต ภิกฺขู จ ครหิตพฺพา, สาติสารา สโทสา ทุกฺกฎํ อาปชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ อยํ ตตฺถ สามีจีติ อยํ ตตฺถ อนุธมฺมตา โลกุตฺตรธมฺมํ อนุคตา โอวาทานุสาสนี สามีจิ ธมฺมตาฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวาติฯ
Uttari chārattanti parivāsato uttari cha rattiyo. Bhikkhumānattāyāti bhikkhūnaṃ mānabhāvāya, ārādhanatthāyāti vuttaṃ hoti. Paṭipajjitabbanti vattitabbaṃ. Bhikkhumānattañca panetaṃ paṭicchannāpaṭicchannavasena duvidhaṃ. Tattha yassa appaṭicchannāpatti hoti, tassa parivāsaṃ adatvā mānattameva dātabbaṃ, idaṃ appaṭicchannamānattaṃ. Yassa paṭicchannā hoti, tassa parivāsapariyosāne dātabbaṃ mānattaṃ paṭicchannamānattanti vuccati, idaṃ idha adhippetaṃ. Ubhinnampi panetesaṃ dānavidhi vinicchayakathā ca samantapāsādikāyaṃ (cūḷava. aṭṭha. 102) vuttanayena veditabbā, ayaṃ panettha saṅkhepo. Sace ayaṃ vattaṃ nikkhipitvā paccūsasamaye samādātuṃ gacchati, sabbantimena paricchedena catūhi bhikkhūhi saddhiṃ parivāse vuttappakāraṃ padesaṃ gantvā ‘‘mānattaṃ samādiyāmi, vattaṃ samādiyāmī’’ti samādiyitvā nesaṃ ārocetvā tato tesu gatesu vā agatesu vā purimanayena paṭipajjitabbaṃ. Yattha siyā vīsatigaṇoti ettha vīsatisaṅgho gaṇo assāti vīsatigaṇo. Tatrāti yatra sabbantimena paricchedena vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho atthi, tattha. Abbhetabboti abhietabbo, sampaṭicchitabbo, abbhānakammavasena osāretabboti vuttaṃ hoti. Avhātabboti vā attho. Abbhānakammaṃ pana pāḷivasena khandhake (cūḷava. 100 ādayo) vinicchayavasena samantapāsādikāyaṃ vuttaṃ. Anabbhitoti na abbhito asampaṭicchito, akatabbhānakammoti vuttaṃ hoti. Anavhātoti vā attho. Te ca bhikkhū gārayhāti ye ūnabhāvaṃ ñatvā abbhenti, te bhikkhū ca garahitabbā, sātisārā sadosā dukkaṭaṃ āpajjantīti attho. Ayaṃ tattha sāmīcīti ayaṃ tattha anudhammatā lokuttaradhammaṃ anugatā ovādānusāsanī sāmīci dhammatā. Sesamettha vuttanayamevāti.
กงฺขาวิตรณิยา ปาติโมกฺขวณฺณนาย
Kaṅkhāvitaraṇiyā pātimokkhavaṇṇanāya
สงฺฆาทิเสสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅghādisesavaṇṇanā niṭṭhitā.